FB on November 20, 2011, 03:50:56 PM
MOVIE GUIDE: Journey 2: The Mysterious Island
   




ภาพยนต์เรื่อง: Journey 2: The Mysterious Island
 
คลิปวิดีโอ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=V11BEsFi80M" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=V11BEsFi80M</a>
« Last Edit: February 01, 2012, 02:51:33 PM by FB »

FB on December 09, 2011, 04:48:07 PM
มาแล้ว โปสเตอร์คาแร็คเตอร์ จากหนังภาคต่อ Journey 2 : The Mysterious Island
   









 
          Warner Bros. ปล่อยโปสเตอร์คาแร็คเตอร์มาใหม่ จากภาพยนตร์แอ็คชั่น แฟนตาซี Journey 2 : The Mysterious Island ที่ได้พระเอกหล่อสุดล่ำอย่างดเวยน์ จอห์นสัน (เดอะร็อค) มาแสดงนำ เรื่องราวการผจญภัยยังคงการันตีความสนุกสนานจากนักแสดงชื่อดังอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น จอช ฮัทเชอร์สัน , วาเนสซ่า แอนน์ ฮัดเก้นส์ , ไมเคิล เคน และ คริสติน เดวิส พร้อมด้วยระบบภาพสามมิติ ที่มันส์ทะลุจอแน่ จากผลงานการกำกับของ แบรด เพย์ตัน

          Journey 2 : The Mysterious Island มีกำหนดฉายในไทยวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2012 ในระบบสองมิติและสามมิติ

FB on January 28, 2012, 01:43:16 PM
Movie Guide: Journey 2: The Mysterious Island ซับไทย

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=aSTsUc4GO_g" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=aSTsUc4GO_g</a>

FB on January 28, 2012, 01:45:28 PM
Journey 2: The Mysterious Island (เจอร์นีย์ 2 – พิชิตเกาะพิศวงอัศจรรย์สุดโลก)







           ใจกลางของดินแดนที่ห่างไกลในวันที่สดใส … ป่าร้อนชื้นอันเขียวชอุ่มที่ซ่อนอยู่ในชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะโอวาฮู รัฐฮาวาย ที่นี่เป็น Waimea Falls National Park ของเกาะ ซึ่งมีสายฝนสลับกับแสงแดดจ้าที่ส่องสายรุ้งออกมาภายใต้ต้นไม้ที่เปรียบเสมือนหลังคาจากธรรมชาติ ต้องเดินลุยโคลนผ่านต้นเฟิร์นและดอกไม้ในป่าที่ให้ความรู้สึกถึงการแยกตัวออกจากโลกในส่วนที่เหลือ เป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับพยนตร์ที่มีการถ่ายทำในสถานที่บางแห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางของฉากในยุคดึกดำบรรพ์ของภาพยนตร์ เรื่อง Journey 2: The Mysterious Island ภาคต่อจากภาพยนตร์เรื่องดังแห่งปี 2009 เรื่อง Journey to the Center of the Earth

          ในไม่ช้าธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของสถานที่แห่งนี้ก็ทำให้เกิดป่าในจินตนาการขึ้นมาใหม่ เป็นป่าไม้ที่มีดอกไม้ขนาดใหญ่เท่าต้นไม้ สีเหลืองและส้มที่สว่างสดใสของดอกแทบจะโดดเด่นออกมานอกกรีนสกรีนขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังฉาก แบรด เพย์ตัน เดินอยู่ในฉากที่มีความแปลกและน่าอัศจรรย์นี้ด้วยกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดพร้อมรองเท้าบูทที่ดูล้ำสมัยสำหรับเกาะในส่วนนี้

          แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการเคลื่อนย้าย และรักษาอุปกรณ์เครื่องมือวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ที่ล้ำสมัยสำหรับการถ่ายทอดการผจญภัยสำหรับที่นั่น ซึ่งรวมถึงความเพียรพยายามในการรักษาสิ่งแวดล้อมอันเป็นธรรมชาติในขั้นตอนของการถ่ายทำ แต่เพย์ตันก็ไม่มีทางเลือกอื่น “ผมอยากไปสถานที่อย่างฮาวายและเอาตัวละครลงไปเหยียบย่ำโคลน” เขากล่าวในฐานะของทีมงานคนหนึ่งที่ยุ่งกับการจัดฉากต่อไป ท่ามกลางดงดอกไม้ที่อยู่เบื้องหลังเขา “ผมอยากให้พวกเขาได้เห็นป่าไม้และชโลมไปด้วยแสงแดดในบรรยากาศจริงเลยใช้ของจริงทั้งหมด”

          ในภาพยนตร์เรื่อง Journey 2: The Mysterious Island จะได้เห็นการกลับมาของจอช ฮัตเชอร์สัน ที่รับบทบาทของ ฌอน แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นตัวละครที่ขึ้นเครื่องบินไปผจญภัยสุดมหัศจรรย์ทำนองเดียวกันในภาคแรก การผจญภัยครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อฌอนได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่เรียกมาจากพิกัดที่ไม่น่ามีเกาะใดอยู่ สัญญาณนั้นบอกมาแค่เพียง “เกาะมีอยู่จริง” เมื่อฌอนมุ่งมั่นที่ค้นหาที่มาของสัญญาณที่ส่งมา แฮงค์ พ่อเลี้ยงคนใหม่ของเขาซึ่งรับบทโดย ดเวย์น จอห์นสันก็ยืนยันว่าจะไปกับเขาด้วย นักแสดงชายผู้มากประสบการณ์อย่างลูอิซ กุซแมน รับบทเป็น นักขับเฮลิคอปเตอร์ที่จะรับภารกิจพาพวกเขาบินไปที่นั่น ส่วนวาเนสซ่า ฮัดเจนส์ รับบทเป็น ไคลานิ ลูกสาวผู้ฉลาดและเต็มไปด้วยความคิดริเริ่ม นักแสดงในตำนานอย่างไมเคิล เคน ก็มาแสดงร่วมกับเหล่านักแสดงโดยรับบทเป็น อเล็กซานเดอร์ ปู่ของฌอนผู้พบเกาะในตำนานและเป็นผู้ที่ทำให้ฌอนต้องร่วมการผจญภัยสุดตื่นเต้นเพื่อช่วยชีวิตปู่

          สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพย์ตันเล่าว่าเขาหวังจะ “นำเรื่องราวของฌอนเข้ามาพัฒนา โดยให้มีทิวทัศน์แปลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์ รวมถึงฉากของความท้าทายต่างๆ ที่จะพาเขาผจญภัยไปไกลกว่าที่เขาเคยมาก่อน เพราะเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เขาอยากสร้างรอยเท้าของเขาขึ้นมาบนโลก ตอนผมอายุ 17 ปี ผมก็อยากทำอะไรด้วยตัวเองและนั่นคือสิ่งที่ฌอนกำลังรู้สึก เขาอยากมีการผจญภัยของตัวเอง เขาต้องการความเป็นอิสระส่วนตัว ในหลายด้านแล้วมันเป็นเรื่องของการที่เขาค้นหาตัวเอง ได้พบความบุคลิกแห่งความเป็นชายและนักผจญภัยทั่วไป”

ตัวผู้กำกับเป็นแฟนพันธุ์แท้อย่างยาวนานของนานของนิยายในจินตนาการแนวแฟนตาซีของจูลส์ เวิร์น เจ้าของผลงานนิยายในศตวรรษที่ 19 เรื่อง The Mysterious Island และ Twenty Thousand Leagues Under the Sea ที่ถ่ายทอดเรื่องราวและมอบหัวใจสำคัญของการผจญภัยในเรื่องราว “ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรื่อง Mysterious Island เมื่อปี 1960” เขาเล่าว่า “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสประสบการณ์ของจูลส์ เวิร์น แต่ผมเริ่มทำหนังแอนิเมชั่นแบบสต็อปโมชั่น ตอนเป็นเด็กผมเป็นพวกคลั่งหนังสือแนวไซไฟและแฟนตาซี ผมอ่านเยอะมาก แม่ของผมมีห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือแนวไซไฟและแฟนตาซีที่บ้าน ตอนผมอายุ 7 ขวบผมเลยเข้าไปอ่านหนังสือของจูลส์ เวิร์น และ เอช.จี. เวลส์ อ่านทุกอย่างที่มือผมจะเอื้อมไปหยิบได้ถึง”

          เพย์ตันได้รับเนื้อหาสาระที่มีอิทธิพลเป็นแรงบันดาลใจของเขา เขาอยากสร้างภาพยนตร์ในจินตนาการทั้งหมดเป็นแนวไซไฟ “ตามหลักของเอช. จี. เวลส์ ทั้งหมดจะเป็นเรื่องแฟนตาซีที่เกิดขึ้นในโลกอื่น แต่จูลส์ เวิร์น กล่าวว่าแฟนตาซีเกิดขึ้นในโลกของเราเองได้” เพย์ตันอธิบายว่า “ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่อยู่ห่างไกลจากโลกแฟนตาซีเลย นี่เป็นการค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ของจริงที่อยู่ในโลกตามหลักวิทยาศาสตร์ของเรา และเป็นการแผ่ขยายเรื่องราวและถ่ายทอดให้มีความกลมกลืนแบบใหม่”
          ตอนนี้ฉากพร้อมสำหรับเหล่านักแสดงแล้ว ระบบกล้อง Fusion 3D ขนาดมหึมามีการพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกเพื่อให้จับภาพที่มีความลึกและความถูกต้องในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภาพยนตร์เรื่อง Avatar กล้องถูกวางอยู่บนเครนขนาดยักษ์ที่หมุนไปมาบนฉาก

ผู้อำนวยการสร้าง โบว์ ฟลินน์ กลับมาร่วมงานจากเรื่อง Journey ในภาคแรก พร้อมกับทริปป์ วินสัน และ ชาร์ล็อตต์ ฮักกินส์ เล่าว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบจากบทเรียนต่างๆ ที่เรียนรู้มาจากหนังภาคแรก ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกที่ถ่ายทำโดยใช้เทคโนโลยี 3 มิติแบบใหม่นี้ “หนังภาคนี้ง่ายกว่าหนังภาคแรก เพราะพวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ใช้เทคโนโลยีนั้น แต่ตอนนี้พวกเราเป็นผู้ชำนาญไปแล้ว” ฟลินน์เล่าว่า “ตอนนี้เทคโนโลยีมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น และกล้องก็มีขนาดเล็กและเบาลง แต่มีการเริ่มใช้งานที่ง่ายยิ่งขึ้นเพราะเราสามารถออกแบบภาพยนตร์ในรูปแบบ 3 มิติได้จริงเลย ตัวอย่างเช่น ฉากนี้ทั้งหมดถูกออกแบบมาด้วยจินตนาการว่ากำลังถ่ายทำด้วยกล้อง เราไม่สามารถทำแบบที่เคยทำกับหนัง 2 มิติได้อีกต่อไป เราต้องยอมรับและปรับตัวเข้ากับมัน”

          “สำหรับหนังแอ็คชั่นแบบนี้ จำเป็นที่เราต้องออกแบบฉากต่างๆ ให้มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ซึ่งแบรดสร้างทางเลือกที่ฉลาดมากขึ้นมา” วินสันเสริมว่า “ฉากเหล่านี้มีความอลังการและสร้างขึ้นมาเพื่อการแสดงในรูปแบบ 3 มิติ แต่แบรดก็ใช้กับช่วงจังหวะที่ดูแล้วไม่มีความโดดเด่นต่อการแสดง 3 มิติด้วย”

