happy on September 07, 2012, 04:48:43 PM
ทีดีอาร์ไอเสนอมาตรการ “3 : เลิก เร่ง รุก โล๊ะ” คุมต่างด้าวยั่งยืน

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

               ผอ.วิจัยทีดีอาร์ไอเห็นด้วยไม่ขยายจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มอีก  ภายหลังจะสิ้นสุดผ่อนผันการขึ้นทะเบียนครั้งสุดท้าย ในวันที่ 14 ธันวาคมนี้  ระบุถ้าบริหารจัดการให้ดีแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่ในระบบถูกต้องและที่รอตรวจสอบมีเพียงพอใช้งาน  เสนอมาตรการแก้ปัญหาครบวงจร  “3เลิก 3เร่ง 3รุก 3โล๊ะ” และหากจำเป็นต้องรับเพิ่มก็ควรนำเข้าภายใต้ความตกลงรัฐต่อรัฐ

               ปัจจุบันแรงงานต่างด้าวส่วนหนึ่งโดยเฉพาะแรงงานระดับล่างได้กลายเป็นแรงงานหลักในหลายอุตสาหกรรมที่แรงงานไทยขาดแคลน  การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เรื้อรังมาเกือบสองทศวรรษยังทำได้ไม่ครบถ้วน  จำเป็นต้องพิจารณาในทุกมิติ  และในวันที่ 14 ธันวาคม 2555 จะครบกำหนดการพิสูจน์สัญชาติและต่อทะเบียนแรงงานต่างด้าวเป็นครั้งสุดท้าย


ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์

               ทั้งนี้ ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัญหาแรงงานต่างด้าวมาถึงช่วงสุดท้ายที่ต้องมีความชัดเจน เพราะเราไม่ต้องการให้มีการจดทะเบียนเพื่อเอาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาสู่ระบบเพิ่มอีก โดยขณะนี้คาดว่ามีจำนวนแรงงานต่างด้าวที่ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบราว 4.6 แสนคน เมื่อสามารถเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนได้ทั้งหมด จะทำให้มีจำนวนแรงงานต่างด้าว(ระดับล่าง) ราว 1.7 ล้านคน  เมื่อไปรวมกับกลุ่มแรงงานบุคคลบนที่ราบสูงและกลุ่มอื่นๆก็จะมีจำนวนราว 2 ล้านคนเศษ  ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยประมาณ 2.5 ล้านคน  ถึงกระนั้นก็ยังน่าจะมีจำนวนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ทำงานอยู่อีกราว 3-4 แสนคนที่ยังไม่ได้เข้าระบบ  จึงไม่มีความจำเป็นที่จะจดทะเบียนเพิ่ม/รับใหม่  แต่ควรใช้วิธีอื่นในการที่จะแก้ปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าว

               สำหรับแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ดร.ยงยุทธระบุว่า ควรดำเนินการ “3เลิก 3เร่ง 3รุก และ 3 โล๊ะ” กล่าวคือ   3เลิก ประกอบด้วย 1)เลิกจดทะเบียนใหม่  2)เลิกจดทะเบียนแบบเดิมที่เป็นพื้นที่หรืออาชีพ เพราะพิสูจน์แล้วว่าไม่มีประสิทธิภาพ  ควรใช้รูปแบบอื่นเช่นการกำหนดโซนนิ่งพื้นที่การทำงานที่สามารถทำได้มากกว่า 1 จังหวัด และยกเลิกในบางจังหวัดที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวน้อยเช่นไม่ถึง 1,000 คนซึ่งมีมากกว่า 20 จังหวัดทำให้เป็นพื้นที่สีขาว(ปลอดการใช้แรงงานต่างด้าว) 3) เลิกโควต้าแบบเก่าที่เปิดโอกาสให้นายจ้างไปยื่นความต้องการได้โดยตรง ซึ่งไม่ถูกหลักการและนายจ้างก็มีแนวโน้มที่จะขอมากกว่าต้องการใช้จริง  ควรเปลี่ยนมาเป็นระบบโควตาใหม่ ให้นายจ้างยื่นผ่านสมาคมวิชาชีพซึ่งจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบความต้องการแท้จริงก่อนยื่นขอให้พิจารณา  ส่วนกรมการจัดหางานเน้นการทำหน้าที่กำกับดูแล ในภาพรวมของประเทศ การได้มาของแรงงานต่างด้าว ที่จะใช้ประโยชน์ให้กับประเทศชาติในสาขาอาชีพต่าง ๆ และจำนวนที่ต้องการจริงๆ

