happy on May 06, 2012, 08:07:11 PM

The Flowers of War สงครามนานกิง สิ้นแผ่นดินไม่สิ้นเธอ

               The Flowers of War คือผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ จางอี้โหมว (Yimou Zhang)  (จาก Ju Dou – จูโด้ เธอผิดหรือไม่ผิด, Raise the Red Lantern – ผู้หญิงคนที่ 4...ชิงโคมแดง, Hero, House of Flying Daggers - ฟลายอิ้งแด็กเกอร์ส จอมใจบ้านมีดบิน, Not One Less, The Road Home, Curse of Golden Flowers) เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของความรักและสงคราม การรวมตัวกันของกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่า “ไร้ค่า” ผู้ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นวีรชนจากเงามืดของเมืองที่อยู่ภายใต้การยึดครอง ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นจากความหายนะในเมืองนานกิงปี 1937 แต่กลับถ่ายทอดถึงเรื่องราวที่เจิดจรัสของกลุ่มคนเล็กๆ เรื่องราวความรักที่คาดไม่ถึง เศษเสี้ยวเวลาเล็กๆ ของความสุขและการเสียสละเพื่อรักษาความหวังเอาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นตัวแทนของประเทศจีนที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศปีล่าสุด และเป็น 1 ใน 5 ภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้วย




               คริสเตียน เบล (เจ้าของรางวัลออสการ์จาก The Fighter) ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชาวญี่ปุ่นและจีน ในบท จอห์น มิลเลอร์ นักพเนจรชาวอเมริกันปากเปราะ ผู้มาเยือนนานกิงเพื่อแสวงโชคในตอนที่กองทหารผู้รุกรานเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นซากปรักหักพัง ในขณะที่เขามาเยือนโบสถ์ตะวันตกเพื่อฝังร่างของนักบวชผู้ดูแล เขาก็ได้พบกับเด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยความเมาไม่ได้สติ เขาได้ทดลองสวมเสื้อคลุมของนักบวชผู้ล่วงลับดู แต่เขากลับพบว่าเสื้อคลุมตัวนั้นมีพลังบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง เขาไม่ได้แค่แสร้งทำตัวเป็นคุณพ่อบาทหลวงเท่านั้น แต่เขายังได้กลายเป็นคุณพ่อไปจริงๆ  เมื่อโบสถ์กลายเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับทั้งเด็กๆ ที่ไร้เดียงสาและเหล่าผีเสื้อราตรีทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงอวี๋โม่ (หนีหนี่) หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มผู้มีเสน่ห์ยั่วยวน บัดนี้ ไม่ว่าภัยอันตรายจะรุกคืบเข้ามาคุกคามพวกเขามากแค่ไหน โบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่รวมผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ที่เต็มไปด้วยดนตรี เสียงหัวเราะ ความรักและความกล้าหาญ

               The Flowers of War ใช้เวลาในการถ่ายทำถึงห้าเดือนครึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นการถ่ายทำที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศจีน โดยได้จำลองสถานการณ์จริงของเมืองนานกิงหลังจากการรุกรานของกองกำลังญี่ปุ่น ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานของประชาชนอย่างสะเทือนใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ แต่ The Flowers of War ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสงครามทั่วๆ ไป แต่มันยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งในหัวใจ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเพื่อสร้างความผูกพันขึ้นในยามที่ภยันตรายถาโถมเข้ามาถึงขีดสุด นี่ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ที่สามารถก้าวข้ามได้แม้แต่ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุด




               The Flowers of War กำกับโดย จางอี้โหมว จากบทภาพยนตร์โดย หลิวเฮง (The Story of Qui Ju, Ju Dou) และ  เหยียนเกอหลิง จากนิยายของเกอหลิงเรื่อง  The Thirteen Flowers of War ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย จางเว่ยผิง (เป็นครั้งที่สิบที่เขาได้ร่วมงานกับจางอี้โหมว) ภายใต้ แบนเนอร์นิว พิคเจอร์ส ฟิล์มของเขา ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เดวิด ลินด์, จ้าวหยิงเติง และบิล กง
             นำแสดงโดย คริสเตียน เบล (Christian Bale) และนางเอกของเรื่อง หนีหนี่ (Ni Ni) รวมถึง จางซินยี่ เด็กน้อยวัย 13 ปีในบทผู้บรรยาย ชู, นักแสดงหน้าใหม่ ฮวงเทียนหยวน ในบทจอร์จ เด็กชายผู้ตั้งใจคุ้มครองเด็กนักเรียนหญิงหลังการเสียชีวิตของบาทหลวงในท้องถิ่น, ถงต้าเหว่ย (Apple, Red Cliff) รับบทนายพลลี ทหารผู้เบื่อหน่ายกับสงคราม และมุ่งมั่นที่จะรักษาชีวิตของเพื่อนทหารที่บาดเจ็บ, อัตสุโระ วาตาเบ้ (A Quiet Life / Shizukana Seikatsu) ในบทผู้พันฮาเซกาวะ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานจีน, ชิเงโอะ โคบายาชิ (Todai) ในบทร้อยโทคาโต้ ทหารคนสนิทผู้ไร้ปรานีของเขา และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ยอดนิยมชาวจีน โจเคอฟาน ในบทมิสเตอร์เหม็ง ชาวจีนผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของลูกสาวตัวน้อยของเขา


ยูไนเต็ด โฮม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ภูมิใจเสนอ The Flowers of War
17 พฤษภาคมนี้ที่ APEX SIAM SQUARE เท่านั้น
« Last Edit: May 07, 2012, 11:59:27 AM by happy »

