happy on June 23, 2011, 04:16:42 PM
WATER FOR ELEPHANTS / มายารัก ละครสัตว์


WATER FOR ELEPHANTS / มายารัก ละครสัตว์

นักแสดง - โรเบิร์ต แพททินสัน, รีส วิทเธอร์สพูน, คริสทอฟ วอลท์ซ

ผู้กำกับ - ฟรานซิส ลอว์เรนซ์

ประเภท - โรแมนติก / ดราม่า

กำหนดเข้าฉาย 21 กรกฏาคม เฉพาะที่ APEX และเครือ SF CINEMA


สร้างจากนิยายขายดี เรื่องราวความรักอันแสนโรแมนติกของเจค็อบ นักศึกษาสัตวแพทย์ ที่ต้องทิ้งอนาคตไปหลังจากพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เจค็อบใช้ชีวิตพเนจรไปกับคณะละครสัตว์ ซึ่งทำให้เขาได้พบและตกหลุมรักกับมาร์เลน่า สาวสวยดาวจรัสแสงของคณะละครสัตว์ ทั้งคู่ได้ร่วมกันดูแลช้างเชือกหนึ่ง และช่วยเหลือให้ช้างเชือกนี้ รอดพ้นจากการถูกมนุษย์นำไปใช้เพื่อการพนัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูสวยงามท่ามกลางความรักของพวกเขา แต่กลับสร้างความโกรธแค้นให้กับแองกัส สามีของมาร์เลน่าที่ต้องทนเห็นภรรยาตัวเองไปรักกับชายอื่น เจค็อบและมาร์เลน่าจะฝ่าฟันอุปสรรคครั้งนี้ได้อย่างไร




« Last Edit: July 10, 2011, 03:06:18 PM by admin »

admin on July 08, 2011, 02:43:21 PM
Water for Elephants

               Water for Elephants สร้างจากนวนิยายขายดีอันดับหนึ่งที่เล่าเรื่องราวของความรักต้องห้ามในแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยการผจญภัย ความพิศวง และภยันตราย



เจค็อบ นักศึกษาสัตวแพทย์ที่ชีวิตพลิกผัน พบและตกหลุมรัก มาร์เลน่า ดาวเด่นแห่งคณะละครสัตว์โบราณ พวกเขาได้ค้นพบความงามท่ามกลางโลกละครสัตว์และความรักต่อช้างพิเศษตัวหนึ่ง ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย รวมถึงความโกรธแค้นของ ออกัส สามีผู้มีเสน่ห์ทว่าอันตรายของมาร์เลน่า เจค็อบก็ช่วยมาร์เลน่าออกจากชีวิตที่ไร้ซึ่งความสุขและทั้งคู่ก็ค้นพบความรักอันยืนยาว

เมื่อนวนิยายเรื่อง Water for Elephants ของซาร่า กรูเอน วางแผงในปี 2006 ก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามโดยอยู่ในรายชื่อหนังสือขายดีของ New York Times นานถึง 12 สัปดาห์ และยังขายดีติดอันดับต่อไปในรูปแบบปกอ่อน ผู้อ่านทั่วโลกตอบรับแง่มุมต่างๆ ของตัวละครของกรูเอน ทั้งความสนุก ความรัก การไถ่บาป และความท้าทาย “Water for Elephants พูดถึงความรักในทุกรูปแบบ ทั้งระหว่างชาย-หญิง, ครอบครัว และระหว่างคนกับสัตว์” กรูเอนกล่าว “มันพูดถึงวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันและกัน บางรั้งเราก็ทำดีต่อกัน แต่บางครั้งก็ไม่”

รีส วิทเทอร์สปูน ก็เป็นแฟนคนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ด้วย “มันเป็นเรื่องราวที่กินใจเกี่ยวกับความรัก, ความหวัง, การไถ่บาป, โอกาสที่สอง และการค้นหาความสุข” นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์กล่าว “ฉันถูกดึงเข้าไปในโลกที่ซาร่าสร้างขึ้น” ปีต่อมาวิทเทอร์สปูนก็ได้รับบทนางเอกของหนังสือเล่มนี้ “มาร์เลน่า” ดาวเด่นในคณะละครสัตว์คณะหนึ่งที่กำลังหมดความนิยม มาร์เลน่าเป็นนักแสดงที่สวย เป็นธรรมชาติและสง่างาม เธอมีดวงตาและเส้นผมที่เปล่งประกาย ผิวพรรณงดงาม เครื่องประดับสีชมพูระยิบระยับทำให้เธอดูแวววาวจับตา และเธอยังมีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์อีกด้วย แต่ชีวิตส่วนตัวของมาร์เลน่ากลับตรงข้ามกับความสุขที่เธอค้นพบในการแสดง เธอติดอยู่ในชีวิตคู่ที่ทรมานและซับซ้อนกับ “ออกัส” ผู้ควบคุมการแสดงและเจ้าของคณะละครสัตว์ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกสง่างามและมีเสน่ห์ เขาสามารถโปรยเสน่ห์และดึงดูดคนได้ แต่ก็สามารถทำร้ายคนได้เช่นเดียวกัน

