happy on September 22, 2011, 01:16:35 PM
Melancholia
เมลันคอเลีย รักนิรันดร์ วันโลกดับ
6 October 2011


เรื่องย่อ

จัสติน (เคิร์สเต็น ดันส์) และไมเคิล (อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด) กำลังฉลองงานวิวาห์ที่บ้านหลังหรูของพี่สาว (ชาร์ล็อตต์ เกนสเบิร์ก) และน้องเขย (คีเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์) ขณะที่ดาวเคราะห์ชื่อ “เมลันโคเลีย” กำลังพุ่งเข้าหาโลก และนี่คือภาพยนตร์หายนะ/จิตวิทยาเรื่องล่าสุดจาก ลาส วอน ทรีเยร์


บทสัมภาษณ์
โหยหาจุดจบแห่งสรรพสิ่ง

โดย นีล ธอร์เซ่น

นักข่าว นีล ธอร์เซ่น ผู้เขียนบทความ
“อัจฉริยะ - ชีวิต ภาพยนตร์ และความกลัวของ ลาส วอน ทรีเยร์”
ได้พูดคุยกับทรีเยร์ในเดือนมีนาคม ขณะที่เขากำลังเตรียมงานขั้นสุดท้ายกับ Melancholia

               ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้คุยกันในวันแดดจ้าของฤดูใบไม้ผลิที่อะไรๆ เริ่มกลายเป็นสีเขียว และผมไปพบผู้กำกับคนนี้ที่ห้องอเนกประสงค์ของเขาที่ใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่นและห้องทำงานในย่านชานเมืองอเวดอเร่ใกล้กรุงโคเปนเฮเกน
          ความจริง เขาคิดตอนจบเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำหนังเรื่องนี้ และคิดไว้เลยว่าผู้ชมจะต้องรู้ตอนจบตั้งแต่ต้น
“ก็เหมือนหนังเรื่อง Titanic น่ะ” เขาให้สัมภาษณ์ในท่าประจำ คือนอนเอามือวางบนศรีษะบนโซฟาสีเขียวอ่อนสดใส “พอพวกเขาออกเรือ คุณก็รู้ทันทีว่าจะต้องชนภูเขาน้ำแข็งแน่ๆ และผมคิดว่าหนังส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น จริงๆ นะ”

          “ในหนังเจมส์ บอนด์ เรารู้ว่าพระเอกต้องไม่ตาย แต่ก็ยังตื่นเต้น ซึ่งบางทีมันตื่นเต้นเพราะเรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นยังไง ใน Melancholia มันน่าสนใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาของตัวละครต่อการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์ดวงนี้”
« Last Edit: September 24, 2011, 02:37:33 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 01:31:11 PM

เมล็ดพันธุ์แห่ง “Melancholia”

                เราติดตามชีวิตของคู่พี่น้องสองสาวจนถึงตอนจบอันขมขื่น จัสติน รับบทโดย เคิร์สเต็น ดันส์ เป็นคนซึมเศร้าแต่กำเนิด เธอไม่อาจหาพื้นที่ของตนเองบนโลกใบนี้ได้และใช้ชีวิตอย่างว่างเปล่าไปกับความจำเจ เธอกลับรู้สึกสบายใจกว่าเมื่อโลกกำลังจะถึงกาลอวสาน ขณะที่แคลร์ รับบทโดย ชาร์ล็อตต์ เกนสเบิร์ก พี่สาวผู้เฉลียวฉลาดของจัสติน ประสบความสำเร็จกับชีวิตบนโลกและพบว่ายากเหลือเกินที่จะบอกลามันไป
          “ผมว่าจัสตินเหมือนผมมาก ตัวละครนี้อิงมาจากตัวผมและประสบการณ์เกี่ยวกับคำทำนายวันสิ้นโลกของผม และความหดหู่ ส่วนแคลร์น่าจะเป็น....คนปกติ” ลาส วอน ทรีเยร์หัวเราะ เขาเป็นโรคหวาดระแวงมาตลอด และคิดว่าเกิดสงครามโลกครั้งที่สามทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องบินตอนเด็กๆ  
          ครั้งสุดท้ายที่ผมไปหาลาส วอน ทรีเยร์ เพื่อคุยเรื่องหนังสือ เขากำลังหาไอเดียทำหนังเรื่องใหม่อยู่ เขาหาแรงบันดาลใจด้วยการเข้าพิพิธภัณฑ์และฟังเพลง ผมได้ยินเขาพูดถึงความคิดนู่นนี่นั่น มโนภาพ และเศษเสี้ยวของเรื่องราวซึ่งตอนนี้ผมพบว่ามันได้กลายเป็นภาพยนตร์แล้ว แต่ภาพยนตร์ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักคือสุขภาพจิตที่ดีของเขา
          การทำงานประกอบไปด้วยการเดินตามกำหนดและการอยู่ออฟฟิศเพื่อค่อยๆ ดึงตัวเขาออกจากความหดหู่ที่เกาะกินมานานหลายปี ลาส วอน ทรีเยร์ คือผู้ป่วยซึมเศร้ากลับชาติมาเกิด เขาจะเดินไปเดินมาเมื่อไม่ได้ทำหนังทำให้เขามีความสุขกับชีวิตได้ แต่เขาจะอารมณ์ดีที่สุดเมื่อได้ทำหนังให้แฟนๆ ดู และเวลาที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขา ทั้งทีมงาน นายทุน นักแสดง โครงเรื่อง และบท ยังไม่นับภาษาภาพยนตร์ที่จะให้ดีต้องบัญญัติคำใหม่ ขณะที่เขามองหาแง่มุมเจ็บๆ ของวัฒนธรรม การเมือง หรือศีลธรรมไว้เล่น ซึ่งเขาเล่นแน่ “จิตแพทย์บอกผมว่า คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะสุขุมกว่าคนปกติในสถานการณ์วิกฤติ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาสามารถพูดได้ว่า ‘ผมบอกคุณว่าอะไรนะ’” เขาหัวเราะ “แต่ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะเสียด้วย” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ Melancholia หลังจากนั้นอะไรๆ ก็ดำเนินไปอยย่างรวดเร็ว ไม่ถึงหนึ่งปี บทก็เขียนเสร็จ หานักแสดงได้ และทีมงานเปิดกล้องถ่ายทำ


