ทีมผู้สร้างและนักแสดงเล่าถึง
WE NEED TO TALK ABOUT KEVIN จากหนังสือสู่หน้าจอ…
“ นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่วิเศษสุดสำหรับฉัน และแตกต่างจากผลงานที่ผ่านมาของฉันอย่างสิ้นเชิงค่ะ เป็นเรื่องลำบากเสมอที่ต้องสร้างสิ่งที่มีเสียงเป็นเอกเทศ คุณจะต้องอดทนและต้องรักษาความสมจริงเอาไว้ค่ะ” Lynne Ramsay (ลินน์ แรมเซย์) ผู้กำกับ/มือเขียนบท/ผู้ควบคุมงานสร้าง “สิ่งที่ทำให้ผมสนใจโปรเจ็กต์นี้คือผมเป็นแฟนของหนังสือเรื่องนี้ ของลินน์และของทิลด้าด้วยครับ” Luc Roeg (ลุค โร้ค) ผู้อำนวยการสร้าง
“ ฉันเป็นแฟนผลงานของลินน์ แรมเซย์ตั้งแต่ Ratcatcher และ Morvern Callar และอยากจะร่วมงานกับเธอมาโดยตลอดค่ะ ในที่สุด ฉันก็มีโอกาสได้พบลินน์ตอนที่ฉันถ่ายทำ Michael Clayton ในปี 2006 ทิลดามีนัดดินเนอร์กับเธอ และเธอก็เชิญฉันไปด้วย ลินน์ซื้อสิทธิหนังสือเรื่องนี้มาแล้ว และเซ็ทมันไว้ที่บีบีซี ฟิล์มส์ เธอขอให้ฉันอ่านหนังสือเรื่องนี้ และฉันก็รู้สึกทันทีว่าการผสมผสานความสมจริงดิบเถื่อน การเล่าเรื่องที่ถูกผลักดันจากตัวละครและบทกวีที่แผ่ซ่านไปทั่วภาพยนตร์ของเธอจะเข้าคู่กับหนังสือที่อุดมไปด้วยเรื่องทางจิตวิทยาของไลโอเนล ชริเวอร์ค่ะ” Jennifer Fox (เจนนิเฟอร์ ฟ็อกซ์) ผู้อำนวยการสร้างทีมงานเปิดใจถึงผู้กำกับ Lynne Ramsay ลินน์ แรมเซย์…
“สายตาของลินน์เฉียบคมอย่างไร้ข้อกังขาค่ะ นอกจากนี้ เธอยังเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่อบอุ่น มีสมาธิ เต็มไปด้วยความเคารพ มีความรู้รอบตัวและน่ารักที่สุดเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่เลยด้วย” Tilda Swinton (ทิลดา สวินตัน) รับบท Eva (อีวา) /ผู้ควบคุมงานสร้าง“ลินน์ได้นำหลายสิ่งหลายอย่างมาสู่โปรเจ็กต์นี้ ซึ่งรวมถึงความเข้าใจและสายตาเฉียบคมด้านมุมกล้องครับ” Luc Roeg (ลุค โร้ค) ผู้อำนวยการสร้าง “ลินน์เป็นคนที่ผมอยากจะร่วมงานด้วยครับ เธอมีสายตาแบบศิลปินและสามารถพบความจริงในการแสดงได้ ผมคิดว่าหนังของเธอมีคุณภาพและสร้างออกมาได้อย่างมีสุนทรียะเหลือเกิน เธอมอบพื้นที่ให้กับนักแสดงและบอกคุณว่าเธอมองหาอะไรอยู่ และเธอก็จะให้คุณรับผิดชอบกับการถ่ายทอดมันออกมาครับ”
John C.Reilly (จอห์น ซี. ไรลีย์) รับบท Franklin (แฟรงค์ลิน) เรื่องราวของ WE NEED TO TALK ABOUT KEVIN…
ทิลดา สวินตัน (อีวา/ผู้ควบคุมงานสร้าง): “นี่เป็นเรื่องราวแบบที่การสังหารหมู่ในไฮสคูลเกิดขึ้น โดยที่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เหตุการณ์หลักของเรื่อง ในนิยายของเธอ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของหนังของเรา ไลโอเนล ชริเวอร์ได้ดึงดูดความสนใจจากเราไปที่ความเป็นไปได้ของความรุนแรงที่เกิดจากครอบครัวแตกแยก นี่เป็นประเด็นหลักที่เราติดตาม ในการพัฒนาบทและในการกำหนดบรรยากาศของเรื่องค่ะ”
จอห์น ซี. ไรลีย์ (แฟรงค์ลิน): “เรื่องราวนี้มองไอเดียเกี่ยวกับครอบครัวที่ทุกคนเข้าใจดี ว่าคุณจะเหมือนกับลูกคุณโดยอัตโนมัติ คนจะมองเห็นตัวเองในหนังเรื่องนี้ครับ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาสำคัญผิด แต่พวกเขาพยายามอย่างดีที่สุดเท่านั้นเอง การเลี้ยงเด็กเป็นงานที่ซับซ้อนมากๆ และไม่ว่าคุณจะตั้งใจดีแค่ไหน สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้นได้เสมอ”
