FB on May 31, 2013, 08:56:07 AM
          เป็นอีกครั้งที่ฟิลหมดความอดทนเป็นคนแรก แต่เมื่อติดร่างแหไปด้วยแล้ว เขากลับเป็นคนสุดท้ายที่จะยอมถอยทัพ บางคนมองจากบุคลิกที่โดดเด่นว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดมากที่สุดในกลุ่ม ซึ่งคูเปอร์ไม่เห็นด้วยเลย “หากฟิลเป็นตัวแทนของเหตุผล มันจะสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตของพวกเขา” เขาแนะนำ “ผมคิดว่ามุมมองในชีวิตของฟิลมีความประหลาดอยู่ในตัว เขาทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีมุมพิเศษลับเฉพาะตัว เขาคุมจังหวะชีวิตของตัวเอง ดูผิวเผินแล้วเหมือนเขามีเหตุผล แต่จริงๆ แล้วเขาพร้อมจะทำเรื่องบ้าๆ เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อย”
          สตูคือคนที่มีเหตุผลมากที่สุดในกลุ่ม แต่เมื่อเหตุผลของเขามักมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องและความตื่นเต้นมากเกินไปจึงยากที่จะได้ยิน เขามีความซื่อสัตย์และความตั้งใจดี ฉากการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นอย่างไม่เตรียมตัวไม่ใช่แนวถนัดของเขาเท่านั้น ไม่มีวันและไม่มีทางเกิดขึ้น
          “สตูแต่งงานกับสาวสวยผู้เจนโลกในเรื่อง ‘The Hangover ภาค 2’” เฮล์มสกล่าว “และถือเป็นแบบฉบับเมื่อผู้ชายสไตล์เขาแต่งงานกับหญิงที่มีชั้นเชิงเหนือกว่า ถือเป็นการยกระดับความเสี่ยงขึ้นโดยอัตโนมัติ สตูที่เราเจอครั้งแรกในเรื่อง ‘Hangover ภาค 3’ จะดูเท่ห์ขึ้นมาอีกนิด มีสไตล์ขึ้นอีกหน่อย แต่ทุกสิ่งล้วนไม่จีรัง ในช่วงเวลาที่เกิดความโกลาหล สตูก็กลับเป็นคนเดิมที่เนิร์ดแบบอภิมหาเนิร์ดตัวจริง”
          ถ้าเฉาคือตัวการให้เกิดความหายนะ ฟิลและสตูก็เหมือนผู้คอยตามแก้ปัญหา และหากอลันเหมือนตัวแปรที่กำหนดความผิดพลาดและหายนะในทุกย่างก้าว… ดั๊กผู้น่าสงสารคงได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
          “ใช่ครับ ดั๊กซวยอีกแล้ว” จัสติน บาร์ธ่า ยืนยันเชิงเหน็บแนมบทบาทที่เขาต้องถูกหลอกและถูกยัดใส่เบาะหลังรถตู้อยู่บ่อยๆ ว่า “พวกเขารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าจะพาตัวกลับมาได้อย่างไร ผมคิดว่าหากนี่ไม่ใช่หนังภาคสุดท้าย มันก็คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนจะได้เห็นดั๊กติดสอยห้อยตามเหล่าแก๊งค์นี้อยู่ดี ผมว่าเขาคงต้องหัวเสียเมื่อรับโทรศัพท์จากพวกเขาครั้งต่อไป เพราะพวกเขาสร้างปัญหาให้มามากพอแล้ว”
          โกลด์เบิร์กพิจารณาอย่างมีเหตุผลว่า “ส่วนใหญ่เขาจะเจอแบบนั้น ช่างน่าสงสาร พวกเรารักดั๊กนะ แต่เขาต้องถูกลักพาตัว หลงทาง ไม่ก็ติดอยู่บนหลังคา”
          ในทำนองเดียวกัน เลสลี่ เฉา พยายามสร้างความป่วนให้มากยิ่งขึ้น เค็น จุง มารับบท เฉา ครั้งแรกในเรื่อง “The Hangover” และการแสดงอย่างไม่มีกั๊กของเขาช่วยพัฒนาบทตัวประกอบให้เป็นบทที่มีความสำคัญ และสร้างความสนุกให้แฟนๆ ทั่วโลกได้
          จุงเล่าว่า “เฉาเหมือนประทัดขนาดพกพาที่ระเบิดตัวสร้างความวุ่นวายได้ทุกพื้นที่ เราไม่รู้เลยว่าเขามีความกลัวอยู่ในใจบ้างหรือเปล่า เพราะความอ่อนแอเพียงน้อยนิดที่เขาแสดงออกให้เห็นอาจเป็นจุดลวงคุณได้ ในหนังเรื่องนี้เราเห็นเขาครั้งแรกในสภาพที่ยอมประนีประนอม ซึ่งเขาอาจจะเหมือนกับอลันที่สุดท้ายต้องได้รับผลจากการกระทำ หรือเฉาอาจไม่รับรู้อะไรเลย”
          “อย่าถ่อมตัวกับเรื่องนั้นจนเกินไปเลย หากมองในเชิงนิยายกรีกที่มีมนุษย์กับเทพเจ้า จริงๆ แล้วเทพก็ไม่ได้เมตตาเราเสมอไป” มาซินกล่าว “บางครั้งเทพก็โหดร้าย ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในชีวิตมนุษย์ เทพคือผู้เป็นอมตะเราจะไปทำลายไม่ได้อยู่แล้ว เราหยุดยั้งเทพไม่ได้ ท่านจะทำทุกสิ่งตามประสงค์ มอบความวุ่นวายให้กับทุกคน นั่นแหละคือเฉา เขาเหมือนกองกำลังจากธรรมชาติ เทพเจ้าแห่งการป่วนเมือง”