เส้นแบ่งแห่งการปั้นแต่ง

               เกือบหนึ่งปีเต็มที่ผมสัมภาษณ์ผู้กำกับคนนี้ ยิ่งงานคืบหน้า อารมณ์เขาก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเขานอนเล่นบนโซฟาในเสื้อสเว็ตเตอร์มีฮู้ดสีดำ เขายิ่งดูร่าเริงเป็นพิเศษ “ผมทำหนังเรื่องนี้สนุกกว่า รู้สึกดีกว่าแต่ก่อนเยอะ อย่างว่าอ่ะนะ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ตอนทำ Antichrist” เขากล่าว
          ใน Melancholia เขาจับประเด็นเรื่องความโศกเศร้าตามชื่อเรื่องมากกว่าประเด็นหายนะวันสิ้นโลก แต่ถึงแม้เรื่องนี้จะมีที่มาจากอารมณ์หดหู่ของเขาเอง ไอเดียเริ่มต้นกลับมาจากบทสนทนาและจดหมายที่เขาพูดคุยกับ เพเนโลป ครูซ ที่อยากทำหนังกับเขาสักเรื่อง เธอบอกว่าเธอหลงใหลบทละครเรื่อง The Maids ของนักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศส ฌอง เชอเนต์ ที่สาวใช้สองคนฆ่านายหญิงของตัวเอง “แต่ผมไม่ทำหนังที่ผมไม่ได้คิดเอง ผมบอกเธอไปอย่างนั้น ผมก็เลยลองเขียนอะไรซักอย่างให้เธอ ความจริงหนังก็ได้ไอเดียมาจากสาวใช้สองคนนั่นแหละ แต่ผมปรับให้เป็นคู่พี่น้อง เพเนโลปรับได้ ส่วนผมก็ใช้ไอเดียนี้ด้วย”
          ชื่อหนังมาจากอารมณ์ซึมเศร้าของเขาเอง ต่อมาเขาดูสารคดีโทรทัศน์และเห็นว่าดาวเสาร์คือดาวเคราะห์แห่งความเศร้า และเมื่อค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท เขาก็ค้นพบเว็บเพจที่พูดถึงการปะทะกันของดวงดาวในอวกาศ
          Melancholia เปิดเรื่องด้วยบทนำเช่นเดียวกับ Antichrist และ Tristan and Isolde เป็นลำดับเหตุการณ์และภาพนิ่งซึ่งส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นจินตนาการของจัสตินเกี่ยวกับจุดจบอันงดงามของโลก และอาจเป็นภาพการปะทะกันของดวงดาวที่ยิ่งใหญ่และสะเทือนอารมณ์ที่สุด
          “ผมชอบบทนำที่เหมือนเป็นการย้ำแก่นเรื่อง และเราจะได้มีภาพเทคนิคพิเศษของสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อดวงดาวปะทะกัน ถึงแม้โครงเรื่องจะบอกใบ้ถึงมหาวิบัติที่จะเกิดขึ้นก็ตาม ผมคิดว่ามันคงสนุกดีถ้าดึงภาพเหล่านี้ออกมาจากบริบทแล้วนำมาไว้ตอนต้นเรื่องแทน” เขายิ้ม “ซึ่งนั่นทำให้ด้านสุนทรีย์ของหนังหายวับไปกับตา”

« Last Edit: September 24, 2011, 02:38:13 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 01:49:17 PM
แง่มุมสุนทรีย์แบบไหนที่คุณอยากให้มีในหนัง

               “ผมชอบการปะทะกันระหว่างความเพ้อฝัน ความอลังการ ความทันสมัย และรูปแบบบางอย่างของความเป็นจริง ส่วนใหญ่เราถ่ายโดยใช้กล้องแฮนด์เฮล แต่ปัญหาคือเรามีปราสาทอันงดงามในสวีเดน และเมื่อคุณใส่ฉากงานแต่งงานที่มีแขกเหรื่อสวมชุดราตรีและทักซิโด้ ก็เลี่ยงยากที่จะไม่ให้มัน...สวย” เขายิ้ม

นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของคุณเหรอ

               คือมันยากนะที่จะแอบเหยาะความน่าเกลียดลงไป ผมก็เลยคิดว่าหนังเรื่องนี้อยู่บนรอยต่อของการปั้นแต่งตรงนั้นตรงนี้ คุณเขียนลงไปได้มั้ย


