happy on October 13, 2012, 04:22:06 PM
CLOUD ATLAS


จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส              
ชื่อภาษาไทย   คลาวด์ แอตลาส หยุดโลกข้ามเวลา
ภาพยนตร์แนว   ไซไฟ
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      29 พฤศจิกายน  2555
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ                   Tom Tykwer (ทอม ไทเควอร์)
                              Andy Wachowski (แอนดี้ วาโชว์สกี้)
                              Lana Wachowski (ลานา วาโชว์สกี้)

อำนวยการสร้าง   Stefan Arndt (สเตฟาน อาร์นด์)

นักแสดง   Tom Hanks (ทอม แฮงค์) จาก   Philadelphia , Forrest Gump , The Davinci Code ,    Cast Away , Angels & Demons , The Terminal
         
            Halle Berry (ฮัลลี เบอร์รี) จาก  Monster’s Ball , X-Man : The Last Stand , Die Another day , Catwoman
         
         Jim Sturgess (จิม สเตอร์เกส) จาก One Day , The Way Back, Across the Universe
         
         Jim Bruadbent (จิม บรอดเบนท์) จาก Moulin Rouge , Gang of New York , Harry
Potter amd the Half Blood Prince

         Susan Sarandon (ซูซาน ซาแรนดอน)  จาก Dead Man Walking,The Client,The
Rocky Horror Pictures , Thelma & Louise Show

            Hugh Grant (ฮิวจ์ แกรนท์) จาก Nothing Hill , Music and Lyrics , About a Boy ,          Love Actually

            Hugo Weaving (ฮิวโก้ วีฟวิง) จาก The Matrix , Captain America : The First Avenger , The Lord of the ring

            Doona  Bae (ดูนา เบย์) จาก The Host , Sympathy for Mr.Vengeance

จุดเด่น


               ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่รวบรวมเอานักแสดงระดับแม่เหล็กของแวดวงฮอลลีวู้ดไว้มากที่สุดมาร่วมสร้างสีสัน นำโดย นักแสดงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ทอม แฮงค์” จากภาพยนตร์เรื่อง Philadelphia และ Forrest Gump  ,“ฮัลลี เบอร์รี” จากภาพยนตร์เรื่อง Monster’s Ball ,“จิม บรอดเบนท์” นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ จากภาพยนตร์เรื่อง Iris , “ซูซาน ซาแรนดอน” เจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยตร์เรื่อง Dead Man Walking  ร่วมด้วยฮิวโก้ วีฟวิง, จิม สเตอร์เกส, ดูนา เบย์, เบน วิชอว์, เจมส์ ดิ อาร์ซี, โจว ชุน, คีธ เดวิดและเดวิด เจซี   , ฮิวจ์ แกรนท์ ซึ่งนักแสดงแต่ละคนต่างก็ได้สวมหลายบทบาทขณะที่เรื่องราวเคลื่อนตัวผ่านกาลเวลา

               ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยลานา วาโชว์สกี้, ทอม ไทเควอร์และแอนดี้ วาโชว์สกี้ ก่อนหน้านี้ พี่น้องวาโชว์สกี้เคยร่วมงานกันในฐานะมือเขียนบท/ผู้กำกับไตรภาคแหวกแนว “Matrix” ซึ่งรวมแล้วทำรายได้ไป 1.6 พันล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก ส่วน ทอม ไทเควอร์ ได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา อวอร์ดในฐานะผู้กำกับ/มือเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง “Run Lola Run” และล่าสุด เขาก็เพิ่งกำกับทริลเลอร์รางวัลเรื่อง  “Perfume: The Story of a Murderer”












เรื่องย่อ

               “Cloud Atlas” สร้างขึ้นจากนิยาย best seller ที่เขียนโดย David Mitchell (เดวิด มิทเชล)  โดยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวการกระทำของมนุษย์ที่จะส่งผลต่อชีวิตใหม่ ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความเป็นไปที่ผ่านมาในครั้งอดีตจนถึงปัจจุบันและส่งผลถึงโลกอนาคต   ด้วยปริศนาความลับเมื่อครั้งอดีตที่ข้ามผ่านห้วงแห่งศตวรรษของมนุษยชาติ   โดยเรื่องราวที่ร้อยเรียงสอดคล้องกันด้วยความสมบูรณ์ที่สุดผ่าน 6 เรื่อง ราวในหลายศตวรรษทั่วทุกทวีป   เริ่มต้นขึ้นในปี คศ. 1849  การเดินทางท่องมหาสมุทรของ อดัม เอวิ่ง (ศตวรรษที่19 , มหาสมุทรแปซิฟิก) , คศ. 1936  จดหมายรักจาก โฟรบิเชอร์ , คศ. 1973  ครึ่งชีวิต : เรื่องราวอันลึกลับของ หลุยซ่า เรย์ , คศ. 2012 ประสบการณ์หฤโหดของ ทิโมธี คาเวนดิช , คศ. 2144 การภาวนาสู่การปฏิวัติของ ซอนมี451  จวบจนปี คศ. 2346  การก้าวข้ามผ่านของ แซ็ครี  และทั้งหมดคือเรื่องราวเดียวกันที่มีสาเหตุและผลลัพธ์ที่มาเกี่ยวโยงกันในทุกช่วงเวลา   ซึ่ง “Cloud Atlas” จะเผยให้เห็นถึงความลับของเส้นทางคู่ขนานหกเส้นอย่างชัดเจน

“Everything is connected”
« Last Edit: November 03, 2012, 06:46:06 PM by happy »

