happy on January 05, 2011, 03:36:07 PM

Little
Fockers

ชื่อไทย เขยซ่าส์ หลานเฟี้ยว ขอเปรี้ยวพ่อตา
วันที่เข้าฉาย   27 มกราคม 2554
จัดจำหน่าย   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์   www.littlefockers.net


        เป็นเวลานานมากกว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่ภาพยนตร์ตลกแฟรนไชส์เรื่องหนึ่งได้เฉลิมฉลองความเฮฮาที่เกิดจากข้อบกพร่องและความแตกร้าวที่รู้กันภายในกลุ่มเพื่อนๆ และครอบครัว Meet the Parents และ Meet the Fockers ซึ่งไต่ระดับทำรายได้ทั่วโลกรวมกันไปมากกว่า $800 ล้าน ก็คือผลงานที่แนะนำให้พวกเราคนดูได้รู้จักกับตัวละครอันเป็นที่รักที่สุดในแวดวงภาพยนตร์ตลกยุคใหม่นี้ บัดนี้ ภาคที่ 3 ของภาพยนตร์ชุดยอดนิยม ได้ก้าวสู่อีกก้าวหนึ่งของชีวิต และนำเสนอผลกระทบสุดฮาที่มีต่อชีวิตแต่งงานและครอบครัว นั่นก็คือเรื่องของการเลี้ยงดูลูกๆ
        ขอต้อนรับกลับคืนสู่ความสุขผสมฮาที่ได้เห็น แจ็ค เบิร์นส์ (นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต เดอ นีโร) และเกร็ก ฟ็อคเกอร์ (เบน สติลเลอร์) ต้องมาปะทะฝีมือและฝีปากกันอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง Little Fockers 
        ที่ร่วมสร้างเสียงฮากับ เดอ นีโร และสติลเลอร์ ในภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้ ก็คือ ทีมนักแสดงชุดเดิมที่กลับมาพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็น โอเว่น วิลสัน, เทอรี่ โปโล, ไบลธ์ แดนเนอร์ และนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน และบาร์บร่า สตรัยแซนด์ และในภาคล่าสุดของภาพยนตร์ฮิตไปทั่วโลกเรื่องนี้ เรายังได้พบกับ เจสซิก้า อัลบ้า, ลอร่า เดิร์น และฮาร์วี่ย์ ไคเทล อีกด้วย
        เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี  2000 ด้วยอารมณ์หงุดหงิดติดฮาของบุรุษพยาบาล เกร็ก ฟ็อคเกอร์ เมื่อเขาพยายามสร้างความประทับใจให้กับพ่อแม่ของแฟนสาว แต่กลับลงเอยด้วยการต้องต่อกรกับผู้เป็นใหญ่ในบ้านอย่าง แจ็ค เบิร์นส์ คนดูทั่วโลกต่างตอบรับภาพยนตร์สุดฮาเรื่องนี้ รวมไปถึงฉากอันน่าประทับใจที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวทุกวัน 
        ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาอีกรอบในปี 2004 เมื่อเกร็กต้องแนะนำพ่อแม่สุดประหลาดของเขาให้ว่าที่พ่อตาแม่ยายได้รู้จัก และพยายามประคองสถานการณ์ที่พร้อมระเบิดเป็นจุณนี้โดยต้องไม่ให้ตัวเองหลุดโผจากวงจรแห่งความไว้ใจของแจ็ค ในที่สุด ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ก็ต้องคลอดออกมาอีกภาคเมื่อคนดูดูจะยังไม่หนำใจกับการได้เห็น แจ็ค, เกร็ก และสมาชิกของทั้งสองครอบครัวสุดป่วน อันที่จริง Meet the Fockers กลายเป็นภาพยนตร์ตลกที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และยังเป็นที่สอง รองก็แต่เรื่อง Home Alone เท่านั้นในฐานะภาพยนตร์ตลกที่ใช้คนแสดงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในเรื่องของการทำรายได้
        บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะได้พบกับสมาชิกตัวน้อยๆ ของครอบครัวฟ็อคเกอร์ เริ่มจาก ซาแมนธา (เดซี่ ทาแฮน จากผลงานทางทีวีเรื่อง Nurse Jackie) และเฮนรี่ (คอลิน ไบอ็อคชี่ จาก Couples Retreat) ขณะที่หนังนำเสนอเรื่องราวการลองผิดลองถูกของครอบครัวนี้ที่กำลังขยายใหญ่ขึ้น รวมไปถึงพัฒนาการของภาพยนตร์ชุดเรื่องนี้ที่ถือกำเนิดจากเรื่องราวของการคบหากัน แต่งงานกัน และมีลูก
        เวลาผ่านไปสิบปี มีฟ็อคเกอร์น้อยๆ 2 คน กับแพม ผู้เป็นภรรยา (โปโล) กับอุปสรรคนานัปการกว่าที่เกร็กจะสามารถก้าวเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับพ่อตาสุดโหดอย่าง แจ็ค ได้ อย่างไรก็ดี หลังจากคุณพ่อรับงานพิเศษในบริษัทยาแห่งหนึ่งที่มีเพื่อนร่วมงานสุดเซ็กซี่ นิสัยขี้ระแวงของแจ็คก็ผงาดกลับมาอีก
