happy on July 24, 2011, 01:33:12 PM
One Day


จัดจำหน่ายโดย   เอ็ม พิคเจอร์ส  
ชื่อภาษาไทย   “วันเดียว...วันนั้น...วันของเรา”
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://focusfeatures.com/one_day
      
ภาพยนตร์แนว   โรแมนติก
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      18 สิงหาคม 2554
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์
นักแสดง   Anne Hathaway (แอนน์ แฮตธาเวย์ จาก The Devil Wear Prada, Love and other Drug), Jim Sturgess (จิม สเตอร์เกสส์ จาก 21) และ Patricia Clarkson (แพทริเซีย คลาร์คสัน จาก Shutter Island)

ผู้กำกับ   Loan Scherfig (โลน เชอร์ฟิก) จาก An Education ภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

อำนวยการสร้าง   Nina Jacobson (นีน่า จาค็อบสัน)

จุดเด่น   One Day ภาพยนตร์ที่กำกับโดยโลน เชอร์ฟิก (ผู้กำกับ An Education ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์โดยเดวิด นิโคลส์จากนิยายเบสต์เซลเลอร์เรื่อง One Day ที่โด่งดังไปทั่วโลก ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความรัก มิตรถาพ และครอบครัว ที่สุดแสนประทับใจ พร้อมฉากถ่ายทำที่แสนโรแมนติคในเมืองใหญ่ต่างๆ




เรื่องย่อ

                เวลายี่สิบปี คนสองคน…วันที่ 15 กรกฎาคม ปี 1988 ซึ่งเป็นวันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของพวกเขา เอ็มมา มอร์ลีย์ (แอนน์ แฮตธาเวย์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด) และเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิว (จิม สเตอร์เกสส์จาก Across the Universe) ก็เริ่มสานสายสัมพันธ์ที่ยาวนานชั่วชีวิต เธอเป็นเด็กสาวชนชั้นแรงงานผู้มีแนวคิดและความทะเยอทะยาน เธอฝันจะทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้น ส่วนเขาเป็นหนุ่มร่ำรวย ผู้ฝันว่าโลกนี้จะเป็นสนามเด็กเล่นของเขา ในเวลาสองทศวรรษหลังจากนั้น ช่วงเวลาสำคัญในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ถูกบอกเล่าผ่านวันที่ 15 กรกฎาคมหลายครั้งในชีวิตของพวกเขา ทั้งร่วมกันและแยกกัน เราได้เห็นเด็กซ์และเอ็มผ่านทางมิตรภาพและการทะเลาะเบาะแว้ง ความหวังและโอกาสที่พลาดพลั้ง เสียงหัวเราะและคราบน้ำตา ระหว่างเรื่องเหล่านั้น คนทั้งคู่ก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่พวกเขาเฝ้าค้นหาและเฝ้าหวังอยู่นั้นอยู่ตรงหน้าพวกเขามาตลอด ขณะที่ความหมายที่แท้จริงของวันนั้นในปี 1988 ถูกเปิดเผยออกมา พวกเขาก็เริ่มเข้าใจกับธรรมชาติของความรักและชีวิตอย่างแท้จริง
« Last Edit: July 24, 2011, 01:37:48 PM by happy »