พระเอกสุดหล่อจาก Twilight โรเบิร์ท แพตตินสัน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชมตัวละครและโลกของกรูเอน “มีคนส่งหนังสือมาให้ผมอ่านและผมก็อินกับมันทันทีเลย” แพตตินสันเล่า จากนั้นเขาก็ตกลงรับบทเป็น เจค็อบ แจนโควสกี ผู้ประสบโศกนาฏกรรมในชีวิตและออกเดินทางอย่างไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ กระทั่งได้ขึ้นรถไฟสายหนึ่งที่พาเขาไปยังบ้านของคณะละครสัตว์เบนซินี่บราเธอร์ และทำให้เขาได้พบกับมาร์เลน่า พร้อมกับเรื่องราวความรักและโชคชะตาที่ทั้งคู่ไม่คาดคิด

หลังจากหนังสือวางแผงไม่นาน ตัวละครที่แสนรักเหล่านี้ก็เริ่มเดินหน้าจากหน้ากระดาษสู่จอเงิน ช่วงปลายปี 2008 ผุ้อำนวยการสร้าง จิล เน็ตเตอร์ (Marley & Me) ได้ติดต่อผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (I am Legend) เพื่อสร้าง Water for Elephants เป็นภาพยนตร์ “ผมอ่านหนังสือรวดเดียวจบ” ลอว์เรนซ์เล่า “มันเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ และเรื่องราวก็เกิดขึ้นในโลกที่สวยงามและมีรายละเอียด ผมชอบตัวละครและอารมณ์ของเรื่อง”

ลอว์เรนซ์ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างมาร์เลน่าและเจค็อบ รวมถึงการสร้างโลกมหัศจรรย์ที่กรูเอนสร้างไว้อย่างละเอียดในหนังสือ “ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์เลน่าและเจค็อบที่เราสร้างขึ้นในหนังเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบที่สุด” เขาอธิบาย “มันเป็นการปะทุอย่างช้าๆ และสวยงาม ผมคิดว่าเจค็อบตกหลุมรักมาร์เลน่าทันทีเพราะความสวย, เวทย์มนตร์, ความแข็งแกร่งและความมั่นใจของเธอ แต่มาร์เลน่าปิดกั้นตัวเอง เธอไม่ค่อยไว้ใจใครเท่าไหร่นัก เจค็อบเริ่มทำลายกำแพงนั้นและกลายเป็นคนที่มาร์เลน่าไม่คาดคิดมาก่อนในโลกของเธอ ผมว่าเธอคงตกหลุมรักความดีของเจค็อบ”

นอกจากตัวละครแล้ว ลอว์เรนซ์ยังหลงเสน่ห์ละครสัตว์ด้วย “ผมชอบละครสัตว์ โดยเฉพาะละครสัตว์ยุค 1920 และ 1930 เขาบอกว่า “มันมีบางอย่างที่พิเศษ รถไฟไอน้ำ เต้นท์ผ้าใบสวยสด นักแสดงสง่างาม และสัตว์หน้าตาแปลกๆ”

ลอว์เรนซ์และผู้อำนวยการสร้าง เออร์วิน สตอฟฟ์ นำโปรเจ็คต์นี้ไปเสนอมือเขียนบทชื่อดัง ริชาร์ด ลากราเวนีส ผู้เข้าชิงออสการ์จาก The Fisher King เพื่อให้เขาดัดแปลงหนังสือของกรูเอนให้เป็นบทภาพยนตร์ พวกเขาตระหนักถึงความท้าทายและความรับผิดชอบของการนำเรื่องราวและตัวละครแสนรักในหนังสือ 400 หน้ามาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ที่นำไปใช้ได้ ลอว์เรนซ์อธิบายว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร่วมงานกับมือเขียนบทเพื่อดัดแปลงหนังสือ ความตั้งใจของเราคือพยายามรักษาแก่นเรื่องและโทนเรื่องเอาไว้ มีบางตอนในหนังสือที่สำคัญและต้องเก็บไว้ในหนัง แต่ส่วนหนึ่งของความสนุกอยู่ที่การตีความหนังสือและสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ ด้วย”

ลากราเวนีสกล่าวว่า “เมื่อหนังสือเป็นที่ชื่นชอบ สิ่งสำคัญคือต้องรักษาสิ่งที่คนอ่านคาดหวังว่าจะได้เห็นเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่า เวลาอ่านหนังสือ คุณจะเห็นและได้ยินตัวละครในจินตนาการ ซึ่งจินตนาการของแต่ละคนก็หลากหลายไม่เหมือนกัน แต่เมื่อคุณดูเรื่องนี้ในรูปแบบหนังที่คนจริงแสดง มันจะกลายเป็นรูปแบบเดียว ไม่มีอะไรให้ต้องจินตนาการ และก็มีความคิดหลายอย่างที่เหมาะสำหรับหนังสือ แต่ไม่เหมาะกับการเอาขึ้นจอใหญ่”

