happy on November 11, 2010, 03:59:25 PM


ชื่อภาพยนตร์ Morning Glory
ชื่อไทย   ยำข่าวเช้ากู้เรตติ้ง
วันที่เข้าฉาย   20 มกราคม 2011
จัดจำหน่าย   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์   wwww.MornigGloryMovie.com

ทีมนักแสดง
   เรเชล แม็คอดัมส์ (RACHEL McADAMS)    รับบท  เบ็คกี้ ฟูลเลอร์
   แฮร์ริสัน ฟอร์ด (HARRISON FORD)       รับบท  ไมก์ โพเมอรอย
   ไดแอน คีตัน (DIANE KEATON)       รับบท  คอลลีน เพ็ค
   แพทริค วิลสัน (PATRICK WILSON)    รับบท  อดัม เบนเน็ตต์
   เจฟฟ์ โกลด์บลัม (JEFF GOLDBLUM)    รับบท  เจอร์รี่ บาร์นส์

ทีมผู้สร้าง
   โรเจอร์ มิเชลล์ (ROGER MICHELL) – ผู้กำกับ
   อาลีน บรอช แม็คเคนน่า (ALINE BROSH McKENNA) – ผู้เขียนบท
   เจเจ อับรามส์ (J.J. ABRAMS) – ผู้อำนวยการสร้าง
   ไบรอัน เบิร์ก (BRYAN BURK) – ผู้อำนวยการสร้าง
   เชอร์ริล คล๊าร์ก (SHERRYL CLARK) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
   กาย รีเดล (GUY RIEDEL) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

ราเชล แมคอดัมส์รับบทเด่นในหนังดี Morning Glory ได้สองดาราใหญ่ แฮริสัน ฟอร์ด และไดแอน คีตันร่วมแสดง
ผู้กำกับจาก Nothing Hill และผู้เขียนบท The Devil wears Prada
                 Morning Glory หรือ ชื่อไทยว่า ยำข่าวเช้ากู้เรตติ้ง คือภาพยนตร์คอเมดี้ โรแมนซ์เรื่องใหม่ที่กำกับโดย      โรเจอร์ มิเชลล์ จาก Nothing Hill และเขียนบทโดยอาไลน์ บรอช แม็คเคนน่า จาก The Devil wears Prada ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย เรเชล แม็คอดัมส์ม, แฮร์ริสัน ฟอร์ด,ไดแอน คีตัน และแพทริค วิลสัน ที่นำเสนอเรื่องราวโลกที่แสนดุเด็ดเผ็ดมันของวงการทีวีรายการถ่ายทอดสด เมื่อโปรดิวเซอร์รายการข่าวสาวมือใหม่ (แม็คอดัมส์) ที่ตอบรับความท้าทายที่จะต้องพลิกฟื้นรายการข่าวภาคเช้าที่กำลังย่ำแย่ พยายามกู้รายการภาคเช้าที่กำลังดิ่งลงเหวด้วยการเข้าไปจัดการกับสองผู้รายงานข่าว (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) มาเข้าคู่กับพิธีกรร่วมที่ไม่ถูกชะตากัน (ไดแอน คีตัน) แต่รูปการณ์กลับกลายเป็นว่ามันกำลังจะยิ่งดิ่งลงเหวไปเร็วขึ้น พร้อมๆกับดึงเอาอาชีพและชีวิตของเธอไปด้วย  
            เตรียมพบกับเรื่องราวที่จะสร้างความประทับใจพร้อมเสียงหัวเราะกันได้  20 มกราคม 2011




เบื้องหลังงานสร้าง

“มันเป็นแค่งาน ไม่ใช่ชีวิตทั้งหมดของฉัน...จริงไหม?”
เบ็คกี้ ฟูลเลอร์

ในที่สุด เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ (เรเชล แม็คอดัมส์) โปรดิวเซอร์รายการข่าวภูมิภาค ก็คว้างานในฝันกลางเมืองใหญ่มาครองจนได้ เมื่อเธอได้ครอบครองรายการข่าวภาคเช้าระดับชาติที่ชื่อว่า “เดย์เบรก” ในนิวยอร์ก อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันแรก ฝันหวานกลับกลายเป็นฝันร้าย ทั้งๆ ที่เธอมีทั้งความกล้าได้กล้าเสีย ความอดทน และฝีมือในแบบที่หญิงสาวต้องมีเพื่อจะนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จ แต่ก้างขวางคอชิ้นโตที่ยืนขวางระหว่างเบ็คกี้กับการไต่เต้าไปสู่จุดสูงสุดของงาน ก็คือ ไมก์ โพเมอรอย (แฮร์ริสัน ฟอร์ด) ผู้ประกาศข่าวผู้เป็นตำนาน ขี้หงุดหงิด จอมยโสที่ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเธอเลย และเขาผู้นี้ได้กลายเป็นเสมือนคำสาปที่สุดแสนจะร้ายกาจสำหรับเธอ และเป็นความหวังเดียวของเธอที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของรายการข่าวภาคเช้ายอดแย่ในอเมริกา
เมื่อเบ็คกี้มาถึงรายการข่าว “เดย์เบรก” แม้แต่ทางสถานีก็ยังยอมถอดใจกับรายการข่าวที่กำลังดิ่งลงเหวรายการนี้ ซึ่งมีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องของการบ่อนทำลายแม้แต่โปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์สูงก่อนดวงอาทิตย์จะทันขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยซ้ำ ถึงแม้เบ็คกี้จะไม่เคยมีประสบการณ์ทำรายการข่าวระดับชาติมาก่อน  แต่เธอตั้งใจไว้ว่าเธอจะต้องแตกต่างไปจากคนอื่น ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เธอตัดสินใจจะลองของใหม่ นั่นก็คือการผสมผสานระหว่างสไตล์การรายงานข่าวที่จริงจังของอดีตผู้สื่อข่าวภาคเย็นอย่างโพเมอรอย กับความเชื่อมั่นระดับตัวแม่ของพิธีกรรายการภาคเช้า คอลลีน เพ็ค (ไดแอน คีตัน)
งานนี้เปรียบเสมือนงานสร้างภัยพิบัติระดับหายนะของแท้ เมื่อสองยักษ์ใหญ่อีโก้จัดต้องมาปะทะกัน และโพเมอรอยประกาศเจตนาชัดเจนที่จะไม่ยอมรายงานข่าวพยากรณ์อากาศ ข่าวซุบซิบคนดัง หรือแม้แต่การทำอาหาร ในไม่ช้า เบ็คกี้ต้องดิ้นรนอย่างเต็มพิกัดเพื่อรักษาชื่อเสียงตัวเอง งาน รวมถึงความรักที่กำลังผลิบานของเธอกับเพื่อนโปรดิวเซอร์ (แพทริค วิลสัน) ซึ่งเธอไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้พบเจอ แต่ยิ่งเบ็คกี้ได้เผชิญคำเย้ยหยันและความเหนื่อยล้า เธอก็ยิ่งเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รวมไปถึงโอกาสที่จะเข็นรายการ “เดย์เบรก” ให้ดังได้ด้วย ผลก็คือภาพยนตร์ตลกสุดเซ็กซี่และแสนฉลาดเกี่ยวกับโอกาสครั้งแรกของหญิงสาวคนหนึ่งที่ได้ลิ้มรสชาติชัยชนะ เมื่อเธอค้นพบว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าคนรอบๆ ตัวคุณจะดูแย่แค่ไหน เพราะทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ถ้าคุณทุ่มเทหัวใจของคุณให้กับสิ่งนั้น  
Morning Glory มีชีวิตโลดแล่นขึ้นมาได้ด้วยฝีมือของทีมผู้สร้างที่มีความหลากหลาย ผู้มีความรักในภาพยนตร์ตลกที่วางเหตุการณ์ไว้ในโลกตามความเป็นจริง ผู้กำกับ โรเจอร์ มิเชลล์ เคยกำกับภาพยนตร์ฮิตอย่าง Notting Hill ขณะที่มือเขียนบท อาลีน บรอช แม็คเคนน่า เคยเป็นผู้เขียนบทให้กับภาพยนตร์ตลกที่ได้รับคำชมที่ว่าด้วยเรื่องราวในโลกแฟชั่นอย่าง The Devil Wears Prada และผู้อำนวยการสร้าง เจเจ อับรามส์ เคยทำรายการทีวีที่ได้รับความนิยมมาแล้วมากมาย (“Felicity,” “Alias,” “Lost,” “Fringe”) และเมื่อเร็วๆ นี้ เขายังเป็นผู้กำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เวอร์ชั่นใหม่ของ Star Trek ด้วย  
อับรามส์พูดถึงภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory ว่า “ผมชอบไอเดียที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ โปรดิวเซอร์สาวรุ่นใหม่ไฟแรง จิตใจดี แต่หัวรั้น ต้องมาเผชิญกับผู้ประกาศข่าวสูงวัยกว่า ซึ่งทั้งขี้หงุดหงิด โมโห และไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ทั้งสิ้น คอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้เต็มไปด้วยมุขตลกคลาสสิก มันทั้งตลก น่ารัก และเซ็กซี่ แต่ผมว่ามันยึดมั่นต่อชีวิตตามความเป็นจริงในแง่ที่ว่าผู้คนเบื้องหลังรายการ ‘เดย์เบรก’ ที่มีนิสัยแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ต้องค้นหาทั้งความนับถือ ความชื่นชม และความรักเพื่อจะมารวมตัวกันในฐานะที่เป็นครอบครัวประหลาด แต่ต่างเสียสละเพื่อกันและกัน”  
ไบรอัน เบิร์ก ซึ่งทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับอับรามส์ ให้กับบริษัทแบ็ด โรบ็อท กล่าวเสริมว่า “อาลีน บรอช แม็คเคนน่าเขียนบทภาพยนตร์ที่แสนวิเศษเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้น พวกเราแฮปปี้อย่างมากกับการได้ทีมนักแสดงที่น่าทึ่งที่สุด ให้เข้ามาสร้างชีวิตให้กับเหล่าตัวละครแสนวิเศษในโลกที่เรื่องตลกๆ เกิดขึ้นก่อนที่พระอาทิตย์จะทันขึ้นสู่ขอบฟ้า”
พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของบริษัทแบ็ด โรบ็อท จากฝีมือของ โรเจอร์ มิเชลล์ ซึ่งนำแสดงโดย เรเชล แม็คอดัมส์, แฮร์ริสัน ฟอร์ด และไดแอน คีตัน เรื่อง Morning Glory ร่วมแสดงด้วยแพทริค วิลสัน และเจฟฟ์ โกลด์บลัม ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทโดยอาลีน บรอช แม็คเคนน่า ทีมผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ เจเจ อับรามส์ และไบรอัน เบิร์ก ขณะที่ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ เชอร์ริล คล๊าร์ก และกาย รีเดล ทีมงานหลังกล้อง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ อัลวิน คัชเลอร์, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรายด์เบิร์ก, ผู้ลำดับภาพ แดน ฟาร์เรลล์, นิค มัวร์ และสตีเว่น วีสเบิร์ก และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แฟรงก์ เฟลมมิ่ง ขณะที่ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ เดวิด อาร์โนลด์
« Last Edit: January 13, 2011, 04:24:46 PM by happy »