แต่ความวุ่นวายของแก๊งค์หมาป่าคราวนี้หนักหนากว่าเฉา ในภาคนี้ตัวจุดชนวนลางร้ายคือคนที่ดูเหมือนผู้นำแคมป์ จอห์น กู้ดแมน มารับบท มาร์แชล ตัวละครร้ายจอมหัวเสียที่พาพวกเขาสู่ภารกิจที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นตัวการก่อความเสียหาย โดยผลลัพธ์ที่ได้จะเลวร้ายมากหากพวกเขาพลาดขึ้นมา         
          “ทำใจให้ไม่รักจอห์น กู้ดแมนได้ยาก” ฟิลลิปส์กล่าว “เขาเป็นคนเก่งมาก เขาแสดงบทกล้าหาญ ดูจริงจัง งี่เง่าสุดๆ หรือรวมกันทั้งสองบทบาทได้”
          “มาร์แชลคือตัวบงการเบื้องหลังทุกอย่าง ตัวการสำคัญเลยทีเดียว” กู้ดแมนอธิบายว่า “เราไม่รู้เรื่องเขามากนัก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เว้นแต่เขาจะชอบกระโดดเวลาที่ดีดนิ้วและพวกเขาจะทำในสิ่งที่เขาสั่ง เขาค่อนข้างน่ากลัว เขาแต่งตัวเหมือนของเล่นกำมะหยี่ ผ้ากำมะหยี่เยอะๆ เขาดูสบาย เหมือนจะเอามากอดและแนบอิงได้…และฆ่าคนได้ด้วย”
          นอกจากการแนะนำกู้ดแมนให้มารวมตัวในเรื่อง “The Hangover ภาค 3” แล้ว ยังมีการกลับไปรำลึกถึงคนที่คุ้นหน้าอย่าง เจฟฟรีย์ แทมเบอร์ แฮงค์โอเวอร์รุ่นเดอะ ผู้รับบท ซิด คุณพ่อที่รักของอลัน ผู้ทำให้เกิดการเดินทางครั้งที่สามนี้ขึ้นมาในหนังอย่างคาดไม่ถึง และฮีเธอร์ กราแฮม ผู้รับบท เจด อดีตนักเต้นระบำในเวกัสที่ครั้งหนึ่งเคยแต่งงานกับสตูช่วงเวลาสั้นๆ
          เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เจอเรื่องดีๆ จากที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแก๊งค์หมาป่า ชีวิตของเจดดีขึ้นเมื่อพวกเขาสร้างความป่วนในเมืองเป็นครั้งแรก กราแฮมเล่าว่า “ผมเหมือนกับแฟนๆ หลายคนที่คิดว่าเจดน่าจะลงเอยกับสตู แต่ถึงแม้เรื่องราวจะเปลี่ยนไป ผมก็พูดได้อย่างเต็มปากว่าเธอมีความสุข ผมอยากให้เธอลงเอยอย่างสวยงาม เราทุกคนหวังเช่นนั้น เจดเลิกเต้นระบำ ได้แต่งงาน และเป็นคุณแม่อยู่แถบชานเมือง ไม่ยากที่จะเชื่อเลยว่าการได้รู้จักกับผู้ชายน่ารักอย่างสตูในช่วงเวลาสั้นๆ ถือเป็นบันไดขั้นแรกของเธอสู่จุดนั้น”
          แน่นอนว่าเจดกับไทเลอร์ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ผู้ชมต้องจดจำเด็กทารกผู้น่ารัก ซึ่งตอนนี้อายุ 4 ขวบที่ฟิล อลันและสตูพบที่ห้องพักโรงแรมตอนเมาในเรื่อง “The Hangover” ได้ และต้องพาไปไหนด้วยก่อนจะรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของเจด จริงๆ แล้วแกรนท์ โฮล์มควิสต์ นักแสดงเด็กที่อายุน้อยสุดผู้รับบท ไทเลอร์ ใน “ภาค 3” เป็นหนึ่งในทารกอีกหลายคนที่มาร่วมรับบทบาท และมีภาพอยู่บนโปสเตอร์ภาพยนตร์พร้อมแว่นกันแดดแนวสปอร์ต และอยู่ในกระเป๋าที่คล้องคออลันอยู่
          ฟิลลิปส์เล่าว่า “แก้มเขาน่ารักและมีตาสีฟ้าคู่โตที่เด่นสะดุดตาเหมือนเดิม เขาไม่ใช่ดารา แต่มาร่วมงานกับเราได้อย่างสบาย เรารู้สึกเหมือนรู้จักเขามาก่อน และรู้สึกดีมากที่ได้เจอเขาอีกครั้ง”
ผู้สร้างภาพยนตร์ยังต้อนรับการกลับมาของ ไมค์ อีปส์ ผู้มารับบท “แบล็คดั๊ก” ผู้เรียกเสียงฮา ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่เขาเกลียดมาก และเป็นชื่อแรกที่ชาวแก๊งค์ตั้งขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจ เพื่อสร้างความแตกต่างให้ชื่อของเขากับเพื่อนที่หายไป
นอกจากนั้นยังมี ซาช่า บาร์รีซ ที่กลับมารับบท เทรซี่ สาวผู้ต้องคอยกังวลทั้ง ดั๊ก สามีของเธอกับ อลัน น้องชายของเธอ เจมี่ ชุง กลับมารับบท ลอว์เร็น หญิงสาวที่สตูยอมเสี่ยงชีวิตแต่งงานด้วยในภาคสอง ซอนดร้า เคอร์รี่ กลับมารับบท ลินดา แม่ของอลันที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนาน และ กิลเลน วิกแมน ผู้รับบท สเตฟานี่ คู่รักคนเดิมของฟิล