happy on October 13, 2012, 04:44:03 PM









เกี่ยวกับภาพยนตร์

               “Cloud Atlas” อีพิคที่ตระการตาและท้าทาย ที่มีเรื่องราวครอบคลุมห้าศตวรรษ ได้สำรวจคำถามเกี่ยวกับชีวิตและวัตถุประสงค์ที่มนุษยชาติได้ครุ่นคิดมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความคิดสัมปชัญญะ ด้วยแอ็คชั่น อารมณ์และความผูกพันของมนุษย์ที่หลากหลาย ที่แสงชี้นำไปตามช่วงเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นการเสนอแนะว่าชีวิตของเราแต่ละคนล้วนแล้วแต่สานต่อแนวทางของตัวเองข้ามกาลเวลา วิญญาณได้ถือกำเนิดใหม่และฟื้นฟูสายสัมพันธ์กันและกันครั้งแล้วครั้งเล่า ความผิดพลาดอาจถูกแก้ไข...หรือถูกทำซ้ำ อิสรภาพอาจได้มาหรือ สูญเสียไป แต่มันก็เป็นที่ไขว่คว้าตลอดกาล  และเช่นเคย ความรักยังคงอยู่รอดเสมอ
            “สเกลของไอเดียในเรื่องคือสิ่งที่เราสนใจในทันที ความรักที่มันมีต่อมนุษย์ ความกล้าและความมุทะลุ ลักษณะที่มันให้ความรู้สึกคลาสสิกแต่ก็แปลกใหม่โดยสิ้นเชิง” ลานา วาโชว์สกี้ หนึ่งในสามมือเขียนบท/ผู้กำกับของเรื่อง ผู้ดัดแปลงนิยายรางวัลของ เดวิด มิทเชล เรื่องนี้ “ธีมของมันก้าวข้ามพรมแดนของเชื้อชาติและเพศ สถานที่และกาลเวลา และบอกเล่าเรื่องราวที่บอกใบ้ว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นอยู่นอกเหนือพรมแดนเหล่านี้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราสนใจตอนที่เราได้อ่านนิยายเรื่องนี้และตอนที่เราเริ่มทำงานในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ”
            ทีมผู้สร้างผู้เป็นเพื่อนกันมานาน ลานา และ แอนดี้ วาโชว์สกี้ และ ทอม ไทเควอร์ มักจะคิดถึงการทำงานร่วมกันเสมอ แต่ความรักที่มีต่อนิยายเรื่อง Cloud Atlas ของ มิทเชล นั้นเองที่กระตุ้นให้ทั้งสามเริ่มลงมือในที่สุด พวกเขาได้สร้างความร่วมมือที่ไม่เหมือนใคร  ซึ่งสอดคล้องไปกับเนื้อเรื่องที่ไม่ธรรมดาของมัน ด้วยการร่วมกันเขียนบทและกำกับเพื่อนำหนังสือเล่มนี้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมาสเตอร์พีซยุคโมเดิร์นขึ้นสู่จอเงิน
            “มันมีท่วงทำนองที่ทรงพลังเหลือเกินครับ” ไทเควอร์กล่าว “มันมีความจริงที่ถูกพบในข้อสังเกตการณ์ของปัจเจกที่เรียบง่าย ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แต่ในการนำช่วงเวลาเหล่านี้ไปอยู่ในบริบทที่กว้างขวางกว่าและด้วยช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า คุณจะได้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ในแบบที่น่าทึ่งครับ”
            “Cloud Atlas” ที่ประกอบไปด้วยเรื่องราวหลายแนว และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ได้ถ่ายทอดถึงการที่เหตุการณ์และการตัดสินใจที่เกิดจากคนในช่วงเวลาหนึ่งจะส่งแรงกระเพื่อมในแบบที่คาดเดาไม่ได้ข้ามกาลเวลาไปส่งผลต่อชีวิตของผู้อื่น  ทนายความชาวซานฟรานซิสโกได้ซ่อนตัวทาสที่หลบหนีไว้บนเรือระหว่างทางกลับบ้านจากหมู่เกาะแปซิฟิกในปี1849...นักประพันธ์เพลงพรสวรรค์ผู้ยากไร้ในอังกฤษช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองพยายามที่จะประพันธ์ผลงานชิ้นเอกของเขาให้สำเร็จก่อนที่ผลของการกระทำที่ขาดความยั้งคิดของเขาจะตามเขาทัน...นักข่าวในปี 1973 ทำงานเพื่อเปิดโปงหายนะในแวดวงอุตสาหกรรม...บรรณาธิการยุคปัจจุบันเผชิญกับการถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรมในคืนก่อนหน้าความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่...คนงานที่ถูกสังเคราะห์ทางพันธุกรรมในปี 2144 รู้สึกถึงการฟื้นคืนของสติสัมปชัญญะแบบมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม...และในศตวรรษที่ 24 อันไกลโพ้น ผู้ไล่ต้อนฝูงแพะต้องสู้กับความผิดชอบชั่วดีของตัวเองในสิ่งที่เขาทำเพื่อมีชีวิตรอด แต่ละสถานการณ์ได้ถูกเปิดเรื่องขึ้น ก่อนจะดำเนินไปเคียงข้างกันในขณะที่การเปลี่ยนจากสถานการณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งเผยให้เห็นถึงลักษณะที่พวกมันเชื่อมโยงกันทั้งหมด ไม่นานนักก็เห็นได้ชัดเจนว่า สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวที่แยกจากกัน   แต่เป็นช่วงเวลาที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากเรื่องราวที่ดำเนินเป็นหนึ่งเดียว “กุญแจสำคัญคือการปล่อยวางจากความคิดที่ว่ามันเป็นเรื่องราวหกเรื่อง เพราะมันเป็นเรื่องเดียวครับ”  แอนดี้ บอก “แต่ละสถานการณ์และช่วงเวลาสะท้อนไปถึงช่วงเวลาอื่นๆ ในเรื่อง และเมื่อวิญญาณเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้น คุณก็จะได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขาและติดตามความเจริญก้าวหน้าตามลำดับเวลาของพวกเขา”
            เช่นเดียวกัน ตัวละครแต่ละตัวก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่จะกลับมาและมารวมตัวกันใหม่ในร่างใหม่และสถานการณ์ใหม่ “มันไม่ใช่แค่คนๆ เดียวเท่านั้น แต่เป็นตัวละครสำคัญๆ ทั้งหมดในแต่ละโลกครับ” เดวิด มิทเชล นักเขียนนิยายกล่าว “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและธรรมชาติของความสัมพันธ์เหล่านี้ก็ได้พัฒนาขึ้นด้วย ในโลกที่การกลับชาติมาเกิดเป็นไปได้และ    ภาพยนตร์ ที่ซึ่งอดีตปัจจุบันและอนาคตอยู่ร่วมกันได้ ความตายเป็นเพียงแค่การที่ประตูบานหนึ่งปิดลงและอีกบานหนึ่งเปิดออกเท่านั้นเอง”
            ในลักษณะนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยุคหนึ่งอาจจะคลี่คลายในอีกหลายภพชาติหลังจากนั้น มีการเกิดความอยุติธรรมขึ้นซ้ำๆ ด้วยผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ และคู่รักก็อาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ร่วมกันผ่านช่วงเวลาหลายศตวรรษ “ส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือเรื่องรักที่ยิ่งใหญ่ ที่เคลื่อนตัวผ่านหลายชีวิต แต่คุณจะได้เห็นมันเป็นช่วงๆ ไม่ใช่ทั้งหมดในคราวเดียว” ลานาเผยถึงลักษณะที่ความรักของหนุ่มสาวจะเติบโตและส่งอิทธิพลต่อการกระทำของพวกเขาผ่านทางการพบกันหลายครั้งในหลายช่วงเวลา “นี่เป็นอีกธีมหนึ่งของมัน ที่ว่าความรักสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางของชีวิตคุณได้ทุกเวลา”
            ปัจจัยอื่นๆ ก็มีบทบาทด้วยเช่นกัน ทอม แฮงค์ ผู้ได้รับหกบทบาท ซึ่งเป็นตัวแทนของการเดินทางของวิญญาณดวงเดียวตลอดระยะเวลายาวนาน ตั้งข้อสังเกตว่า “บ่อยครั้ง ตัวละครจะได้เห็นบางสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปตลอดกาลและพวกเขาก็ต้องทำอะไรซักอย่าง พวกเขาอาจเป็นวีรบุรุษหรือคนขี้ขลาดก็ได้ คำถามก็คือ ‘ประวัติศาสตร์คืออะไรกันเล่า หากไม่ใช่ช่วงเวลามากมายนับไม่ถ้วนแบบนี้ ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน อะไรเล่าคือธรรมชาติของมนุษย์หากไม่ใช่การตัดสินใจมากมายที่คุณต้องคิด”
            ด้วยตัวอย่างที่งดงามของความกล้าหาญ ความหวังและความมหัศจรรย์ รวมถึงการทรยศ ความดิ้นรน และความสูญเสีย “Cloud Atlas” ได้ขับเน้นช่วงเวลาเหล่านั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “มันเป็นการเล่าเรื่องที่บันเทิงใจจริงๆ ครับ” แฮงค์กล่าวต่อ “คุณจะหยิบยกข้อคิดอะไรจากมันก็ได้ มันไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่กล้องไม่ได้บันทึกการกระทำหรืออารมณ์มนุษย์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตอนที่ผมอ่านบทเรื่องนี้ มันก็ได้ตั้งคำถามว่าคนเหล่านี้เป็นใคร ก่อนที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะชัดเจนขึ้น การดิ้นรนของพวกเขา การต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดและการตัดสินใจที่เชื่อมชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่งยังปรากฏชัดเจนและผมก็สนใจมันอย่างมาก มันเป็นการผสมผสานที่เพอร์เฟ็กต์ระหว่างเรื่องราวของเดวิด มิทเชลและพลังภาพยนตร์ของผู้กำกับทั้งสามคนของเรา มันเป็นวรรณกรรมบนโลกภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสำรวจความเชื่อมโยงกันของมนุษยชาติข้ามช่วงเวลาครับ”
            “มันเป็นประสบการณ์การถ่ายทำที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นจริงๆ ค่ะ” ฮัลลี่ เบอร์รี่ ผู้สวมหกบทบาทเช่นเดียวกัน กล่าว “ฉันคิดว่าฉันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของหนังแบบนี้มาก่อน ฉันชอบความแปลกใหม่ของมัน มันมีการพังกำแพงมากมายลง มีคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจมากมาย และหวังว่ามันจะทำให้คนครุ่นคิดถึงลักษณะที่พวกเขามองโลกและชีวิตของพวกเขาเองน่ะค่ะ”
            องค์ประกอบเหล่านี้ที่โดนใจไทเควอร์และพี่น้องวาโชว์สกี้อย่างแรงยังดึงดูดใจนักแสดงที่โด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างสูงจากทั่วโลก ผู้ที่ร่วมแสดงกับแฮงค์และเบอร์รีในหลากหลายบทบาทคือทีมนักแสดงซึ่งรวมถึงจิม บรอดเบนท์, ฮิวโก้ วีฟวิ่ง, จิม สเตอร์เกส, ดูนา เบย์, เบน วิชอว์, เจมส์ ดิ’ อาร์ซี, ซุน โจว, คีธ เดวิด, เดวิด เจซี, ซูซาน ซาแรนดอน และฮิวจ์ แกรนท์ ขณะที่เรื่องราวเดินไปข้างหน้า โฟกัสได้ขยับจากตัวละครหลักกลุ่มหนึ่งไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่ตัวละครตัวอื่นๆ จะปรากฏในช่วงเวลาสำคัญหรือเผยตัวตนออกมาในแบบที่ละเอียดอ่อนมากกว่านั้น