happy on May 07, 2012, 12:05:59 PM





การเดินทางสู่หน้าจอ

        จางอี้โหมว ผู้กำกับชาวจีนผู้ได้รับการยกย่องและได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลออสการ์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากภาพยนตร์ที่มีภาพน่าตื่นตาตื่นใจของเขาที่มีตั้งแต่อีพิคอิงประวัติศาสตร์ไปจนถึงแอ็กชันกังฟูและเรื่องราวดรามา แต่ผลงานทุกเรื่องของเขาก็ล้วนแล้วแต่มีธีมความดีงามและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ท่ามกลางความเป็นปรปักษ์ทั้งสิ้น สำหรับ The Flowers of War เขาได้เนรมิตชีวิตให้กับภาพยนตร์ที่ทะเยอทะยานที่สุดและมีความเป็นสากลที่เข้าถึงได้มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในเมืองภายใต้การโจมตี แต่มันก็ได้นำเสนอเรื่องของสงครามจากมุมมองที่แทบไม่เคยมีคนได้เห็น นั่นคือมุมมองของผู้หญิง เด็กๆ และคนนอกสังคม ที่ตกอยู่ท่ามกลางความโกลาหลของสงคราม ผู้ซึ่งยังคงใช้ชีวิตหรือแม้กระทั่งมีความรักอย่างที่มนุษย์พึงเป็นแม้จะมีความรุนแรงคุกคามรอบด้าน คนเหล่านี้ แม้จะตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นในสงคราม แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดได่อย่างน่าทึ่ง เพื่อท้าทายกับความทารุณด้วยการสร้างช่วงเวลาของความงดงาม ความอ่อนไหวและความสุข
   คริสเตียน เบล เจ้าของรางวัลออสการ์ ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชาวญี่ปุ่นและจีน ในบทจอห์น มิลเลอร์ นักพเนจรชาวอเมริกันปากเปราะ ผู้มาเยือนนานกิงเพื่อแสวงโชคในตอนที่กองทหารผู้รุกรานเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นซากปรักหักพัง ในตอนที่เขามาเยือนโบสถ์ตะวันตกเพื่อฝังร่างของนักบวชผู้ดูแล เขาก็ได้พบกับเด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ ด้วยความเมาไม่ได้สติ เขาได้ทดลองสวมเสื้อคลุมของนักบวชผู้ล่วงลับดู แต่เขากลับพบว่าเสื้อคลุมตัวนั้นมีพลังบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง เขาไม่ได้แค่แสร้งทำตัวเป็นคุณพ่อบาทหลวงเท่านั้น แต่เขายังได้กลายเป็นคุณพ่อไปจริงๆ  เมื่อโบสถ์กลายเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับทั้งเด็กๆ ที่ไร้เดียงสาและผีเสื้อราตรีทั้งหลาย ซึ่งรวมถึงอวี๋โม่ (หนีหนี่) หญิงสาวหัวหน้ากลุ่มผู้มีเสน่ห์ยั่วยวน บัดนี้ ไม่ว่าภัยอันตรายจะรุกคืบเข้ามาคุกคามพวกเขามากแค่ไหน โบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่รวมผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ที่เต็มไปด้วยดนตรี เสียงหัวเราะ ความรักและความกล้าหาญ
   อี้โหมวเองก็เหมือนกับชาวจีนส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์เบื้องต้นของเหตุสังหารหมู่ที่นานกิงในปี 1937 เป็นอย่างดี เขารู้ว่าเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองเมืองแห่งนี้ และเกิดการสู้รบกับทหารและผู้ต่อต้านชาวจีน การโจมตีก็เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการฆ่าล้างสังหาร ที่นำไปสู่การล้มตายของประชาชนนับแสน รวมทั้งการย่ำยีผู้หญิง ผู้ชายและเด็กหลายหมื่นคน แต่เมื่อเขาได้อ่านนิยายเรื่อง Thirteen Flowers of War ของเหยียนเกอ หลิง เขาก็พบว่าตัวเองประทับใจกับสิ่งที่ต่างออกไป ตรงที่เขาเกิดประทับใจกับการที่คนธรรมดา ผู้ไม่ค่อยปรากฏตัวในหน้าประวัติศาสตร์ ได้พบความแข็งแกร่งที่พิเศษสุดจากภายในตัวพวกเขาเอง
   “การสังหารหมู่ที่นานกิงเป็นที่รู้จักดีในหมู่คนจีนครับ” อี้โหมวอธิบาย (จากการสัมภาษณ์ผ่านล่าม) “แทบทุกปี เราจะได้ดูหนังหรือซีรีส์ที่สร้างขึ้นจากเรื่องนี้ แต่ผมชอบนิยายเรื่องนี้ที่สุดเพราะมันเป็นเรื่องราวของความเป็นมนุษย์ เรื่องราวที่มีมุมมองจากผู้หญิง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้มันต่างออกไป ผมตั้งใจที่จะสร้างหนังขึ้นจากเรื่องราวนี้ครับ”
   นักเขียนนิยายเหยียนเกอหลิง ผู้เกิดในเซี่ยงไฮ้และศึกษาด้านการเขียนจากอเมริกา ได้เขียนนิยายของเธอจากเรื่องจริงของทั้งชาวอเมริกันในนานกิง ผู้มีบทบาทสำคัญในการช่วยชีวิตชาวจีนทั้งระหว่างและหลังจากเหตุสังหารหมู่ และเรื่องจริงของโสเภณีในนานกิง ผู้ก้าวเข้ามาเป็นตัวแทนของนักศึกษามหาวิทยาลัยเมื่อพวกเธอกำลังจะถูกบังคับให้เป็น “คู่ขา” ของทหารญี่ปุ่น
   อี้โหมวและมือเขียนบทหลิวเฮงมองว่าเรื่องราวของเกอหลิงเป็นมากกว่าอีพิคย้อนยุค สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสที่จะได้สำรวจการตอบสนองต่ออันตรายจากสงครามตามสัญชาตญาณดิบเถื่อนที่สุดของมนุษย์ ทั้งอารมณ์ขัน ความกล้าหาญ ข้อบกพร่องและความซื่อสัตย์ นอกจากนั้น พวกเขายังมองเห็นโอกาสในการก้าวข้ามมุมมองที่คนทั้งชาติมีต่อนานกิง และโอกาสในการเน้นย้ำถึงธีมสากลที่เป็นแก่นของเรื่อง นั่นคือการที่ผู้คนที่อยู่ภายใต้ภัยคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นของประเทศใด เชื้อชาติใด ในช่วงเวลาใดก็ตาม จะพบว่าการช่วยเหลือคนอื่นกลายเป็นเรื่องสำคัญกว่าการที่ตัวเองมีชีวิตรอด
   “ไม่ว่าสงครามหรือหายนะอะไรจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ สิ่งที่ห้อมล้อมช่วงเวลาเหล่านี้คือชีวิต ความรัก การไถ่บาปและความเป็นมนุษย์ครับ” อี้โหมวบอก “ผมหวังว่าคนจะสัมผัสได้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในเรื่อง แง่มุมที่เป็นมนุษย์ของเรื่องราวนี้สำคัญสำหรับผมยิ่งกว่าแบ็คกราวน์ของเหตุสังหารหมู่ที่นานกิงเสียอีก ธรรมชาติของมนุษย์ ความรักและการเสียสละ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง สำหรับผม เหตุการณ์นี้เป็นเพียงแบ็คกราวน์ทางประวัติศาสตร์ของหนังเรื่องนี้ แต่คำถามที่ยังคงอยู่ในเรื่องราวคือจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ถูกแสดงออกมาอย่างไรแม้กระทั่งในช่วงสงครามน่ะครับ”
   แม้ว่าหัวใจสำคัญของเรื่องคือความสนิทสนมกลมเกลียว แต่สโคปด้านวิชวลของเรื่องกลับกว้างใหญ่ไพศาล อี้โหมวเริ่มจินตนาการถึงโปรเจ็กต์นี้ระหว่างที่เขากำลังทำงานในพิธีเปิดโอลิมปิคเกม 2008 ที่ปักกิ่ง หลายปีให้หลัง หลังจากกระบวนการพัฒนาและออกแบบที่เข้มข้น การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้น ในฐานะงานสร้างภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในจีน และมีมูลค่าการสร้างสูงถึง 100 ล้านเหรียญ
   ในการดูแลงานมหึมาครั้งนี้ อี้โหมวได้นำจางเว่ยผิง คู่หู เพื่อนและผู้อำนวยการสร้างที่เขาไว้ใจมานานเข้ามาร่วมงานด้วย “ผมร่วมงานกับจางอี้โหมวมาหลายปีแล้วและเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มลงทุนในหนังของเขาในปี 1995 เสียอีกครับ” เว่ยผิงพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา “สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจเสมอเกี่ยวกับอี้โหมวคือความจริงใจของเขา ทั้งตอนนั้นและตอนนี้ และระหว่างเราก็มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันอยู่เสมอครับ”
   อย่างไรก็ดี The Flowers of War เป็นงานที่แปลกใหม่สำหรับคนทั้งคู่ “มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ปรากฏอยู่ในหนังทุกเรื่องที่จางอี้โหมวกำกับ” ผู้อำนวยการสร้างตั้งข้อสังเกต “แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีธีมและเรื่องราวที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้มากที่สุด แม้ว่าคุณจะไม่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์จีนหรือเหตุการณ์ที่นานกิง คุณก็จะรู้สึกเชื่อมโยงด้านอารมณ์กับหนังเรื่องนี้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจโปรเจ็กต์นี้ในตอนแรก ศักยภาพของเสน่ห์ในวงกว้างของมันน่ะครับ”
   นอกจากนี้ โปรเจ็กต์นี้ยังเป็นงานหลากสัญชาติอีกด้วย เนื่องจากมีนักแสดงมาจากทั้งอเมริกา จีนและญี่ปุ่น  “ทีมงานหลากสัญชาติได้มารวมตัวกันสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ” อี้โหมวอธิบาย “พวกทีมงานและนักแสดงมารวมตัวกันได้ด้วยความรู้สึกที่พวกเขามีต่อเรื่องราวนี้ เรามีการร่วมมือที่ดำเนินไปได้อย่างราบเรียบ แม้ว่าพวกเราจะใช้ภาษาและมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันออกไปก็ตามทีครับ”


