happy on July 15, 2010, 03:59:42 PM
The Last Airbender มหาศึกสี่ธาตุจอมราชันย์

   

ชื่อไทย      มหาศึกสี่ธาตุจอมราชันย์
วันที่เข้าฉาย   29 กรกฏาคม 2553
จัดจำหน่าย   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์      www.thelastairbendermovie.com

ทีมนักแสดง
โนอาห์ ริงเกอร์ (NOAH RINGER)       รับบท       แอง
เดฟ พาเทล (DEV PATEL)       รับบท       เจ้าชายซูโก้
นิโคล่า เพลท์ซ (NICOLA PELTZ)       รับบท       คาทาร่า
แจ็คสัน แร็ธโบน (JACKSON RATHBONE)    รับบท      ซ็อกก้า
ชอว์น ทู้บ (SHAUN TOUB)       รับบท      ลุงไอโรห์
อาซีฟ แมนด์วี (AASIF MANDVI)       รับบท      ผู้บัญชาการจ้าว
คลิฟฟ์ เคอร์ติส (CLIFF CURTIS)       รับบท      โอไซ เจ้าแห่งไฟ

ทีมผู้สร้าง
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน (M. NIGHT SHYAMALAN) – ผู้เขียนบท/ ผู้อำนวยการสร้าง/ ผู้กำกับ
ไมเคิล ดังเต้ ดิมาร์ติโน่ (MICHAEL DANTE DiMARTINO) – ผู้สร้างซีรีส์การ์ตูนต้นฉบับ/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
ไบรอัน โคนีทซ์โก้ (BRYAN KONIETZKO) – ผู้สร้างซีรีส์การ์ตูนต้นฉบับ/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
แซม เมอร์เซอร์ (SAM MERCER) - ผู้อำนวยการสร้าง
แฟรงก์ มาร์แชลล์ (FRANK MARSHALL) – ผู้อำนวยการสร้าง
แคธลีน เคนเนดี้ (KATHLEEN KENNEDY) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
สก็อตต์ อาเวอร์ซาโน่ (SCOTT AVERSANO) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร




โลกตกอยู่ในเพลิงสงคราม ไม่มีใครหน้าไหนที่มีพลังมากพอจะหยุดยั้งการทำลายล้างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้...จนกระทั่งบัดนี้
เป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษเต็มๆ ชาติแห่งไฟได้ลงมือก่อความรุนแรงเพื่อหวังจะครองโลกที่พวกเขาเคยปกครองร่วมกับอีกสามชนชาติ อันได้แก่ ชาติลม, ชาติน้ำ และชาติดิน ชนชาติไฟยื่นข้อเสนอให้สามชนชาติที่เหลือที่กำลังตกเป็นเบี้ยล่างเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นหมายถึง ถ้าไม่ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง ก็ต้องโดนทำลายล้างจนสิ้นซาก
เมื่อชาวบ้านพยายามปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองอย่างไร้หวัง พวกเขาสนับสนุนคนเพียงไม่กี่คนที่ถูกเลือก และมีความสามารถที่จะควบคุมธาตุประจำชนชาติ และใช้มันได้ดังใจประสงค์ อย่างไรก็ดี เจ้าแห่งไฟที่มีกองทัพและอาวุธทำลายล้างมหาศาล ลงมือกำจัดเจ้าแห่งลมทุกคนบนโลก และบัดนี้ พวกเขากำลังหันมาวางแผนกำจัดชนชาติน้ำ ที่ตั้งมั่นอยู่ในป้อมปราการทางด้านเหนือ   
