happy on April 16, 2012, 04:32:38 PM

จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส 

ภาพยนตร์เรื่อง             BEL AMI

ชื่อภาษาไทย      เบลอามี่ ผู้ชายไม่ขายรัก       

ภาพยนตร์แนว      ดราม่า

จากประเทศ      อังกฤษ

กำหนดฉาย      10 พฤษภาคม 2555

ณ โรงภาพยนตร์      ในโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับ          Declan Donnellan (ดีแคลน ดอนเนลลัน)และ
Nick Ormerod (นิค ออร์มีร็อด)

อำนวยการสร้าง      Oberto Pasolini  (อูเบอร์โต้ พาโซลินี)

นักแสดง   Robert Pattinson (โรเบิร์ต แพททินสัน) จากภาพยนตร์ The Twiligt Saga,  Love & Distrust, Remember Me, New Moon, Twilight
Uma Thurman (อูมา ธอร์แมน) จากภาพยนตร์ Smash, Ceremony, Percy Jackson & the Olympians
Kristin Scott Thomas (คริสติน สก็อต โธมัส) จากภาพยนตร์ The Woman in the Fifth, Salmon Fishing in the Yemen, Contre toi, Sarah’s Key
Christina Ricci (คริสตินา ริชชี) จากภาพยนตร์ Bucky Larson, Californai Romanza ,War Flowers, Alpha and Omege
Colm Meaney (คอล์ม มีนนีย์) จากภาพยนตร์ Hell on Wheels, Soldiers of Fortune, The Perfect Stranger, The Flight of the Swan, The hot Potato
   Philip Glenister ( ฟิลิป เกลนิสเตอร์) จากภาพยนตร์ Mad Dogs, Treasure Island, Hidder, Ashes to Ashes, You Will Meet a Tall Dark Stranger
                  
จุดเด่น   Bel Ami เป็นเรื่องราวของ Georges Duroy (จอร์จ ดูรอย) ผู้เดินทางผ่านปารีสในยุค 1890s ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวชายหนุ่มรูปงามที่เลือดเย็น ผู้พบว่าเขามีสิ่งหนึ่งในตัวที่สามารถขายได้ จากสลัมที่เต็มไปด้วยแมลงสาบไปสู่ห้องรับรองเลิศหรู ด้วยการใช้ไหวพริบและเสน่ห์เย้ายวนใจในการไต่เต้าจากความยากจนสู่ความร่ำรวย เขาใช้เซ็กส์และความหลงเสน่ห์ที่พวกเธอมีต่อเขาในการไต่เต้าไปสู่สถานะที่สูงกว่า มันเป็นโลกที่ไร้ปรานีและท้ายที่สุดแล้ว เขาก็กอบโกยอะไรได้มากมาย