happy on November 11, 2010, 04:03:53 PM


ป่วนกันตั้งแต่ไก่โห่
      
      มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้หญิงทำงานในภาพยนตร์ตลกสุดฮาและเซ็กซี่ ตั้งแต่บทผู้ประกาศข่าวสาวของ โรซาลินด์ รัสเซลล์ ที่ต้องปะทะบทบาทกับ แครี่ แกรนท์ ผู้รับบทเป็นบก.จอมเจ้าเล่ห์ในภาพยนตร์ของ ฮาวเวิร์ด ฮอว์กส์ เรื่อง His Girl Friday จนถึงบทเลขานุการสาวต๊อกต๋อยของ เมลานี่ กริฟฟิธ ที่สวมรอยเป็นเจ้านายผู้ทรงอำนาจของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Working Girl เหล่าหญิงสาวที่กำลังไต่เต้าสู่ความมีอำนาจ กลับกลายเป็นฮีโร่ที่มีเสน่ห์ที่สุด ฉลาดที่สุด เจ้าปัญญาที่สุดในภาพยนตร์แนวตลก  
      อาลีน บรอช แม็คเคนน่า ผู้ทำหน้าที่เขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้สึกสนใจในความพยายามและชัยชนะของเหล่าหญิงสาวที่พยายามแสวงหาหนทางในหน้าที่การงาน รวมไปถึงค้นหาตัวเอง เธอเริ่มเข้ามาสัมผัสเรื่องในแนวนี้เมื่อเธอจรดปลายปากกาเขียนบทให้กับภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง The Devil Wears Prada ซึ่งสร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์เกี่ยวกับผู้หญิงสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายที่เหมือนส่งตรงมาจากนรก  
บัดนี้ เธอต้องนำมุมมองร่วมสมัยที่มีความแปลกใหม่ใส่เข้าไปในการนำเสนอภาพของหญิงสาวที่กำลังไต่เต้า ผู้กลับตกลงตรงกลางของสิ่งที่อาจกลายเป็นเครื่องผสมอาหารที่มีแรงดันสูงสุดในโลกของการทำงาน นั่นก็คือการทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ให้กับรายการข่าวภาคเช้า อันเป็นงานที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนในแง่ของการผลักดันให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีความทะเยอทะยานสามารถก้าวสู่ความสำเร็จสูงสุด...หรือไม่ก็...กลายเป็นบ้าไปเลย  
แม็คเคนน่าเริ่มต้นด้วยไอเดียที่ว่าด้วยเรื่องราวของโปรดิวเซอร์ข่าวท้องถิ่น ที่โอกาสในหน้าที่การงานดูเหมือนจะชวนหดหู่ไม่ต่างจากชีวิตรักของเธอ จนกระทั่งเธอได้รับโอกาสแจ้งเกิดในรายการข่าว “เดย์เบรก” เธอรู้ดีว่างานนี้มีโอกาสเสี่ยงสูง แต่เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ก็ไม่อาจปล่อยให้โอกาสที่จะหลุดเข้ามาครั้งเดียวในชีวิตหลุดมือไปโดยไม่ทันได้ทุ่มเทอย่างสุดตัวได้ และนั่นก็คือตอนที่หญิงสาวที่กำลังไฟแรงและเนื้อเต้นผู้นี้ต้องมาปะทะกับคู่ปรับสุดขั้วอย่าง ผู้ประกาศข่าวภาคค่ำผู้เป็นตำนาน ที่รับไม่ได้เลยกับทุกสิ่งที่ดูนุ่มนิ่ม อ่อนหวาน หรือที่แย่ที่สุดก็คือ ฟูฟ่อง แต่เขาถูกบีบให้ต้องเผชิญกับความหน่อมแน้มที่เขาแสนจะเกลียด เมื่อเบ็คกี้เลือกเขาให้เป็นผู้ดำเนินรายการร่วมในรายการข่าวของเธอ โดยเธอหวังว่าเขาจะเป็นพระมาโปรดหน้าที่การงานของเธอด้วย
เมื่อแม็คเคนน่านำเรื่องราวของ Morning Glory ไปเสนอกับ เจเจ อับรามส์ เขาตกหลุมรักในเรื่องราวความตึงเครียดระหว่างเด็กใหม่ที่มีความมุ่งมั่น ผู้ไม่ยอมแพ้ กับตัวก่อปัญหาในที่ทำงานที่ไม่ยอมแม้แต่จะให้ความร่วมมือ แม้นั่นอาจหมายถึงการช่วยชีวิตตัวเอง  
     “พลังขับเคลื่อนของ Morning Glory ก็คือการเป็นคู่กัดแสนฮาระหว่างตัวละครสุดยอดสองตัว นั่นก็คือ เบ็คกี้ หญิงสาวที่มีความกระตือรือร้นสุดๆ กับงานใหม่ของเธอ เธออยากให้ทุกคนเชื่อในตัวเธอ กับไมก์ ผู้ประกาศข่าวที่บัดนี้ได้เกษียณตัวเองไปแล้ว ผู้ชิงชังข่าวภาคเช้ามากที่สุด เขายินดีทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อทำให้งานของเบ็คกี้กลายเป็นความลำบากอย่างที่สุด ผมชอบที่อาลีนเขียนเรื่องให้มีอารมณ์แบบภาพยนตร์ยุคเก่า เปี่ยมไปด้วยพลัง เหมือนกับภาพยนตร์ของเพรสตัน สเตอร์เจส ข่าวภาคเช้าเป็นฉากหลังที่ดีสำหรับเรื่องราวตลกในที่ทำงาน เพราะมันเป็นบรรยากาศแบบถ่ายทอดสด แต่อาลีนนำเสนอเรื่องนี้ด้วยวิธีสดใหม่ที่สุด การประสบความสำเร็จในงานนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเบ็คกี้ แต่ไมก์ไม่คิดจะทำให้งานนี้เป็นงานง่ายสำหรับเธอเลย”
ทีมงานที่แบ็ด โรบ็อทต่างรู้สึกตื่นเต้นไปกับความสนุกสนานในการเปิดเผยให้เห็นถึงความวุ่นวายปั่นป่วนเบื้องหลังการทำรายการข่าวภาคเช้า ที่คนอเมริกันมากมายตื่นขึ้นมาเพื่อดูทุกเช้า ซึ่งบัดนี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยการรายงานข่าวพยากรณ์อากาศแบบสุดเพี้ยน ความวุ่นวายปั่นป่วนของเหล่าสัตว์ และการอบลาซันญ่า แต่ยังกลายเป็นรายการที่แข่งขันชิงเรตติ้งกันอย่างมันส์หยด
     “ถ้าคุณเคยดูคลิปภาพจากยูทู้บ คุณคงรู้ว่าข่าวภาคเช้านั้นเต็มไปด้วยข่าวสนุกบ๊องๆ ที่น่าขันที่สุดเท่าที่มีให้เห็นในวิดีโอ” เบิร์กกล่าว “มันน่าตื่นเต้นมากเมื่อคิดถึงความฮาในข่าวพวกนี้”
พวกเขาแทบไม่สงสัยเลยว่าบรอช แม็คเคนน่าสามารถเจาะเข้าถึงหัวใจของความฮาในบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นสุดท้ายนี้ได้ “พวกเราทุกคนต่างเป็นแฟนผลงานของอาลีนอยู่แล้ว” เชอร์ริล คล๊าร์ก ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ผู้ดูแลงานผลิตภาพยนตร์ให้กับ แบ็ด โรบ็อท บอก “และพวกเราก็คิดกันว่าเธอเหมาะกับเรื่องนี้ที่สุด”
แม็คเคนน่ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีในเรื่องของการใช้ไดอะล็อกได้อย่างมีสีสัน แต่ขณะเดียวกันเธอก็มีความเชื่อมั่นในการค้นคว้าข้อมูล ในทันใดนั้น แม็คเคนน่าเริ่มตั้งนาฬิกาให้ปลุกเธอขึ้นกลางดึก และเธอก็เริ่มใช้เวลาเข้าไปคลุกคลีอยู่เบื้องหลังรายการภาคเช้าแทบทั้งหมดของนิวยอร์ก เพื่อให้ได้เห็นกับตาว่าชีวิตของโปรดิวเซอร์หนุ่มสาวนั้นช่างยากลำบากสักแค่ไหน
