ผลงานของ เบ็น เบิร์ต (ผู้ออกแบบเสียง) ในการออกแบบเสียง เขาได้สร้างเสียงให้กับ R2-D2 เสียงกระหึ่มและการปะทะของดาบพลังแสงในการต่อสู้ เสียงการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในฉากการไล่ล่าของมอเตอร์ไซค์อวกาศ ซึ่งนั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars ไตรภาคต้นฉบับมีอารมณ์ของเสียงที่สมจริง
20 ปีต่อจากนั้น เบิร์ตได้ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars Trilogy Special Edition นานกว่า 6 เดือนเพื่อผสมผสาน ลำดับเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ เสียงดนตรี และเสียงพูดจากแทร็คต้นฉบับอีกครั้ง
เขาเกิดที่ Syracuse เมืองนิวยอร์ค เบิร์ตได้รับปริญญาด้านฟิสิกส์ เมื่อปี 1970 เขาได้รับรางวัลที่งาน National Student Film Festival ในภาพยนตร์สงครามเรื่อง Yankee Squadron สำหรับผลงานของเขาด้านสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์เรื่อง Genesis ทำให้เขาได้รับทุนการศึกษาที่ USC ซึ่งเขาสำเร็จปริญญาโทด้านการสร้างภาพยนตร์ เบิร์ตได้อยู่ในวงการภาพยนตร์มานานกว่า 23 ปีในฐานะผู้ออกแบบเสียง มิกซ์เสียง ลำดับเสียง ผู้เขียนและผู้กำกับ กิจกรรมที่เบิร์ตให้ความสนใจ ได้แก่ “ลูกๆ ของเขา, ประวัติศาสตร์ด้านภาพยนตร์, ขี่จักรยานภูเขา, เล่นสกี และอ่านหนังสือแนวประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์”
ในช่วงเวลา 15 ปีที่เบิร์ตทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบเสียงให้ Lucasfilm เขาได้รับรางวัล Academy Awards สาขาลำดับเสียงและเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์ 4 เรื่อง ได้แก่ Star Wars, E.T. The Extra-Terrestrial, Raiders of the Lost Ark และ Indiana Jones and the Last Crusade เบิร์ตยังออกแบบเสียงให้ภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Temple of Doom, The Empire Strikes Back, Return of the Jedi, Always, Willow, Alien, More American Graffiti, Howard the Duck, The Dark Crystal, Nutcracker, The Motion Picture, The Dream is Alive, Alamo และ Niagara
ในปี 1990 เบิร์ตได้ทำงานอิสระและเริ่มทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ เขาได้กำกับกอง 2 ของภาพยนตร์ เรื่อง The Young Indiana Jones Chronicles จำนวน 20 ตอน และทำหน้าที่เป็นผู้ลำดับภาพให้ภาพยนตร์เรื่อง of Young Indy 4 ตอนและบางทีก็เป็นผู้ออกแบบเสียง เบิร์ตกำกับภาพยนตร์และร่วมเขียนบทเรื่อง Young Indy movie “Attack of the Hawkmen.” เขากำกับภาพยนตร์ระบบ IMAX เรื่อง Blue Planet เขากำกับและร่วมเขียนบทภาพยนตร์ระบบ IMAX เรื่อง Special Effects เบิร์ตยังได้เขียนบทให้ซีรี่ส์แอนิเมชั่นทางทีวีของ Lucasfilm เรื่อง Droids และรวมถึงภาพยนตร์ชุดพิเศษของ ABC เรื่อง Droids ที่มีความยาว 1 ชั่วโมงซึ่งตั้งชื่อว่า “The Great Heep”