          “ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่กลับมาเหยียบอีก” – สตู
          “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องจบคืนนี้” – ฟิล

          ตัวละครสุดท้ายที่กลับมาร่วมงานด้วยในหนังคือ ลาสเวกัส หรือที่ฟิลลิปส์เรียกว่า “ตัวการแห่งหายนะของหนุ่มๆ”
          จากผลกระทบอย่างแสนสาหัสเมื่อหกปีก่อนสำหรับอลัน ฟิล สตูและดั๊ก มันเทียบไม่ได้กับชีวิตจริงของเหล่าพระเอกในช่วงปีนั้น และปรากฏการณ์ที่ภาพยนตร์แฟรนไชส์ได้รับความนิยมจากแฟนๆ ตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งไม่มีที่ไหนชัดเจนเท่ากับที่ลาสเวกัส เพียงมองแวบเดียวไม่ว่าจากมุมไหนก็เห็นหลักฐานที่ชัดเจน ทั้งสล็อตแมชชีนในธีมแฮงค์โอเวอร์ ผู้มาเยือนแจกจ่ายเสื้อยืดแก๊งค์หมาป่า ร้านกิฟช็อปขายของที่ระลึกเกี่ยวกับภาพยนตร์ และที่ด้านนอกไม่แปลกเลยที่จะเห็นคนยืนแบบอลันทำท่าชวนนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพ
          “’เดอะ แฮงค์โอเวอร์กลายเป็นภาพยนตร์สัญลักษณ์ของลาสเวกัสที่ผมรักและภูมิใจมาก” ฟิลลิปส์กล่าว
          “การถ่ายทำภาคแรกเรามีโปรไฟล์น้อยกว่านี้” เฮล์มสจดจำได้ “การย้อนกลับไปถือเป็นการบรรยายอย่างง่ายดายมาก เพราะไม่ใช่แค่เราที่จำได้เท่านั้น แต่ ‘The Hangover’ เหมือนหนังเรื่องสำคัญของที่นั่นเลย มันทรงพลังมากและมีความสนุกตื่นเต้นอย่างไม่ขาดสาย มันไม่ง่ายเลยที่จะเดินผ่านล็อบบี้หรือเล่นแบล็คแจ็คเป็นชั่วโมงโดยไม่พบฝูงชน หรือแฟนๆ มาทักทาย รู้สึกดีมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน”
การถ่ายทำหวนกับไปที่โรงแรม Caesars Palace Hotel และคาสิโน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเรื่องในภาคแรก และเหมือนถูกกำหนดให้เป็นการพลิกเดจาวูครั้งสำคัญ เป็นการตอกย้ำถึงแรงบันดาลใจที่ยั่ยืนของเนื้อเรื่องนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่อันน่าจดจำแห่งเวกัส คูเปอร์เล่าว่า “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเล่าว่า พวกเขาต้องห้ามผู้คนที่พยายามขึ้นไปบนหลังคาตลอด”
          พื้นที่สำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งภายในและโดยรอบ คือล็อบบี้ที่ขึ้นชื่อ ลิฟต์ และภายในห้องสวีทขนาด 10,000 ฟุตที่เป็นลานจัดงานปาร์ตี้ของเฉา ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 3” ยังมีการใช้สถานที่ในท้องถิ่นอย่าง Super Liquor Store บนถนนพาราไดซ์ และ Fremont Street พื้นที่รอบย่านตัวเมือง
          ฉากที่มีความโดดเด่นพิถีพิถันมากที่สุด เป็นฉากท้องฟ้าแห่งลาสเวกัสแบบพาโนรามายามค่ำคืนจากมุมที่แปลกตาของจริงอย่างอุปกรณ์ดิ่งพสุธาของเลสลี่ เฉา ตอนที่เขาลองเสี่ยงหนีจากระเบียงเพนท์เฮาส์ของเขา ซึ่งมีความสูงกว่าหลอดไฟและหลังคา ลอยผ่านถนนสายสำคัญของลาสเวกัส ผ่านหอไอเฟลแถบ Paris Hotel เฉาลอยตัวกลางอากาศเหมือนใบไม้ที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ขณะที่ผู้ไล่ล่าเขาอยู่พยายามตามติดเขาบนถนนด้านล่าง
          การถ่ายทำต้องมีการเตรียมการกันอย่างหนัก รวมถึงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ สตั๊นท์นักโดดร่ม เครนขนาดใหญ่ และการทำงานกับน้ำพุ The Bellagio ที่มีชื่อเสียง “เราถ่ายทำกันเกิน 2 คืน ตั้งต้องเตรียมการกันนานหลายเดือน” โกลด์เบิร์กกล่าว “ถนนเส้นนั้นเป็นถนนทางหลวงเส้นที่วุ่นวายมากที่สุดในโลก เราให้คนลอยตัวเหนือรถไม่ได้ มันอันตรายเกินไป เราต้องใช้ผู้ช่วยจำนานมากปิดถนน พร้อมขอความช่วยเหลือจากตำรวจในลาสเวกัส เราถ่ายทำได้เพียง 8 นาทีต่อครั้ง เราจะเก็บภาพนักโดดร่มลอยลงมา รอให้พวกเขาร่อนลงอย่างปลอดภัย จากนั้นพาพวกเขาออกจากถนนจึงเปิดการจราจรได้ เราต้องรอ 10 นาทีถึงถ่ายใหม่อีกครั้ง มันเหมือนกับปฏิบัติการทางทหาร แต่เป็นฉากที่อลังการและเป็นการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉา”
« Last Edit: May 31, 2013, 08:59:42 AM by FB »