happy on July 24, 2011, 01:42:18 PM
One Day

เกี่ยวกับงานสร้าง





การตกหลุมรักเรื่องรัก

               “ความเฉียบคมในงานเขียนของเดวิด นิโคลส์ดึงดูดฉันค่ะ” โลน เชอร์ฟิก ผู้กำกับ One Day บอก “แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสนใจจริงๆ คือการที่เรื่องราวนี้มันเป็นเรื่องรักจริงๆ มากแค่ไหน และมันก็เป็นระดับที่คุณไม่ค่อยจะได้พบด้วยค่ะ”
   “มันเป็นเรื่องรักครับ” เดวิด นิโคลส์ ผู้เขียน One Day นิยายเบสต์เซลเลอร์ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกในปี 2009 และมือเขียนบทของเวอร์ชันภาพยนตร์ในปี 2011 บอก “นอกจากนั้น มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพและครอบครัว การหวนคิดถึงความหลังและความเสียใจ และลักษณะที่ความหวังและความฝันของเราไม่เป็นจริงซะทีเดียว อย่างน้อยที่สุด ก็ในรูปแบบที่เราคาดหวังให้เป็น มันเป็นอะไรที่หวานปนขมครับ”
   “ผมอยากจะเขียนโรแมนซ์แบบเก่า ซึ่งผมว่าน่าจะใช่นะ ที่แสดงให้เห็นถึงจุดต่ำสุดและสูงสุดของความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาที่ยาวนานครับ”
   นิโคลส์ใช้เวลาเขียนนิยายเรื่องนี้สองปี “ผมเขียนเรื่องอื่นไปด้วยครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “แล้วมันก็จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนล่วงหน้า เหมือนตัวต่อจิ๊กซอว์ เป็นการปลูกเมล็ดพันธุ์เรื่องราวในปีหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นประเด็นพล็อตเรื่องในอีกปีหนึ่งครับ ผมจะต้องคิดหาคำตอบให้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคมหลายๆ ปีบ้าง ผมไม่ได้เขียน One Day เป็นบทหนังแอบแฝง แต่ผมชื่นชอบการเขียนไดอะล็อคและนิยาย ดังนั้น มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคุณสมบัติแบบหนังเข้ามาครับ”
   “การเขียน One Day เป็นความสุขอย่างแท้จริง ผมเขียนครึ่งแรกเสร็จก็พักไปประมาณหกเดือน แล้วก็กลับไปแก้ครึ่งแรกใหม่ ก่อนที่จะสานต่อในครึ่งหลังครับ”
   ผู้อำนวยการสร้าง นีนา จาค็อบสัน ผู้ชำนาญในการพิจารณาศักยภาพการสร้างเรื่องราวจากหนังสือเป็นภาพยนตร์และการผลักดันให้มันขึ้นสู่จอเงิน รู้สึกทึ่งที่ว่า One Day กระทบใจเธอขนาดไหนเมื่อเธอได้อ่านมัน เธอบอกว่า “ฉันตกหลุมรักตัวละครพวกนี้ เรื่องราวนี้เป็นอะไรที่สากลมากๆ ทั้งเอ็มมา และเด็กซ์เตอร์ และการเดินทางของพวกเขาถ่ายทอดถึงลักษณะที่คุณเปลี่ยนแปลงไปหลังจบมหาวิทยาลัยและใช้ชีวิตของคุณเองจริงๆ ว่าคุณเป็นใครในตอนนั้นและคุณเป็นใครในอีกยี่สิบปีให้หลังน่ะค่ะ”
   “เราต้องใช้เวลาในการเติบโต และจนกว่าเราจะโต เราก็ไม่จำเป็นที่จะได้อยู่กับคนที่เราควรจะอยู่ได้ เวลานั้นเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถเอาคืนมาได้ด้วย ดังนั้น เรื่องราวก็เลยมีโทนของการโหยหาค่ะ”
   เมื่อมองเห็นศักยภาพของนิยายเรื่องนี้ว่าเป็นภาพยนตร์โรแมนซ์คลาสสิก เธอก็เลยจัดการซื้อลิขสิทธิ์ในการสร้างเรื่องราวนี้เป็นภาพยนตร์ และสัญญากับนิโคลส์ว่าเธอจะรักษาเรื่องราวให้อยู่ภายในอังกฤษ ขณะที่เขาดัดแปลงหนังสือให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ “นีนาเป็นคนที่ให้การสนับสนุนเรื่องราวนี้อย่างดีครับ” นิโคลส์บอก “เธอแรงมาก! ผมทึ่งจริงๆ ที่ทุกอย่างมารวมตัวกันได้เร็วแบบนี้”
   จาค็อบสันบอกว่า “ในสตูดิโอหลายแห่ง แนวโน้มการทำงานจะเป็นการทำให้หนังเป็นอเมริกันมากขึ้น และจะไม่มีการคงความเป็นอังกฤษให้กับฉากและตัวละคร สำหรับฉันแล้ว นั่นหมายถึงการเสี่ยงต่อความเฉพาะเจาะจงของหนังสือและเอกลักษณ์ของตัวละคร ฉากของเรื่องเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งค่ะ”
   “เรามองหาเพื่อนร่วมงานที่มีแนวโน้มจะไม่เปลี่ยนแปลงแบบนั้นค่ะ” ไม่นานนัก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กลายเป็นความร่วมมือระหว่างแผนกแรนดอม เฮาส์ ฟิล์มส์แห่งแรนดอม เฮาส์ อิงค์. และโฟกัส ฟีเจอร์ส โดยมีฟิล์มโฟร์ของอังกฤษ ร่วมสนับสนุนด้านเงินทุน ความมั่นคงที่เกิดจากการได้รับการสนับสนุนตั้งแต่เริ่มแรกทำให้ทีมผู้สร้างสามารถทุ่มเทความสนใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างเต็มที่
   ทางนักเขียนผู้นี้เคยดัดแปลงนิยายเป็นบทภาพยนตร์มาก่อนแล้ว จากการที่นิยายเรื่อง Starter for Ten ของเขาได้กลายเป็นภาพยนตร์เรื่อง Starter for 10 แม้ว่าการเล่าเรื่องของ One Day ท้าทายกว่า แต่อย่างที่นิโคลส์เล่าว่า “ยังไงซะ มันก็มีความท้าทายอยู่แล้วในการย่อชีวิตยี่สิบปีของตัวละครให้กลายเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง ในตอนที่คุณต้องย่อมันให้กระชับกว่าเดิม ให้กลายเป็นเวลาหนังซักสองชั่วโมง คุณก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าคุณต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ One Day ก็เป็นหนังที่ซื่อตรงต่อตัวต้นฉบับมากๆ ทั้งในแง่ของอารมณ์และโทน รวมไปถึงสไตล์เล่าเรื่องด้วยครับ”
   จาค็อบสันขยายความว่า “เด็กซ์และเอ็มได้พบกันมากกว่าหนึ่งวันในแต่ละปี แต่เราจะได้เห็นพวกเขาแค่ปีละครั้ง ในหนังสือเป็นแบบนั้น และในหนังก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”
   “ด้วยความที่เขามีพื้นฐานเป็นนักเขียน คุณก็เลยรู้ว่าถึงแม้ว่าคุณจะต้องย่อหนังสือสามตอนให้กลายเป็นสองตอนในหนัง ธีมสำคัญของความรัก และการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ และความใกล้ชิดกันระหว่างเด็กซ์และเอ็ม ก็จะยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง”
   การสรรหาตัวผู้กำกับนำไปสู่โลน เชอร์ฟิก ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตร์เรื่อง An Education กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปีนั้น และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ 3 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่นิโคลส์และจาค็อบสันก็เคยได้ดูผลงานก่อนหน้านั้นของเธอ เรื่อง Italian for Beginners และ Wilbur Wants to Kill Himself มาแล้ว และพวกเขาก็ยังคงจำภาพยนตร์เหล่านั้นได้
   นิโคลส์ให้ความเห็นว่า “เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติความเป็นผู้กำกับของเธอเป็นสิ่งที่ One Day ต้องการ ทั้งเอกลักษณ์ และความเข้าใจวิธีการดำเนินการนำเสนอจุดต่ำสุดและสูงสุดของเรื่องราวออกมาน่ะครับ”
   “โลนเป็นตัวเลือกแรกของเราค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “พอคุณได้ดูหนังของเธอ คุณจะได้เห็นว่าเธอมีอำนาจควบคุมตัวละครและการแสดงที่เหลือเชื่อ ซึ่งนั่นรวมไปถึงช่วงเวลาที่สนิทสนมกันระหว่างผู้คนด้วยค่ะ”
   “เรารู้ว่าเธอจะพบอากัปกิริยาของตัวละครและการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา และจะสื่อสารทั้งหมดนั้นออกมาพร้อมๆ กับการถ่ายทอดเวลาและสถานที่ โดยไม่คลาดสายตาไปจากเอ็มมาและเด็กซ์ ที่เป็นแก่นกลางของเรื่อง มันเป็นเรื่องของการควบคุมวงออร์เคสตราพร้อมกับทำให้แน่ใจว่าท่วงทำนองจะไม่หายไปไหนน่ะค่ะ”
   เชอร์ฟิกพร้อมรับงานนี้ทันที และเธอก็เริ่มจินตนาการถึงนักแสดงนำที่เหมาะสมกับจาค็อบสัน ผู้ยืนยันว่า “การคัดเลือกนักแสดงหนังควรจะให้ความรู้สึกที่ใช่ด้วย เพราะผู้คนมากมายได้อ่านและรักหนังสือเล่มนี้”
   เชอร์ฟิกตั้งข้อสังเกตว่า บังเอิญว่าแอนน์ แฮตธาเวย์ นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด ได้อ่านบท “ตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก เธอชอบเอ็มมามากจนเธอบินจากลอนดอนมาคุยกับฉันแล้วบอกฉันถึงสาเหตุที่เธอควรจะได้รับบทนั้น! แอนน์มีอารมณ์ขันและความเข้มแข็งเหมือนเอ็มมา เธอเป็นนักแสดงมากประสบการณ์ ที่ใส่ความอบอุ่นและความเปราะบางลงไปให้กับบท มากกว่าคนอื่นๆ ที่ฉันสามารถจินตนาการได้อีกค่ะ”
   แฮตธาเวย์รำพึงว่า “ถ้าคุณโชคดี คุณก็จะเจอเรื่องราวที่ประทับใจคุณจริงๆ ถ้าคุณโชคดี คุณก็จะเจอตัวละครที่พูดกับคุณ และกับ One Day ฉันก็พบทั้งสองสิ่งนั้นค่ะ”
   เธอรายงานว่า “นีนา จาค็อบสันส่งหนังสือเรื่องนี้ ซึ่งตีพิมพ์แล้วในอังกฤษ แต่ยังไม่ตีพิมพ์ในอเมริกา ให้ฉัน ฉันได้อ่านบทก่อนที่จะได้อ่านหนังสือเสียอีก ฉันจำได้ว่าฉันนั่งอ่านหนังสือเรื่องนี้ตรงโต๊ะในครัว บทหนังมันเหมือนร้อนเป็นไฟเลย เพราะมันสุกสว่างมาจากข้างใน ฉันสนุกกับมันมาก มีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นมากมาย ฉันจินตนาการได้ถึงหนังทั้งเรื่องอย่างชัดเจน ฉันได้ยินเสียงของเอ็มมา สำเนียงอังกฤษเหนือของเธอ ฉันเข้าใจเธอและรักเธอค่ะ”
   “ฉันคิดว่าพวกเขาจะไม่พิจารณานักแสดงอเมริกันคนไหนๆ เลย ดังนั้น พอฉันรู้ว่าโลนยอมพบกับฉัน ฉันก็ซึ้งมากค่ะ”
   เชอร์ฟิกพูดถึงเอ็มมาว่า “ฉลาด ไม่มั่นใจ ทำงานหนัก และเป็นหนอนหนังสือ มันมีคำถามหนึ่งที่เราและเธอถามกันว่า เด็กซ์เตอร์เป็นพวกอภิสิทธิชนเกินไปสำหรับเธอรึเปล่า เขามั่นใจในตัวเองเกินไปรึเปล่า ด้วยความสามารถหลากหลายของเธอในฐานะนักแสดง แอนน์ได้ถ่ายทอดความเคลือบแคลงนั้นออกมาพร้อมๆ กับคุณสมบัติแง่บวกอื่นๆ ของเธอ และความสามารถของเธอที่จะมองทะลุหน้ากากของเด็กซ์เตอร์ได้น่ะค่ะ”
   “การตีความเอ็มมาของเธอทำให้เราเห็นใจเธอและไม่โจ่งแจ้งเกินไปค่ะ ความอบอุ่นและความกล้าหาญของแอนน์ในฐานะนักแสดงเป็นอะไรที่พิเศษสุด มันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากของเธอ ซึ่งเหมือนกับดาราดังบางคนในวงการหนังคลาสสิกอังกฤษและอเมริกันค่ะ”
