ไคมีร่า ศัตรูตัวฉกาจของ เพอร์ซีอุส ใน Wrath of the Titans
ความหมายตามชื่อเรื่อง “Wrath of the Titans” สื่อถึงศัตรูตามตำนานตัวฉกาจที่มาต่อสู้กับเพอร์ซีอุส ได้แก่ ไคมีร่าหลายหัว ไซคล็อปส์ตาเดียวทั้งสามและกองทัพของมนุษย์ที่มีร่างติดกัน มาไคและการคุกคามของไมโนทอร์ที่แข็งแกร่ง แต่แน่นอนว่าคู่ต่อสู้ที่เอาชนะยากที่สุดคือ โครนอส ไททันขนาดยักษ์ที่ก่อนหน้านี้ถูกกักขัง และพ่อของซุส เฮดีสและโพเซดอนที่ใกล้เป็นอิสระและจะนำความเดือดร้อนมาสู่ผืนโลก
ศัตรูตัวแรกที่เพอร์ซีอุสต้องเจอคือ ไคมีร่า สัตว์ประหลาดพ่นไฟที่มีหัวเป็นสิงห์โตและแพะ มีปีกเหมือนมังกร และมีหางเป็นหัวงูที่ดุร้าย “ด้านหัวจะทำหน้าที่เรียงตามไปข้างหลัง หัวหนึ่งจะพ่นไฟและอีกหัวจะปล่อยควันที่เกิดจากไฟ” ลายเบสแมนเล่าถึงสัตว์ประหลาดที่มาทำลายหมู่บ้านของเพอร์ซีอุส ฉากที่เป็นการเตือนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากเขาไม่ลุกสู้
ตอนแรกมีการสร้างตัวละครขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แต่พวกความเสียหายที่ตัวละครทำถูกสร้างขึ้นด้วยการผสมผสานของวิชวลและสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ นีล คอร์โบลด์ ผู้ควบคุมด้านสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ในภาคนี้และภาคก่อน อธิบายว่า “เพื่อเก็บความสงสัยของผู้ชมเอาไว้ว่า ‘ของจริงหรือเปล่า? คอมพิวเตอร์กราฟฟิคหรือเปล่า?’ ผมพบว่าถ้าผสมผสานองค์ประกอบจากคอมพิวเตอร์กับของจริงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เนียนขึ้น มันให้ความรู้สึกของพวกเถ้าถ่านหรือวัตถุเบาบางอื่นๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้ในฉากร่วมกับนักแสดง การทำลายล้างที่เกิดขึ้นจากไคมีร่าจึงเป็นฉากที่ประสบความสำเร็จ และถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์”
“ไคมีร่าพุ่งเข้ามาโจมตีหมู่บ้านเหมือนดาวตก และเริ่มฉีกทำลายเป็นเสี่ยงอย่างรวดเร็ว” เดวิสกล่าว “ในหนังมีฉากระเบิดเพลิงอย่างยิ่งใหญ่ แล้วพื้นดินก็เริ่มเป็นรอยแตกร้าว ตามมาด้วยการขุดร่องระเบิด 400 ฟุตที่คดเคี้ยวไปมาผ่านเมืองก่อนที่จะระเบิดบ้าน ตึกอาคารในท้ายที่สุดและเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง”
เมื่อไคมีร่าได้บีบบังคับเขา ตอนนี้เพอร์ซีอุสมีหน้าที่ต้องต่อสู้เพื่อปกป้องซุสและเหล่ามวลมนุษย์จากโครนอส และต้องหาทางเข้าถึงทาร์ทารัสโดยร่วมทางไปกับสหายเก่าอย่างเพกาซัส ม้ามีปีกที่พาเขาเดินทางไปยังที่ตั้งของราชินีแอนโดรมีด้า