ทีมนักแสดงหลากสัญชาติ

        ตั้งแต่เริ่มต้น จางอี้โหมวก็นึกถึงคริสเตียน เบลในบทสำคัญอย่างจอห์น มิลเลอร์ สัปเหร่อชาวอเมริกัน ผู้ปลอมตัวเป็นบาทหลวงในช่วงเวลาสองสามวันที่เขาติดอยู่ในนานกิง ที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงสงคราม และช่วงเวลานี้เองก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความฝันสำหรับอี้โหมว แต่การทำความฝันนี้กลายเป็นจริงได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย สำหรับบริษัทโปรดักชันสัญชาติจีนอย่างพวกเขา
   “นี่เป็นการร่วมงานกับดาราใหญ่ฮอลลีวูดครั้งแรกในรอบกว่า 100 ปีในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จีนครับ” จางเว่ยผิงบอก “คริสเตียน เบลสามารถนำหนังของเราไปสู่ระดับความสร้างสรรค์ใหม่ผ่านทางการทุ่มเท การทำงานหนักและความเป็นมืออาชีพของเขา เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคนครับ”
   สำหรับเบล แรงดึงดูดที่ทำให้เขาสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่เรื่องราวของ The Flowers of War รวมไปถึงโอกาสทองในการได้ร่วมงานกับผู้ที่เขาเรียกว่า “ปรมาจารย์ผู้กำกับ” และการได้มีประสบการณ์การถ่ายทำแบบจีนจากในประเทศจีนเอง แบบที่น้อยคนนักในฮอลลีวูดจะเคยได้ประสบมาก่อน “ผมรู้ว่ามันจะต้องเป็นกระบวนการที่น่าสนใจมากแน่ๆ” นักแสดงหนุ่มกล่าว “เนื้อหาของเรื่องเป็นสิ่งที่โดนใจใครหลายคน และผมก็คิดว่าผมคงจะไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว แล้วผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเจอกับอะไร ซึ่งก็ทำให้ผมอยากจะแสดงหนังเรื่องนี้ยิ่งขึ้นไปอีกครับ”
   เขากล่าวต่อไปอีกว่า “ผมคิดว่าอี้โหมวได้สร้างหนังที่งดงามมากๆ ที่มีทั้งสาระประโยชน์และตัวละครที่เจิดจรัส เขารักษาสมดุลทั้งหมดนั้นได้ เขาเป็นผู้กำกับชั้นเยี่ยม สำหรับเขา ทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้การที่ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากๆ ครับ”
   ในบางแง่มุม มันเป็นเหมือนงานคืนสู่เหย้าสำหรับเบล ผู้เคยแสดงหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขาในจีน โดยเขาเคยรับบทนำในภาพยนตร์โดยสตีเวน สปีลเบิร์กเรื่อง Empire of the Sun เมื่อตอนเขาอายุได้ 13 ปี นับตั้งแต่นั้นมา เบลก็ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมด้วยการแสดงที่หลากหลาย และบางครั้งก็สั่นคลอนประสาทในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น American Psycho, The Machinist, ภาพยนตร์โดยเวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อกเรื่อง Rescue Dawn, ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง The Prestige, ภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง 3:10 to Yuma และภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Public Enemies ผลงานภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเชิงรายได้มากที่สุดของเบลคือบทซูเปอร์ฮีโรคนดัง แบทแมนในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Batman Begins และซีเควล The Dark Knight เมื่อปีที่แล้ว เบลได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทนักมวยในตำนาน ดิคกี้ เอคลุงด์ในภาพยนตร์โดยเดวิด โอ. รัสเซลเรื่อง The Fighter
   เมื่อเขาเริ่มล้วงลึกลงไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ เบลก็รู้สึกสนใจการเปลี่ยนใจของมิลเลอร์ ซึ่งใจของเขาไม่เพียงแต่เปิดรับโสเภณีคนงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือรอบกายเขาอีกด้วย “จอห์น มิลเลอร์เป็นตัวละครที่เกิดขึ้นจากชาวอเมริกันที่มีชีวิตอยู่จริงหลายคนในนานกิง ปี 1937 แต่เขาก็เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นด้วยครับ” เบลอธิบาย “เขาเป็นคนเร่ร่อนหน่อยๆ เป็นนักแสวงโชค ผู้ชื่นชอบช่วงเวลาดีๆ เขาศึกษาการประกอบพิธีศพมา และหน้าที่นี้เองที่ทำให้เขาต้องเดินทางจากเซี่ยงไฮ้มายังนานกิง แต่แล้วเขากลับต้องติดอยู่ท่ามกลางภัยสงคราม ในความคิดของเขา เขาก็แค่อยากหาเงินได้ซักหน่อยแล้วค่อยหนีไป แต่ทั้งๆ ที่มันค้านกับธรรมชาติของเขาและเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าไม่ควรทำ เขากลับถูกดึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พัวพันเขาไว้ เขาพบว่าเขาต้องเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นคนที่ได้แค่ผ่านเลยไป และไม่มีความผูกพันกับคนเหล่านี้ที่พยายามเอาชีวิตรอด กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง คนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวไปกับหายนะของพวกเขาน่ะครับ”
