happy on March 23, 2012, 03:18:02 PM

จัดจำหน่ายโดย      เอ็ม พิคเจอร์ส  
ภาพยนตร์เรื่อง               One For The Money
ชื่อภาษาไทย      สาวเลิศล่าคนแรด
ภาพยนตร์แนว      แอ็คชั่น - คอมเมดี้
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      12 เมษายน 2555
ณ โรงภาพยนตร์      ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ          Julie Anne Robinson
อำนวยการสร้าง      Wendy Finerman

นักแสดง   Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล)  ผลงานเรื่อง New Year’s Eve ,The Ugly Truth, 27 Dresses, The Wedding
Jason O’Mara  (เจสัน โอ’มารา)  ผลงานชื่อดังเรื่อง Band of Brothers, Resident Evil: Extinction , ซีรี่ส์ The Agency, Grey’s Anatomy, Men in Trees
Daniel Sunjata  (แดเนียล ซันจาตา)  จากภาพยนตร์ Batman: The Dark Knight Rises, Gone,  Rescue Me, The Devil Wears Prada, Ghosts of Girlfriends Past
John Leguizamo (จอห์น เลอกุยซาโม) จากภาพยนตร์เรื่อง The Lincoln Lawyer, Vanishing on 7th Street, Nothing Like the Holidays, Moulin Rouge, King of the Jungle
Debbie Reynolds (เด็บบี้ เรย์โนลด์ส) จากภาพยนตร์เรื่อง  The Unsinkable Molly Brown, Susan  Slept Here, Tammy and The Bachelor

จุดเด่น   ภาพยนตร์เรื่อง One for the Money สร้างจากนิยายขายดีระดับ Best Seller ของ“Janet Evanovich”  (เจเน็ต อีวาโนวิช) มีการนำมาตีพิมพ์ที่ประเทศไทยภายใต้ชื่อ “วีรกรรมทำเพื่อเงิน” นำแสดงโดย Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล) ร่วมด้วย Jason O’Mara  (เจสัน โอ’มารา), Daniel Sunjata (แดเนียล ซันจาตา), John Leguizamo (จอห์น เลอกุยซาโม),  Debbie Reynolds (เด็บบี้ เรย์โนลด์ส) ภาพยนตร์แอ็คชั่นคอมเมดี้ สุดสนุกสนาน กำกับการแสดงโดย Julie Anne Robinson (จูลี แอนน์ โรบินสัน) และ อำนวยการสร้างโดย Wendy Finerman (เวนดี้ ไฟเนอร์แมน) บทภาพยนตร์โดย Stacy Sherman (สเตซี เชอร์แมน), Karen Ray (คาเรน เรย์) และ Liz Brixius (ลิซ บริเซียส)


เรื่องย่อ






               Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) เด็กสาวเจอร์ซีย์ สวยเริ่ด!เชิด!หยิ่ง! ดีกรีความแร๊งส์!!!ระดับตัวแม่ แต่ต้องจับพลัดจับผลูมาเป็น “นักล่าพวกหนีประกัน” จำเป็น หลังจากที่เธอถังแตกต้องเตะฝุ่นมานานกว่าหกเดือน  แถมรถของเธอยังถูกคนตามทวงหนี้ยึดไปเสียนี่ ด้วยความต้องการเงินแบบด่วนจี๋ Stephanie (สเตฟานีย์ ) จึงต้องหันไปหาตัวช่วยสุดท้าย ด้วยการพยายามเกลี้ยกล่อม Vinnie Plum (วินนี่ พลัม) ลูกพี่ลูกน้องจอมเจ้าเล่ห์ให้รับเธอเข้าทำงานที่บริษัทนายหน้าค้ำประกันผู้ต้องหาของเขา…ในฐานะนักล่าพวกหนีประกัน การรับหน้าที่เป็น “นักล่าพวกหนีประกัน” ของ Stephanie(สเตฟานีย์) ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับ Joe Morelli (โจ โมเรลลี) หนุ่มหล่อเซ็กซี่เสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจที่เคยหว่านเสน่ห์จนทำให้ Stephanie (สเตฟานีย์)อกหักเมื่อสมัยไฮสคูล ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม และเป็นผู้ต้องหาหนีประกันตัวพระกาฬ ที่ Vinnie (วินนี่ ) กำลังตามล่าหาตัวอยู่     
             การจับตัว Joe Morelli (โจ โมเรลลี) ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแก้แค้นที่สาสมแล้ว Stephanie (สเตฟานีย์) ยังคงได้รับค่าเหนื่อยเป็นเงินก้อนโต  เธอจึงกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้วิธีการในการเป็นนักล่าพวกหนีประกันจาก Ranger (เรนเจอร์) เพื่อนร่วมงานหนุ่มหล่อที่เป็นมือฉมังตัวพ่อ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Stephanie (สเตฟานีย์) ต้องตามล่าอดีตคนเคยแอบรักเก่าสมัยวัยเด็ก เธอจะคว้าน้ำเหลวจากภารกิจนี้หรือไม่ และเธอจะมีวิธีจัดการกับศัตรูหัวใจอย่างไร งานนี้คงไม่หมูอย่างที่เธอคิดซะแล้วซิ!!!!
« Last Edit: March 25, 2012, 06:52:54 PM by happy »