วันหนึ่ง คาตาร่า เจ้าแห่งน้ำ (นิโคล่า เพลท์ซ) กำลังฝึกฝนฝีมืออยู่กับซ็อกก้า พี่ชายของเธอ (แจ็คสัน แร็ธโบน) นั่นคือตอนที่พวกเขาพบเด็กชายนามว่า แอง (โนอาห์ ริงเกอร์) แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่าแองมีความสามารถในการควบคุมลมได้ คาตาร่ากับซ็อกก้ารู้ตัวว่าพวกเขาได้พบเจ้าแห่งลมคนสุดท้ายแล้ว แองที่อยู่ในร่างอวตารตามคำพยากรณ์ที่ว่า จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมธาตุทั้งสี่ได้ทั้งหมด เจ้าแห่งลมที่ยังวัยเยาว์ผู้นี้ก็คืออาวุธชิ้นสุดท้ายที่จะสามารถตอบโต้การรุกรานของชนชาติไฟ และกู้สมดุลมาสู่โลกที่แตกแยกด้วยภัยสงครามได้ แต่เขาจะสามารถใช้ทักษะในการควบคุมธาตุ และกลายมาเป็นวีรบุรุษอย่างที่เขาต้องเป็น ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปได้หรือไม่   
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง/ มือเขียนบทที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ในการเล่าเรื่องได้อย่างสุดโลดโผน (เขาเป็นเจ้าของผลงานอย่าง “The Sixth Sense,” “Signs,” “Unbreakable”) ได้นำเอาการ์ตูนซีรีส์สุดฮิตอย่าง “The Last Airbender” มาขึ้นจอใหญ่ ด้วยการสร้างโลกอันสุดยิ่งใหญ่ตระการตาที่เพียบไปด้วยงานสเปเชียลเอฟเฟ็กต์อลังการ ฉากแอ็กชั่นยิ่งใหญ่ และการผจญภัยสุดตื่นเต้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้อัดแน่นไปด้วยทีมนักแสดงรุ่นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถ ได้แก่ โนอาห์ ริงเกอร์, นิโคล่า เพลท์ซ และแจ็คสัน แร็ธโบน ร่วมด้วย เดฟ พาเทล (พระเอกหนุ่มจากภาพยนตร์สุดฮิต “Slumdog Millionaire”) ผู้รับบทเป็นเจ้าชายซูโก้ เจ้าชายแห่งชาติไฟที่เต็มไปด้วยความพยาบาท,  ชอว์น ทู้บ (“Iron Man”) ในบทลุงไอโรห์ผู้เสียสละของซูโก้ที่คอยเข้ามาช่วยเหลือให้หลานรักสมหวัง, อาซีฟ แมนด์วี (“Spider-Man 2”) รับบทผู้บัญชาการจ้าว แห่งชนชาติไฟนายพลที่ไร้จิตสำนึก และคลิฟฟ์ เคอร์ติส (“Live Free or Die Hard”) รับบทเจ้าแห่งไฟโอไซ ผู้พร้อมกำจัดทุกคน แม้แต่เลือดเนื้อ ถ้าคิดมาขวางทางเขา
   
“The Last Airbender” สร้างจากการ์ตูนซีรีส์เรื่อง “Avatar: The Last Airbender” ซึ่งเป็นผลงานการสร้างของ ไมเคิล ดังเต้ ดิมาร์ติโน่ และไบรอัน โคนีทซ์โก้ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย  และผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง ร่วมกับชยามาลาน ก็คือ แซม เมอร์เซอร์ (“The Sixth Sense,” “Unbreakable,” “The Village”) และแฟรงก์ มาร์แชลล์ (ภาพยนตร์ชุด “Bourne”,  ภาพยนตร์ชุด “Indiana Jones”) เสริมทีมด้วยผู้อำนวยการสร้างบริหารอย่าง แคธลีน เคนเนดี้ (“Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull,” “War of the Worlds”) และสก็อตต์ อาเวอร์ซาโน่ (“Killers,” “The School of Rock”)