   เบลประทับใจเป็นพิเศษกับลักษณะที่จางอี้โหมวต้องการเน้นถึงความธรรมดาสามัญของตัวละครในเรื่องแม้ว่าพวกเขาจะได้ทำในสิ่งที่พิเศษสุดในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องก็ตาม “บางที ตัวละครผู้ใหญ่ทุกตัวในเรื่อง ซึ่งรวมถึงตัวละครของผมด้วย เป็นคนที่คุณคิดว่าจะไม่มีวันจะยอมเสี่ยงชีวิตหรอกครับ” เบลตั้งข้อสังเกต “มันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติของวีรบุรุษเลย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวนี้น่าสนใจเหลือเกิน ท้ายที่สุดแล้ว คนกลุ่มนี้ก็เกิดความคิดที่กล้าบ้าบิ่นสุดๆ เพื่อปกป้องชีวิตที่ไร้เดียงสาและเปราะบางที่สุดในบรรดาพวกเขา ผมพบว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจและมีความเป็นมนุษย์มากๆ ครับ”
   พออยู่ในกองถ่าย เบลก็ต้องหาวิธีที่จะสร้างให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับทีมนักแสดง ผู้ซึ่งไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับเขา แต่เขาก็บอกว่า นี่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาด้วย “แม้ว่าเราจะต่างกัน เราก็สื่อสารกันได้อย่างราบรื่นครับ” เขาบอก “ผมทึ่งกับเรื่องนั้นจริงๆ รวมทั้งเรื่องที่ว่าเราสามารถใช้คำเพียงไม่กี่คำเพื่อทำความเข้าใจใครซักคนและทำความรู้จักและชื่นชอบพวกเขาได้น่ะครับ”
   อี้โหมวเองรู้สึกประทับใจกับความเต็มใจของเบลที่จะกระโจนเข้าใส่สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง “คุณลองจินตนาการถึงการอยู่ในกองถ่ายที่นานกิง ในต่างประเทศ ห้อมล้อมด้วยคนที่พูดภาษาจีนหลายร้อยคนดูสิครับ” ผู้กำกับบอก “แต่คริสเตียนก็ทุ่มเทให้กับการทำงานและมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก ผมได้เรียนรู้จากเขามากมายและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเขา เขาจริงจังเกี่ยวกับทุกรายละเอียดของตัวละครของเขาและเขาก็แค่อยากจะเข้าใจตัวละครตัวนี้ การแสดงของเขาทำให้จอห์น มิลเลอร์มีชีวิตชีวาขึ้นมาครับ”
   ไม่ว่าจะทำงานโดยที่มีหรือไม่มีล่าม เบลและอี้โหมวก็สามารถก้าวข้ามกำแพงภาษาระหว่างกันและพัฒนาการร่วมมือที่พิเศษสุดขึ้นมาได้ “เขาให้พื้นที่ในการอิมโพรไวส์กับผม” เบลบอก “แต่ไม่ใช่อิมโพรไวส์แบบไร้ขอบเขตนะครับ เราใช้การอิมโพรไวส์ภายในโครงสร้างของบางฉาก เขาได้ให้อิสระกับผมที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ผมชอบการให้ตัวเลือกกับผู้กำกับและอี้โหมวก็ยินดีกับเรื่องนั้น บางตัวเลือกก็เวิร์ค และบางอย่างก็ไม่เวิร์ค ซึ่งอี้โหมวก็จะบอกว่า 'อืมม์ ไม่มากขนาดนั้น...' ส่วนบางอย่างน่ะหรือ 'เยี่ยมเลย! ผมชอบนะ! เอามันใส่มาด้วยนะ!' น่ะครับ”
   นอกจากนี้ อี้โหมวยังให้การบ้านเบลมากมาย เพื่อช่วยให้นักแสดงหนุ่มเข้าใจถึงช่วงเวลาและสถานที่ที่ชาวตะวันตกมีความคุ้นเคยน้อยกว่าชาวเอเชีย “ก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ ผมเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเหตุสังหารหมู่ที่นานกิงมาบ้าง แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องมันมากซักเท่าไหร่ครับ” เบลให้ความเห็น “อี้โหมวหาหนังสือและข้อมูลเกี่ยวกับยุคสมัยนั้นและทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาให้ผมอ่านเป็นตั้งๆ มันมีอะไรต้องเรียนรู้มหาศาลเลยครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างจางเว่ยผิงกล่าวสรุปถึงความมุ่งมั่นที่เบลมีต่อโปรเจ็กต์นี้ว่า “คริสเตียน เบลเป็นดาราใหญ่ แต่เขากลับไม่มีอีโก้เลย เขาทุ่มเทให้กับความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ และนั่นคือสิ่งสำคัญครับ ในการถ่ายทำจริงๆ บางครั้ง เขาก็จะให้ตัวเลือกกับผู้กำกับ บางครั้ง ฉากหนึ่งก็จะมีการตีความถึงสามแบบ เราไม่เคยเจอเรื่องแบบนั้นมาก่อน มันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึงแต่ก็น่ายินดีสำหรับจางอี้โหมว และมันก็นำความสดใหม่ที่สร้างสรรค์มาสู่หนังเรื่องนี้ครับ”
   ผู้ที่รับบทสาวคนรักของเบล อวี๋โม่คือหนีหนี่ นักแสดงหน้าใหม่ นักศึกษาผู้ถูกคัดเลือกโดยทีมผู้สสร้างหลังจากการค้นหายาวนาน “ตอนแรก ทีมงานมาที่โรงเรียนของฉัน” หนีผู้ถูกขอให้แพ็คกระเป๋าเพื่อมาออดิชันกับจางอี้โหมวในเซี่ยงไฮ้ อธิบาย และไม่นานนัก มันก็นำไปสู่การพบรักอย่างไม่คาดฝันกับจอห์น มิลเลอร์ของเธอในบทอวี๋โม่