        คงไม่มีทางที่เกร็กจะเจอช่วงเวลาที่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว เมื่อเขาต้องคอยสนองความต้องการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับอาจารย์ใหญ่ (เดิร์น) ของโรงเรียนเอกชนอันทรงเกียรติเพื่อลูกแฝดของเขา และต้องจัดการกับผู้รับเหมา (ไคเทล) ที่ทำการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านล่าช้าเสียใจบ้านในฝันของพวกเขาอาจเสร็จไม่ทันงานเลี้ยงวันเกิดของลูกๆ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยป้องกันการพัวพันอีรุงตุงนังของตัวแทนบริษัทยาสาวสวยระดับนางงาม (อัลบ้า) ซึ่งเกร็กต้องร่วมงานด้วย
        ขณะที่ทั้งตระกูลฟ็อคเกอร์และเบิร์นส์ อันประกอบไปด้วยพ่อแม่ของเกร็ก เบอร์นี่ (ฮอฟฟ์แมน) และรอซ (สตรัยแซนด์), แจ็คกับไดน่า (แดนเนอร์) และคนรักเก่าของแพม เควิน (วิลสัน) เดินทางมาเพื่อร่วมงานวันเกิดนี้ เกร็กต้องพิสูจน์ให้แจ็คที่กำลังตั้งข้อสงสัย ให้เห็นว่าเขามีความสามารถเต็มขั้นในฐานะเจ้าบ้าน และเตรียมเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลฟ็อคเกอร์ แต่ด้วยความเข้าใจผิดทั้งหมดทั้งมวล การแอบตามสืบ และภารกิจลับ เกร็กจะผ่านการทดสอบสุดท้ายของแจ็คได้หรือไม่ เพื่อจะกลายมาเป็นผู้นำคนต่อไปของครอบครัว หรืองานนี้วงจรแห่งความไว้ใจจะแตกไปเสียแล้ว
        กำกับโดย พอล ไวทซ์ (American Pie, In Good Company), Little Fockers อำนวยการสร้างโดย เจน โรเซนธัล (Meet the Parents, Meet the Fockers), โรเบิร์ต เดอ นีโร, เจย์ โร้ช (Meet the Parents, Meet the Fockers) และ จอห์น แฮมเบิร์ก (I Love You, Man, Meet the Fockers) ซึ่งร่วมเขียนบทร่วมกับ ลาร์รี่ สตัคกี้ (Elling) 
        ทีมงานหลังกล้องประกอบไปด้วยผู้ที่เคยร่วมงานกับไวทซ์และสติลเลอร์มานาน อย่าง ผู้กำกับภาพ เรมี่ อาดีฟาเรซิน (In Good Company, Elizabeth), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ วิลเลี่ยม อาร์โนลด์  (In Good Company, Magnolia), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มอลลี่ แม็กกินนิส (Role Models, In Good Company) และทีมลำดับภาพ เกร็ก เฮย์เด้น (Tropic Thunder, Zoolander), เลสลี่ โจนส์ (Cirque du Freak: The Vampire’s Assistant, Punch-Drunk Love) และไมรอน เคิร์สตีน (In Good Company, Garden State)
        Little Fockers อำนวยการสร้างบริหารโดย แนนซี่ เทนเนนบาวม์ (Meet the Fockers), แดเนียล ลูปี (50 First Dates), เมแกน ไลเวอร์ส, แอนดรูว์ มีอาโน่ (Nick & Norah’s Infinite Playlist) และ ไรอัน คาวานัฟ (Zombieland)


« Last Edit: January 05, 2011, 03:55:54 PM by happy »

happy on January 05, 2011, 03:58:20 PM


เบื้องหลังงานสร้าง

ความรักบังเกิด:
ฟ็อคเกอร์น้อยถือกำเนิด

          เมื่อ Meet the Fockers จบลงด้วยแพมที่กำลังตั้งท้อง กำลังแต่งงานกับเกร็กต่อหน้าสมาชิกครอบครัวและเพื่อนๆ อันเป็นที่รัก บทต่อมาในภาพยนตร์ชุดบล็อกบัสเตอร์เรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าการเลี้ยงดูลูกๆ คืองานยากลำบากสำหรับภาคต่อไปที่ว่าด้วยเรื่องราวของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เรื่องราวในบทนี้จำต้องนำพาพวกเราย้อนกลับไปหาความสัมพันธ์ของครอบครัวเบิร์นส์และฟ็อคเกอร์ ทั้งในแง่โรแมนติคและในแง่ของครอบครัว