คล๊าร์กกล่าวว่า “ฉันคิดว่าหนึ่งในคำชมที่ดีที่สุดที่พวกเราได้รับก็คือตอนที่ มอร์ลี่ย์ เซฟเฟอร์ ซึ่งรับบทรับเชิญในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถามว่าอาลีนเคยทำงานในวงการข่าวมาก่อนงั้นเหรอ เพราะเขาคิดว่าทุกอย่างมันออกมาถูกตรงเป๊ะมากๆ”
ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นเท่าไหร่ แม็คเคนน่าก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องเป็นมากกว่าการทำศึกระหว่างข่าวกับรายการบันเทิง เธอจึงวางให้ตัวละครเอกของเธอต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงในปัจจุบัน นั่นก็คือ คนสองคนกลับยิ่งต้องเข้ามาพัวพันกันมากกว่าจะแยกห่างจากกัน ไมก์ โพเมอรอยอาจเชื่อมั่นในพลังของข่าวที่ส่งผลกระทบต่อโลก และเบ็คกี้อาจรู้สึกหวั่นเกรงในความเก่งกาจของเขาในฐานะผู้สื่อข่าว แต่เธอรู้ดีว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปจนถึงจุดที่ไมก์อาจต้องหาวิธีการใหม่ๆ ไม่งั้นคงต้องหายหน้าไปจากวงการ และมันเป็นพลังขับดันเธออย่างแรงกล้า เมื่อเธอเกิดความต้องการที่จะช่วยกู้หน้าที่การงานของเขา มากพอๆ กับที่เธออยากจะแจ้งเกิดให้กับตัวเอง
“บทภาพยนตร์ของอาลีนรับรู้ในข้อโต้แย้งและยังพูดถึงความสำคัญของข่าวสาร แต่จริงๆ แล้วเรื่องราวที่เธอเขียนขึ้นมาไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น” คล๊าร์กอธิบาย “จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่เป็นเสมือนผู้ตกเป็นเบี้ยล่าง ผู้เดินทางมายังเมืองใหญ่เพื่อพยายามเปลี่ยนชะตากรรมของรายการข่าวเรตติ้งสุดต่ำในอเมริกา และในระหว่างความพยายามนี้ เธอต้องหาวิธีที่จะหมุนไปรอบๆ ตัวคนที่ปากจัดที่สุดเท่าที่เคยมี”
นับแต่ตอนที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาช่วงแรกๆ อาลีน บรอช แม็คเคนน่า และเจเจ อับรามส์นึกฝันอยากได้ แฮร์ริสัน ฟอร์ด มารับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้คงจะช่วยจุดประกายให้กับเขาได้ เพราะแฮร์ริสันเป็นคนที่มีอารมณ์ขันที่น่าทึ่ง” อับรามส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับฟอร์ดเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Regarding Henry เล่า “เรามักจะคิดถึงแฮร์ริสันในฐานะที่เขาเป็นแอ็กชั่นฮีโร่ อย่างเช่น ฮาน โซโล และอินเดียน่า โจนส์ แต่ที่จริงเขาเป็นคนตลกมาก  มันนานมากแล้วนะนับแต่ที่เขาได้รับบทตลกสุดยอดเยี่ยม”
หลังจากได้ฟอร์ดมาแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว การค้นหาตัวผู้กำกับก็เริ่มต้นขึ้น และชื่อหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็คือ โรเจอร์ มิเชลล์ ผู้เคยฉายแววในการสร้างภาพยนตร์ตลกสุดฮิตอย่าง Notting Hill ซึ่งนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์ และฮิวจ์ แกรนท์ ในเรื่องราวความรักที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ระหว่างดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก กับหนุ่มลอนดอนสุดแสนจะเดินดิน เจ้าของร้านขายหนังสือ มิเชลล์ยังเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ เรื่อง Venus ซึ่งนำแสดงโดย ปีเตอร์ โอทูล ในบทบาทที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดบทหนึ่งของเขา, ภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่าง The Mother และภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง Changing Lanes  
     “โรเจอร์ มิเชลล์ทำได้ทุกอย่าง และเขาก็มักจะนำสไตล์อันโดดเด่นและความงดงามมาสู่งานทุกชิ้นที่เขาทำ” อับรามส์บอก “โรเจอร์ทำให้ Morning Glory มีภาพลักษณ์ที่มีชีวิตชีวา และเขายังดึงเอาการแสดงระดับสุดยอดจากนักแสดงออกมาอีกด้วย”
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเอามิเชลล์เซอร์ไพรส์เลยทีเดียว “ผมอยากกลับไปอเมริกา และสร้างภาพยนตร์ที่จะสร้างความสนุกสนานให้กับผู้คนได้อย่างมากมาย” มิเชลล์บอก “และเมื่อตอนที่ผมได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมรู้สึกว่ามันมีแววยอดเยี่ยม มันอิงอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกคนจดจำได้ เป็นโลกของรายการทีวีภาคเช้า แต่ก็เป็นโลกที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจและน่าสนใจกว่าที่ผมเคยนึกภาพเอาไว้เสียอีก อารมณ์ขันถูกสอดแทรกอยู่ในตัวละคร และอยู่ในวิธีการที่เบ็คกี้ ฟูลเลอร์สามารถมีชัยชนะได้ด้วยการใช้ทั้งพลังบุคลิกและเสน่ห์ของเธอ ในการเปลี่ยนแปลงกลุ่มคนที่ไม่น่าอยู่ด้วยกันได้กลุ่มนี้ ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ”
การมาร่วมกลุ่มกันของแม็คเคนน่า, ฟอร์ด และมิเชลล์ ก่อให้เกิดโอกาสอันแสนสดใสมากมาย ซึ่งยิ่งสดใสและมีหวังมากขึ้นเมื่อได้อีกสองนักแสดงสุดยอดมาช่วยเสริมทีม ไม่เพียงแต่ดาราสาวดาวรุ่ง เรเชล แม็คอดัมส์ จะมารับบทอันสุดท้าทายเป็น เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ เท่านั้น แต่นักแสดงหญิงผู้เป็นตำนานบนจอเงินอย่าง ไดแอน คีตัน ยังมารับบทเป็นคู่ปรับสุดฮาของฟอร์ดอีกด้วย
     “การมีโอกาสได้เห็นสองนักแสดงชื่อดังมาปะทะกันแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว” กาย รีเดล ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้สรุป “แฮร์ริสันกับไดแอนทำให้ตัวละครของพวกเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาจนถึงจุดที่คุณไม่อยากให้การตอบโต้กันไปมาระหว่างเขาสองคนยุติลง เราอยากเขียนไดอะล็อกเพิ่มให้กับพวกเขา เพื่อที่พวกเราจะได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอได้มากขึ้น”
« Last Edit: November 11, 2010, 04:12:37 PM by happy »