   สำหรับแฮตธาเวย์ “ตัวละครสองตัวนี้ถูกเขียนขึ้นอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาในงานเขียนของเดวิด คุณจะรู้สึกทันทีเลยว่าคุณรู้จักพวกเขา เมื่อพวกเขารู้สึกอะไร คุณก็จะรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน จังหวะที่สะเทือนใจจะกระทบใจคุณอย่างแรงเพราะคุณจะเอาใจไปใส่ในตัวเอ็มและเด็กซ์ทั้งในฐานะปัจเจกและในฐานะคู่รักค่ะ”
   “พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ตัวเองให้ความสำคัญ ความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็มีความเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน คุณจะได้เห็นพวกเขาทำผิดพลาดในแบบที่เข้าใจได้ และคุณก็จะคิดว่า ‘ฉันเองก็อาจจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน’ น่ะค่ะ”
   นิโคลส์ให้ความเห็นว่า “เอ็มมา มอร์ลีย์เป็นตัวละครซับซ้อน ผู้พยายามทุ่มเทเพื่อทำให้สิ่งที่เธอใฝ่ฝันเป็นจริงขึ้นมา เราได้เห็นเธอเมื่อเธอผิดหวังครั้งแรก ในความรักที่เหมือนจะเป็นความรักข้างเดียวที่เธอมีให้กับเด็กซ์เตอร์ และในการที่เธอทำงานใน โลโค คาเลียนเต้ ร้านอาหารเท็กซ์-เม็กซ์ และหลังจากนั้น เธอก็มาเป็นครู ก่อนที่เธอจะพบตัวเองในฐานะนักเขียนหนังสือสำหรับเด็กน่ะครับ”
   “แอนน์ แฮตธาเวย์มีความเปราะบางและความเฉลียวฉลาดอย่างที่เอ็มมา มอร์ลีย์ต้องการ และคุณก็จะได้เห็นเอ็มมาเติบโตและเปลี่ยนแปลงผ่านตัวแอนน์ เธอแสดงได้สมบทบาทมากครับ”
   แฮตธาเวย์กล่าวว่า “ฉันเชื่อในตัวเอ็มมาค่ะ ฉันอยากจะรู้จักเธอ เธอเป็นเด็กสาวที่ฉันพบว่าสมจริง และฉันก็หวังว่า ถ้าฉันคิดแบบนั้นได้ คนอื่นๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็จะคิดแบบนั้นได้เหมือนกัน”
   จิม สเตอร์เกสส์กล่าวเสริมว่า “เด็กซ์บอกเอ็มมาว่าเธอเป็น ‘คนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก’ มีความเป็นเอ็มมาอยู่เยอะในตัวแอนน์ครับ เธอมีไหวพริบเหมือนกับเอ็มมา ในกองถ่าย ผมมักพบตัวเองนั่งอยู่ข้างแอนน์ ผมจะอ่านนิตยสารไร้สาระ ส่วนเธอก็จะอ่านนิยายชั้นสูง เหมือนเอ็มกับเด็กซ์เลยครับ! เธอน่ารักมากและเราก็เข้ากันได้ดีในทันที”
   “ผมดีใจที่ได้แสดงประกบคนที่แคร์กับเรื่องราว ซึ่งมันสนุกแต่ก็สะเทือนอารมณ์ด้วย และตัวละครเหล่านี้ด้วยครับ”
   จาค็อบสันเล่าว่า สเตอร์เกสส์ได้แสดงประกบแฮตธาเวย์เพราะว่า “ในตอนแรกที่เราได้เห็นจิมออดิชันกับแอนน์ หนึ่งในสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือพวกเขาให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันอย่างเป็นธรรมชาติ และคุณอยากจะให้พวกเขาอยู่ด้วยกันมากแค่ไหน สำหรับภาพยนตร์โรแมนซ์ นั่นเป็นวัตถุดิบสำคัญค่ะ”
   “แอนน์เข้าใจเอ็มมาอย่างดี และจิมก็เข้าใจในทันทีว่าเด็กซ์เตอร์เป็นตัวละครที่ซับซ้อนขนาดไหน รวมถึงว่าเขาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์มากแค่ไหนด้วย จิมมีอารมณ์ขันและความสง่างามแบบสบายๆ แบบเด็กซ์เตอร์ และเขาก็เข้าใจดีถึงวิธีการที่จะถ่ายทอดช่วงเวลาที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์นักของตัวละครตัวนี้ในรูปแบบที่คุณสามารถเข้าใจและสามารถยกโทษให้กับความผิดพลาดของเด็กซ์เตอร์ได้ ซึ่งมีหลายครั้งเลยค่ะ”
   เชอร์ฟิกกล่าวเสริมว่า “จิมชื่นชอบมิวสิคัลและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาจะพูดถึงความพยายามของตัวเองว่าไม่สลักสำคัญอะไร แต่ฉันพบว่าเขาได้เตรียมตัวมาอย่างดีโดยการให้ความใส่ใจกับรายละเอียดต่างๆ ซึ่งรวมถึงในแง่ของจิตวิทยาด้วยค่ะ”
   นิโคลส์ให้ความเห็นว่า “จิม สเตอร์เกสส์เป็นนักแสดงหน้าตาดี ที่มีเสน่ห์และความอบอุ่น ผมชื่นชมเขาเสมอในหนังหลายเรื่องที่เขาเล่น เขาสามารถลดความน่ารังเกียจในการกระทำที่เลวร้ายที่สุดหลายๆ อย่างของเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิวได้ครับ”
   เมื่อถูกขอให้ประเมินตัวละครของเขา สเตอร์เกสส์ก็พูดถึงเด็กซ์อย่างให้โอกาส โดยเขากล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะไม่ตัดสินเขารุนแรงเกินไป เขาเป็นตัวละครที่ตัดสินได้ยากเพราะเขาเปลี่ยนแปลงไปมากระหว่างเรื่องและผมก็คิดว่าเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเขาเองจริงๆ แล้วเป็นใคร เขาก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ที่สุดเท่านั้น”
   “แต่เขาเป็นสิ่งต่างๆ สำหรับหลายๆ คน ซึ่งผมก็รู้สึกว่าเราเองก็เป็นอย่างนั้นในชีวิตจริงเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เด็กซ์เริ่มต้นจากการเป็นเด็กเกเรที่น่ารักและเป็นนักเรียนที่ไม่แคร์อะไรสำหรับอลิสัน แม่ของเขา ที่รับบทโดยแพทริเซีย คลาร์คสัน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ด เขาเป็นเหมือนกระจกที่สะท้อนกลับไปถึงวัยเยาว์ของเธอและเธอก็ชื่นชอบเรื่องแผลงๆ และจิตวิญญาณของเขาครับ”
   แต่นั่นไม่ใช่ความคิดของสตีเวน พ่อของเด็กซ์เตอร์ ผู้รับบทโดยเคน สท็อตต์ เจ้าของรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด สเตอร์เกสยอมรับว่า “สตีเวนมองลูกชายของเขาว่าเป็นเด็กมีปัญหา เด็กซ์ถูกห้อมล้อมในโลกของเซเล็บในฐานะที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ แต่เขาก็เปลี่ยนไปอีกเมื่อเขากลายเป็นสามี ของซิลวี ที่รับบทโดยโรโมลา กาไร ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และพ่อคน
   สเตอร์เกสส์ไม่เคยลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กซ์ แม้กระทั่งในตอนที่ตัวละครตัวนี้ลืมเลือนไปก็ตาม เขาบอกว่า “เรื่องราวนี้นำเสนอสิ่งที่เรียกว่า ‘รักแรกพบ’ ในลักษณะที่สมจริงครับ สิ่งที่สม่ำเสมอที่สุดสำหรับเด็กซ์เตอร์ตลอดทั้งเรื่องคือการเป็นคนที่เอ็มมา มอร์ลีย์รัก นั่นเป็นพลังที่ก่อให้เกิดความมั่นคง แล้วเขาเลือกที่จะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงล่ะ นั่นเป็นการเดินทางของเขาในเรื่องราวนี้ครับ”
   แฮตธาเวย์กล่าวว่า การเดินทางนั้น “เป็นส่วนสำคัญในเรื่องราวของ One Day เด็กซ์เตอร์ไม่เคยถูกท้าทายซักเท่าไหร่ในชีวิต ในตอนเริ่มต้นเรื่อง เขามีความรู้สึกว่าเขาอยู่ที่ไหนก็ได้ ความรู้สึกที่ว่าทุกอย่างจะออกมาดี และมันก็เป็นอย่างนั้นได้ซักพัก แต่เมื่อสิ่งต่างๆ เลวร้ายลงสำหรับเขา และชีวิตจริงเริ่มขึ้น เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมันดี เขาหลงทาง และเราก็ได้เฝ้ามองเขาด้วยความหวังว่า เขาจะหาทางกลับมาได้”
   “ในฐานะเพื่อนนักแสดง การได้เห็นวิธีการแสดงของจิมเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ เขาเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก จิตวิญญาณและความใจกว้าง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำงานหนักและมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย คุณสมบัติทั้งหมดนี้ของเขาถูกใส่ลงไปในตัวเด็กซ์เตอร์ จิมได้ใส่อะไรมากมายลงไปในบทนี้ เด็กซ์ของเขาทำให้เราใจสลายเลยค่ะ”
   นอกเหนือจากปฏิกิริยาเคมีที่จำเป็นต่อความรักในเรื่องแล้ว เชอร์ฟิกยังพบว่า “แอนน์และจิมดูเหมือนจะสร้างความเข้าใจที่ว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้โปรเจ็กต์นี้พิเศษสุด ระหว่างพวกเขามีทั้งปฏิกิริยาเคมีที่ยอดเยี่ยมและการเคารพซึ่งกันและกัน การมีความสุขอย่างเรียบง่ายที่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งฉันคิดว่าผู้ชมจะรู้สึกได้เหมือนกันค่ะ”
   เมื่อได้นักแสดงนำมาแล้ว นิโคลส์ก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องถือครองความเป็นเจ้าของตัวละครของเขา อย่างน้อยก็ชั่วคราว “มีแค่หนังสือที่เป็นของนักเขียนนิยาย มันเป็นเรื่องราวของพวกเขา พวกเขาเป็นคนตัดสินใจว่าตัวละครจะพูดอะไร ว่าหนังสือจะยาวแค่ไหน หรือบางครั้ง พวกเขาเป็นคนตัดสินใจด้วยซ้ำว่าปกหนังสือจะออกมาเป็นยังไง”
   “แต่หนังเป็นเรื่องของการร่วมมือกัน และคุณก็ต้องยอมรับเรื่องนั้นให้ได้ครับ”
   สำหรับเธอ และสำหรับบทเอ็มมาของเธอ แฮตธาเวย์ยินดีที่มีแหล่งข้อมูลเหลือเฟือ เธอสารภาพว่า “ถ้าฉันสามารถควบคุมอะไรได้ในวงการนี้ ฉันจะพยายามให้มีการเขียนหนังสือขึ้นมาควบคู่กับบทที่คุณได้รับทุกเรื่อง เพราะปกติแล้ว คุณจะต้องเติมเต็มช่องว่างด้วยตัวเอง แต่ใน One Day ในตอนที่คุณไม่รู้ความนัยของซีนนั้นว่าเป็นอะไรหรือน่าจะเป็นยังไง คุณก็สามารถกลับไปอ่านหนังสือได้ ฉันพบว่ามันเป็นแหล่งข้อมูลที่ล้ำค่ามาก”
   “ด้วยความที่หนังสือและบทหนังเรื่องนี้เขียนโดยเดวิดทั้งคู่ มันก็เลยมีหลายอย่างที่ทับซ้อนกัน หนังสือเป็นเนื้อหาที่คุณชอบกลับไปอ่าน ฉันอ่านมันหลายรอบแล้ว และแต่ละครั้ง ฉันก็จะดำดิ่งลึกลงไปอีก และก็จะมีเรื่องใหม่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับฉันเพิ่มอีกค่ะ”
   นิโคลส์ขัดเกลาบทภาพยนตร์ของเขาระหว่างฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิปี 2010 เขาบอกว่า “นักเขียนนิยายไม่ค่อยออกจากบ้านบ่อยนักหรอกครับ แต่มือเขียนบทจะต้องไปประชุมและคิดหาทางแก้ไขปัญหา มันต้องอาศัยความร่วมมือมากขึ้น”
   “คุณต้องโต้แย้งและกลับไปกลับมาเรื่องรายละเอียดหลายรอบ แต่มันก็ไม่เครียดเลยครับ ผมยินดีมากที่ได้ร่วมงานกับนีนาและโลน”
   เชอร์ฟิกเล่าว่า “ไม่ว่าคุณจะอ่านหนังสือหรือบทหนังของเดวิด คุณก็จะรู้สึกเหมือนคุณกำลังอ่านเรื่องที่เพื่อนเขียน ฉันคิดว่าบทหนังเรื่องนี้มีความพิเศษสุดเพราะเขามีทั้งเรื่องรักที่น่าประทับบใจและความสามารถที่จะทำให้คุณโฟกัสกับสิ่งที่มีความสำคัญต่อคนเหล่านี้ในชีวิตที่ดำเนินไปของพวกเขาน่ะค่ะ”
   หลังจากที่ทีมนักแสดงและทีมงานได้อ่านบทภาพยนตร์ที่ใช้ถ่ายทำ ซึ่งนิโคลส์พูดถึงว่า “ทั้งน่าสะพรึงกลัวและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน” การถ่ายทำก็พร้อมจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