ในการทำงานภายใต้การนำของลอว์เรนซ์ ลากราเวนีสต้องเขียนร่างบทหลายร่าง เป้าหมายก็คือ “การทำให้ตัวละครทั้งสามตัวมีพลังมากขึ้น และสร้างภูมอหลังของมาร์เลน่าและออกัสขึ้นใหม่ เราอยากให้ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลรองรับ เพราะฉะนั้นถ้าพูดแง่จริยะธรรม การตัดสินว่าใครผิดใครถูกเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่มีใครบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”

รีส วิทเทอ์สปูน ปิ๊งความคิดนี้ “ออกัสเจอมาร์เลน่าครั้งแรกตอนนำคณะละครมาเปิดแสดงในเมืองที่เธออยู่ ตอนนั้นเธอทำงานเป็นสาวเย็บผ้า” วิทเทอร์สปูนกล่าว “เขาหลงใหลเธอและชวนเธอไปอยู่ในคณะละครและสอนให้เธอแสดง” มาร์เลน่าพลิกชีวิตจากความยากจนสู่ความหรูหราและโด่งดัง แต่ก็ต้องเผชิญผลลัพธ์ที่ตามมา ออกัสเองก็ไม่มีครอบครัว เขาสร้างชีวิตให้ตัวเองด้วยการปลุกคณะละครสัตว์ที่กำลังจะตายขึ้นมา

การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของหนังสืออย่างหนึ่งคือการรวมตัวละคร ออกัส สามีของมาร์เลน่าซึ่งในหนังสือเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสัตว์ เข้ากับลุงอัล เจ้าของคณะละครสัตว์ผู้ดุดัน “การรวมสองตัวละครนี้เข้าด้วยกันยิ่งทำให้ตัวละครออกัสอันตรายขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว” ลากราเวนีสกล่าว เขายังใส่ฉากที่เจค็อบตอนแก่ (รับบทโดยนักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ฮาล ฮอลบรู๊ค) นึกถึงเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับคณะละครสัตว์เบนซนี่บราเธอร์และความสัมพันธ์อันยาวนานของเขากับมาร์เลน่า




« Last Edit: July 08, 2011, 03:40:20 PM by admin »

admin on July 08, 2011, 03:38:04 PM
เกี่ยวกับนักแสดง

รีส วิทเทอร์สปูน
(มาร์เลน่า)


                รีส วิทเทอร์สปูน นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ได้สร้างตัวละครที่น่าจดจำมากมายทั้งในหมู่นักวิจารณ์และผู้ชม ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงหญิงที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด

สุดยอดการแสดงของเธอในบท จูน คาร์เตอร์ แคช ประกบ วาคิน ฟีนิกซ์ ในภาพยนตร์ดราม่าจากทเวนตี้เซนจูรี่ฟ็อกซ์เรื่อง “Walk the Line” ทำให้เธอคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาประจำปี 2006 ครองได้สำเร็จ รวมถึงรางวัล BAFTA, ลูกโลกทองคำ, Screen Actors Guild Awards,New York Film Critics Award, Broadcast Film Critics Award, People’s Choice Award และรางวัลอื่นๆ อีกกว่า 11 รางวัล

ตั้งแต่ปี 2007 วิทเทอร์สปูนดำรงตำแหน่งทูต Avon และประธานกิตติมศักดิ์มูลนิธิ Avon เพื่อสตรี ด้วยความตระหนักถึงสิทธิและพลังของสตรี ทั้งยังสนับสนุนกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี แม้จะไม่ค่อยมีข่าวเรื่องการทำงานการกุศลของเธอออกสื่อ แต่วิทเทอร์สปูนได้อุทิศตัวช่วยเหลือศูนย์บำบัดเหยื่อจากการถูกข่มขืนที่ศูนย์การแพทย์ UCLA เมืองซานตามอนิก้า และองค์กรช่วยเหลือเยาวชน อีกทั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมการกองทุนคุ้มครองเยาวชนมาเป็นเวลาหลายปี โดยได้ช่วยรวบรวมเงินบริจาคและประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของกองทุน ปีที่แล้ววิทเทอร์สปูนเดินทางไปยังรัฐนิวออร์ลีนส์พร้อมกับกลุ่มสตรีเพื่อเปิดโรงเรียนอิสระ “Freedom School” แห่งแรกที่นั่น ตั้งแต่นั้นมาพวกเธอได้บริจาคศูนย์ชุมชนกว่า 13 แห่งในบริเวณนั้น