            “มันเป็นโปรเจ็กต์ที่มีสโคปใหญ่มากๆ ครับ” ผู้อำนวยการสร้างแกรนท์ ฮิล ซึ่งทำงานร่วมกับพี่น้องวาโชว์สกี้เป็นครั้งที่สี่กล่าว “มันมีมิติของตัวละคร ความรักและความสงสาร และสเกลกายภาพแบบกว้างๆ ทุกอย่างเผยออกมาในผืนผ้าใบที่กว้างใหญ่ไพศาลครับ”
            “มันมีซีเควนซ์ไล่ล่าที่ใหญ่โต มีฉากที่เหลือเชื่อ มีการเล่าเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ก็มีข้อคิดด้วยครับ” ผู้อำนวยการสร้างสเตฟาน อาร์นด์ คู่หูอำนวยการสร้างของไทเควอร์กล่าว
            ลานากล่าวว่า “เราชื่นชอบการสร้างหนังที่ตื่นเต้น สร้างความบันเทิงและโรแมนติก แต่ก็สำรวจไอเดียต่างๆ ด้วย เราพยายามจะนำเสนอหลายระดับหรือหลายวิธีที่ผู้ชมจะสนุกกับหนังของเรา สำหรับด้านภาพวิชวล เราพยายามจะโชว์ให้ผู้ชมได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทางด้านอารมณ์ เราพยายามนำเสนอความตื่นเต้นหรือแอ็กชันหรือความรักที่มากพอที่จะทำให้เด็กๆ ในตัวพวกเรารวมทั้งผู้ชมพอใจ และท้ายที่สุด เราพยายามจะนำเสนอมุมมองหรือความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับประเด็นหรือไอเดียที่เป็นส่วนตัวมากๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเรา”
            “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมสนใจงานของแอนดี้และลานาในตอนแรก ความเชื่อมั่นที่ว่าคุณสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับหัวใจและจิตใจได้พร้อมๆ กัน” ไทเควอร์บอก “คุณสามารถสร้างหนังที่ผสมผสานปัจจัยที่น่าสนใจต่างๆ ที่เราพูดคุยถึงมันได้ แต่ขณะที่คุณดูมัน คุณก็จะทึ่งไปกับมันด้วยครับ”
« Last Edit: November 03, 2012, 06:53:30 PM by happy »