happy on March 23, 2012, 03:20:15 PM





เกี่ยวกับงานสร้างภาพยนตร์

               การปรากฏตัวครั้งแรกในเบสต์เซลเลอร์ปี 1994 เรื่อง One For The Money เด็กสาวชาวนิวเจอร์ซีย์ที่ผันตัวไปเป็นนักล่าพวกหนีประกันได้ไขคดีอาชญากรรมและเก็บตัวผู้ร้ายได้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเรื่องราวในหนังสือเบสต์เซลเลอร์ยอดนิยมทั่วโลกสิบแปดเล่ม ในฐานะนักล่าพวกหนีประกัน ประวัติของ Stephanie (สเตฟานีย์)ไร้จุดด่างพร้อย แต่เธอเอาชนะใจผู้อ่านทั่วโลกได้จากความเป็นมนุษย์ที่โอบอ้อม มากกว่าพลังในการสืบสวนของเธอ “เธอมีความเป็นฮีโรในแบบเล็กๆ ค่ะ” Evanovich (อีวาโนวิช) บอก “เธอก้าวเท้าทีละข้าง และท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ภูมิใจกับความสำเร็จของตัวเองค่ะ”
   ย้อนกลับไปในปี 1994 Evanovich (อีวาโนวิช) ไม่คิดฝันเลยว่า Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) จะทำให้เธอมีแฟนผลงานทั่วโลกและส่งให้เธอกลายเป็นนักเขียนนิยายอาชญากรรมระดับแนวหน้า และหลังจากสิบเจ็ดปีที่ฮอลลีวู้ดให้ความสนใจ เธอจะได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีดาราดังอย่าง Katherine Heigl  (แคทเธอรีน ไฮเกล) เนรมิตชีวิตให้กับ Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) “การได้เห็น One For The Money ถูกสร้างเป็นหนังหลังจากหลายปีเหลือเกินนี้…มันน่าสะพรึงกลัวค่ะ” นักเขียนสาวยอมรับ “มันทั้งน่าตื่นเต้น วิเศษสุด มหัศจรรย์ ฉันรักหนังเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”
   Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล) จากผลงานซีรีส์เรื่อง Frey’s Anatomy และภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลาย 200 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง The Ugly Truth, 27 Dresses และ Knocked Up  กระตือรือร้นอย่างยิ่งในการตอบรับโอกาสที่จะได้แสดงบท Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) บนหน้าจอ “สำหรับฉันแล้ว สิ่งสำคัญคือเรื่องราว และมันก็ขึ้นอยู่กับว่าฉันชอบหรือไม่ชอบตัวละครนั้นๆ และมันก็เป็นข้อจำกัดของฉันค่ะ” นักแสดงสาวยอมรับ “แต่ Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) สนุกมากและมีชีวิตชีวามาก ฉันตกหลุมรักเธอค่ะ”
   เมือสิบหกปีก่อน ก่อนที่มันจะวางแผงและติดอันดับเบสต์เซลเลอร์One For The Money ได้สะดุดความสนใจของผู้อำนวยการสร้างเวนดี้ ไฟเนอร์แมน “ตอนที่ฉันได้อ่านต้นฉบับ ฉันคิดว่าสเตฟานีย์ พลัมเป็นตัวละครที่สนุกสนานและเข้าถึงได้มากที่สุดเท่าที่ใครๆ จะเข้าถึงได้ค่ะ” ไฟเนอร์แมนเล่า “เธอเป็นเหมือนผู้หญิงทุกคนหน่อยๆ เธอกล้าพูด โผงผางและสนุกสนาน และเธอก็เจอปัญหาตอนที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เธอต้องกลับบ้านเกิดและพยายามสะสางปัญหาของตัวเองค่ะ”
   Finerman (ไฟเนอร์แมน) ใช้เวลาหลายปีพัฒนาภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา และเธอก็ได้ร่วมงานกับมือเขียนบทหลายคนเพื่อปรับเปลี่ยนเรื่องราวนี้หลายครั้ง มีตอนหนึ่ง มีการพิจารณาถึงการสร้างซีรีส์ Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) ขึ้นมาอย่างจริงจังแต่ Finerman (ไฟเนอร์แมน) ก็ยังรู้สึกว่า            การดัดแปลงเหล่านั้นไม่ได้ถ่ายทอดอะล็อคคมกริบของ Evanovich (อีวาโนวิช) และการผสมผสานความลุ้นระทึกและคอมเมดี้ที่เกิดจากตัวละครอย่างลงตัว “เจเน็ตทำได้อย่างน่าทึ่งในการผสมผสานอารมณ์ขันและดรามาเข้าด้วยกันค่ะ” เธออธิบาย “นั่นเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดลงในหนังได้ยากมากๆ แล้วเธอก็ละเอียดมากในงานเขียนของเธอ ดังนั้น การถ่ายทอดโลกที่เธอสร้างขึ้นและความแก่นเซี้ยวที่เธอใส่ลงไปในตัว Stephanie (สเตฟานีย์) ก็เลยเป็นเรื่องยากค่ะ” ท้ายที่สุดแล้ว โปรเจ็กต์นี้ก็ได้เดินทางไปสู่เลคชอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ ที่ซึ่ง Finerman (ไฟเนอร์แมน) ได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างTom Rosenberg (ทอม โรเซนเบิร์ก)และGary Lucchesi (แกรี ลุชเชซี)  “ผมรู้จักเรื่องนี้จากภรรยาของผมครับ” Lucchesi (ลุชเชซี) เล่า “ทุกปี เธอจะเอาหนังสือเจเน็ต อีวาโนวิชอีกเล่มกลับมาบ้าน และถึงตอนหนึ่ง ก็มีหนังสือเรื่องนี้สิบสองเล่มบนชั้นหนังสือแล้ว วันหนึ่ง ผมหันไปถามเธอว่า ‘หนังสือพวกนี้เป็นยังไงบ้าง’ เธอบอก ‘มันเป็นหนังสือที่วิเศษสุด’ ผมก็เลยอ่านหนังสือสามเล่มแรกและคิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก ในตอนนั้น บังเอิญเป็นตอนที่เรากำลังถ่ายทำ The Ugly Truth สำหรับโซนี พิคเจอร์สพอดี และเราก็เลยรู้ว่าโซนีครอบครองสิทธิของเรื่องนี้อยู่ครับ”
   เช่นเดียวกับ Finerman (ไฟเนอร์แมน), Lucchesi (ลุชเชซี) และ Rosenberg (โรเซนเบิร์ก) รู้ว่าการแปลงโทนที่สว่างไสวของ Evanovich           (อีวาโนวิช) ลงสู่ภาพยนตร์เป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จของโปรเจ็กต์นี้ “ผมสนใจความจริงที่ว่า Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) เป็นฮีโรชนชั้นแรงงานครับ” Rosenberg (โรเซนเบิร์ก) บอก “และผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอเรื่องนั้นให้กับผู้ชม Stephanie (สเตฟานีย์) ไม่ใช่หมอหรือทนายความ เธอเป็นคนที่เข้าถึงได้มากๆ และเราก็คิดว่าความซื่อสัตย์และความเปราะบางจะทำให้เธอเป็นตัวละครที่ผู้ชมสามารถเข้าใจได้น่ะครับ”   แต่การหามือเขียนบทที่ใช่เป็นเรื่องยาก Lucchesi (ลุชเชซี) อธิบายว่า “จนกระทั่งลิซ บริเซียส ผู้อยู่เบื้องหลัง Nurse Jackie เข้ามา เราถึงได้พบมือเขียนบทที่สามารถถ่ายทอดแก่นแท้ของเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริงครับ”
   “ลิซไม่เพียงแต่นำประสบการณ์ของเธอในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมาสู่โปรเจ็กต์นี้เท่านั้น” Rosenberg (โรเซนเบิร์ก)ตั้งข้อสังเกต “แต่เธอยังนำความรักที่มีต่อหนังสือเรื่องนี้และต่อตัวสเตฟานีย์เองมาด้วย เธอยอดเยี่ยมมากในการนำทางการเดินทางของตัวละครตัวนี้จากหน้าหนังสือสู่จอเงินครับ”