พิธีกรรมอันว่างเปล่าของชีวิตจริง

              หลังบัลเล่ต์วันสิ้นโลกตอนต้นเรื่อง หนังก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกชื่อว่า “จัสติน” ซึ่งเล่าเรื่องของน้องสาวผู้หดหู่และงานแต่งงานของเธอ ส่วนที่สองชื่อว่า “แคลร์” พูดถึงการนับถอยหลังสู่วันสิ้นโลก ผู้กำกับกล่าวเสริมว่า
            “ถ้าทุกอย่างต้องลงนรก มันก็ควรจะเริ่มต้นอย่างดี”
             น้องสาวผู้ซึมเศร้าอยากเป็นคนปกติ เขาเล่า เธอก็เลยอยากแต่งงาน
             เธอต้องการหยุดความงี่เง่า ความหวาดระแวง และความสงสัยทั้งหลาย เธอจึงต้องการแต่งงานจริงๆ และทุอย่างก็ไปได้ดีจนกระทั่งเธอไม่อาจบรรลุสิ่งที่ต้องการได้ มีประโยคหนึ่งที่ถูกพูดบ่อย นั่นก็คือ ”คุณมีความสุขรึเปล่า”
            เธอต้องมีความสุข ไม่งั้นงานแต่งงานก็งี่เง่า เธอต้องมีความสุขเดี๋ยวนี้! ทุกคนพยายามพาเธอไปให้ถึงจุดหมาย แต่เธอไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในนั้น


ในหนังดูเธอไม่อาจรับมือกับสถานการณ์ได้ เธอจริงจังรึเปล่า

               “เธอไม่ได้จริงจังกับงานแต่งงาน ตอนเริ่มเรื่อง เธอทำเป็นเล่นเหมือนไม่ได้เตรียมตัวอะไร เพราะเธอเชื่อว่าตัวเองอยู่เหนือทุกอย่างจนสามารถล้อเล่นกับมันได้ แต่แล้วความโศกเศร้าก็โรยตัวลงมาช้าๆ เหมือนม่านหมอกระหว่างเธอและทุกอย่างที่เธอกำหนดไว้ และเมื่อคืนแต่งงานมาถึง เธอก็ไม่อาจรับมือกับมันได้”
          ดูเหมือนเธอจะอยู่คนละที่กับคนอื่น ใจเธออยู่ที่ไหน
          “ถ้าถามผม ผมว่าเธอคงโหยหาภัยพิบัติหรือไม่ก็ความตายแบบกะทันหัน เหมือนที่ทอม คริสเต็นเซ่น เขียนเอาไว้ และเธอก็ได้สิ่งที่ต้องการ ความจริงก็เหมือนเธอดึงดาวเคราะห์ดวงนี้ออกมาจากหลังดวงอาทิตย์ได้สำเร็จ และเธอก็สิโรราบต่อมัน”


ถ้าคุณโหยหาภัยพิบัติหรือความตายกะทันหัน คงต้องเป็นเพราะมันดูจริงมากกว่าโลกที่หลอกลวง

               “ผมว่าจริง เธอทนทรมานจากความสงสัย เมื่อเธออยู่ที่งานแต่งงานซึ่งเธอเอาตัวเองเข้าแลก เธอก็ถูกความสงสัยเข้าครอบงำ”

สงสัยเรื่องอะไร

               ถ้ามันมีค่าพออ่ะนะ ความจริงงานแต่งงานก็คือพิธีกรรมอย่างหนึ่ง แต่มันมีอะไรมากกว่าพิธีกรรมรึเปล่า? ไม่มีหรอก ไม่มีสำหรับเธอ น่าเสียดายที่คนซึมเศร้าอย่างเราไม่เห็นค่าของพิธีกรรม ผมเองก็มีปัญหาเรื่องไปงานเลี้ยง ที่สนุกกันสุดเหวี่ยง บางทีอาจเป็นเพราะคนซึมเศร้าอย่างเราตั้งความหวังไว้สูงกว่าเบียร์หรือดนตรีเล็กๆ น้อยๆ ปาร์ตี้จะสนุกขึ้นถ้ามีไฟประดับสวยๆ ทุกอย่างดูหลอกลวง พิธีกรรมเป็นแบบนั้น แต่ถ้าพิธีกรรมไม่มีค่า ทุกอย่างก็ไม่มีค่า คุณรู้มั้ย”

ผมว่านั่นเป็นมุมของของคนซึมเศร้าที่ว่าทุกอย่างกลวงเปล่า

               “ถ้ามีคุณค่าอยู่เหนือพิธีกรรมจริง ก็โอเค พิธีกรรมก็เหมือนภาพยนตร์ ต้องมีบางอย่างอยู่ในหนัง พล็อตหนังก็เหมือนพิธีกรรมที่นำเราไปสู่สิ่งที่อยู่ภายใน และถ้ามีบางอย่างอยู่ภายในหรือเหนือกว่านั้นจริง ผมก็สามารถสื่อถึงมันได้ แต่ถ้าพิธีกรรมว่างเปล่า ก็นั่นแหละ ถ้าคุณไม่รู้สึกสนุกกับการได้ของขวัญวันคริสต์มาสหรือเห็นเด็กๆ สนุกกันอีกต่อไป พิธีกรรมลากต้นคริสต์มาสเข้าห้องนั่งเล่นก็ไม่มีความหมายอะไร”

งั้นคำถามโลกแตกของคนซึมเศร้าก็คือ ทุกอย่างกลวงเปล่าจริงหรือ

               “จักรพรรดิสวมเสื้อผ้ารึเปล่า มีสาระสำคัญอะไรมั้ย ไม่มี และนั่นคือสิ่งที่จัสตินมองเห็นทุกครั้งที่เธอมองดูงานแต่งงานบ้าๆ นี่ เขาไม่ได้ใส่อะไรเลย เธอยอมทำตามพิธีกรรมทั้งที่มันไม่มีความหมายอะไร”

