Gmail on January 06, 2011, 06:07:21 PM
          บลจ.แอสเซท พลัส เปิดศักราชใหม่ เสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 4 กองทุน ลงทุนในตราสารนหี้ไทย และต่างประเทศ เพิ่มทางเลือกนักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด 3% ต่อปี*

          ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ทั้งในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ตามทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ในแง่ของการลงทุนนั้น ยังคงแนะนำให้ผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนในด้านความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ควรลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน มากกว่าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการบันทึกราคาตราสารตามราคาตลาดในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจมีการปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

          สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศในปีนี้ คาดว่าน่าจะมีกระแสเงินสดจากกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ที่ครบอายุอยู่จำนวนหนึ่งที่จะไม่ลงทุนในตราสารหรือสินทรัพย์อื่น จากผลตอบแทนการลงทุนที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับความกังวลด้านความขัดแย้งของคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งส่งผลให้ผู้ลงทุนส่วนหนึ่งหันกลับมาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้เอกชนไทยมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนก็ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ และแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดีในปีนี้เช่นกัน ขณะที่ ผู้ลงทุนบางส่วนยังคงมีความต้องการลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศที่เสนอผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่ไม่สูงนัก เช่น พันธบัตรรัฐบาลของประเทศโปรตุเกส
สำหรับประเทศโปรตุเกส แม้จะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยุโรป แต่หากมองในด้านปัจจัยพื้นฐานของสภาวะเศรษฐกิจ ประเทศโปรตุเกสยังคงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2553 ยังคงเติบโตที่ระดับ 1.4% เมื่อเทียบกับปี 2552 ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานด้านสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น สถานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นที่ระดับ 29.08% ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป ภาระหนี้ที่ไม่ได้มีมากนัก โดยปริมาณตราสารหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2554 มีเพียง 27 พันล้านยูโร ซึ่งในปี 2553 ที่ผ่านมารัฐบาลโปรตุเกสสามารถระดมเงินทุนผ่านการออกพันธบัตรได้เพียงพอต่อการชำระหนี้ดังกล่าวได้ รวมถึงการได้รับการสนับสนุนวงเงินฉุกเฉินมูลค่า 70,000 ล้านยูโร จากสหภาพยุโรป (EU) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จากระดับความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ในระดับต่ำดังกล่าว ทำให้โปรตุเกสยังคง ได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Fitch Rating ที่ระดับ A+ และเป็นที่สนใจของผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศไทย

          ดร.วิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงต้นเดือนมกราคมนี้ ทางบริษัทฯ มีกองทุนที่จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ (Rollover) จำนวน 4 กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งกองทุนพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนตราสารหนี้เอกชนไทย และกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน

          โดยในวันที่ 10 มกราคม 54 บริษัทจะ Rollover กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 1 (ASP-ACFIXED1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยชั้นนำ อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.00% ต่อปี*

          วันที่ 11 มกราคม 54 บริษัทจะ Rollover กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 6 (ACFIF6) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกส 100% อายุประมาณ 6 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.00% ต่อปี *

          และวันที่ 12 มกราคม 54 บริษัทจะ Rollover กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 2 (ACFIF2) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลโปรตุเกส 100% อายุประมาณ 2 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.50% ต่อปี* และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสทรัพย์มั่นคง 3 (ASP-SIF3) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้ กองทุนจะพิจารณาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย อายุประมาณ 2 เดือน คาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 1.65% ต่อปี *

          *รายละเอียดพอร์ตการลงทุนของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 1 (ASP-ACFIXED1)
  ชื่อตราสาร
 Credit Rating
 ผลตอบแทนของตราสารโดยประมาณ
 สัดส่วนการลงทุนโดยประมาณ
 ผลตอบแทนจากการลงทุน
 
โดย TRIS Rating
 (%ต่อปี)*
 (%)
 (%ต่อปี)
 
บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)
 AAA
 2.45
 25.00%
 0.61
 
บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJANA)
 A-
 2.40
 15.00%
 0.36
 
ธนาคารเกียรตินาคิน (KK)
 A-
 2.25
 20.00%
 0.45
 
บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP)
 BBB+
 2.33
 25.00%
 0.58
 
บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (ASK)
 BBB+
 2.60
 15.00%
 0.39
 
รวม
 
 
 100.00%
 2.40
 
ประมาณการค่าใช้จ่าย
 
 
 
 0.40
 
อัตราผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
 
 
 
 2.00
 
*ผู้ขายตราสาร ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2553 หากสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไป ผู้ลงทุนอาจจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ระบุไว้
 
ทั้งนี้ ตราสารที่จะลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด หรือตามที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าเหมาะสม