   สำหรับบริเชียส การดัดแปลง One For The Money ขึ้นสู่จอเงินไม่ได้เป็นแค่งานธรรมดาๆ “สำหรับฉันแล้ว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นประมาณเมื่อ 10 ปีก่อนเมื่อพี่สาวฉันยื่นนิยายเรื่องหนึ่งให้ฉันอ่านระหว่างนั่งเครื่องบินกลับบ้าน จากแอลเอไปมินนิอาโพลิส” บริเชียสเล่า “ฉันได้อ่าน One For The Money และตกหลุมรักหนังสือเรื่องนี้ แล้วฉันก็ได้อ่านเล่มสอง เล่มสาม พี่สาวฉันอ่านเรื่องนี้ทุกเล่มเลย แล้วฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการฉันตอนที่ฉันอยู่กองถ่าย Nurse Jackie ว่า ‘เลคชอร์อยากให้คุณอ่าน One For The Money หน่อย’ แล้วฉันก็แบบ ‘ฉันเคยอ่าน One For The Money แล้ว ฉันรู้จัก One For The Money และฉันก็รัก One For The Money’ น่ะค่ะ”
   หลังจากที่เธอได้งานนี้ บริเชียสก็รู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ที่เธอได้ตอบรับอย่างกระตือรือร้น “มันเกิดขึ้นจากมันสมองของ Evanovich (อีวาโนวิช)ค่ะ” เธออธิบาย “และมันก็เป็นที่รักของผู้คนนับล้านๆ คน ทำให้คุณอยากจะสร้างงานที่คู่ควรกับมันค่ะ”
   ในขณะเดียวกัน Lucchesi (ลุชเชซี) และ Rosenberg (โรเซนเบิร์ก) ก็ได้สนิทสนมกับ Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล)ในกองถ่าย The Ugly Truth และคิดว่า Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) น่าจะเป็นการพลิกบทที่น่าสนใจสำหรับนักแสดงสาว Lucchesi (ลุชเชซี) อธิบายว่า “Katherine     (แคทเธอรีน) เป็นนักแสดงที่น่าสนใจและมีพรสวรรค์สูง เราอยากจะเห็นเธอรับบทตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และแปลกไปจากธรรมดานิดๆ และเธอก็ตอบรับความท้าทายนั้นครับ”
   Rosenberg (โรเซนเบิร์ก) กล่าวต่อไปว่า “พรสวรรค์ของ Katherine (แคทเธอรีน) อยู่ที่ความหลากหลาย เธอสามารถแสดงได้ทั้งคอมเมดี้ โรแมนซ์ ดราม่า และทั้งหมดนั้นก็อยู่ในบทของ One For The Money ในหนังเรื่องนี้ เธอคือ Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) จริงๆ เธอไม่ใช่ Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล)ครับ”   ไม่เพียงแต่ Heigl (ไฮเกล)จะต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น แต่เธอยังต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของแฟนๆ หลายล้านคนอีกด้วย “เคทีมีภาระหนักเพราะฐานแฟนของเรื่องน่ะครับ” Rosenberg (โรเซนเบิร์ก)กล่าว “ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเองว่า      Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) ควรจะเป็นอย่างไร เคทีจะต้องทำให้มันเป็นบทของเธอแต่ก็แสดงตามที่แฟนๆ คาดหวังไว้ด้วย มีไม่กี่คนหรอกครับที่สามารถทำแบบนั้นได้”
   “โปรเจ็กต์นี้เป็นภูเขาเล็กๆ ที่ฉันจะต้องปีนในปีนี้ค่ะ” Heigl (ไฮเกล)กล่าว “ฉันรู้สึกพึงพอใจในหลายๆ ระดับ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้และได้ปีนขึ้นไปบนภูเขาและได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่งดงามน่ะค่ะ”  หลังจากได้เห็นการแสดงของ Heigl (ไฮเกล) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ Evanovich (อีวาโนวิช)ก็ไม่สามารถจินตนาการนักแสดงหญิงคนอื่นมารับบทนี้ได้เลย “Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล) มีพรสวรรค์อย่างมากค่ะ” เธอกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เธอทั้งกล้า บ้าบิ่น แต่ก็กลัว เปราะบาง เธอเซ็กซี เธอมีอารมณ์ที่หลากหลายมากในหนังเรื่องนี้ และเธอก็ถ่ายทอดมันออกมาได้ทั้งหมด เธอเดินเหมือนพลัม พูดเหมือนพลัม เธอคือสเตฟานีย์จริงๆ ค่ะ”
   เมื่อได้ Heigl (ไฮเกล)มาแล้ว ทีมงานสร้างก็ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดไปกับการทำงานให้คู่ควรกับเนื้อเรื่องต้นฉบับ ซึ่งก็หมายถึงการหานักแสดงสมทบชั้นยอด และสร้างลุ๊คที่ใช่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ อย่างที่Gary Lucchesi (แกรี ลุชเชซี) อธิบายว่า “เราพยายามที่จะซื่อตรงต่อแฟนๆ ของหนังสือเรื่องนี้ เราให้ความใส่ใจมากๆ กับทุกรายละเอียดครับ”
   “ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ที่จะต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” Heigl (ไฮเกล) ผู้รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างด้วย กล่าวเสริม “คุณไม่อยากจะทำให้แฟนๆ รู้สึกผิดแปลกไปหรอกค่ะ พวกเขาเป็นคนที่สร้างแฟรนไชส์นี้ขึ้นมา พวกเขาเป็นคนที่เนรมิตชีวิตให้กับสเตฟานีย์และตัวละครเหล่านี้หลังจากหนังสือเล่มแรกนี่คะ”
   ผู้กำกับ Julie Anne Robinson (จูลี แอนน์ โรบินสัน) ได้อาศัยนิยายเรื่องนี้เป็นแนวทางครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันอ่านมันเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ แม้แต่เรื่องของสีกระโปรงค่ะ” Robinson (โรบินสัน) เผย “ฉันดึงคำอธิบายถึงอพาร์ทเมนต์ของ Stephanie (สเตฟานีย์) จากในหนังสือด้วย มันจะต้องเป็นอาคารสร้างด้วยอิฐสีแดง จะต้องเป็นสถานที่ที่คนชราวัยเกษียณอายุแล้วจำนวนมากสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ อย่างคุณนายเดลกาโด้ ที่อาศัยอยู่ตรงข้ามกับ Stephanie (สเตฟานีย์) เธอก็อยู่ในหนังสือด้วย การที่สเตฟานีย์ดื่มบิ๊กกัล์พ การที่เธอให้อาหารเร็กซ์ด้วยแคร็กเกอร์ยี่ห้อริทซ์ เราสนใจแม้แต่รายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด กรงจริงๆ ของเร็กซ์เหมือนกับกรงที่ถูกบรรยายถึงในหนังสือด้วยค่ะ”
   “Julie Anne (จูลี แอนน์) เข้ามาในโปรเจ็กต์นี้พร้อมด้วยพลังงาน ความรักและความมุ่งมั่นที่เหลือเชื่อค่ะ” Heigl (ไฮเกล) บอก “เธอมีสมาธิอย่างเหลือเชื่อและฉันก็ไม่เคยเห็นเธอเหนื่อยหรือหมดแรงเลย และฉันก็คิดว่าเธอทำงานอย่างวิเศษสุดในการคัดเลือกนักแสดงของเรื่องนี้ ในโลเกชัน การออกแบบฉาก ทุกอย่างเลย ทั้งลุคและความรู้สึกที่เหมาะสมของหนังเรื่องนี้ สมดุลระหว่างคอเมดีและดรามา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะ Julie Anne (จูลี แอนน์)ค่ะ”
« Last Edit: March 25, 2012, 06:54:06 PM by happy »