happy on July 24, 2011, 01:47:02 PM


หนังสือเล่มหนึ่ง

                ในตอนที่ One Day เริ่มถ่ายทำ นิยายเรื่อง One Day ก็กลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ในทั่วโลกไปแล้ว มันได้รับการตีพิมพ์ใน 31 ภาษาทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นเท่าไหร่ในปัจจุบัน และติดอันดับหนึ่งในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของอังกฤษ อิตาลีและสวีเดน ติดอันดับสองในเยอรมนีและอันดับสามในรัสเซีย
   เมื่อหนังสือเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2009 ในอังกฤษโดยฮ็อดเดอร์ แอนด์ สตัฟตัน นิยายของเดวิด นิโคลส์ ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากนักวิจารณ์และผู้อ่าน นิยายเรื่องนี้ ที่กลายเป็นหนังสือที่ต้องอ่าน ติดอันดับหนึ่งในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของซันเดย์ ไทม์ตอนที่เป็นปกแข็งก่อนที่จะติดอันดับอีกครั้งตอนเป็นปกอ่อน นิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลแกแล็กซี เนชันแนล บุ๊ค อวอร์ดสาขาหนังสือนิยายยอดนิยมแห่งปี จนถึงวันนี้ นิยายเรื่องนี้ทำยอดขายได้เกือบ 400,000 ก็อปปี้ในอังกฤษ
   One Day ได้รับการตีพิมพ์ในอเมริกาเป็นหนังสือปกอ่อนในเดือนมิถุนายนปี 2010 โดยวินเทจ บุ๊คส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของน็อพฟ์ ดับเบิลเดย์ พับลิชชิง กรุ๊ปแห่งแรนดอม เฮาส์, อิงค์ คำพูดปากต่อปากจากโพ้นทวีปได้ส่งผลมาถึงที่นี่ และนิยายเรื่องนี้ก็ติดลิสต์เบสต์เซลเลอร์นิยายปกอ่อนของนิวยอร์ก ไทม์นาน 12 สัปดาห์ และขึ้นถึงอันดับสี่ ปัจจุบันนี้ มีการตีพิมพ์ในรูปแบบปกอ่อนโดยวินเทจ 600,000 ก็อปปี้และมีรูปแบบ e-book ด้วย
   เจเน็ต มัสลิน ได้ตั้งข้อสังเกตในเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ว่า หนังสือเล่มนี้กลายเป็น “นิยายฮิตประจำซัมเมอร์ ที่ไม่ได้มาจากสวีเดน และไม่เกี่ยวกับแวมไพร์”
   นิยายเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมตลอดทั้งปี เมื่อเดอะ นิวยอร์ก ไทม์ บุ๊ค รีวิวได้ยกย่องนิยายเรื่องนี้ให้ติดอันดับ 100 หนังสือน่าสนใจแห่งปี 2010, เอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีได้ยกย่องให้มันเป็นหนึ่งใน “10 หนังสือนิยายยอดเยี่ยมแห่งปี” โดยมีเฮนรี โกลด์แบลทท์ให้ความเห็นว่ามันเป็น “การนำเสนอเรื่องราวของคู่ชีวิตทางจิตวิญญาณที่ดื่มด่ำ งดงามและสะเทือนใจ” นอกจากนั้นแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังติดอันดับในลิสต์ดีที่สุดของทั้งบาร์นส์ แอนด์ โนเบิลและอเมซอนด้วย
   เว็บไซต์อเมซอนได้นำเสนอบทวิจารณ์จากผู้อ่าน ที่ไม่เคยโพสต์คำวิจารณ์มาก่อน ผู้อ่านหลายคนสารภาพว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบภายในวันเดียว ซึ่งก็เข้ากับชื่อเรื่องอย่างดี
   นิโคลส์กล่าวว่าหนังสือเรื่องนี้ “ไม่ใช่อัตชีวประวัติ แม้ว่าผมเองจะมีความทรงจำของตัวเองเกี่ยวกับสองทศวรรษที่เราติดตามเอ็มและเด็กซ์ก็ตาม”
   “ผมอยากจะถ่ายทอดความสนิทสนมของการเปิดดูอัลบัมรูป อารมณ์ที่ถูกปลุกเร้าจากภาพต่างๆ ในเรื่องราวนี้ ภาพถ่ายนั้นเป็นภาพของวันเดียวในแต่ละปี ซึ่งก็คือวันที่ 15 กรกฎาคม หน้าตาคุณตอนอายุ 23 หรือ 43 ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ตัวคุณกลับต่างออกไปเหลือเกิน”
   เขาตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือเล่มนี้ “เป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่านทั้งที่อายุน้อยกว่าและอายุมากกว่าผม พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของมัน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจและดีใจ เพราะมันเป็นหนังสือและเรื่องราวที่เป็นส่วนตัว แต่มีคนเขียนจดหมายหาผมบอกว่า ‘ฉันเองก็มีเด็กซ์เตอร์ของตัวเองเหมือนกัน และหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้ฉันติดต่อเขาอีกครั้ง’ หรือ ‘ผมเองก็มีเอ็มมาของผม และผมก็แต่งงานกับเธอแล้ว’ ผมเชื่อว่าคนตอบสนองกับเรื่องราวนี้เพราะมันไม่มีความรักที่กินเวลายาวนานหลายปีแบบนี้มาซักพักแล้วครับ”
   “ผมหวังว่าคนที่ชื่นชอบหนังสือเรื่องนี้จะชื่นชอบหนังเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน สองสิ่งที่ผมรักตอนผมโตมาคือหนังสือและหนัง การแยกทั้งสองอย่างนี้ออกจากกันเป็นเรื่องยากเสมอครับ”




วันเซนต์สวิธอิน

                “วันหนึ่ง” ของหนังสือ ภาพยนตร์และความรักและชีวิตของเด็กซ์เตอร์และเอ็มมาคือวันที่ 15 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเซนต์สวิธอินด้วยเช่นกัน
   ตามตำนานพื้นบ้านของอังกฤษ มีบทกลอนที่ว่า
          ถ้าเธอพบฝนในวันเซนต์สวิธอิน
          สี่สิบวัน ฝนจะตกอยู่เช่นนั้น
          ถ้าเธอพบอากาศดีในวันเซนต์สวิธอิน
          สี่สิบวัน ฝนจะไม่ตกอีกเลย

   การเฉลิมฉลองวันเซนต์สวิธอิน (ที่บางครั้งเขียนว่าเซนต์สวิธธัน) เกิดขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคมของทุกปี มีตำนานเล่าขานว่า ถ้าฝนตกในวันนั้น มันก็จะตกติดต่อกันอีกสี่สิบวัน แต่ถ้าพระอาทิตย์ส่องแสงในวันนั้น อากาศก็จะสดใสไปอีกสี่สิบวัน
   ตำนานนี้มีที่มาจากบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง ตัวเซนต์สวิธอินเองเป็นบิช็อปเชื้อสายแองโกล-แซ็กซอนที่วิหารวินเชสเตอร์ในศตวรรษที่เก้า แม้ว่าธรรมเนียมจะกำหนดให้ร่างของเขาถูกฝังภายในวิหารวินเชสเตอร์ แต่เขาเป็นคนที่ถ่อมตน ระหว่างที่เขานอนใกล้ตายอยู่บนเตียง เขาขอให้มีการฝังร่างของเขาในสวนของโบสถ์ เพื่อที่ฝนจะได้ตกลงมาบนร่างของเขา และเพื่อที่คนจะได้เดินใกล้ชิดกับเขา แม้ว่าในตอนแรก คำขอของเขาจะได้รับการตอบรับ แต่เก้าปีหลังจากที่เขาเสียชีวิต ร่างของเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังสุสานภายในวิหาร ความไม่พอใจของเขาถูกแสดงออกด้วยพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำตลอดสี่สิบวัน ตำนานได้เริ่มต้นจากวันนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
   เดวิด นิโคลส์กล่าวเสริมว่า “นอกจากนั้น ผมยังได้แรงบันดาลใจจากเพลง ‘St. Swithin’s Day’ ของบิลลี แบร็กก์ ที่ผมได้ยินตั้งแต่ยุค 80s โน่นแน่ะครับ”
   การถ่ายทำ One Day เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 2010 และการถ่ายทำก็ดำเนินผ่านวันเซนต์สวิธอินและอีกหลายสัปดาห์หลังจากนั้น