happy on November 11, 2010, 04:08:33 PM


                                                     ขอต้อนรับสู่สัปดาห์สุดหัวหมุน:
                                                       เรเชล แม็คอดัมส์รับบท เบ็คกี้ ฟูลเลอร์
       
ส่วนสำคัญที่สุดในการสร้าง Morning Glory ให้สำเร็จได้ ก็คือการเลือกนักแสดงในบทนำ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ซึ่งต้องเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว ร่าเริงกระฉับกระเฉง แต่ก็ต้องฉลาดมากพอที่จะไต่เต้าไปจนถึงวันแห่งชัยชนะที่ไม่มีใครเชื่อว่าเธอจะทำได้
     “เราต้องการคนที่คุณอยากจะเอาใจช่วยจริงๆ” เจเจ อับรามส์บอก “เธอต้องร่าเริงสนุกสนาน แต่ส่วนสำคัญก็คือเธอจะต้องมีทั้งความลึกและมีประสบการณ์เท่าเทียมกัน เรเชล แม็คอดัมส์มีคุณสมบัติทั้งหมดนี้ เธอเข้าถึงเนื้อหาในส่วนของความตลก แต่ตัวละครของเธอยังเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความตรงไปตรงมา และอารมณ์” 
เชอร์ริล คล๊าร์กกล่าวเสริมว่า “เรเชลคืออากาศที่สดชื่น เธอกระโดดเข้ามาทั้งสองเท้า ฉันว่าเธอทำให้เบ็คกี้เป็นคนที่ทุกคนเข้าถึงได้ บางครั้งในชีวิต ทุกคนก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายที่ตกเป็นเบี้ยล่าง และเรเชลก็แสดงอารมณ์นั้นออกมาได้”
แม็คอดัมส์รู้สึกถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเธอกับเบ็คกี้แทบจะในทันที ทั้งในส่วนของข้อบกพร่องและหัวจิตหัวใจที่ไม่ท้อถอยของเธอ 
     “ฉันคิดว่ามีคนหนุ่มสาวมากมายที่เคยผ่านประสบการณ์ที่คุณเพิ่งจะมาทำงานในที่ใหม่ แล้วคุณพบว่าคุณต้องเจอกับพวกมืออาชีพที่มีประสบการณ์มานาน เป็นคนที่อยากจะทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่พวกเขาอยากจะทำ” แม็คอดัมส์กล่าว “สิ่งที่ฉันชอบก็คือเบ็คกี้ตอบรับต่อสถานการณ์นี้ และทำงานด้วยความกระปรี้กระเปร่าในแบบที่เธอใส่ลงไปในทุกงานที่เธอทำ และเปลี่ยนแปลงมันไปหน้ามือเป็นหลังมือ” 
แม็คอดัมส์ประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับมือเขียนบท อาลีน บรอช แม็คเคนน่า เพื่อทำความรู้จักตัวละครที่มีความมุ่งมั่นของเธอทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
     “อาลีนเป็นมือเขียนบทที่เก่ง เธอรู้จักตัวละครของเธอเป็นอย่างดี แล้วเธอก็ดีมากที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำงานด้วย” แม็คอดัมส์บอก “สำหรับฉันแล้ว เป็นเรื่องตื่นเต้นที่สามารถพูดคุยกับเธอตลอดการถ่ายทำ และได้ไอเดียต่างๆ จากเธอ และได้ความคิดใหม่ๆ จากเธอ เราเสริมนั่นเสริมนี่กันตลอด ทำให้ตัวละครตัวนี้ดีขึ้น” 
ด้วยความจริงจังไม่ต่างจากเบ็คกี้ ฟูลเลอร์ แม็คอดัมส์ทุ่มตัวเองให้กับการค้นคว้าหาข้อมูลเป็นการส่วนตัว โดยเธอได้เดินทางไปดูรายการภาคเช้าแทบทุกรายการในนิวยอร์กเพื่อวิเคราะห์รูปแบบการทำงานของพวกเขา 
     “ฉันคุยกับทุกคน ทั้งโปรดิวเซอร์ คนที่คอยจัดหาเรื่องราวต่างๆ เจ้าหน้าที่กล้อง คนที่อยู่ในห้องควบคุม ทั้งนี้เพื่อพยายามทำความเข้าใจถึงการทำงานจากทุกแง่มุม ฉันพบว่าที่นั่นเหมือนพวกเขาใช้ภาษาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง” แม็คอดัมส์บอก “และทุกสิ่งทุกอย่างก็เดินหน้าไปเร็วมาก นาทีหนึ่งผู้คนเกิดอาการตื่นตะหนก ทุกอย่างร้อนรน และนาทีถัดมา พวกเขาก็คุยเล่นกัน หัวเราะกัน และออกไปกินอาหารกลางวันกัน สิ่งที่สร้างความประทับใจให้จริงๆ ก็คือ ธรรมชาติของการทำรายการทีวีสด เมื่อคุณพูดหรือทำอะไรระหว่างออกอากาศไปแล้ว คุณไม่สามารถถอนมันกลับคืนได้ นั่นแหละน่ากลัวมากๆ”
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้แม็คอดัมส์ต้องประหลาดใจก็คือ การทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับรายการข่าวภาคเช้านั้นต้องใช้แรงกายมากขนาดไหน “เบ็คกี้ออกจะเป็นแอ็กชั่นฮีโร่มากกว่าที่ฉันคาดไว้อีกนะ” แม็คอดัมส์หัวเราะ “ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดตลอด และวิ่งพล่านไปทั่ว ขณะที่เธอต้องจัดการรับมือกับผู้คนที่มีหลักการทำงานแตกต่างกัน ดังนั้นมันกลายเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สนุกมาก”
เมื่ออยู่ในกองถ่าย ดูเหมือนแม็คอดัมส์จะกลายเป็นตัวละครตัวนี้ไปอย่างเต็มตัว แม้กระทั่งผู้กำกับก็ยังต้องกล่าวชม ผู้กำกับมิเชลล์เล่าว่า “เรเชลบอกผมว่าเธอไม่เคยคิดถึงตัวเองว่าเป็นนักแสดงตลกเลย แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เพียงแต่มีท่าทางที่ตลกเท่านั้น แต่เธอยังตลกทั้งตัว รวมถึงท่าทางการเคลื่อนไหวของเธอด้วย เธอผสมผสานทักษะในการแสดงตลกสุดฮาของเธอเข้ากับอารมณ์อบอุ่นหัวใจ เธอมีพลังที่อ่อนหวานและไร้เดียงสา ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ เบ็คกี้มีงานใหญ่เอาการทีเดียว แต่เรเชลแสดงให้เธอดูเหมือนกับเด็กที่ไปโรงเรียนวันแรก ความร่าเริงของเรเชลคือสิ่งที่ช่วยเดินเรื่อง เมื่อเธอแสดงให้เห็นว่าเบ็คกี้ได้รับชัยชนะด้วยแรงใจและเสน่ห์ของเธอได้อย่างไร”
       เสน่ห์ของเบ็คกี้ต้องผ่านการทดสอบเมื่อเธอเริ่มรู้ตัวว่า ไมก์ โพเมอรอย ผู้ประกาศข่าวที่เธอชื่นชมบูชามานาน อาจไม่ใช่เพื่อนร่วมงานในฝัน อันที่จริง เขามีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในคนที่แย่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ แต่ยิ่งไมก์หงุดหงิดโมโหร้ายและต่อต้านเท่าไหร่ เบ็คกี้ก็ยิ่งดื้อดึงมากขึ้นเท่านั้น เป็นความสัมพันธ์ที่แม็คอดัมส์ดีใจที่ได้มาร่วมแสดงกับแฮร์ริสัน ฟอร์ด
     “แฮร์ริสัน ฟอร์ดรับบทเป็นไมก์ได้อย่างงดงาม เขาแสดงหน้าตาย แห้งแล้งน่าเบื่อ ช่างประชดประชัน ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้ เขายังแสดงออกมาไม่หมด แต่ก็ดูเต็มที่ มันน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้มาตอบโต้กับเขา” แม็คอดัมส์บอก
สำหรับ กาย รีเดล ความงดงามของการแสดงของแม็คอดัมส์ก็คือการแสดงตอบโต้อย่างเข้ากันดีกับฟอร์ด เขาสรุปว่า “เรเชลสนุกและมีชีวิตชีวา เธอเหมือนเชียร์ลีดเดอร์เมื่อคุณนำไปเปรียบเทียบกับไมก์ โพเมอรอย ซึ่งเป็นคนที่ทั้งดื้อรั้น เข้มงวด และขี้โมโห ได้เห็นเธอยืนยันปะทะกับเขา ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว” 
      แม็คอดัมส์รู้สึกตื่นเต้นพอๆ กันกับโอกาสที่ได้ร่วมงานกับ ไดแอน คีตัน “สิ่งที่ฉันชอบมากในตัวไดแอนก็คือเธอรับบทเป็นคอลลีนในแบบที่คุณสามารถมองเห็นหัวใจที่อยู่ภายใต้ได้ ดังนั้นคุณจึงมองเห็นว่านี่คือผู้หญิงที่ยินดีจะทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งใส่ชุดซูโม่ เพื่อทำให้ผู้คนได้หัวเราะ ทำให้พวกเขาได้ยิ้ม เพื่อทำให้พวกเขาติดตามดูในตอนเช้า เธอทำให้คอลลีนดูเป็นคนตลก ทรหดอดทน แต่ก็มีความอ่อนไหวในตัว” 
      ถ้าเบ็คกี้เสมือนต้องออกรบตลอดทั้งเช้า เธอก็ได้พบความสงบสุดโรแมนติคอย่างคาดไม่ถึงในเวลาต่อมาเมื่อเธอเริ่มคบหากับโปรดิวเซอร์แม็กกาซีนข่าว อดัม เบนเน็ตต์ (แพทริค วิลสัน) เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เบ็คกี้ทำงานยุ่งมากเสียจนไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีใครสนใจเธอ แต่อดัมไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไป “ตอนแรก เบ็คกี้แค่คิดว่าเธออยากจะขอยืมใช้สมองของเขาสักหน่อย เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าจะรับมือกับสัตว์ร้ายแสนประหลาดที่รู้จักกันในชื่อ ไมก์ โพเมอรอย ได้อย่างไร” แม็คอดัมส์อธิบาย “และเบ็คกี้ก็ใสซื่อมากในเรื่องผู้ชายจนเธอตีท่าทีของอดัมผิดไปจนหมด เราเริ่มต้นกันอย่างงุ่มง่าม แต่...คงต้องบอกว่าผลมันกลับออกมาดีมากทีเดียว”
      แม็คอดัมส์ได้สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับวิลสัน “เธอทำให้เบ็คกี้มีพลังอันมากมายสุดแสนพิเศษโดยไม่ทำให้เธอดูเป็นบ้าหรือทำให้เธอดูห่างเหินไปจากคนดู เป็นเรื่องง่ายมากที่จะตกหลุมรักเธอ” เขาสรุป

happy on November 11, 2010, 04:11:42 PM
                                                       

                                                         อย่าได้ฟูมฟาย:
                                                      แฮร์ริสัน ฟอร์ดรับบท ไมก์ โพเมอรอย
             