เรื่องย่อ

               จอร์จเพิ่งกลับจากการเข้าประจำการกองทัพฝรั่งเศสในอัลจีเรีย และตอนนี้ เขาก็กลับมายังปารีสเพื่อพักฟื้น ในตอนที่เขามีเงินเหลือติดตัวเพียงไม่กี่ฟรังค์ เขาก็บังเอิญเจอกับฟอเรสเทียร์ ชายอายุมากกว่าที่เขารู้จักในอัลจีเรีย ฟอเรสเทียร์บอกเขาว่า ปารีสเต็มไปด้วยเงินทองและโอกาส พลางโอ้อวดว่าเขาเป็นบรรณาธิการสายการเมืองที่ลา วี ฟรังเซส์ หนังสือพิมพ์ที่มีเป้าหมายในการล้มรัฐบาล และเขาก็ได้เชิญจอร์จไปดินเนอร์กับเขาที่บ้านด้วย
   อาหารค่ำมื้อนั้นมีผู้เข้าร่วมเป็นบุคคลระดับแถวหน้าในสังคมของปารีส ฟอเรสเทียร์, แมดเดอลีน ภรรยาคนสวยของเขาและรูเซ็ท บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ ได้พูดอย่างดุเดือดเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในแอฟริกาเหนือ ที่ซึ่งรัฐบาลกำลังวางแผนที่จะเข้าโมร็อกโก แมดเดอลีนบอกว่า หนังสือพิมพ์ควรจะตีพิมพ์ไดอารีของจอร์จในฐานะทหารหนุ่ม เธอเสนอตัวช่วยจอร์จ แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็นผู้เขียนบันทึกเรื่องราวที่แสนสะเทือนใจนั้นด้วยตัวเอง เธอได้แนะนำให้จอร์จไปหาเพื่อนสองคนของเธอ นั่นคือมาดามรูเซ็ท ผู้เคร่งขรึมและโคลทิลด์ สาวทรงเสน่ห์ผู้อ่อนหวาน เธอแนะนำเขาว่าคนที่สำคัญที่สุดในปารีสไม่ใช่พวกผู้ชายหากแต่เป็นภรรยาของพวกเขา แมดเดอลีนส่งจอร์จไปที่อื่นในตอนที่คอมท์ เดอ โวเดร็ค วัยชราได้มาเยี่ยมเธอตามที่มาเยี่ยมประจำทุกสัปดาห์
   ที่ลา วี ฟรังเซส์ จอร์จได้พบว่าไดอารีนั้นประสบความสำเร็จและรูเซ็ทก็ได้ให้ค่าจ้างกับเขา จอร์จไปเยี่ยมโคลทิลด์ ลูกสาวของเธอชื่นชอบจอร์จและเรียกเขาว่า ‘เบล อามี’ ชื่อที่เป็นที่ติดอกติดใจของสาวสังคมทั้งหลาย จอร์จและโคลทิลด์เริ่มสานสายสัมพันธ์รักที่ผิดศีลธรรม แต่หลังจากมีความสุขด้วยกัน เธอกลับเป็นฝ่ายถอนตัวออกมา
   จอร์จรู้สึกว่าโชคของเขากำลังจะเหือดแห้งไป ฟอเรสเทียร์เริ่มหมดความอดทนกับชายหนุ่มคนนี้ เขาไม่สามารถเขียนเรื่องได้หากไม่ได้แมดเดอลีนช่วยเหลือและแม้ว่าเพื่อนร่วมงานจะกระซิบบอกว่าภรรยาของฟอเรสเทียร์เขียนทุกอย่างให้กับเขา ฟอเรสเทียร์ก็ไล่จอร์จออก ในที่สุด จอร์จก็มีเหตุผลที่จะไปเยี่ยมมาดามรูเซ็ท ภรรยาของอดีตบรรณาธิการของเขา เธอหลงเสน่ห์ของเขาอย่างง่ายดาย และเขาก็ได้รับการบรรจุเข้าทำงานในหนังสือพิมพ์อีกครั้งในฐานะหัวหน้าข่าวก็อสซิป
   เมื่อได้กลับเข้าสู่แวดวงสังคมอีกครั้ง เขาก็ได้กลับมาเจอกับโคลทิลด์ ผู้เล่าให้เขาฟังว่าฟอเรสเทียร์กำลังจะตายและแมดเดอลีนได้พาเขาไปยังริมทะเล จอร์จเล็งเห็นถึงโอกาสอีกครั้งหนึ่งและตามพวกเขาไป เขาอยู่เคียงข้างแมดเดอลีน จนกระทั่งสามีของเธอได้เสียชีวิตและมีพิธีฝังศพเรียบร้อย
   จอร์จแต่งงานกับแมดเดอลีน ตอนนี้ เมื่อแมดเดอลีนเขียนงานให้กับเขาอีกครั้ง จอร์จก็ได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นบรรณาธิการสายการเมือง แมดเดอลีนทุ่มเทให้กับงานและเรื่องราวที่จอร์จตีพิมพ์ก็มีบทบาทสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อการโค่นล้มรัฐบาล รูเซ็ทได้จัดการเลี้ยงหรูเพื่อเฉลิมฉลองสิ่งที่เขามองว่าเป็นชัยชนะทางการเมืองของเขา เมื่อจอร์จพยายามจะเข้ามามีตำแหน่งในการปฏิวัติครั้งนี้ด้วย รูเซ็ทก็ยั่วโมโหเขา ด้วยการบอกกับจอร์จว่า แมดเดอลีนอยู่ภายใต้อำนาจของคอมท์ เดอ โวเดรค อย่างสิ้นเชิง
   เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอหลงเสน่ห์เขา และเพื่อตอบโต้เจ้านายของเขา จอร์จเลยหมายปองมาดามรูเซ็ท เธอตกเป็นเหยื่อเขาอย่างง่ายดายและเขาก็หว่านเสน่ห์กับเธอระหว่างที่เธอสวดภาวนาอยู่ในโบสถ์ พวกเขาเริ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างลับๆ ระหว่างที่จอร์จก็ได้สานต่อสัมพันธ์รักระหว่างเขากับโคลทิลด์
   คอมท์ เดอ โวเดรคเสียชีวิตลงและยกทรัพย์สมบัติของเขาให้กับแมดเดอลีน ความเคลือบแคลงของจอร์จที่มีต่อความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของทั้งคู่กลายเป็นเรื่องจริง และด้วยความรู้สึกอับอาย เขาก็เลยเผชิญหน้ากับเธอ แมดเดอลีน ที่หัวใจสลาย ยอมรับว่าผู้ชายคนนั้นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ทั้งเพื่อน พ่อและคนรัก
   มาดามรูเซ็ทหลงใหลในตัวจอร์จอย่างหัวปักหัวปำ ด้วยความรังเกียจ จอร์จพยายามปัดป้องการรุกของเธอ เธอก็เลยพยายามเอาชนะใจเขาอีกครั้งด้วยการเผยว่ารัฐบาลใหม่กำลังจะรุกรานโมร็อกโก สามีของเธอรู้เรื่องนี้ดีและยิ่งไปกว่านั้น เขากำลังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จอร์จสะบั้นสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างไร้หัวใจและเผชิญหน้ากับรูเซ็ทและแมดเดอลีน ผู้ซึ่งเขาจินตนาการว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาตอบโต้กลับจอร์จด้วยการตัดเขาทิ้งจากชีวิตของพวกเขา
   จอร์จมาร่วมงานเลี้ยงของรูเซ็ทโดยไม่ได้รับเชิญ และเขาก็ถูกเมินจากทุกคน รวมถึงแมดเดอลีน มีเพียงโคลทิลด์ที่ต้อนรับเขา พวกเขาได้คุยกันและจอร์จก็ยอมรับว่าเขาทำตัวเหมือนคนโง่ ในงานเลี้ยง รูเซ็ทและภรรยาของเขาได้เปิดตัวซูซาน ลูกสาววัยทีนเอจของพวกเขา ที่ยิ้มให้กับ “เบล อามี”
   จอร์จพาตำรวจไปกับเขาด้วยเพื่อเผชิญหน้ากับแมดเดอลีนและคนรักใหม่ของเธอ เธอเต็มใจสารภาพความผิดในข้อหานอกใจ บัดนี้ เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง จอร์จก็ได้หนีไปกับซูซาน เมื่อพ่อแม่ของเธอตามพวกเขาทัน รูเซ็ทก็ยืนยันว่าจอร์จจะต้องแต่งงานกับซูซานเพื่อรักษาชื่อเสียงของเธอ แม้ว่าแม่ผู้อับอายของเธอจะคัดค้านอย่างไรก็ตาม เมื่อโคลทิลด์รู้ในสิ่งที่เขาทำ เธอก็ตำหนิความทารุณของเขา ข้อแก้ตัวของเขาก็คือเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อถีบตัวเองให้พ้นจากความยากจน
   จอร์จแต่งงานกับซูซานในพิธีสมรสใหญ่โต ขณะที่ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันในโบสถ์ จอร์จก็เดินผ่านเหล่าผู้หญิงที่เขาเคยหลอกใช้และทารุณเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายสุดท้ายของเขา ไม่ว่าจะเป็นมาดามรูเซ็ท, แมดเดอลีนและโคลทิลด์ รักแท้เพียงหนึ่งเดียวของเขา

