กำเนิด From Prada to Nada
ด้วยนำ Sense and Sensibility มาเป็นฐานเรื่อง From Prada to Nada จึงกลายเป็นการตีความงานคลาสสิกของ เจน ออสเตน ออกมาในรูปของชุมชนเมืองสมัยใหม่ โดยสำรวจลึกลงไปในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสองสาวผู้ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม พร้อมทั้งต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ที่จำใจไปอยู่
“ผมชอบเรื่องนี้” ผู้กำกับ อังเจล กราเซีย อธิบาย “เพราะต้องรับมือกับ 3 ระดับที่ต่างกันในเวลาเดียวกัน ฉากหน้าผิวเผิน มันดูสวยงาม เป็นโรแมนติกคอเมดี้มีเสน่ห์น่าหลงใหลและทำให้หลงรักได้ไม่ยาก แต่ในระดับที่สอง นี่คือการฉายภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลังจากสูญสิ้นทุกอย่าง และท้ายที่สุด ในระดับที่สาม จะว่าด้วยเรื่องของสองสาวละตินที่ถูกเลี้ยงมาอย่างอเมริกัน ผมว่ามันทั้งจับใจทั้งทันสมัยทีเดียว แถมยังมีเสน่ห์มากๆ เวลาที่มองการเทียบเคียงระหว่างสองวัฒนธรรมในขณะเดียวกับที่ผู้คนกำลังตกหลุมรักกัน”
“ผมอยากทำโปรเจกต์นี้” กราเซียชี้แจง “เพราะตัวผมเองก็มาจากวัฒนธรรมเดียวกันกับในหนัง ผมเคยเป็นหนุ่มละตินวัยทีน ทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานหลายต่อหลายคนก็เป็นชาวละตินอพยพมาจากหลายต่อหลายประเทศ ซึ่งแต่ละคนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รวมกับโลกใหม่โดยไม่สูญเสียโลกเดิมไป เพราะเราเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจากที่นั่น”
ผู้คุมงานสร้าง ลินดา แม็คโดนัฟ เห็นด้วย และกล่าวต่อว่า ด้วยความอ่อนไหวของกราเซียต่อเรื่องราวในหนังนี่เองที่ทำให้ ออดล็อต เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เชื่อมั่นว่าเขาคือผู้กำกับที่เหมาะสมสำหรับโปรเจกต์นี้ที่สุด “อังเจลลงตัวสมบูรณ์แบบกับหนังของเรา เขาเกิดในเวเนซูเอลา เติบโตมาทั้งในสเปนและอเมริกา และเข้าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับผู้อพยพได้เป็นการส่วนตัว ภรรยาของเขามาจากเม็กซิโกซิตี้ และช่วยกันเลี้ยงดูลูกสาวที่เป็นลูกครึ่งเม็กซิกันอเมริกันเจเนอเรชั่นแรก ซึ่งต้องรับมือกับปัญหาต่างๆ แบบเดียวกับในหนัง ตอนที่ฉันเจอเขา เขาบอกฉันว่าเขาอยากทำหนังเรื่องนี้แบบที่เพิ่มความฉลาดให้สาวๆ และมอบเสียงหัวเราะให้วัยรุ่น แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เขาอยากสร้างตัวละครให้ออกมาสมจริงที่สุด”
กับความต้องการหนังลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ แม็คโดนัฟเสนอ “ไอเดียเกี่ยวกับการจับงานของ เจน ออสเตน มาบิดเป็นละติน ถูกใจฉันมากจริงๆ ท้าทายมากกับการดัดแปลงเรื่องราวในนิยายคลาสสิกระดับโลกให้กลายเป็นหนังที่ให้ความรู้สึกสดใหม่และเข้าถึงคนดูวัยรุ่น สำหรับเรา นั่นหมายถึงการเล่าเรื่องออกไปจากวัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบละติน นำเสนอเรื่องราวของผู้อพยพต่างด้าวเจเนอเรชั่นที่สอง”
ในส่วนของการสื่อความหมายของหนัง แม็คโดนัฟเผยว่า “ใจความสำคัญของหนังเป็นสากลอย่างแท้จริง ซึ่งคือ อย่าตัดสินหนังสือจากปกหรือวัดค่าของคนจากวัตถุสิ่งของ และทำให้เห็นว่าสิ่งท้าทายต่างๆ หรืออะไรก็ตามที่ชีวิตต้องฝ่าฟัน ที่สุดแล้ว มันคือประสบการณ์ที่เปลี่ยนเราให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม”