          ใบไม้พัดไหวอย่างมีชีวิตชีวา เกสรปลิวลอยไปมา (จริงๆ แล้วใช้แทนขี้เถ้าจากธรรมชาติด้วยสิ่งที่เรียกว่า Palmer’s Powder) ไปทั่ว เพย์ตันย้ายมาสู่กองถ่ายแห่งหนึ่ง ซึ่งมีจอมอนิเตอร์ 3 มิติ ที่ถูกป้องกันจากละอองฝนโดยให้มาอยู่ภายใต้ที่พักชั่วคราว เพื่อดูภาพตามจินตนาการแบบ 3 มิติถูกถ่ายทอดออกมาแบบสดๆ

          “แอ็คชั่น” เขาพูดเบาๆ แต่เสียงดังก้องไปทั่วฉาก แล้วผู้มีใบหน้าที่คุ้นตาก็เดินผ่านทุ่งหญ้าเข้ามาคนเดียว ไมเคิล เคน ในรูปลักษณ์ที่มีหนวดสีขาวปกคลุม ใส่กำไลและสร้อยคอรูปกระดูก ท่าทางสับสนเหมาะกับตัวละคร อเล็กซานเดอร์ แอนเดอร์สัน ของเขา เขาเดินทางผ่านป่าที่ปกคลุมไปด้วยดอกไม้ คนต่อมาคือดเวย์น จอห์นสัน ผู้รับบทเป็น แฮงค์ พ่อเลี้ยงของฌอน ผู้ไม่เห็นด้วยกับการหนีออกจากเกาะของพวกเขา ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกาะจมไปอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร โดยมีกุซแมนที่รับบทเป็น กาบาโต้ นักขับเฮลิคอปเตอร์เป็นผู้ติดตาม ทำหน้าที่แบกมะม่วงยักษ์ของเกาะชิ้นหนึ่ง ฮัตเชอร์สันและฮัดเจนส์รับบทเป็นฌอนและไคลานิที่ดึงรอกเมื่อเครนขนาดใหญ่เลื่อนลงมาจับภาพการแสดง ฮัตเชอร์สันก็หยุดมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

          “นี่คือหุบเขาแห่งดอกไม้” ฟลินน์บอกเราหลังจากการถ่ายทำ “ในเกาะแห่งนี้เกิดวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพิเศษ ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่ปกติมีขนาดเล็กก็จะมีขนาดใหญ่ และมันวิเศษมากที่ได้เล่นกับความยิ่งใหญ่แบบนั้นโดยเฉพาะในรูปแบบ 3 มิติ เรายิ่งสนุกสนานมากขึ้นเมื่อได้พาผู้ชมเข้าสู่ฉากแอ็คชั่นและทิวทัศน์ที่มีความแปลกและน่าพิศวงเหล่านี้”

          เมื่อผ่านไป 2-3 เทค เราก็ได้รู้ถึงผลที่ตามมาจากการที่ดอกไม้มีขนาดใหญ่ นั่นคือผึ้งมีขนาดยักษ์ “ที่นี่มีผึ้งขนาดใหญ่ยักษ์อยู่” เพย์ต้นเล่าให้เราฟังว่า “ที่นี่มีผีเสื้อยักษ์ กิ้งก่ายักษ์ และช้างจิ๋ว ฉากต่างๆ ถูกออกแบบมาให้สัตว์เหล่านี้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้ชมแล้วเกิดความตลกขึ้นมา”

          เมื่อเราทำการสำรวจโลกของจูลส์ เวิร์น เราต้องเตรียมรับสิ่งที่ไม่คาดคิดเอาไว้ สำหรับองค์ประกอบในการสร้างสรรค์ “ชาวเวอร์เนียน” เพย์ตันและผู้เขียนบทภาพยนตร์ไบรอันและมาร์ค กันน์ ได้เรียงร้อยเอาไว้ตลอดเรื่องราว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ดเวย์น จอห์นสัน รู้สึกมีความสุข “บอกตามตรงว่าหลายอย่างที่เกิดขึ้นมันน่าตื่นเต้นจริงๆ และผมตื่นเต้นที่ผู้ชมจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นด้วย” เขากล่าว

          ความกระตือรือร้นและความสนใจของจอห์นสันเป็นสิ่งที่ช่วยผู้กำกับได้มาก “ดเวย์นอยากเพิ่มระดับทุกอย่าง” เพย์ตันกล่าว “ทุกอย่างที่ดเวย์นได้สัมผัส เขาอยากมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้ และช่วยให้ทีมงานได้ทำงานได้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ด้วย เวลาที่วนเวียนกับคนแบบนั้น เราก็อยากตักตวงผลประโยชน์จากความสามารถของเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ และนั่นก็ทำให้หนังสนุกมากขึ้นด้วย”