แล้วคนอื่นไม่รู้สึกแบบนั้นเหรอ

               “คนอื่นไม่รู้สึก พวกเขาเดินไปเดินมา และรู้สึกว่าพิธีกรรมเป็นสิ่งที่ดี”
« Last Edit: September 24, 2011, 02:39:05 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 01:54:44 PM

โหยหาความเป็นจริง

               คนซึมเศร้าอย่างจัสตินไม่ใช่แค่โหยหา เธอโหยหาความทรมาน “เธอโหยหาบางสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง และคุณค่าที่แท้จริงมาพร้อมกับความเจ็บปวดทรมาน เราคิดว่าอย่างนั้น โดยรวมแล้ว เรามีแนวโน้มที่จะมองว่าความซึมเศร้าจริงแท้มากกว่า เราฟังเพลงและเสพศิลปะก็เพราะมันมีความเศร้าสร้อยอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นความเศร้าโศกมีคุณค่าในตัวมันเอง ความรักที่ไม่สมหวังนั้นโรแมนติกกว่าความรักที่สมหวัง ซึ่งเราไม่คิดว่ามันจริงเสมอไปหรอก ใช่มั้ย

แต่ทำไมคนซึมเศร้าถึงโหยหาภัยพิบัติหรือความตายแบบปัจจุบันทันด่วนล่ะ

“เพราะว่ามันจริงไง ความโหยหาคือความจริง อาจเป็นเพราะไม่มีความจริงใดให้โหยหา แต่ความโหยหานั่นแหละที่จริงแท้ เหมือนความเจ็บปวดที่จริงแท้ เรารู้สึกมันอยู่ภายใน มันคือส่วนหนึ่งของความเป็นจริง”

โดยส่วนตัวแล้วคุณรู้สึกอย่างไรกับความคิดเรื่องวันสิ้นโลก

ถ้ามันสามารถเกิดขึ้นทันที ผมจะอยากให้เกิด อย่างที่จัสตินพูด ชีวิตคือสิ่งชั่วร้าย ใช่มั้ย และชีวิตคือความคิดอันโหดร้าย พระเจ้าอาจสนุกที่ได้สร้างชีวิต แต่ท่านไม่ได้คิดให้รอบคอบ” เขาหัวเราะ
เพราะฉะนั้นถ้าทุกความทรมานและความโหยหาสามารถอันตรธานไปในวูบเดียว ผมจะเป็นคนกดปุ่มเองเลย ถ้าไม่มีใครเจ็บปวด คนก็อาจพูดว่า แย่จริง แล้วชีวิตที่ไม่มีชีวิตมันเป็นยังไงกันล่ะ แต่ผมก็อดมองมันเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาไม่ได้

ชีวิตคืออะไรมากกว่ากัน ระหว่างความเจ็บปวดกับความสุข

“ความเจ็บปวดสิ ให้ตาย เห็นกันอยู่ชัดๆ แต่คุณอาจเถียงว่าจุดสุดยอดไง ก็จริงอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็น จุดสุดยอด รถยนต์เฟอร์รารี่ หรือความพึงใจอื่นๆ อีกฝั่งหนึ่งคือความตายและความเจ็บปวดซึ่งมีน้ำหนักมากกว่า ผมว่านะ และมีความทรมานและความเจ็บปวดอยู่มากกว่าความยินดี เมื่อคุณมีความสุขกับวันสวยๆ วันหนึ่ง มันก็คือความเศร้าด้วยนั่นแหละ”
การแต่งงานคือความพยายามสุดท้ายของจัสตินที่จะดิ้นรนกลับไปมีชีวิตแทนที่จะหันหลังให้ชีวิต

“เธอถึงได้แต่งงานไง” ลาส วอน ทรีเยร์ กล่าว “เธอคิดว่า ตอนนี้ฉันบังคับตัวเองเข้าสู่พิธีกรรม และความจริงแท้บางอย่างอาจปรากฏขึ้นจากสิ่งนั้น บางครั้งเมื่อคุณกำลังได้รับการเยียวยาจากความเศร้าหมอง คุณก็ถูกบังคับให้กระตุ้นพิธีกรรมบางอย่างเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ไปเดินเล่นซักห้านาที และโดยการเคลื่อนไหวนั้น พิธีกรรมจะก่อร่างสร้างความหมายบางอย่างเช่นกัน”

แล้วกับสุภาษิตที่ว่า “เสแสร้งเพื่อให้ได้มา” ล่ะ

“นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามทำอยู่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอปรารถนามันยิ่งใหญ่เกินไป การโหยหาความจริงแท้ของเธอใหญ่โตเกินไป ผมว่าคนซึมเศร้าส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ เราต้องการความจริงแท้อย่างมาก”

ความปรารถนาคือลักษณะสำคัญของคนซึมเศร้าหรือเปล่า

“ผมว่าคำนั้นมีเสียงที่ไพเราะ ควมปรารถนาอันแสนเศร้าควรจะสะเทือนอารมณ์อย่างที่มันเป็น มันทำให้นึกถึงภาพหมาป่าเห่าหอนต่อหน้าพระจันทร์”