นี่คือเป็นหนึ่งในบทตลกบทแรกๆ ในรอบหลายปีของเขาเลยทีเดียว เมื่อ แฮร์ริสัน ฟอร์ด มารับบทเป็นตัวละครสุดเว่อร์ ไมก์ โพเมอรอย หรือในอีกฉายาก็คือ “คนที่แย่เป็นอันดับ 3 ของโลก” เขาคือผู้ประกาศข่าวปากจัดจอมถากถาง แต่ก็เป็นผู้ประกาศข่าวเก่าแก่ที่เก่งกาจ ผู้ถูกบีบให้ต้องเป็นพิธีกรร่วมในรายการภาคเช้าที่มาพร้อมบรรยากาศเบาๆ สบายๆ ในแบบที่ขัดอกขัดใจเขาเสียจริงๆ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในสมัยที่ข่าวยังเป็นเรื่องสำคัญ และผู้ประกาศข่าวคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในความน่าเชื่อถือ ไมก์คือเทพเจ้าของวงการทีวี เป็นผู้เล่นทรงพลังตัวจริงเสียงจริงในโลกการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บัดนี้เมื่อความนิยมในตัวเขาตกลง และงานที่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา กำลังเหือดหายไป ไมก์ถูกทิ้งให้ต้องโดดเดี่ยวและหงุดหงิดกับโลกมากกว่าที่เขาเคยคิดไว้ เท่าที่ไมก์เป็นห่วง แต่ดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว...จนกระทั่งเขาได้พบกับโปรดิวเซอร์เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ และเธอจัดการหลอกล่อให้เขากลับมาออกอากาศอีกครั้งในช่วงเวลาที่ผู้คนยังคงแปรงฟัน และหลายคนกำลังตรวจสอบต่อมลูกหมากของตัวเองอยู่
“โดยทั่วไปแล้ว ไมก์พบว่าการพลิกผันชีวิตของเขาครั้งนี้คือความอับอาย” ฟอร์ด นักแสดงชายที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว อธิบาย “เขาไม่เคยมองว่างานนี้คือการปิดฉากที่เหมาะสมสำหรับหน้าที่การงานที่เคยรุ่งเรืองแจ่มใส กับการเป็นพิธีกรให้กับรายการภาคเช้าที่อาจมีเรตติ้งต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการทีวี เขาพบว่ามันเป็นงานที่ต่ำกว่าสถานะของเขา ต่ำกว่าศักดิ์ศรีของเขา เขาเคยทำข่าวอย่างจริงจังมาก แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมทำข่าวเกี่ยวกับรายการทำอาหารหรือบอกเคล็ดลับการทำงานบ้าน หรือหยอกเย้ากับผู้ประกาศข่าวร่วมรายการ”
   แต่ยิ่งเขารบกับเบ็คกี้ ฟูลเลอร์เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมองเห็นว่าเขากับเธอมีความเหมือนกันมากกว่าที่เขาคาดไว้ นั่นก็คือเป็นสองคนบ้างานที่ยอมสละทุกสิ่งเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ฟอร์ดกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของพวกเขาตลกมาก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เช่นกัน มีความผูกพันที่พัฒนาขึ้นระหว่างพวกเขา ผมว่าไมก์เหมือนเร่งเกมส์ของเบ็คกี้ด้วยการพยายามจะยัดเยียดทักษะในการทำข่าวของเขาใส่ลงไปในรายการภาคเช้า แต่เธอกลับยิ่งผลักดันให้เขากลายเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ยอมโอนอ่อนผ่อนตามมากขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดฉากสนุกๆ ขึ้นมากมาย”
โรเจอร์ มิเชลล์ตื่นเต้นมากเช่นกันที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับฟอร์ดในภาพยนตร์ตลกที่มีความเฉียบคมเช่นนี้ “บทนี้เหมาะกับเขาที่สุด เหมือนมือที่ใส่ถุงมือได้พอดีเป๊ะ” มิเชลล์ตั้งข้อสังเกต “ผมว่าเขารู้สึกว่านี่คือบทที่เป็นความต่างสำหรับเขา”
การผสมผสานอย่างชำนาญการระหว่างอารมณ์ขันและการเฝ้าสังเกตพฤติกรรมมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory คือแม่เหล็กที่ดึงดูดฟอร์ดได้ตั้งแต่เมื่ออ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ครั้งแรก “นี่คือหนึ่งในบทภาพยนตร์ที่ตลกที่สุด ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา” ฟอร์ดบอก “มีไดอะล็อกเยี่ยมๆ มีความสัมพันธ์จริงๆ มีอารมณ์ขันฮาๆ และผมก็ปิ๊งส์คุณสมบัติของเรื่องนี้ ผมสนุกกับการแสดงภาพยนตร์ตลกอยู่แล้ว แต่ปกติผมไม่เคยเจอภาพยนตร์ตลกที่มีความทะเยอทะยานมากพอเลย ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกเขียนขึ้นมาดีมากจริงๆ”
เขายังชอบสไตล์ที่แทบจะเหมือนเฮปเบิร์นกับเทรซี่มาพูดจายอกย้อนใส่กันในทุกครั้งที่เขาต้องขึ้นจอร่วมกับไดแอน คีตัน ในบทคอลเลีน เพ็ค “ไดแอนนำสิ่งที่พิเศษจริงๆ มาสู่เรื่องนี้” ฟอร์ด ซึ่งไม่เคยพบคีตันมาก่อนที่พวกเขาจะได้รับเลือกให้มาร่วมแสดงด้วยกัน บอก “เธอเป็นคนสมบูรณ์แบบ เป็นคนที่ให้กลับมามากเท่ากับที่เธอได้รับ และเราก็สนุกกับโอกาสที่พวกเราต้องสร้างอารมณ์ขันที่เจ็บๆ คันๆ ขึ้นมามาก ส่วนที่สนุกก็คือมันกลายเป็นการโต้แย้งกันออกอากาศระหว่างพวกเขา ซึ่งทำให้รายการ ‘เดย์เบรก’ ประสบความสำเร็จได้เป็นครั้งแรก เพราะทุกคนต่างเปลี่ยนช่องมาเพื่อดูคนสองคนที่ไม่อาจทนกันได้แต่ต้องมาจัดรายการสดด้วยกันทุกวัน” 
มิเชลล์กล่าวว่า “สายสัมพันธ์ของพวกเขาน่าทึ่งมาก ไดแอนเตรียมตัวมาเพื่อทำทุกอย่างเพื่อให้เรตติ้งรายการสูงขึ้น ส่วนแฮร์ริสันยินดีที่จะไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง มันสนุกมากที่ได้มาเห็นพวกเขาเป็นปฏิปักษ์กันอย่างลงตัวที่สุด”
ฟอร์ดรู้สึกเพลิดเพลินไปกับมิตรภาพระหว่างเขากับ เรเชล แม็คอดัมส์ โดยเฉพาะการได้มาเห็นเธอพยยามที่จะเอาชนะตัวละครขี้โมโหของเขา “บอกตามตรงนะผมพูดได้เลยว่าผมไม่คิดว่าผมจะเคยทำงานกับใครที่ช่วยยกระดับทั้งความตลกและอารมณ์ให้กับเรื่องได้เท่ากับเรเชลอีกแล้ว” ฟอร์ดบอก “เธอเป็นนักแสดงประเภทที่สามารถทำได้ทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ให้ความรู้สึกจริงมากๆ”
หนึ่งในฉากที่เขาชอบมากที่สุด ฟอร์ดในบทไมก์ โพเมอรอย มีโอกาสได้นั่งรอบโต๊ะกับสามผู้รายงานข่าวผู้เป็นตำนาน ได้แก่ มอร์ลี่ย์ เซฟเฟอร์, คริส แมทธิวส์ และบ็อบ ชิฟเฟอร์ ในฉากที่ไมก์ได้เจอกับอดีตเพื่อนร่วมงานข่าวของเขา
“พวกเขาเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขาในระหว่างที่ทำงานอยู่” ฟอร์ดเล่า “มันเป็นวันที่สนุกเหลือเชื่อเลย”
มิเชลล์เล่าว่า “เรามีเวลาน้อยมากในการถ่ายทำฉากนี้ เพราะผู้อ่านข่าวคนสำคัญทั้งสามคนนี้มีโอกาสได้มาอยู่พร้อมหน้าในนิวยอร์กแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น พวกเขาทุกคนมีธุระต้องรีบไปจัดการ ดังนั้นเราโชคดีมากที่ได้ตัวพวกเขามา ตอนแรกแฮร์ริสันก็เป็นกังวลเหมือนกัน เขาไม่เคยพบผู้ชายสามคนนี้มาก่อน แต่ในฐานะไมก์ โพเมอรอย เขาต้องเป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีมาก พวกเขาเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน เพราะพวกเขากำลังร่วมแสดงกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด อยู่นะ แต่เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลายไป พวกเขาเริ่มเล่าเรื่องราวและหัวเราะด้วยกัน กลายเป็นฉากที่ทุกคนเป็นธรรมชาติอย่างมาก” 
สุดท้าย ฟอร์ดเองก็เหมือนกับ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ที่ได้พบจุดอ่อนในหัวใจของเขาเอง สำหรับผู้ประกาศข่าวที่เอาแต่อารมณ์ ผู้ต้องการให้ผลงานของเขามีความหมายสำคัญบางประการ
“หนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ผมรู้สึกเข้าใจได้ในตัวไมก์ก็คือความทะเยอทะยานของเขาที่จะทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ฟอร์ดสรุป “ไมก์ตัดสินใจอย่างเย่อหยิ่ง เป็นการตัดสินที่อาจเป็นความหลงละเมอ เป็นการทำเพื่อตัวเองอย่างถ่องแท้ แต่สุดท้ายแล้ว เขาอยากทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หรือมันจะดูเหมือนเป็นอย่างไรเมื่อมองแต่เพียงภายนอก แต่จริงแล้วลึกๆ ข้างในเขาก็มีความห่วงใยเช่นกัน”

happy on November 11, 2010, 04:15:20 PM


                                                           เจ้าแม่รุ่งอรุณ:
                                                        ไดแอน คีตันรับบท คอลลีน เพ็ค
       