happy on April 16, 2012, 04:37:46 PM



นิยายต้นฉบับ

               ผู้กำกับทั้งคู่พูดถึงนิยายต้นฉบับว่าพวกเขาชื่นชอบ Bel Ami มาโดยตลอดและพิจารณาที่จะดัดแปลงมันเป็นละครเวทีด้วยซ้ำในตอนที่อูเบอร์โต้ พาโซลินี เข้ามาทาบทามพวกเขา ดอนเนลลันอธิบายเพิ่มเติมว่า “ผมได้อ่าน Bel Ami ครั้งแรกเป็นฉบับแปลตอนผมอายุ 18 ปีและยังเรียนอยู่ มันช่างน่าประหลาดใจและมันก็ยังคงน่าประหลาดใจจนถึงทุกวันนี้”
   “มันเป็นเรื่องราวที่ทำลายล้างอย่างเหลือเชื่อ มันเป็นผลงานที่เย้ยหยันและดุเดือดที่สุดของกีย์ เดอ โมปัสซังต์” ดอนเนลลันกล่าวต่อไปถึงการที่ธีมเหล่านี้ยังคงใช้ได้จนถึงปัจจุบัน “มันเป็นการเย้ยหยันเรื่องของสื่อมวลชน อีกสิ่งที่น่าขันเกี่ยวกับเรื่องราวนี้คือมันมีสิ่งที่เปรียบเปรยกับยุคสมัยนี้มากเหลือเกิน มันเป็นเรื่องของการควบคุมสื่อ รัฐบาลที่รุกรานประเทศอาหรับโดยผิดกฎหมายเพื่อแย่งชิงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขาและโกหกประชาชน การที่สื่ออาจจะสมรู้ร่วมคิดหรือไม่ก็ได้ เรื่องเซ็กส์ ความโด่งดัง และมันยังเป็นเรื่องของการที่ใครซักคนสามารถเข้าไปสู่จุดสูงสุดได้ทั้งๆ ที่มีพรสวรรค์เพียงน้อยนิดด้วยครับ”
   ออร์มีร็อดกล่าวเห็นพ้องด้วยว่า คุณสมบัติร่วมสมัยของเรื่องน่าจะช่วยให้ผู้ชมเชื่อมโยงกับมันได้แม้ว่ามันจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นในยุคพีเรียดก็ตาม “มันอยู่ตรงหน้าพวกเขาครับ ราวกับเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง”
“โลกของคนดังเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษ” ดอนเนลลันกล่าวต่อ “คนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากๆ การที่คนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ทั้งๆ ที่มีพรสวรรค์เพียงน้อยนิด มันเป็นเรื่องแบบนั้นครับ จอร์จมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และนั่นคือพรสวรรค์ของเขา มันเป็นเรื่องของธีมที่ทันสมัยอย่างเหลือเชื่อ นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการสร้างเรื่องราวนี้ มันเกิดขึ้นในปารีสยุค 1890s ก็จริง แต่มันใกล้เคียงกับความจริงมากๆ ที่จะสร้างมันขึ้นมาในขณะนี้น่ะครับ”
   ราเชล เบนเน็ตต์อธิบายว่าเธอได้ดัดแปลงเรื่องราวที่มืดหม่นเช่นนี้อย่างไร “ฉันคิดว่าโมปัสซังต์เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่และเขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องเทพนิยายหรือนิทานสอนใจ ฉันคิดว่าเขาก็แค่อยากจะสร้างกระจกสะท้อนสิ่งที่มันเป็น ซึ่งสำหรับเขาแล้ว คือสังคมคอรัปชัน ที่เขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในนั้นน่ะค่ะ” อย่างไรก็ดี เธอก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ในขณะเดียวกัน  ในหนังสือก็มีความตรงไปตรงมาเกี่ยวกับมนุษย์และพฤติกรรมของพวกเขา ดังนั้น แม้ว่ามันจะมืดหม่นมากๆ และมีบางช่วงบางตอนที่สั่นคลอนจิตใจ ฉันก็คิดว่าคุณจะยังรู้สึกว่า งานเขียนเรื่องนี้ไม่ได้มีการเสแสร้ง และก็ไม่ได้มีการทำให้ความยุ่งยากในชีวิตเบาบางหรือสดใสกว่าความเป็นจริง”
   “โมปัสซังต์ได้เขียนหนังสือเรื่องนี้ตอนที่เขากำลังทุกข์ทรมานจากซิฟิลิส เขาก็เลยกำลังมองเห็นความตายอยู่ตรงหน้าในขณะนั้น แม้ว่าเขาจะตายในแปดปีให้หลัง ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะคะ แต่เขาก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เบนเน็ตต์ตั้งข้อสังเกต “ฉันคิดว่าหนังสือเรื่องนี้เต็มไปด้วยเรื่องนี้ ความสุดโต่ง ทั้งเรื่องความกลัวตายและความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างโหดร้ายและเจิดจรัสในแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยังมีความรู้สึกรุนแรงที่มีต่อชีวิต จนคุณไม่สามารถมีความรู้สึกอย่างหนึ่งโดยปราศจากความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งได้ ฉันคิดว่าความมืดหม่นนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อพลังชีวิตในหนังสือเรื่องนี้ค่ะ”