ทันทีที่เพอร์ซีอุส แอนโดรมีด้าและอาเกนอร์ออกเดินทาง พวกเขาก็เริ่มค้นหาเฮเฟทัสที่มีบ้านอยู่ห่างไกลซึ่งถูกวางกับดักและถูกล้อมอย่างแน่นหนาด้วยกลุ่มไซคล็อปส์ที่สูง 30 ฟุต ซึ่งเป็นตัวละครโปรดตัวหนึ่งของลายเบสแมนในหนัง ผู้ออกแบบการแต่งหน้าเทียม โคนอร์ โอ’ซัลลิเวียน ได้มอบหุ่นศีรษะ 15 แบบให้ผู้กำกับและร่วมงานกับเดวิสอย่างใกล้ชิดเพื่อออกแบบตัวละครทั้งตัว ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจออกแบบไซคล็อปส์ขั้นสุดท้าย
“ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สุดคือการทำให้มันมีหน้าตาดูเหมือนจริงมากที่สุด ให้เหมือนกับสัตว์ประหลาดตาเดียวสูง 30 ฟุตที่ดูน่าเชื่อถือ” เดวิสยิ้ม ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องพบกับความรับผิดชอบที่คล้ายๆ กันนี้กับตัวไมโนทอร์ที่ถูกสร้างให้น่ากลัวขึ้นด้วยการแปลงร่างเป็นคนไหนหรือสิ่งใดก็ได้ แต่รูปแบบที่แท้จริงแล้วคือสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะของมนุษย์ในเวลาเดียวกัน
“เรารู้สึกว่าไมโนทอร์ของเรามีความเป็นมนุษย์ที่น่าเกลียดมากขึ้นด้วยการดูคล้ายวัว” ลายเบสแมนกล่าว “เขาเป็นยามอยู่ท้ายประตูของเขาวงกต โดยทั่วไปแล้วเขาคือนักโทษที่ถูกขังอยยยู่ในความมืดมานานนับพันปี เฝ้ารอใครสักคนพยายามผ่านเข้าไปให้ได้ เขาโหดเหี้ยมมาก มีความสูงที่ 7 ฟีตครึ่งและมีโครงร่างคล้ายกับวัวด้วย ผมคิดว่าเมื่อเขามาอยู่ในที่สว่างจะดูยิ่งน่ากลัวกว่าที่คุณจินตนาการเอาไว้อีก”
โอ’ซัลลิแวนเล่าว่าการออกแบบต้องมีการผ่านหลากหลายขั้นตอน “นิคออกแบบเอาไว้ในช่วงแรก และผมมีช่างแกะสลัก 2-3 คนทำงานในโมเดลหลายแบบ ซึ่งรวมถึงจูเลียน เมอร์เรย์ ที่สร้างรูปปั้นของตัวไมโนทอร์ร่างเหมือนมนุษย์ได้อย่างงดงาม” จากจุดนั้นพวกเขานำสภาพแวดล้อมของเขามาคิดพิจารณาเพื่อสร้างรูปร่างหน้าตาขึ้นมาอย่างเต็มตัว “เขาต้องอยู่ในคุกขี้ไก่ รอบตัวเขามีสิ่งเน่าเปื่อย เขาเป็นตัวน่ารังเกียจ เสื้อผ้าสกปรกน่าขยะแขยง เขาเป็นเหมือนกับฝันร้ายและนั่นคือสิ่งที่เราอยากแสดงให้เห็น”
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สุดของโอ’ซัลลิแวนกับตัวละครคือเรื่องของเขาสัตว์ “มันต้องเหมือนใช้งานได้จริง เขาต้องใช้เขาสัตว์ต่อสู้โดยไม่ให้เขาหลุดออกมาได้ การสร้างเขาให้ดูแน่นหนาคือเรื่องยาก”
สตั๊นท์แมน สเป็นเซอร์ ไวล์ดิง ผู้รับบทแสดงเป็นสัตว์ประหลาดต้องใส่ชุดคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ผมคิดว่าไม่มีส่วนไหนเลยที่โผล่ออกมาได้นะ” โอ’ซัลลิแวน กล่าวต่อ “สเป็นเซอร์ดูดีมากเลยตอนอยู่ในชุดสัตว์ประหลาดนั่น เราใส่เท้า ขา ลำตัว หัว เขา มือ ฟัน และแม้แต่คอนแทคเลนส์ให้เขา เขาเลยถูกคลุมมิดทั้งตัวเลย มันเป็นชุดสองท่อนที่มีหนาม สร้างขึ้นจากยางดิบแบบสมัยก่อน โดยทั้งชุดสร้างขึ้นจากวัสดุหลายชนิดแล้วนำมารวมกัน”
