Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - MSN

Pages: 1 ... 1274 1275 [1276] 1277 1278 ... 1284
19126
มาสด้าไม่สนนกเต็น พายอดขายเดือนกรกฎาคมทะลุ 3,600 คัน ยกระดับบริการลูกค้าอีกขั้นขยายมาสด้า สปีดไลน์ รองรับลูกค้า

 
 
          บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยยอดขายรถยนต์ประจำเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้รับความนิยมสูงสุดอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายที่ยังคงเติบโตทะลุ 3,000 คัน เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ด้วยยอดขายสูงถึง 3,659 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 21% โดยเฉพาะมาสด้า3 รุ่น 2.0ลิตร ใหม่ หลังจากที่เริ่มส่งมอบให้กับลูกค้ายังแรงไม่หยุด หนุนยอดขายมาสด้า3 โดยรวมสูงถึง 668 คัน เพิ่มขึ้นถึง 87% เทียบกับเดือนเดียวกันปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตัวแรงอย่างมาสด้า2 ยังไร้เทียมทานทะลุถึง 2,195 คัน เดินหน้าตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตซิตี้คาร์ที่โดนใจคนรุ่นใหม่ เพิ่มแผนรองรับการเติบโตด้วยการขยายศูนย์คอลล์ เซ็นเตอร์ "มาสด้า สปีดไลน์" เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น เตรียมจัดกิจกรรมท้าพิสูจน์สมรรถนะ ซูม-ซูม ของมาสด้า2 กับการบันทึกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ขับสนุกกับน้ำมันหนึ่งถังเพียง 43 ลิตร ซูม-ซูม ได้ไกลจากกรุงเทพฯ ถึงภูเก็ตระยะทางร่วม 900 กิโลเมตรเร็วๆ นี้

          นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากมรสุมพัดผ่าน ท้องฟ้าย่อมสดใสเสมอ มาสด้าไม่รีรอที่จะเดินหน้าเต็มที่ด้วยการทุ่มเททำงานอย่างหนักร่วมกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศ เจาะกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงลูกค้าในทันที หลังจากที่ลูกค้าให้การยอมรับในรูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ต สมรรถนะ และความปลอดภัย รวมทั้งความเชื่อมั่นในด้านการบริการหลังการขาย ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์มาสด้าเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม ซึ่งปกติจะเป็นช่วงโลว์ซีซันส์ของปีเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน แต่ยอดขายกลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 21% ด้วยยอดรวมทั้งสิ้น 3,659 คัน โดยแบ่งออกเป็นรถสปอร์ตซิตี้คาร์มาสด้า2 ที่มียอดขายสูงสุดถึง 2,195 คัน เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา และรถสปอร์ตคอมแพ็คคาร์มาสด้า3 ทั้งรุ่น 2.0 ลิตรใหม่ และ 1.6 ลิตร มียอดขายสูงถึง 668 คัน เพิ่มขึ้น 87% เทียบกับเดือนเดียวกันปี 2553 รถปิคอัพมาสด้า บีที-50 จำนวน 794 เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา และรถสปอร์ตโรดสเตอร์ Mazda MX-5 และรถสปอร์ตครอสโอเวอร์หรู 7 ที่นั่ง Mazda CX-9 รุ่นละ 1 คัน

          นายโชอิชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยปริมาณจำนวนของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว มาสด้าได้ยกระดับการบริการเพิ่มมาตรฐานและขยายระบบให้รองรับได้มากยิ่งขึ้น โดยได้ทำการขยายศูนย์คอลล์ เซ็นเตอร์ "มาสด้า สปีดไลน์"(Mazda Speedline) พร้อมทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพทีมใหญ่ เพื่อพัฒนาช่องทางในการสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และเป็นแหล่งรวบรวมและให้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางคอยให้ความช่วยเหลือลูกค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าทั้งทางด้านการขาย (SSI) และการบริการหลังการขาย (CSI) ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ใหม่ (02) 664-4888 และสำหรับต่างจังหวัด 1-800-226-408 โดยเปิดทำการวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8:30 – 18:30 น. และวันเสาร์เวลา 8:30 – 17:30 น. และศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 1-800-333-000 จากโทรศัพท์พื้นฐาน และหมายเลข 1-401-333-000 จากโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้แจ้งเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เป็น (02) 664-4800 และโทรสารยังคงเป็นหมายเลข (02) 661-8182 และ (02) 661-8191 การใส่ใจกับงานบริการลูกค้านี้ ส่งผลให้แบรนด์ของมาสด้าได้รับรางวัลความพึงพอใจลูกค้าด้านการขาย (CSI) เป็นอันดับสอง จากผลการสำรวจความพึงพอใจลูกค้าที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองมาแล้ว โดยบริษัทสำรวจวิจัยชื่อดัง J.D. Powers ประจำปี 2554

          นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยการมุ่งมั่นในการทำตลาดที่ชัดเจนและอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าเป็นอย่างดี โดยเน้นสื่อสารการตลาดในทุกช่องทางทั้ง ทีวี ออนไลน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คทั้งหลายในโลกของดิจิตอล อาทิ เฟสบุ๊ค ตลอดจนลูกค้าช่วยสื่อสารด้วยการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งส่งผลให้ยอดขายของมาสด้าเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกรุ่น และในเร็วๆ นี้ มาสด้าเตรียมตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ตที่ให้ทั้งความแรงและการประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ด้วยการท้าพิสูจน์เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ครั้งสำคัญ เตรียมจัดขับท้าพิสูจน์สมรรถนะ ซูม-ซูม ให้กับรถสปอร์ซิตี้คาร์มาสด้า2 เดินทางกับน้ำมันเพียงถังเดียวความจุเพียง 43 ลิตร แต่ขับได้ไกลจากกรุงเทพถึงภูเก็ตรวมระยะทางเกือบ 900 กิโลเมตร

          ตารางยอดจำหน่ายรถยนต์มาสด้าเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554
 
Model   กรกฎาคม 54   กรกฎาคม  53   เปลี่ยนแปลง%
Mazda2   2,195   2,090   + 5%
Mazda3   668   358   + 87%
Mazda BT-50   794   579   + 37%
Premium car    2   7   - 71%
ยอดรวม   3,659   3,034   + 21%
 
 
          ดังนั้นลูกค้ามาสด้าทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสการในการเป็นเจ้ายานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตจากมาสด้าที่ให้ความ สนุกสนานในการขับขี่ที่เร้าใจสมรรถนะเป็นเยี่ยมให้ความมั่นใจในความปลอดภัยอบอุ่นใจตลอดการเดินทางพร้อมทดลองขับก่อน ตัดสินใจเป็นเจ้าของและรับข้อเสนอสุดพิเศษที่โชว์รูมมาสด้าทั้ง 122 แห่งทั่วประเทศ

          รถยนต์ของมาสด้าเป็นที่คุ้นเคยในเมืองไทยมานานกว่า 60 ปี และยังคงดำเนินบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย มาสด้ามุ่งมั่นในการนำอารมณ์สนุกสนานวัยเด็กกลับมาสู่ทุกท่านอีกครั้ง ด้วยการผลิตรถยนต์ภายใต้แนวคิด "ซูม-ซูม" อันเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะแห่งความ "ท้าทาย" "สร้างสรรค์" และ "ร่าเริง" เพื่อให้ทุกการขับขี่ของคุณไม่ใช่เพียงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นอกเหนือจากยนตรกรรมอันทรงเอกลักษณ์แล้ว เรายังทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาการบริการหลังการขายเพื่อให้ลูกค้าของมาสด้าทุกท่านได้รับความพึงพอใจ เพราะเรายึดมั่นว่า รอยยิ้มของท่านคือความภาคภูมิใจของเรา

          เชิญสัมผัสและทดลองขับรถสปอร์ตมาสด้า2 รถสปอร์ตน้องใหม่ รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 2.0ลิตรใหม่ และมาสด้า3 1.6ลิตร รถปิกอัพช่วงล่างดี มาสด้า บีที-50 สปอร์ตปิกอัพ พลังแรง และรถสปอร์ตโรดสเตอร์มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 และรถสปอร์ตครอสโอเวอร์หรู 7 ที่นั่ง New Mazda CX-9 ได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการมาตรฐานของมาสด้า 122 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มาสด้า สปีดไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ (02) 664-4888 หรือต่างจังหวัดโทรฟรี ได้ที่หมายเลข1-800-226-408

          http://www.mazda.co.th
          Zoom-Zoom เราใส่ความเป็นสปอร์ตลงไปในรถทุกคันที่เราผลิต

19127
โมกุ โมกุ กลับมาแล้ว!!!

บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด ผู้นำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแนวใหม่ ขอแนะนำน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวแบรนด์แรกของโลก “โมกุ โมกุ” โฉมใหม่  ที่กลับมาพร้อมแพ็กเกจจิ้งใหม่ แตกต่างด้วยคุณภาพวุ้นมะพร้าวชิ้นโต เคี้ยวสนุกกว่าใคร มี 3 รสชาติให้อร่อยแบบกวนๆ ได้แก่ ส้ม, สตรอเบอร์รี่ และลิ้นจี่ ขนาด 300 มล. ราคา 15 บาท มีจำหน่ายแล้วที่ 7-11 และร้านค้าทั่วไป สาวกโมกุ โมกุ ติดตามแอนนิเมชั่นสุดซ่ากับภาระกิจสุดแสบของโมกุ โมกุ ได้ทางwww.facebook.com/ilovemogumogu

19128
ภาพข่าว: สมาคมประชาสัมพันธ์ไทย ร่วมถวายพระพร


 
          ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ดร.พจน์ ใจชาญสุขกิจ (ยืนกลาง) นายกสมาคมประชาสัมพันธ์ไทย ถวายพานพุ่ม เครื่องราชสักการะและจุดเทียนชัยถวายพระพร ร่วมด้วยคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ได้แก่ ศักดิ์ชัย เรืองกิตติกุล, เยาวลักษณ์ โหตรภวานนท์, สุรัญญา เฉลิมดิษฐ์ และศุภอัชฌ์ ชาตรูปะวณิช ในพิธีเฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระชนมพรรษา 79 พรรษา 12 สิงหาคม 2554 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง



19129
ภาพข่าว: วัน-ทู-คอล! ยกก๊วนลูกค้ามีทแอนด์กรี๊ด “Kamikaze Loveเว่อร์”



          นลีน ชนาฐิติกุล (แถวยืน : ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด วัน-ทู-คอล! ยกก๊วนลูกค้าวัน-ทู-คอล! มีทแอนด์กรี๊ดศิลปินกามิกาเซ่ แบบใกล้ชิด ในคอนเสิร์ต “Kamikaze Loveเว่อร์” โดยมี โฟร์-มด และ เค-โอติก ตัวแทนศิลปินกามิกาเซ่ร่วมถ่ายภาพ ณ พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน เมื่อเร็วๆ นี้


19130
“คอนเน็กชั่นส์” จัดงานสัมมนา “ไทยช่วยไทย 2011”เคลื่อนทัพลงภูเก็ต ย้ำเจตนารมณ์เกื้อหนุนความรู้สู่ SMEs ต่อเนื่อง


         
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา หอการค้าไทยและเอไอเอส มั่นใจมอบหมายให้บริษัท คอนเน็กชั่นส์ เวิลด์ไวด์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการโครงการกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และการจัดการด้านองค์ความรู้แบบบูรณาการ โดยคุณสุโข สิงห์คราม (ที่ 4 จากขวา) รับหน้าที่แม่งานใหญ่ จัดงานสัมมนา “ไทยช่วยไทย 2011” อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 แล้วในปีนี้ ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเมโทรโพล จ.ภูเก็ต โดยความร่วมมือจากหอการค้าจังหวัด เพื่อสานต่อองค์ความรู้การพัฒนากลยุทธ์ด้านการตลาดให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทยอย่างทั่วถึง ด้วยแนวคิด “Quality DNAs สู่ความสำเร็จ” ผ่านบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ SMEs ระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ คุณบุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี (ที่ 2 จากขวา) เจ้าของธุรกิจ BSC PANADDA และคุณวุฒินันท์ สังข์อ่อง (ที่ 4 จากซ้าย) กับธุรกิจสินค้ามวยไทยแบรนด์โกอินเตอร์ โดยการจัดงานในครั้งนี้สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ประกอบการ SMEs ชาวภูเก็ตเข้าร่วมงานได้กว่า 200 ราย
 
เกี่ยวกับคอนเน็กชั่นส์

            บริษัท คอนเน็กชั่นส์ เวิลด์ไวด์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ.2546 โดยเริ่มเติบโตจากธุรกิจ “ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์” ให้กับหน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันได้พัฒนาสู่การเป็น “ที่ปรึกษางานสื่อสารองค์กรและจัดการองค์ความรู้ (KM)” โดยขึ้นทะเบียนบริษัทที่ปรึกษากับกระทรวงการคลัง ประเภท A เลขทะเบียน 1610 ด้วยพันธกิจแห่งความเป็นผู้สร้างสรรค์อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัทและองค์กรมากมาย เราจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการต่างๆจากลูกค้าจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

19131
กลุ่มซีคอน หวนกลับสร้างชื่ออีกครั้งในธุรกิจอสังหาฯ เมืองไทย ด้วยโครงการล่าสุด “ดิ เอสเตท” ศรีนครินทร์ ทาวน์โฮม หน้ากว้าง 10 ม. มูลค่า 250 ล้าน