   บางที อาจเป็นไอเดียของนักเขียนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตายของตัวเองก็เป็นได้ที่เชื่อมโยงทำให้เรื่องราวค่อนข้างจะเร่าร้อนและเซ็กซี เบนเน็ตต์กล่าวต่อไปว่า “สิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ สำหรับหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องเซ็กส์ ซิฟิลิสกลับไม่ใช่โรคสำคัญในหนังสือ แต่กลับเป็นวัณโรคค่ะ เพียงแต่ฉันคิดว่าโดยเนื้อแท้แล้ว มันก็เป็นหลักการเดียวกันแหละค่ะ มันไม่มีการพูดถึงเลย แม้ว่าจะมีโสเภณีและความสัมพันธ์ทุกรูปแบบก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องของการเผชิญหน้ากับความตายตรงๆ ด้วยค่ะ”
   สำหรับเบนเน็ตต์ ความท้าทายในการดัดแปลงหนังสือเล่มนี้ยากเป็นสองเท่า อย่างที่เธออธิบายว่า “มันมีส่วนของเรื่องราว และความจริงที่ว่าแรงขับดันหลักของจอร์จคือความทะเยอทะยาน อำนาจ เงินตราและสถานะ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าสะเทือนใจเลย เราจะไม่เห็นอกเห็นใจคนที่อยากจะร่ำรวยหรือทรงอำนาจ ในแบบเดียวกับที่เราจะเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจถ้าคนสองคนจะตกหลุมรักกัน เห็นได้ชัดว่าเราจะมีความผูกพันกับเรื่องแบบนั้นในฐานะผู้ชม ดังนั้น อย่างแรกเลย มันคือการทำความเข้าใจว่า สำหรับจอร์จ แรงขับดันของความทะเยอทะยานนั้นไม่ใช่แค่แรงปรารถนาแบบไร้ศีลธรรมที่จะกอบโกยและบริโภค มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่าของความกระหายอยากที่จะมีชีวิต และอยากจะเสพชีวิตเข้าไปก่อนที่ความตายจะมาเยือนเขา ดังนั้น มันก็เป็นเรื่องของการรักษาความรู้สึกตรงนั้นไว้และการกำหนดที่ทางขององค์ประกอบทั้งหมดในเรื่อง เช่นความทะเยอทะยาน อาชีพการงาน การขึ้นสู่อำนาจ ในบริบทด้านอารมณ์ เพื่อที่คุณจะเข้าใจได้ว่าเขามีความรู้สึกผูกพันกับสิ่งต่างๆ อย่างไรบ้าง”
   เบนเน็ตต์อธิบายต่อไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างจอร์จกับแมดเดอลีนมีบทบาทอย่างไรต่อเรื่องราว ในลักษณะที่กว้างกว่า “ความรู้สึกที่เขามีต่อแมดเดอลีน และความสัมพันธ์กับแมดเดอลีน เกี่ยวพันกับเรื่องราวการเมืองด้วย ดังนั้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะรวมตัวอยู่ภายในภาพใหญ่ที่สะเทือนอารมณ์กว่า เพื่อที่คุณจะได้แคร์ และจังหวะของเรื่องก็เพื่อที่เรื่องราวจะได้ตะกายไปข้างหน้า โดยที่คุณไม่มีเวลามาแคร์ใครทั้งนั้น มันเป็นแค่การจากจุด A ไปยังจุด B มันเป็นคำถามของความพยายามที่จะทำความเข้าใจในตอนที่คุณสามารถบอกเล่าเรื่องราวด้วยฝีแปรงที่หนักแน่น ด้วยภาพใหญ่ๆ หรือด้วยการกระโดดข้ามเวลาหรือการคัทฉากใหญ่ๆ เมื่อคุณใช้เวลากับตัวละครมากขึ้น เมื่อคุณปล่อยให้พวกเขาคุยกัน และให้ฉากเหล่านั้นมีน้ำหนักด้านอารมณ์ของตัวเองน่ะค่ะ”
   ราเชล เบนเน็ตต์อธิบายถึงวิธีที่ออร์มีร็อดและดอนเนลลัน ที่มีแบ็คกราวน์ด้านละครเวที ช่วยเหลือเธอเป็นพิเศษในตอนที่เธอต้องทำงานในแง่มุมที่กว้างขวางกว่าและยิ่งใหญ่กว่าของเรื่องราว เธออธิบายว่า “พวกเขามีสัญชาตญาณสำหรับความอลังการที่เด่นชัด โดดเด่นของละครเวทีค่ะ ส่วนหนึ่งฉันรู้สึกว่ารายละเอียดคือสิ่งที่ทำให้หนังสือเรื่องนี้มีชีวิตชีวา ดังนั้น มันก็เลยมีคำถามเกิดขึ้นบ่อยๆ ว่าอะไรเป็นรายละเอียดที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป คุณจะหาสมดุลระหว่างตอนที่คุณเจาะลึกรายละเอียดและตอนที่คุณออกมาแบบชัดเจนได้อย่างไร แม้ว่าหนังเรื่องเรื่องนี้จะถูกเขียนขึ้นโดยมีรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงมากๆ แต่มันก็ชัดเจนมากๆ ด้วยเช่นกัน ตัวหนังสือก็เลยเป็นทั้งสองอย่างนี้ค่ะ”