ทีมสร้างสรรค์หลังกล้องที่เข้ามาร่วมงานกับชยามาลาน ได้แก่ ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ แอนดรูว์ เลสนี่, เอซีเอส, เอเอสซี (ภาพยนตร์ไตรภาค “The Lord of the Rings”), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ฟิลิป เมสซิน่า  (ภาพยนตร์หลายภาคของ จอร์จ คลูนี่ย์ เรื่อง “Ocean’s”), ผู้ลำดับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์ คอนราด บัฟฟ์, เอซีอี (“Titanic”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย จูเดียนน่า มาคอฟสกี้ (“Harry Potter and the Sorcerer’s Stone”) ผู้เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วม ได้แก่ โฮเซ่ แอล ร็อดริเกซ (“The Happening”) ส่วนผู้ทำหน้าที่แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือคอมโพเซอร์ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วหลายครั้งอย่าง เจมส์ นิวตัน ฮาวเวิร์ด (“The Dark Knight”) ส่วนผู้สร้างงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ และแอนนิเมชั่นให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือบริษัทสุดยอดด้านงานเอฟเฟ็กต์อย่าง อินดัสเทรียล ไลต์ แอนด์ เมจิค  (“Avatar”)

happy on July 15, 2010, 04:01:01 PM


เบื้องหลังงานสร้าง
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นในปี 2005 เมื่อนิคเคโลเดี้ยนเริ่มออกอากาศหนังการ์ตูนซีรีส์เรื่อง “Avatar: The Last Airbender” ซึ่งเป็นผลงานการร่วมสร้างของ ไมเคิล ดังเต้ ดิมาร์ติโน่ และไบรอัน โคนีทซ์โก้ หนังการ์ตูนเรื่องนี้มีผู้ติดตามชมเป็นจำนวนมาก ไม่ช้าไม่นาน กระแสความนิยมใน “Avatar” ได้แพร่ออกไปจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก (ถึงตอนนี้ หนังการ์ตูนเรื่องนี้ออกอากาศอยู่ในกว่า 120 ประเทศ) และกลายมาเป็นจุดสนใจของหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าเล่าเรื่องราวได้เก่งที่สุดอย่าง เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 รางวัล เล่าว่า “ ‘Avatar: The Last Airbender’ ถูกส่งมาถึงมือผม และมันกระแทกโดนใจผมในทันทีทันใด”   
ลูกสาวของชยามาลานชื่นชอบหนังการ์ตูนเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาตาร่า เจ้าแห่งน้ำที่เป็นตัวละครหญิงสาว เพราะรู้สึกทึ่งในความภักดีของแฟนๆ การ์ตูนเรื่องนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชยามาลานจึงตัดสินใจที่จะลองนั่งดูการ์ตูนเรื่องนี้พร้อมกับลูกๆ แค่นั้นแหละ เขาก็ถึงกับติดหนึบไปด้วยอีกคน
เห็นได้ชัดเลยว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีแววเหมาะจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่การจะดัดแปลงเรื่องราวที่มีความยาว 30 ชั่วโมงให้กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวนั้น คงไม่ใช่งานง่ายๆ ที่ไร้ความท้าทายแน่ “ผมรู้ตั้งแต่วินาทีที่ผมจรดปลายปากกาเขียนคำแรกๆ ลงบนกระดาษเลยว่า การจะสร้างภาพยนตร์ที่มีความซับซ้อนขนาดนี้ คุณต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไมเคิล ดังเต้ ดิมาร์ติโน่ และไบรอัน โคนีทซ์โก้ ผู้สร้างการ์ตูนชุด ‘Avatar’ นี้ ใช้เวลาถึง 6 ปีในการสร้างเรื่องที่เหมือนเป็นตำนานเรื่องนี้ขึ้นมา”