               เมื่อ ไมก์ โพเมอรอย เข้ามาร่วมเป็นพิธีกรของรายการ “เดย์เบรก” เขาไม่เพียงแต่ต้องมาปะทะกับ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ เท่านั้น แต่เขายังต้องปะทะกับผู้หญิงที่จะเป็นพิธีกรร่วมกับเขา และยังเป็นคู่ปรับของเขาด้วย เธอผู้นี้ก็คือคอลลีน เพ็ค อดีตนางงามที่สร้างอาชีพที่ยืนยาวมานานด้วยการหยอกเย้าเฮฮา และยินดีจะทำทุกอย่างที่ออกอากาศได้ ไม่ว่ามันจะน่าขันแค่ไหน ผู้ที่มารับบทเพ็คก็คือ นักแสดงหญิงที่สร้างงานศิลปะแบบอเมริกันจากการแสดงภาพยนตร์ตลก ไดแอน คีตัน นักแสดงหญิงสุดยอดฝีมือที่เคยคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้ และยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกสามครั้งจากภาพยนตร์ของวูดี้ อัลเลนและได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงหญิงที่มีหน้าที่การงานที่หลากหลายและไม่ธรรมดา
                กาย รีเดลกล่าวว่า “ไดแอนเล่นบท คอลลีน เพ็ค ผู้หญิงที่พบความสบายในชีวิต และเธออาจไม่ชอบมันอีกแล้ว แต่เธอรู้สึกว่าเธอสมควรได้มีสถานะที่มั่นคงที่จะผ่านการทำศึกข่าวภาคเช้า เมื่อ ไมก์ โพเมอรอย เดินเข้ามาและมองข้ามเธอ นั่นคือตัวกำหนดสถานการณ์ของพวกเขาซึ่งแต่ละฝ่ายต่างพยายามทำศึกกับอีกฝ่าย และไดแอนก็ทำให้ทุกฉากและทุกวินาทีเหล่านั้นออกมาเป็นเรื่องตลกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
                คีตันบอกว่าเธอรู้ในทันทีว่าเธออยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory “ถึงตอนนี้ในชีวิตของฉัน ฉันแสดงภาพยนตร์มาแล้วมากมาย และในทุกครั้ง สิ่งที่สะดุดความสนใจฉัน ทำให้ฉันเลือกแสดงภาพยนตร์พวกนั้นก็คือสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือบทภาพยนตร์ อาลีนเขียนบทได้อย่างยอดเยี่ยม มันทั้งตลก ประทับใจ และมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ในเรื่องนี้ด้วย”
   สำหรับคอลลีน เพ็ค คีตันบอกว่าเธอ “คือผู้หญิงประเภทที่คุณอยากจะเกลียด” เธอกล่าวต่อไปว่า “เธอเป็นพวกหลงตัวเอง เธอถือว่าตัวเองเก่ง เธอเป็นคนฉาบฉวย ทุกอย่างที่เธอแคร์ก็คือเธอจะได้ออกทีวีหรือเปล่า เธอยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อได้ออกทีวี เธอขายได้แม้แต่แม่ตัวเอง! ฉันว่าสุดท้ายแล้วเธอก็แค่อยากจะเอาใจคนดูเท่านั้น”
   บัดนี้ เมื่อรายการ “เดย์เบรก” ตกต่ำถึงขีดสุด เพ็คถูกบีบให้ต้องทำสิ่งที่เธออาจมองว่าเป็นสิ่งที่แรงที่สุด นั่นก็คือการยอมรับในตัวพิธีกรร่วมคนใหม่ ไมก์ โพเมอรอย ผู้ประกาศข่าวชื่อดังระดับโลกที่เชิดหน้าที่เป็นตำนานใส่เธอเต็มๆ คีตันรู้สึกตื่นเต้นมากที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ผู้รับบทไมก์ โพเมอรอย
   “เมื่อ แฮร์ริสัน เดินเข้ามาในห้อง บรรยากาศจะเหมือนกับเม้าต์รัชมอร์เพิ่งเดินเข้ามาก็ไม่ปาน เขาเป็นคนที่ทุกคนยกย่องชื่นชมมากที่สุด” คีตันตั้งข้อสังเกต “เขาไม่เหมือนใครจริงๆ ฉันว่านี่คือหนึ่งในบทบาทที่เยี่ยมที่สุดของเขา เขาทรหด ปากจัด อารมณ์ร้าย ชอบดูถูก สุดจะทน...แต่ก็เป็นคนมีเสน่ห์และสนุกสนานร่าเริง ในภาพยนตร์เรื่องนี้เราอาจเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่แน่นอน หลังกล้องฉันชอบเขามากเลยนะ”
   ไดอะล็อกที่แสนจะคมคายระหว่างสองตัวละครนี้ทำให้คีตันรู้สึกร่าเริงได้ตลอดการถ่ายทำ “ฉากพวกนี้คือฉากที่คุณอยากเล่นมาทั้งชีวิต” เธออธิบาย “เป็นที่ที่คุณเริ่มต้นด้วยการหยอกเย้าอย่างมีเสน่ห์ ซึ่งกลายมาเป็นสงครามขี้ปาก จะมีอะไรจะสนุกไปกว่าการได้ต่อสู้ต่อปากต่อคำกับแฮร์ริสัน ฟอร์ดอีกล่ะ”
   องค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งของ Morning Glory ที่คีตันสนุกสนานอย่างมากก็คือการแสดงตลกท่าทาง “ฉันเป็นแฟนของงานแสดงตลกท่าทางอยู่แล้ว และในภาพยนตร์เรื่องนี้ฉันก็มีโอกาสได้แสดงท่าทางฮาๆ ออกมามากมาย” คีตันบอก “มีอยู่หลายฉากที่ฉันได้ร้องเพลงกับมิสเตอร์ 50 เซนต์ ขณะที่ลูกสาวฉันรู้สึกอาย แต่ฉันกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุกที่สุดที่ฉันเคยทำมาเลย”
   ทัศนคติแบบกระตือรือร้นสุดๆ ของคีตันได้เผยตัวออกมาให้เห็นในทันที  “ในวันแรกของการถ่ายทำ ฉันต้องใส่ชุดอ้วนใหญ่ยักษ์และต้องปล้ำกับนักซูโม่” คีตันเล่า “ฉันชอบแสดงตลกท่าทางด้วยการทำให้มันเว่อร์ขึ้น แต่การทำให้เว่อร์บางครั้งก็ทำให้คุณเจอปัญหาได้ อย่างฉากนี้ฉันต้องร่วมแสดงกับผู้ชายหนักตั้ง 500 ปอนด์ที่นิสัยดี และสุภาพมาก และทั้งหมดที่ฉันต้องทำก็คือจับตัวเขา แล้วจู่ๆ...ฉันก็ล้มลงกระแทกพื้น! ฉันว่าคุณคงไม่สามารถเว่อร์กับนักซูโม่ได้หรอกนะ”
   ถึงแม้จะเคยร่วมงานกับผู้กำกับที่เก่งที่สุดแห่งยุคนี้มาแล้วมากมายหลายคน แต่คีตันบอกว่าการได้ทำงานกับ โรเจอร์ มิเชลล์ คือประสบการณ์ใหม่เอี่ยมอ่อง “ฉันไม่เคยทำงานกับคนเหมือนเขามาก่อนเลย” คีตันบอก “เพราะเขาไม่กลัวคนที่ยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ เขาฟังความคิดของทุกคน เขานับถือคนเหล่านั้น จากนั้นเขาก็จะตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอะไรที่ดีที่สุด คุณรู้ว่าคุณอยู่ในมือคนเก่งแล้วเมื่อทำงานกับโรเจอร์”

