MSN on October 18, 2012, 08:55:06 AM
KTAMเปิดขาย2กองทุนตราสารหนี้   ชู24เดือนจ่ายผลตอบแทน3.90%ต่อปี

         นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  บริษัทเดินหน้าเปิดอีก 2 กองทุนตราสารหนี้ เพื่อรองรับเงินลงทุนของลูกค้าที่กองทุนครบกำหนดอายุโครงการ  และมองหาช่องทางการลงทุนอย่างต่อเนื่อง  บริษัทจึงได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้  เอฟไอเอฟ  27 (KTFF27 )   ในวันที่ 16-22  ตุลาคม 2555 อายุโครงการ 2 ปี  จ่ายผลตอบแทนคืนทุก6 เดือน   มูลค่าโครงการ  5,000 ล้านบาท   เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท   เน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เช่น เงินฝากประจำ  First  Gulf Bank   ,    Unoin National  Bank ,  บัตรเงินฝาก  Banco  Do Brasil  S.A. ,  MTN  ของ Banco  Bradesco  BBA  , MTN  ของ Itau   Unibanco  S.A.   , LPN  ของ VTB   Capital  SA  และ LPN ของ Gaz  Capital   SA     ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.90 % ต่อปี

      นอกจากนี้  บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดซื้อขายรอบใหม่ ( Roll  Over )  สำหรับกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 6 เดือน 1 (KTSIV6M1 )     เปิดจำหน่ายถึงวันที่  19 ตุลาคม  2555    อายุ 6 เดือน  เน้นลงทุนในเงินฝาก   ตั๋วแลกเงิน ของธนาคารแลนด์ แอนด์  เฮ้าส์   และธนาคารธนชาต  43 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกงอทุน  ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงินของภาคเอกชน   ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.95% ต่อปี

   แนวโน้มภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้  ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงรอผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งจะประชุมในวันที่ 17 ต.ค. นี้  โดยหลังจากเกาหลีใต้ บราซิล และออสเตรเลีย ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย   เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตที่มีสัญญาณชะลอตัวลง ทำให้มีนักลงทุนบางส่วนคาดว่าในประเทศต่างๆ ในเอเชีย และตลาดเกิดใหม่อื่นจะมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเช่นกัน 

   อย่างไรก็ตาม    ปัจจัยกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่ปรับลดลง รวมทั้งของไทย  จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  ซึ่งล่าสุดสิงคโปร์ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดผลกระทบจากเงินเฟ้อ แม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มถดถอยลง   

สำหรับตราสารหนี้ของไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา  อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลค่อนข้างทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลง -2  ถึง +2 bp  โดยนักลงทุนยังรอดูท่าทีของ กนง. และทิศทางการไหลของกระแสเงินทุน  ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทที่ผันผวนในช่วง 30.60 – 30.80 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ โดยอ่อนค่าลงจากที่เคยแข็งค่าที่ระดับ 30.48 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ทำให้ดอลล่าร์พรีเมี่ยมจากการทำสวอปข้ามสกุลเงินเพื่อปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนปรับลดลงเล็กน้อย