“มันคือเรื่องราวที่ช่วยเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง และยังเป็นการเรียนรู้ที่น่าสนใจสำหรับผมที่ได้ทำงานที่มีงานสร้างใหญ่ขนาดนี้ ขณะที่ยังจะต้องรักษาระดับของความสมบูรณ์แบบเอาไว้” ชยามาลานกล่าวต่อ “ทุกวันระหว่างถ่ายทำ ผมรู้สึกกลัวแทบตาย เพราะมันมีอะไรเยอะแยะไปหมด และมีเรื่องที่ยังไม่รู้เยอะมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าใหญ่กว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผมเคยสร้างมากว่า 2 เท่าครึ่งเลยทีเดียว”
เพราะทีมผู้สร้างภาพยนตร์ “The Last Airbender” ล้วนแต่เป็นแฟนผู้ติดตามการ์ตูนเรื่องนี้ พวกเขาจึงมีเป้าหมายสำคัญหนึ่งเดียวที่พวกเขาหวังจะทำให้สำเร็จ “เราอยากสร้างภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแต่จะสนองตอบความคาดหวังของแฟนๆ ได้เท่านั้น แต่ยังจะต้องขยายเรื่องราวนี้ไปสู่คนดูทั่วโลกในแบบที่มีแต่เพียงภาพยนตร์แอ็กชั่นที่ใช้คนแสดงที่มีความยาว จะสามารถทำได้” ชยามาลานบอก
ดิมาร์ติโน่และโคนีทซ์โก้ ผู้ร่วมกันสร้างการ์ตูน “Avatar” เข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาบทภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมาก พวกเขาได้ช่วยลดทอนเรื่องราวมากมายให้สามารถอยู่ในกรอบของภาพยนตร์หนึ่งเรื่องได้ “ผมบอกไม่ถูกหรอกว่ามันทำให้ผมรู้สึกสบายใจแค่ไหนที่ได้คุยโทรศัพท์หรืออีเมลคุยกับพวกเขาตอนที่ผมเริ่มมีปัญหาคิดไม่ออก โลก ‘Avatar’ ของพวกเขาถูกคิดเอาไว้เป็นอย่างดี จนพวกเขามีคำตอบ และมีแบ็คกราวน์ให้กับคำถามทั้งหมดของผม” 
ชยามาลานมีความคิดอยากจะสร้างภาพยนตร์แฟรนไชส์มานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยปิ๊งส์กับเรื่องไหนสักที แต่ดูเหมือน “The Last Airbender” จะมีองค์ประกอบครบทุกอย่างที่ทำให้ชยามาลานเคยรู้สึกทึ่งตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อตอนที่เขาได้ดูภาพยนตร์ “Star Wars” ครั้งแรก ซึ่งเป็นภาพยนตร์เอพิค แฟนตาซีที่อัดแน่นไปด้วยหัวจิตหัวใจ และยังมีศิลปะการต่อสู้ที่น่าดูอีกด้วย
ผู้อำนวยการสร้าง แฟรงก์ มาร์แชลล์ ผู้เคยร่วมงานกับชยามาลานมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “The Sixth Sense” และ “Signs” บอกว่า “ไนท์มีสไตล์การสร้างภาพยนตร์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีวิธีเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใครจริงๆ เขามีความสามารถที่จะเข้าถึงคนดูกลุ่มกว้าง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้ขยายความสามารถและขอบเขตงานของเขาออกไป ซึ่งเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นสุดๆ เลย”