การเบิกทางในการปรากฏกายของโครนอสจากการถูกจองจำมาอย่างยาวนาน กองทัพมาไคที่มี 2 ร่างระเบิดอารมณ์ตลอดการรบท่ามกลางความตายและการทำลายล้าง จากการสร้างของผู้เขียนของภาพยนตร์ พวกเขาเป็นนักรบที่ถูกส่งไปยังทาร์ทารัสและถูกหลอมให้เข้ากันโดยโครนอส “เขาสร้างกองทัพขึ้นมาเองด้วยการผสานวิญญาณของนักรบ 2 ดวงให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างทรมาณ ก่อนที่จะส่งพวกเขาลงมาทำลายล้างแค้นบนโลก” ลายเบสแมนกล่าว
“ภูเขาไฟระเบิดแล้วลูกไฟก็กระเด็นไปที่เหล่ากองทัพ ผลที่ตามมาจากลูกไฟที่ตกลงบนพื้นทำให้เกิดมาไคมาโจมตีกองทัพของเพอร์ซีอุส” คอร์โบลด์บรรยายภาพ
“พวกเขาเป็นนักรบสูง 8 ฟุต มี 2 หัว 6 แขน สามารถวิ่งและกลิ้งต่อสู้ได้ กระโดดได้ด้วยพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป” เดวิสกล่าว “แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงตัวนำไปสู่ปีศาจร้ายที่กำลังจะเข้ามา ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ฉากสุดท้ายของเพอร์ซีอุส ซุส เฮดีส…และทุกคน” การสู้รบมาถึงจุดตื่นเต้นที่สุดเมื่อโครนอสที่สูงกว่า 1,500 ฟุตถูกปลดพันธนาการและเริ่มบุกโจมตี
“โครนอสสร้างอาณาจักรขึ้นมาจากความโกลาหล และเขาอยากทำให้โลกกลับไปสู่สภาพนั้น” ลายเบสแมนกล่าว “สิ่งที่ผมรักในตัวเขาคือเขาเตือนผมถึงเรื่องระเบิดปรมาณูตอนที่เขาแสดงภาพนี้บนจอ ระเบิดยักษ์นี้มีเศษซากจากภูเขาไฟปลิวออกมาทำให้เกิดเปลวเพลิงเผาทุกอย่างที่อยู่บนเส้นทางเขา”
โครนอสถูกสร้างขึ้นมาทั้งตัวด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อแซม เวอร์ธิงตันที่กลายมาเป็นผู้ชำนาญด้านการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดบนกรีนสกรีนไปแล้ว สำหรับนักแสดงชายแล้วทั้งหมดนั้นเป็นการทำงานที่เกิดขึ้นในวันเดียว “วิธีง่ายๆ: เราต้องเชื่อในโลกนั้น มันเหมือนกับตอนที่หลานของผมวิ่งไปทั่วเหมือนว่ากำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเลย ยิ่งเรายอมรับและเชื่อได้เท่าไหร่ ผู้ชมก็จะยอมรับและเชื่อได้เท่านั้น เรารู้ว่ามันเป็นการสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์เพราะโครนอส ไซคล็อปส์และไคมีร่าไม่มีอยู่จริง แต่เมื่อผมลงลึกเข้าถึงสถานการณ์ไปถึง 100% แล้วก็หวังว่าผู้ชมจะจดจ่อติดตามโดยไม่หลุดออกจากโลกนั้น”
ดูคลิป - Chimera Creature Featurette
http://youtu.be/xp1-40BF6yw Wrath of the Titans - สงครามมหาเทพพิโรธ
29 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
http://www.facebook.com/WrathOfTheTitans.Thai