ล่าสุดวิทเทอร์สบูนปรากฎตัวในภาพยนตร์โรแมนติคคอเมดี้เรื่อง “How Do You Know” ว่าด้วยรักสามเส้านักกีฬาซอฟต์บอลอาชีพ ลิซ่า จอร์เกนสัน, ผู้บริหารบริษัท และนักเบสบอล หนังกำกับโดยผู้กำกับและมือเขียนบทเจ้าของรางวัลออสการ์ เจมส์ แอล บรู๊ค และนำแสดงโดย รีส วิทเทอร์สปูน, โอเว่น วิลสัน, พอล รัดด์ และแจ็ค นิโคลสัน

ผลงานก่อนหน้านั้นของเธอคือ “Monster vs. Aliens” ที่เธอพากย์เสียงตัวละคร ซูซาน เมอร์ฟี่ ผู้กลายร่างเป็นสาวร่างยักษ์ ”จินอร์มิก้า” หลังจากที่โลกถูกอุกกาบาตชน เธอถูกจับตัวไปยังฐานลับที่ซึ่งเธอได้พบกับสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ ประธานาธิบดีได้ขอความช่วยเหลือจากทีมอสูรกายยักษ์เหล่านี้ให้กู้โลกจากการถูกมนุษย์ต่างดาวทำลายล้าง

ก่อนหน้านั้นวิทเทอร์สปูนประกบ วินซ์ วอห์น ในภาพยนตร์คอเมดี้จากค่ายนิวไลน์เรื่อง “Four Christmases” ที่เล่าเรื่องของคู่รักคู่หนึ่งที่ดิ้นรนไปเยี่ยมพ่อแม่ของตนเองที่แยกทางกันและพบเจอเรื่องพิลึกๆ มากมาย ถึงตอนนี้หนังโกยรายได้ทั่วโลกไปทั้งหมด 156 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และวิทเทอร์สปูนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Kids Choice Award ปี 2009 สาขานักแสดงหญิงคนโปรด

อาชีพนักแสดงของวิทเทอร์สปูนเริ่มต้นขึ้นเมื่ออายุ14 ปี ตอนนั้นเธออยากเป็นตัวประกอบให้หนังดราม่าของ โรเบิร์ท มัลลิแกน เรื่อง “The Man in the Moon” แต่จับพลัดจับผลูได้รับบทนำ ผลงานที่ผ่านมาของเธอรวมถึง  “Rendition” กำกับโดย เกวิน ฮู้ด จาก “Tsotsi” ที่ชนะรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม หนังร่วมแสดงโดย เจค จิลเลนฮาล, เมอรีล สตรีพ, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด และอลัน อาร์กิน และฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2007 วิทเทอร์สปูนรับบทเป็นวิญญาณสาวที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองตายในหนังโรแมนติคคอเมดี้เรื่อง “Just Like Heaven” และรับบทสาวสวยที่ไต่เต้าสู่วงสังคม “เบ็คกี้ ชาร์ป” ซึ่งเป็นบทบาทที่ตรึงใจทุกคนในภาพยนตร์ของ มิรา แนร์ เรื่อง “Vanity Fair” ที่สร้างจากวรรณกรรมอังกฤษซึ่งประพันธ์โดยแธ็คเกอร์รี่ อีกทั้งยังกุมหัวใจสาวทั่วโลกจากการแสดงอันน่ารักน่าชังในบท “แอล วู้ด” ใน “Legally Blonde” รวมถึงภาคต่อ “Legally Blonde 2: Red, White and Blond” ที่เธอควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย โดยในภาคสองนั้นทนายสาวตะลุยวอชิงตันเพื่อปกป้อง “บรูเซอร์” ชิวาว่าสุดที่รัก

ผลงานอื่นๆ ของวิทเทอร์สปูนได้แก่ “Sweet Home Alabama” ซึ่งถือเป็นหนังที่มีตัวละครนำเป็นผู้หญิงที่เปิดตัวดีที่สุดในขณะนั้น, “Election” ในบท “เทรซี่ ฟลิค” นักเรียนสาวที่ไม่ค่อยเข้าเรียนและนำความหนักใจมาให้คุณครูอย่าง จิม แม็คอลิสเตอร์ (แมทธิว บรอเดอริก) หนังกำกับโดย อเล็กซานเดอร์ เพย์น และได้รับคำชื่นชมอย่างมากในแง่อารมณ์ขันเสียดสี กระทั่งทำให้วิทเทอร์สปูนคว้ารางวัล National Society of Film Critics และเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม นอกจากนี้เธอยังร่วมแสดงในหนังวัยรุ่นสุดคลาสสิค ”Cruel Intension” ซึ่งเธอรับบทเป็นเป้าหมายของเกมสกปรกของญาติสุดไฮโซ, ใน “Pleasant Ville” ที่เขียนบทและกำกับโดย แกรี่ รอส วิทเทอร์สปูนแสดงคู่กับ โทบี้ แม็คไกวร์ ในบทคู่พี่น้อง
ยุคใหม่ที่ติดอยู่ในโลกแห่งละครซิตคอมยุค 1950, ในปี 1995 วิทเทอร์สปูนประชันบทบาทกับ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ในภาพยนตร์ระทึกขวัญเบาๆ เรื่อง ”Fear” และได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีด้านการแสดงอย่างล้นหลามจากหนังอิสระเรื่อง “Freeway” ซึ่งเป็น “หนูน้อยหมวกแดง” ฉบับโมเดิร์นดิบๆ ที่อำนวยการสร้างโดย โอลิเวอร์ สโตน และได้ฉายครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ ก่อนนับกลับมาฉายใหม่หลายครั้งจนกลายเป็นปรากฎการณ์ของช่อง HBO