   “ฉันคุ้นเคยดีกับหนังของจางอี้โหมวอย่าง House of Flying Daggers, Hero and Curse of the Golden Flower . . .แล้วฉันก็ได้พบเขา” นักแสดงหญิงเล่า “เราแค่คุยกัน อาจจะแค่ซักหนึ่งชั่วโมง เราคุยกันเรื่องครอบครัวของฉัน การเรียนของฉัน รวมถึงว่าฉันเป็นคนยังไงด้วย เขาใจดีกับฉันอย่างเหลือเชื่อ แน่นอนว่าเรื่องเซอร์ไพรส์คือการพบว่าฉันจะได้เล่นหนังเรื่องนี้ประกบคริสเตียน เบล ฉันทึ่งกับโอกาสนี้มากเพราะฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้เป็นนักแสดงน่ะค่ะ”
   โสเภณีและเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกคัดเลือกในแบบเดียวกัน โดยจางอี้โหมวจะคัดเลือกแต่ผู้ที่ไม่ใช่นักแสดง และมีความเป็นธรรมชาติ “เราอยากจะนำเสนอความจริงและการค้นพบให้กับผู้ชมครับ” เว่ยผิง ผู้ช่วยเหลือในการดำเนินการคัดเลือกนักแสดงในจีน กล่าวอธิบาย
   เมื่อได้รับเลือกแล้ว นักแสดงหญิงผู้รับบทโสเภณีก็เตรียมตัวสำหรับบทของพวกเธออย่างขยันขันแข็ง ด้วยการศึกษาการเขียนตัวอักษร การวาดรูปและดนตรี รวมทั้งการเดินในชุดกี่เพ้ารัดรูปด้วย
   สำหรับนักเรียนหญิงที่ยังอายุน้อย ในตอนแรก เบลกังวลถึงผลกระทบของฉากที่เคร่งเครียดที่สุดของเรื่องจะมีต่อพวกเธอ “สิ่งที่ผมลำบากใจที่สุดคือการเห็นเด็กผู้หญิงที่น่าสงสารพวกนั้นร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดในช่วงสองสามวันแรก” เบลพูดถึงฉากที่เด็กๆ ถูกทหารไล่ล่าอย่างไม่ลดละ “มันทำให้ผมแทบร้องไห้ ผมมองดูพวกเธอที่อายุแค่ 12-13 ปีเอง แล้วผมก็คิดว่า ต้องแย่แน่ๆ แต่พอซินยี่ [นักแสดงหญิงหน้าใหม่ จางซินยี่ ผู้รับบท ชู หัวหน้านักเรียนหญิง] ขยิบตาให้ผมและหัวเราะหลังจบฉาก ผมก็เห็นว่าเธอสามารถปิดสวิทช์การแสดงได้ มันทำให้ผมโล่งอกและผมก็ทึ่งด้วยเพราะขนาดผมยังทำแบบนั้นไม่ได้เลย ท้ายที่สุด เด็กพวกนี้ก็ทำให้ผมต้องอึ้งเพราะพวกเขาเป็นนักแสดงที่ดีกว่าน่ะครับ”
   “คริสเตียนเข้ากับเด็กได้ดีมากๆ ครับ” อี้โหมว ผู้ที่ไม่เพียงแต่คอยดูแลเพื่อทำให้แน่ใจว่านักแสดงรุ่นเยาว์จะมีประสบการณ์แง่บวกในกองถ่าย แต่ยังดึงเอาการแสดงที่กระตุ้นเร้าอารมณ์ที่สุดของเรื่องจากพวกเขาได้ด้วย กล่าว “เขาประทับใจกับการแสดงของเด็กพวกนี้ ซึ่งก็ช่วยยกระดับการแสดงของเขาด้วยเช่นกัน”
   อี้โหมวตั้งข้อสังเกตว่า เขาชื่นชอบการทำงานร่วมกับเด็กๆ เป็นพิเศษ ซึ่งก็ก่อให้เกิดความสดชื่น มีชีวิตชีวา ที่เขาสามารถถ่ายทอดลงหน้าจอได้อย่างงดงาม “สิ่งที่ผมพบคือเด็กๆ พวกนี้ซื่อสัตย์และจริงใจเสมอ” เขาตั้งข้อสังเกต “พอคุณบอกพวกเขาว่าควรจะแสดงอย่างไร พวกเขาก็จะแสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา นั่นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าสำหรับผมในหนังเรื่องนี้ครับ”
   นักแสดงสมทบส่วนที่เหลือของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากทั้งญี่ปุ่นและทั่วแผ่นดินจีน ซึ่งรวมถึงถงต้าเหว่ย ผู้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มระดับชั้นนำของจีน ในบทนายพลลี วีรบุรุษทหารผู้เสียสละตัวเองและพิธีกรรายการทอล์คโชว์และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ยอดนิยม โจเคอฟาน ในบทมิสเตอร์เหม็ง ชาวเมืองที่พยายามรักษาชีวิตของลูกสาวเขาเอาไว้ จากฟากฝั่งญี่ปุ่น อี้โหมวได้เลือกอัตสุโระ วาตาเบ้ (A Quiet Life / Shizukana Seikatsu) มารับบทผู้พันฮาเซกาวะ ผู้บัญชาการกองกำลังญี่ปุ่นในนานกิงและชิเงโอะ โคบายาชิ (Todai) ในบทร้อยโทคาโต้ มือขวาผู้ไร้ปรานีของเขา
   การได้ร่วมงานกับทีมนักแสดงที่หลากหลายเช่นนี้ทำให้การทำงานของอี้โหมวมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แม้ว่าตัวผู้กำกับเองจะไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม “มันไม่เชิงว่าเหมือนการถ่ายทำหนังเรื่องอื่นๆ หรอกนะครับ” อี้โหมวบอก “ผมต้องตะโกนสั่งงานเป็นภาษาอังกฤษตอนถ่ายทำ ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม แม้ว่าผมจะไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ แต่ผมก็เคยมีประสบการณ์การร่วมงานกับต่างชาติมาบ้างในงานโอลิมปิค ผมพบว่าแม้ว่าคนชาติต่างๆ จะมีนิสัยและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน แต่ความเข้าใจที่เรามีร่วมกันต่อหนังเรื่องนี้และความปรารถนาที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่น่าติดตามคือสิ่งที่โยงใยพวกเราเป็นทีมเดียวกันครับ”