        สำหรับผู้อำนวยการสร้าง เจน โรเซนธัล ชื่อของภาพยนตร์ภาคนี้เข้าที่เข้าทางลงตัวอย่างง่ายดายมาก แต่การทำให้เรื่องนี้มีความแปลกใหม่ ทำให้คนดูตื่นเต้นได้นั้นกลับเป็นความท้าทายที่ยากกว่าสำหรับทีมของเธอ “Little Fockers และ Meet the Fockers ไม่ใช่ภาคต่อในแบบที่เดินตามธรรมเนียมของงานสร้างภาพยนตร์อยู่แล้ว” โรเซนทัล ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของโรเบิร์ต เดอ นีโร ที่บริษัท Tribeca Productions บอก “ภาพยนตร์แต่ละเรื่องลงเอยด้วยการบันทึกเรื่องราวการเติบโตของตัวละครเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นก้าวที่อาจจะยังไม่มั่นคงนักของแพมและเกร็กในฐานะคู่รัก, การได้มาพบพ่อแม่ของเธอ หรือการแนะนำว่าที่พ่อตาแม่ยาย พ่อแม่สามีของทั้งสองฝ่าย สิ่งหนึ่งเกี่ยวกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ที่ทำให้ภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร กับภาพยนตร์แต่ละภาค คนดูจะยิ่งเทใจให้กับความสัมพันธ์เหล่านี้ คนดูเติบโตไปพร้อมกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงมุ่งเป้าที่จะท็อปฟอร์มอยู่เสมอ”
        กุญแจที่ไขไปสู่เรื่องราวที่ประสบความสำเร็จก็คือการใส่ความบันเทิงลงไปในตัวละครที่คนดูรัก หลังจากเคยสร้างภาพยนตร์ชุดนี้ที่ประสบความสำเร็จติดต่อกันถึงสองภาค ทางทีมผู้สร้างจึงกลับไปหามือเขียนบทที่รู้จักประวัติความเป็นมาของครอบครัวฟ็อคเกอร์และเบิร์นส์ดีที่สุด จอห์น แฮมเบิร์ก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง Meet the Parents และ Meet the Fockers และยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับ Little Fockers กลับมาพร้อมกับการผสมผสานโครงเรื่องที่ไม่เหมือนใครและอารมณ์ขันที่ทำให้วงจรแห่งความไว้ใจมั่นคงขึ้น
        สำหรับแฮมเบิร์ก ความงดงามของภาพยนตร์สองภาคก่อนขึ้นอยู่กับความเรียบง่ายของเรื่องราว อันได้แก่ เรื่องราวของผู้ชายที่ได้พบผู้หญิง ผู้ชายไปพบพ่อแม่ของฝ่ายหญิง พ่อแม่ของฝ่ายชายได้พบพ่อแม่ของฝ่ายหญิง แต่เขาพบว่าความท้าทายสูงสุดก็คือการพยายามรักษาการเล่าเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกันซึ่งเคยเป็นแรงผลักดันให้กับภาพยนตร์สองภาคแรก นอกจากนี้ แฮมเบิร์กยังต้องการที่จะกลับไปเยี่ยมเยือนเหล่าตัวละครที่เขาเคยได้ช่วยสร้างสรรค์เอาไว้เมื่อสิบปีก่อนนี้ กลายเป็นว่าชื่อเรื่องที่ทีมงานคิดขึ้นมานั้นกลับมาพร้อมความท้าทายใหม่หมด
        ที่เข้ามาช่วยแฮมเบิร์กสร้างเรื่องราวการเผชิญสิ่งใหม่ๆ สำหรับครอบครัวฟ็อคเกอร์และเบิร์นส์ ก็คือ ลาร์รี่ สตัคกี้ สตัคกี้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมให้กับภาพยนตร์เรื่อง Meet the Fockers และยังเคยร่วมงานกับผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง เจย์ โร้ช ได้ใส่ประสบการณ์ของตัวเขาเองในฐานะคุณพ่อมือใหม่และสามีที่กลัวไปหมดทุกอย่าง ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับสองมือเขียนบทด้วย 
        โร้ช ที่ก่อนหน้านี้เคยทั้งกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทั้งสองภาคอย่าง Meet the Parents และ Meet the Fockers ยอมรับว่ากระบวนการในการสร้างเรื่องราวบทต่อไปนี้คือขั้นตอนการทำงานที่ยาวนานทีเดียว “ต้องใช้เวลาถึงสองสามปีกว่าที่เราจะคิดเรื่องราวที่เราว่ามันคุ้มค่าที่จะย้อนกลับไป” โร้ชกล่าว “เราอยากแน่ใจว่าคนดูจะยอมรับในเงื่อนไขที่จะทำให้ เกร็ก ฟ็อคเกอร์ ต้องเผชิญหน้ากับ แจ็ค เบิร์นส์ อีกรอบ ผมมีความสุขนะที่พวกเราได้รับเชิญให้กลับไปอีก”
        เมื่อถึงเวลาต้องพัฒนาเนื้อหาไป แฮมเบิร์ก ซึ่งนอกเหนือจากภาพยนตร์ชุด Parents นี้แล้ว เขายังเคยได้ร่วมงานกับ เบน สติลเลอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Zoolander และ Along Came Polly (ซึ่งแฮมเบิร์กเขียนบทและกำกับ) เขาจึงเหมือนมีภาษาที่เป็นการสื่อทางลัดกับนักแสดงชายผู้มีความสามารถหลากหลายผู้นี้