บริษัทโปรดักชั่น “Type A” ของวิทเทอร์สปูน นอกจากจะอกนวยการผลิต “Legally Blonde 2: Red”, “White and Blonde และ Four Christmases” แล้ว ยังสร้างภาพยนตร์นิทานยุคใหม่ “Penelope” ที่นำแสดงโดย คริสติน่า ริชชี่ และ เจมส์ แม็คอะวอย ด้วย



โรเบิร์ต แพตติสันส์ (เจค็อบ)

                แพตตินสันโด่งดังจากบท “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” ในภาพยนตร์แวมไพร์ภาคต่อสุดฮิต “Twilight” เขาเป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์ตอนอายุ 19 ปี จากบท “เซดริก ดิกกอรี” ตัวแทนจากฮอว์กวอร์ดที่เข้าแข่งขันในกีฬาพ่อมดใน “Harry Potter and the Global of Fire” ของผู้กำกับ ไมค์ นีเวลล์ ปีที่แล้ว แพตตินสันได้ประชันบทบาทกับเพียร์ซ บรอสแนน, คริส คูเปอร์ และเอมิลี่ เดอ เรวิน ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง “Remember Me” ที่กำกับโดยอัลเลน โคลเตอร์ และเร็วๆ นี้กับ “Bel Ami จากนวนิยายของกี เดอ โมปาสซองต์ ที่แพตตินสันรับบทนักข่าวหนุ่มน้อยในปารีสที่ถีบตัวเองขึ้นด้วยความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่สวยและทรงอิทธิพลหลายคนของเมือง ซึ่งรับบทโดยอูมาร์ เธอร์แมน, คริสติน สก็อตต์ โธมัส และคริสติน่า ริชชี่

แพตตินสันเข้าสู่วงการด้วยการประชันบท แซม เวสต์ และเบนโน เฟอร์แมน ใน “Sword of Xanten” ของอัลลี่ อิเดล อีกทั้งยังปรากฎตัวในหนังของผู้กำกับโอลิเวอร์ เออร์วิง เรื่อง “How to Be” ที่คว้ารางวัล Special Honorable Mention for Narrative Feature จากเทศกาลภาพยนตร์สแลมแดนซ์ แพตตินสันรับบทนำเป็น ซัลวาดอร์ ดาลี ใน “Little Ashes” ที่กำกับโดย พอล มอร์ริสัน ผลงานทางโทรทัศน์ รวมถึง “The Haunted Airman” ทางช่อง BBc ด้วย

แพตตินสันเป็นสมาชิกกลุ่ม Barne Theatre Group และได้รับบทนำในละครเวทีเรื่อง “Our Town” ของธอร์นตัน ไวล์เดอร์ ละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “Anything Goes” ของโคล พอร์เตอร์ และ “Tess of the D’Ubervilles” และ “Macbeth” ที่ OSO Arts Center



คริสโตเฟอร์ วอลซ์ (ออกัส) 

ฮาล ฮอลบรู๊ค (เจค็อบวัยชรา)


               เขาได้รับรางวัลเอ็มมี่ 5 รางวัลจากผลงานการแสดงทางโทรทัศน์

ในชีวิตการแสดง ฮอลบรู๊คได้แสดงเป็น มาร์ค ทเวน ทุกปี รวมถึงการแสดงในนิวยอร์คครั้งที่ 3 และครั้งที่ 5 ของเขาเมื่อปี 1977 และ 2005 และการทัวร์การแสดงรอบโลกเมื่อปี 1985 ซึ่งเป็นปีครบรอบวันเกิดปีที่ 150 ของมาร์ค ทเวน ทัวร์ครั้งหลังสุดนี้เริ่มต้นที่กรุงลอนดอนและสิ้นสุดที่กรุงนิวเดลี ฮอลบรู๊คกลับมาแสดงละครเวทีอย่า
สม่ำเสมอ ในนิวยอร์ค เขาปรากฎตัวในละครเวทีอย่าง Buried Inside Extra (1983), The Country Girl (1984), King Lear (1990), An American Daughter (1997) ส่วนผลงานละครเวทีในเมืองอื่นได้แก่ Our Town, Uncle Vanya, Merchant of Venice, King Lear, A Life in the Theater, Be my Baby และ Southern Comforts สองเรื่องหลังเขาแสดงร่วมกับอดีตภรรยา ดิกซี่ คาร์เตอร์ นอกจากนี้เขายังร่วมแสดงใน Death of a Salesman ซึ่งเดินทางไปเปิดแสดงทั่วประเทศ