FB on May 31, 2013, 09:00:01 AM
          นักโดดร่มทั้งสี่คนที่แสดงเป็นเฉาบนถนน รวมถึงฟิลลิป แทน ที่เคยแสดงแทนเค็น จุง ในภาพยนตร์เรื่อง “Hangover” ทุกตอน เส้นทางของพวกเขาจะมีกล้องหกตัวจับภาพอยู่บนพื้น รวมถึงกล้องบนหมวกนิรภัยและกล้องทางอากาศที่ใช้สายเคเบิล เพื่อทดสอบความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ด้านการคำนวนระยะทาง
          ผู้ควบคุมสตั๊นท์ แจ็ค กิล เล่าถึงรายละเอียดบางส่วนว่า “เราผูกสายเคเบิลขนาดพันฟุตที่ความสูง 350 ฟุตกลางอากาศ หลังเลือกพิกัดโรงแรมต่างๆ ที่จะใช้งานได้แล้ว จากนั้นเราต้องหาเครนเพื่อติดตั้งลวด” ซึ่งนี่หมายถึงการติดตั้งอุปกรณ์ขนาด 500 ตันล่วงหน้าใกล้กับทางเข้า Bally ซึ่งต้องใช้รถบรรทุก 7 คันและเวลา 8 ชั่วโมง เขาเล่าต่อว่า “จากนั้นเราใช้สายเคเบิล 2 เส้นพาผ่าน Planet Hollywood มีความยาว 1000 ฟุต เราผูกฟิล แทน ติดกับลวดและมีกล้องอยู่อีกด้าน กล้องจะเคลื่อนที่ไปใกล้เขา จากนั้นจะม้วนไปอีกทางเวลาที่เขาเคลื่อนที่ไปอีกด้าน”
          จริงๆ แล้วนักโดดร่มต้องดีดตัวเองออกจากเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการอนุญาตจาก FAA นอกจากนั้นแล้วฟิลลิปส์เล่าย้อนให้ฟังว่า “ต้องมีการประสานงานช่วยเหลือจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่โด่งดัง 5-6 โครงการผู้เป็นเจ้าของถนนเส้นนี้ ผมต้องรีบกดปุ่มปิดน้ำพุ The Bellagio เพราะเราไม่อยากให้เฉาร่อนลงมาโดนละอองน้ำ ทุกอย่างราบรื่นและทำให้เรื่องราวดูสมจริง ผมว่ามันยกระดับประสบการณ์ในการดูหนังแนวนี้ได้เสมอ แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้แต่ดูแล้วก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง”
          เฮล์มสกล่าวติดตลกว่า “ต่างจากภาคอื่นที่เราต้องทำอะไรสักอย่าง จากนั้นสตั๊นท์ของเราจะแสดงอะไรหลุดโลกยิ่งขึ้น ส่วนในภาคนี้เราเล่นอะไรกับฉากหลุดโลกไม่ค่อยได้เลย”
          ในความเป็นจริงแล้วนักแสดงต่างมีส่วนร่วมในฉากสตั๊นท์ของตัวเอง ฉากสำคัญที่เป็นที่กล่าวขานของภาพยนตร์มากที่สุดคือฉากที่อลันกับฟิลไต่ลงมาจากด้านข้างตึกโรงแรม จริงๆ แล้วฉากนั้นถ่ายทำที่โรงถ่าย แต่ถึงอย่างไรคูเปอร์และแกลิเฟียนาคิสก็ต้องปีนแนวดิ่งด้วยความสูง 60 ฟุตที่สร้างขึ้นที่ Stage 16 ใน Warner Bros. Studios
          การผสมผสานทางสถาปัตยกรรมของซีซาร์พาเลส ผู้ออกแบบฉากฯ เมเฮอร์ อาหมัด ได้สร้างสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงเรื่องราวทั้งห้าของ Augustus Tower ในโรงแรม อาทิเช่น ระเบียงขนาดใหญ่ การแกะสลักนางฟ้าเป่าทรัมเป็ต และตัวอักษรสัญลักษณ์โรงแรมที่ตกแต่งด้วยไฟขนาด 9 ฟุต ที่สร้างความตะลึงให้นักแสดงและสตั๊นท์แมนที่ต้องเดินบนนั้น รวมถึงการวางแผนจัดยอดเครนขนาด 3,200 ปอนด์ สูง 100 ฟุตในฉาก เจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เพิ่งเติม และพื้นเวทีที่ถูกรื้อออกเพื่อให้ห้องสูงขึ้น