happy on November 03, 2012, 06:42:07 PM











เกี่ยวกับงานสร้าง

งานสองเท่า เวลาครึ่งเดียว

               ไทเควอร์และพี่น้องวาโชว์สกี้ไม่ได้คาดคิดถึงการทำงานสองด้านในตอนที่พวกเขาเริ่มต้นดัดแปลง Cloud Atlas ในตอนนั้น เรื่องการเดินทางขนส่งในการถ่ายทำถูกบดบังด้วยโฟกัสของพวกเขาในการถ่ายทอดแก่นสำคัญในนิยายของมิทเชลออกมา แต่เมื่อบทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ทีมนักแสดงมารวมตัวกันและสโคปของสิ่งที่พวกเขาพยายามจะสร้างเริ่มชัดเจนขึ้น แผน การกำกับแบบควบคู่กันไปก็ดูเหมือนจะเป็นแผนที่มีประสิทธิภาพที่สุด พวกเขาสามารถถ่ายทำโดยใช้เวลาครึ่งเดียวด้วยการแบ่งครึ่งงานระหว่างสองยูนิท ที่ดำเนินการไปพร้อมๆ กัน และแต่ละยูนิทก็โฟกัสไปที่สามในหกเซ็กเมนต์ของเรื่อง และแต่ละยูนิทก็มีทีมงานมากความสามารถของตัวเอง ในขณะที่นักแสดงก็จะเดินทางจากกองถ่ายของยูนิทหนึ่งไปยังอีกกองถ่ายอีกแห่งหนึ่ง
            “หนึ่งปีก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น เราได้นำหัวหน้าแผนกจากทั้งสองยูนิทมารวมตัวกันในการชุมนุมสี่สัปดาห์ในเบอร์ลิน เพื่อที่เราจะได้นั่งลงคุยกันเรื่องบท” ผู้อำนวยการสร้างแกรนท์ ฮิลบอก “เราทดสอบเรื่องของความสัมพันธ์และวิธีการ และประเมินว่าทั้งหมดนี้จะออกมาได้ในรูปแบบไหน” ความรู้สึกจากผู้กำกับถ่ายทอดมาสู่ความรู้สึกของการร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเปี่ยมล้น “ด้วยคนเยี่ยมๆ เหล่านี้ที่เปิดกว้างต่อการร่วมมือกัน เราก็ตระหนักว่าสิ่งสำคัญคือการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน แผนการที่รัดกุมและควบคุมพลังยิ่งใหญ่ทั้งหมดเหล่านี้”
            พี่น้องวาโชว์สกี้ได้จัดการการเดินทางทางทะเลของอดัม เอวิงในปี 1849, การกบฏของซอนมีในปี 2144 และชีวิตของแซ็ครีในศตวรรษที่ 24 ทีมงานของพวกเขารวมถึงผู้ออกแบบงานสร้างฮิวจ์ เบทอัพและผู้กำกับภาพจอห์น ทอล
            ทอม ไทเควอร์บันทึกภาพการเดินทางของอัจฉริยะทางดนตรี โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์ในปี 1936, การเปิดโปงการสมคบคิดของบริษัทใหญ่ของหลุยซ่า เรย์ในปี 1973 และชีวิตที่โดดเดี่ยวและบ่อยครั้งก็น่าขบขันของคาเวนดิช บรรณาธิการชาวลอนดอนในปี 2012 ผู้ที่ร่วมงานกับเขาคือผู้ออกแบบงานสร้าง อูลิ ฮานิสช์และผู้กำกับภาพ แฟรงค์ กรีบี้
            การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน ปี 2011 โดยไทเควอร์ทำงานในสก็อตแลนด์และพี่น้องวาโชว์สกี้ทำงานในมายอร์ก้า โดยรวมแล้วโลเกชันภายนอกของพวกเขารวมถึงกลาสโกว์, เอดินเบิร์กห์และชนบนในสก็อตแลนด์, แซ็กซอนนี่และสถานที่ต่างๆ ในเบอร์ลิน   ก่อนที่จะลงเอยในซาวน์สเตจล้ำสมัยของบาเบลส์เบิร์ก  สำหรับฉากภายในและกรีนสกรีน แม้ว่าจะอยู่กันคนละประเทศ แต่ทั้งสามคนก็ติดต่อกันบ่อยๆ “ผู้กำกับได้ไตร่ตรองในทุกรายละเอียด ทุกการตัดต่อและความเชื่อมโยงระหว่างส่วนต่างๆ ของเรื่องราวและเตรียมพร้อมอย่างดีก่อนหน้าการถ่ายทำ” ผู้อำนวยการสร้างสเตฟาน อาร์นด์ยอมรับ “ระหว่างการถ่ายทำ พวกเขาจะโทรหากันและกันบอกว่า ‘คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างตรงส่วนนี้ ตอนที่คุณถ่ายทำฉากต่อไป จำไว้ด้วยนะว่านักแสดงคนนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้’ พวกเขาเป็นคนที่สื่อสารกันด้วยดี และสามารถคุยกันเรื่องการตัดสินใจของพวกเขาได้”
            มายอร์ก้าเป็นฉากสำหรับส่วนแรกและส่วนสุดท้ายของเรื่องราวนี้ ในส่วนแรกมันถูกใช้เป็นเกาะแปซิฟิค ที่ซึ่งอดัม    เอวิ่งและออทัวร์ได้ตั้งต้นเพื่อแล่นเรือไปยังอเมริกา ก่อนที่จะถูกใช้เป็นหุบเขาในฮาวาย ที่ซึ่งแซ็ครีใช้ชีวิตอยู่ในอีก 500 ปีให้หลัง ลานากล่าว “เราตัดสินใจว่ามันน่าจะเป็นเกาะเดียวกัน สิ่งนั้น รวมถึงความสุดโต่งจากการเปลี่ยนแปลงของบทบาทของทอม แฮงค์จากกู๊สไปเป็นแซ็ครี เป็นตัวที่บ่งบอกถึงส่วนแรกและส่วนสุดท้ายของกาลเวลา และช่วยเน้นย้ำถึงธีมของการเกิดขึ้นซ้ำใหม่อีกครั้ง