happy on March 23, 2012, 03:23:39 PM





เกี่ยวกับตัวละคร

              นักแสดงหนุ่ม Jason O’Mara  (เจสัน โอ’มารา) ผู้รับบท Joe Morelli (โจ โมเรลลี) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยกย่อง Robinson (โรบินสัน)และทิศทางการกำกับที่ชัดเจนของเธอสำหรับความมีชีวิตชีวาในการแสดงของนักแสดง “เธอเป็นสิ่งที่คุณต้องการจากผู้กำกับจริงๆ ครับ คุณจะเตรียมพร้อมมา คุณรู้ว่าคุณอยากจะเล่นฉากนั้นๆ ยังไง แต่พอเธอพูดอย่างหนึ่งกับคุณ มันก็จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่คุณพูดบท แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา จูลีรู้ดีว่าเธอต้องการอะไร และเธอก็ไม่เคยลังเลเลย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เปิดรับฟังไอเดียต่างๆ เธอเป็นคนที่ให้ความร่วมมือดีมากๆ และมันก็ทำให้ทุกคนในหนังเรื่องนี้มีความรู้สึกของความเป็นเจ้าของและความภาคภูมิในในผลงานของพวกเขา หวังว่ามันจะสื่อความรู้สึกแบบนั้นในเรื่องนะครับ”
   “Joe Morelli (โจ โมเรลลี) จะต้องมีอารมณ์ขัน กลิ่นไออันตราย จะต้องหล่อ แต่ก็ต้องสมจริงด้วย” Rosenberg (โรเซนเบิร์ก)บอก“คุณจะต้องเชื่อว่าเขามาจากเทรนตันและเชื่อว่าเขาเป็นตำรวจ มันเป็นบทที่แสดงได้ยากมาก แต่เจสันก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย”
   “สำหรับJason (เจสัน) และKathy (เคที) เราได้แสดงสองคนที่สามารถแสดงประกบกันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อค่ะ” ผู้กำกับ Julie Anne Robinson (จูลี แอนน์ โรบินสัน)กล่าว “เธอเป็นนักแสดงหญิงที่ทรงพลังและเขาก็ต่อกรเธอได้อย่างยอดเยี่ยมในฉากที่พวกเขาเล่นด้วยกัน มันมีความตึงเครียดและประกายวูบวาบในทุกเฟรม พวกเขารับส่งบทกันได้อย่างดี พวกเขาเล่นตามบท และการได้ดูพวกเขาแสดงเป็นอะไรที่สนุกมาก ฉันตกหลุมรักปฏิกิริยาเคมีของพวกเขาค่ะ”
   นับตั้งแต่ที่ O’Mara (โอ’มารา)ได้อ่านบท เขาก็พร้อมที่จะเซ็นสัญญาเล่นเรื่องนี้ทันที “มันมีชีวิตชีวามากครับ” นักแสดงหนุ่มเล่า “แล้วพอผมได้อ่านบทของKathy (เคที) ผมก็รู้ว่าเธอเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้และเธอจะต้องแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน เธอมีเซนส์ด้านจังหวะการแสดงตลกเป็นเยี่ยม ส่วนของเรื่องนี้ที่ผมชื่นชอบมากคือส่วนของคอมเมดี้ครับ”
   “Jason (เจสัน) จะเป็นคนเพียงคนเดียวที่คนจะนึกถึงจากนี้ไปในตอนที่เขาอ่านหนังสือเรื่องนี้ค่ะ” Heigl (ไฮเกล) ยืนยัน “เขาเนรมิตชีวิตให้กับMorelli (โมเรลลี) ในแบบที่แนบเนียนและเพอร์เฟ็กต์เลย”
   แต่ Joe Morelli  (โจ โมเรลลี) ก็ไม่ใช่ผู้ชายเซ็กซี โสดซิง และอาจจะอันตรายเพียงคนเดียวในชีวิตของ Stephanie (สเตฟานีย์) เมื่อเธอรู้ตัวว่าเธอต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการเพื่อจะทำงานใหม่ให้สำเร็จ และรอดชีวิตจากมัน   Stephanie (สเตฟานีย์)ก็ขอความช่วยเหลือจากRanger (เรนเจอร์)   นักล่าค่าหัวที่เชี่ยวชาญด้านการจับนักโทษหลบหนี การทำหน้าที่บอดี้การ์ดและธุรกิจกึ่งๆ กฎหมายอื่นๆ ให้ช่วยสอนงานให้เธอ Ranger (เรนเจอร์) ที่รับบทโดยDaniel Sunjata (แดเนียล ซันจาตา) ทั้งเจ๋ง มั่นใจและรู้จริง และฉากที่เขาแสดงกับ Stephanie (สเตฟานีย์) ที่เฟอะฟะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า คนที่แตกต่างกันมักดึงดูดเข้าหากัน “Stephanie (สเตฟานีย์)และ Ranger (เรนเจอร์)มีความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่แฝงความเสน่หาไว้น่ะครับ” Sunjata (ซันจาตา)บอก “ผมพบว่าตัวละครนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจ มันเป็นสีสันที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้แสดงออกเลยในการทำงานของผมเท่าที่ผ่านมา”
   ในบรรดาสมาชิกครอบครัวที่ไม่ธรรมดาของเธอ Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) สนิทกับคุณยายของเธอ Mazur (มาซูร์) มากที่สุด Grandma  Mazur (คุณยายมาซูร์)  ที่รับบทโดย Debbie Reynolds (เด็บบี้ เรย์โนลด์ส) นักแสดงในตำนาน เป็นหญิงชราหัวรั้น    ผู้กล้าหาญ และไม่ยอมแก่ “Stephanie (สเตฟานีย์) และ Grandma  Mazur (คุณยายมาซูร์) มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกันค่ะ” Evanovich( อีวาโนวิช) เล่า “พวกเธอเป็นเหมือนแอปเปิ้ลเสียสองลูกจากต้นไม้ของตระกูล ในลักษณะที่ดีค่ะ Grandma  Mazur (คุณยายมาซูร์) เป็นผู้หญิงที่มองไม่เห็นขีดจำกัดในชีวิต เธอไปโยนโบว์ล ร้องเพลงในคาราโอเกะโชว์ บอกมาเถอะค่ะ Grandma  Mazur (คุณยายมาซูร์) ไปมาหมดนั่นแหละ”
   สำหรับบทMrs.Plum (คุณนายพลัม) แม่ของสเตฟานีย์ นักแสดงหญิงชาวนิวยอร์ก Debra Monk (เด็บบรา มังค์) ชื่นชอบการได้แสดงบทครอบครัวชนชั้นแรงงานของจริงบนจอเงิน “ฉันคิดว่าทุกคนสามารถเข้าถึงครอบครัวนี้ได้ค่ะ” Monk (มังค์) กล่าว “ในโลกปัจจุบันนี้ ที่ทุกคนต้องการหางานทำ และบางคนก็ถูกปลดออกจากงาน และไม่มีเงิน มันพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้จริงๆ มันพูดถึงครอบครัวชนชั้นแรงงานทุกคนค่ะ”
   ตัวละครทั้งหมดนี้ร่วมกันสร้างความหลากหลายที่มีชีวิตชีวาให้กับเทรนตัน, นิวเจอร์ซีย์ เมืองที่อีวาโนวิชรู้จักดีจากวัยเด็กของเธอ และเป็นสถานที่สำหรับเรื่องราวทั้งหมดในแฟรนไชส์พลัมด้วย ย่านที่พักอาศัยของสเตฟานีย์ ที่รู้จักกันในชื่อของ “เดอะ เบิร์ก” เป็นบริเวณที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน มีธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างและมีอาหารมากมาย