แกรี่ ริดสตรอม (ผู้กำกับฝ่ายปฏิบัติการด้านสร้างสรรค์/ผู้ออกแบบและมิกซ์เสียง, เสียงสกายวอล์คเกอร์) ได้ร่วมสร้างผลงานกับ Skywalker Sound เมื่อปี 1983 ในฐานะผู้ควบคุมห้องเครื่องยนต์ จากนั้นมาเขาได้ใช้ความสามารถของเขาช่วยเหลืออีกหลายโปรเจ็กต์ในฐานะของผู้ออกแบบเสียง, รีรีคอร์ดิงมิกเซอร์, ผู้มิกซ์เสียงเอ็ฟเฟ็กต์และโฟลีย์ มิกเซอร์ ในปี 1998 ริดสตรอมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติงานสร้างสรรค์แห่ง Skywalker Sound เขาควบคุมการสร้างสรรค์และการควบคุมเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก นอกจากผลงานภาพยนตร์และโฆษณาของเขาแล้ว ริดสตรอมยังได้สร้างโปรเจ็กต์ทางทีวีและเครื่องเล่น และภาพยนตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง ริดสตรอมสำเร็จการศึกษาจาก USC School of Cinema and Television เขาได้รับรางวัล Academy Award 7 รางวัลในสาขาเสียงและการลำดับเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม สำหรับผลงานของเขาในเรื่อง Saving Private Ryan, Titanic, Jurassic Park และ Terminator 2: Judgment Day
จอห์น วิลเลียมส์ (ผู้ประพันธ์ดนตรี) เขาคว้ารางวัล Academy Award ไปถึง 5 ครั้ง เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar เป็นพิเศษทั้งหมดถึง 37 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จนมาถึงตอนนี้เป็นผลงานการประพันธ์ของเขาจากภาพยนตร์แนวดราม่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง Saving Private Ryan
วิลเลียมส์ได้ร่วมงานกับจอร์จ ลูคัส เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ต้นฉบับเรื่อง Star Wars ที่ผู้ประพันธ์ดนตรีได้รับรางวัล Academy Award เขาได้กลับมาร่วมงานในจักรวาลของ Star Wars อีกครั้งในเรื่อง Empire Strikes Back และ Return of the Jedi
เขาได้ร่วมงานกับสปีลเบิร์กในภาพยนตร์เกือบทั้งหมดของผู้กำกับ เขาได้รับรางวัล Oscar 3 รางวัลจากผลงานของเขาในเรื่อง Jaws, E.T. The Extra-Terrestrial และ Schindler’s List รางวัล Academy Award อื่นๆ ได้มาจากการประพันธ์ดนตรีของเขาในเรื่อง Fiddler On the Roof ฉบับภาพยนตร์
วิลเลียมส์ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน เขาได้สร้างธีมที่คุ้นหูส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไว้มากมาย เขาได้ประพันธ์ดนตรีให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Jurassic Park และภาคต่อ, The Lost World: Jurassic Park; Amistad, Seven Years in Tibet, Sabrina, JFK, Home Alone, Born on the Fourth of July, The Accidental Tourist, Close Encounters of the Third Kind, Empire of the Sun, Superman และ Indiana Jones ทั้ง 3 ตอน
ผลงานของเขานอกจากนั้น วิลเลียมส์ยังเป็นวาทยากรของ Boston Pops Orchestra เป็นเวลา 13 ฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และตอนนี้เป็นวาทยากรผู้ทรงเกียรติของวงที่มีชื่อเสียงนั้น ในฐานะของวาทยากรรับเชิญ เขาได้ปรากฏตัวในวงออเคสตราที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกหลายวงอยู่เป็นประจำ ผลงานการประพันธ์ดนตรีของเขาได้มีอิทธิพลนอกเหนือจากโลกภาพยนตร์ เมื่อเขาได้สร้างผลงานในคอนเสิร์ตไว้มากมาย รวมถึงการเขียนเพลงในคอนเสิร์ตจำนวนมาก รวมถึงวงซิมโฟนี 2 วงและเพลงประสานเสียงของฟลุต แตรใหญ่ ไวโอลิน แคริเน็ท บาซูน เชลโล่ และทรัมเป็ท