            ฉากที่เอวิ่งเผชิญหน้ากับดร.กู๊สบนชายหาดถูกถ่ายทำในซา คาโลบรา โคฟในทอร์เรนท์ เดอะ พาเรส และโรงงานยาสูบในศตวรรษที่ 19 ของฮอร์ร็อกซ์ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของเอกชนในย่านเอสลอมบ์ดของมายอร์ก้า
            โพรฟีเทส เรือของเอวิง จริงๆ แล้วเป็นเรือสมัยโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างงดงามและสามารถออกทะเลได้ ที่มีชื่อว่าเอิร์ล ออฟ เพมโบรค ถูกสร้างขึ้นในสวีเดน และตอนนี้ เทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือชาร์ลสตัน, คอร์นวอล โดยสแควร์ เซล คัมปะนี มันแล่นออกไปพบกองถ่ายในมายอร์ก้า ที่ซึ่งมันต้องผ่านการแปลงโฉมบางอย่าง โรบิน เดวีส์ กัปตันของเรือลำนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานฝ่ายทะเลสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้และเขาและทีมงาน 15 ชีวิตของเขาก็ได้ร่วมรับบทตัวประกอบในฉากบนดาดฟ้าเรือด้วย
            บนเกาะ ทีมผู้สร้างได้หาแบ็คดร็อปภูเขาที่ทุรกันดารสำหรับการเดินทางของแซ็ครีกับเมโรมิม และใช้ประโยชน์จากทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเหนือพูอิก เมเยอร์ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูง 4711 ฟุต เหนือหมู่เกาะบัลเลริคทั้งหมด ณ ที่นั้น สถานีวิทยุดาวเทียมยุค 50s ที่ทางทหารยังคงบำรุงรักษาอยู่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรับเปลี่ยนให้เป็นอาคารที่เมโรนิมตามหา
            จากมายอร์ก้า พี่น้องวาโชว์สกี้ได้เดินทางไปแซ็กซอนนี่ ซึ่งอยูทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเยอรมนี ที่ซึ่งโครงสร้างหินทรายที่โด่งดังและป่าหนาทึบของภูมิภาคนี้ถูกใช้เป็นบ้านของแซ็ครีและป่ารอบด้าน ที่ซึ่งครอบครัวของเขาถูกคุกคามจากเผ่าโคนา ในการสร้างหมู่บ้านนี้ขึ้นมา เบทอัพให้ความเห็นว่า “เราไม่อยากจะนำเสนอสังคมนี้ว่าไร้อารยธรรมมากเกินไป เหมือนกับว่าพวกเขาได้ย้อนกลับไปสู่ยุคมืด เราก็เลยตัดสินในว่าพวกเขาพ้นจากเหตุการณ์โลกล่มสลายมาสองหรือสามรุ่น และได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดและทำสิ่งต่างๆ อีกครั้ง พวกเขาสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นจากวัตถุดิบที่พวกเขามีอยู่ หรือเก็บกู้ได้จากเมืองต่างๆ พวกเขาเป็นช่างฝีมือไม่ใช่คนเถื่อนครับ”
            เพื่อความต่อเนื่อง ฝูงแพะเล็กๆ ที่แซ็ครีดูแลระหว่างที่อยู่ในมายอร์ก้าถูกขนส่งไปยังแซ็กซอนนี่ด้วย นอกจากแพะแล้ว ยังมีม้าหกตัว ที่ได้รับการฝึกในสเปนและถูกนำตัวจากมาดริดมายังแซ็กซอนนี สำหรับฉากการโจมตีหมู่บ้านที่น่าสะพรึงกลัวของพวก    โคนา จอร์ดี้ คาซาเรส ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ชาวสเปนและทีมงานของเขาได้ขี่ม้าในซีเควนซ์แอ็คชั่นเหล่านี้ ในขณะที่จอร์เก้ อาเกโร   ผู้ควบคุมกล้องสเตดิแคม ผู้ชำนาญในการขี่ม้า ต้องเจอกับความท้าทายที่ไม่มั่นคงของการถ่ายทำไปด้วยขณะขี่ม้า
            ในขณะเดียวกัน ไทเควอร์ก็ได้เปลี่ยนย่านในกลาสโกว์ที่มีถนนโค้ง ให้กลายเป็นซานฟรานซิสโกในปี 1973 ป้ายและไฟต่างๆ ถูกแทนที่ และมีการนำรถรุ่นเก่าเข้ามาใช้ในฉากการไล่ล่าและลอบยิงที่ตึงเครียด ขณะที่หลุยซ่า เรย์และเนเพียร์พยายามหลบหนีจากมือสังหาร บิล สโมค
            สภาหอการค้าของเอดินเบิร์กห์กลายเป็นโรงแรมที่โฟรบิเชอร์หนีลงมาตามท่อน้ำทิ้งและหลังจากนั้น อนุสรณ์วอลเตอร์ สก็อต ที่โด่งดังของเมือง ก็ถูกใช้เป็นที่หลบภัยและสถานที่ที่เขาได้เห็นหญิงคนรักเป็นครั้งสุดท้าย อนุสรณ์สูง 200 ฟุตแห่งนี้ ซึ่งไม่เคยปิดสำหรับการถ่ายทำเลย ได้อนุญาตให้ “Cloud Atlas” ใช้เวลาที่นี่สองวัน เพื่อที่จะได้มีการยกกล้องและอุปกรณ์ขึ้นไปบนแพลทฟอร์มชมวิวด้วยเครนแทนที่จะผ่านบันไดวนแคบๆ ของที่นั่น
            สำหรับคฤหาสน์หลังงามของเอริส ที่ซึ่งโฟรบิเชอร์ไปขอทำงานด้วยนั้น ไทเควอร์และผู้ออกแบบงานสร้าง อูลี ฮานิสช์ ได้ร่วมกับทีมโลเกชั่นในการสำรวจย่านชนบทของสก็อตแลนด์ ก่อนที่จะพบโอเวอร์ทูน เฮาส์ ที่เป็นของเอกชน ในเวสต์ ดันบาร์ทอนเชียร์ มันไม่เพียงแต่จะถูกใช้เป็นบ้านของเอริสในปี 1936 เท่านั้น แต่มันยังถูกตกแต่งใหม่เพื่อเป็นคฤหาสน์ออโรรา ที่คาเวนดิชถูกกักขังในปี 2012     ด้วย “เวลาของพวกมันห่างกันเกือบ 80 ปี    ดังนั้น สวนและต้นไม้ก็จะต้องแตกต่างกัน กลยุทธของเราก็คือการเพิ่มสิ่งต่างๆ