เอซรา มิลเลอร์ (เควิน): “เควินเกิดจากแม่ผู้รู้สึกคลุมเครือเกี่ยวกับการเกิดมาของเขา หรือเธออาจจะด้อยค่าลงจากการมีลูกด้วยซ้ำ เธอไม่ได้ใจร้าย หรือเลี้ยงดูลูกไม่ดี แต่เขาฉลาดมากๆ และมองทะลุหน้ากากของเธอ จนเขาเริ่มไม่พอใจเธอและสร้างหน้ากากของตัวเองเพื่อทำลายอาการเสแสร้งที่น่าขบขันของเธอครับ”
จอห์น ซี. ไรลีย์ (แฟรงค์ลิน): “หนังเรื่องนี้เริ่มต้นในยุคปัจจุบัน และอีวาก็มองย้อนกลับไปในอดีตของครอบครัวและสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นไปในแบบที่เธอจำได้ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ ตอนที่เธอมองย้อนกลับไป ก็เลยมีการขยับค่าความจริงของฉากเพิ่มขึ้นไปอีกครับ”
จูดี้ เบ็คเกอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง): “เมื่อมองแวบแรก มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องของเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง แต่มันเหมือนกับว่า ความรู้สึกคลุมเครือที่แม่มีต่อลูกจะส่งผลกระทบแง่ลบสำหรับเขาและจะส่งผลกระทบต่อตัวตนในอนาคตของเขาอีกด้วยค่ะ”
เอซรา มิลเลอร์ (เควิน): “เควินไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายหรือโรคจิต แต่เขาเป็นวัยรุ่นจริงๆ ที่มีความเข้าใจแบบอันตรายเกี่ยวกับองค์ประกอบของครอบครัวเขา ไม่เพียงแต่นี่จะเป็นสถานการณ์ที่สมจริงเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์แบบนั้นก็มีอยู่จริงๆ ด้วย เราได้จุดประกายบทสนทนาเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเรื่องที่เกิดขึ้น ในลักษณะที่งดงามและเป็นศิลป์มากๆ ครับ
จอห์น ซี. ไรลีย์ (แฟรงค์ลิน): “มันไม่มีผู้ร้ายครับ ตอนที่คนพวกนี้มารวมตัวกัน โศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงเกิดขึ้น มันเป็นเพราะพวกเขาปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ เรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นครับ”
เอซรา มิลเลอร์ (เควิน): “แฟรงค์ลินเป็นตัวแทนทัศนคติแบบ “เรามามีความสุขกันดีกว่า แม้ว่าจะต้องฝังเรื่องในอดีตลึกแค่ไหนก็ตาม” น่ะครับ ความไม่เต็มใจที่จะยอมรับความมืดเริ่มกลายเป็นปัญหา ขณะที่ความเกลียดชังกำลังผลิบานระหว่างแม่กับลูก ทั้งคู่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้สู้ในแบบที่จำเป็นจริงๆ ดังนั้น ความโกรธและความตึงเครียดก็ทวีความรุนแรงขึ้น บ่อยครั้งในความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย พวกเขาจะกระทบกระแทก ตะโกน กรีดร้อง และร้องไห้ เกิดเป็นประสบการณ์เปิดตาที่พวกเขาเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน เควินและเอฟราไม่เคยได้ทำแบบนั้นเพราะทุกครั้งที่มันจะเกิดขึ้น แฟรงค์ลินก็จะมาพร้อมกับอุดมคติแบบมีความสุข ที่ยัดเยียดให้กับผู้ชมทั้งครอบครัวครับ”
จอห์น ซี. ไรลีย์ (แฟรงค์ลิน): “อีวาเป็นโบฮีเมียนหญิงผู้กร้านโลก การศึกษาสูงและเดินทางไปทั่ว แฟรงค์ลินจะติดดินมากกว่าและชื่นชอบความสุขที่เรียบง่าย คุณจะเห็นได้ว่าทำไมเธอถึงหลงเสน่ห์เขาและทำไมเขาถึงหลงเสน่ห์เธอ ทั้งคู่ต่างก็ปฏิเสธความจริงในชีวิตประจำวันของตัวเองครับ”
เอซรา มิลเลอร์ (เควิน): “นี่เป็นเรื่องราวสะเทือนใจ แต่มันก็ได้รับการบอกเล่าผ่านทางมุมมองของความงามและความอบอุ่น ที่มาจากมุมมองว่า มีความดีงามโดยพื้นฐานในทุกอย่างขณะที่เรากำลังสำรวจความชั่วร้ายมืดหม่นในทุกอย่างน่ะครับ”