สถานที่ในการถ่ายทำ

               ทีมงานสร้างค้นหาโลเกชันที่จะถูกใช้แทนภาพของเทรนตัน เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ก่อนที่จะสรุปที่พิทส์เบิร์ก, เพนซิลวาเนีย และบริเวณใกล้เคียง “ลุคของหนังเรื่องนี้เป็นชุมชนเมือง และมันก็ไม่เสแสร้งครับ” Lucchesi (ลุชเชซี) กล่าว “มันมีชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน ซึ่งพิทส์เบิร์กก็มีโลเกชันหลายแห่ง เราถ่ายทำในแบรดด็อค ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองอุตสาหกรรมเหล็กที่รุ่งเรือง นอกจากนี้ เรายังถ่ายทำในย่านที่เรียกว่าเฟรนด์ชิพและในบลูมฟิลด์ ซึ่งเป็นเขตของชาวอิตาเลียน/อเมริกันด้วย นั่นเป็นที่ตั้งบ้านของครอบครัวพลัมและมันก็เหมาะกับสเตฟานีย์มากๆ ด้วยครับ”
   “ไม่มีฉากไหนเลยที่ฉันไปแล้วคิดว่า ‘ฉันคิดว่ามันน่าจะต่างออกไปนะ’ หรือ ‘มันดูไม่เหมือนกับในความคิดฉัน’ น่ะค่ะ” ไฮเกลยืนยัน “ลุคของหนังเรื่องนี้สำคัญมาก มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเราทุกคนที่ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ดูเหมือนโรแมนติกคอเมดีสดใส เพราะมันไม่ใช่หนังเรื่องนี้ค่ะ มันมีเรื่องรัก มีคอเมดีก็จริง แต่มันก็มีปริศนาฆาตกรรม ซึ่งเกิดขึ้นในเจอร์ซีย์ด้วย มันมีตัวละครแข็งแกร่งและมีกลิ่นไอแบบชนชั้นแรงงานจริงๆ พวกเขาเป็นคนจริงๆ ที่อยู่ในสถานการณ์จริงๆ ค่ะ”
   Lucchesi (ลุชเชซี) หวังว่าแฟนๆ ที่ชื่นชอบอีวาโนวิชจะสัมผัสกับความตื่นเต้นเวลาที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ในแบบเดียวกับตอนที่พวกเขาอ่านนิยายเรื่องนี้ “ในนิยายส่วนใหญ่ของพลัม มันมีคดีฆาตกรรม คนตาย และชีวิตของสเตฟานีย์ตกอยู่ในอันตราย” เขากล่าว “แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จะมีตัวละครอย่าง Grandma  Mazur (คุณยายมาซูร์) และLula (ลูลา) หรือ Vinnie Plum (วินนี พลัม)            ที่นำเสนอคอเมดีอย่างชัดเจน ดังนั้น คุณก็เลยจะเจอกับส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างคอเมดี ดรามาและแอ็กชัน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้หนังสือเรื่องนี้แตกต่างออกไป และผมก็คิดว่าเราสามารถถ่ายทอดทั้งหมดนั้นออกมาในหนังของเราได้”
   Evanovich (อีวาโนวิช) กล่าวเห็นด้วย “ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแปลโทนของหนังสือของฉัน จริงๆ แล้ว ฉันคิดว่ามันยิ่งเสริมเสน่ห์ให้กับเรื่องราวนี้ด้วยซ้ำ นี่เป็นหนังแอ็กชันผจญภัย หนังเรื่องนี้เดินเรื่องเร็วมาก มันเซ็กซี ตลก และเป็นเจอร์ซีย์ ฉันรักหนังเรื่องนี้ค่ะ แม้ว่าฉันจะไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ ฉันก็ยังจะรักหนังเรื่องนี้อยู่ดีนั่นแหละค่ะ”
« Last Edit: March 25, 2012, 06:56:44 PM by happy »

happy on March 23, 2012, 03:31:47 PM
ประวัตินักแสดง

Katherine Heigl (แคทเธอรีน ไฮเกล)รับบท Stephanie Plum (สเตฟานีย์ พลัม) และ  Executive Producer (ผู้ควบคุมงานสร้าง)

               กลายเป็นดาราทำเงินเมื่อได้นำแสดงในภาพยนตร์คอเมดีฮิตโดยจั๊ดด์ อพาโทว์เรื่อง Knocked Up ตามมาด้วยการแสดงประกบเอ็ด เบิร์นส์และเจมส์ มาร์สเดนในโรแมนติกคอเมดีเรื่อง 27 Dresses และประกบเจอราร์ด บัตเลอร์ในโรแมนติกคอเมดีเรื่อง The Ugly Truth ซึ่งเธอควบหน้าที่ควบคุมงานสร้างด้วย ภาพยนตร์เหล่านี้ทำให้ไฮเกลได้รับตำแหน่ง “ดาราหญิงแห่งปี” จากเวทีโชเวสต์ปี 2010  หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงประกบจอน บอน โจวี  ในภาพยนตร์โดยแกรี มาร์แชลเรื่อง New Year’s Eve ให้กับนิวไลน์ พิคเจอร์ส และเมื่อเร็วๆ นี้ เธอก็เพิ่งเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Wedding ประกบโรเบิร์ต เดอนีโร, ไดแอน คีย์ตัน, อแมนดา เซย์ฟรี้ด และโทเฟอร์ เกรซ
   ผลงานภาพยนตร์ของไฮเกลได้แก่ Life As We Know It ประกบจอช ดูฮาเมล และกำกับโดยเกร็ก เบอร์ลันติ, แอ็กชันคอมเมดี้เรื่อง Killers ประกบแอชตัน คุทเชอร์สำหรับผู้กำกับโรเบิร์ต ลูเคติค, คอเมดีเรื่อง The Ringer, ดรามายุคเศรษฐกิจตกต่ำโดยสตีเวน       โซเดอร์เบิร์กห์เรื่อง King of the Hill, Under Siege 2: Dark Territory, Stand-Ins และ That Night ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่เธอได้รับบทนำคือภาพยนตร์โดยทัชสโตน พิคเจอร์สเรื่อง   My Father the Hero ที่เธอได้แสดงประกบเจอราร์ด เดอปาร์ดิว
   หลังจากนี้ ไฮเกลจะได้แสดงใน The Knitting Circle ให้กับเอชบีโอ ฟิล์มส์ ด้วยการควบคุมงานสร้างโปรเจ็กต์นี้ร่วมกับแม่ของเธอ ผู้เป็นหุ้นส่วนในการอำนวยการสร้าง แนนซี ไฮเกล ภายใต้แบนเนอร์อาบิแช็กของพวกเธอ ร่วมด้วยไพน์ สตรีท พิคเจอร์ส เคร็ก     ไรท์กำลังดัดแปลงบทภาพยนตร์เรื่องนี้      ที่สร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยแอน ฮู้ด นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ อาบิแช็กยังเพิ่งประกาศว่าพวกเขาจะควบคุมงานสร้างซีรีส์ออริจินอลเรื่อง Trending สำหรับซีดับบลิว เน็ตเวิร์ค พวกเขาได้ร่วมงานกับเลคชอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์และซีบีเอส ทีวี สตูดิโอส์ในโปรเจ็กต์นี้ โดยมีเกรน เวลส์เขียนบทตอนไพล็อตเรื่องนี้อยู่
   ด้านจอแก้ว ไฮเกลรับบท ดร.อิโซเบล “อิซซี” สตีเวนส์ เด็กสาวจากเมืองเล็กๆ ที่ต้องสู้เพื่อให้ได้รับความนับถือจากเพื่อนๆ       ของเธอ ในดรามาชื่อดังทางเอบีซีเรื่อง Grey’s Anatomy นานหกซีซัน ในปี 2007 ไฮเกลได้รับรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงของเธอ นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในซีรีส์ดรามาไซไฟทางวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Roswell อีกด้วย