FB on January 28, 2012, 01:46:04 PM
          จอห์นสันปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสง่าผ่าเผยในเสื้อแขนกุด เขาดูเหมาะกับบทบาทจากประสบการณ์เบื้องต้นของเขาในฐานะ “The Rock” ซึ่งเป็นนักแสดงมวยปล้ำมืออาชีพชื่อดัง นักแสดงที่แสดงในภาพยนตร์ เช่น The Mummy Returns, Fast Five, Get Smart และ The Tooth Fairy เป็นพระเอกในบ้านเกิดที่ฮาวายและรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาที่นี่
          “จริงๆ แล้วผมไม่ได้เกิดที่นี่ แต่ผมมีช่วงเวลาดีๆ ที่เติบโตขึ้นที่ฮาวาย” เขาเล่าว่า “จริงๆ แล้วผมเกิดที่ซาน ฟรานซิสโก แต่ผมรู้สึกแปลกใจที่ได้กลับมาแสดงหนังที่นี่ ผมน่าจะโตขึ้นในที่ๆ อยู่ห่างไกลออกไปอีก 1 ชั่วโมงซึ่งอยู่ตรงใจกลางเมือง ตอนนั้นอายุ 13-14 ปี ผมรักแฮร์ริสัน ฟอร์ด และ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นการได้หวนกลับมาและสนุกกับการแสดงหนังผจญภัยแบบนี้เป็นความโชคดีของผมแล้ว”
          ในภาพยนตร์ตัวละครของจอห์นสันได้ถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันกับลูกเลี้ยงของเขา พร้อมแสดงกับคริสติน เดวิส (Sex and the City) ที่รับบทแสดงเป็น ลิซ แม่ของฌอน “ตอนนี้ครอบครัวของเราค่อนข้างมีปัญหา และผมอยากทำให้กลับมากลมเกลียวกัน” จอห์นสันอธิบายว่า “นั่นคือสิ่งที่ผลักดันแฮงค์ มันเป็ฯสิ่งสำคัญสำหรับเราที่ต้องมีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกที่เหนียวแน่นกับฌอน แต่ก็ยังเคารพในความเป็นจริงที่ว่าพ่อของเขาได้เสียไปแล้ว เมื่อเราหยิบยกเรื่องขึ้นมา แฮงค์กำลังพยายามประคองดูแลความสัมพันธ์กับลูกเลี้ยงของเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นตัวผลักดันจึงมีความน่าสนใจและค่อนข้างเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่เป็นความสนุกสนานระหว่างตัวละครทั้ง 2 เพราะฌอนไม่ใช่เด็กอีกแล้ว เขาโตเป็นหนุ่มที่พบประสบการณ์ร้ายๆ มาเยอะมาก”
          จอช ฮัตเชอร์สัน แสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกตอนยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้โตขึ้นเป็นหนุ่มที่ยิ้มง่ายและมีอารมณ์ขัน ส่วนตัวละครของเขาคราวนี้ก็แตกต่างจากเที่ยวที่แล้วเช่นกัน “เขาดูกระตือรือร้นมากขึ้นเกี่ยวกับการไปผจญภัย เขาพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การผจญภัยอย่างเต็มรูปแบบ” ฮัตเชอร์สันเล่าในช่วงพักระหว่างฉากที่ต้องแสดงกับวาเนสซ่า ฮัดเจนส์ “ความสัมพันธ์ของเขากับแฮงค์ ซึ่งเป็ฯตัวละครของดเวย์นมีแรงผลักดันที่น่าสนใจมาก เพราะในตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจกันและมันเกี่ยวกับว่าพวกเขาเริ่มเข้ากันได้อย่างไรและได้เรียนรู้อะไรกันหลายอย่าง”
          ความสัมพันธ์ของฮัตเชอร์สันกับเพื่อนร่วมนักแสดงของเขาต่างจากตัวละครของพวกเขาอย่างลิบลับ “ดเวย์นเจ๋งมาก” เขาเล่าว่า “เขาเป็นเท็ดดี้แบร์ยักษ์ เขาตัวใหญ่มาก ดูน่ากลัว แต่เขาเป็นคนน่รัก สนุกสนาน ทำอะไรติ๊งต๊องและไร้สาระเหมือนพวกเรา เราเลยเข้ากันได้ดีมาก”
          นักแสดงวัยรุ่นทั้ง 2 อย่างฮัดเจนส์และฮัตเชอร์สันพบว่าตัวเองได้สำรวจเกาะ และได้ว่ายน้ำหรือโต้คลื่นบนชายหาดที่เลื่องชื่อในช่วงพักของพวกเขา “พวกเรายังเด็กและเป็นคนที่มีความสนุกสนาน มีความร่าเริงอย่างเต็มที่ ผมเลยคิดว่าการมีใครสักคนแบบนั้นในฉากมันทำให้สนุกมากขึ้น เพราะเราจะได้หัวเราะและฆ่าเวลาไป” ฮัตเชอร์สันเล่าว่า “มีบางสิ่งเกี่ยวกับการได้อยู่ที่ฮาวาย คือเรารู้สึกได้ถึงพลังของการไล่ล่าพลุ่งพล่านในตัวเรา ฟังดูแปลกแต่ความรู้สึกแบบนั้นมันออกมาจากที่นี่ ทุกคนต่างรู้สึกได้แบบนั้น” “มันเรียบง่ายมาก” ฮัดเจนส์กล่าวเสริมว่า “มันทำให้เราลืมเรื่องของเราและเปิดรับทุกอย่างรอบตัวเราได้”
          นักแสดงวัยรุ่นจากภาพยนตร์เรื่อง High School Musical อย่างฮัดเจนส์ไม่ได้ร้องเพลงระหว่างแสดงเรื่อง Journey 2: The Mysterious Island แต่เธอได้ร้องเบื้องหลังฉาก “เธอชอบเต้นตลอด” ฮัตเชอร์สันอธิบาย“และร้องเพลงด้วย” ฮัดเจนส์พูดเสียงสูง นักแสดงวัยรุ่นหญิงบรรยายถึงตัวละครไคลานิของเธอเองว่า “สนุกมาก เธอเป็นชาวเกาะ เธอติดอยู่ในการผจญภัยนี้ที่ขัดแย้งกับความตั้งใจของเธอ แต่ตลอดเวลาฌอนก็ให้เธอเปิดใจรับมันเพราะปกติเธอจะทำตามความคิดตัวเอง”
          ไคลานิเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในการผจญภัย “มันเลยเป็นหน้าที่ของฉันที่ต้องคอยเฝ้าระวังหนุ่มๆ มันวิเศษมาก ฉันหมายถึงทุกคนเจ๋งสุดๆ ฉันเข้ากับพวกเขาได้ดีมาก” ลูอิซ กุซแมน รับบทแสดงเป็น กาบาโต้ พ่อของไคลานิ ที่เราเห็นในช่วงแรกว่าเขากำลังเคี้ยวมะม่วงยักษ์ “ผมเดาว่าเขาหิวแล้วไปเจอมะม่วงยักษ์เข้าเลยจัดการซะ” กุซแมนกล่าวติดตลกต่อว่า “ผมไม่กินมะม่วงเยอะในเดือนเดียว! แต่ตัวละครนั้นเราก็รู้กันดีว่าเป็นคนง่ายๆ สบายๆ นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมรักในบทบาทนี้”