ผู้อำนวยการสร้าง แซม เมอร์เซอร์ กล่าวเสริมว่า “ไนท์เคยสนใจและเคยได้รับข้อเสนอให้ทำภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องอื่นมาก่อนแล้ว แต่เขายังไม่พบเรื่องที่เขาอยากสร้างออกมาเลยจนกระทั่งถึงเรื่อง ‘The Last Airbender’ ตั้งแต่เขาจรดปลายปากกาเขียนลงบนกระดาษตั้งแต่คำแรกๆ”
ชยามาลานบอกว่า พื้นที่ที่เขาทำงานได้อย่างสบายใจก็คือการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาให้เป็นแนวทริลเลอร์ เขายอมรับว่า “มันดีที่จะเปลี่ยนแปลง และสอนสิ่งใหม่ๆ ให้กับตัวเอง และทำสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
“The Last Airbender” คือเรื่องราวบทที่ 1 ของการ์ตูนซีรีส์ “Avatar” ที่เน้นไปที่เรื่องของธาตุน้ำ เป็นการติดตามเรื่องราวของแอง ร่างอวตาร ขณะที่เขาฝึกฝนฝีมือในการควบคุมธาตุทั้งสี่ เพื่อกู้โลก และเช่นเดียวกับในการ์ตูน การเดินทาง ของ “The Last Airbender” เริ่มจากขั้วโลกใต้ไปถึงขั้วโลกเหนือ
เพื่อเริ่มต้นรับมือกับเรื่องแบบนี้ ชยามาลานเรียกใช้บริการของเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับเขามานานอย่าง ศิลปินวาดภาพสตอรี่บอร์ด บริค เมสัน ทั้งสองคนได้ช่วยกันวางพลอตของภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นถึงหนึ่งปีเต็ม เมื่อผู้กำกับภาพ แอนดรูว์ เลสนี่ ตกลงใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถึงเวลาก้าวสู่ขั้นตอนของการสร้างภาพคร่าวๆ ล่วงหน้า (พรี-วิชวลไลเซชั่น) โดยพวกเขาได้ร่วมงานกับอินดัสเทรียล ไลต์ แอนด์ เมจิค และวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ ปาโบล เฮลแมน ถึงจุดนั้น ได้มีการสร้างงานแอนนิเมติคส์ตามเวลาจริงขึ้นมา ทำเป็นพิมพ์เขียวซึ่งทำให้ทีมผู้สร้างสามารถมองเห็นภาพฉากต่างๆ ที่ผ่านการตัดต่อภาพมาแล้ว (มากกว่าหนึ่งในสามของภาพยนตร์เรื่องนี้วางโครงเรื่องด้วยเทคนิคพรี-วิซก่อนหน้าที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น) เมื่อพวกเขาเริ่มลงมือถ่ายทำกันจริงๆ การได้เห็นภาพพรี-วิซในกองถ่าย ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องนำทางที่หาค่ามิได้ และการได้ดูภาพพรี-วิซเหล่านั้นในไอโฟน ทำให้งานง่ายขึ้นเยอะ ง่ายกว่าการไปยืนล้อมวงกันอยู่หน้าจอมอนิเตอร์แค่เครื่องเดียว

happy on July 15, 2010, 04:03:03 PM


ระดมพลเจ้าแห่งธาตุ
ชยามาลานคิดล่วงหน้าไว้แล้วเช่นกันเมื่อถึงเวลาต้องคัดเลือกตัวนักแสดง เขาเล่าว่า “ผมมองหากลุ่มนักแสดงที่มีความหลากหลายที่มาพร้อมความสามารถในการแสดงที่แตกต่างกันไป คุณจะเลือกแค่ความดังของนักแสดงไม่ได้” ทางทีมผู้สร้างยังให้ความใส่ใจต่อผู้คนของสี่ชนชาติที่มีขนบธรรมเนียมที่หลากหลาย   