Jason O’ Mara (เจสัน โอ’ มารา) รับบท Joe Morelli  (โจเซฟ โมเรลลี)

               Jason O’ Mara (เจสัน โอ’ มารา) นำแสดงในซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง Terra Nova ดรามาไซไฟเรื่องนี้ ที่ควบคุมงานสร้างโดยสตีเวน     สปีลเบิร์ก แพร่ภาพครั้งแรกในวันที่ 26 กันยายน ปี 2011 ซีรีส์เรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวแชนนอน ขณะที่พวกเขาร่วมกับคณะอพยพคณะที่สิบที่ตั้งถิ่นฐานที่เทอร์รา โนวา อาณานิคมแรกบนโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในฐานะส่วนหนึ่งของการทดลองท้าทาย    เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติ โอ’มารารับบทผู้เป็นพ่อของซีรีส์นี้ จิม แชนนอน
   โอ’มาราเปิดตัวในแวดวงจอแก้วอเมริกาในปี 2001 ในบทร้อยโทโธมัส มีฮันในมินิซีรีส์เอชบีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดเรื่อง Band of Brothers ในปีถัดมา โอ’มาราได้รับบทประจำในซีรีส์สายลับทางซีบีเอสเรื่อง The Agency หลังจากนั้น เขาก็ยังคงสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการแสดงตัวละครเดิมในหลายเอพิโซดในซีรีส์ฮิตหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Grey’s Anatomy, Men in Trees และ The Closer ในปี 2006 โอ’มาราได้แสดงประกบไคล์ แม็คลัคแลนในซีรีส์ดรามาอาชญากรรมเรื่อง In Justice  ในปี 2007 โอ’มาราเปิดตัวผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยการแสดงประกบมิลลา โจโววิชใน Resident Evil: Extinction เมื่อได้หวนคืนสู่จอแก้วในปี 2008 เขาก็ได้รับบท แซม ไทเลอร์ นักสืบผู้เดินทางข้ามเวลาในซีรีส์ดรามาเอบีซีที่ดัดแปลงจากซีรีส์อังกฤษเรื่อง Life on Mars แม้ว่าซีรีส์นี้จะออกอากาศเพียงแค่หนึ่งซีซัน โอ’มาราก็ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการแสดงของเขาอย่างมาก
   โอ’มาราเกิดและเติบโตในไอร์แลนด์ เขาไม่เคยวางแผนว่าจะเป็นนักแสดงเลย เขาเป็นนักเล่นรักบี้ตัวยงและจนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บ เขาถึงได้รู้จักการแสดง ระหว่างพักฟื้น โอ’มาราลองคัดตัวในละครเวทีของโรงเรียนและก็คว้าบทนี้มาได้ ความตื่นเต้นในคืนเปิดการแสดงเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขา และความรักในกีฬาของเขาก็ถูกส่งต่อให้กับการแสดง หลังจากนั้น เขาก็ได้เข้าศึกษาที่ไทรนิตี้    คอลเลจในดับลิน ที่ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาสาขาละคร ผลงานจอแก้วอังกฤษของเขารวมถึง Playing the Field ที่ได้รับรางวัลบาฟตา, Berkeley Square และ Monarch of the Glen ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง บนเวทีลอนดอน โอ’มาราได้แสดงใน Popcorn ที่อพอลโล เธียเตอร์, The Jew of Malta ที่อัลเมดา เธียเตอร์และ The School for Scandal กับรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี เขาได้ร่วมแสดงในละครโดยฮาโรลด์ พินเตอร์เรื่อง The Homecoming กับเอียน โฮล์ม ที่จัดแสดงที่ดับลิน, ลอนดอนและลินคอล์น เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอริช เธียเตอร์ อวอร์ดปี 2002 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน Bash ที่เขียนบทและกำกับโดยนีล ลาบู๊ท หลังจากได้หวนคืนสู่เวทีละครลอนดอนในปี 2010 เขาก็ได้แสดงใน  Serenading Louie ที่โรงละครดอนมาร์ แวร์เฮาส์ ที่โด่งดังระดับโลกใน  โคเวนท์ การ์เดน     โอ’มาราแต่งงานกับนักแสดงหญิงเพจ เทอร์โก และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือเดวิด ครอบครัวนี้แบ่งเวลาอยู่ระหว่างนิวยอร์กและลอสแองเจลิส และมักจะเดินทางไปไอร์แลนด์บ่อยๆ


Daniel Sunjata (แดเนียล ซันจาตา) รับบท Ranger (เรนเจอร์)

               Daniel (แดเนียล ) เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทพนักงานดับเพลิง ฟรังโก้ ริเวราในซีรีส์เอฟเอ็กซ์เรื่อง Rescue Me ประกบเดนิส    เลียรีนานเจ็ดซีซัน    ในปี 2007 ซันจาตารับบทแฟชัน ดีไซเนอร์ เจมส์ โฮลท์ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์เรื่อง       The Devil Wears Prada ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพและแอนน์ ฮาธาเวย์ และในโรแมนติกคอเมดีเรื่อง Ghosts of Girlfriends Past ประกบเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์และแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของซันจาตาได้แก่ Bad Company ซึ่งนำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์และคริส ร็อค, ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลน ปี 2004 เรื่อง Melinda Melinda ที่แสดงประกบวิล เฟอร์เรลและ Noel ที่นำแสดงโดยเพเนโลเป้ ครูซและซูซาน ซาแรนดอน ซันจาตาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการรับบทแลงสตัน ฮิวจ์ในภาพยนตร์ปี 2004 โดยร็อดนีย์ อีวานส์เรื่อง Brother to Brother รวมถึงบทนักเบสบอลในตำนาน เร็จจี้ แจ็คสันในซีรีส์อีเอสพีเอ็นเรื่อง  The Bronx is Burning
   ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของซันจาตาได้แก่การแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์ Love Monkey, Law & Order, Law & Order: SVU, Sex and the City, ภาพยนตร์โชว์ไทม์เรื่อง The Feast of All Saints และการแสดงนำประกบแอนดี้ แม็คดูเวลใน At Risk และ    The Front ภาพยนตร์สองเรื่องที่ดัดแปลงจากนิยายจากแพทริเซีย คอร์นเวล นักเขียนนิยายอาชญากรรมที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของอเมริกา แต่ผลงานของซันจาตาก็ไม่ได้จำกัดเพียงแค่ภาพยนตร์และโทรทัศน์เท่านั้น เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดจากบทดาร์เรน เล็มมิงใน Take Me Out ละครรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2003 โดยริชาร์ด กรีนเบิร์ก นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน  Henry VIII  ที่นิวยอร์ก เชคสเปียร์ เฟสติวัล, Twelfth Night ที่กัธรีย์ เธียเตอร์และ Cyrano de Bergerac ประกบเควิน ไคลน์ ที่ริชาร์ด ร็อดเจอร์ส เธียเตอร์อีกด้วย