happy on July 24, 2011, 01:50:55 PM


ที่ของหัวใจ

                การถ่ายทำ One Day นานแปดสัปดาห์พานักแสดงและทีมงานไปตามโลเกชันต่างๆ ทั้งในและรอบลอนดอน เอดินเบิร์กห์และปารีส ตลอดช่วงซัมเมอร์ปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะเรื่องราวของเด็กซ์เตอร์และเอ็มมาดำเนินไปในระหว่างซัมเมอร์ ท้ายที่สุดแล้ว ทีมงานก็ได้ถ่ายทำในโลเกชันต่างๆ กว่า 50 แห่ง
   โลน เชอร์ฟิกรำพึงว่า “เราเดินทางกันตลอดเวลา และได้สัมผัสกับอะไรต่างๆ มากมาย แต่มันก็เป็นวันที่ 15 กรกฎาคมตลอด…”
   “มันเป็นตารางการทำงานที่ท้าทายมากภายใต้งบประมาณที่ไม่มากนักน่ะค่ะ” นีนา จาค็อบสันเล่า “โชคดีที่ทีมงานของเรารู้วิธีการทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว และแต่ละแผนกก็ทำได้เกินกว่าที่เราคาดหวังไว้อีกค่ะ”
   “โลเกชันที่เราเลือกเป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดว่าตัวละครของเรากำลังอยู่ในจังหวะไหนของชีวิต ตัวละครเอกของเราคนหนึ่งหรือทั้งสองคนจะอยู่ในทุกซีน และบางครั้ง มันก็เป็นเรื่องของการรีบเร่งที่จะถ่ายทำในแต่ละโลเกชันให้ทันเวลาค่ะ”
   สำหรับแอนน์ แฮตธาเวย์แล้ว จังหวะการเดินทางอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะ “การถ่ายทำในโลเกชันจะทำให้คุณได้สัมผัสกับบรรยากาศของซีนนั้นๆ และบอกเล่าเรื่องราวได้ ฉันตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานในลอนดอน ปารีสก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง และเราก็สนุกกันมากในเอดินเบิร์กห์ค่ะ”
   ในเอดินเบิร์กห์ ทีมงานประสบความสำเร็จในการนำทุกคนขึ้นสู่ยอดของอาร์เธอร์ส ซีท ซึ่งอยู่เหนือเมืองขึ้นไป 823 ฟุต เพื่อถ่ายทำที่นั่นสองสามวันได้ อุปกรณ์หนักบางชิ้นจะต้องถูกขนขึ้นไปโดยเฮลิคอปเตอร์ แต่อุปกรณ์ส่วนใหญ่ก็จะได้ทุกคนช่วยกันแบกขึ้นไปในสไตล์ลูกหาบ โลเกชันอื่นๆ ในเอดินเบิร์กห์ได้แก่มอเรย์ เพลซและจัตุรัสสภา
   โลเกชันในอังกฤษมีมากมายหลายแห่ง ทีมงานตั้งกองกันที่อีลิง สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง The Ladykillers และ It Always Rains on Sunday นอกจากนี้ ทีมงานยังได้ถ่ายทำที่ไพน์วู้ด สตูดิโอส์ สตูดิโอในตำนานอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ Pink Panther และ James Bond มายาวนาน พวกเขาได้ถ่ายทำซีเควนซ์แต่งงานที่วิหารเวสต์มินสเตอร์ ได้ถ่ายทำที่หอนาฬิกาบิ๊กเบนในตอนรุ่งสาง และตั้งร้านขึ้นมาในท้องถนนรอบๆ วอเตอร์ลูและดัลสตัน
   การได้รับความนิยมของหนังสือบวกกับเสน่ห์ของดารานำทั้งคู่ดึงดูดให้มีผู้ชมมุงดูหนาตาเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขายกกองไปถ่ายทำในท้องถนน จิม สเตอร์เกสบอกว่า “คนจะมาหาผมแล้วถามว่า ‘ตอนนี้จะอยู่ในหนังด้วยรึเปล่า’ หรือ ‘ใครเล่นเป็นคนนั้นคนนี้ล่ะ’ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่นเป็นตัวละคร ที่อยู่ในจินตนาการของผู้คนมากมายขนาดนี้ครับ”
   เชอร์ฟิกตั้งใจที่จะทำให้ลอนดอนเป็นตัวละครสำคัญใน One Day เธอชื่นชมว่า “ลอนดอนช่างวิเศษสุดและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ฉันเข้าใจดีถึงยุคสมัยที่เรากำลังถ่ายทอด ระหว่างยุค 90s ลอนดอนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงาน และด้วยความที่เอ็มมาและเด็กซ์เตอร์ก็ใช้ชีวิตที่ยุ่งเหยิงในยุคนั้น ฉันก็อยากจะถ่ายทอดซีนนั้นอย่างตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความรู้สึกค่ะ”
   “ทั้งเมืองนี้และยุคสมัยเองก็ช่วยในการกำหนดสไตล์ให้กับเรื่อง โดยจะมีการปรับด้านโทนและวิชวลนิดๆ สำหรับแต่ละซีเควนซ์และแต่ละปีค่ะ”
   สมาชิกคนสำคัญของทีมงานถ่ายทำได้แก่ผู้กำกับภาพ เบนัวต์ เดลออมม์, ผู้ออกแบบเมคอัพและทรงผม อิวานา พริโมรัค, ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ค ทิลเดสลีย์และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายโอดิล ดิคส์-มิโรซ์ ผู้กลับมาร่วมงานกับเชอร์ฟิกอีกครั้งหลังจาก An Education
   ในฝรั่งเศส การถ่ายทำเกิดขึ้นที่พาเลส์ รอยัล สำหรับการคุยเปิดใจกันระหว่างเด็กซ์เตอร์กับแม่ของเขา, ที่แกร์ ดู นอร์ด ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานีรถไฟที่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดในปารีส และตามคลองแซงต์มาร์แตง รวมไปถึงโลเกชันอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่แตกต่างกันในเรื่อง ตอนแรกจะเป็นปี 1990 ที่เด็กซ์เตอร์ใช้ชีวิตอยู่ในปารีสหนึ่งปีเพื่อสอนภาษาอังกฤษ และพ่อแม่ก็มาเยี่ยมเขา และครั้งที่สองจะเป็นในปี 2001 เมื่อเขาไปเยี่ยมเอ็มมา ที่ตอนนี้เป็นนักเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ผู้พำนักอยู่ในเมืองแห่งนั้น
   เชอร์ฟิกตอกย้ำความแตกต่างเข้าไปอีกด้วยการอธิบายว่า “ปารีสของแม่เด็กซ์เตอร์เป็นปารีสสุดหรู แต่ปารีสของเอ็มมาจะเป็นปารีสโบฮีเมียนค่ะ”
   สเตอร์เกสส์กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ผมอยากจะถ่ายทำในปารีสมาตลอด ซักฉากก็ยังดี มันถูกถ่ายทอดไว้ในหนังสืออย่างแจ่มชัดมากๆ แล้วการได้ยืนอยู่บนถนนที่คุณอ่านเกี่ยวกับมันก็เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก”
   โลเกชันถ่ายทำที่เป็นโบนัสสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองนักแสดงนำ คือเลียบชายฝั่งบริทนีย์ ในย่านดินาร์ดและบริเวณโดยรอบที่น่าหลงใหล เมืองในฝรั่งเศสแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำภายนอกของท่าเรือและสระน้ำทะเลที่มีแสงสะท้อนระยิบระยับ รวมไปถึงหาดลา กุยโมเรส์ แม้ว่าสถานที่สำหรับฉากวันหยุดพักผ่อนของเด็กซ์และเอ็มจะเป็นกรีซ จาค็อบสันก็ให้ความเห็นว่า ทีมงาน “ต้องการจะหาสถานที่ที่ใกล้กับที่ที่เราทำงานโดยรวมอยู่ ดินาร์ดมีความโรแมนติกอย่างเหลือเชื่อและให้ความรู้สึกที่หรูหราและพิเศษสุดเหมือนกรีซเลยค่ะ”
   เชอร์ฟิกเตือนความจำว่า “นี่เป็นหนังที่มีแต่ซัมเมอร์ทั้งเรื่อง และการได้นำเสนอหนึ่งในซีเควนซ์ซัมเมอร์ในบริทนีย์ได้ก็ช่วยเพิ่มความงดงามและความอ่อนโยนที่หาได้ยากเข้าไปในวันสำคัญวันนั้นในเรื่องรักของเราค่ะ”