FB on January 28, 2012, 01:47:33 PM
          กุซแมนเป็นผู้ถ่ายทอดการแสดงที่น่าจดจำในภาพยนตร์ เรื่อง Traffic, Carlito’s Way และ Boogie Nights เขาสนุกกับโอกาสที่จะได้นำอารมณ์ขันของเขามาพัฒนาสู่ตัวละครกาบาโต้ “เมื่อนานมาแล้วผู้คนพูดว่า ‘เราเห็นคุณเป็นคนร้ายตลอดเลย’ และอะไรแบบนั้น” เขาเล่าว่า “ผมรักสิ่งที่ผมแสดงในหนังดราม่าและคอมเมดี้ แต่บทบาทนี้ผมได้สนุกไปกับมันมาก ผมคิดว่ามันถูกประพันธ์มาอย่างดีและผมก็สนุกกับเวลาที่ได้แสดงด้วย”
          ฮัดเจนส์เรียกกุซแมนในฉากว่า “พ่อ” “เขาไม่ได้เป็นสุดที่รักเท่านั้น ทุกสิ่งที่ออกมาจากปากของเขาเป็นเรื่องน่าตลกและเขาก็เป็นแบบนั้นตลอด” เธอพูดต่อว่า “บอกได้เลยว่าสำหรับเขาแล้วในการแสดงเป็นพ่อของฉันถือเป็นเกียรติ ฉันเรียกเขาว่าพ่อตลอดเวลา เขาเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง”
          กาบาโต้ทำธุรกิจให้บริการด้านเฮลิคอปเตอร์สำหรับนักท่องเที่ยวจากปาเลา และน่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่พาฌอนและแฮงค์ไปยังพิกัดที่มีสัญญาณปรากฏได้ “พวกเขามาหากาบาโต้และเขาพูดว่า ‘ได้เลย ผมจะพาคุณไป คิด 2 พันเหรียญนะ’” กุซแมนอธิบายต่อว่า “เขาแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับลูกสาว แล้วเธอก็จัดการให้พวกเขาจ่าย 3 พันเหรียญ เธอเป็นนักธุรกิจได้เก่งกว่า เราจึงไปลงเอยที่เกาะมหัศจรรย์ ส่วนกาบาโต้ก็กลายเป็นนักท่องเที่ยว”
          จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายคือ อเล็กซานเดอร์ แอนเดอร์สัน ปู่ผู้เป็นไอดอลของฌอนที่เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือไมเคิล เคน ผู้รับบทแสดงเป็นบรรพบุรุษตระกูลแอนเดอร์สันดูสบายๆ และมีความสุขในฉากของหนังที่แตกต่างจากหนังที่เขาแสดงอย่างสิ้นเชิง “ผมรับบทปู่เป็นครั้งแรก และก็แสดงหนัง 3 มิติเป็นครั้งแรกด้วย” นักแสดงผู้มีชื่อเสียงของภาพยนตร์ไตรภาค The Dark Knight trilogy และเจ้าของรางวัล Oscar จากเรื่อง Hannah and Her Sisters และ The Cider House Rules
          ครั้งหนึ่งเคนเคยแสดงเป็นกัปตันนีโมในภาพยนตร์ทางทีวีของชาวออสเตรเลียน เรื่อง The Mysterious Island รู้สึกตื่นเต้นที่ได้แสดงตัวละครที่เป็นแรงดลใจของเขาให้มีชีวิตชีวา “สิ่งเดียวที่ผมใส่เข้าไปในตัวละครของผมคือไอเดียต่างๆ ของจูลส์ เวิร์น” เคนเล่าว่า “อเล็กซานเดอร์มีความมุ่งมั่นมากและกล้าหาญสุดๆ เขาเป็นผู้ชายที่กล้าหาญมากและผมก็รักเขาเหลือเกิน”
          “อเล็กซานเดอร์รักทุกย่างก้าวของการผจญภัยนี้ ส่วนไมเคิลก็นำความสนุกสนานมาใส่ในการแสดงได้อย่างเต็มที่” ผู้อำนวยการสร้าง ชาร์ล็อตต์ ฮักกินส์ เล่าว่า “พอเขาสวมเครื่องแต่งกาย เขาก็ยิ้มกว้างและพูดว่า ‘ผมดูเหมือนปู่ของอินเดียน่า โจนส์เลย’”เคนผู้รับบทเป็นปู่รู้สึกดีใจที่ท้ายที่สุดมีโอกาสได้แสดงหนังที่หลานๆ ของเขาจะเพลิดเพลินได้ “ผมคิดว่านี่จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของพวกเขาที่สุดท้ายจะได้ดูซะที” เขาเล่าว่า “ผมพูดถึงผมได้ขี่ผึ้งไปรอบๆ ผมว่ามันใช้ได้เลยนะ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้นในหนังมาก่อน”
          ฉากขี่ผึ้งทำให้เคนมีโอกาสได้แสดงผาดโผนบนสายขึงระโยงระยางที่สร้างขึ้นมาโดยผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ ปีเตอร์ เชสนีย์ มันเรียกว่า Bee Buck ซึ่งในภายหลังจะถูกแทนที่ด้วยผึ้งขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ “พวกเขามีถุงสีฟ้าขนาดยักษ์อยู่บนเครน เราต้องนั่งลงบนถุงที่จะกลายเป็นผึ้ง” เขาอธิบายว่า “มันไม่ได้เคลื่อนที่สูงมากนัก เพราะมันไม่มีอะไรแขวน ไม่มีอะไรเป็นตัวควบคุมผึ้ง” เขาหัวเราะ “แต่สตั๊นท์แมนของผมเก่งมาก เราแสดงได้มากเท่าที่ต้องการโดยไม่ดูตลก ผมไม่ได้พูดว่าผมเป็นสตั๊นท์แมน แต่ผมอยากแสดงให้มากเท่าที่ผมจะทำได้”