หมาป่าเห่ายังไง ประมาณว่า “เข้ามาเอาตัวฉันไปสิ” เหรอ

“ใช่ ผมต้องเป็นส่วนหนึ่งของซักที่ล่ะน่า” เขาหัวเราะ “จัสตินเห่าหอนดาวเคราะห์ให้เข้ามาเอาตัวเธอไป และผมคงโดนสาปแช่งถ้ามันไม่เป็นไปตามนั้น ดาวเคราะห์สวาปามเธอ เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรให้มันเป็นแค่การชนกันของดวงดาว แต่ดาวเมลนโคเลียควรจะสวาปามโลก”

นั่นเป็นสิ่งที่เธอปรารถนาหรือเปล่า การถูกสวาปามน่ะ

“ใช่” เขาหัวเราะ “เพราะฉะนั้นมันคือการจบแบบสมหวังนะ”


« Last Edit: September 24, 2011, 02:40:04 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 01:56:34 PM

เดียวดายในจักรวาล

               ลาส วอน ทรีเยร์ ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานและหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท
“ในหนัง พี่น้องคู่นี้พูดถึงความเดียวดาย และผมเชื่อว่าผมได้ความคิดนั้นมาจากการฟังเพลง Alieine, Alene ของวง Nephew” เขากล่าวจากโต๊ะ “และแล้วผมก็คิดว่าน่าสนใจ ถ้าเราเดียวดายอยู่ในอวกาศจริงๆ ความจริงมันไม่เกี่ยวกันเลย แต่สำหรับผมมันสำคัญมาก อย่างหนึ่งคือโลกถูกล้างจนไม่เหลือสิ่งมีชีวิต แต่ถ้ามีเซลล์อยู่ที่ไหนซักแห่ง ก็สามารถถือกำเนิดใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเลย ทุกอย่างก็จบจริงๆ”

อย่างนั้นก็ไม่ใช่มหาวิบัติและความตายฉับพลันสิ ถ้ายังหลงเหลืออะไรอยู่

“ใช่ ทุกอย่างต้องดับสูญไป” เขายิ้ม “และผมคิดว่านั่นเป็นความคิดที่น่ากลัวและเยือกเย็นมากเลย ถ้าคุณเห็นภาพอวกาศ คุณจะขนลุกและรู้สึกอ้างว้าง และถ้าคุณจินตนาการว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในอวกาศ คุณจะรู้สึกเดียวดาย”
มีเสียงอุทานดังมาจากหลังจอ “โอ้! เขามีภาพดาวเคราะห์ต่างๆ ด้วย ผมยังไม่เคยเห็นเลย” เขาพูด จากนั้นเสียงดนตรีก็ดังขึ้น เริ่มจากคอร์ดออร์แกน ตามด้วยจังหวะที่เรียบง่ายและมีกลไก เสียงร้องดังตามมา แล้วก็เสียงคอรัสร้องว่า อแลน อแลน
“คุณไม่อาจจินตนาการถึงการไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตในที่แห่งอื่น แต่จัสตินรู้” ผู้กำกับกล่าวขณะกลับมานั่งบนโซฟาเหมือนเดิม “และมันอาจน่าสนใจถ้ามีคนเดินเข้าประตูไปแล้วพูดว่า ฟังนะ พวกเขาค้นพบว่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่อื่น เย้!”
“ในส่วนที่สองของหนัง งานแต่งงานจบลงและดาวเคราะห์เริ่มเข้าใกล้โลก ตอนนี้เป็นตอนของ แคลร์ ผู้เป็นพี่สาวหัวใจสลายผิดกับจัสตินที่มีสติขึ้นเรื่อยๆ สามีของแคลร์ รับบทโดยคีเฟอน์ ซุทเธอร์แลนด์ เป็นตัวละครที่เห็นได้ทั่วไป ผู้ชายมีการศึกษาที่เชื่อว่าตัวเองสามารถอธิบายทุกอย่างได้ ครั้งนี้เขาอธิบายว่าทำไมดาวเคราะห์นั้นถึงจะไม่ชนโลก เขาให้ความมั่นใจอย่างนั้นกับภรรยาตลอดทั้งเรื่อง และทันใดนั้นเขาก็หยุด แล้วเธอก็...อแลน อแลน “เขายิ้ม
แต่พี่น้องก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น พวกเธอมีแม่ที่เป็นบ้าคนเดียวกัน แม่ที่พายแพ้ต่อทุกอย่าง เหลือแต่ความขมขื่น เธอไม่มีความปรารถนาใดๆ เพราะฉะนั้นแคลร์จึงต้องเป็นแม่ให้น้องสาวตลอดมา และเมื่อคุณต้องดูแลใครสักคน คุณต้องเข้มแข็ง”

ทำไมแคลร์ถึงใจสลายเมื่อดาวเคราะห์เข้าใกล้โลก

“ก็เพราะเธอมีสิ่งที่ต้องสูญเสีย อย่างเช่นลูก เธอไม่โหยหาสิ่งใด เธอพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขณะที่จัสตินไม่มีอะไรจะเสีย เธอเป็นคนซึมเศร้า และเราโหยหาสิ่งหนึ่งตลอดเวลา และเมื่อเราโหยหา เราก็ไม่อาจสูญเสียสิ่งใด เพราะเราไม่มีอะไรให้เสีย”  

แปลว่าคุณจะมีจุดอ่อนถ้าพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่

“ถูกต้อง พวกเราที่เป็นคนซึมเศร้าก้าวผ่านจุดนั้นไป บางทีมันอาจเป็นหนทางเพื่อเอาชีวิตรอด คุณจะได้ไม่คร่ำครวญกับสิ่งที่สูญเสียไป” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “แต่โดยรวมแล้ว ตัวละครของผมไม่ดีต่อกันนะ พวกเธอทำให้อีกฝ่ายหนึ่งผิดหวัง”