จุดศูนย์กลางของโลกนี้ก็คือร่างอวตารที่ชื่อว่าแอง และการค้นหาตัวนักแสดงที่เหมาะกับบทนี้ ใช้เวลานานกว่าหกเดือน ทีมงานต้องตระเวนไปหลายภูมิภาค เมื่อทีมผู้สร้างได้รับดีวีดีที่แสดงภาพของแชมเปี้ยนศิลปะการป้องกันตัวรุ่นเยาว์จากดัลลัส รัฐเท็กซัส ความสามารถและชะตากรรมได้มาปะทะกัน
โนอาห์ ริงเกอร์เริ่มต้นฝึกเทควันโด ซึ่งเป็นศิลปะป้องกันตัวและเป็นกีฬาประจำชาติเกาหลีใต้ ตั้งแต่อายุ 10 ปี ต่อมา ฝีมือในการต่อสู้ของเขาได้รับคำชมไปทั่ว รวมถึงเขายังคว้าตำแหน่งแชมเปี้ยนของการชิงแชมป์สมาคมเทควันโดอเมริกันที่จัดขึ้นที่รัฐเท็กซัส ในช่วงแรกๆ โนอาห์ตัดสินใจโกนผมเพื่อช่วยลดความร้อนในระหว่างการฝึก เมื่อเพื่อนๆ และครูฝึกของเขา รวมถึงแฟนๆ ของหนังการ์ตูนเรื่องนี้ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาดูเหมือนพระเอกของการ์ตูน พวกเขาเริ่มเรียกโนอาห์ว่า “อวตาร” ด้วยความแปลกใจ โนอาห์จึงหันมาดูการ์ตูนชุดนี้ทางดีวีดี และเขาก็เกิดชื่นชอบฉากแอ็กชั่นต่อสู้ที่มีมาไม่หยุดหย่อน
เมื่อมีข่าวประกาศว่าพาราเม้าต์กำลังคัดเลือกตัวนักแสดงในบทต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่อง “The Last Airbender” โนอาห์ที่ได้รับการผลักดันจากครูสอนเทควันโดของเขา ได้ทำดีวีดีออดิชั่นขึ้นมา โดยโนอาห์ได้วาดรูปลูกศรสีน้ำเงินอันเป็นสัญลักษณ์ของตัวละครตัวนี้เอาไว้บนศีรษะที่โกนจนล้านของเขาด้วย
“โนอาห์คือแอง ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว วินาทีที่พวกเราได้เห็นดีวีดีออดิชั่นของเขา เรามองเห็นถึงความจริงใจในดวงตาสีน้ำตาลคู่โตนั้น” ชยามาลานบอก “เขาอุทิศอย่างเต็มตัวให้กับงานของเขา และเขาก็ใส่ใจ และขยันทำงานมากขึ้นทุกวัน ความมีวินัยของเขาคือสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเด็กวัยขนาดนี้”
ผู้อำนวยการสร้าง แฟรงก์ มาร์แชลล์กล่าวเสริมว่า “นับแต่เริ่มต้น โนอาห์มีลักษณะที่ดูนิ่งสงบแบบเซนอยู่ในตัวเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังมองหาอยู่สำหรับคนที่จะแสดงเป็นตัวละครตัวนี้”
โนอาห์บอกว่าการต้องผสมผสานการแสดงเข้ากับความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ของเขา “ไนท์มีส่วนช่วยผมได้มากจริงๆ เพื่อให้ผมรู้สึกมีสมาธิ และเข้าถึงพลังและใส่พลังนั้นลงไปในการแสดงของผม ซึ่งคงจะช่วยผมไปตลอดชีวิตแน่”
ในเรื่องราวที่ความดีต้องต่อสู้กับความชั่ว ทุกคนรู้ดีว่าคุณต้องมีผู้ร้ายที่เยี่ยมยอด ดังนั้น การหาคนที่มารับบทเจ้าชายซูโก้ ซึ่งต้องสู้ได้อย่างสูสีกับริงเกอร์ คือสิ่งสำคัญ
เดฟ พาเทล ซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจนคาดไม่ถึงจากภาพยนตร์รางวัลออสการ์ “Slumdog Millionaire” กำลังมองหาบทที่แตกต่างไปจากบท จามัล ที่เขาเคยแสดงเอาไว้ใน “Slumdog” ขณะที่เดินหน้าประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์อินดี้สุดฮิตเรื่องนี้ พาเทลได้ทำเทปออดิชั่นบท เจ้าชายซูโก้ ไปด้วย และในเวลาต่อมา เขาได้รับโทรศัพท์เรียกตัวจากชยามาลาน ซึ่งเสนอบทนี้ให้เขาแสดง   