ฮอลบรู๊คได้รับปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขามนุษยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอไฮโอและมหาวิทยาลัยฮาร์ทฟอร์ด,  ปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาศิลปศาสตร์จากวิทยาลัยเออร์ซินัส, ปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาอักษรศาสตร์จากวิทยาลัยเอลมิรา และปริญญามหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาศิลปกรรมศาสตร์จากวิทยาลัยเคนยอน และจากมหาวิทยาลัยเดนชั่นที่เขาจบการศึกษา ในปี 1966 เขาได้รับรางวัลเอ๊ดวินวู้ด และในปี 1998 เขาก็ได้รางวัลวิลเลี่ยมเช็คสเปียร์จากโรงละครเช็คสเปียร์ รัฐวอชิงตัน ดีซี ต่อมาในปี 2000 ฮอลบรู๊คได้รับการบันทึกชื่อใน New York Theatre Hall of Fame จากนั้นในปี 2003 เขาก็ได้รับเหรียญ National Humanities Medal จากประธานาธิบดี ล่าสุดในปี 2010 เขาได้รับเหรียญเกียรติยศจาก American Academy of Arts and Letters
« Last Edit: July 08, 2011, 03:45:41 PM by admin »

admin on July 08, 2011, 03:49:25 PM
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง

ฟรานซิส ลอว์เรนซ์
(ผู้กำกับ)

               ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของลอว์เรนซ์คือ “Constantine” ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนของเฮลเบลเซอร์ นำแสดงโดย คีอานู รีฟ และราเชล ไวซ์ ต่อมาในปี 2007 เขาได้กำกับเรื่อง “I am Legend” ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์/แอ๊คชั่น/สยองขวัญ/ไซไฟ/หายนะ ที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ ริชาร์ด แมทธีสัน และนำแสดงโดย วิล สมิธ

ลอว์เรนซ์ยังเป็นผู้กำกับมิวสิควิดีโอชื่อดังอีกด้วย เขาได้รับรางวัล Latin Grammy Award จากผลงานการกำกับมิวสิควิดีโอเพลง “Whenever Wherever” ของชากีร่า และรางวัล VMA Awards สาขามิวสิควิดีโอแห่งปีจากผลงานการกำกับมิวสิควิดีโอเพลง “Bad Romance” ของเลดี้กาก้า นอกจากนี้เขายังร่วมงานกับศิลปินดังมากมาย อาทิ เจย์ซี, บริทนี่ย์ สเปียร์, พิงค์, เกว็น สเตฟานี่, เจนนิเฟอร์ โลเปซ, แอโรสมิธ, เจเน็ท แจ็คสัน และได้รับรางวัลจากการกำกับมิวสิควิดีโออีกหลายรางวัล

สำหรับจอแก้ว ลอว์เรนซ์กำกับซีรี่ย์เรื่อง “Kings” หลายตอนและนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างบริหารด้วย


ริชาร์ด ลากราเวนีส (เขียนบท)

                ลากราเวนีสเกิดในย่านบรู๊คลินของนิวยอร์คและเข้าเรียนที่ Emerson College และ Experimental Theatre Wing ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค ผลงานการทำงานชิ้นแรกของเขาคือละครตลกเสียดสีออฟบรอดเวย์เรื่อง “A My Name is Alice” กำกับโดย โจน มิคลิน ซิลเวอร์

ผลงานการเขียนบทภาพยนตร์ของเขารวมถึง “The Fisher King” ที่กำกับโดยเทอร์รี่ กิลเลี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์, “The Ref” ที่กำกับโดย เท็ด เด็มมี่, “Unstrung Heroes” ที่กำกับโดย ไดแอน คีย์ตัน, “The Bridges of Madison County” ที่กำกับโดย คลินต์ อีสต์วู้ด, “The Mirror Has Two Faces” ที่กำกับโดย บาบาร่า สไตรแซนด์, “The Horse Whisperer ที่กำกับโดย โรเบิร์ท เรดฟอร์ด และ “Beloved” ที่กำกับโดย โจนาธาน เด็มมี่

ผลงานการกำกับและเขียนบทของลากราเวนีส ได้แก่ “Living Out Loud” ที่นำแสดงโดย ฮอลลี่ ฮันเตอร์, แดนนี่ เดอ วีโต้ และควีน ลาติฟาห์, “Paris Je t’aime” ที่นำแสดงโดย แฟนนี่ อาร์เดน และบ๊อบ ฮอสกินส์, “Freedom Writers” ที่นำแสดงโดย ฮิลลารี่ สแวงก์ และแพททริต เดมพ์ซี่ และได้รับรางวัล Humanitus สาขาบทภาพยนตร์ และ “P.S.I Love You” ที่นำแสดงโดยฮิลลารี่ สแวงก์ และเจอราร์ด บัตเลอร์