ผมรู้สึกได้ถึงความรักระหว่างสองพี่น้อง


“ครับ เช่นในตอนจบ ผมว่าพวกเธอเข้าถึงกันตอนนั้น นี่ไงที่ว่าหนังจบแบบสมหวัง สองคนที่ต่างกันสุดขั้วมาหลอมรวมกัน แน่นอนว่าพวกเธอมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน เป็นคนละคนกัน แต่กลายเป็นหนึ่งเดียว”
« Last Edit: September 24, 2011, 02:40:38 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 01:58:12 PM

ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของโลก

               ก่อนเปิดกล้อง เพเนโลป ครูซ ถอนตัวไปทำงานอื่น เคิร์สเต็น ดันส์ จึงเข้ามารับบทนำแทน และการร่วมงานกันเป็นไปด้วยดีจนน่าประหลาดใจ “ผมว่าเธอเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เธอเข้าถึงตัวละครได้มากกกว่าที่ผมคิดไว้ และได้เปรียบตรงที่มีมุมหดหู่เป็นของตัวเอง คนดีๆ ทุกคนก็มีกันทั้งนั้น” ลาส วอน ทรีเยร์ กล่าว
“เธอช่วยผมได้เยอะ เธอถ่ายรูปตัวเองในสถานการณ์นั้น ผมจะได้เห็นว่าเธอดูเป็นยังไง สีหน้าเป็นยังไง ยิ้มยังไงในอารมณ์นั้น แต่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธอแสดงออกมาได้ดีทีเดียว”
ถ้าคุณถามทรีเยร์ว่าเขาคิดอย่างไรกับหนัง มันยากที่จะได้คำตอบ “ผมดูหนังแล้วรู้สึกดีกับมัน แต่ผมดูหลายรอบจนไม่สามารถดูมันได้อีกแล้ว” เขาพูดและแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย “ชาร์ล็อตต์ เกนสเบิร์กพูดประโยคหนึ่งที่ผมปลื้มมาก เธอบอกว่าหนังเรื่องนี้แปลก” เขาหัวเราะ “ดีเลย เพราะตอนแรกผมกลัวว่ามันจะแปลกน้อยไปหน่อย”

กรณีนี้คุณไม่แน่ใจเรื่องอะไร

“คือผมกลัวว่าหนังมันจะออกมาสวยเกินไป ผมชอบเรื่องราวความรักในหนัง ความหายนะ แต่มันใกล้เคียงความงามจนน่าตกใจ คือพอคุณจมลงไปในหนังรักแบบแวกเนอร์ มันจะกลายเป็นน่าเบื่อรึเปล่า”

แต่สวยแบบหยาบๆ ได้ใช่มั้ย ผมเดานะ  
  
“ใช่เลย ถ้าคิดไอเดียดีๆ ออกนะ ผมมีความรู้สึกดิบหยาบกับ Antichrist แต่ไม่มีกับ Melancholia ตลอดเวลาผมอยากทำให้มันออกมาดูดี และผมหวังว่าคนดูจะค้นพบสิ่งที่อยู่เหนือความงามนั้น ถ้าพวกเขาค้นหาจริงๆ นะ เรื่องนี้เข้าถึงยากกว่า Antichrist เพราะภายนอกมันสวยงามกว่า”

ใน Antichrist ช่วยไม่ได้ที่คุณจะตกหล่นสาระบางอย่างไป

“นั่นแหละที่ผมอยากจะบอก คุณอาจลื่นไถลไปพื้นผิวอันสวยงามของหนัง หนังมีรูปแบบที่ประณีต แต่ภายใต้พื้นผิวที่ราบเรียบ มีสาระแฝงอยู่ และการจะเข้าถึงสาระนั้น คุณต้องมองเลยความสวยงามนั้นไป”
“แต่สิ่งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นคือตอนที่ทีมงานบริษัท Nordisk Film บอกว่าหนังผมมีภาพที่สวยงาม” เขาหัวเราะ “เล่นเอาผมเครียดเลย ถ้าผมทำหนังซักเรื่องแล้ว Nordisk ชอบ ผมจะหยุดทำซะพรุ่งนี้เลย”

มันไม่ได้ช่วยทำลายโลกทั้งใบเหรอ

“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น ดาวเคราะห์ที่ลอยเข้ามา อย่างน้อยก็สร้างความวิตกกังวลขั้นพื้นฐาน อะไรจะสร้างความหวาดหวั่นได้เท่าการที่โลกกำลังจะถูกดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสิบเท่าพุ่งชน ผมว่านั่นทำให้ผู้ชมไม่หนีไปกลางทาง”
“โธมัน วินเทอร์เบิร์ก พูดโดนใจผมมาก” เขาพูดพร้อมหัวเราะร่วน “เขาบอกว่า แล้วผมจะทำหนังต่อจากเรื่องนี้ได้ยังไง”
« Last Edit: September 24, 2011, 02:41:25 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 02:00:32 PM

The Nymphoniac (สาวไฟแรงสูง)

