GUNKUL รุกหนักขยายฐานลูกค้า ตปท.มั่นใจดันรายได้ปีนี้โตอีกไม่ต่ำกว่า 90%
บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง เปิดแผนธุรกิจปี 54 รุกขยายฐานลูกค้าในและต่างประเทศ ทั้งธุรกิจพลังงานทดแทน และจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รองรับความต้องการของลูกค้า หวังเพิ่มสัดส่วนการตลาด "โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์" มั่นใจดันรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 90% เมื่อเทียบกับปีก่อน
นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจปี 2554 ว่าบริษัทฯ จะยังคงเน้นขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกา เพื่อเพิ่มสัดส่วนทางการตลาด จากเดิมเจาะตลาดประเทศพม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา รวมทั้งรุกหนักเพื่อขยายธุรกิจพลังงานทดแทน และจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร
"ไฟฟ้าถือเป็นสาธารณูปโภคที่มีความจำเป็นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่าง พม่า ลาว และแอฟริกา ซึ่งต้องมีการลง ทุนอย่างมหาศาลทางด้านระบบไฟฟ้า ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการตื่นตัวเรื่อง พลังงานทดแทนในประเทศ บริษัทจึงเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อรับมือกับความต้องการด้านสาธารณูปโภคเกี่ยวกับไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับการ สนับสนุนด้านการลงทุนจากภาครัฐและเอกชน จึงทำให้เชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กับนโยบายการลงทุนของภาครัฐได้"
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวต่อว่า จากการมุ่งเน้นขยายตลาดโดยเน้นรับงานโครงการมากยิ่งขึ้น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2554 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 90% จากปี 2553 ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจเดิม คือ ธุรกิจการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 50% และจากธุรกิจพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 30% โดยขณะนี้ในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนบริษัทได้รับสัญญาซื้อขายไฟแล้วทั้งสิ้น 56.9 MW คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,600 ล้านบาท ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีงานที่อยู่ในมือ (Backlog) แล้วจำนวนกว่า 600 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศพม่ายังมีศักยภาพสามารถที่จะเติบโตได้อีกมาก ขณะที่ตลาดประเทศลาวยังคงสดใสต่อเนื่องเช่นกัน ดังนั้นคาดว่าการเติบโตในส่วนของตลาดต่างประเทศปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 80% ขณะที่งานภาคเอกชนน่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 25% ด้านงานภาครัฐน่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 10% ขณะที่งานโครงการจะเติบโตประมาณ 100%