ชยามาลานบอกว่า “ในความเป็นจริง ความอ่อนไหวคือจุดแข็งของซูโก้ และจุดที่น่ารักของเดฟ พาเทลก็คือความอ่อนไหวนี่แหละ เดฟคือเด็กในร่างผู้ใหญ่เมื่อเราเรียกเขาให้มารับบทนี้ เป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างความโกรธและความเมตตา”
พาเทล (ซึ่งได้ดู “Avatar” ระหว่างช่วงเวลาพักในกองถ่าย “Slumdog”) บอก “เจ้าชายซูโก้กำลังสับสนระหว่างความปรารถนาและการดิ้นรนที่จะกู้ศักดิ์ศรีของเขากลับคืนมาในสายตาของพ่อ ผมชอบเรื่องนี้มาก เพราะมันมีบทเรียนมากมายให้ได้เรียนรู้ ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ บรูซ ลี ดังนั้นผมจึงชอบเรื่องของการต่อสู้ในหนังการ์ตูนเรื่องนี้มาก”
เมื่อริงเกอร์และพาเทลได้พบกันในวันแรกของการถ่ายทำ ทั้งคู่เกิดความนับถือกันและกันขึ้นมาทันที พาเทลบอกว่า “ผมเห็นเด็กอายุ 12 ปีคนนี้เดินเข้ามาในกองถ่ายของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และผมก็ประหลาดใจที่เห็นว่าเขาไม่สั่นเลย การฝึกศิลปะการต่อสู้ทำให้เขามั่นใจและมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จ โดยไม่หวั่นเกรงความท้าทาย”
เช่นเดียวกับริงเกอร์ นิโคล่า เพลท์ซ นักแสดงสาวตัดสินใจที่จะทุ่มเทตัวเองให้กับบทหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของชยามาลานเรื่องนี้ และเธอได้รับการเรียกตัวให้มาทดลองอ่านบทเจ้าแห่งน้ำ คาตาร่า และต่อมา เธอก็ได้รับเลือกให้รับบทนี้ เพลท์ซคุ้นเคยดีกับตัวละครตัวนี้ โดยเธอได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้กับน้องชายของเธอซึ่งเป็นฝาแฝด
เช่นเดียวกับลูกสาวของชยามาลาน เด็กหญิงในทุกหนทุกแห่งต่างชื่นชมในตัว คาตาร่า และความแข็งแกร่งของเธอในฐานะหญิงสาว เพลท์ซกล่าวว่า “เธอเป็นแม่แบบที่น่าทึ่งสำหรับพวกเด็กผู้หญิง ทุกอย่างที่เธอใส่ใจ เธอจะทำมัน เธอมีความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ”
เพราะไม่มีทั้งพ่อและแม่คอยดูแล ซ็อกก้า พี่ชายของคาตาร่า จึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้คอยคุ้มครองเธอ ถึงแม้ซ็อกก้าจะไม่เก่งในเรื่องควบคุมธาตุ แต่เขายังคงมีหัวใจของนักรบที่แท้จริง ถ้าคาตาร่ามีภัย เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นสู้ด้วยบูมเมอแรงหรือหอก และคนที่ได้รับเลือกให้มารับบทซ็อกก้า ก็คือ แจ็คสัน แร็ธโบน ที่โด่งดังมาจากภาพยนตร์เรื่อง “Twilight”
ชยามาลานบอกว่า “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมเพิ่มบทของซ็อกก้ามากขึ้น ดังนั้น ขณะที่มีอารมณ์ขันอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เขาไม่ใช่ตัวคอยปล่อยเสียงฮาเพื่อคลายเครียดให้กับหนัง นั่นทำให้แจ็คสันมีเรื่องราวให้แสดงได้มากขึ้น และตลอดภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งเรื่อง คุณจะได้เห็นซ็อกก้าเติบโตขึ้น”