          ฉากทั้งหมดถูกรายล้อมด้วยกรีนสกรีนที่ฝ่ายวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์นำมาเสริมอย่างพิถีพิถัน เพื่อถ่ายฉากวิวท้องฟ้าของเวกัส
          ในบางช่วงที่ต้องใช้ร่างกายแสดง “แบรดลีย์ไม่ถอยหนีเลย เขาไม่พูดถึงมันด้วยซ้ำ เขาอยากแสดงเองตลอด เขาไม่ชอบเวลาเราใช้สตั๊นท์แมน ตรงกันข้ามกับแซ็คที่ผมว่าเขาอยากให้สตั๊นท์แสดงแทนเขาทั้งเรื่อง” ฟิลลิปส์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
          ด้วยความที่กลัวความสูงมาก แกลิเฟียนาคิสเล่าให้ฟังว่า “อลันกับฟิลต้องปีนลงจากหลังคาด้วยผ้าปูที่นอน เราต้องใช้เครื่องลากจึงมีความปลอดภัยแน่นอน แต่ความรู้สึกผมตรงกันข้ามเลย ผมบอกหรือยังว่าแสดงหนังเรื่องนี้สนุกแค่ไหน? ผมเป็นโรคกลัวความสูง ถ้าผมสูงกว่านี้สัก 2 นิ้วคงอยู่กับความกลัวไปชั่วชีวิต เพราะนั่นสูงเกินไปสำหรับผมแล้ว”
          นอกจากฉากหนีคุกด้วยการระเบิดของเฉาที่มีการควบคุมเรื่องความปลอดภัยแล้ว เค็น จุง ยังต้องใช้เวลาทั้งวันดำน้ำในแทงค์ที่ลึก 30 ฟุตโดยมีน้ำพุ่งมาหาเขาทางด้านหลัง
          สำหรับฉากคุก อาหมัดและทีมงานของเขาต้องจัดเครื่องมือระบบไฟฟ้ากำลังน้ำขึ้นมาใหม่ จากนั้นเชื่อมต่อเข้ากับอุโมงค์ท่อระบายน้ำที่สร้างขึ้นมาในโรงถ่าย “สิ่งที่ทอดด์กับผมอยากทำคือการสร้างมันขึ้นมาในสองระดับ” ผู้ออกแบบเล่าว่า “เฉาลงไปในรูตรงกำแพง เขาจะตกลงมาตรงกลาง 15 ฟุต จากนั้นลงไปที่อุโมงค์ด้านเล็กกว่าซึ่งแยกจากอุโมงค์หลัก จากนั้นเขาปีนขึ้นอุโมงค์อีกระดับหนึ่ง ทุกอย่างจะแคบลงจนเขาถูกน้ำพัดไป ทั้งหมดเป็นภาพที่น่าจดจำกว่าการวิ่งทางตรง”
          อาหมัดยังสร้างโรงรับจำนำลาสเวกัส จำลองจากร้านเฟอร์นิเจอร์ที่มีความสมจริงจนดึงดูดลูกค้าเข้ามาสอบถามได้
          หน้าที่สำคัญสุดของเขาคือการเปลี่ยนตึกสามหลังขนาดใหญ่ในย่าน Nogales รัฐแอริโซน่าให้กลายเป็นละแวกบ้าน Tijuana แสนวุ่นวายที่ฟิล สตู อลันและเฉาใช้เป็นที่รวมตัวกันอย่างลับๆ “ต้องสร้างตึกมากกว่าหนึ่งหลัง ซึ่งแทบทุกตึกจะมีร้านค้ามากกว่า 50 ร้านที่ต้องพลิกโฉมด้วยการตกแต่งและสร้างเอกลักษณ์” อาหมัดกล่าว “เป็นสถานที่ที่น่าสนใจ เพราะถนนเส้นนั้นเชื่อมต่อเป็นตัว Y และเป็นบริเวณหน้าอาคารที่เหมาะกับที่นั่งรอรถประจำทาง ทุกอย่างในฉากมีความสมบูรณ์แบบมาก ในตึกหลังเดียวกันจะมีบริเวณภายนอกอาคารที่เฉาเจาะหลุมขึ้นมาด้วย”
          มีการใช้ชีวิตอยู่กับฝูงไก่ ทำให้เห็นถึงความตกต่ำของอดีตนักพนันเพื่อเอาชีวิตรอด มีฉากหนึ่งที่อลันพลิกความสงบเงียบให้ในห้องชุลมุนไปด้วยปีก กรงเล็บ และเสียงร้องตอนที่ไก่มารุมทำร้ายอลัน ฟิลและสตู ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลทั้งหมดถ่ายทำในโรงถ่าย และต้องใช้ไก่หลายสิบตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย ซึ่งได้รับการฝึกจาก Birds and Animals Unlimited ให้ปีนและเกาะบนหลังนักแสดงได้ ไก่กระโจนออกนอกหน้าต่างและถูกจับให้ดิ่งลงมาบนผ้านุ่มๆ สำหรับการปกป้องสัตว์และมนุษย์ได้มีการสร้างหุ่นจำลองที่ควบคุมได้โดยมือ เช่น การเลียนแบบการจิกและการข่วน
          ครูฝึกจาก Birds and Animals Unlimited ยังดูแล สแตนลีย์ ยีราฟนักแสดงวัยรุ่นอารมณ์ดีในภาพยนตร์ด้วย สำหรับฉากโคลสอัพที่สำคัญของเขาในโรงถ่ายอื่น ท่าทางที่นิ่งสงบของสแตนลีย์ถูกบันทึกภาพในระบบดิจิตอล และรวมเข้ากับฟุตเทจของอลันที่ลากรถเปล่าบนไฮเวย์ สำหรับการตัดต่อลำดับสุดท้ายที่เหมือนทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน โดยไม่รู้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น
          “หนังเรื่องนี้มีความเข้มข้น โหดเหี้ยม อลังการ” คูเปอร์กล่าว “ผมพูดถึงเรามีการโดดร่มรอบเวกัสตอนกลางคืน มีสัตว์ป่ามาอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ มีเรื่องเพี้ยนๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องพื้นๆ ผมว่าในหนังไม่มีฉากไหนที่ทอดด์หรือใครคิดว่า ‘ทำให้ดีกว่าภาคแรกหรือภาคสองดีกว่า’ ความตั้งใจอยู่ที่การถ่ายทอดเรื่องราวสนุกๆ ให้รู้สึกเหมือนเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นในชีวิตสามคนนี้”
          ในอารมณ์เดียวกัน การพาพวกเขากลับสู่ลอสแองเจลิสในภาคสุดท้ายสุดอลังการของหนังไตรภาค ไม่ได้มีแค่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ควรมอบความสุขอย่างสมบูรณ์แบบด้วย
          “ครั้งนี้เราปิดตำนานได้จริงๆ ในแบบที่สอดคล้องกับเรื่องที่เราสร้างในภาคแรก” แกลิเฟียนาคิสกล่าว “เรามีมุกตลกเด็ดๆ และฉากแอ็คชั่นหลุดโลกหลายฉาก พร้อมทั้งมอบความรู้สึกจากใจหลายอย่างได้อย่างลงตัวอีกด้วย”
          ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความรู้สึกหลายอย่างจากการทำงานในเรื่อง “The Hangover ภาค 3” จะก่อตัวเป็นมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ในบรรดานักแสดงและทีมงานที่ส่วนใหญ่ร่วมงานกันมาทั้งสามภาค
          “มีหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ตะโกนคำว่า ‘แอ็คชั่น’ ตั้งแต่วันแรกในเรื่อง ‘Hangover’” ภาคหนึ่ง ฟิลลิปส์กล่าวว่า “มันเป็นความสุขของเราที่มองย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีก่อนกับหนังทั้งสามเรื่อง คิดถึงความบ้าบอที่เราทำ และสถานที่หาลยแห่งที่เราไปด้วยกัน ตอนที่เราถ่ายฉากสุดท้ายในวันสุดท้าย ผมรู้สึกได้เลยว่าความพิเศษบางอย่างมาถึงจุดจบแล้ว
          “ผมรู้ว่ามันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้สร้างหนังแบบนี้ และสร้างตัวละครที่ผู้ชมให้การตอบรับแบบที่มีให้กับพวกเขา” ผู้กำกับกล่าวต่อ “และผมดีใจที่เราปิดฉากได้สมฐานะของเรื่อง และมอบความอลังการให้หนังได้อย่างที่ควรจะเป็น”

FB on June 01, 2013, 03:59:51 PM
มาสนุกกับเสียงของมิสเตอร์เฉาฟรี!! ก่อนเข้าไปดู The Hangover Part III 30 พฤษภาคมนี้



           มีของเล่นมาให้สนุกกันอีกแล้ว กับแอพพลิเคชั่นเสียงของมิสเตอร์เฉา ตัวละครที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part III ขำๆ ฮากันได้ทั้ง ไอโฟน และ แอนดรอยด์ ค้นหาแอพที่ชื่อว่า “Chow Mouth” สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ไอโฟน : https://itunes.apple.com/us/app/the-hangover/id646813984?mt=8 หรือ แอนดรอยด์ : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.warnerbros.ChowMouthAndroidApp

          ภาพยนตร์ เรื่อง The Hangover ภาค 3 เป็นมหากาพย์แห่งบทสรุปของสุดยอดการผจญภัยสุดวุ่นวาย และการตัดสินใจผิดพลาด พวกเขาต้องสะสางเรื่องที่เคยค้างคาไว้ด้วยการกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ราวทั้งหมดอย่างลาสเวกัส ถ้าเฉาคือตัวการให้เกิดความหายนะ ฟิลและสตูก็เหมือนผู้คอยตามแก้ปัญหา และหากอลันเหมือนตัวแปรที่กำหนดความผิดพลาดและหายนะในทุกย่างก้าว… ดั๊กผู้น่าสงสารคงได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ไม่ว่ายังไง...ทุกอย่างต้องจบลงตรงนี้

          The Hangover Part III - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 3
          30 พฤษภาคมนี้ ได้มันส์ยกก๊วนในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
          ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Hangover3Thailand

FB on June 04, 2013, 09:09:30 AM
กรีน – อัษฎาพร ขอฉายเดี่ยวร่วมแจมงาน The Hangover Part III – Party
 








          ผ่านพ้นไปกับแล้วกับปาร์ตี้เมายกแก๊งค์ แฮงค์ยกก๊วน ที่ทางค่ายหนัง วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ร่วมกับ บริษัท แจ๊ค แดเนียลส์ (ประเทศไทย) กับงาน The Hangover Part III Party ที่งานนี้ได้ดีเจหุ่นล่ำอย่าง ดีเจปอ วรฐก์ ปิฏกานนท์ รับหน้าที่เป็นดีเจเปิดเพลงมันส์ๆพร้อมกับทำหน้าที่เป็นพิธีกรของงาน แถมงานนี้ยังได้นางเอกสาวอย่าง กรีน - อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล ขอฉายเดี่ยวแบบไม่มีใครต้องคอยมาคุม ร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part III - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 3 พร้อมด้วยปิดท้ายถ่ายภาพหมู่ ก่อนเข้าไปดูภาพยนตร์

          ภาพยนตร์เรื่อง The Hangover ภาค 3 เป็นมหากาพย์แห่งบทสรุปของสุดยอดการผจญภัยสุดวุ่นวาย และการตัดสินใจผิดพลาด พวกเขาต้องสะสางเรื่องที่เคยค้างคาไว้ด้วยการกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอย่างลาสเวกัส ถ้าเฉาคือตัวการให้เกิดความหายนะ ฟิลและสตูก็เหมือนผู้คอยตามแก้ปัญหา และหากอลันเหมือนตัวแปรที่กำหนดความผิดพลาดและหายนะในทุกย่างก้าว… ดั๊กผู้น่าสงสารคงได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ไม่ว่ายังไง...ทุกอย่างต้องจบลงตรงนี้

          The Hangover Part III - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 3
          30 พฤษภาคมนี้ ได้มันส์ยกก๊วนในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
          ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Hangover3Thailand

FB on June 04, 2013, 09:30:44 AM
The Hangover Part III - Open End Interviews 'Bradley Cooper, Ed Helms & Zach Galifianakis' ซับไทย
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=OwcPatJaUbA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=OwcPatJaUbA</a>

The Hangover Part III - Open End Interviews 'Justin Bartha & Heather Graham' ซับไทย
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=UT-tztFVrlo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=UT-tztFVrlo</a>

The Hangover Part III - Open End Interviews 'Ken Jeong' ซับไทย
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=k7xKbPeNUJA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=k7xKbPeNUJA</a>

The Hangover Part III - Open End Interviews 'Todd Phillips' ซับไทย
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=en8iacJayb8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=en8iacJayb8</a>
« Last Edit: June 07, 2013, 08:11:49 AM by FB »