นอกจากนี้ลากราเวนีสยังกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์สารคดีให้ IFR ร่วมกับ เท็ด เด็มมี่ ผู้ล่วงลับ ชื่อเรื่อง “A Decade Under the Influence” เกี่ยวกับภาพยนตร์และคนทำหนังยุค 1970 และได้รับรางวัล National Board Review William K. Everson และเข้าชิงรางวัลเอ็มมี่สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมด้วย ลากราเวนีสยังสอนวิชาการเขียนบทภาพยนตร์ให้แก่นักศึกษาปริญญาโทที่วิทยาลัยเอเมอร์สันอีกด้วย

ผลงานการเขียนบทเรื่อง “Behind the Candelabra” ของเขาที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักแสดงและนักเปียโน “ไลเบอร์เรซ” จะเปิดกล้องในปีนี้ นำแสดงโดย ไมเคิล ดักลาส และแมต เดม่อน กำกับโดย สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก


จิล เน็ตเตอร์ (อำนวยการสร้าง)

ขณะนี้เน็ตเตอร์กำกัลอำนวยการสร้างภาพยนต์ดราม่าของค่าย Fox 200 Pictures เรื่อง “Life of Pi” ซึ่งสร้างจากนวนิยายของ ยานน์ มาร์เทล และกำกับโดย อั้ง ลี่ 

ปี 2009 เน็ตเตอร์อำนวยการสร้าง “The Blind Side” ที่ทำรายได้ถล่มทลายบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ซึ่งได้แก่ แซนดรา บุลล็อค ก่อนหน้านั้น เขาอำนวยการสร้างหนังฮิตอย่าง “Marley and Me” ที่นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน และลุค วิลสัน เขาเป็นหุ้นส่วนกับเดวิด ซัคเกอร์ ก่อตั้งบริษัท Zucker-Netter Productions ซึ่งมีผลงานภาพยนต์อย่าง Phone Booth ที่นำแสดงโดย โคลิน  ฟาร์เรล และกำกับโดย โจล ชูมัคเกอร์

เน็ตเตอร์ร่วมกับ เวย์น ไรซ์ อำนวยการสร้าง “Dude, Where’s My Car?” ที่นำแสดงโดยแอชตัน คุทเชอร์ และวิลเลี่ยม สก๊อตต์ ผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ “High School High”, “BASEketball”, “My Boss’ Daughter”, “Flicka” และหนังของพี่น้องฟาเรลลี่เรื่อง “Fever Pitch” นอกจากนี้เน็ตเตอร์ยังนั่งแท่นผู้อำนวยการสร้างบริหารของ “Eragon”ด้วย

เน็ตเตอร์นั่งเก้าอี้ประธานบริษัท Zucker Brothers Productions อยู่ 7 ปี โดยมีผลงานการอำนวยการสร้างบริหารภาพยนตร์มากมาย อาทิ “My Best Friend’s Wedding”, “First Knight”, “Naked Gun 33 1/3: Final Insult”, “Naked Gun 2: The Smell of Fear” และ “A Walk in the Clouds” เน็ตเตอร์เริ่มต้นอาชีพเป็นตัวแทนนักแสดงและนักเขียนที่ The Agency ก่อนจะเข้ามานั่งแท่นรองประธานที่บริษัท Imagine Entertainment
« Last Edit: July 11, 2011, 12:02:43 PM by admin »

admin on July 11, 2011, 12:08:22 PM
เออร์วิน สตอฟฟ์ (อำนวยการสร้าง)

ความสำเร็จในงานอำนวยการสร้างของสตอฟฟ์ถือว่าน่าประทับใจเพราะเขาประสบความสำเร็จคู่กับการเป็นผู้จัดการมากพรสวรรค์ สิบห้าปีที่ผ่านมา สตอฟฟ์ทำงานเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้อำนวยการสร้างบริหารให้แก่ภาพยนตร์อย่าง “The Matrix”, “I am Legend”, “The Day the Earth Stood Still”, “Constantine”, “Austin Powers: The Spy Who Shagged Me”, “The Lake House”, “A Scanner Darkly”, “Street Kings” และ “The Blind Side” รวมทั้งอำนวยการสร้างบริหารทีวีซีรี่ย์เรื่องดัง “Kings” ด้วย

สตอฟฟ์ก่อตั้งบริษัท 3 Arts Entertainment เมื่อ 20 ปีก่อนร่วมกับไมเคิล ร็อตเทนเบิร์ก และฮาวเวิร์ด ไคลน์ ประสบการณ์จากการอำนวยการสร้างหนังของเขามีส่วนอยากมากที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จทั้งกาารผลิตผลงานและและการเป็นผู้จัดการศิลปิน 3 Arts Production ไม่เพียงเป็นตัวแทนศิลปิน แต่ยังสามารถผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่ธุรกิจและศิลปะด้วย

