จีนขยับ GDP โตเพิ่ม ดัน “กองทุนเปิด ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า” สดใส
บลจ.ไอเอ็นจี ชี้ปัจจัยหนุนกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า (จีน-ไต้หวัน-ฮ่องกง)
Morning Star ปรับเพิ่มอันดับเรทติ้งกองทุนต้นทางขึ้นแท่นผลงานดีเยี่ยม
บลจ.ไอเอ็นจีชี้ปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า โดยเฉพาะแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีน-ไต้หวัน และฮ่องกง ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังรัฐบาลจีนประกาศขยับตัวเลข GDP ไตรมาส 2 โต 7.0-7.5% ก่อนเพิ่มเป็น 9.0% ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ พร้อมยันจุดหมายปลายทางในการลงทุนของกองทุน ถือว่า “น่าสนใจ” ในช่วงเวลานี้ เดินหน้าสร้างความมั่นใจนักลงทุน ย้ำผู้จัดการมืออาชีพดูแลใกล้ชิด พร้อมจับจังหวะลงทุนเข้าซื้อในเวลาที่เหมาะสม เชื่อนโยบายลงทุนด้วยการกระจายโอกาสไปใน 3 ตลาดหลัก ช่วยกระจายความเสี่ยง ขณะที่มอร์นิ่งสตาร์ บริษัทจัดอันดับผลการดำเนินงานกองทุนปรับเพิ่มอันดับกองทุนดีเด่นเป็น 5 ดาว สำหรับผลการดำเนินงาน 5 ปี เพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เสนอขายหน่วยลงทุนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า – ING Thai Greater China Fund” ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่ากองทุนดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เนื่องจาก นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่ม “เกรทเทอร์ ไชน่า” ซึ่งประกอบด้วย ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวันและฮ่องกง
ทั้งนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งจีน ฮ่องกงและไต้หวัน จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทฯ มองว่า ตลาดหุ้นทั้ง 3 แห่งยังมีโอกาสเติบโตและขยายตัวได้อีกมาก ทำให้มั่นใจว่า การเข้าลงทุนของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า ในขณะนี้เป็นภาวะที่เหมาะสม
“หากพิจารณาจุดหมายปลายทางการลงทุนของกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ในขณะนี้ ก็ต้องยอมรับว่า กลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีความน่าสนใจมาก เนื่องจากยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วของเศรษฐกิจเพราะนอกจากจีนจะเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลกแล้ว ฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าขาย ของเอเชีย รวมทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดโลก ส่วนไต้หวันก็เป็นผู้นำตลาดสินค้าเทคโนโลยี ที่สำคัญคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่า ที่ผ่านมาราคาหุ้นในตลาดทั้ง 3 แห่งจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เราเชื่อว่า ในอนาคตก็ยังมีโอกาสที่ราคาหุ้นยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้น จังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่นับว่าเหมาะสมในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดของผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ซึ่งจะช่วยทำให้การลงทุนเข้าออกได้อย่างถูกจังหวะ” นายจุมพลกล่าว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้ปรับประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจนถึงต้นปีหน้าว่าจะเริ่มดีขึ้น หลังจากไตรมาส 1 ของปีนี้เป็นตัวเลขที่ต่ำสุด โดยได้คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ไว้ที่ระดับ 7.0-7.5% ขณะที่ไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวที่ 8% ก่อนจะเพิ่มเป็น 9% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อการปรับขึ้นของราคาหุ้นในจีน และราคาหุ้นในกลุ่มเชื้อสายจีนบางประเทศ เช่น ไต้หวัน ซึ่งเศรษฐกิจน่าจะมีการปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีการปรับฐานน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากปัจจัยบวกทางด้านเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่ง
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวด้วยว่า ล่าสุด สถาบันจัดอันดับกองทุน Morning Star ได้ปรับเพิ่มอันดับเรทติ้งกองทุน ING (L) Invest Greater China ซึ่งเป็นกองทุนต้นทางที่จะไปเข้าลงทุน ให้เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีเด่นในกลุ่มกองทุนที่ลงทุนใน เกรทเทอร์ ไชน่า โดยปรับเพิ่มจาก 4 ดาว เป็น 5 ดาว สำหรับผลตอบแทนในเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งเชื่อว่า การปรับเพิ่มอันดับเรทติ้งนี้จะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ทั้งในด้านผลการดำเนินงานของกองทุนต้นทาง บวกกับศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 3 ประเทศ จีน ไต้หวัน และฮ่องกง ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนต้นทาง ING (L) Invest Greater China ย้อนหลัง 3 เดือน นับจากวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 จะพบว่าผลตอบแทนอยู่ที่ 54.99% ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลังนับจากต้นปี อยู่ที่ 39.34% สูงกว่าดัชนี MSCI AD Golden Dragon Index ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 49.75% และนับตั้งแต่ต้นปีผลตอบแทนอยู่ที่ 37.39% สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะการกระจาย การลงทุนไปในกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า จะทำให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงในกรณีที่มีการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่ง โดยนักลงทุนก็ยังมีอีก 2 ตลาดที่ยังสามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวเชื่อว่า การลงทุนในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว
“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า” เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 8 -17 กรกฎาคม 2552 กำหนดการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด 02-688-7777 หรือ
www.ingfunds.co.th