จอร์จ ‘เบล อามี’ ดูรอย

               จอร์จ ตัวละครเอกของเรื่องเป็นตัวละครที่ซับซ้อนแต่ก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลสำหรับราเชล เบนเน็ตต์ อย่างที่เธออธิบายว่า “จอร์จเป็นตัวละครที่เข้าใจยาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขามีเสน่ห์เหลือเกิน เขาค่อนข้างจะลึกลับในบางแง่มุมและเขาก็ไม่ใช่ตัวละครตามขนบในหลายๆ มุม เขาเป็นคนที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแทนที่จะเป็นตัวละครที่เป็นฝ่ายรุก ที่คุณคุ้นเคย มันก็เลยเป็นเรื่องของความพยายามที่จะทำความเข้าใจเขาน่ะค่ะ”
   “เขาไม่เคยทำงานแต่ก็ยังได้ครอบครองทุกอย่าง นั่นคือสิ่งที่น่าหงุดหงิดเกี่ยวกับจอร์จ ดูรอยครับ” ดอนเนลลันกล่าวเห็นพ้องด้วย “เขาได้หลายสิ่งหลายอย่างโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย และมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องทนกับมัน จอร์จมีพรสวรรค์ที่จะขึ้นสู่จุดสูงสุดและเขาก็เป็นนักธุรกิจที่มีจุดขายอย่างหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับจอร์จคือความว่างเปล่าของเขา คนสามารถสะท้อนความคิดอะไรเข้าไปให้กับเขาก็ได้ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเหลือเกินครับ”
   เบนเน็ตต์กล่าวสรุปว่า “ฉันพบว่าจอร์จเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดจริงๆ แม้ว่าฉันจะไม่ได้ชอบเขาก็ตาม มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความท้าทาย ความกล้า และการปฏิเสธที่จะถูกกำหนดที่ทางของตัวเอง มันมีอะไรบางอย่างที่มีเสน่ห์ทีเดียวสำหรับเรื่องนั้น เนื้อแท้แล้วเขามีความกล้าบ้าบิ่นทีเดียวล่ะค่ะ