          “เขาพูดถึงเรื่องผึ้งอาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า” จอห์นสันหัวเราะ“เขาตื่นเต้นกับมันมาก” จอห์นสันพูดต่ออย่างรวดเร็วว่าเขาตื่นเต้นมากที่มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้มีชื่อเสียงแห่งตำนาน”
          จอห์นสันเล่าถึงมิตรภาพระหว่างแฮงค์และอเล็กซานเดอร์ว่า “มีทั้งจิกกัดและความตลก ตัวละครของเราคอยหยอกล้อกันไปมาในหนังตลอดทั้งเรื่อง เราแสดงเต็มที่ซึ่งผมชอบมาก แต่ชอบในความสนุกสนานนะ”“โชคดีที่ดเวย์นเป็นคนน่ารักมาก” เคนเล่าเสริมอย่างติดตลกว่า “คุณคงไม่อยากไปแหย่เขา”
          ในอีกด้านหนึ่งของสวนธรรมชาติ มีต้นไม้ที่ล้มอยู่ซึ่งถูกวางบนพื้นของป่า เพื่อทำให้เป็นฐานสำหรับการตัดไม้ระหว่างฉากที่ไล่ล่ากับกิ้งก่ายักษ์ ในมุกตลกแบบคลาสสิคกิ้งก่าจะก้าวมาที่ปลายท่อนซุง ซึ่งจะขยับท่อนซุงไปอีกด้านหนึ่ง และสตั๊นท์แมนจะยืนอยู่บนนั้นกลางอากาศ สำหรับฉากผาดโผนเมื่อหลายปีก่อน ทีมงานด้านเอ็ฟเฟ็กต์ต้องประดิษฐ์ต้นไม้ต่างๆ จากต้นไม้ที่ตายแล้วและเศษซากอื่นๆ ที่ตกลงมาระหว่างการแสดง แต่ตอนนี้มาถึงจุดสำคัญของเรื่อง
          เมื่อเพย์ตันมาแสดงในฉาก ทีมตากล้องก็มั่นใจในระบบ Fusion อันมหึมาที่ถูกตั้งไว้เพื่อจับภาพความเจริญเติบโตที่น่าทึ่งอย่างชัดเจน ลงไปสู่วัตถุที่มีขนาดจิ๋วซึ่งกำลังลอยอยู่ในอากาศที่สอดส่องแสงอาทิตย์ผ่านยอดไม้
          ทีมงานปรับเปลี่ยนในช่วงนาทีสุดท้าย ส่วนเพย์ตันก็กลับไปเข้าฉาก ความต้องการของเขาที่อยากสร้างสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์หลายอย่างให้เป็นไปได้ เช่น ตัวเลื่อยตัดท่อนซุงจะมีการทดสอบจริงเมื่อทีมงานย้ายไปที่โรงถ่ายในวิลมิงตันทางตอนเหนือของคาโรไลน่า ที่นั่นกำลังยุ่งกับการสร้างแทงก์ขนาดยักษ์เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ที่บรรจุน้ำได้ 750,000 แกลลอน และเป็นห้องโถงใต้น้ำที่มีความลึกลับมาก
          ฉากนี้ดึงดูดความสนใจย้อนกลับไปที่แรงบันดาลใจของภาพยนตร์ นั่นคือ จูลส์ เวิร์น และ Nautilus เรือดำน้ำของกัปตันนีโม “Nautilus ถูกรวมเข้ามาในหนัง 100%” เพย์ตันเล่าว่า “ในหนังของเรานีโมมีหลุมฝังพิเศษที่คนงานของเขาสร้างขึ้นมาให้บนเกาะมหัศจรรย์ The Nautilus ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขู่ผู้คนและฝังเรือไว้ มันถูกสร้างขึ้นให้ตั้งใจดูเหมือนปีศาจแห่งทะเล และนั่นคือความรู้สึกที่อิงมาจาก Nautilus และอินเดียแดงในโลกของกัปตันนีโม มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับ Nautilus แบบใดที่เราเคยเห็นมา”
          แต่สำหรับตอนนี้จำเป็นต้องมีฉากผาดโผน และเราทำได้แค่อึ้งไปกับสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์และทีมงานศิลป์สร้างขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดความงดงามของป่าไม้ในยุคแรกตามธรรมชาติ รู้เลยว่าพวกเขาใช้วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เพื่อเพิ่มความงดงามด้วยภาพอันน่าอัศจรรย์ที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟที่มีทอง นกกินเนื้อและกิ้งก่าขนาดยักษ์ ทำให้มีความน่าอัศจรรย์ น่าตื่นเต้น และสิ่งที่ไม่คาดฝัน ซึ่งล้วนสร้างความตื่นตาในระบบ 3 มิติ

