สืบเนื่องจากว่ากระทู้ที่แล้วนั้นได้จุดประกายให้มีกระทู้นี้ขึ้นก็คือสารต้านอนุมูลอิสระในลูกพรุน
ซึ่งบางท่านหาซื้อลูกพรุนไม่ได้แล้วจะทำยังไงดีละคะ แล้วผลไม้ชนิดใดบ้างที่มีวิตามินมากกว่ากัน
จึงทำให้เจ้าของกระทู้ได้ไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระ และได้ทราบว่า
ในผักผลไม้ทุกชนิดมันมีคุณประโยชน์ของมันทุกตัวนะคะ และอาจมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่แตกต่างกันไป
กระทู้นี้เลยขอแนะนำเจ้าสารเบต้าแคโรทีนก่อนเลยคะ เพราะอาจจะคุ้นหูกันมาบ้างแล้ว
เจ้าของกระทู้ได้ย่อยข้อมูลให้พอเข้าใจง่ายและไม่วิชาการมากจนเกินไป
ฉันคือใคร...
เบต้าแคโรทีน เป็นชื่อเรียกสารชนิดหนึ่งที่ถูกพบในพืช หลายชนิดและพบมากที่สุดในพืชที่มีสีเหลืองและส้ม เช่นหัวแครอท หัวผักกาดแดง และมะเชือเทศ โดยเบต้าแคโรทีนก็คือส่วนประกอบเม็ดสีเหลืองและส้มที่พบในพืชและผักเหล่านั้นนั้นเอง
และเบต้าแคโรทีนคือแคโรทีนอยด์ชนิดนึง แคโรทีนอยด์เป็นสารสีในพืชมีหลายชนิดแต่คุ้นหูกันดีจะเป็นเบต้าแคโรทีน แคโรทีนอยด์แต่ละชนิดต่างมีประโยชน์ต่างกันและทำงานสนับสนุนกัน เพราะอย่างนี้นอกจากเราจะกินผักผลไม้ในปริมาณมากแล้วเรายังต้องกินให้หลากหลายด้วย
ฉันทำอะไรได้บ้าง
เบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เบต้าแคโรทีนจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxdants)คือสารจากธรรมชาติที่สามารถต่อต้านการทำลายของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ ช่วยต่อต้านและลดอัตตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แล้วยังเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
อนุมูลอิสระ
มีอยู่มากมายในร่างกายของเรา มีทั้งชนิดที่เราสร้างขึ้นเองได้แก่สารของเสียจากขบวนการสันดาปในตับ และที่เราได้รับจากภายนอกเช่น ก๊าซออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไปและเหลือเกินความจำเป็น จากมลภาวะ จากสีผสมอาหารและอื่นๆอีกมาก สร้างความเสื่อมให้กับระบบต่างๆ ผิวพรรณเหี่ยวย่น สร้างความเสื่อมให้กับระบบหัวใจและหลอดเลือด กระตุ้นให้เซลล์ปกติของเราเจริญเติบโตอย่างผิดปกติหรือที่เราเรียกว่าเซลล์มะเร็งเนื้อร้าย
ผู้ที่ควรได้รับสารเบต้าแคโรทีน
ผู้ที่ต้องการดูแลผิวพรรณ ผิวเรานั้นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีที่สุดว่าเราได้รับสารเบต้าแคโรทีนตัวตั้งต้นของวิตามินเอเพียงพอหรือไม่ ถ้าปล่อยปละละเลยจะทำให้ยากต่อการเยียวยาและจะส่งผลต่อเส้นผมและเล็บ ในกลุ่มสาวๆที่กินอาหารเสริมพวกกรดไขมัน กลุ่มจำเป็นพวกโอเมก้า3หรือโอเมก้า6 เป็นประจำ อาจส่งผลให้เกิดขบวนการย่อยสลายกรดไขมันในปริมาณมากและส่งผลให้เกิดการ แก่ก่อนวัยจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเซลล์
ผู้ที่ต้องการบำรุงสายตา เบต้าแคโรทีน เมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้ว จะได้วิตามิน เอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอฟซิน ( Rhodopsin ) ในดวงตา ส่วนเรตินา ( Retina ) ทำให้เรามีความสามารถในการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ และนอกจากนั้น เบต้าแคโรทีน ยังลดความเสื่อมของเซลล์ของลูกตา และลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย
ผู้ที่ต้องการชลอความแก่ เบต้าแคโรทีน จะให้ผลในการลดความเสื่อมของเซลล์ จากอนุมุลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดขบวนการแก่ ดังนั้นหากเราลดสาเหตุดังกล่าวเสีย ความแก่ก็จะมาเยี่ยมเยือนเราได้ช้าลง
พบฉันได้ที่ไหนบ้างนะ
เบต้าแคโรทีนมีมากในผัก ผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอ ผักบุ้ง ตำลึง
ต้นหอม ผักคะน้า บรอคโคลี มะระ ฯลฯ
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เจ้าของกระทู้รู้สึกขัดแย้งกับบทความที่ได้ศึกษามามากก็คือ
ในแต่ละวันเรามักได้รับเบต้าแคโรทีนจากอาหารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเบต้าแคโรทีนจะถูกทำลายได้โดยง่าย จากความร้อนในการประกอบอาหารอีก ทั้งร่างกายของคนเราจะสามารถดูดซึมเบต้าแคโรทีนไว้ได้เพียงร้อยละ 25-27 เท่านั้น จึงไม่เพียงพอที่จะสามารถป้องกันการเกิดของโรคมะเร็งได้
จากความขัดแย้งนี้เจ้าของกระทู้จะพยายามหาความกระจ่างให้ได้ และจะมาอัพเดตให้ทราบโดยทั่วกันนะค่ะ
ปล. เครดิตข้อมูลจาก สสส.