   ซันจาตาเกิดในอีวานสตัน, อิลลินอยส์ เขาเติบโตในชิคาโกและสำเร็จการศึกษาจากเมาท์ คาร์เมล ไฮสคูล เขาศึกษาปริญญาจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา เอแอนด์เอ็มและมหาวิทยาลัยเซาธ์เวสเทิร์น หลุยส์เซียนาและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาศิลปกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เมื่อเร็วๆ นี้ ซันจาตาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำ Batman: The Dark Knight Rises ภาคใหม่ล่าสุดในแฟรนไชส์ Batman โดยคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่เขาได้แสดงประกบคริสเตียน เบลและแอนน์ ฮาธาเวย์ หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงประกบอแมนดา เซย์ฟรี้ดในดรามาอินดีเรื่อง Gone ปัจจุบัน ซันจาตาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส


John Leguizamo (จอห์น เลอกุยซาโม) รับบท Jimmy Alpha (จิมมี อัลฟา)

               นักแสดงหลายหน้า เจ้าของรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี ได้สร้างผลงานที่ท้าทายการจัดประเภท ด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขอบเขต ผลงานของเขาในภาพยนตร์ ละครเวที โทรทัศน์และวรรณกรรมได้ครอบคลุมงานหลายประเภท และหลายครั้งก็ได้สร้างแนวทางของตัวเองขึ้นมา  ล่าสุด เลอกุยซาโมได้แสดงประกบแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ใน The Lincoln Lawyer และประกบแธนดี้ นิวตันและ     เฮย์เดน คริสเตนเซนในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Vanishing    on 7th Street นอกจากนี้ เขายังกลับมาพากย์เสียง ซิด ใน Ice Age 3: Dawn of the Dinosaurs ซึ่งประสบความสำเร็จด้านรายได้เมื่อเข้าฉายในปี 2009
   ในปี 2008 เลอกุยซาโมได้แสดงประกบเด็บบรา เมสซิงและอัลเฟรด โมลินาในภาพยนตร์โดยโอเวอร์เจอร์ ฟิล์มส์เรื่อง Nothing Like the Holidays นอกเหนือจากนั้น เลอกุยซาโมก็ได้แสดงในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Where God Left His Shoes ที่เขารับบทนักมวยตกอับ ที่พยายามหาบ้านให้ครอบครัวเขาระหว่างเทศกาลวันหยุด
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นของเลอกุยซาโมได้แก่ Love in the Time of Cholera, The Happening, Righteous Kill, The Babysitters และ The Take นอกเหนือจากนั้น เลอกุยซาโมยังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น  Gamer, Miracle      at St. Anna, Land of the Dead, The Groomsmen, Lies & Alibis การแสดงของเขาในบทกะเทยผู้อ่อนไหวใน Too Wong Foo: Thanks For Everything, Julie Newmar ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลอัลมา อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก Nothing Like the Holidays อีกด้วย ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอัลมา อวอร์ดจากการแสดงใน Moulin Rouge (สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม) และ King of the Jungle (สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม)   ในซัมเมอร์ปี 2007เลอกุยซาโมได้หวนคืนสู่จอแก้วเพื่อแสดงในซีรีส์จำกัดทางสไปค์ ทีวีเรื่อง The Kill Point ซึ่งเขารับบทหัวหน้าแก๊งโจรปล้นธนาคาร ผู้เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งกลับจากการรับใช้กองทัพในอิรัก นอกเหนือจากนั้น เลอกุยซาโม นักแสดงมากความสามารถได้รับบทดารารับเชิญในสิบสองเอพิโซดในดรามาดังทางเอ็นบีซีเรื่อง ER ระหว่างซีซัน 2005/2006 และในปี 2006 เขาก็ได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ฮิตทางเอ็นบีซีเรื่อง My Name is Earl หลังจากได้หวนคืนสู่รากเหง้าละครเวที เมื่อเร็วๆ นี้ เลอกุยซาโมก็ได้คืนสู่เวทีบรอดเวย์ในละครโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง American Buffalo ซึ่งเล่าเรื่องราววกวนของชายหนุ่มสามคนที่พยายามจะขโมยเหรียญหายาก  นอกเหนือจากผลงานที่ว่ามาแล้ว เลอกุยซาโมยังเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งจะเขียนชีวประวัติของตัวเองในชื่อ Pimps, Hos, Playa Hatas, and All the Rest of My Hollywood Friends ซึ่งตีพิมพ์โดยฮาร์เปอร์ คอลลินส์ในเดือนตุลาคม ปี 2006 นิวยอร์ก ไทม์พูดถึงหนังสือเรื่องนี้ว่า “ตลกอย่างร้ายกาจ” ในขณะที่ยูเอสเอ ทูเดย์ก็ได้พูดถึงเลอกุยซาโมว่าเป็น “หนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว”
   เลอกุยซาโมเติบโตในนิวยอร์ก ซิตี้ เขาศึกษาการแสดงกับลี สตราส์เบิร์กและวินน์ แฮนด์แมนที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เขาได้รับรางวัลอัลมา อวอร์ดปี 2002 สาขาผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาของเขาและลูกๆ สองคนในนิวยอร์ก ซิตี้


Debbie Reynolds (เด็บบี้ เรย์โนลด์ส) รับบท Grandma Mazur (คุณยายมาซูร์)