            อย่างต้นไม้ในสมัยก่อน ที่เราจะเคลื่อนย้าย เพื่อให้ภายนอกของหลายทศวรรษให้หลังดูเรียบง่ายขึ้น” ฮานิสช์ตั้งข้อสังเกต นอกจากนั้น พวกเขายังได้เพิ่มเรือนเพาะชำและประตูหน้าที่ใหญ่โตเข้าไป เพื่อให้เข้ากับฉากของคาเวนดิชอีกด้วย
            ไทเควอร์เสนอแนะว่า เมื่อมองในเรื่องสัญลักษณ์แล้ว “ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นชาโตว์ที่เอริส นักประพันธ์เพลงชรา พยายามจะคุมขังโฟรบิเชอร์หนุ่มเอาไว้ และในอีกชาติภพหนึ่ง มันก็เป็นตัวเขา ที่กลับชาติมาเกิดเป็นคาเวนดิช ที่ถูกคุมขังในสถานที่ที่เขาเคยเป็นผู้คุม”
            ตั้งแต่ขั้นตอนคิดคอนเซ็ปต์ของเรื่อง ทีมงานก็กำหนดเอาไว้แล้วว่า สถานที่บางแห่งจะถูกใช้ซ้ำสองจากเรื่องราวตอนหนึ่งไปสู่อีกตอนหนึ่ง “แต่เราก็อยากจะยืดหยุ่น” ฮานิสช์บอก “บางครั้ง มันก็เป็นสถานที่จริงๆ บางครั้งก็เป็นแค่การบอกเป็นนัยๆ จุดเริ่มต้นของเราคือห้องเคบินของเอวิงใต้ดาดฟ้าเรือ ซึ่งเราก็จำลองรูปร่างห้องๆ นี้มาใช้ตลอด ทั้งออฟฟิศของคาเวนดิช, อพาร์ทเมนต์  ของหลุยซ่า เรย์, ห้องของโฟรบิเชอร์ในคฤหาสน์ของเอริส, เซฟเฮาส์ของซอนมีและกระท่อมของแซ็ครี”
            ดังนั้น ภายในห้องดนตรีที่โอ่โถงของเอริส ที่สร้างขึ้นบนซาวน์สเตจ ก็กลายเป็นห้องรับประทานอาหารที่น่าหดหู่ในคฤหาสน์ออโรรา ร้านอาหารที่ซอนมีทำงาน ซึ่งเบทอัพได้ออกแบบ มีบรรยากาศเสมือนที่สดชื่น สว่างไสว ให้ลูกค้าได้มีความสุข และเวลาปิดทำการเผยให้เห็นถึงสภาพที่แท้จริงที่มืดหม่นของมัน “เราต้องประดิษฐ์สังคมผู้บริโภคของปี 2144 และจินตนาการว่าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจะเป็นยังไง ลานาและแอนดี้มีไอเดียที่ชัดเจนว่าพวกเขามองเห็นยุคสมัยเหล่านี้อย่าไร เราก็เลยแลกเปลี่ยนไอเดียกันและท้ายที่สุด เราก็ได้โลกของซอนมีขึ้นมา” เขากล่าว หลังจากการถ่ายทำฉากเหล่านั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว พื้นที่ก็ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ด้วยการทาสีดำ ขาวและแดง เพื่อใช้เป็นพื้นที่บนหลังคาสำหรับงานเปิดตัวหนังสือของคาเวนดิช ที่ซึ่งอควอเรียมขนาดใหญ่ทำให้นึกถึงบ่อปลาเสมือนจริงบนพื้นของร้านอาหาร
            นอกจากนี้ ดีไซเนอร์ยังได้ใส่เอาองค์ประกอบหลายอย่างเข้าไปซ้ำๆ เช่นรถไฟและสะพาน ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องราว      ของโฟรบิเชอร์, คาเวนดิช, หลุยซ่า เรย์และแซ็ครี วัตถุรูปไข่ยังปรากฏขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่ของเล่นในโรงงานที่หลุยซ่า เรย์วิ่งผ่านในซานฟรานซิสโกไปจนถึงที่นั่งในร้านอาหารและเครื่องบันทึกเสียงในคลังข้อมูลของซอนมีด้วย “เราต้องการให้การถ่ายทอดแต่ละยุคสมัยของเราชัดเจนจนมันไม่มีการตั้งคำถามเลยว่ามันเป็นยุค 1930s หรือ 1840s น่ะครับ” ฮานิสช์กล่าว “ในขณะเดียวกัน ภาพวิชวลและสถานที่ที่ถูกใช้ซ้ำก็ยิ่งตอกย้ำไอเดียของความเชื่อมโยงและความต่อเนื่องของเรื่องราวหนึ่งเดียวนี้ด้วย”
            ผู้ที่รับผิดชอบต่อลุ๊คที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและแนบเนียนของเรื่องคือผู้กำกับภาพจอห์น ทอลและแฟรงค์ กรีบี้ “องค์ประกอบด้านการออกแบบวิชวลหลักๆ เรียบร้อยหมดแล้วตอนที่เรามาทำงานในหนังเรื่องนี้” ทอลตั้งข้อสังเกต “เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของการกำกับภาพคือการผสมผสานลุคของแต่ละซีเควนซ์ ที่ครอบคลุมช่วงเวลา 500 ปี เพื่อสร้างความรู้สึกดราม่าที่ดื่มด่ำและ ทับซ้อนกัน สำหรับเรื่องราวทั้งหมด แต่อาจไม่ใช่แค่ด้วยการพยายามสร้างลุ๊คที่เฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งสำหรับหนังทั้งเรื่องก็ได้ โดยพื้นฐานแล้ว นี่หมายถึงการใช้วิธีการด้านวิชวล ที่เหมาะสมกับแต่ละบท แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกต่อเนื่อง”
            หลังจากได้พบกันเพื่อปรึกษาเรื่องกล้อง เลนส์และอิมัลชั่นของฟิล์มแล้ว กรีบี้และทอลก็ได้แยกกันไปตามโลเกชั่นของแต่ละคน แต่พวกเขาก็ยังติดตามผลงานของอีกฝ่ายผ่านทางฟิล์มเดลีส์
            แดน กลาส ผู้ร่วมงานกับพี่น้องวาโชว์สกี้ตั้งแต่ “The Matrix” เป็นผู้นำแผนกวิชวล เอฟเฟ็กต์ของทั้งสองยูนิท ผลงานของเขาปรากฏชัดเจนที่สุดในสองฉากในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีเควนซ์แอ็คชั่นของซอนมีและบรรยากาศจำลองของร้านอาหารที่เธอทำงาน แต่ไม่มียุคไหนเลยที่เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เขาช่วยเปลี่ยนกลาสโกว์ให้กลายเป็นซานฟรานซิสโกและสร้างสถานีไฟฟ้า  สแวนเน็คเก้สมมติขึ้นมา “ทอมเคยชินกับการถ่ายทำกับโลเกชั่นจริงๆ เราก็เลยได้ทำงานกับองค์ประกอบทางกายภาพ แล้วเสริมแต่งมันเพิ่มเติมมากกว่า มันเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ” เขากล่าว
            ฉากที่หลุยซ่า เรย์เดินทางผ่านสะพานโกลเดน เกท ถูกถ่ายทำส่วนหนึ่งในแทงค์น้ำในโคโลญจน์และส่วนหนึ่งบนรันเวย์ของอดีตสนามบินเทมเพลฮอฟของเยอรมนี ที่ซึ่งรถสตันท์ปะทะกันและรถเต่าของเธอก็ลอยละลิ่วข้ามขอบทางไป ส่วนที่เหลือ ซึ่งรวมถึงระยะบนะพานและอ่าวซานฟรานซิสโก ถูกเรนเดอร์ด้วยดิจิตอล
            สำหรับนีโอโซลในปี 2144 ทีมผู้สร้างได้จินตนาการถึงอนาคต ที่ซึ่งระดับน้ำที่สูงขึ้นทำให้ส่วนที่เก่าแก่ของเมืองจมลงใต้น้ำ “พวกเขาได้สร้างผนังขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อป้องกันน้ำจากมหาสมุทร และในพื้นที่บางส่วน เราก็ได้สร้างยอดตึกระฟ้าโผล่พ้นน้ำขึ้นมา เพื่อบอกใบ้ถึงตึกที่จมอยู่ใต้น้ำครับ” กลาสอธิบาย “ส่วนที่ใหม่กว่าของเมือง ที่ซึ่งคนร่ำรวยใช้ชีวิตอยู่ เราจินตนาการว่ามันจะถูกสร้างขึ้นเหนือซากปรักหักพังเหล่านี้ ขณะที่คุณลงมา คุณจะเจอกับโลกที่น่าหดหู่กว่านั้น เป็นสถานที่ที่ซึ่งการก่อกบฏของชางถือกำเนิดขึ้นครับ”  การหลบหนีของซอนมีและการปะทะกันระหว่าง ชาง วีรบุรุษของเธอและกองกำลังของรัฐบาล ทีนำพวกเขาไปสู่ยอดตึกระฟ้าของนีโอ โซล และลึกลงไปสุดขั้ว ถูกถ่ายทำด้วยกรีนสกรีนและ CGI ที่ บาเบลส์เบิร์ก ที่ซึ่งในที่สุดทั้งสองยูนิทก็ได้ทำงานร่วมกัน
« Last Edit: November 03, 2012, 07:03:37 PM by happy »