               มาตรการ 3 เร่ง คือ 1) จัดระบบการนำเข้าโดยตรงในลักษณะ MOU ประมาณ 1.5 แสนคน เพื่อทดแทนแรงงานในส่วนที่จะต้องกลับออกไปเพราะครบกำหนดสัญญา   จึงต้องมีการจัดระบบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ประกอบการ โดยให้จัดทำจุดนัดพบแรงงานหรือศูนย์แลกเปลี่ยนแรงงาน บริเวณชายแดนโดยเฉพาะกับ 3 ประเทศหลักคือ พม่า ลาว กัมพูชา  ให้นายจ้างนำคนกลุ่มนี้ไปรายงานกับศูนย์นัดพบแรงงาน (ซึ่งก็คือให้คนกลุ่มนี้กลับประเทศไปก่อนให้ไปผ่านการตรวจสอบแล้วกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง)  การตั้งศูนย์นัดพบแรงงงานนี้เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ทำได้เลยโดยมีเจ้าหน้าที่ทั้งไทยและประเทศเพื่อนบ้านทำงานร่วมกัน  ในระยะกลางคือการทำความตกลงแบบจีทูจีหรือการนำเข้าโดยตรงรัฐต่อรัฐเพื่อตัดปัญหาเรื่องนายหน้าเถื่อนเนื่องจากเป็นปัญหาที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ  และการนำเข้าในลักษณะนี้ก็ควรจะเปิดกว้างนำแรงงานจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาทำงานได้นอกจากแรงงาน พม่า ลาว กัมพูชา  เช่น แรงงานจาก บังคลาเทศ จีน อินเดีย โดยมีเงื่อนไขเมื่อนำเข้ามาแล้วต้องมีการจัดฝึกอบรมให้กับแรงงานด้วย  2) เร่งจัดทำระบบอาชีพที่ต้องการให้ชัดเจน มีข้อมูลทางวิชาการยืนยัน เพื่อไม่ให้เปิดกว้างอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  3)เร่งปรับปรุงระบบโควตาที่จะต้องมีความต้องการให้ชัดเจนจึงจะควบคุมได้  เพราะความจริงเดิมแล้วแรงงานต่างด้าวที่เรารับมีไม่กี่อาชีพและส่วนใหญ่คือกรรมกร แต่มีจำนวนไม่น้อยแอบมาจดทะเบียนอยู่ในหมวดอื่น ๆ ซึ่งเงื่อนไขนี้กลายเป็นตัวซ่อนให้มีแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในอาชีพที่เราไม่ได้ต้องการหรืออนุญาตจนเกือบจะเป็นการเปิดเสรี