3 Arts Production มีลูกค้าระดับคุณภาพทั้งนักแสดง นักเขียน และผู้กำกับมากมาย เช่น คีอานู รีฟ, โรเบิร์ท แพตตินสัน, เดวิด เอเยอร์, ริชาร์ด ลากราเวนีส, ทีน่า เฟย์, เอมี่ โพห์เลอร์, เกร็ก แดเนียลส์, เจสัน เบตแมน, คริส เอแวนส์, เดบรา เมสซิ่ง, ไมค์ จัดจ์ ซึ่งสตอฟฟ์และหุ่นส่วนของเขาช่วยนำทางให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จ ช่วงที่สตอฟฟ์บริหารอยู่ที่นั่น บริษัทมีผลงานชนะรางวัลเอ็มมี่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kings of the Hll, 30 Rock, The Office, Bored to Death และ It’s Always Sunny in Philadelphia

ตอนนี้สตอฟฟ์กำลังดูแลโปรเจ็คต์ภาพยนตร์หลายเรื่องภายใต้การควบคุมของ 3 Arts รวมถึง The First Voyage of Marco Polo, Commando, Cowboy Behop, The World Without Us, Connecticut Yankee in King Arthur’s Court, Delilah, Samson ฉบับตีความใหม่ และ The Beggar’s Opera ฉบับใหม่ที่นำแสดงโดย จัสติน ทิมเบอร์เลค, และ Beautiful Creatures ที่สร้างจากหนังสือขายดีชื่อเดียวกัน

ภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่สตอฟฟ์จะอำนวยการสร้างได้แก่ “All You Need is Kill” หนังมหากาพย์สงครามไซไฟของค่าย Warner Bros. ที่จะกำกับโดย ดั๊ก ลีแมน และ “Jeky/Hyde” ที่จะนำแสดงโดยลูกค้าเก่าแก่ของเขา คีอานู รีฟ โดยทั้งสองเรื่องยังอยู่ในช่วงพรีโปรดักชั่น


แอนดรูว์ ดับบลิว เทนเนนบาวม์ (อำนวยการสร้าง)

เทนเนนบาวม์เกิดและโตในนิวยอร์ค เขาเรียนที่ The Dalton School ในแมนฮัตตัน ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัยที่ Skidmore College ในซาราโตก้าสปริงส์ นิวเยอร์ค หลังจากจบปริญญาตรีสาขาสังคมวิทยาและบิหารธุรกิจในปี 1987 เทนเนนบาวม์ทำงานที่บริษัทโฆษณา Jordan McGrath Case & Taylor/NYC ในตำแน่ง AE และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

ในปี 1989 เทนเนนบาวม์ย้ายไปอยู่ลอสแองเจลลิสและเข้าทำงานที่ Fox Broadcasting Company ก่อนย้ายไปทำที่ Columbia Pictures Television ที่ซึ่งเขาช่วยจัดการรายการตลกทางโทรทัศน์ของบริษัท รวมทั้งเรื่อง “Married…With Children” และ “Who’s the Boss”

ในปี 1993 เทนเนนบาวม์เปิดบริษัทการผลิตซึ่งเชี่ยวชาญด้านเรื่องราวชีวิตจริง ปีต่อมาเขาได้ช่วยอำนวยการผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับชีวิตคนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ รวมถึงของนักกีฬาดาวเด่นอย่าง โบ แจ็คสัน และแนนซี่ เคอร์ริแกน ด้วย

ในปี 1997 เทนเนนบาวม์ก่อตั้งบริษัท Flashpoint Entertainment และขยายบริการสู่ลูกค้านักเขียนและการเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน ปัจจุบัน เทนเนนบาวม์ได้สร้าง, ขาย หรือผลิตภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และผลงานตีพิมพ์มากมายในนามบริษัท Flashpoint และลูกค้า อาทิ The Bourne Identity, The Bourne Supremacy, The Bourne Ultimatum, The Pacific ทางช่อง HBO และสารคดีเรื่อง Fandemanium


เควิน ฮอลโลแรน (อำนวยการสร้างบริหาร)

ฮอลโลแรนเป็นคนอินเดียน่าโดยกำเนิด เขาเริ่มต้นอาชีพเมื่อ 25 ปีก่อนในฐานะผู้ช่วยการผลิตทีวีซีรี่ย์เรื่อง “Shelly Duvall’s Faerie Tale Theatre” หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้เป็นผู้จัดการสถานที่ถ่ายทำ และได้ทำงานภาพยนตร์และโทรทัศน์มากมาย รวมถึง “Pow Wow Highway” และซีรี่ย์เรื่อง “The West Wing” ซึ่งได้รับความชื่นชมอย่างมาก

ในฐานะผู้จัดการฝ่ายผลิต ตัวอย่างผลงานของฮอลโลแรน ได้แก่ “Shallow Hal”, “House of Sand and Fog” และหนังอินดี้คลาสสิค “The Minus Man” ส่วนในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหาร ผลงานของเขาได้แก่ “Tooth Fairy”, “Eragon”, Bridges to Terabithia และ Red Dawn