happy on May 07, 2012, 12:13:14 PM










การถ่ายทำสุดอลังการ

       เมื่อทีมนักแสดงจากทั่วทุกมุมของประเทศจีนและทั่วโลกมาถึง การถ่ายทำ The Flowers of War ก็เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 10 มกราคม ปี 2011 ในนานกิง ขณะที่ทีมผู้สร้างได้เริ่มเดินหน้าทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงเมืองทันสมัยแห่งนี้ให้กลายเป็นอดีตเมืองหลวงที่ถูกเพลิงสงครามเผาผลาญในปี 1937 แม้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นภายในกำแพงโบสถ์ ที่ซึ่งจอห์น มิลเลอร์ได้รวมกลุ่มอยู่กับเด็กๆ และโสเภณี จางอี้โหมวก็อยากจะถ่ายทอดความจริงของสิ่งที่ล้อมรอบตัวพวกเขา ในฟุตเตจที่ทั้งดิบเถื่อนและพลิ้วไหว
   ในการนี้ เขาและผู้อำนวยการสร้างจางเว่ยผิงได้นำทีมงานจากต่างประเทศ ซึ่งหลายคนเคยร่วมงานกับพวกเขามาก่อนในภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของพวกเขา ทีมงานชุดนี้รวมถึงผู้กำกับภาพผู้เคยร่วมงานกับอี้โหมวมแล้วหกครั้ง จ้าวเสี่ยวติง, ผู้ออกแบบเสียง เถาจิง (ร่วมงานกับเขามาแล้วเก้าเรื่อง), มือลำดับภาพเหม็งเป่ยซง (ร่วมงานกันครั้งที่สาม) และผู้จัดการการถ่ายทำ ฮวงซินหมิง ผู้ทำงานอย่างสม่ำเสมอในหลายตำแหน่งกับทีมงานของอี้โหมวตลอดระยะวลายี่สิบปี แต่ทีมงานสำคัญคนอื่นๆ ก็มาจากทั่วโลก
   “นี่เป็นทีมงานนานาชาติที่มาจากหลากหลายประเทศจริงๆ ครับ ทั้งอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวันและฮ่องกง” ซินหมิงตั้งข้อสังเกต “เรามีศิลปินและช่างเทคนิคที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมสเปเชียล เอฟเฟ็กต์จากอังกฤษ ที่นำทีมโดยจอส วิลเลียมส์ (The Bourne Ultimatum, The Pacific) และทีมศิลป์ของเราที่นำทีมโดยผู้ออกแบบงานสร้างชาวญี่ปุ่นของเรา โยเฮย์ ทาเนดะ (Kill Bill: Vol.1) ครับ”
   ทาเนดะต้องเผชิญหน้ากับงานที่หนักหน่วงแต่เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจที่จะร่วมงานกับอี้โหมว “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำงานกับจางอี้โหมวครับ” ทาเนดะ ผู้ซึ่งเคยพบผู้กำกับผู้นี้เมื่อประมาณเก้าปีก่อนบอก “หนังของเขา การใช้ภาพและศิลปะของเขามีความโดดเด่นจริงๆ ผมรู้สึกโชคดีมากๆ ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ร่วมงานกับเขาในหนังอย่าง The Flowers of War น่ะครับ”
   ผู้ออกแบบงานสร้างเริ่มต้นการทำงานด้วยการเดินทางไปนานกิงเป็นการส่วนตัว “ผมต้องไปเห็นมันด้วยตัวเองครับ” เขาอธิบาย “ผมอยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองนี้ และประวัติศาสตร์ของมันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของโบสถ์ในเรื่องตอนนั้นน่ะครับ”
   ทาเนดะได้จำลองวิหารซึ่งเป็นฉากสำคัญของเรื่อง ขึ้นจากโบสถ์ยุคนั้นที่เขาได้พบในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้และฮอกไกโด รวมถึงภาพถ่ายเก่าๆ ที่อี้โหมวเอาให้เขาดู
   “โบสถ์ในเอเชียมีลักษณะที่แตกต่างออกไปครับ” ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว “ผมอยากจะสร้างความรู้สึกของปริศนาและบรรยากาศที่จะแตกต่างจากที่คุณจะรู้สึกในโบสถ์ตะวันตก ผมจินตนาการถึงโบสถ์ที่เหมาะที่สุด ด้วยการรวมเอาความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดจากโบสถ์หลายแห่งที่ผมเคยเห็นมาน่ะครับ”
   ตลอดการทำงาน ทาเนดะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับอี้โหมว ผู้ตื่นเต้นที่ได้เห็นโลกในภาพยนตร์เรื่องนี้มีชีวิตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ “ตอนที่เรามาถึงสถานที่ตั้งของโบสถ์ มันเป็นแค่ผืนดินว่างเปล่าครับ” ผู้กำกับเล่า “แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ ความแตกต่างอย่างเดียวคือมันมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อรองรับการถ่ายทำภายในน่ะครับ”
   เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ซับซ้อนระหว่างญี่ปุ่นและจีน ทาเนดะก็ตั้งใจที่จะถ่ายทอดความจริงออกมาอย่างถึงที่สุด “แม้ว่าศิลปะจะเป็นการนำเสนอจินตนาการแทนที่จะป็นการจำลองความจริง แต่เรื่องราวนี้ก็ทับซ้อนกับประวัติศาสตร์และแบ็คกราวน์ที่แท้จริงของนานกิง” เขาอธิบาย “ด้วยความที่ผมเป็นคนญี่ปุ่น ผมก็เลยอาจมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเรื่องนี้มากกว่า มันซับซ้อนครับ ความเจ็บปวดได้กระตุ้นความปรารถนาที่จะสร้างงานนี้ขึ้นมา ระหว่างที่เราเตรียมงานกัน ผมได้อยู่ในนานกิงในวันครบรอบเหตุสังหารหมู่พอดี ในวันนั้น มีการส่งสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังไปทั่วทั้งเมือง พวกเขาทำแบบนี้ทุกปีในวันครบรอบเหตุสังหารหมู่ที่นานกิง ตอนนั้นเองที่ผมเข้าใจว่าเมืองในปัจจุบันนี้ยังคงเชื่อมโยงกับอดีตของมันอย่างไรครับ”