โรบิน เกอร์แลนด์ (การคัดเลือกนักแสดง) ได้เริ่มการทำงานด้วยการเป็นผู้ควบคุมการคัดเลือกนักแสดงที่ Bay Area เขาทำการค้นหาและคัดเลือกนักแสดงให้ภาพยนตร์มากกว่า 17 เรื่อง ได้แก่ Life With Mikey, Forrest Gump, Little Panda และ When a Man Loves a Woman ผลงานที่มีชื่อเสียงของเธอในฐานะผู้ควบคุมการคัดเลือกนักแสดงในท้องถิ่น ได้แก่ The Joy Luck Club, Dangerous Minds, The Quick and the Dead, Redwood Curtain และ Golden Gate ในฐานะของผู้ควบคุมการคัดเลือกนักแสดง เธอได้คัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง James and the Giant Peach และได้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาในเรื่อง The Education of Little Tree
นิค ดัดแมน (เอ็ฟเฟ็กต์ของสิ่งมีชีวิต) เป็นช่ำชองในภาพยนตร์ของ Lucasfilm มาแล้วหลายเรื่อง ได้แก่ Return of the Jedi, Willow และ Indiana Jones and the Last Crusade จริงๆ แล้วเขาเริ่มทำงานในวงการภาพยนตร์ด้วยการรับหน้าที่ของตัวละครโยดา ในฐานะของผู้ฝึกงานของสจ๊วต ฟรีบอร์น ผู้ชำนาญด้านการแต่งหน้าชาวอังกฤษ ในเรื่อง The Empire Strikes Back
หลังที่ได้ฝึกงานกับฟรีบอร์นเป็นเวลา 4 ปีในภาพยนตร์เรื่อง Superman II และ Top Secret! ดัดแมนได้รับการร้องขอให้ไปทำหน้าที่ควบคุมห้องทดลองการแต่งหน้าชาวอังกฤษในภาพยนตร์ของริดลีย์ สก็อตต์ เรื่อง Legend ตั้งแต่นั้นมาเขาได้สร้างผลงานในเรื่อง Mona Lisa, High Spirits, Interview With the Vampire, Batman และ Judge Dredd ในปี 1995 เขาได้รับการร้องขอให้ไปควบคุมฝ่ายแผนกสร้างสัตว์ประหลาดที่มีทีมงาน 55 คนในภาพยนตร์ของลุค เบสสัน เรื่อง The Fifth Element
การปรับโฉมของดัดแมนที่มีการสร้างวัสดุของเทียมเรียกว่า Dermplast ที่มีการใช้เพื่อสร้างเอ็ฟเฟ็กต์ของการทำให้ดูแก่ในการแต่งหน้า โดยวัสดุมีการจำหน่ายผ่านบริษัทของดัดแมนเพียงที่เดียว ซึ่งมีชื่อเรียกแปลกๆ ว่า “Pigs Might Fly”
เด็นนิส มูเร็น (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์) เป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์อาวุโสที่ Industrial Light & Magic เขาได้รับรางวัล Academy Award 8 รางวัลสำหรับสาขาความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ มูเร็นมีส่วนร่วมในการพัฒนาบริษัทอย่างตื่นตัว รวมถึงการออกแบบและพัฒนาเทคนิคและเครื่องมือใหม่ๆ
ผลงานของเขาที่มีชื่อเสียงในฐานะของผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ได้แก่ The Lost World: Jurassic Park, Casper, Jurassic Park, Terminator 2: Judgment Day, The Abyss, Innerspace, Young Sherlock Holmes, Indiana Jones and the Temple of Doom, Return of the Jedi และ E.T. The Extra-Terrestrial
ในฐานะของผู้บุกเบิกการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิตอลในภาพยนตร์ สก็อตต์ สเควียร์ส (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์) ได้ผสมผสานความชำนาญด้านเทคนิคกับพรสวรรค์ด้านงานสร้างสรรค์อย่างสูง สเควียร์สได้พัฒนาเทคนิคที่มีความโดดเด่นหลายอย่าง รวมถึง “Cloud Tank Effect” ที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Close Encounters of the Third Kind