                ในกรณีของ ลาส วอน ทรีเยร์ คำตอบนั้นง่าย คุณตื่นนอนตอนเช้า ไปเดินเล่น ไปทำงาน สำรวจโลกเพื่อหาความน่าสนใจใหม่ๆ มาเพิ่มคำศัพท์ในภาษาภาพยนตร์ มีผลข้างเคียงอย่างมากที่ผู้กำกับคนนี้สามารถพักความซึมเศร้าของตัวเองได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงทำหนังถี่และมีไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นในหัว เท่าที่ผมรู้นะ แม้ว่าบางอย่างจะออกมาแปลกๆ
          ตอนแรกที่เขาบอกว่าเริ่มอ่านหนังสือ อย่าง Buddenbrooks ของโธมัส มานน์ The Idiot และ The Brothers Karamazov ของฟโยดอร์ ดอสตอเยฟสกี “มันเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่าทำไมหนังถึงได้งี่เง่าจัง!” เขาโพล่งออกมา “ทำไมทุกประโยคต้องมีความหมาย เพราะโครงเรื่องไง หนังสือมีสาระสำคัญ แต่พวกเขาก็แตะประเด็นแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ” เขาพูดโดยแตะนิ้วชี้บนโต๊ะพักหนึ่ง ก่อนยกมันขึ้น “ผ่านไปซักพักค่อยเข้าประเด็นใหม่”  
           “ขณะที่หนังผูกอยู่กับโครงเรื่อง แม้แต่หนังของทาร์คอฟสกียังลึกซึ้งไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนวนิยายเลย น่าสนุกนะ ถ้าเอาคุณสมบัติหนังสือมาใช้กับหนัง แม้พวกเขาจะเล่าเรื่องเร็วมากอย่างที่ผมชอบในหนังของดอสตอเยฟสกี”

แล้วมันจะไปปรากฎในหนังยังไง

“แม้แต่ห้องนี้ก็มีเรื่องราวเป็นพันที่เอาไปทำหนังได้ มีวัตถุอีกมากมายที่ไม่ได้มาจากภาพ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวต้นกำเนิดของเก้าอี้ตัวนี้ เมื่อก่อนมันถูกใช้งานยังไงมาบ้าง แล้วทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เก้าอี้ตัวอื่น”

คุณหมายถึงความลึกซึ้งของเรื่องราวที่มักถูกมองว่าเป็นความบันเทิงในหนังเหรอ?

“ใช่ ทำไมขวดมีรูปร่างแบบนั้น?” เขาพยักหน้าไปที่ขวดน้ำบนโต๊ะ “ทำไมเราดื่มน้ำนั่น? มันถูกกว่าเหรอ? หรือบาร์โค้ดบนนั้น มันมีที่มายังไง?

ไม่แน่ หนังเรื่องต่อไปของทรีเยร์อาจเกี่ยวกับบาร์โค้ดก็ได้ แต่เรื่องเซ็กซ์น่าจะชัวร์กว่า อย่างไรก็ตาม เขาพูดขึ้นมาว่า “ผมให้ปีเตอร์ อัลเบ็ค เลือกชื่อเรื่องระหว่าง Shit in the Bedsore (อึในแผลกดทับ) กับ The Nymphomaniac (สาวกไฟสูง) ซึ่งเขาคิดว่าหนังที่ชื่อเรื่อง The Nymphomaniac น่าจะทำการตลาดง่ายกว่า” เขาหัวเราะ

นั่นเป็นเรื่องที่คุณตั้งใจจะทำเป็นหนังเหรอ

“ผมกำลังค้นคว้าเรื่องผู้หญิงที่มีความต้องการทางเพศสูง และมากีสื เดอ ซาด (นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส) และพบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงเหล่านั้นชอบกรีดตัวเองด้วย แต่ในทางการเมืองแล้วมันไม่ถูกต้องที่จะพูดถึงความต้องการทางเพศที่สูงผิดปกติในผู้หญิง เพราะมันบ่งชี้ว่าเราไม่สามารถสื่อถึงเรื่องเพศของผู้หญิงได้ เท่าที่ผมรู้ ผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้รับความพึงใจ เพราะฉะนั้นพวกเธอจึงใช้เซ็กซ์เป็นตัวเชือดเฉือน เพราะมันคือสิ่งที่พวกเธอควบคุมได้ ผมว่าพวกเธอคงซ่อนความกลัวและความเจ็บปวดไว้ข้างใต้

เขามองไปข้างหน้าพักหนึ่งโดยไม่พูดอะไร “แต่มันไม่สนุกหรอกถ้าให้พวกเธอมีเซ็กซ์ตลอดเวลา” เขาครุ่นคิด “ไม่งั้นคงกลายเป็นหนังโป๊”

เขาดูไม่เหมือนคนที่โดดเดี่ยวในจักรวาล เมื่อนอนเล่าไอเดียหนังใหม่ให้ผมฟังบนโซฟาตัวใหญ่ แต่ผมสงสัยว่าเขาจะเอาไอเดียที่เล่าให้ผมฟังนี้ไปทำเป็นหนังเรื่องต่อไปจริงหรือเปล่า

เราอยู่โดดเดี่ยวในจักรวาลหรือเปล่า ผมถามคำถามนี้แทน

“ใช่” เขาตอบ “แต่ไม่มีใครอยากรับรู้ พวกเขาเอาแต่อยากจะข้ามขอบเขต บินไปนู่นไปนี่” เขาหัวเราะ “ลืมมันไปเหอะ มองเข้าไปข้างในดีกว่า”