          ภาพยนตร์เรื่อง Journey 2: The Mysterious Isl and จะเริ่มฉาย 2 กุมภาพันธ์ 2012 ผลงานจากวอร์เนอร์ บราเดอร์ พิกเจอร์ส

FB on February 01, 2012, 02:53:26 PM
ดเวย์น จอห์นสัน อึ้ง!! เบื้องหลังงานสร้าง “Journey 2: The Mysterious Island”

           ภาพยนตร์เรื่อง “Journey 2: The Mysterious Island” ใช้สถานที่ถ่ายทำใน Oahu รัฐฮาวาย ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง 2010 บนเกาะมีแนวชายฝั่งตั้งแต่เป็นชายฝั่งผืนทรายและหุบเขาที่มีหมอกปกคลุมไปจนถ้ำและภูเขาไฟต่างๆ สถานที่ถ่ายทำได้แก่ Waimea Valley, Heeia Kea, China Walls และ Kualoa Ranch ซึ่งใช้เป็นที่ถ่ายทำของภาพยนตร์และทีวีหลายเรื่อง รวมถึง Halona Beach Cove ที่รู้จักกันดีในชื่อ Eternity Beach เพราะเป็นจุดที่เลื่องชื่อโดยเบิร์ต แลนแคสเตอร์ และ เดโบร่าห์ เคอร์ ในเรื่อง “From Here to Eternity”

          แม้ว่าดเวย์น จอห์นสัน จะเกิดที่ซาน ฟรานซิสโก ฮีโร่ของเรื่องก็กล่าวว่า “ผมเองก็มีโอกาสโตขึ้นในฮาวาย ซึ่งไกลจากสถานที่ๆ ใช้ถ่ายทำประมาณ 1 ชั่วโมง และมันการได้กลับมาก็วิเศษมาก ช่วงเวลาหลายวันตอนที่ผมอายุ 13 หรือ 14 ปี ผมรักการดูหนังและก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นการได้กลับมาที่ฮาวายและแสดงหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก”

          ผู้สร้างภาพยนตร์ยังใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของสตูดิโอที่ North Carolina เพื่อถ่ายทำบางฉากให้เสร็จ เริ่มด้วยฉากที่เฮลิคอปเตอร์พุ่งชน หลังจากนั้นก็มีการถ่ายทำที่ Eternity Beach แต่ฉากที่หมุนผ่านพายุจนดิ่งลงพื้นถ่ายทำที่โรงถ่าย ซึ่งรวมถึงสิ่งที่ผู้ควบคุมสเปเชียล เอ็ฟเฟ็กต์ ปีเตอร์ เชสนีย์ เรียกว่า “มันเป็นเหมือนรางประกอบของเล่นที่สร้างขึ้นรอบเสาเหล็กที่หนักมากกับอลูมิเนียมที่ยืดขยายออก”

          เชสนีย์สามารถประยุกต์แรงดันรอกทุกมุมน้ำหนัก 6,000 ปอนด์เพียงแค่กดปุ่ม โดยการสร้างอุปกรณ์ที่มีการสั่นสะเทือนสูงที่เขาตอกแอร์แบ็คลงไป เพื่อแปลงโช๊คของรถบรรทุกและติดตั้งมันกับวาห์ลแรงดันสูง ที่จะสามารถผลักดันแรงอัดอากาศปริมาณสูงจากการกดสัญญาณกระแสไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถสร้างพายุเฮอริ์เคนที่มีความรุนแรงระดับ 5 ที่สุดท้ายได้สะบัดเฮลิปคอปเตอร์เป็นเสี่ยงได้ “มันคล้ายกับ ‘เครื่องบินฝึกแรงโน้มถ่วง’ อันเลื่องชื่อขององค์กร NASA ที่พวกเขาสร้างแรงโน้มถ่วงให้เป็น 0 แต่เราหยุดที่การกลิ้งระหว่างกลางและสามารถวิ่งกลับไปในอีกทิศทางหนึ่งได้” เขาเล่าอย่างภูมิใจถึงเอ็ฟเฟ็กต์ล่าสุดของสิ่งประดิษฐ์ในฉาก

          แต่นั่นเป็นเพียงช่วงแรกเริ่ม ฉากผาดโผนที่เป็นจุดเด่นของภาพยนตร์ยังมีการต่อสู้กันทางอากาศที่นักผจญภัยทั้ง 5 คนนั่งอยู่บนผึ้งยักษ์และถูกนกที่ตัวใหญ่กว่าไล่กวดเพื่อจะกินพวกเขา ฌอนพยายามชี้พวกนกเหล่านั้นว่าเป็นนกที่มีคอสีขาวสายพันธุ์ Needletails ก่อนที่พวกมันจะโฉบลงมาหาเขา ซึ่งถูกเจาะจงเป็นพิเศษเพราะ Needletails เป็นนกที่บินเร็ว และอันที่จริงแล้วกินผึ้งเป็นอาหาร ซึ่งจากขนาดแล้วเพย์ตันแนะว่า “ให้คิดว่าผึ้งเป็นเฮลิคอปเตอร์ ส่วนนกเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดแล้วกัน”

          “เราเฝ้าระวังเพื่อให้แน่ใจว่ามันให้ความรู้สึกที่ถูกต้องในเรื่องความเร็วและตามหลักฟิสิกส์” เขากล่าวต่อ “ผมอยากให้ภาพเหล่านี้มีน้ำหนัก ฉะนั้นเวลาที่ผู้ชมเห็นนักแสดงกระชากไปทางซ้ายหรือขวาอย่างแรง หรือเอียงตัวเวลาเลี้ยว พวกเขาต้องแสดงแบนั้นจริงๆ” เพื่อการสร้างฉากนี้ให้สำเร็จ ผู้กำกับต้องหันไปพึ่งเชสนีย์อีกครั้ง เขาเป็นผู้สร้างหุบเขาหลายชุดที่เรียกว่า Bee Bucks ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้ดูสมจริงได้ คล้ายกับถังน้ำมัน ซึ่งแต่ละอันถูกวัดและสร้างความสมดุลกับน้ำหนักของนักแสดงแต่ละคน จากนั้น The Bucks จะเชื่อมติดกับคานรับน้ำหนักที่ทำหน้าที่เหมือนแผงไม้กระดานหกที่มีน้ำหนักถ่วงเพิ่มเติม แล้วนักแสดงทั้งหมดจะนั่งอยู่บนสามเหลี่ยมที่เป็นฐานลอยอยู่บนลูกปืนที่สามารถควบคุมความผันแปรของแรงดันได้ ฉะนั้นจึงลอยเหมือนกับลูกยางบนโต๊ะเกมฮ็อคกี้

          ในตอนหลังผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ บอยด์ เชอร์มิส ได้แทนที่ถังน้ำมันด้วยผึ้งที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิค และแทรกฟุตเทจหลังฉากที่ทีมงานของเขาพบโดยบังเอิญจากการเดินทาง และด้านบนยอดต้นไม้ของหุบเขา บนเฮลิคอปเตอร์ก็มีการใช้กล้องสเตอริโอขนาดย่อส่วนเพื่อให้ได้จังหวะความเร็ว การเคลื่อนไหวและความตื่นเต้นของการบิน จากนั้นเขาถ่ายทำ Buck Rig และส่วนเพิ่มเติมจากทุกมุมแล้วมาผสมผสานทั้งหมดเข้ากับฉากแอ็คชั่นแบบดิจิตอล เหล่านักแสดงจึงเห็นและแสดงโต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็วตลอดการไล่ล่า

          จากฉากนั้นก็มีฉากแอ็คชั่นบางฉากที่ย้ายไปใต้น้ำ เพื่อไปพบกับปลาไหลไฟฟ้าเพชฌฆาตขนาดยักษ์ ซึ่งจอห์นสันและฮัตเชอร์สันต้องมีใบรับรองการดำน้ำสกูบาเข้ามาเสริมในประวัติ ในตอนแรกผู้สร้างภาพยนตร์วางแผนว่าจะใช้แทงก์ที่ฃ EUE/Screen Gems Studios ในวิลมิงตัน แต่ฉากถูกพัฒนาแนวคิดและมีขนาดใหญ่ขึ้น พวกเขาเลยต้องสร้างแทงก์ขึ้นมาเอง ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 ฟีต ลึก 20 ฟีต รองรับน้ำได้ 750,000 แกลลอน

          นักแสดงต้องดื่มน้ำเข้าไปและบางส่วนของฉากที่เรือดำลงไปในน้ำเรียกว่าห้องขนาดเล็กซึ่งเป็นทางผ่าน แต่เชอร์มิสเปิดเผยว่า “ทุกอย่างในฉากนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนย่อยๆ ใต้น้ำ การหักเหของแสง สิ่งมีชีวิตในทะเล หินปะการัง ฟองอากาศและโคลน สภาวะใต้น้ำเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์อย่างซับซ้อนที่สุด ใช้เวลานานมากกับเลเยอร์นับร้อย”

          กลับมาที่เหนือระดับน้ำทะเล บ้านต้นไม้ของอเล็กซานเดอร์ตั้งใจสร้างขึ้นมาด้วยมือจากการกู้เรืออับปาง และไฟที่จุดขึ้นมาด้วยหิ่งห้อยที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วก็ถูกสร้างขึ้นมาในฉากเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ของฉากแอตลานติสที่กว้างขวางถูกสร้างขึ้นบนสถานที่ในฮาวาย ผู้ออกแบบฉากบิล โบส์ อธิบายว่า “เราอยากถ่ายทอดออกมาในรูปแบบที่หรูหราอลังการ บางอย่างถูกสร้างขึ้นด้วยการทาสีแบบด้านและวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ แต่เราก็สร้างฉากขนาดยักษ์ขึ้นมาที่ Kualoa Valley ด้วยเช่นกัน เพราะเกาะจมขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดช่วง 140 ปี เรารวมพวกเปลือกหอยและหินปะการังและสัญลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำสมัยโบราณเข้าไปในโครงสร้างด้วย”

          ความอัศจรรย์อื่นๆ ของเกาะ ได้แก่ ภูเขาไฟที่พ่นทองเปลว รวมถึงขี้เถ้าทองที่ฝนตกลงมาใส่กลุ่มนักผจญภัยที่วิ่งหลบหนีอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้เอ็ฟเฟ็กต์อันสมจริงถือเป็นความท้าทาย และเพื่อเลี่ยงมลพิษของสภาพแวดล้อมช่วงแรก ทีมงานไม่สามารถใช้เครื่องมือตามมาตรฐานในการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นไมกาหรือชิ้นส่วนของไมลาร์ก็ตาม พวกเขาต้องการองค์ประกอบที่ปลอดภัย หลังจากมีการพิจารณาอย่างหนักแล้วก็ตัดสินใจว่าทางออกแก้ไขที่ง่ายที่สุดคือวิธีที่ดีที่สุด พวกเขาจึงเลือกแผ่นทองที่แท้จริงโดยมีความหนา 1.2 ล้านหน่วยต่อหนึ่งนิ้ว และมีความบริสุทธิ์พอที่จะกินได้

          สำหรับสถานที่อื่นๆ กลุ่มนักผจญภัยต้องเผชิญหน้ากับความไม่คาดฝันที่ไม่พึงปรารถนา นั่นคือกองไข่ที่มีรูปร่างประหลาด ซึ่งที่จริงแล้วเป็นไข่กิ้งก่ายักษ์ ซึ่งพวกเขาไม่รู้จนกระทั่งข้ามมาครึ่งทางแล้ว แต่ละคนทรงตัวอย่างไม่มั่นคงบนเปลือกหอยบางๆ ในขณะที่แม่กิ้งก่ายักษ์คืบคลานมาหาพวกเขา ไข่เกือบ 60 ฟองที่เข้ามามี 2 ขนาด นั่นคือขนาดใหญ่และใหญ่กว่า ซึ่งมีการแกะสลักและหลอมโดยไฟเบอร์กลาสที่โปร่งใส เขานำมาเชื่อมเข้ากันและทาสี สร้างขึ้นมามีน้ำหนักราว 200-300 ปอนด์ มีขนาดระหว่าง 7 – 10 ฟีตตามความยาวเส้นรอบวงที่ถูกวางให้ได้ตำแหน่งและดามลงไป

          Journey 2: The Mysterious Island –
          เจอร์นีย์ 2 : พิชิตเกาะพิศวงอัศจรรย์สุดโลก
          2 กุมภาพันธ์นี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น