happy on November 03, 2012, 06:55:27 PM











บทสัมภาษณ์นักแสดงนำ “ทอม แฮงค์ vs ฮัลลี่ เบอร์รี่”

Q : ประสบการณ์การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อพิจารณาถึงความซับซ้อนของสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการนำตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกหลากมิตินี้ และการมีส่วนร่วมกับการเล่าเรื่องผ่านบทต่างๆ…

Tom Hanks : ตอนที่ผมได้ยินว่าพวกเขาจะสร้างหนังบล็อกบัสเตอร์เยอรมันที่เขียนบทในคอสตา ริก้า ผมก็บอกเลยว่า “ผมเอาด้วย!” เพราะผมไม่เคยได้ยินวิธีการแบบสหประชาชาติในการสร้างหนังมาก่อน (หัวเราะ) หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนภาพที่เป็นจริงของวิสัยทัศน์ที่พวกเขานำเสนอให้กับเราตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาได้ตั้งเป้าหมายไว้กับวรรณกรรมที่มีความเป็นหนังเรื่องนี้ และสิ่งที่เราต้องทำก็มีเพียงอ่านแบบพิมพ์เขียวเพื่อดูว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ผมบอกว่า ‘มันฟังดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของการแสดงหนังเลย มันจะต้องสนุกสุดๆ แล้วเราก็ได้ไปที่เจ๋งๆ หลายที่ด้วย ซึ่งหลายครั้งมันก็คงจะเป็นงานหนักมากๆ และเราก็จะต้องผ่านขีดจำกัดทางด้านอารมณ์เพื่อไปถึงช่วงเวลาที่ถูกเน้นย้ำทั้งในหนังสือและบทภาพยนตร์” ผมกระโจนเข้าใส่โอกาสนี้ทันทีครับ

Q:  แล้วคุณล่ะฮัลลี การทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีผู้กำกับสามคน และต้องรับบทตัวละครหลายตัวในหลายช่วงเวลาเป็นอย่างไรบ้าง