« Last Edit: September 24, 2011, 02:42:11 PM by happy »

happy on September 22, 2011, 02:05:55 PM
วิจิตรภาพยนตร์ว่าด้วยวันสิ้นโลก

สาส์นจากผู้กำกับ

               เหมือนตื่นจากฝัน ผู้อำนวยการสร้างของผมเสนอโปสเตอร์หนังแบบหนึ่งให้ดู “นี่อะไร” ผมถาม “ก็หนังที่คุณทำไง!” เธอตอบ “ไม่ใช่มั้ง” ผมพูดอย่างตะกุกตะกัก ตัวอย่างหนัง ภาพนิ่ง ดูไม่ได้เลย ผมตัวสั่นงันงก
อย่าเข้าใจผิด ผมทำหนังเรื่องนี้อยู่สองปีเต็ม ด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง แต่บางทีผมอาจจะหลอกตัวเองให้หลงเชื่อไปอย่างนั้น ไม่ใช่ว่ามีใครทำอะไรผิด ตรงกันข้าม ทุกคนทำงานอย่างจงรักภักดีและเต็มความสามารถเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ผมคนเดียวเป็นผู้กำหนด แต่เมื่อผู้อำนวยการสร้างแสดงให้ผมเห็นถึงความจริงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ผมก็เสียววาบไปถึงกระดูกสันหลัง
นี่มันเละตุ้มเป๊ะ เป็นหนังผู้หญิงชัดๆ ผมพร้อมจะปฏิเสธหนังเรื่องนี้เหมือนปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่ายผิดที่ผิดทาง
แต่สิ่งที่ผมต้องการคืออะไร? ในตอนแรก ผมอยากพุ่งหลาวลงสู่หุบเหวแห่งลัทธิโรแมนติกของเยอรมัน โดยมีแวกเนอร์เป็นผู้นำทาง ผมรู้แค่นั้น แต่หรือนั่นจะเป็นเพียงหนทางหนึ่งของการแสดงออกถึงความล้มเหลว ล้มเหลวในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ในลักษณะธรรมดาที่สุด ความโรแมนติกถูกปู้ยี่ปู้ยำจนแสนน่าเบื่อในหนังกระแสหลักหลายเรื่อง 

แต่แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า ผมมีความสัมพันธ์หวานชื่นกับหนังโรแมนติก จะเอ่ยนามให้ชัดเจนก็คือ วิสคอนติ!
ความโรแมนติกแบบเยอรมันทำให้คุณลืมหายใจ แต่ในหนังของวิสคอนติจะมีบางอย่างที่ยกระดับให้หนังข้ามเส้นความธรรมดาสู่ความโดดเด่นเสมอ
ตอนนี้ผมรู้สึกสับสนและรู้สึกผิด นี่ผมทำอะไรลงไป?
“ทรีเยร์จบเห่แค่นี้หรือ?” ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้จะมีเศษกระดูกในเนื้อโจ๊กเข้าไปกระเทาะฟันอันเปราะบางบ้าง ผมหลับตาและภาวนา!

ลาส วอน ทรีเยร์, กรุงโคเปนเฮเกน, วันที่ 13 เมษายน 2011


ผลงานภาพยนตร์
ลาส วอน ทรีเยร์
ผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบท

Antichrist (ปี 2009)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Directoren For Det Hele (The Boss of It All, 2006)
ได้เข้าชิงรางวัล Golden Shell ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ San Sebastian

Manderlay (ปี 2005)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต

Dogville (ปี 2003)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต

Dancer in the Dark (ปี 2003)
ชนะรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Idioterne (The Idiots ปี 1998)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Riget II (The Kingdom II ฉายทางโทรทัศน์ ปี 1997)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ

Breaking the Waves (1996)
ชนะรางวัล Grand Prix ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต

Riget I (The Kingdom II ฉายทางโทรทัศน์ ปี 1994)
รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติคาร์โลวี วารี

Europa (ปี 1991)
ชนะรางวัล Jury Prize ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Medea (ฉายทางโทรทัศน์ ปี 1988)

Epidemic (ปี 1987)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Forbrydelsens Element (Element of Crime ปี 1984)
ชนะรางวัล Grand Prix ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

Befrielsesbilledder (Pictures of Liberation Images of Relief ปี 1982)
ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการให้เข้าฉายเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน

happy on September 22, 2011, 02:08:21 PM
ทีมงานและนักแสดง

Directed by Lars von Trier   
กำกับโดย ลาส วอน ทรีเยร์   
 
Writing credits (in alphabetical order)
เครดิตการเขียนบท (เรียงตามอักษรภาษาอังกฤษ)

Lars von Trier       screenplay
ลาส วอน ทรีเยร์      เขียนบทภาพยนตร์

Cast
นักแสดง

Kirsten Dunst      ...       Justine
เคิร์สเต็น ดันส์      รับบท      จัสติน

Charlotte Gainsbourg   ...                    Claire
ชาร์ล็อตต์ เกนส์เบิร์ก      รับบท      แคลร์

Kiefer Sutherland      ...       John
คีเฟอร์ ซุทเธอร์แลนด์      รับบท      จอห์น

Charlotte Rampling      ...       Gaby
ชาร์ล็อตต์ แลมปลิง      รับบท      เกบี้

John Hurt         ...       Dexter
จอห์น เฮิร์?         รับบท      เด็กซ์เตอร์

Alexander Skarsgård   ...       Michael
อเล็กซานเดอร์ ซาร์สการ์ด   รับบท   ไมเคิล

Stellan Skarsgård      ...       Jack
สเตลแลน ซาร์สการ์ด      รับบท      แจ็ค


Brady Corbet      ...       Tim
เบรดี้ คอร์เบ็ท      รับบท      ทิม

Udo Kier         ...       Wedding planner
ยูโด เคียร์         รับบท      นักวางแผนงานแต่งงาน