happy on November 11, 2010, 04:17:53 PM


รักยามบ่าย:
แพทริค วิลสัน รับบท อดัม เบนเน็ตต์
     
       ขณะที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ทุ่มเทแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มให้กับงานของเธอ แต่ระหว่างทำงาน เธอก็ต้องประสบกับเรื่องที่ทำให้เธอต้องไขว้เขว ซึ่งแรงไขว้เขวนั้นมีชื่อว่า อดัม เบนเน็ตต์ โปรดิวเซอร์หนังสือแม็กกาซีนข่าวที่กลายมาเป็นผู้ชายคนแรกในชีวิตของเบ็คกี้ที่ยินดีจะรบทัพจับศึกกับตารางชีวิตที่แทบไม่มีเวลาว่างของเธอ คนที่มารับบทอดัม ก็คือ แพทริค วิลสัน นักแสดงชายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากบทแนวดราม่า อย่างเช่น บทบาทการแสดงที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากผลงานของ HBO เรื่อง Angels in America, บทไนท์อาวล์ ตัวละครจากหนังสือการ์ตูนเรื่อง Watchmen และในบทสามีที่ทุกข์ระทมในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง Little Children รวมไปถึงบทบาทที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ในละครเพลงบรอดเวย์หลายต่อหลายเรื่อง รวมไปถึงการพลิกมารับบทในแนวตลกเมื่อไม่นานมานี้ในภาพยนตร์เรื่อง The Switch
       Morning Glory ยังเป็นโอกาสให้วิลสันได้ก้าวออกมาสู่เรื่องรักบ้าง เขารับบทอดัม ซึ่งเป็นเสมือนหยิน สำหรับหยานในตัวเบ็คกี้ เป็นเหมือนความเย็นที่ช่วยดับพายุสุดป่วนของเธอ “นี่คือการผจญภัยใหม่ของผมเลยนะ” วิลสันบอก “นี่คือเรื่องตลกที่ทำให้ผมสนใจได้ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวละครและมีการเล่าเรื่องที่ดีมาก”
เขายังรู้สึกผูกพันกับเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เพราะทั้งพ่อและน้องของวิลสันต่างเป็นผู้รายงานข่าวทางทีวีตัวจริง อันที่จริง พ่อของเขาเคยเป็นผู้ประกาศข่าวภาคดึกในแทมป้า, ฟลอริด้าอยู่นาน 25 ปี และวิลสันก็มีความทรงจำมากมายถึงตอนที่ครอบครัวนั่งดินเนอร์กับพ่อที่อยู่ในสภาพแต่งหน้าพร้อมออกทีวี โดยมีกระดาษทิสชู่อัดไว้ตรงปกเสื้อเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องสำอางค์เลอะ
เพราะรู้จักโลกของการรายงานข่าวเป็นการส่วนตัว วิลสันจึงรู้ดีว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถบรรยายการทำงานข่าวออกมาได้เหมือนจริงแค่ไหน “ผมรู้สึกทึ่งมากที่อาลีนเข้าถึงการทำงานภายในของการทำรายการข่าวได้” วิลสันพูดถึงบทภาพยนตร์เรื่องนี้ “ผมไม่เพียงแต่พบว่ามันเป็นเรื่องตลกอย่างมาก แต่ผมยังพบว่ามันจริงที่สุดเลย”
เขายังพบด้วยว่าความสัมพันธ์ของอดัมกับเบ็คกี้มีความตรงไปตรงมาและมีความเป็นผู้ใหญ่สูง “พวกเขาคือคนสองคนที่มีพลังงานแตกต่างกัน แต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้อดัมชอบเบ็คกี้” วิลสันบอก “เบ็คกี้มีพลังอัดแน่น และเรเชลก็แสดงลักษณะเช่นนั้นออกมาได้ดี ดูเนียน ทั้งหมดที่อดัมทำได้ก็คือพยายามทำให้เธอยืนติดดินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
แน่นอน นี่คงจะไม่ใช่การทำงานที่ปราศจากความผิดพลาดเสียเลย แต่นั่นก็คือสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างความสนุก และยังช่วยสร้างความร้อนแรงให้เกิดขึ้นได้ “ผมว่าเบ็คกี้กับอดัมกำลังเผชิญสิ่งที่ผู้คนมากมายสามารถเข้าใจได้ นั่นก็คือความพยายามทำให้ความสัมพันธ์สุดโรแมนติคดำเนินต่อไป ขณะที่งานของคุณกินเวลาไปมาก” วิลสันตั้งข้อสังเกต “คุณมีผู้หญิงที่มีพลังอัดแน่นอย่างเหลือเชื่อที่พยายามจะเดินไปบนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการทำงานที่กินเวลาในชีวิตไปทั้งหมด และชีวิตส่วนตัว มันวุ่นวาย อึดอัด และบางครั้งมันก็นำไปสู่การเข้าใจผิดใหญ่โต แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะลองใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า” 
อับรามส์กล่าวว่า “แพทริครับบทที่เป็นเหมือน ‘บทแฟนสาว’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เขาทำบทนี้ให้พิเศษขึ้น ทำให้มันกลายเป็นบทที่อบอุ่นหัวใจ อ่อนหวาน ตลก และคอยตำหนิตัวเอง ผมว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งมากเลย”

happy on November 11, 2010, 04:21:53 PM
                                                  พนักงานประจำสถานี:
                                      เจฟฟ์ โกลด์บลัม รับบท เจอร์รี่ บาร์นส์


ชายที่รู้สึกยำเกรงและสับสนกับ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ที่สุด ก็คือเจอร์รี่ บาร์นส์ เจ้านายใหม่ของเธอที่ไอบีเอส เน็ทเวิร์ก ผู้รู้ดีว่างานของเบ็คกี้นั้น เกินล้ำกว่าคำว่า “เป็นไปไม่ได้” เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอไม่เพียงแต่ไม่ล้มเหลว แต่เธอยังเริ่มประสบความสำเร็จด้วย ผู้มารับบท บาร์นส์ ก็คือ เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ เจฟฟ์ โกลด์บลัม ผู้มีความสามารถในการทำให้ทุกบทบาทที่เขาแสดง ไม่ว่าจะเป็นบทตลก บทชีวิต หรือทั้งสองอย่าง กลายเป็นตัวละครที่ดูเป็นส่วนตัวและน่าจดจำ บาร์นส์อาจเริ่มต้นด้วยการเป็นเจ้านายขี้ระแวงของเบ็คกี้ แต่ในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นคู่คิดที่น่าประทับใจของเธอ 
         “การพูดว่าเจฟฟ์เหมาะกับบทนี้ที่สุดยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” ไบรอัน เบิร์ก กล่าว “เขาเป็นคนตลกมาก ด้นสดตลอด แต่ก็มีเสน่ห์ ทำให้เขากลายเป็นเพื่อนกับเบ็คกี้ ฟูลเลอร์ที่เป็นพวกกระตือรือร้นสุดๆ เขาคือเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยแล้วสนุกมาก เราแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ร่วมงานกับเขาอีกครั้ง” 
เจอร์รี่ตรงไปตรงมากับเบ็คกี้มาตั้งแต่แรก เขาบอกเธอว่างานโปรดิวซ์รายการ “เดย์เบรก” จะต้องหนักมาก ค่าจ้างก็แย่ และเขาแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอจะต้องพบหายนะ แต่ถึงจะได้รับคำเตือนขนาดนี้แล้ว เธอก็เริ่มชนะใจเขาได้
         “ผมว่าเจอร์รี่มองเห็นแล้วปิ๊งส์ทันทีเลยว่าเบ็คกี้เป็นคนพิเศษจริงๆ” โกลด์บลัมให้ความเห็น “เขาไม่ได้พูดออกมา แต่มันมีบางอย่างที่สะดุดใจเขาทันทีเกี่ยวกับบุคลิกของเธอ เขามองเห็นว่าเธอเป็นคนขยันขันแข็ง และเขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของความปรารถนาของเธอที่จะทำงานให้ดี ซึ่งก็คือสิ่งที่เคยดึงให้เขาก้าวเข้าสู่โลกของการรายงานข่าวตั้งแต่ทีแรก แม้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ”
          โกลด์บลัมกล่าวต่อไปว่า “ผมว่าเจอร์รี่ยังมองอีกด้วยว่าเบ็คกี้เป็นคนที่ทุ่มเทให้กับงานจนเว่อร์ และเธอยอมเสียสละได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ชีวิตส่วนตัว เพื่องาน ชีวิตเธอไม่เพียงแต่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่เธอแทบไม่มีชีวิตส่วนตัวเลย ดังนั้น ผมว่าเจอร์รี่รู้สึกสนใจในแววความสามารถของเธอที่ไม่เพียงแต่เริ่มเบ่งบานให้เห็นในห้องข่าวเท่านั้น แต่มันยังทำให้เธอกลายเป็นคนเต็มคนมากขึ้น เขาได้เห็นเธอเติบโตจนกลายเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่ง น่ารัก และมีสมดุลในตัว” 
ชีวิตจริงยังเดินตามรอยบทภาพยนตร์เมื่อโกลด์บลัมต้องสิ้นท่าให้กับเรเชล แม็คอดัมส์ “ผมหลงใหลในประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับเธอมาก” เขาบอก “เธอเก่ง และผมก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่พวกเราทำด้วยกันได้” 
เจเจ อับรามส์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นโกลด์บลัมสวมวิญญาณเป็นตัวละครของเขาอย่างเต็มตัว “ผมเป็นแฟนผลงานของเขามานานแล้วตั้งแต่เรื่อง Tenspeed และ Brown Shoe” อับรามส์บอก “ผมว่าเขาดูน่าตื่นตามากในเรื่องนี้ เขาปากจัด และยังนำสิ่งที่มีความโดดเด่นที่สุดมาสู่การผสมผสานของตัวละครเยี่ยมๆ พวกนี้” 
 

happy on November 11, 2010, 04:25:51 PM
                                                      ถ้าเพียงแต่ถ่ายทำที่นั่นได้:
                                             การถ่ายทำ MORNING GLORY ในแมนฮัตตัน