        “เมื่อคุณทำภาพยนตร์ภาคที่ 3 คำถามที่เกิดขึ้นในทันทีก็คือ ‘คุณจะทำให้มันยังคงมีความสด และรักษาสิ่งที่คนดูชอบในภาพยนตร์สองภาคก่อนเอาไว้ได้อย่างไร’” แฮมเบิร์กตั้งคำถาม “เบนเป็นพวกที่นิยมความสมบูรณ์แบบ และเป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่ผมเคยเจอมา เขาอยากสร้างเรื่องนี้จากจุดยืนของตัวละครตัวหนึ่ง ดังนั้น คุณจึงท้าทายตัวเองเพื่อจะทำให้มันดีขึ้น ทำให้มันดูจริง และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครมากขึ้น ความคิดที่ผมมีในฐานะนักแสดง และความคิดที่เบนมีในฐานะนักแสดง เข้ากันได้ดีทีเดียว มันเป็นกระบวนการทำงานที่ไหลลื่นมาก”
        สติลเลอร์รู้ดีว่าเขาจะสนใจกลับมารับบท เกร็ก ฟ็อคเกอร์ ก็ต่อเมื่อเนื้อหาเรื่องราวเป็นเรื่องที่ให้ความบันเทิงและยังต้องทำให้ชีวิตของตัวละครเดินไปข้างหน้าอีกด้วย “เราทำงานกันในส่วนของบทภาพยนตร์เพื่อให้เรื่องเดินไปถึงจุดที่มันเป็นธรรมชาติ และให้ความรู้สึกว่ามันสมเหตุผลแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่จะเกิดขึ้นในจุดนี้” สติลเลอร์กล่าว “มันพูดถึงประเด็นที่เข้ากันกับตัวละครแต่ละตัวในจุดต่างๆ ของชีวิต”
        คอนเซ็ปต์นี้เปลี่ยนไปเป็นความท้าทายที่เป็นสากลที่สามีภรรยาทุกคู่ต้องเจอเมื่อพวกเขาคิดขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้น ความต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกๆ การต้องประคองสภาพการเงินให้อยู่รอดไปได้ ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นมนุษย์ปุถุชน และประคองชีวิตแต่งงานเอาไว้ ไม่ว่าจะนาน 5 ปีหรือ 35 ปี เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนดูเข้าใจได้ ชีวิตมีขึ้นมีลง ต้องวุ่นวายกับพ่อตาแม่ยาย พ่อแม่สามี กลับกลายเป็นรากฐานที่ดีสำหรับเรื่องราวบทต่อไป
        ที่เข้ามารับหน้าที่กำกับภาพยนตร์ภาคที่ 3 ก็คือผู้กำกับพอล ไวทซ์ ผู้มีความสามารถในการใส่หัวใจอันอบอุ่นและประทับใจลงไปในภาพยนตร์ตลก เขาเคยพิสูจน์ฝีมือที่สามารถเอาชนะใจคนดูได้มาแล้วในภาพยนตร์อย่าง American Pie และ About a Boy (ซึ่งเขากำกับร่วมกับคริส น้องชายของเขา) และในภาพยนตร์เรื่อง In Good Company โรเซนธัลพูดถึงการที่ไวทซ์เข้ามาร่วมทีมว่า “พอลนำอารมณ์อ่อนไหวมาสู่ภาพยนตร์เรื่อง Little Fockers นี้ หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่เรามองหาอยู่ก็คือการนำสถานการณ์จริงมา และใส่ความตลกลงไปในสถานการณ์นั้นๆ พอลมีความสามารถเช่นนั้น เขาเก่งมากกับการกำกับนักแสดง โดยเฉพาะกับพวกเด็กๆ”
        สำหรับไวทซ์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบที่เขามีต่อภาพยนตร์ตลกที่มาพร้อมความเชื่อมโยงทางอารมณ์ ภาพยนตร์แฟรนไชส์ Meet the Parents ช่างเป็นความลงตัวที่ดีเหลือเกิน เป็นเรื่องในแบบที่เขาใส่แบบฉบับของตัวเขาเองลงไปได้ และนี่ยังเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้กลับไปร่วมงานกับสองผู้อำนวยการสร้างจากภาพยนตร์เรื่อง About a Boy นั่นก็คือเจน โรเซนธัล และโรเบิร์ต เดอ นีโร  Little Fockers ทำให้ไวทซ์มีโอกาสได้สะท้อนอารมณ์ขันของเขาออกมาอีกครั้ง โดยเขาต้องคอยดูแลทั้งครอบครัวฟ็อคเกอร์และเบิร์นส์ขณะที่แจ็คกำลังส่งถ่ายความเป็นผู้นำครอบครัวให้กับเกร็ก
        ไวทซ์มีมุมมองที่น่าสนใจต่อสิ่งที่นำเขามาสู่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งทีมนักแสดงทีมเดิมทุกคนต่างตกลงใจที่จะกลับมารับบทเดิมของพวกเขาอีกครั้ง “ผมชอบภาพยนตร์อินดี้ แต่ผมก็สนใจในงานกำกับภาพยนตร์ของสตูดิโอที่มีความคลาสสิกเหมือนกัน ออกจะเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจำลองสถานการณ์ที่คุณมีดาราดังๆ มากมายหลายคนมาร่วมงานในโปรเจ็กต์ใดโปรเจ็กต์หนึ่ง เหมือนทางสตูดิโอกำลังบอกว่า ‘เรามี คล๊าร์ก เกเบิล และมาริลิน มอนโร เราจะใส่พวกเขาไปในภาพยนตร์เรื่องนี้’ นี่ก็มีอารมณ์ในแบบนั้นเหมือนกัน มันคือสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดาที่มีทีมนักแสดงชื่อดังแบบนี้มาอยู่ในที่เดียวกัน”