happy on April 16, 2012, 04:44:25 PM

เกี่ยวกับงานสร้าง

            “มันเป็นเรื่องเกี่ยวชายหนุ่มรูปงามเลือดเย็น ผู้พบว่าเขามีสิ่งหนึ่งในตัวที่สามารถขายได้” ดีแคลน ดอนเนลลัน หนึ่งในผู้กำกับพูดถึงจอร์จ ดูรอย แอนตี้ฮีโรของ Bel Ami ดอนเนลลันกล่าวต่ออีกว่า “เขาล่อลวงหญิงสาวผู้ทรงอำนาจที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงของฝรั่งเศส ที่มีเส้นสายกับวงการหนังสือพิมพ์ เขาใช้เซ็กส์และความหลงเสน่ห์ที่พวกเธอมีต่อเขาในการไต่เต้าไปสู่สถานะที่สูงกว่า มันเป็นโลกที่ไร้ปรานีและท้ายที่สุดแล้ว เขาก็กอบโกยอะไรได้มากมาย มันไม่มีผลเสียสำหรับเขาเลยครับ”
   Bel Ami สร้างขึ้นจากนิยายชื่อเดียวกันในปี 1885 ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ มือเขียนบทราเชล เบนเน็ตต์อธิบายว่าโปรเจ็กต์นี้มีที่มาที่ไปอย่างไร “ฉันได้ร่วมงานกับอูเบอร์โต้ พาโซลินี ผู้อำนวยการสร้างของเรื่อง มานานแล้ว เราก็เลยติดต่อกันมาตลอด เขามาหาฉันถามว่า ‘คุณคิดยังไงเกี่ยวกับการสสร้าง Bel Ami ล่ะ’ ฉันก็บอกว่า ‘เยี่ยมเลยค่ะ!’ น่ะค่ะ”
   ผู้กำกับทั้งสอง ดีแคลน ดอนเนลลันและนิค ออร์มีร็อดมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่กระบวนการเริ่มแรก Bel Ami จะเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาเพราะผู้กำกับทั้งคู่ทำงานในแวดวงละครเวทีมา 30 ปี โดยพวกเขาเป็นผู้ก่อตั้งคณะชีค บาย โจว์ล ที่ซึ่งตอนนี้พวกเขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศิลป์ร่วม ทั้งคู่ชื่นชอบภาพยนตร์มาโดยตลอด ดอนเนลลันอธิบายว่า “เราเป็นคอหนังครับ เราอยากจะสร้างหนังมานานแล้ว แต่โอกาสก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เราอยากจะสร้างหนังและยินดีที่เราได้มีโอกาสครับ”
   ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีแบ็คกราวน์ที่ต่างกัน ราเชล เบนเน็ตต์ก็อธิบายว่า หลังจากที่พวกเขาเริ่มคุยกัน กระบวนการทำงานในช่วงประมาณสามปีก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นก็ไม่แตกต่างไปเลย เธอกล่าวต่อไปว่า “เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบในหนังสือเรื่องนี้และวิธีการที่พวกเขาสนใจ มันก็เลยเป็นกระบวนการพัฒนาที่ค่อนข้างปกติค่ะ เราพบกันเป็นครั้งคราว เพราะพวกเขาก็ต้องทำงานละครเวทีของตัวเอง แล้วพอพวกเขามีเวลาว่าง พวกเขาก็จะกลับมาดูหนังสืออีกครั้ง เราก็จะคุยกัน แล้วฉันก็จะเขียนดราฟท์ค่ะ”


การคัดเลือกนักแสดง

            “เราถามนักแสดงที่เราอยากจะร่วมงานด้วย คนที่เราชื่นชมมานานแล้ว” ดอนเนลลันอธิบายถึงตัวเลือกนักแสดงของพวกเขา “เรารู้จักคริสติน สก็อต โธมัสมานานแล้ว และเราก็ชื่นชมอูมา เธอร์แมน, คริสตินา ริชชีและโรเบิร์ต แพททินสันมาโดยตลอด นอกจากนั้น ยังมีคอล์ม มีนนีย์ นักแสดงไอริชวิเศษสุด ที่รับบทรูเซ็ทและฟิลลิป เกลนิสเตอร์ พวกเขาทุกคนเป็นนักแสดงที่เรารักครับ”
   ออร์มีร็อดและดอนเนลันต่างก็ตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับทีมนักแสดงที่หลากหลายเช่นนี้ ดอนเนลลันได้พูดถึงเวลาที่นักแสดงได้มาทำการซ้อม “มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริงที่ได้เห็นพวกเขามาถึงทีละคนๆ พวกเขาต่างก็มีความเป็นมืออาชีพอย่างเหลือเชื่อและมีอารมณ์ขันร้ายกาจในแบบของตัวเอง อูมา, คริสตินและคริสตินาต่างก็เป็นคนที่แตกต่างกันอย่างมาก เราสนุกสุดเหวี่ยงเลยและเราก็มีช่วงเวลาที่วิเศษสุดเพราะเนื้อเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน และบทบาทตัวละครและบทหนังก็วิเศษสุด ทุกคนรู้สึกเหมือนว่าได้ยืดเส้นยืดสาย โดยเฉพาะสำหรับเรา เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกของเรา ส่วนคริสติน, คริสตินา, อูมาและโรเบิร์ตต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าพวกเขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็ทำให้มันน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีกครับ”