ทีมนักแสดงผู้ติดเชื้อ:
แน่นอน ส่วนสำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือตัวซอมบี้ ฟอร์สเตอร์และทีมงานอยากให้เกียรติภาพยนตร์แนวนี้ แต่ก็ไม่อยากถูกจำกัดขอบเขต เพื่อสร้างงานที่ไม่เหมือนใครและเหมาะกับเรื่องราวนี้โดยเฉพาะ
“เมื่อพูดถึงหนังซอมบี้แล้ว สุดท้ายทุกคนก็จะย้อนกลับไปหาหนังของ จอร์จ โรเมโร่ เพราะพวกมันเป็นผลงานที่ทุกคนชื่นชม เมื่อเร็วๆ นี้ มีเรื่อง ‘28 Days Later’ ฉะนั้น ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ คุณพยายามลองทำอะไรใหม่ๆ และแตกต่าง ถึงแม้คุณจะกำลังทำงานอยู่ในกรอบเดิมของประวัติความเป็นมาของมันก็ตาม และนั่นก็คือสิ่งที่เราพยายามทำกับหนังเรื่องนี้ มีองค์ประกอบคลาสสิกเกี่ยวกับซอมบี้ที่เรานำมาใช้ แต่การเคลื่อนไหวและแรงจูงใจของพวกมันจะต่างออกไป” ฟอร์สเตอร์อธิบาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมผู้สร้างได้อิงพฤติกรรมของซอมบี้ตาม “ทฤษฎีฝูง” ซึ่งเป็นรูปแบบการเคลื่อนไหวที่พบเห็นได้ในธรรมชาติที่ฟอร์สเตอร์เน้นย้ำ แม้กระทั่งก่อนที่สิ่งมีชีวิตผิดธรรมชาติพวกนี้จะปรากฏให้เห็นบนจอ
“มันมีรูปแบบที่ฝูงนกหรือมดเคลื่อนที่ไปด้วยกัน แทบจะเป็น ‘เชาว์ปัญญาแบบฝูง’ ผมว่ามันน่าสนใจที่ได้เห็นซอมบี้เหล่านี้ ซึ่งไม่ได้มีสติปัญญาอะไรเพราะพวกมันก็คือซากศพเดินได้ มีปฏิกิริยาในแบบที่เหมือนมีความคิดแบบฝูง ไม่มีทิศทางที่แท้จริง เพราะซอมบี้เป็นพวกฆ่าไม่ตาย แต่เมื่อมองภาพรวมแล้ว มันเหมือนมีสติแบบจิตใต้สำนึกอยู่”
เมื่อพวกมันเคลื่อนที่ไปด้วยความโกลาหล พวกซอมบี้จะเป็นตัวอันตรายที่สุด อย่างไรก็ดี พวกมันไม่ได้มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงตลอดเวลา ใน ‘World War Z’ ภาพที่เยี่ยมที่สุดแต่ยังคงน่าหวาดกลัวที่สุดที่เราได้เห็นพวกซอมบี้ก็คือตอนที่พวกมันนิ่งสงบอยู่
“เมื่อพวกมันไม่ได้รับแรงกระตุ้น พวกมันจะเฉื่อยชา เชื่องช้า และเดินไปเรื่อยๆ แต่ในยามวุ่นวายโกลาหลเพราะได้กลิ่นอาหาร มันแทบจะเหมือนฉลามได้กลิ่นเลือด ในวินาทีที่พวกมันรู้สึกว่ามีบางอย่างให้โจมตีได้ พวกมันจะพุ่งเข้าใส่ และนั่นคือสิ่งที่เราสร้างให้เห็นตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าพวกมันถูกดึงดูดได้ด้วยเสียง” ฟอร์สเตอร์อธิบาย
ทางทีมผู้สร้างได้สร้างเรื่องราว “ความเป็นมา” ที่น่าเชื่อให้กับพฤติกรรมของซอมบี้ เพื่อจะทำเช่นนั้น พวกเขาต้องทำเช่นเดียวกับเจอร์รี่ นั่นก็คือการเริ่มต้นด้วยจุดกำเนิดของมัน
“เราต้องทำงานมากมายที่เกี่ยวกับการศึกษาตำนานซอมบี้ในแง่ของวิทยาศาสตร์ เราได้จ้างที่ปรึกษาหลายคนที่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เชื้อโรคที่แพร่กระจายเชื้อได้ ไปจนถึงพฤติกรรมของรังผึ้ง จนถึงระบบกลไกการป้องกันตัวของร่างกาย ตัวอย่างเช่น คนเราหรือสัตว์ป้องกันตัวเองเมื่อเผชิญหน้ากับปาราสิตอย่างไร และพวกมันเอาชีวิตรอดได้อย่างไร สำหรับพวกเราแล้ว ดูเหมือนจะมีความน่าสนใจมากขึ้นที่เราจะวางรากฐานซอมบี้ของเราเอาไว้ในความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพวกมันไม่มีจริง จากนั้นในช่วงที่สองก็คือการค้นหาว่าจะแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาอย่างไร เมื่อคุณเข้าไปอยู่ในกลุ่มความคิดนั้นได้ ประตูบานอื่นๆ ก็เริ่มเปิดขึ้น มีซอมบี้ที่เพิ่งเปลี่ยนร่าง การเปลี่ยนร่างนั้นจะดูเป็นอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหน และมันจะหันเข้าหาคนอื่นเร็วแค่ไหน มันต้องการการกระตุ้นหรือไม่ที่จะเป็นเช่นนั้น อะไรคือเงื่อนไขที่จะกระตุ้นพวกซอมบี้ ซอมบี้ควรหน้าตาเป็นยังไงเมื่อเป็นซอมบี้มานานหนึ่งชั่วโมง กับซอมบี้ที่เป็นมาแล้วหนึ่งเดือน จากนั้นยังมีคำถามเรื่องความเร็ว ตามประวัติที่เคยมีมา ซอมบี้จะเคลื่อนไหวช้ามาก แต่เราต้องการทั้งซอมบี้ที่ช้าและเร็ว เพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในภาพยนตร์ของเราเอื้ออำนวยให้เป็นไปได้” การ์ดเนอร์อธิบาย
เพื่อสร้างกองทัพซอมบี้ ทีมงานต้องใช้การผสมผสานทั้งงานเอฟเฟ็กต์และนักแสดง ซึ่งมีทั้งแดนเซอร์, ทีมสตั๊นต์, การติดอวัยวะปลอม การแต่งหน้า เทคนิคซีจีไอ และการเคลื่อนกล้องที่ผ่านการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ซอมบี้ทุกตัวจะไม่เหมือนกันในแต่ละฉาก ซอมบี้แต่ละตัวจะมีท่วงท่าการเคลื่อนไหวเฉพาะ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย อเล็กซานดร้า เรย์โนลด์ส มนุษย์คนแรกที่เราเห็นว่าติดเชื้อซอมบี้ รับบทแสดงโดย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนไหว ไรอัน เพอร์กิ้นส์-แกงเนส
“ผมศึกษาว่าผู้คนเริ่มเคลื่อนไหวอย่างไรเมื่อพวกเขาเกิดอาการลมชัก และเราอิงการเปลี่ยนแปลงจากคนเป็นซอมบี้จากลักษณะเช่นนั้น ไรอันเป็นศิลปินการเคลื่อนไหวที่สุดยอดมาก และเขาเก่งมากในการแสดงให้เห็นท่าทางของนักแสดงที่บิดงอร่างกายในแบบที่ผิดธรรมชาติได้ ผมหมายความว่าเราเพิ่มในส่วนของเส้นเลือดที่โป่งแตก และเราได้เห็นดวงตาของเขาที่เปลี่ยนไปด้วยเทคนิคซีจีไอ ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผม ผมคิดว่าเมื่อดวงตาเปลี่ยนไป คนๆ นั้นก็คือศพเดินได้” ฟอร์สเตอร์บอก
ว่าที่ซอมบี้ทั้งหลายได้เรียนรู้ท่าทางการเดินและเคลื่อนไหวของพวกเขาในการเวิร์กช้อปตอนเตรียมงาน ที่ซึ่งพวกเขาได้ดึงเอาอิทธิพลต้นแบบมาจากหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย ตั้งแต่แมลง จนถึงการโจมตีของสุนัขตำรวจ จนถึงการแสดงของ ฮาเวียร์ บาร์เด็ม จากภาพยนตร์เรื่อง ‘No Country for Old Men”
“เราเริ่มต้นด้วยความพยายามคิดหาสภาพความคิดของซอมบี้ ดังนั้นเราจึงคิดถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่อาจจะมีตัวละครสักตัวที่ไร้ความเป็นมนุษย์ เราคิดว่าตัวละครของ ฮาเวียร์ บาร์เด็มในเรื่อง ‘No Country for Old Men’ มีฟีลลิ่งที่น่าสนใจอยู่ ดังนั้นเราจึงใช้เวลามากมายพยายามที่จะสร้างความรู้สึกในการเป็นเขาขึ้นมา การเคลื่อนไหวจึงเกิดมาจากข้างใน อเล็กซ์นำเอาภาพแมลงขณะกินอาหารเข้ามาหลายแบบ ทั้งลักษณะการแย่งชิงและความทรหดของพวกมัน ความเร็วของพวกมันมีตั้งแต่เร็วจนถึงช้า เป็นจังหวะ และกลับมาเร็วอีกครั้ง เธอยังนำภาพวิดีโอของสุนัขตำรวจอิสราเอลมาให้ดู ลักษณะที่พวกมันงับด้วยกราม และร่างกายของมันจะพุ่งเร็วมาก สันหลังเหมือนจะบิดไปมาทุกที่ ดังนั้นเราจึงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายแมลงที่จ้องจะงับโดยปราศจากความเป็นมนุษย์ หรือการรับรู้ถึงอนาคตหรืออดีต พวกมันมุ่งแต่ช่วงเวลาตรงหน้าเท่านั้น” เพอร์กิ้นส์-แกงเนสอธิบาย
อเล็กซานดร้า เรย์โนลด์สยังได้ทำงานกับ แอนิเมชั่น ไดเร็คเตอร์ แอนดี้ โจนส์ และ “กองทัพ” ซอมบี้ของเธอ เพื่อสำรวจและปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของพวกมัน เธอทำการค้นคว้ามากมายเพื่อออกแบบท่วงท่าการร่ายรำที่ดูสยดสยองของพวกมัน
“ตัวบทหนังมีภาพสุดมหัศจรรย์ที่เข้ากันดีกับความคิดของฉัน ฉันอยากได้เอฟเฟ็กต์ที่ดูให้ความรู้สึกลึกและจริง และจะต้องคงอยู่กับตัวพระเอกและคนดูต่อไป ฉันอ่านวารสารการแพทย์ยุควิคตอเรียน ฉันทดสอบว่าร่างกายคนเราสามารถเกิดอาการช็อคและเกิดอาการอัมพาตอย่างไร ตลอดเวลาที่เรามองหาบางอย่างที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ในฐานะมนุษย์ แต่สามารถอยู่ในสิ่งที่ยังเป็นไปได้ ฉันไม่อยากหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแฟนตาซี ฉันอยากให้มันดูหดหู่ยิ่งกว่านั้น แรงบันดาลใจของมาร์คก็คือซอมบี้จะต้องโดดเด่นและแตกต่าง และเขาขอให้ฉันคิดและทดลองเพื่อหารูปแบบภาษาใหม่ที่ว่า” เรย์โนลด์สอธิบาย
เมย์ส รูบีโอ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้ร่วมกันสร้าง “ภาษาใหม่” ที่ว่านี้โดยได้สร้างภาพลักษณ์จำเพาะให้กับซอมบี้แต่ละตัว
“เราอยากแสดงขั้นตอนการเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นซอมบี้ผ่านเสื้อผ้าด้วย ไม่ใช่ทุกคนจะต้องโดนกัดแบบเดียวกัน ไม่ใช่ทุกคนจะเจ็บในแบบเดียวกัน ถ้าคุณลองดูซอมบี้ทุกตัวที่เรามี หนึ่งในนั้นจะมีการออกแบบเป็นพิเศษ ซึ่งรวมถึงเรื่องของความเก่าของเสื้อผ้า สภาพของเสื้อผ้า ปริมาณเลือด เราอยากแสดงให้เห็นว่าซอมบี้แต่ละตัวมีความแตกต่างกันในหลายสภาพของการแพร่ระบาด ทั้งหมดนี้เกิดมาจากผู้กำกับของเรา มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ที่เป็นผู้นำปฏิบัติการซอมบี้ในครั้งนี้” รูบีโออธิบาย
บ่อยครั้งที่ความใส่ใจในรายละเอียดทั้งหมดนี้ เผยให้เห็นในภาพเหตุการณ์ชอตใหญ่ๆ ซึ่งรวมถึงการเผยให้เห็นภาพอันน่าสยดสยองเมื่อซอมบี้ป่ายปีนกันจนกลายเป็นกำแพง “แข็งแกร่ง” บ่อยครั้งที่ฟอร์สเตอร์หันไปใช้ชอตป่ายปีนที่รวดเร็ว และละเว้นการใช้การตัดภาพอย่างรวดเร็วหรือการใช้เฟรมภาพแบบสั่นไหว
“มีหนังอยู่หลายเรื่องที่จะใช้งานกล้องที่ดูสั่นไหวสับสนและสไตล์การตัดต่อมาช่วย ในหนังเรื่องนี้ เราเลือกที่จะใช้งานกล้องที่ดูนิ่งมากกว่า ไอเดียที่ให้ซอมบี้หลายพันตัวพยายามที่จะไต่ข้ามกำแพง ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ยิ่งใส่พวกมัน ผมว่าฉากเหล่านั้นถูกสร้างออกมาดีเยี่ยมที่สุดแล้ว” เอียน ไบรซ์ บอก
อันที่จริง นอกจากงานเคลื่อนเครนกล้องตามรูปแบบเดิมๆ แล้ว พวกเขาใช้เฮลิคอปเตอร์ในการถ่ายทำฉากที่ยิงใส่ซอมบี้เหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการยิงกระสุนออกไปจริงๆ ก็ตาม
“เราถ่ายทำฉากเฮลิคอปเตอร์เยอะมากในมอลต้า” ไบรซ์เล่า “บางครั้งคุณต้องขึ้นไปอยู่ในเฮลิคอปเตอร์เพื่อจับภาพความยิ่งใหญ่ของฉากนั้น”