Morning Glory คงไม่สามารถไปถ่ายทำที่อื่นใดได้ นอกจากที่นิวยอร์กซิตี้ เมืองแห่งความทะเยอทะยานของอเมริกา เป็นบ้านของรายการข่าวภาคเช้าระดับชาติ และยังเป็นเมืองที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ฝันว่าเธอจะได้สร้างชื่อที่นี่ในสักวัน โรเจอร์ มิเชลล์ไม่เพียงแต่ถักทอจิตวิญญาณของเมืองนี้ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขายังใช้สตูดิโอโทรทัศน์ของจริงในแมนฮัตตัน ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศที่สมจริงในที่ทำงาน ซึ่งช่วยเน้นความฮาของภาพยนตร์เรื่องนี้
มิเชลล์ร่วมงานกับทีมงานสุดสร้างสรรค์ ซึ่งรวมถึงผู้กำกับภาพ อัลวิน คัชเลอร์, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรายด์เบิร์ก และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แฟรงก์ เฟลมมิ่ง เพื่อนำเอาความวุ่นวายของ “เดย์เบรก” ใส่เข้ามาภายในพลังอันน่างงงวยของเมืองบิ๊กแอปเปิ้ลแห่งนี้
          “ผมชอบทำงานในนิวยอร์กมาก” ผู้กำกับมิเชลล์บอก “มันมีลักษณะที่แตกต่างกันมากมายในแบบที่คุณไม่มีทางจะหมดมุขในการเล่าเรื่องผ่านเมืองนี้ ผมชอบวิธีที่  Morning Glory สลับสับเปลี่ยนระหว่างฉากในอาคารที่จริงจัง คับแคบ จากนั้นคุณก็จะได้สูดอากาศเข้าไปเต็มปอดเมื่อเบ็คกี้ออกมาด้านนอก ขณะนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามแม่น้ำฮัดสัน หรือเดินข้ามสะพานบรูกลินตอนรุ่งสาง เธอได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองนี้” 
          เจเจ อับรามส์กล่าวเสริมว่า “คุณไม่สามารถจับพลังงานแบบนั้น แสงสว่างสดใสแบบนั้น และความยิ่งใหญ่ของนิวยอร์กในที่อื่นได้ ความรู้สึกของการถ่ายทำภาพยนตร์ในนิวยอร์กแตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียว และโรเจอร์ก็ตอบรับมันโดยการทำให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้” 
เช่นเดียวกับที่ อาลีน บรอช แม็คเคนน่า ได้ทำเอาไว้ก่อนหน้าเขา มิเชลล์ได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งรายการข่าวภาคเช้าก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นเขาจึงพร้อมที่จะสร้างรายการ “เดย์เบรก” ให้เป็น “รายการภายในรายการอีกที” เขาเดินห่างออกมาด้วยความประทับใจกับสิ่งที่ต้องมีเพื่อจะประสบความสำเร็จในโลกใบนั้น และด้วยความนับถือมากมายต่อสิ่งที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ต้องเผชิญเมื่อทำงานใหม่ของเธอ 
“ผู้คนที่ทำรายการทีวีภาคเช้าล้วนแต่มีชีวิตที่ท้าทายและออกจะแปลกประหลาด พวกเขาเริ่มต้นงานตอนตีสาม และเสร็จงานตอนสิบโมงเช้า แล้วพอวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในรายการเมื่อวันก่อน เพราะทุกอย่างจะเต็มไปด้วยการเถียงกัน การแข่งขันกัน และความปลาบปลื้มที่เกิดมาจากการทำสกู้ปข่าวใหม่หมดทุกวัน ผมมองเห็นเลยว่ามันกลายเป็นงานเสพติดได้อย่างไร แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คุณหมดเรี่ยวหมดแรงง่ายๆ เหมือนกัน” 
   เมื่อมิเชลล์กับทีมของเขาพร้อมที่จะสร้างชีวิตชีวาให้กับรายการ “เดย์เบรก” ความท้าทายแรกก็คือการค้นหาบ้านให้กับรายการนี้ สุดท้าย โปรดักชั่นดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรายด์เบิร์ก ได้สร้างฉากภายในสตูดิโอทีวีของจริงที่รู้จักกันในชื่อเมโทรโพลิส ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสแปนิช ฮาร์เล็ม ในอดีต เมโทรโพลิสเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำรายการทีวีสุดคลาสสิกในยุคทองอย่างรายการ “Your Show of Shows” และ “Howdy Doody” แต่บัดนี้ มันเป็นเพียงแต่อาคารที่ยังคงเก็บรายละเอียดของสตูดิโอหลักๆ เอาไว้ รวมไปถึงวงจรไฟฟ้าที่พาดผ่านเพดานไปทั่ว ภายในสตูดิโอนี้ ฟรายด์เบิร์กได้สร้างภาพลักษณ์ของรายการ “เดย์เบรก” ที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเป็นการเริ่มต้นออกแบบฉากตั้งแต่การสเก็ตช์ภาพเลยทีเดียว
               “มาร์กสร้างงานที่ถือเป็นระดับอัจฉริยะด้วยการสร้างสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมาเป็นรายการทีวีภาคเช้าเรทสี่ในอเมริกา” คล๊าร์กบอก “เหมือนติดอยู่ในเครื่องย้อนกาลเวลายุค 80 แสนประหลาด และมันดูยอดเยี่ยมมาก”
ด้วยคำขอร้องจากมิเชลล์ ฟรายด์เบิร์กยังสร้างบุคลิกของสถานีไอบีเอสตามท้องเรื่องขึ้นมาใหม่หมด โดยสถานีแห่งนี้มีรายการสุดฮิตอย่างซีรีส์แนวดราม่าที่ดูกัดๆ ซีรีส์ที่มีอยู่จริง โดยพวกเขาใช้ชื่อรายการว่า  “Found” 
               “ความทะเยอทะยานสูงสุดของผมในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้” มิเชลล์กล่าว “ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างควรทำให้เกิดความรู้สึกสมจริง ผมไม่ต้องการฉากที่เป็นการเลียนแบบ ผมต้องการสตูดิโอที่ใช้งานได้ดี และนั่นก็คือสิ่งที่เรามีจริงๆ เรามีห้องควบคุมจริงๆ และมีคนที่เข้ามาควบคุมปุ่มกลไกต่างๆ ในห้องนั้น น่าตื่นเต้นมาก” 
                มิเชลล์กล่าวต่อไปว่า “ผมว่าคนดูคงอยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังเวที และมีด้านหลังเวทีของ Morning Glory ที่คุณจะได้เห็นความขัดแย้งสุดฮาระหว่างสิ่งที่ดูสบายๆ เมื่ออยู่บนจอ กับความทรหดอดทนที่แสนวุ่นวาย เหงื่อแตกเหงื่อแตนที่เกิดขึ้นในวินาทีที่กล้องปิดลง มันถูกสะท้อนอยู่ในฉากนี้ ซึ่งเป็นฉากที่มีทางเดินที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ประกอบฉาก ผู้คนที่แต่งกายในชุดอัศวินจากยุคกลาง รวมไปถึงนกกระจอกเทศ อูฐ และแขกทุกประเภทที่วิ่งไปวิ่งมาอย่างเร่งรีบตามทางเดินในทุกๆ เช้า” 
สำหรับผู้กำกับภาพ อัลวิน คัชเลอร์ (Solitary Man, Sunshine) ภารกิจนี้เป็นเหมือนงานสองเท่า เขาไม่เพียงแต่ต้องถ่ายทำภาพยนตร์ แต่เขายังต้องถ่ายทำรายการทีวีถ่ายทอดสด ซึ่งบ่อยครั้งหมายความว่าในแต่ละครั้งจะต้องมีการใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ถึงสามตัว และมีกล้องทีวีอีกสามตัวในเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้รายการทีวีถ่ายทอดสดดูสมจริงมากขึ้น มิเชลล์ได้นำผู้กำกับรายการทีวีผู้มีประสบการณ์อย่าง ดอน คิง ที่เคยทำงานกับรายการภาคเช้าอย่าง “Today Show” และ “The View” ให้เข้ามาช่วยกำกับการถ่ายทอดสดของรายการ “เดย์เบรก” ในภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory 
              “โรเจอร์ยืนกรานว่าทุกอย่างในรายการ ‘เดย์เบรก’ จะต้องออกมาเหมือนรายการจริง” รีเดลบอก “ผมว่าทุกรายละเอียดทำให้พวกเขายิ่งตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้ รวมถึงมิตรภาพของพวกเขาด้วย”   
                มิเชลล์ถึงขนาดส่งแฮร์ริสัน ฟอร์ด และไดแอน คีตัน ไปเข้าแค้มป์ฝึกผู้ประกาศข่าว “พวกเขาต้องเรียนรู้ทุกลูกเล่นที่เกี่ยวกับวิธีการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการตั้งกล้องเอาไว้หลายตัวขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่เห็นเลยนะ” มิเชลล์เล่า “เป็นเรื่องสำคัญมากที่พวกเขาจะต้องดูเหมือนกำลังทำงานในฐานะที่เป็นผู้ประกาศข่าว และพวกเขาก็ทำได้เยี่ยมจริงๆ”
   สำหรับการเตรียมตัวและความใส่ใจในทุกรายละเอียด มิเชลล์ได้สร้างอารมณ์ปั่นป่วนวุ่นวายที่ทำให้เกิดเรื่องฮาขึ้นสดๆ ในฉาก “วิธีของผมก็คือการเตรียมตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พอคุณเริ่มถ่ายทำ คุณต้องรอให้สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น” มิเชลล์อธิบาย “ทีมนักแสดงจะเล่นกันอย่างมีชีวิตชีวา ตลกมาก ดังนั้นวินาทีตลกๆ แบบนั้นจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ”
   หนึ่งในวินาทีฮาสดๆ เหล่านั้นมาถึงเมื่อ แม็ทท์ มอลลอย ซึ่งรับบท เออร์นี่ ผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศของรายการ “เดย์เบรก” ได้รับการผลักดันจาก เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ให้ทำตัวนอกกรอบด้วยการกระโดดออกจากเครื่องบิน หรือโดนเหวี่ยงไปมาบนรถไฟเหาะ และต้องหมุนตีลังกาในเครื่อง F-14 ที่ไวยิ่งกว่าเสียง “แม็ตต์เป็นคนสนุก” แม็คอดัมส์บอก “เขาทำให้พวกเราฮาเป็นบ้าไปเลย” 
               “เขาเป็นตัวขโมยซีนเลยแหละ” ไดแอน คีตันกล่าวเสริม
สุดท้าย ความประทับใจอย่างสุดซึ้งที่ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานมีต่อภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory ได้พัฒนาไปจนคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่ทำงานในรายการ “เดย์เบรก” ตามท้องเรื่อง เมื่อพวกเขาเริ่มใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินคาด โดยเป็นความพยายามของ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ที่อยากให้ความสัมพันธ์ในที่ทำงานดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่ว่าระหว่างการทำงานจะต้องทะเลาะกันสักกี่ครั้งก็ตาม 
               “ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ตลกโรแมนติคในแบบทั่วๆ ไป” ผู้กำกับมิเชลล์สรุป “มีความรักอยู่ในนั้น และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนที่กำลังสร้างครอบครัว ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ คนเหล่านี้ที่ทำงานด้วยกันในโลกเล็กๆ แสนบ้า ได้ค้นพบว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน มันคือสิ่งที่ไมก์ โพเมอรอย ตัวละครของแฮร์ริสัน ไม่เคยมีมาก่อน มันคือสิ่งที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ มองหามาตลอด และถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ รวมไปถึงคำพูดแดกดันที่พวกเขาโยนใส่กัน แต่พวกเขาก็เกิดความผูกพันกัน และเบ็คกี้ก็ทำได้สำเร็จ”