   ภายใต้การดูแลของทาเนดะ ฉากของ The Flowers of War ถูกสร้างขึ้นมาภายในระยะเวลา 12 เดือน “ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นใหม่หมดครับ” ทาเนดะตั้งข้อสังเกต “แต่มันก็มีสิ่งที่คาดไม่ถึงหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ฝนทำให้งานล่าช้าออกไปเพราะถนนกลายเป็นแม่น้ำเล็กๆ โชคดีที่เราสามารถทำงานเสร็จได้ทันเวลาภายในงบที่ตั้งไว้ มันเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของทีมงานสร้าง ทีมศิลป์ ทีมอุปกรณ์ประกอบฉาก ทุกคนเลยครับ”
   ในด้านการถ่ายทำ อี้โหมวได้กลับไปร่วมงานกับจ้าวเสี่ยวติง ผู้เคยร่วมงานกับอี้โหมวมาก่อนในภาพยนตร์หกเรื่องในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เสี่ยวติงตั้งข้อสังเกตว่าภาพวิชวลที่งดงาม ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของอี้โหมวปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้กระทั่งในซีเควนซ์สงครามที่ดุเดือดของเรื่องก็ตาม ซึ่งซีเควนซ์เหล่านี้ก็ถูกทำให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นด้วยงานสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ของจอส วิลเลียมส์
   “แม้ว่านี่จะเป็นหนังธีมสงคราม จางอี้โหมวก็ได้นำมุมมองและวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นของเขาเข้ามา” เสี่ยวติงบอก “เขานำเสนอสงครามผ่านสายตาและมุมมองของคนกลุ่มนี้ ภาพพวกนี้สำคัญตรงที่มันจะสะท้อนสงครามผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของตัวละครเหล่านี้และในขณะเดียวกัน ก็ได้จำลองบรรยากาศทั้งหมดในเมืองนั้นในขณะนั้นครับ”
   อี้โหมวได้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของเสี่ยวติงอย่างยิ่ง “เดิมทีอี้โหมวเองก็เป็นผู้กำกับภาพครับ” เสี่ยวติงอธิบาย “และหนังทุกเรื่องของเขาก็โด่งดังจากเรื่องสีสันและสไตล์วิชวลที่ชัดเจน ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการถ่ายทำ เขาก็มีวิธีการสร้างหนังของเขาที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในการทำให้ได้ภาพแบบนั้น เขาก็อยากให้พวกเราเสนอแนะความคิดเห็นของเราออกมา ซึ่งเขาก็เต็มใจที่จะฟังไอเดียของทุกคนเสมอครับ”
   “จางมีไอเดียที่ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร แต่เขาก็มักจะถามความคิดเห็นคนอื่นเสมอ” ผู้ออกแบบเสียงเถาจิง ผู้เคยร่วมงานกับอี้โหมวมาตั้งแต่ทั้งคู่เป็นนักศึกษาที่ปักกิ่ง ฟิล์ม อคาเดมี ในช่วงปลายยุค 70s กล่าว “เขาโด่งดังจากภาพวิชวลของเขา แต่เขาก็แคร์เรื่องเสียงและดนตรีมากพอๆ กัน แม้ว่าหนังของเขาจะเป็นที่รู้จักจากการใช้ภาพในเรื่อง แต่เสียงก็เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันสำหรับความรู้สึกโดยรวมครับ”
   ดนตรีประกอบภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญสำหรับอี้โหมว ผู้ได้ร่วมงานกับเฉินชีกัง ผู้โด่งดังไปทั่วโลกจากการแต่งเพลงธีมพิธีเปิดโอลิมปิคปี 2008 ในการกระตุ้นเร้าอารมณ์ที่ดูดดื่มและแผ่วพลิ้วจากเพลงที่แต่งโดยเฉินชีกัง และเสริมกลิ่นไอนานาชาติเข้าไปในเรื่อง พวกเขาได้ร่วมงานกับโจชัว เบล นักไวโอลินอัจฉริยะชาวอเมริกัน ผู้กลายเป็นหนึ่งในศิลปินคลาสสิกที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เสียงโซโลไวโอลินของเขาได้สะท้อนถึงความงดงามตราตรึงใจที่พบในความสัมพันธ์ที่คาดไม่ถึง ที่เกิดขึ้นภายในโบสถ์แห่งนั้น
   สำหรับคริสเตียน เบล การได้เห็นอี้โหมวควบคุมทุกแง่มุมในการทำงานที่ยิ่งใหญ่นี้ และได้เห็นทีมงานตอบสนองอย่างสร้างสรรค์เป็นเรื่องยอดเยี่ยมมาก “ในตอนที่คุณได้ร่วมงานกับคนที่มุ่งมั่นขนาดนี้ มันก็จะทำให้คุณรู้สึกแบบเดียวกันครับ” เขากล่าว “เราทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน และพวกเขาก็ได้สร้างฉากขนาดใหญ่ ถึงขั้นสร้างซาวน์สเตจแบบมินิขึ้นมาสำหรับหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วยซ้ำไป ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน มันเป็นงานหนักที่ไม่หยุดนิ่ง แต่เราก็มีอารมณ์ขันและกำลังใจที่ดีในงานนั้นเช่นกันครับ”
   ในขณะที่การถ่ายทำดำเนินไปในช่วงเวลาหกเดือน ทีมงานและนักแสดงได้รับกำลังใจด้วยการนึกไปถึงชาวเมืองนานกิง เจ้าของเรื่องราวใน The Flowers of War “เรื่องราวนี้เป็นเรื่องราวที่มีความหมายอย่างยิ่งและสะท้อนถึงหลายๆ อย่างในจีน และผมก็หวังว่าหนังของเราจะช่วยนำเสนอเรื่องราวนี้สู่โลกในวงกว้างครับ” เบลกล่าว
   ผู้อำนวยการสร้างเว่ยผิงกล่าวสรุปว่า “ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ถูกใจแค่ผู้ชมในจีนเท่านั้นแต่ยังรวมถึงผู้ชมในอเมริกาและทั่วโลกด้วย ผมเชื่อว่าถ้าหนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวที่ดีแล้วล่ะก็ มันก็จะสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและกระทบใจพวกเขาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตามน่ะครับ”