ยี่สิบปี รอเสียงเรียก

               แอนน์ แฮตธาเวย์ตั้งข้อสังเกตว่า “โลนให้ความสำคัญกับรายละเอียด และเรื่องเฉพาะเจาะจงมาก เธอมีส่วนร่วมกับทุกอย่างเลย ทั้งทรงผม เมคอัพและเสื้อผ้า…”
   โลน เชอร์ฟิกยืนยันว่า “การถ่ายทำ One Day เป็นความท้าทายสำหรับทุกแผนก หนังเรื่องนี้เปิดตัวในตอนกลางวันของปี 1988 และจบลงที่ตอนอาทิตย์อัสดงช่วงซัมเมอร์ปี 2011 ด้วยการเดินทางผ่านช่วงเวลาเข้มข้น ที่เฉียบคมและน่าประทับใจในเรื่องราวของเดวิด นิโคลส์ ฉันรู้สึกโชคดีและมีอภิสิทธิมากๆ ระหว่างช่วงซัมเมอร์ที่เราทำงานกันน่ะค่ะ”
   “ทีมงานของเราหลายคนใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันและสถานที่เดียวกับตัวละครเอกของเรา ดังนั้น หนังเรื่องนี้ก็เลยเต็มไปด้วยเลเยอร์เล็กๆ และรายละเอียดที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมจากแม่น้ำเธมส์, รองเท้าบู๊ทที่อุ่นเกินไปของเอ็มมา หรือเพลงที่ดังจากวิทยุในรถของเด็กซ์เตอร์ค่ะ”
   ด้วยเรื่องราวที่ยาวนานกว่าสองทศวรรษ จะไม่มีการระบุถึงยุคสมัยมากนัก แต่การเคลื่อนไหวของเวลาก็จะต้องเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและแทบไม่ค่อยสังเกตเห็น แฮตธาเวย์เล่าว่า ในตอนแรกเธอ “คิดว่า ‘มันจะสนุกขนาดไหนกันนะ’ แต่ยิ่งฉันใกล้จะได้แสดงมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้ว่ามันจะต้องอาศัยอากัปกิริยาที่เฉพาะเจาะจง และผ่านการวางแผนมาอย่างรอบคอบสำหรับแต่ละปีน่ะค่ะ”
   ดังนั้น เธอก็เลยใช้เวลาส่วนมากอยู่กับทีมออกแบบเพื่อหาคำตอบว่าพัฒนาการตัวละครของเธอจะเป็นไปยังไง เธอบอกว่า “เราต้องตัดสินใจว่า นิสัยของเอ็มจะเป็นยังไงในช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิตเธอ และคิดให้ได้ว่าเราจะถ่ายทอดนิสัยเหล่านั้นออกมาอย่างไร”
   “ถ้าคุณเล่นเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเวลาหนึ่ง แล้วผ่านไปหลายปีให้หลัง มันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงมากมาย และการที่คุณจะต้องทำอะไรที่แตกต่างออกไป แต่กับหนังเรื่องนี้ ทุกอย่างจะต้องสังเกตเห็นได้ แต่ก็ไม่โจ่งแจ้ง คุณจะเจอกับการเติบโตหลายครั้งในชีวิต และบางครั้ง ก็จะมีปีสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวคุณไปน่ะค่ะ”
   แฮตธาเวย์เผยว่า “กับทีมงานชุดนี้ ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้รับการดูแลตลอดเวลา และขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องนั้น เพราะแน่นอนค่ะว่าเราไม่ได้ถ่ายทำตามลำดับเวลา มีอยู่วันหนึ่งที่ฉันต้องถ่ายทำเวลาสี่ปีที่แตกต่างกัน…”
   “เราต้องคำนวณการตัดสินใจทุกครั้ง นิสัยของเอ็มมาในช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตเป็นอย่างไร การหา ‘ลุค’ มันยังไม่พอ เราต้องถามตัวเองว่า ‘ทำไมเธอถึงเลือกอย่างนี้’ หรือ ‘เธออยู่ที่ไหนตอนที่เธอตัดสินใจตัดผมเธอให้สั้นลง’ น่ะค่ะ”
   จิม สเตอร์เกสส์กล่าวเสริมในเรื่องของทรงผมว่า “ผมบอกได้เลยว่าเด็กซ์เตอร์มาถึงจุดไหนในชีวิตแค่ดูจากทรงผมของผมครับ เราใช้เวลาอยู่นานกับแผนกทรงผม เมคอัพและเครื่องแต่งกาย ก่อนหน้าที่เราจะถ่ายทำ และทุกวันในกองถ่าย เพื่อให้ได้ลุคที่เหมาะสมครับ”
   “ผมเดาเอาว่า ผมตอนที่เป็นเด็กซ์ตอนอายุ 43 น่าจะดูดีกว่าตัวผมตอนอายุเท่านั้นด้วยซ้ำ!”
   ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย โอดิล ดิคส์-มิโรซ์ ผู้ (หลังจาก An Education) ได้เดินทางข้ามเวลาอีกครั้งกับผู้กำกับโลน เชอร์ฟิก ได้ระมัดระวังที่จะไม่วางแผนสร้าง “สารคดีที่เต็มไปด้วยแฟชันหลากหลาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราอยากให้ผู้ชมผ่านความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของตัวละครที่สมจริงสองตัวนี้ แต่ด้วยความที่เราจะให้ตัวประกอบของเราดู ‘2010’ ไม่ได้ คุณก็จะได้เห็นยุคสมัยในสิ่งที่ผู้คนสวมใส่ ทั้งฟองน้ำรองบ่า กางเกงพลีท หรือยีนส์ฟอกสีน่ะค่ะ”
   เรฟ สปอล ผู้รับบท “เอียน นักแสดงสแตนด์อัพ คอเมดี ห่วยแตก” และแฟนคนแรกของเอ็มมา บอกว่า “ผมคิดว่า เอายีนส์ 501 กลับมาเถอะ! ตอนนี้ เรามาไกลจากยุค 90s มากพอที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับทศวรรษนั้นได้แล้ว และ One Day ก็จะเป็นหนึ่งในหนังเรื่องแรกๆ ที่ถ่ายทอดเรื่องนั้น แต่การได้เห็นตัวประกอบทุกคนแต่งตัวในชุดยุค 90s น่ะ ว้าวเลยครับ”
   สำหรับตัวละครหลักของเรื่อง ดิคส์-มิโรซ์ได้จัดหาเครื่องแต่งกายให้พวกเขาบ่อยครั้ง เธอบอกว่า “เด็กซ์เตอร์ตัดสินใจเรื่องแฟชันแบบนี้เพราะเขามีเงิน ส่วนเอ็มมาจะซับซ้อนกว่า ในตอนเริ่มเรื่อง เธอสวมเสื้อผ้าที่ล้าสมัยหน่อยๆ เธอจะมาเปลี่ยนแปลงก็ตอนอยู่ในปารีส ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ เรื่อง ในการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง โลนและแอนน์กับฉันก็จะมาคุยกันว่าเอ็มมาจะสวมชุดอะไรและไม่สวมชุดอะไร ยกตัวอย่างเช่น เราสรุปกันว่าเอ็มมาไม่ชอบกางเกงซักเท่าไหร่”
   “ในขณะที่เราทำการลองชุดมากมาย ก็เห็นได้ชัดเจนว่าเราจะต้องประเมินลุคโดยรวมด้วย ซึ่งก็คือเสื้อผ้ารวมกับทรงผมและเมคอัพน่ะค่ะ”
   สำหรับเรื่องนั้น อิวานา พริโมรัค ผู้ออกแบบทรงผมและเมคอัพ ได้รับคำชมเชยจากผู้อำนวยการสร้างนีนา จาค็อบสันว่า “อยู่ระดับแนวหน้าของวงการนี้อย่างแท้จริง ฉันทึ่งกับความสามารถของเธอในการถ่ายทอดความสมบูรณ์ของใบหน้าวัยเยาว์ และการทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นเมื่อตัวละครมีอายุมากขึ้นเล็กน้อยน่ะค่ะ”
   พริโมรัคมองความท้าทายใน One Day ว่าเป็น “การบอกเล่าเรื่องราวนี้ทีละปีๆ ไม่ใช่ด้วยจำนวนปีที่ผ่านไปเท่านั้น แต่ด้วยคนธรรมดาสองคน การสร้างลุคของพวกเขาจะต้องเป็นไปอย่างอ่อนโยนมากกว่าจะแข็งกร้าว ด้วยความที่เราพบพวกเขาตอนอายุยี่สิบต้นๆ มันก็เลยไม่ใช่เรื่องของรอยย่นบนผิวหนัง แต่เป็นเรื่องของสิ่งที่พวกเขาพบเจอมา อายุมาพร้อมกับความรู้และประสบการณ์ค่ะ และมันก็สะท้อนออกมาในใบหน้าของคนเราด้วย ฉันพยายามทำให้พวกเขาดูอายุมากขึ้นเล็กน้อยในแต่ละปี มันน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเด็กซ์เพราะเขาได้เรียนรู้หลายอย่างด้วยบทเรียนราคาแพงค่ะ”
   “โลนและโอดิลกับฉันจะคุยกันว่า แม้ว่านี่จะเป็นอดีตไม่นานนักที่เราทุกคนต่างก็จำกันได้ แต่เราก็จะต้องมองอย่างเป็นกลาง จะต้องมีการคำนึงถึงรูปทรงและลุคของยุคสมัยนั้น เราก็เลยต้องศึกษานิตยสารจากยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นโว้ก บลิซ หรือเดอะ เฟซ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในขณะนั้น นอกจากนั้นแล้ว เรายังได้คุยหรือดูภาพถ่ายของคนจริงๆ และเพื่อนของเพื่อนออนไลน์ ฉันจะสร้างภาพคอลลาจขึ้นบนพื้น เพื่อดูว่าเราจะก้าวไปไกลได้ขนาดไหน เราได้ทำการทดสอบแต่งตัวกับนักแสดง แล้วก็ได้คำตอบว่าสิ่งที่พวกเราทุกคนคิดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด”
   ด้วยความที่นักแสดงสนใจกับบทบาทของตัวเองอย่างถ่องแท้อยู่แล้ว พริโมรัคก็พบว่า “ในตอนที่ฉันได้พบพวกเขาครั้งแรก มันมีความเข้าใจระหว่างพวกเขา ในฐานะศิลปินสองคน เกี่ยวกับเรื่องราวของเด็กซ์และเอ็ม นอกเหนือจากปฏิกิริยาเคมีที่เหลือเชื่อ พวกเขาแคร์แต่เรื่องตัวละครของพวกเขา ไม่ใช่สิ่งที่จะเหมาะกับแอนน์หรือจิม ซึ่งนั่นเป็นเรื่องเยี่ยมมากค่ะ”
   นอกจากนี้ ผลงานของผู้กำกับภาพเบนัวต์ เดลออมม์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับพริโมรัค ผู้กล่าวว่า “เขาได้สร้างภาพที่งดงามไร้รอยต่อให้กับทุกส่วนในเรื่องราวนี้ เขาสร้างสีสันที่หลากหลาย ซึ่งช่วยนำทางเรื่องราวทางอารมณ์และถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของเวลาไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ”
   เชอร์ฟิกกล่าวว่า เดลออมม์ “ยอมรับและได้แรงบันดาลใจจากความจริงและจากเซอร์ไพรส์ที่เกิดขึ้นเมื่อคุณทำงานในเมืองที่มีชีวิตชีวาและความหลากหลายเหมือนอย่างลอนดอน เซนส์ด้านสไตล์ของเขาแปลกพิเศษและเขาก็เข้าใจดีถึงองค์ประกอบด้านวิชวลเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแตกต่างกันจากวันหนึ่งไปสู่อีกวันหนึ่งในช่วงซัมเมอร์ มันเกือบเหมือนว่าเราถ่ายทำซีรีส์หนังสั้นติดต่อกัน แต่โดยรวมหนังก็มีสไตล์ของมันเอง มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะความสามารถของเบนัวต์ในการถ่ายทอดมุมมองสดใหม่ แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ที่กว้างขวางอย่างมากก็ตาม”
   แฮตธาเวย์ตั้งข้อสังเกตว่า “แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะดูอิ่มสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องราวก็ให้ความรู้สึกสมจริงเสมอ และความงดงามของชั่วขณะนั้นก็ถูกขับเน้นโดยการกำกับภาพของเบนัวต์ค่ะ”
   “ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ค ทิลเดสลีย์ก็มีสายตาที่น่าทึ่ง และฉันก็อยากให้เขามาออกแบบบ้านให้ฉันเพราะสิ่งที่เขาเลือกทุกครั้งน่ะเพอร์เฟ็กต์เลย!”
   สำหรับทิลเดสลีย์แล้ว กุญแจสำคัญในการทำงานนี้ “คือการจินตนาการเรื่องราวนี้ในสามขั้น ตอนต้น กลางและปลาย ซึ่งเรากลับมาหาเอ็มมาและเด็กซ์เตอร์อีกครั้ง เพราะมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างปี 1992 ถึง 1994 หรอกครับ”
   “โลนต้องการจุดเชื่อมโยงและหลักสำคัญสำหรับตัวละคร ยกตัวอย่างเช่น มันจะมีกระจกที่คุณได้เห็นครั้งแรกในแฟลทของเอ็มมา ตอนต้นเรื่อง เธอซื้อมันจากร้านของลดราคา แล้วคุณก็จะพบว่ามันเดินทางมากับเธอตลอดทั้งเรื่อง เราอยากได้สิ่งที่ให้ข้อมูล และอ้างอิงกับตัวละครครับ”
   เช่นเดียวกับหลายๆ คนในทีมงานถ่ายทำ ทิลเดสลีย์พบว่า หลายครั้ง ความทรงจำส่วนตัวจะมามีผลต่อการทำงานของเขา เขาตั้งข้อสังเกตว่า “ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในช่วงเดียวกับเอ็มและเด็กซ์ มันก็เลยเหมือนการย้อนเวลาครับ ผมหยิบรูปเก่าๆ ออกมาดูเพื่อหาแรงบันดาลใจ บางครั้ง การเดินเข้าไปในฉากที่ตกแต่งเสร็จแล้วก็ให้ความรู้สึก…พิลึกครับ”
   เดวิด นิโคลส์กล่าวเห็นพ้องด้วย “การได้เห็นแง่มุมของชีวิตเราถูกจำลองออกมาเป็นเรื่องแปลกพิลึกครับ ห้องนอนสมัยเรียนของเอ็มมาคล้ายกับห้องที่ผมจำได้ ความสมจริงและการใส่ใจรายละเอียดจากอพาร์ทเมนต์ของมาร์คและจากโลนทำให้ผมประทับใจมาก”
   “ถ้าผมอยู่ในแผนกศิลป์ และรู้ว่าอะไรจะไม่ปรากฏอยู่ในช็อตนั้นๆ ผมคงจะไม่ไปสนใจมันหรอกครับ แต่พวกเขาไม่คิดอย่างนั้น”
   ในการทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์ เชอร์ฟิกได้เรียกใช้งานอีกคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกับเธอมาใน An Education เขาก็คือมือลำดับภาพบาร์นีย์ พิลลิง ผู้เริ่มงานของเขาตั้งแต่การถ่ายทำยังไม่เสร็จดี ด้วยความเข้าใจระหว่างกันระหว่างเขาและเธอ และคอมโพสเซอร์เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ราเชล พอร์ทแมน
   ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของพอร์ทแมนถูกเสริมด้วยเพลงประกอบที่ถ่ายทอดสิ่งที่เด็กซ์และเอ็มจะได้ยินระหว่างการใช้ชีวิตและยุคสมัยต่างๆ ภายใต้การดูแลของคาเรน เอลเลียต ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดนตรี รวมไปถึงโบนัสด้านดนตรีของเรื่อง เอลวิส คอสเตลโล นักร้อง/นักแต่งเพลงในตำนาน ผู้ซึ่งผลงานของเขาได้รับการยกย่องมานานหลายทศวรรษ ได้เห็นคัทเริ่มแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ คอสเตลโลประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้จนเขาได้แต่งเพลงขึ้นมาในชื่อ “Sparkling Day” ที่เขาแต่งเนื้อร้องและทำนองเอง และขับร้องโดยเขาและวงเดอะ อิมโพสเตอร์สของเขาเอง “มันเป็นเพลงที่ไพเราะมากค่ะ” เชอร์ฟิกกล่าวชื่นชม