Halle Berry : อย่างแรกเลย ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากที่พวกเขานึกถึงฉัน ฉันก็เลยตอบตกลงทันที และสิ่งที่ฉันได้รับจากประสบการณ์ครั้งนี้คือคนพูดกับฉันว่า “คุณถูกกำกับโดยผู้กำกับสามคน! คุณต้องบ้าแน่ๆ ที่รับบทตัวละครทั้งหมดนี้” แต่ฉันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ทอมพูดค่ะ และสิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับเรื่องนี้คือลานาและแอนดี้พูดราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน พวกเขาต่อประโยคของกันและกัน พวกเขาคิดอ่านแบบเดียวกัน พวกเขาคุยกันเรื่องนี้มานานมากจนวิสัยทัศน์ของพวกเขาชัดเจนและมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยตามมาค่ะ ฉันคงจะพยายามลองทำทุกอย่างที่พวกเขาบอกเพราะฉันคิดว่า “ถ้าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็คงคิดไว้แล้ว ซึ่งมันน่าจะเวิร์คนะ” ดังนั้น มันก็เลยมีความรู้สึกปลอดภัยค่ะ ส่วนทอมก็เหมือนกัน ฉันรู้สึกปลอดภัยและสบายใจเมื่ออยู่กับเขา แล้วฉันก็มีความสุขค่ะ เขามีความสุขที่ได้เจอฉันทุกวัน ซึ่งฉันก็ยินดีกับเรื่องนั้น (หัวเราะ) มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกจริงๆ และฉันก็คิดว่าทุกคนในหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงบนสุด ก็จะพูดแบบนั้น แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ที่มีงานหนักอึ้งมากมาย แม้แต่สำหรับทอม, ลานาและแอนดี้ แต่พวกเขาก็ไม่เคยปล่อยให้มันมาเป็นอุปสรรคของเราเลย ฉันคิดว่าเราทุกคนต่างก็ได้รับประสบการณ์ด้านการแสดงที่ดีค่ะ

Q : มีบทพูดหนึ่งที่คุณพูดเป็นภาษาสเปน ที่มันน่าทึ่งมาก ซึ่งเราคิดว่าภาษาสเปนของคุณเยี่ยมมาก คุณทำได้ยังไงน่ะ เราคิดว่ามันน่าจะเป็นรายละเอียดที่สำคัญสำหรับคุณใช่มั้ย

Halle Berry :  แหม ขอบคุณค่ะ! ฉันได้ฝึกกับโค้ชสำเนียงชื่อเพ็กกี้ ฮอล-พลีแซสค่ะ และฉันก็จริงจังมากๆ ฉันอยากให้คนที่พูดภาษาสเปนในโลกนี้บอกว่าฉันพูดเก่งน่ะค่ะ (หัวเราะ) มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับบทพูดตอนนั้น ซึ่งฉันจะไม่มีวันลืมเลยจนวันตาย ฉันท่องบทพูดตรงนั้นซ้ำไปซ้ำมา ฉันสอนบทพูดนั้นให้ลูกสาวฉันไปเรียบร้อยแล้วด้วย มันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญถ้าเราจะบอกเป็นนัยๆถึงรากเหง้าของตัวละครตัวนั้น การสามารถใส่รายละเอียดแบบนั้นเข้าไปในเวลาที่สำคัญจริงๆ ฉันคิดว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆนั้นแหละที่ช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับตัวละคร ฉันอยากจะใช้สำเนียงนี้ตลอดเลยแต่บอสบอกว่าอย่าเลยน่ะค่ะ (หัวเราะ)

Q :   คุณมีตัวละครตัวโปรดไหม ที่คุณหลงใหลเป็นพิเศษน่ะ

Halle Berry : ฉันคงต้องบอกว่ามันน่าจะเป็นบทผู้หญิงผิวขาวเยอรมันชาวยิวน่ะค่ะ ตอนนั้นฉันกำลังลองชุดอยู่ ฉันจำได้ว่าทอมพูดกับฉัน ในตอนที่ฉันลองสวมชุดสวยๆ พวกนั้น และพยายามนึกว่าชุดไหนที่จะดูดีที่สุดสำหรับบทนี้ ทอมบอกฉันว่า “คุณเคยแสดงหนังพีเรียดมั้ย” ซึ่งฉันก็ตอบอย่างลังเลว่า “ก็เคยค่ะ” เขาถามว่า “คุณเคยสวมเสื้อผ้าแบบนี้ในหนังเรื่องอื่นมั้ย” ฉักน็ตอบว่า “ทอม ลองนึกดูก่อนนะ” แล้วพอเขานึกจริงๆ มันก็เป็นช่วงเวลาที่อึดอัด แต่เราก็หัวเราะกันเรื่องนี้ในตอนหลัง (หัวเราะ) ถ้าฉันได้แสดงในช่วงเวลานั้น ฉันอาจจะเป็นทาสหรืออะไรที่ใกล้เคียงนั้น และไม่ได้สวมชุดสวยๆ แบบนี้ ดังนั้น สำหรับเราแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่หนักอึ้ง แต่เราก็หาทางที่จะหัวเราะกับมัน และฉันก็คิดว่า “เยี่ยมเลย นั่นเป็นสาเหตุให้ฉันมาทำงานนี้ เพราะฉันจะได้สวมบทบางอย่างที่ฉันไม่มีโอกาสได้ทำในชีวิตจริง ฉันจะไม่มีวันได้แต่งตัวแบบนั้น และเป็นตัวละครแบบนั้น ถ้าฉันเป็นตัวฉันจริงๆ” ดังนั้น การที่ฉันได้ทำอะไรแบบนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อฉันในฐานะนักแสดงค่ะ  สำหรับฉัน Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์ที่ผู้ชมจะได้ข้อคิดอะไรมากมายจากมัน และก็จะได้อะไรมากกว่านั้นอีกในการดูครั้งที่สองและสามน่ะค่ะ…

ผมคิดว่ามันเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของนิยายโดยเดวิด มิทเชลและพลังแห่งโลกภาพยนตร์ของทอม ไทเควอร์, แอนดี้ วาโชว์สกี้และลานา วาโชว์สกี้ ผมคิดว่า ถ้าคุณจะมีคำอธิบายถึงประเภทของหนังแบบนี้ มันไม่ใช่หนังหกเรื่องที่แตกต่างกัน มันไม่ใช่หนังสองเรื่องที่แตกต่างกันด้วยซ้ำ แต่มันเป็นตัวอย่างของวรรณกรรมที่มีความเป็นหนัง ที่ล้วงลึกถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของมนุษยชาติผ่านกาลเวลา และผมก็คิดว่าในตอนที่คุณอ่านไปถึงตอนจบของบทเรื่องนี้ คุณจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องของอะไร และมันก็คุ้มค่าแล้วล่ะครับ…แค่ได้เห็นฮิวจ์ แกรนท์ในบทมนุษย์กินคนเดินไปมาในสตูดิโอระหว่างเซสชันเมคอัพน่ะครับ (หัวเราะ)