        ไวทซ์ยังชื่นชอบที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงการตัดสินใจของพวกเราที่จะเติบโตขึ้น เขากล่าวว่า “ตัวละครของเบนดูเหมือนหนึ่งในตัวละครต้นแบบที่ทุกคนสามารถเปรียบความกังวลของพวกเขาด้วยได้ สำหรับเกร็ก มันก็คือความรู้สึกของความเป็นคนไม่สำคัญ สิ่งแรกที่ทำให้ไอเดียนี้คลิ๊กกันก็คือไอเดียที่เกร็กมาถึงจุดในชีวิตที่คุณมีลูกที่โตพอแล้ว จนคุณไม่รู้สึกเหมือนคุณอยู่ในความฝันแสนประหลาดที่คุณกำลังตื่นขึ้นมา คุณรู้สึกจริงๆ ว่า ‘ว้าว ฉันมีลูกแล้วจริงๆ’ คุณต้องรับผิดชอบต่อลูกและพ่อแม่ของคุณ”
        เมื่อมีไวทซ์มาเป็นส่วนหนึ่งของทีมแล้ว การปรับแต่งเรื่องยังคงดำเนินต่อไป องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาโครงเรื่อง ก็คือการรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่คุ้นเคย ขณะที่ต้องเปิดเรื่องใหม่ด้วย ทางทีมผู้เขียนบททำคุณลักษณะเช่นนี้ได้สำเร็จด้วยการแนะนำให้เราได้รู้จักกับตัวละครอีกหลายตัว ณ ทางแยกของชีวิตของพวกเขา ความสัมพันธ์ที่เหมือนชิงดีชิงเด่นกันระหว่างแจ็คกับเกร็ก ซึ่งเป็นตัวผลักดันภาพยนตร์ชุดนี้มาตลอด มาถึงจุดสำคัญอีกครั้ง
        การที่คุณไม่สามารถเลือกครอบครัวและสิ่งที่พ่วงติดมาได้นั้น ถือเป็นธีมที่เป็นสากล เท่าที่มีประวัติร่วมกันมาของชายทั้งสองคนนี้ เกร็กทำให้สนามหน้าบ้านของแจ็คไฟไหม้ และยังต้องผ่านเครื่องจับเท็จที่มีแจ็คเป็นคนจัดการตรวจสอบ บัดนี้ ในที่สุด พวกเขาก็สามารถเข้ากันได้และยังมีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ใจต่อกัน แต่เมื่ออุปสรรคล่าสุดในชีวิตของลูกเขยและพ่อตาโผล่เข้ามาอีกครั้ง ข้อผิดพลาดของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นมาอีก ปัญหาในเรื่องความไว้วางใจของแจ็ค และความต้องการจะเอาอกเอาใจพ่อตาของเกร็กกลับมาอีกรอบ และมันสร้างความเจ็บปวดปนฮาเพิ่มมากขึ้นกว่าหนก่อนๆ
        สติลเลอร์ได้พาเราไปเผชิญสิ่งที่ตัวละครเหล่านี้ต้องเผชิญ “หลายเหตุการณ์ในชีวิตส่งให้แจ็คและเกร็กต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แต่สุดท้าย พวกเขาก็สามารถที่จะวางไพ่บนโต๊ะเมื่อความตึงเครียดมาถึงจุดสูงสุด ทุกอย่างเริ่มโผล่ออกมาให้เห็นตรงหน้า”
        ความสามารถของสติลเลอร์ที่จะทำให้ เกร็ก ฟ็อคเกอร์ ดูเข้ากันกับประเด็นปัญหาที่ต้องการนำเสนอหลังเวลาผ่านไปนานถึงหนึ่งทศวรรษ ยังคงสร้างความประทับใจให้กับทีมผู้สร้างได้ ไวทซ์กล่าวว่า “สิ่งสำคัญสำหรับการแสดงตลกที่ดี ก็คือ ตัวละครจะไม่รู้เลยว่าเขาหรือเธออยู่ในเรื่องตลก เบนกระตือรือร้นทีเดียวที่จะไม่เล่นเพื่อเรียกเสียงฮา ผมว่าเขาไม่เคยคิดทำนองที่ว่า ‘ฉากนี้ฉันจะแสดงให้ตลก’ ผมว่าเขาคงคิดว่า ‘ตัวละครของฉันอยู่ในสถานการณ์นี้ และนี่ก็คือสิ่งที่เขาจะพูด’ การเล่นหนังตลกก็เหมือนกับการเล่นหนังดราม่านั่นแหละ คุณต้องทุ่มเทให้กับวินาทีนั้นๆ”

« Last Edit: January 05, 2011, 04:09:00 PM by happy »

happy on January 05, 2011, 04:16:20 PM


ฉันยังคอยดูนายอยู่นะ:
ตัวละครขวัญใจกลับมารวมตัวอีกครั้ง

          หกปีต่อมา เราพบว่า เกร็กกลายเป็นหัวหน้าบุรุษพยาบาลประจำโรงพยาบาล และแพมเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน พวกเขาต้องเผชิญความท้าทายใหญ่หลวงของชีวิตเมื่อพวกเขาเลี้ยงดูลูกๆ ในที่สุด พวกเขาก็เริ่มลงตัวกับชีวิตประจำวันที่มีลูกๆ และต้องออกซื้อข้าวของเข้าบ้านหลังแรก...ขณะที่ต้องรับมือกับทั้งพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายที่ตั้งใจดี แต่ก็ทำเอาป่วนเสียจนแทบคลั่ง