happy on July 24, 2011, 01:52:42 PM
ประวัตินักแสดง

แอนน์ แฮตธาเวย์ Anne Hathaway (เอ็มมา)
   แอนน์ แฮตธาเวย์ ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลสมาพันธ์นักแสดงและรางวัลสปิริต อวอร์ดจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยโจนาธาน เดมม์เรื่อง Rachel Getting Married นอกเหนือจากนั้น เธอยังได้รับรางวัลคริติกส์ ชอยส์ มูฟวี อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ชิคาโกสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่องดังกล่าวอีกด้วย
   ก่อนหน้านี้ เธอเป็นที่จดจำจากการแสดงประกบเมอริล สตรีพในภาพยนตร์โดยเดวิด แฟรงเคลเรื่อง The Devil Wears Prada เธอและเพื่อนร่วมแสดงของเธอจากภาพยนตร์ที่กวาดรางวัลอคาเดมี อวอร์ดของอัง ลีเรื่อง  Brokeback Mountain (สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์สด้วยเช่นกัน) ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแฮตธาเวย์ได้แก่ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฮิตเช่นภาพยนตร์โดยแกร์รี มาร์แชลเรื่อง The Princess Diaries, The Princess Diaries 2: Royal Engagement และ Valentine’s Day, ภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่องAlice in Wonderland และภาพยนตร์โดยปีเตอร์ ซีกัลเรื่อง Get Smart เธอรับบทนักเขียนเลื่องชื่อ เจน ออสเตนในภาพยนตร์โดยจูเลีย จาร์โรลด์เรื่อง  Becoming Jane และได้พากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันสองเรื่องได้แก่ Hoodwinked โดยโครีและท็อดด์ เอ็ดเวิร์ดส์และโทนี ลีชและภาพยนตร์โดยคาร์ลอส ซัลดันฮาเรื่อง Rio นอกจากนี้ ผลงานการพากย์เสียงรับเชิญในเอพิโซดหนึ่งของ The Simpsons ก็ทำให้เธอได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดด้วย
   นอกจากนี้ คอภาพยนตร์ยังได้เห็นเธอในภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิคเรื่อง Love and Other Drugs ซึ่งทำให้เธอได้ร่วมงานกับเจค จิลเลนฮัลแห่ง Brokebrack Mountain อีกครั้งหนึ่ง และทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, ภาพยนตร์โดยแกรี วินิคเรื่อง Bride Wars ที่เธอแสดงประกบเคท ฮัดสัน, ภาพยนตร์โดยทอมมี โอ’ เฮเวอร์เรื่อง Ella Enchanted และภาพยนตร์โดยดักกลาส แม็คกราธเรื่อง Nicholas Nickleby เธอได้รับความสนใจจากแวดวงบันเทิงเป็นครั้งแรกจากการแสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Get Real ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลทีนชอยส์ อวอร์ด
   คอละครเวทีได้เห็นเธอในละครโปรดักชันของเชคสเปียร์ อิน เดอะ ปาร์คของแดเนียล ซัลลิแวนเรื่อง Twelfth Night และในละครโปรดักชันของอังกอร์ส! เรื่อง Carnival ที่จัดแสดงที่ลินคอล์น เซ็นเตอร์และกำกับโดยแคธลีน มาร์แชล ละครเรื่องนี้ทำให้ฮาธาเวย์ได้รับรางวัลแคลเรนซ์ เดอร์เวนท์ อวอร์ด นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงในอังกอร์ส! คอนเสิร์ต กาล, สตีเฟน ซอนด์เฮม เบิร์ธเดย์ กาลา และ (อยู่ระหว่างเวิร์คช็อป) ละครโดยแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์เรื่อง The Woman in White อีกด้วย
   เธอให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อมนุษยชนหลายกิจกรรม และเคยเดินทางไปกัมพูชาเพื่อทำงานในโปรเจ็กต์สารคดีเรื่อง A Moment in the World มาแล้ว เธอมีส่วนร่วมกับสเต็ป อัพ วีเมนส์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับแหล่งทรัพยากรภายในชุมชนสำหรับผู้หญิงและเด็กสาว และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาของโลลลิป็อป เธียเตอร์ เน็ตเวิร์ค ซึ่งจัดฉายภาพยนตร์ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเด็ก ที่ป่วยเรื้อรังหรือเป็นโรคร้ายแรง
   แฮตธาเวย์ศึกษาด้านการแสดงที่เปเปอร์ มิลล์ เพลย์เฮาส์ในนิวเจอร์ซีย์ และได้ร่วมงานกับแบร์โรว์ กรุ๊ปในนิวยอร์ก ซิตี้ในเดือนเมษายน ปี 2005 ซึ่งหน่วยงานหลังนี้ก็ได้ยกย่องความสำเร็จของเธอ โดยเธอเป็นวัยรุ่นคนแรกและคนเดียวที่ได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาในหลักสูตรการแสดงที่เข้มข้นของพวกเขา นอกจากนี้ เธอยังได้ศึกษาในหลักสูตรละครมิวสิคัลของโปรเจ็กต์ศิลปะร่วมใจ (ซีเอพี 21) ซึ่งเป็นโครงการที่ร่วมกับมหาวิทยาลัยนิวยอร์กอีกด้วย เธอเป็นแดนเซอร์ฝีมือดี โดยเธอเคยศึกษาที่บรอดเวย์ แดนซ์ เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก ซิตี้ และเป็นนักร้องโซปราโนลำดับที่หนึ่ง โดยเธอเคยแสดงในคอนเสิร์ตสองครั้งที่คาร์เนจี้ ฮอลในฐานะสมาชิกของคณะนักร้องประสานเสียงออลอีสเทิร์น ยูเอส ไฮสคูล ออเนอร์ส คอรัสอีกด้วย
   เมื่อเร็วๆ นี้ เธอเพิ่งร่วมทำหน้าที่เป็นพิธีกรการถ่ายทอดสดพิธีประกาศผลรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่ 83 กับเจมส์ ฟรังโก้ และปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ที่เป็นที่รอคอยของคนทั่วโลกที่กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง The Dark Knight Rises ซึ่งเธอรรับบทเซลินา ไคล์ประกบคริสเตียน เบลในบทบรูซ เวย์น

   จิม สเตอร์เกสส์ Jim Sturgess (เด็กซ์เตอร์)
   หลังจากแจ้งเกิดจากบทตัวละครเอก จู๊ด ฟีนีในภาพยนตร์โดยจูลีย์ เทย์เมอร์ที่มีการนำบทเพลงของบีทเทิลส์มาประกอบเรื่อง  Across the Universe จิม สเตอร์เกสส์ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงมากความสามารถที่สุดของวงการบันเทิง ที่มีผลงานภาพยนตร์หลายแนว
   หลังจากมิวสิคัลเรื่องดังนั้น เขาก็ได้รับบทนำในดรามาฮิตโดยโรเบิร์ต ลูเคติคเรื่อง 21 ประกบเคท บอสเวิร์ธ และผู้อำนวยการสร้างเควิน สเปซีย์และภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของ IRA โดยคารี สค็อกแลนด์เรื่อง Fifty Dead Men Walking ที่แสดงประกบเบน คิลส์ลีย์ และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักวิจารณ์ภาพยนตร์แวนคูเวอร์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ภาพยนตร์โดยจัสติน แช็ดวิคเรื่อง The Other Boleyn Girl ที่แสดงประกบนาตาลี พอร์ทแมนและสการ์เล็ตต์ โยฮันสัน, ภาพยนตร์โดยเวย์น เครเมอร์เรื่อง Crossing Over และได้พากย์เสียงภาพยนตร์โดยแซ็ค สไนเดอร์เรื่อง Legend of the Guardians: The Owls of Ga’Hoole
   สเตอร์เกสส์ได้รับรางวัลแฟนทาสปอร์โต สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโอปอร์โตปี 2010 จากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยฟิลิป ริดลีย์เรื่อง Heartless ล่าสุด เขาได้แสดงประกบเอ็ด แฮร์ริส, เซียร์ชา โรแนนและโคลิน ฟาร์เรล ในภาพยนตร์อีพิคผจญภัยโดยปีเตอร์ เวียร์เรื่อง The Way Back
   หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงประกบเคิร์สเตน ดันส์ในภาพยนตร์โรแมนติกแฟนตาซีโดยฮวน ดิเอโก้ โซลานัสเรื่อง Upside Down
   ในปี 2008 นิตยสารเอ็มไพร์ยกย่องสเตอร์เกสส์ให้เป็นผู้เข้าชิงรางวัลเจมส์สัน เอ็มไพร์ มูฟวี อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

