ถ้าเพียงแต่ถ่ายทำที่นั่นได้:
การถ่ายทำ MORNING GLORY ในแมนฮัตตัน
Morning Glory คงไม่สามารถไปถ่ายทำที่อื่นใดได้ นอกจากที่นิวยอร์กซิตี้ เมืองแห่งความทะเยอทะยานของอเมริกา เป็นบ้านของรายการข่าวภาคเช้าระดับชาติ และยังเป็นเมืองที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ฝันว่าเธอจะได้สร้างชื่อที่นี่ในสักวัน โรเจอร์ มิเชลล์ไม่เพียงแต่ถักทอจิตวิญญาณของเมืองนี้ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขายังใช้สตูดิโอโทรทัศน์ของจริงในแมนฮัตตัน ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศที่สมจริงในที่ทำงาน ซึ่งช่วยเน้นความฮาของภาพยนตร์เรื่องนี้
มิเชลล์ร่วมงานกับทีมงานสุดสร้างสรรค์ ซึ่งรวมถึงผู้กำกับภาพ อัลวิน คัชเลอร์, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรายด์เบิร์ก และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แฟรงก์ เฟลมมิ่ง เพื่อนำเอาความวุ่นวายของ “เดย์เบรก” ใส่เข้ามาภายในพลังอันน่างงงวยของเมืองบิ๊กแอปเปิ้ลแห่งนี้
“ผมชอบทำงานในนิวยอร์กมาก” ผู้กำกับมิเชลล์บอก “มันมีลักษณะที่แตกต่างกันมากมายในแบบที่คุณไม่มีทางจะหมดมุขในการเล่าเรื่องผ่านเมืองนี้ ผมชอบวิธีที่ Morning Glory สลับสับเปลี่ยนระหว่างฉากในอาคารที่จริงจัง คับแคบ จากนั้นคุณก็จะได้สูดอากาศเข้าไปเต็มปอดเมื่อเบ็คกี้ออกมาด้านนอก ขณะนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามแม่น้ำฮัดสัน หรือเดินข้ามสะพานบรูกลินตอนรุ่งสาง เธอได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองนี้”
เจเจ อับรามส์กล่าวเสริมว่า “คุณไม่สามารถจับพลังงานแบบนั้น แสงสว่างสดใสแบบนั้น และความยิ่งใหญ่ของนิวยอร์กในที่อื่นได้ ความรู้สึกของการถ่ายทำภาพยนตร์ในนิวยอร์กแตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ทีเดียว และโรเจอร์ก็ตอบรับมันโดยการทำให้มันกลายเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้”
เช่นเดียวกับที่ อาลีน บรอช แม็คเคนน่า ได้ทำเอาไว้ก่อนหน้าเขา มิเชลล์ได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งรายการข่าวภาคเช้าก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นเขาจึงพร้อมที่จะสร้างรายการ “เดย์เบรก” ให้เป็น “รายการภายในรายการอีกที” เขาเดินห่างออกมาด้วยความประทับใจกับสิ่งที่ต้องมีเพื่อจะประสบความสำเร็จในโลกใบนั้น และด้วยความนับถือมากมายต่อสิ่งที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ต้องเผชิญเมื่อทำงานใหม่ของเธอ
“ผู้คนที่ทำรายการทีวีภาคเช้าล้วนแต่มีชีวิตที่ท้าทายและออกจะแปลกประหลาด พวกเขาเริ่มต้นงานตอนตีสาม และเสร็จงานตอนสิบโมงเช้า แล้วพอวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในรายการเมื่อวันก่อน เพราะทุกอย่างจะเต็มไปด้วยการเถียงกัน การแข่งขันกัน และความปลาบปลื้มที่เกิดมาจากการทำสกู้ปข่าวใหม่หมดทุกวัน ผมมองเห็นเลยว่ามันกลายเป็นงานเสพติดได้อย่างไร แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คุณหมดเรี่ยวหมดแรงง่ายๆ เหมือนกัน”