        แจ็ค ซึ่งเป็นซีไอเอปลดเกษียณ กำลังหงุดหงิดขณะที่เขาต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อต้องเกษียณตัวเองมาอยู่บ้าน รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับความชราภาพ ขณะที่ ไดน่า ภรรยาของเขายังคงเบิกบานกับคำแนะนำของรอซ ฟ็อคเกอร์ สำหรับแจ็ค มรดกของครอบครัวยังคงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตเมื่อเขาตั้งใจจะส่งผ่านตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่ของเขาให้กับคนรุ่นต่อไป Meet the Fockers พูดถึงเรื่องนี้พร้อมใส่อารมณ์ฮาเข้าไปขณะที่แจ็คกำลังประเมินยีนทางฝ่ายฟ็อคเกอร์ เมื่อเขาได้พบกับรอซและเบอร์นี่ ฟ็อคเกอร์ ที่เป็นพวกอิสรเสรี และรับบทแสดงได้อย่างสุดฮาโดยสตรัยแซนด์และฮอฟฟ์แมน
        เมื่อ ดร.บ็อบ ลูกเขยอีกคนของแจ็ค (ซึ่งได้ ทอม แม็คคาร์ธี่ มาแสดงเอาไว้ใน Meet the Parents และเขากลับมารับบทนี้ในภาคนี้อีกรอบ) พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่เหมาะกับหน้าที่ผู้นำ บ็อบต้องสูญเสียตำแหน่งรัชทายาทในบัลลังก์เบิร์นส์ไป บัดนี้ แจ็คมอบหมายตำแหน่งให้เกร็กเป็นเจ้าบ้านคนใหม่ ซึ่งค่อยๆ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับแจ็คทีละน้อย นี่ยังไม่พูดถึงความวิตกกังวลอื่นๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น
        ตัวละครของสติลเลอร์รู้สึกเซ็งกับการต้องเผชิญกับเหตุร้ายสุดฮาครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งใน Meet the Parents และ Meet the Fockers แต่ใน Little Fockers ทางทีมผู้สร้างตัดสินใจกลับตาลปัตรด้วยการสร้างความอับอายให้กับ แจ็ค เบิร์นส์ แทน
        สำหรับเจ้าของรางวัลออสการ์ เดอ นีโร โอกาสที่จะรับบทในภาพยนตร์ที่เขาต้องแสดงท่าทางเรียกเสียงฮามากขึ้น ถือเป็นก้าวที่ช่วยสร้างความแปลกใหม่ให้กับตัวเขา ไม่ว่าจะโดนฝังทั้งเป็นในทราย หรือต้องแสดงปฏิกิริยาที่มีต่อยาที่ช่วยในการแข็งตัว เดอ นีโรเล่นเพื่อเรียกเสียงฮาโดยเฉพาะ และเขาก็สนุกทีเดียวกับการได้มาจับคู่กับคู่หูสุดฮาคนเดิม “เบนมีวิธีโต้ตอบกลับในแบบของเขาเอง และยังปล่อยคำพูดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาด้วย มันอาจเป็นแค่บทพูด แต่เขากลับพูดออกมาในแบบเหมือนเขากำลังให้ความเห็น” เดอ นีโร บอก “เขาบิดโน่นนิดนี่หน่อยซึ่งทำให้มันยิ่งตลกมากขึ้น เราเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน และเราก็สนุกด้วยกันมากกับการทำงานร่วมกัน”
        ผู้หญิงที่รับบทเป็นภรรยาบนจอของเขามานานกว่าสิบปี ยอมรับว่า เดอ นีโร ดีใจที่ได้กลับมารับบทนี้ “บ็อบสนุกมากทีเดียว” แดนเนอร์บอก “เขามีรอยยิ้มแบบแมวที่กระจายไปทั่วใบหน้าเขา และเขาก็หัวเราะเสียงดังมาก ตลกมากเลยแหละ”
        ผู้กำกับไวทซ์รู้สึกพอใจกับความเต็มใจของเดอ นีโรที่ยอมทำทุกอย่างตามที่ได้รับคำขอร้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม ไวทซ์เล่าว่า “ในฉากหนึ่ง แจ็คต้องกระโดดลงไปในหลุมที่มีแต่ลูกบอลในงานเลี้ยงของพวกเด็กๆ ก่อนที่เขาจะมีเรื่องทะเลาะกับเกร็ก เขาเล่นฉากนี้ด้วยตัวเอง เขากระโดดขึ้นไปในอากาศ และเอาหน้าทิ่มลงไปในกองลูกบอลพลาสติค มันเป็นสิ่งที่ปกติแล้วคุณคงจะให้ทีมสตั๊นต์ทำ แต่บ็อบหุ่นฟิตมาก และเขาก็ทำงานนี้เอง จนเป็นความสนุกที่ได้มาเห็นท่าแบบที่เขาเคยทำในภาพยนตร์เรื่อง Raging Bull”
จังหวะในการปล่อยมุขตลกที่ลงตัวระหว่างเดอ นีโร และสติลเลอร์ คือผลจากความชอบพอที่พวกเขามีต่อกัน และเป็นเสมือนพระคัมภีร์ที่ทำให้ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้มีอายุยืนยาวต่อมา อันที่จริง ระหว่างการถ่ายทำหลายต่อหลายฉาก มีอยู่บ่อยครั้งที่พวกเขาปล่อยก๊ากออกมาใส่กันระหว่างเทก “ในที่สุดผมก็สบายใจที่จะเรียกเขาว่าบ็อบหลังจากเวลาผ่านไปสิบปี” สติลเลอร์หัวเราะ “สำหรับผม  Little Fockers ก็คือโอกาสที่ทำให้ผมสามารถกลับไปร่วมงานกับ โรเบิร์ต เดอ นีโร ได้อีกครั้ง”
        ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างแจ็คกับเกร็กแสดงออกมาจนให้ผลลัพธ์สุดฮา ความเป็นคู่ปรับระหว่างเกร็กกับอดีตชายที่เคยมาจีบแพม อย่าง เควิน รอว์ลี่ย์ เศรษฐีหนุ่มผู้อ่อนไหว ยังคงมีอยู่ ความรู้สึกของเควินที่ยังคงมีให้กับคนรักเก่าของเขา และความชิงดีชิงเล่นของเขากับเกร็กยังคงเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ “ความตลกในตัวเควินก็คือ ยังมีอะไรให้แสดงอีกมากทีเดียว” โอเว่น วิลสัน บอก “นับแต่ครั้งแรกที่ผมแสดงเป็นเขา เขาออกจะเป็นผู้ชายที่จริงจังแต่ชอบอวดเบ่ง เป็นคนที่ไม่ค่อยรู้สึกตัวสักเท่าไหร่ด้วย”
        สำหรับนักแสดงแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวที่พวกเขาจะมีโอกาสได้กลับไปแสดงเป็นตัวละครตัวเดิมหลายครั้งในรอบทศวรรษ แต่ถึงแม้จะมีช่วงเวลาห่างกันนานหลายปีอยู่ แต่ทีมนักแสดงสามารถเดินกลับไปสวมบทบาทเดิมของพวกเขาด้วยความมั่นใจ “ทุกคนต่างชอบตัวละครที่พวกเขาแสดงอยู่ ดังนั้นระดับความสบายอกสบายใจจึงเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ” วิลสันบอก “ซึ่งมันส่งผลดีต่อการทำให้การแสดงออกมาตลก”
        นับแต่ที่มีการประกอบพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการระหว่างแพมกับเกร็กในภาพยนตร์เรื่อง Meet the Fockers หัวใจที่เควินเคยปักหลักเอาไว้กับคนรักเก่าของเขาก็ดูจะลดน้อยถอยลงไป ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่น่าประหลาดใจก็คือเขากับเกร็กกลายเป็นเพื่อนกัน และยังคงมีการพูดคุยติดต่อกันอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่เช่นกัน และยิ่งทำให้เกร็กรู้สึกโกรธ เพราะแจ็คยังคงชื่นชมเควินอย่างไม่รู้จบ ไวทซ์กล่าวว่า “เควินเปรียบเสมือนคนที่เดินบนน้ำได้ เขาคือด้านที่กลับกันของเกร็ก ซึ่งเป็นคนที่คงจะทำอะไรโดยไม่ยิงโดนเท้าตัวเองไม่ได้ เควินเป็นคนที่คุณอยากบีบคอให้ตาย แต่คุณก็ทำไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนดีมาก”
        “ผมชอบความสัมพันธ์ระหว่างเควินกับเกร็กมาตั้งแต่ Meet the Parents แล้วนะ” สติลเลอร์บอก “ไอเดียที่ว่าด้วยเรื่องของแฟนเก่าผู้สมบูรณ์แบบที่เคยมีประวัติความเป็นมาร่วมกับแฟนสาวของคุณ คือสิ่งที่น่าเกรงขามเมื่อต้องรับมือ โดยเฉพาะถ้าเขาเป็นชายที่หลงใหลเธออย่างมาก สนุกดีนะที่ได้กลับมาปรากฏตัวอีกรอบใน Little Fockers นั่นคือเหตุผลอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เควินกลับมาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกรอบ เกือบจะ 8 ปีต่อมา และถึงจะเป็นแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังคงหลงใหลเธออยู่”
        ไม่นานหลังจาก Meet the Parents สติลเลอร์กับวิลสันได้ร่วมจอพร้อมกันในภาพยนตร์คัลท์คลาสสิกปี 2001เรื่อง Zoolander (ซึ่งสติลเลอร์เขียนบทและกำกับเองด้วย) และพวกเขายังคงสนิทสนมกันต่อมาจนลงเอยด้วยการร่วมงานกันในภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง “การทำงานกับโอเว่นเป็นความสนุกเสมอมาสำหรับผม” สติลเลอร์เล่า “เขาเป็นคนตลกมาก และเป็นมือเขียนบทที่เก่งมากด้วย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน เขาเข้าถึงความเป็นตัวละครตัวนั้น และยังค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกได้ดี จนเมื่อเขากำลังเข้าฉากถ่ายทำอยู่นั้น เขาสามารถที่จะลองและแสดงเป็นเควินในเวอร์ชั่นใหม่ๆ ได้อยู่เสมอ”
        บรรดาผู้หญิงในภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงในครอบครัวเบิร์นส์ ต่างเดินไปบนเส้นทางของตัวเองตลอดช่วงหลายปีมานี้ แพม ฟ็อคเกอร์ ตัวละครของ เทอรี่ โปโล สลัดคราบลูกสาวตัวน้อยของพ่อ มาทำหน้าที่ภรรยาและแม่อย่างเต็มตัว ขณะที่ ไดน่า ที่แสนสง่าและสุภาพ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงหญิง ไบลธ์ แดนเนอร์ เลิกทำท่าเสงี่ยม และกลายเป็นคู่ซี้ของ รอซ ฟ็อคเกอร์ จอมจ้อ