นอกจากเส้นทางที่เขากับน้องสาวเลือกเดินแล้ว ซ็อกก้ายังต้องผ่านการเดินทางทางอารมณ์เมื่อเขาได้เจอกับเจ้าหญิงยู ที่รับบทโดย ซีเชลล์ แกเบรียล และตกหลุมรักเธอ แร็ธโบนเล่าว่า “ในทางหนึ่ง ซ็อกก้าก็คือผู้ชายเชยๆ จากชนเผ่าน้ำทางตอนใต้ แล้วเขาก็เดินทางเข้าไปยังเมืองใหญ่ของชนเผ่าน้ำทางเหนือ ที่ซึ่งเขาได้พบกับเจ้าหญิงแสนสวย ความสัมพันธ์ของเขากับเธอช่วยสอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขาได้อย่างมาก และทำให้เขาเติบโตขึ้นมากทีเดียว”
การเดินหน้าของเจ้าชายซูโก้อัดแน่นไปด้วยภาระหน้าที่ของวงศ์ตระกูล หลังจากต้องอับอายในการศึก ซูโก้ถูกเนรเทศโดยโอไซ เจ้าแห่งไฟ (รับบทโดยคลิฟฟ์ เคอร์ติส) พ่อของเขา ซูโก้ตั้งใจที่จะทวงความรักและความภาคภูมิใจคืนจากพ่อของเขาให้ได้ ซูโก้ได้รับความช่วยเหลือจากลุงไอโรห์ (รับบทโดยชอว์น ทู้บ) อดีตนายพล และเป็นทหารที่ผ่านศึกมาแล้วมากมาย และเขาคือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและคนสนิทของเจ้าชายหนุ่มผู้นี้
ชนชาติไฟปกครองและถูกปกครองโดยกองทัพ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ในระดับบุคคล ปรัชญาที่ว่า ‘พละกำลังสร้างสิ่งที่ถูกต้อง’ จะกลายเป็นจริง มันคือภาระหน้าที่ของผู้แข็งแกร่งที่จะผลักดันความอ่อนแอทิ้งไป และขึ้นปกครอง ผู้บัญชาการจ้าว (รับบทโดยอาซีฟ แมนด์วี) ที่เชื่อมั่นว่าตัวเขาน่าจะเป็นผู้นำที่ดีกว่าซูโก้ จึงเข้ามาแทนที่เจ้าชายซูโก้ และยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นคนโปรดของเจ้าแห่งไฟ
เพื่อสรรหานักแสดงที่จะมารับบทเป็นชนเผ่าของชนชาติทั้ง 4 ทีมงานได้เปิดคัดเลือกตัวนักแสดงขึ้นทั่วทั้งชายฝั่งตะวันออก เพื่อค้นหาตัวนักแสดงที่มาพร้อมทักษะฝีมือมากมาย ตั้งแต่ศิลปะการต่อสู้ การทหาร เต้นรำ ยิมนาสติค นอกจากนี้ พวกเขายังเลือกตัวนักแสดงจากทุกวัย ซึ่งรวมถึงพวกเด็กๆ (ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ถึง 15 ปี)   
คนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนตะวันออกกลาง, อินเดียนแดง, เมดิเตอร์เรเนี่ยน และอิตาเลี่ยน ได้รับเลือกให้มารับบทเป็นเหล่าทหารของชนชาติไฟ ขณะที่กลุ่มชาย หญิง และเด็กๆ ที่หน้าตาละม้ายคล้ายคนเกาหลี, ญี่ปุ่น, มองโกเลีย และอัฟริกัน ได้รับเลือกให้รับบทเป็นประชาชนของอาณาจักรดินที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติไฟ ขณะที่ชาย หญิง และเด็กๆ หลายร้อยคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายลูกหลายชาวแองโกลได้รับเลือกให้มารับบทชาวบ้านในชนเผ่าน้ำทางใต้และทางเหนือ 
เมื่อรวมๆ กันแล้ว นักแสดงมากกว่า 6,000 คน ได้รับการว่าจ้างให้มาเติมเต็มโลกของ “The Last Airbender”

happy on July 15, 2010, 04:07:05 PM