ในปี 1979 Squires ได้ร่วมก่อตั้ง Dream Quest Images และเป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ รวมถึงเป็นประธานบริษัทเป็นเวลาถึง 6 ปี โปรเจ็กต์ Dream Quest ของเขา ได้แก่ Blue Thunder, The Adventures of Buckaroo Banzai Across the Eighth Dimension, Deal of the Century, One From the Heart และ Blade Runner Squires ได้ร่วมงานที่ Industrial Light & Magic เมื่อปี 1985
ในปี 1994 สเควียร์สได้รับรางวัล Scientific and Engineering Award จาก Academy of Motion Picture Arts and Sciences สำหรับผลงานการบุกเบิกด้านสแกนภาพเพื่อนำไปใช้ในภาพยนตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar สำหรับความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมด้านวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในเรื่อง The Mask และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเป็นครั้งที่ 2 จากเรื่อง Dragonheart
จอห์น นอล (ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์) ได้มอบความชำนาญพิเศษและได้ปรับโฉมคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเพื่อสร้างวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ นอลและพี่ชายของเขาเป็นผู้สร้าง Photoshop โปรแกรมการประมวลผลด้านภาพขั้นสูงสำหรับคอมพิวเตอร์ Macintosh ซึ่งคล้ายกับ Quantel Paintbox โดย Photoshop ให้ผู้ใช้ได้ควบคุมการสร้างสรรค์ได้อย่างครอบคลุมเพื่อปรับปรุงและแก้ไขภาพ นอลยังเป็นผู้ออกแบบโปรเจ็กต์คอมพิวเตอร์กราฟฟิคเรื่อง The Abyss ที่ ILM ได้รับเกียรติด้วยรางวัลวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยมที่งาน Academy Award ครั้งที่ 10
ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขานอกจากนั้นในฐานะผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ ได้แก่ Star Trek: First Contact, Star Wars Special Edition, Mission: Impossible และ Star Trek Generations
ร็อบ โคลแมน (ผู้ควบคุมแอนิเมชั่น) ได้มาร่วมงานกับทีมผู้สร้างแอนิเมชั่นที่ ILM เมื่อปี 1993 เพื่อสร้างผลงานในเรื่อง The Mask ภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องอื่นของโคลแมน ได้แก่ Men in Black, Dragonheart, The Indian in the Cupboard, In the Mouth of Madness และ Star Trek Generations
ก่อนที่จะมาร่วมงานที่ ILM เขาได้เริ่มอาชีพด้วยการสร้างผลงานในเรื่อง Captain Power ซีรี่ส์ทางทีวีเรื่องแรกของเขาที่มีการผสมผสานของตัวละครแอนิเมชั่นที่สร้างจากคอมพิวเตอร์กับไลฟ์แอ็คชั่น โปรเจ็กต์ได้รับรางวัล Gemini Award (รางวัลที่เทียบเท่า Emmy สำหรับชาวแคนาดา) สำหรับความสำเร็จด้านเทคนิคยอดเยี่ยม ตั้งแต่ที่โคลแมนได้สร้างผลงานคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นและกราฟฟิคให้ผลงานที่มีการออกอากาศและโฆษณาต่างๆ เขาได้สร้างผลงานในภาพยนตร์แอนิเมชั่นชุดพิเศษสำหรับ World Health Organization เขาได้ก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อโปรเจ็กต์โฆษณาและผลงานทีวี และได้สร้างภาพกราฟฟิคชุดพิเศษที่มีการออกอากาศ, การเปิดตัวและสัญลักษณ์ของสถานี
ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่
http://www.facebook.com/Fox.Thailand http://www.youtube.com/starwars