เหตุการณ์นานกิงในปี 1937

       เรื่องราวความรักใน The Flowers of War ดำเนินไปท่ามกลางเหตุการณ์ที่แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนักในดินแดนตะวันตก แต่ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างสอนใจในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับผลกระทบที่ประชาชนได้รับในยุคสงคราม แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในนานกิงเมื่อปี 1937 จะยังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและอารมณ์จากทั้งฝั่งของจีนและญี่ปุ่น มีสิ่งหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ต่างเห็นพ้องกันนั่นคือสภาพเมืองที่พังพินาศ พลเมืองหลายแสนคนจากทุกช่วงอายุถูกฆ่าตายและผู้หญิงและเด็กหลายพันคนต้องทุกข์ทรมานจากการโดนข่มขืนและกระทำทารุณ
   แต่ใน The Flowers of War จางอี้โหมวได้หันเหความสนใจจากสาเหตุและอคติหลายฝ่ายในสงคราม ไปสู่วีรชนผู้ไร้คนเหลียวแลในเมืองแห่งนี้ กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ยังคงใช้ชีวิต มีความรักและช่วยเหลือกันและกันแม้กระทั่งในระหว่างที่พวกเขาถูกทำร้าย
   เหตุสังหารหมู่นานกิงเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 1937 ในจุดเริ่มต้นของสิ่งที่กลายเป็นที่รู้จักในชื่อของสงครามจีน-ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสงครามเอเชียที่รุนแรงที่สุดในศตวรรษที่ 20 ในตอนนั้น จีนและญี่ปุ่นได้ทำสงครามแย่งชิงพื้นที่มานานหลายปี ก่อนที่ในฤดูร้อนปี 1937 ญี่ปุ่นจะได้เปิดฉากรุกรานเซี่ยงไฮ้อย่างเต็มกำลัง กองทัพญี่ปุ่นได้เจอกับการต่อต้านอย่างหนักในเซี่ยงไฮ้ ทำให้กองกำลังของพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้ในตอนที่พวกเขาเคลื่อนพลเดินหน้าไปยังเมืองหลวงในนานกิงช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศที่เข้าครอบงำเมืองแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยลางหายนะ
   หกสัปดาห์ที่ตามมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อของ “การย่ำยีนานกิง” ตามรายงานการพบเห็นการรุมข่มขืน การสังหารพลเมืองและการฝังศพหมู่ ที่เกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง ศัลยแพทย์ชาวอเมริกัน โรเบิร์ต โอ. วิลสัน ผู้ซึ่งทำงานในนานกิงขณะนั้น ได้สรุปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นในจดหมายที่เขาเขียนถึงครอบครัวเขาว่า “การสังหารหมู่ชาวเมืองเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัว ผมสามารถเขียนต่อไปได้เป็นหน้าๆ ถึงกรณีการข่มขืนและการกระทำทารุณ อย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น”
   แต่แม้กระทั่งการใช้ชีวิตธรรมดาในนานกิงจะเป็นไปไม่ได้ ก็ยังมีวีรชนไร้นามมากมายที่ยืนหยัดเพื่อชาวเมือง ท่ามกลางอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา ขณะที่ชาวเมืองพยายามหนี ชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่นั่นในฐานะมิชชันนารี นักธุรกิจและนักข่าวตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อก่อตั้งค่ายผู้อพยพ รวมทั้งได้บันทึกถึงความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น มิชชันนารีชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ชื่อจอห์น มากี้ ได้มีส่วนร่วมในการเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือทหารและชาวจีนมากถึง 200,000 คนและเขายังได้แอบลักลอกนำภาพยนตร์ 16 ม.ม. สิบสองม้วนของเหตุสังหารที่เกิดขึ้นไปยังโลกตะวันตก ซึ่งเผยให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้น มีรายงานว่า ไมเนอร์ เซียร์ เบทส์ ชาวอเมริกันที่ทำงานเป็นอาจารย์ในนานกิง ผู้ช่วยเหลือชาวเมืองที่ยากจนที่สุดจำนวนมากให้หนีไปยังที่ปลอดภัย ได้กระชากทหารออกจากร่างของหญิงสาวที่กำลังจะถูกข่มขืนด้วยตัวเอง และมินนี โวทริน มิชชันนารีชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง ก็ได้เสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องนักเรียนหญิงหลายพันคนที่ตกอยู่ท่ามกลางอันตรายร้ายแรง
   ในปี 1938 เมื่อค่ายอพยพนานกิงปิดตัวลง มีการรายงานว่าการร่วมมือในท้องถิ่นระหว่างชาวตะวันตกและชาวเมืองสามารถช่วยชีวิตผู้คนที่อาจเสียชีวิตได้ถึง 300,000 ชีวิต
   ปัจจุบันในนานกิง ภูมิประเทศเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากโลกที่เราได้เห็นใน The Flowers of War ไปแล้ว ในปี 2011 เมืองแห่งนี้กลายเป็นนครหลวงสมัยใหม่ ที่จังหวะชีวิตดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เมืองนี้มีประชากรมากถึง 5 ล้านคน และเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่ให้ความสำคัญด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมไฮเทค แต่ในท้องถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ที่ผลิบานจากซากปรักหักพังในปี 1937 ยังคงมีเงาอดีตที่ผันผ่านไปหลงเหลืออยู่ นั่นคือจิตวิญญาณของผู้ที่ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาอนาคตของเมืองของพวกเขาให้คงอยู่ต่อไป