               มาตรการ 3 รุก คือ 1) การปฎิรูประบบบริหารแรงงานต่างด้าว จำเป็นต้องมีการปรับ สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าวมีความพร้อมทั้งบุคลากร งบประมาณและเครื่องมือเพื่อการติดตามใกล้ชิด  บังคับใช้กฎหมายเข้มงวดในปีต่อ ๆ ไป 2) การตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ จัดระบบให้ผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าวเข้ามารวมกลุ่มประกอบการในพื้นที่เดียวกัน และยังเชื่อมโยงกับการกำหนดพื้นที่การทำงานของแรงงานต่างด้าวที่นำเข้ามา รวมทั้งทำให้สามารถกำกับดูแลได้ชัดเจนขึ้น   การดำเนินการดังกล่าวยังรองรับการเปิดเสรีอาเซียนหรือเออีซี เนื่องจากใน AEC ไม่ได้พูดถึงแรงงานระดับล่างแต่พูดถึงแรงงานระดับบน  แต่แรงงานระดับล่างจะมากับการเคลื่อนย้าย/ลงทุนของธุรกิจ  จึงอาจต้องกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วอนุญาตให้มีการข้ามแดนมาทำงานได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งต้องเร่งแก้ไขให้ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถบริหารจัดการแรงงานในส่วนที่อยู่ในเขตพิเศษที่ตั้งขึ้น  และในปีหน้าเมื่อค่าจ้างขั้นต่ำเท่ากันหมดอุตสาหกรรมว่าจะตั้งที่ไหนก็จ่ายค่าแรงเท่ากันดังนั้น ดังนั้นการเข้ามาอยู่ในโซนนิ่งจะช่วยลดต้นทุนได้มากกว่าและสามารถใช้แรงงานได้ภายใต้การควบคุมที่ชัดเจน  และเมื่อเปิด AEC อีกสองปีข้างหน้า ก็สามารถย้ายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้านได้ง่าย เพราะอีก 4-5 ปีข้างหน้าค่าแรงของประเทศเพื่อนบ้านยังตามไทยไม่ทันอยู่ดี  3) เข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายภายหลังสิ้นสุดกระบวนการ  โดยกวดขันนายจ้างเพราะเมื่อจำนวนแรงงานต่างด้าวกับความต้องการที่มีอยู่เพียงพอแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาเข้ามาอีก

               ส่วนสุดท้าย คือ 3 โล๊ะ คือ 1) โล๊ะหรือกำจัดระบบนายหน้าเถื่อน  ซึ่งมองว่าระบบนายหน้าเถื่อนเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดการค้ามนุษย์และยาเสพติด  2)กำจัดการใช้แรงงานต่างด้าวที่เป็นเด็ก โดยเฉพาะในกลุ่มการใช้แรงงานที่ไม่เป็นทางการเช่นในกิจการประมงและต่อเนื่อง  3) อย่างไรก็ตามเราก็ยังเชื่อว่ายังมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอยู่บ้าง ในระยะยาวจึงต้องหาทางกำจัดส่วนของแรงงานผิดกฎหมายให้หมดไป แม้จะเป็นเรื่องยากและเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกประเทศ

               นอกจากนี้สิ่งที่ควรทำไปพร้อมกันคือ  ปรับระบบการต่ออายุให้กับแรงงานต่างด้าวให้สามารถทำงานอยู่ในประเทศไทยได้ 8 ปีโดยแบ่งระยะการต่ออายุเป็น 2+3+3 ปี ซึ่งจะทำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต่างด้าวไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายในการนำเข้าหรือต้องเดินทางกลับประเทศและกลับเข้ามาใหม่ และแรงงานกลุ่มนี้ได้พัฒนาเป็นแรงงานฝีมือ แนวทางนี้เป็นที่ยอมรับใช้กันในหลายประเทศ    สนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการจัดฝึกอบรมเพิ่มผลิตภาพแรงงาน รวมทั้งเรื่องภาษาและอาชีวอนามัย โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมไปใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีได้  ส่วนมาตรการในระยะกลางระยะไกลควรนำวิธีการเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างด้าวกลับมาใช้โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามทักษะของแรงงาน โดยแรงงานมีทักษะเสียค่าธรรมเนียมถูกกว่าแรงงานไร้ทักษะ

               “ระบบนี้ยังช่วยจัดระเบียบได้ว่าเราจะใช้คนที่มีความรู้ขนาดไหน  โดยบีโอไอจัดระบบความรู้แรงงานระดับบนแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องทำมากขึ้นคือการจัดระบบแรงงานระดับกลางระดับล่าง เพื่อกระตุ้นให้นายจ้างและตัวแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาต้องได้รับการฝึกฝนทักษะฝีมือเพิ่มขึ้น  แนวทางนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดระบบแรงงานเพื่อรองรับกับการเปิด AEC ด้วย”.