เกี่ยวกับการเชื่อมสัมพันธ์กับ เจน ออสเตน ผู้กำกับ อังเจล กราเซีย ให้รายละเอียดว่า “ผมว่าเรื่องที่ออสเตนเล่านั้นอยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่ มันไม่มีวันหมดอายุ อะไรที่เกิดขึ้นใน (อังกฤษศตวรรษที่ 19 ใน) Sense and Sensibility ล้วนแต่กลับมาเกิดขึ้นที่นี่ ในลอสแองเจลิส ณ ปัจจุบัน” ส่วน ลินดา แม็คโดนัฟ ก็เห็นสอดคล้อง “เดิมที เป็นเรื่องของสาวๆ ที่อยู่ๆ ก็ต้องพึ่งตัวเองแบบไม่คาดคิดมาก่อน ไม่สามารถเป็นตัวเองคนเดิมอีกต่อไป คือไม่มีทั้งเงินทั้งพ่อที่คอยหามาให้ ซึ่งในขณะเดียวกัน ฉันว่าสังคมทุกวันนี้มองว่าเรื่องแบบนั้นไม่ได้สลักสำคัญใดๆ อีกแล้ว ซึ่งเป็นการมองที่ผิวเผินมาก ดังนั้น เราเลยรู้สึกว่าน่าจะเล่าเรื่องเดียวกันให้คนดูเชื่อได้อย่างสนิทใจ”
นักแสดงสาว คามิลลา เบลล์ ผู้รับบท นอร่า ขอร่วมแสดงความคิดในประเด็นนี้ “เราหยิบเรื่องราวต้นฉบับจาก Sense and Sensibility มาใช้ในหนังมากมาย เพียงแต่บิดให้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สองพี่น้องยังคงคาแรกเตอร์แบบเดิม แต่เปลี่ยนบริบทเป็นลอสแองเจลิสในปัจจุบัน และเพิ่มเติมวัฒนธรรมเม็กซิกันอันล้ำค่าเข้าไปในส่วนผสม ฉันว่าสาวๆ วัยรุ่นต้องซาบซึ้งมากแน่ๆ แถมยังเป็นความซาบซึ้งแบบแปลกใหม่อีกด้วย”
ผู้เขียนบท เคร็ก เฟอร์นันเดซ เห็นพ้อง “สมัยที่ เจน ออสเตน เขียนงาน ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ทำงาน ส่วนทุกวันนี้ ผู้หญิงมีทางเลือก ดังนั้น ก็เลยกลายเป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งกลับเข้าไปในตัวเธอเองเพื่อหาว่าการยอมรับนับถือตัวเองนั้นอยู่ตรงไหน ซึ่งหญิงสาวอีกคนที่ไปไหนไปกันก็ไม่ได้ต่างกันเลย”
สำหรับธีมหลักหนึ่งของเรื่องอย่างการคืนสู่บ้าน เฟอร์นันเดซกล่าว “จะอ่อนไหวหรือสัมผัสประสบการณ์ชีวิตมากเกินไปไม่ได้ ต้องปิดตัวเองให้หมด เราจะพะวงทั้งเรื่องศิลป์และเรื่องรักพร้อมๆ กันไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะรู้สึกหดหู่เกินไป ต้องมีคำตอบอยู่ตรงไหนสักแห่งแน่ๆ แนวคิดนี้เป็นจริงอยู่ในงานเขียนของออสเตน และยังคงเป็นจริงเมื่อมาอยู่ในงานของเรา”
นักแสดงสาว อเล็กซา เวกา ผู้รับบท แมรี ซึ่งเป็นน้องสาว เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ฉันว่าใจความสำคัญของหนังคือการรวมเข้ากับรากเหง้าเผ่าพันธุ์ ยอมรับวัฒนธรรมที่หล่อหลอมเราขึ้นมา และจงภูมิใจกับมัน ในขณะเดียวกันก็ยังมีการค้นพบตัวตนที่แท้จริง และอย่ากลัวหากจะต้องทลายกรอบขอบเขต” ฝ่าย นิโคลัส ดาโกสโต ผู้รับบท เอ็ดเวิร์ด เฟอร์ริส รักที่หมายมั่นของนอร่า ก็ให้ความเห็น “ผมว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงคุณค่าของครอบครัวและประวัติศาสตร์ภูมิหลังที่มีร่วมกัน มันจะบอกเราว่าเราควรยินดีกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต ซึ่งทำให้เราเป็นคนพิเศษและแตกต่างจากคนอื่นๆ”
เฟอร์นันเดซขอสรุป “นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรักและการจากไป ผมอยากเน้นให้เห็นพลังของสาวละติน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่รวมเป็นหนึ่งกับวัฒนธรรมรากเหง้า สาวๆ เหล่านี้ทำได้ทุกอย่าง”