   แพทริเซีย คลาร์คสัน Patricia Clarkson (อลิสัน)
   แพทริเซีย คลาร์คสัน เจ้าของรางวัลเอ็มมี อวอร์ดและผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในปัจจุบัน
   ผลงานสดใหม่อย่างต่อเนื่องของคลาร์คสันในแวดวงภาพยนตร์อินดีทำให้เธอได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ อวอร์ดสาขาการแสดงยอดเยี่ยมจากงานโชเวสต์ อวอร์ดปี 2009 ในปี 2003 การแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยปีเตอร์ เฮดเจสเรื่อง Pieces of April ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลสมาพันธ์นักแสดง รางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาสต์ รางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริตและรางวัลอคาเดมี อวอร์ด สมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติและสมาคมนักวิจารณ์แห่งชาติได้ยกย่องเธอให้เป็นนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมแห่งปีจากผลงานของเธอใน Pieces of April และภาพยนตร์โดยโธมัส แม็คคาร์ธีเรื่อง The Station Agent ผลงานของเธอในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง บวกกับการแสดงของเธอในภาพยนตร์โดยเดวิด กอร์ดอน กรีนเรื่อง All the Real Girls ทำให้เธอได้รับรางวัลจูรี ไพรซ์สาขาการแสดงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2003
   ล่าสุด เธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามจากการแสดงนำในภาพยนตร์โดยรูบา นัดดาเรื่อง Cairo Time ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แคนาดายอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตและได้แสดงประกบเอ็มมา สโตนและสแตนลีย์ ตุชชีในภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศโดยวิลล์ กลัคเรื่อง Easy A เธอได้กลับมาร่วมงานกับผู้กำกับคนหลังอีกครั้งในภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง Friends with Benefits
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคลาร์คสันได้แก่ภาพยนตร์โดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง Shutter Island, ภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง Whatever Works และ Vicky Cristina Barcelona, Blind Date ประกบผู้กำกับสแตนลีย์ ตุชชี, ภาพยนตร์โดยอิซาเบล คัวเซ็ทเรื่อง Elegy, ภาพยนตร์โดยสก็อตต์ ฮิคส์เรื่อง No Reservations, ภาพยนตร์โดยสตีเวน ไซเลียนเรื่อง  All the King’s Men, ภาพยนตร์โดยเคร็ก กิลเลสพายเรื่อง Lars and the Real Girl, ภาพยนตร์โดยจอร์จ คลูนีย์เรื่อง Good Night, and Good Luck ซึ่งทำให้เธอและทีมนักแสดงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงและรางวัลก็อทแธมสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยท็อดด์ เฮย์เนสเรื่อง  Far from Heaven สำหรับโฟกัส ฟีเจอร์สด้วยเช่นกัน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เธอได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์แห่งชาติ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยโรส ทรอชเรื่อง  The Safety of Objects ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลอเมริกัน ซีเนมา อวอร์ดสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลโดวิลล์, ภาพยนตร์โดยฌอน เพนน์เรื่อง  The Pledge, ภาพยนตร์โดยแฟรงค์ ดาราบอนท์เรื่อง The Green Mile ซึ่งทำให้เธอและทีมนักแสดง ซึ่งรวมถึงทอม แฮงค์และเจมส์ ครอมเวลได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยลิซา โชโลเดนโกเรื่อง High Art ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์โดยโจ จอห์นสตันเรื่อง  Jumanji, ภาพยนตร์โดยแดเนียล เพทรีเรื่อง Rocket Gibraltar และภาพยนตร์โดยไบรอัน เดอ พัลมาเรื่อง The Untouchables
   ด้านจอแก้ว เธอได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ดังเรื่อง Six Feet Under ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดในปี 2002 และ 2006 ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่หลายเอพิโซดในซีรีส์ Frasier, บทประจำในซีรีส์ Murder One และใน Saturday Night Live มิวสิค วิดีโอ “Motherlover” ที่น่าจดจำ
   คลาร์คสันเกิดและเติบโตในนิวออร์ลีนส์ เธอแสดงในละครเวทีของโรงเรียนตั้งแต่วัยรุ่น หลังจากศึกษาด้านวาทศาสตร์จากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนามาสองปี เธอก็ย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮมในนิวยอร์ก ที่ซึ่งเธอสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งสาขาศิลปะการละคร เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากเยล สคูล ออฟ ดรามา ที่ซึ่งเธอได้แสดงละครเรื่อง Electra, Pacific Overtures, Pericles, La Ronde, The Lower Depths และ The Misanthrope
   คลาร์คสันเปิดตัวในโลกการแสดงบนเวทีนิวยอร์ก ที่นั่น เธอได้แสดงละครบรอดเวย์และออฟบรอดเวย์เรื่อง Eastern Standard, ละครชื่อดังโดยนิคกี้ ซิลเวอร์เรื่อง Maidens Prayer ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิลและรางวัลดรามา เดสก์ อวอร์ดและ Raised in Captivity, Oliver Oliver, ละครโดยเจอร์รี แซ็คส์ ที่จัดแสดงที่ลินคอล์น เซ็นเตอร์ The House of Blue Leaves โดยจอห์น กัวร์และละครหลายเรื่องโดยริชาร์ด กรีนเบิร์ก ซึ่งรวมถึง Three Days of Rain ผลงานละครเวทีในท้องถิ่นของเธอได้แก่การแสดงในเทศกาลละครวิลเลียมส์ทาวน์, เซาธ์ โคสต์ รีเพอร์ทอรีและเยล รีเพอร์ทอรี
   
เคน สก็อตต์ Ken Stott (สตีเวน)
   ผลงานเรื่องถัดไปของเคน สก็อตต์คือเวอร์ชันภาพยนตร์สองตอนของเรื่อง The Hobbit ที่กำกับโดยปีเตอร์ แจ็คสัน
   ผู้ชมเคยเห็นเขามาแล้วในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นภาพยนตร์โดยแดนนี บอยล์เรื่อง Shallow Grave, ภาพยนตร์โดยไมค์ นิโคลส์เรื่อง Charlie Wilson’s War, ภาพยนตร์โดยเอส.เจ. คลาร์คสันเรื่อง Toast, ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์โดยเดวิด เยทส์ ที่ได้รับหลายรางวัลเอ็มมีเรื่อง The Girl in the Café, ภาพยนตร์โดยแสลซี ฮอลสตรอมเรื่อง Casanova, ภาพยนตร์โดยอังตวน ฟูกัวเรื่อง King Arthur, ภาพยนตร์โดยไมค์ ฮ็อดเจสเรื่อง I’ll Sleep When I’m Dead, ภาพยนตร์โดยอันนันด์ ทัคเกอร์เรื่อง Saint-Ex, ภาพยนตร์โดยเจค สก็อตต์เรื่อง Plunkett & Macleane, ภาพยนตร์โดยจิม เชอริแดนเรื่อง The Boxer, ภาพยนตร์โดยบิลล์ ฟอร์ซิธเรื่อง Being Human นอกจากนี้ เขายังได้แสดงประกบริชาร์ด อี. แกรนท์ในภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดโดยปีเตอร์ คาปัลดีที่สร้างจากเรื่อง It’s a Wonderful Life โดยฟรานซ์ คัฟก้าอีกด้วย
   สก็อตต์เป็นที่รู้จักดีจากการรับบทนักสืบตัวเอกในดรามาเรื่อง Rebus รวมไปถึงการแสดงในซีรีส์ Messiah และ The Vice ผลงานจอแก้วอังกฤษเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจของเขาได้แก่ ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์โดยริชาร์ด แล็กซ์ตันเรื่อง Hancock & Joan ซึ่งเขารับบทนักแสดงตลกชื่อดัง โทนี แฮนค็อก, ภาพยนตร์โทรทัศน์โดยนิโคลัส เรนตันเรื่อง Uncle Adolf ซึ่งเขารับบทตัวเอกของเรื่องและมินิซีรีส์คลาสสิกเรื่อง The Singing Detective ที่เขียนบโดยเดนนิส พ็อตเตอร์และกำกับโดยจอน เอมีล
   สก็อตต์ เป็นนักแสดงที่คร่ำหวอดในวงการละครเวที เขาได้แสดงละครหลายเรื่องที่รอยัล เนชันแนล เธียเตอร์ ซึ่งรวมถึง The Recruiting Officer ที่กำกับโดยนิโคลัส ไฮท์เนอร์ และทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ดและละครโดยอาร์เธอร์ มิลเลอร์เรื่อง Broken Glass ที่กำกับโดยเดวิด แธ็คเกอร์และทำให้เขาได้รับรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด
   ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ละครโดยลินด์ซีย์ พอสเนอร์เรื่อง A View from the Bridge โปรดักชันของอะ ดุค ออฟ ยอร์ค และการแสดงที่รอยัล คอร์ทเรื่อง American Bagpipes, 1953, Colquhoun & Macbryde, และ  The Misanthrope (ที่ยังวิค), ละครโดยเทอร์รี แฮนด์ส โปรดักชันของรอยัล เชคสเปียร์ คัมปะนีเรื่อง Henry IV, Parts 1 และ 2 และ The Merry Wives of Windsor, ละครโดยฟรังโก้ เซฟฟิเรลลีเรื่อง Filumena ที่ร่วมแสดงโดยโจน โพลว์ไรท์และแฟรงค์ ฟินเลย์, Hamlet ที่กำกับโดยโจนาธาน มิลเลอร์, Oklahoma! ที่จัดแสดงโดยเจมส์ แฮมเมอร์สไตน์, The Rose Tattoo ภายใต้การกำกับของปีเตอร์ ฮอลและละครโดยยัสมินา เรซา โปรดักชันลอนดอนและบรอดเวย์เรื่อง God of Carnage ซึ่งกำกับโดยแมทธิว วอร์ชัส