               ในฐานะดาราของภาพยนตร์กว่าสามสิบเรื่อง ละครบรอดเวย์ ซีรีส์โทรทัศน์สองเรื่อง และการออกรายการโทรทัศน์อีกหลายสิบครั้งทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2011 เด็บบี้ เรย์โนลด์ส (คุณยายมาซูร์) เพิ่งฉลองการอยู่ในวงการครบรอบปีที่ 63 เธอเกิดมาในฐานะแมรี ฟรานซิส เรย์โนลด์ในวันเอพริลฟูลส์ ปี 1932 ในเอล พาโซ, เท็กซัส เธอกับพ่อแม่และพี่ชายของเธอย้ายไปอยู่ที่เบอร์แบงค์, แคลิฟอร์เนีย ตอนเธออายุได้เจ็ดขวบ เธอเป็นเด็กที่กระตือรือร้นและมีพลังเต็มเปี่ยม ทำให้เธอเล่นกีฬาเก่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งแซนด์ล็อท เบสบอล) เธอทำกิจกรรมเนตรนารี ควงคทาและเธอก็สนใจดนตรี ซึ่งเธอถนัดการเป่าเฟรนช์ฮอร์นเป็นพิเศษ
   ความสามารถด้านการแสดงตลกช่วงเริ่มแรกของเธอปรากฏขึ้นเมื่อเธอออดิชันสำหรับบทดรามาในละครโรงเรียนและพบว่าทุกคนหัวเราะกับการอ่านบทที่ “จริงจัง” ของเธอ เมื่อพลาดจากบทนั้น เธอก็ต้องพอใจอยู่กับการทำ “ทุกอย่างตั้งแต่เครื่องจักรเสียงไปจนถึงสายฟ้าและฟ้าแลบนอกเวที” แต่เธอก็ไม่เคยได้ปรากฏตัวบนเวทีเลย พออายุได้ 16 ปี เธอก็เข้าประกวดนางงามท้องถิ่น ที่สนับสนุนโดยสายการบินล็อคฮี้ด แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งใน “สาวงาม” เธอก็คว้าชัยชนะมาได้จากการลิปซิงเบ็ตตี้ ฮูตตันในเพลง I'm Just A Square in a Social Circle กรรมการสองคนในคืนนั้นเป็นแมวมองจากวอร์เนอร์ บรอส. และเอ็มจีเอ็ม โดยอาศัยการโยนเหรียญ   ซอลลี ไบอาโน แมวมองจากวอร์เนอร์ บรอส. ได้โอกาสในการเรียกตัวแมรี ฟรานซิสไปทดสอบหน้ากล้องก่อน การทดสอบนั้นนำไปสู่การทำสัญญาและชื่อของเด็กสาวคนนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “เด็บบี้” โดยตัวแจ็ค วอร์เนอร์เอง!
   เด็บบี้เปิดตัวในโลกการแสดงด้วยการแสดงประกบจูน เฮฟเวอร์และเจมส์ บาร์ตันใน The Daughter of Rosie O. Grady เธอได้แจ้งเกิดในมิวสิคัลเอ็มจีเอ็มที่นำแสดงโดยเฟร็ด แอสแตร์และเรด สเกลตันเรื่อง Three Little Words ซึ่งเธอรับบท เฮเลน เคน เด็กสาวคนดังในช่วงปลายทศวรรษที่ 30s การแสดงครั้งต่อมาในมิวสิคัลโดยบัสบี้ เบิร์คลีย์เรื่อง Two Weeks With Love ทำให้แอล.บี. เมเยอร์เลือกเธอให้รับบทนางเอกในภาพยนตร์ที่กลายเป็นหนึ่งในมิวสิคัลที่โด่งดังที่สุดตลอดกาล Singin’ In The Rain ที่นำแสดงโดยจีน เคลลีและโดนัลด์ โอ’ คอนเนอร์
   ตลอดระยะเวลาสิบปี เด็บบี้ได้แสดงภาพยนตร์กว่ายี่สิบห้าเรื่อง ได้แก่ How The West Was Won, The Unsinkable Molly Brown (ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์), Susan Slept Here, The Tender Trap, Tammy and The Bachelor, The Pleasure of His Company, Mary Mary, Divorce American Style, Goodbye Charlie, The Rat Race, Mother และ In and Out
   เพลง Abba Dabba Honeymoon (จาก Two Weeks In Love) และ Tammy (จาก Tammy and The Bachelor)         ทำยอดขายได้กว่าหนึ่งล้านก็อปปี้ ในช่วงกลางยุค 60s เด็บบี้ได้แสดงในไนท์คลับเป็นครั้งแรก ด้วยการแสดงเปิดตัวที่โรงแรมริเวียราในลาสเวกัส ในเวลาสี่สิบปีนับจากนั้น เธอได้เป็นผู้แสดงหลักในแวดวงคาสิโนตั้งแต่เรโน ทาโฮและลาสเวกัส ไปจนถึงแอตแลนตา ซิตี้และลอนดอน พัลลาเดียม รวมถึงคอนเสิร์ตในเมืองใหญ่ๆ ทุกแห่งในอเมริกา ด้วยการทัวร์ปีหนึ่งประมาณสี่สิบสี่สัปดาห์  ในปี 1973 เธอได้พักจากการแสดงในไนท์คลับเพื่อแสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง Irene (เป็นละครเรื่องแรกที่เปิดแสดงที่โรงละครมินส์คอฟ เธียเตอร์) ที่ทำลายทุกสถิติของมิวสิคัลบรอดเวย์ และเป็นคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดก่อนที่ละครจะเปิดแสดงอย่างเป็นทางการ! หลังจากประสบความสำเร็จจากการแสดงทัวร์ทั่วประเทศ เด็บบี้ก็หวนคืนสู่เวทีมิวสิคัลด้วยละครโดยเออร์วิง เบอร์ลินเรื่อง  Annie Get Your Gun ที่กำกับโดยโกเวอร์ แชมเปียน ผู้ล่วงลับ (ผู้กำกับ Irene ด้วยเช่นกัน) ในปี 1983 เธอได้กลับสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้ง (ครั้งที่ที่พาเลซ เธียเตอร์ อันโด่งดัง) เพื่อนำแสดงในมิวสิคัลฮิตเรื่อง Woman Of The Year ในปี 1989 เด็บบี้ประสบความสำเร็จในการแสดงทั่วประเทศกับละครเรื่อง The Unsinkable Molly Brown
   ชีวิตนอกจอและนอกเวทีของเด็บบี้ก็เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวและสีสัน เธอมีลูกสองคนคือแคร์รีย์ ฟิชเชอร์ นักแสดง/นักเขียนและท็อดด์ ฟิชเชอร์ ในปี 1992 แคร์รีย์ทำให้เธอเป็นคุณยายด้วยการให้กำเนิดเด็กหญิง บิลลี แคทเธอรีน  ในปี 1987 เด็บบี้ได้ตีพิมพ์อนุทินที่มีผู้อ่านอย่างกว้างขวางของเธอ Debbie, My Life (เขียนร่วมกับเดวิด แพทริค โคลัมเบีย) โดยมีวิลเลียม มอร์โรว์ แอนด์ โค.   เป็นผู้ตีพิมพ์


ประวัติผู้กำกับ

Julie Anne Robinson (จูลี แอนน์ โรบินสัน) Director  (ผู้กำกับ)

               ทำงานในแวดวงละครเวทีหลายปีที่รอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนี, รอยัล คอร์ท และเนชันแนล (เธอได้ทำหน้าที่ผู้ช่วยของแซม เมนเดส, ฮาโรลด์      พินเตอร์, สตีเฟน ดัลดรี้ หลายครั้ง) นอกจากนี้ เธอยังได้สอนที่โรงเรียนการละครหลายแห่งในลอนดอน ซึ่งรวมถึงกิลด์ฮอล สคูล ออฟ สปีช แอนด์ ดรามาและเซ็นทรัล สคูลด้วย เธอได้ทำงานทั่วโลกบ่อยครั้งด้วยความร่วมมือกับบริติช เคาน์ซิล ซึ่งรวมถึงสโลวาเนีย อิตาลีและสถานที่อื่นๆ ในตะวันออกกลาง เธอได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมคอร์สฝึกฝนผู้กำกับของบีบีซี และเริ่มทำงานภาพยนตร์
             ผลงานจอแก้วของเธอได้แก่ซีรีส์ Viva Blackpool (ซึ่งได้รับรางวัลบลู ริบบอนจากบีเอเอ็นเอฟเอฟ) ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟตา รวมถึงภาพยนตร์แพร่ภาพทางโทรทัศน์ ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาเรื่อง
             จูลี แอนน์ ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Last Song ให้กับดิสนีย์ ภายใต้การอำนวยการสร้างของอดัม แชงค์แมนและเจนนิเฟอร์ กิบก็อท Down the Mountain ด้านจอแก้วอเมริกัน เธอได้กำกับตอนไพล็อตของซีรีส์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง The Middle ที่ปัจจุบันแพร่ภาพทางเอบีซี นอกจากนี้    เธอยังได้กำกับซีรีส์ Pushing Dasies, Weeds, Big Love, Grey’s Anatomy และ ฯลฯ