เมื่อมิเชลล์กับทีมของเขาพร้อมที่จะสร้างชีวิตชีวาให้กับรายการ “เดย์เบรก” ความท้าทายแรกก็คือการค้นหาบ้านให้กับรายการนี้ สุดท้าย โปรดักชั่นดีไซเนอร์ มาร์ก ฟรายด์เบิร์ก ได้สร้างฉากภายในสตูดิโอทีวีของจริงที่รู้จักกันในชื่อเมโทรโพลิส ซึ่งตั้งอยู่ในย่านสแปนิช ฮาร์เล็ม ในอดีต เมโทรโพลิสเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำรายการทีวีสุดคลาสสิกในยุคทองอย่างรายการ “Your Show of Shows” และ “Howdy Doody” แต่บัดนี้ มันเป็นเพียงแต่อาคารที่ยังคงเก็บรายละเอียดของสตูดิโอหลักๆ เอาไว้ รวมไปถึงวงจรไฟฟ้าที่พาดผ่านเพดานไปทั่ว ภายในสตูดิโอนี้ ฟรายด์เบิร์กได้สร้างภาพลักษณ์ของรายการ “เดย์เบรก” ที่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเป็นการเริ่มต้นออกแบบฉากตั้งแต่การสเก็ตช์ภาพเลยทีเดียว
“มาร์กสร้างงานที่ถือเป็นระดับอัจฉริยะด้วยการสร้างสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมาเป็นรายการทีวีภาคเช้าเรทสี่ในอเมริกา” คล๊าร์กบอก “เหมือนติดอยู่ในเครื่องย้อนกาลเวลายุค 80 แสนประหลาด และมันดูยอดเยี่ยมมาก”
ด้วยคำขอร้องจากมิเชลล์ ฟรายด์เบิร์กยังสร้างบุคลิกของสถานีไอบีเอสตามท้องเรื่องขึ้นมาใหม่หมด โดยสถานีแห่งนี้มีรายการสุดฮิตอย่างซีรีส์แนวดราม่าที่ดูกัดๆ ซีรีส์ที่มีอยู่จริง โดยพวกเขาใช้ชื่อรายการว่า “Found”
“ความทะเยอทะยานสูงสุดของผมในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้” มิเชลล์กล่าว “ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างควรทำให้เกิดความรู้สึกสมจริง ผมไม่ต้องการฉากที่เป็นการเลียนแบบ ผมต้องการสตูดิโอที่ใช้งานได้ดี และนั่นก็คือสิ่งที่เรามีจริงๆ เรามีห้องควบคุมจริงๆ และมีคนที่เข้ามาควบคุมปุ่มกลไกต่างๆ ในห้องนั้น น่าตื่นเต้นมาก”
มิเชลล์กล่าวต่อไปว่า “ผมว่าคนดูคงอยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังเวที และมีด้านหลังเวทีของ Morning Glory ที่คุณจะได้เห็นความขัดแย้งสุดฮาระหว่างสิ่งที่ดูสบายๆ เมื่ออยู่บนจอ กับความทรหดอดทนที่แสนวุ่นวาย เหงื่อแตกเหงื่อแตนที่เกิดขึ้นในวินาทีที่กล้องปิดลง มันถูกสะท้อนอยู่ในฉากนี้ ซึ่งเป็นฉากที่มีทางเดินที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ประกอบฉาก ผู้คนที่แต่งกายในชุดอัศวินจากยุคกลาง รวมไปถึงนกกระจอกเทศ อูฐ และแขกทุกประเภทที่วิ่งไปวิ่งมาอย่างเร่งรีบตามทางเดินในทุกๆ เช้า”
สำหรับผู้กำกับภาพ อัลวิน คัชเลอร์ (Solitary Man, Sunshine) ภารกิจนี้เป็นเหมือนงานสองเท่า เขาไม่เพียงแต่ต้องถ่ายทำภาพยนตร์ แต่เขายังต้องถ่ายทำรายการทีวีถ่ายทอดสด ซึ่งบ่อยครั้งหมายความว่าในแต่ละครั้งจะต้องมีการใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ถึงสามตัว และมีกล้องทีวีอีกสามตัวในเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้รายการทีวีถ่ายทอดสดดูสมจริงมากขึ้น มิเชลล์ได้นำผู้กำกับรายการทีวีผู้มีประสบการณ์อย่าง ดอน คิง ที่เคยทำงานกับรายการภาคเช้าอย่าง “Today Show” และ “The View” ให้เข้ามาช่วยกำกับการถ่ายทอดสดของรายการ “เดย์เบรก” ในภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory
“โรเจอร์ยืนกรานว่าทุกอย่างในรายการ ‘เดย์เบรก’ จะต้องออกมาเหมือนรายการจริง” รีเดลบอก “ผมว่าทุกรายละเอียดทำให้พวกเขายิ่งตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้ รวมถึงมิตรภาพของพวกเขาด้วย”
มิเชลล์ถึงขนาดส่งแฮร์ริสัน ฟอร์ด และไดแอน คีตัน ไปเข้าแค้มป์ฝึกผู้ประกาศข่าว “พวกเขาต้องเรียนรู้ทุกลูกเล่นที่เกี่ยวกับวิธีการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการตั้งกล้องเอาไว้หลายตัวขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่เห็นเลยนะ” มิเชลล์เล่า “เป็นเรื่องสำคัญมากที่พวกเขาจะต้องดูเหมือนกำลังทำงานในฐานะที่เป็นผู้ประกาศข่าว และพวกเขาก็ทำได้เยี่ยมจริงๆ”
สำหรับการเตรียมตัวและความใส่ใจในทุกรายละเอียด มิเชลล์ได้สร้างอารมณ์ปั่นป่วนวุ่นวายที่ทำให้เกิดเรื่องฮาขึ้นสดๆ ในฉาก “วิธีของผมก็คือการเตรียมตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พอคุณเริ่มถ่ายทำ คุณต้องรอให้สิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น” มิเชลล์อธิบาย “ทีมนักแสดงจะเล่นกันอย่างมีชีวิตชีวา ตลกมาก ดังนั้นวินาทีตลกๆ แบบนั้นจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ”
หนึ่งในวินาทีฮาสดๆ เหล่านั้นมาถึงเมื่อ แม็ทท์ มอลลอย ซึ่งรับบท เออร์นี่ ผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศของรายการ “เดย์เบรก” ได้รับการผลักดันจาก เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ให้ทำตัวนอกกรอบด้วยการกระโดดออกจากเครื่องบิน หรือโดนเหวี่ยงไปมาบนรถไฟเหาะ และต้องหมุนตีลังกาในเครื่อง F-14 ที่ไวยิ่งกว่าเสียง “แม็ตต์เป็นคนสนุก” แม็คอดัมส์บอก “เขาทำให้พวกเราฮาเป็นบ้าไปเลย”
“เขาเป็นตัวขโมยซีนเลยแหละ” ไดแอน คีตันกล่าวเสริม
สุดท้าย ความประทับใจอย่างสุดซึ้งที่ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานมีต่อภาพยนตร์เรื่อง Morning Glory ได้พัฒนาไปจนคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่ทำงานในรายการ “เดย์เบรก” ตามท้องเรื่อง เมื่อพวกเขาเริ่มใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินคาด โดยเป็นความพยายามของ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ ที่อยากให้ความสัมพันธ์ในที่ทำงานดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่ว่าระหว่างการทำงานจะต้องทะเลาะกันสักกี่ครั้งก็ตาม
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ตลกโรแมนติคในแบบทั่วๆ ไป” ผู้กำกับมิเชลล์สรุป “มีความรักอยู่ในนั้น และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนที่กำลังสร้างครอบครัว ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ คนเหล่านี้ที่ทำงานด้วยกันในโลกเล็กๆ แสนบ้า ได้ค้นพบว่าพวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน มันคือสิ่งที่ไมก์ โพเมอรอย ตัวละครของแฮร์ริสัน ไม่เคยมีมาก่อน มันคือสิ่งที่ เบ็คกี้ ฟูลเลอร์ มองหามาตลอด และถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นกลุ่มคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ด้วยกันได้ รวมไปถึงคำพูดแดกดันที่พวกเขาโยนใส่กัน แต่พวกเขาก็เกิดความผูกพันกัน และเบ็คกี้ก็ทำได้สำเร็จ”