        สำหรับ แพม การปรองดองระหว่างพ่อและสามีของเธอถือเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งทำให้เธอสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก “แพมเค้ก” ของแจ็ค ไปเป็นภรรยาของเกร็ก และแม่ของเด็กๆ ได้เต็มที่ แต่สิ่งเหล่านี้ก็มาพร้อมความท้าทายใหม่ๆ “มักจะมีหลายอย่างที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับความสงบเสมอ” โปโลกล่าว “มันเกิดขึ้นได้กับทุกคนกับชีวิตประจำวันในความสัมพันธ์ของพวกเรากับพ่อแม่สามี ตัวสามี และลูกๆ วินาทีหนึ่งคุณอยากจะบีบคอพวกเขา และอีกวินาทีหนึ่ง คุณก็รักพวกเขาสุดหัวใจ แต่คุณก็ยังบากบั่นอุตสาหะและเดินหน้าต่อไป”
        สำหรับหัวหน้าครอบครัวเบิร์นส์ คุณสมบัติหนึ่งที่อยู่ยงคงนานในชีวิตแต่งงานของเขา ก็คือความรักที่คงทนถาวรที่เขามีให้กับไดน่า ขณะที่เธอเองก็ยอมรับข้อบกพร่องมากมายของเขา อย่างไรก็ดี สีหน้าหรือความเห็นที่เฉียบคมจากไดน่าสามารถบุกทะลวงกำแพงความหวาดระแวงของแจ็คได้
        แดนเนอร์อธิบายว่ามันคือสิ่งที่สร้างความพอใจให้กับเธอที่ได้มารับบทไดน่าและดูว่าเธอกับแจ็คยังคงดำรงชีวิตด้วยกันต่อไปอยู่ “ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ Fockers ภาคที่ 3 นี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทุกภาคคือการทำงานที่สนุก ฉันเคยพูดติดตลกกับ บ็อบ เดอ นีโร ว่าฉันหวังว่าพวกเขาจะยังคงสร้างภาพยนตร์ต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าในภาคต่อไป เราจะต้องเดินโดยใช้ไม้เท้า และลงเอยด้วยการต้องใช้ที่ช่วยเดินและนั่งรถเข็นหลังจากภาคต่อจากนั้นก็เถอะ”
        การได้พบปะกับฟ็อคเกอร์ในภาคที่สองของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ทำให้คนดูได้เห็นการได้รับการเลี้ยงดูที่ผิดแผกแปลกกว่าชาวบ้านของเกร็ก และทำให้เราได้รู้จักกับพ่อแม่สุดประหลาดของเขา รอซกับเบอร์นี่ บาร์บรา สตรัยแซนด์ เจ้าของสองรางวัลออสการ์ กลับมารับบทเป็นคุณแม่ของเกร็ก ที่ทำงานเป็นนักบำบัดเรื่องเซ็กซ์ให้กับเหล่าผู้สูงวัย และหลังจากมีรายการทีวีและหนังสือขายดีของตัวเอง ตอนนี้เธอกลายเป็นคนมีชื่อเสียงไปแล้ว
        ลูกชายบนจอของสตรัยแซนด์เป็นคนออกมาสรุปความรู้สึกที่ทีมงานมีต่อการที่มีสตรัยแซนด์มาร่วมงานด้วยว่า “บาร์บร่า สตรัยแซนด์คือคนที่ทุกคนชื่นชมในทุกระดับ” สติลเลอร์ให้ความเห็นไว้ “หลายครั้ง มันยากที่จะลืมความรู้สึกเช่นนั้นไปได้เมื่อคุณเข้าฉากร่วมกับเธอ แต่เธอก็รู้สึกสบายใจกับความเป็นตัวเธอเอง และเธอก็นำเอาแสงออร่าที่เปล่งประกายมากับเธอด้วยเมื่อเธอเดินเข้าฉากไป ผมตื่นเต้นเสมอที่ได้ร่วมงานกับเธอ และสามารถเรียกเธอว่าแม่ได้ด้วย”
        สตรัยแซนด์ตั้งตารอที่จะได้สวมบทบาทสุดโต่งอย่าง รอซ ในภาพยนตร์เรื่อง Little Fockers แต่ที่ทำให้เธอตื่นเต้นมากกว่านั้นก็คือการได้มาอยู่ในกองถ่ายร่วมกับเพื่อนเก่าๆ “ฉันชอบที่ได้ทดลองอะไรบ้าง และดัสตินก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีในแง่นั้น นักแสดงคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ฉันรักพวกเขามาก” สตรัยแซนด์บอก “พอลเองก็สนับสนุนให้พวกเราด้นมุกสด พวกเราก็เลยสนุกสนานกันใหญ่ ส่วนที่ดีที่สุดที่ได้กลับมาแสดงภาพยนตร์เรื่อง Little Fockers ก็คือการได้เล่นกับพวกนักแสดง ฉันเพลิดเพลินมากทีเดียว”
        การกลับมารวมตัวกันอีกรอบของทีมนักแสดงคงไม่ใช่การกลับมารวมตัวกันอย่างแท้จริงแน่ถ้าปราศจากเจ้าของสองรางวัลออสการ์อย่าง ดัสติน ฮอฟฟ์แมน ที่กลับมารับบท เบอร์นี่ พ่อของเกร็ก เบอร์นี่ที่เป็นเสมือนหอกข้างแคร่ของ แจ็ค เบิร์นส์ คือด้านตรงกันข้ามกับแจ็คโดยแท้ และบุคลิกของเขายังคงทำให้ทีมนักแสดงต้องหัวเราะ นักแสดงชายผู้เป็นตำนาน ผู้ที่ผู้กำกับไวทซ์พูดถึงว่าเป็น “นักแสดงที่สวมหัวใจไว้ที่ข้อมือ” มีความสุขที่ได้กลับมารับบทเบอร์นี่ คุณพ่อที่ไม่เหมือนใคร บัดนี้ วงจรแห่งความไว้ใจสมบูรณ์แล้วจริงๆ
« Last Edit: January 05, 2011, 04:22:44 PM by happy »