          กลุ่มซีคอนคืนสังเวียนวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ดิ เอสเตท” (The Estate) โครงการ ทาวน์โฮม หน้ากว้าง 10 เมตร บริเวณถนนศรีนครินทร์ สร้างความคุ้มค่าให้แก่ผู้บริโภค

          นายปิยะ ซอโสตถิกุล กรรมการบริหารบริษัทซีคอน เปิดเผยว่า “ถ้าว่ากันจริงๆ แล้วโครงการบ้านจัดสรรแห่งแรกๆ ของประเทศไทย คือหมู่บ้านมิตรภาพ ซึ่งเราเป็นผู้พัฒนาเมื่อปี พ.ศ 2514 สมัยนั้นได้เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ มาจัดทำ Post Finance 30 ปี ซึ่งขณะนั้นธนาคารไทยให้กู้ได้เพียง 5 ปีเท่านั้น กลุ่มซีคอน เราห่างเหินจากงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยไปนานพอควร จนกระทั้งล่าสุดเมื่อ 7-8 ปีก่อน เราได้เริ่มทำโครงการ Villa ขายต่างชาติที่ จ. ภูเก็ต ในนาม บริษัท เอราวัณนา จำกัด ซึ่งได้ดำเนินงานและสามารถปิดการขายเรียบร้อยแล้ว 11 โครงการ ปัจจุบัน กลุ่มซีคอนมีธุรกิจรับสร้างบ้านในนาม ซีคอน โฮม คอมแพค โฮม บัดเจ็ด โฮม มีธุรกิจศูนย์การค้าซีคอนสแควร์และเพิ่งเปิดตัวศูนย์การค้าซีคอนบางแค รวมถึงธุรกิจโรงแรมระดับ 5 ดาว ในนาม Renaissance ที่ จ. ภูเก็ต

          โครงการแรกในกรุงเทพฯ เป็นโครงการทาวน์โฮม มูลค่า 250 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณซอยอ่อนนุช ใกล้ถนนศรีนครินทร์“เราพอมี Land bank อยู่บริเวณถนนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังมีศักยภาพและมีความต้องการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในระดับราคา 4-6 ล้านบาท โดยแบรนด์ที่เราใช้คือ “The Estate” โครงการนี้เป็นทาวน์โฮมที่มีการออกแบบให้แตกต่างจากที่อื่นๆ คือหน้ากว้างอยู่ที่ 10 เมตร เมื่อเปรียบเทียบกับทาวน์โฮมทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 5 – 5.5 เมตร ทำให้เมื่อมองจากภายในบ้านออกมาด้านนอกแล้วรู้สึกกว้าง ห้องนอนทุกห้องมีหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้เหมือนบ้านเดี่ยว นอกจากนั้น เรายังได้เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากกว่าทาวน์โฮมทั่วไป ทำให้สามารถเพิ่มห้องนอนและห้องน้ำเป็นอย่างละ 4 ห้อง ในด้านการก่อสร้างก็ใช้ระบบซีคอนที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง เช่น การรับประกันโครงสร้างบ้านถึง 10 ปี เราเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การสร้างบ้านอย่างมีคุณภาพกว่า 50 ปีของซีคอนผนวกกับการดีไซน์แบบบ้านที่ทันสมัย รวมทั้งราคาที่คุ้มค่าจะทำให้โครงการ The Estate ศรีนครินทร์ ประสบความสำเร็จ” นายปิยะ ซอโสตถิกุล กล่าวแสดงความเชื่อมั่น

          ส่วนการขยายโครงการอื่นๆ ในอนาคต มีการวางแผนไว้แล้ว โดยจะเน้นในบริเวณถนนศรีนครินทร์และเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบก่อนในช่วง 1-2 ปี หลังจากนั้น คงได้ทำ Low Rise Condo โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ปีละ 300-500 ล้านบาท ส่วนในระยะยาว 5-10 ปี เมื่อรถไฟฟ้าขยายมาถึงก็อาจลงทุนสร้างพื้นที่สำนักงานติดกับซีคอนสแควร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา

          เกี่ยวกับมุมมองตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมในเขตกรุงเทพและปริมณฑลปีนี้นั้น นายปิยะ ซอโสตถิกุล กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า “ตลาดโดยรวมน่าจะมีอัตราเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณถนนศรีนครินทร์ยังคงมีความต้องการสูงเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิรวมทั้งถนนกำลังขยายช่องทางเพิ่ม ทั้งนี้ การแข่งขันในพื้นที่มีค่อนข้างสูงเช่นกัน โดยมีโครงการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 25 โครงการ จำนวนที่อยู่อาศัยรอการขายมีกว่า 3,500 ยูนิต มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท”

19132
KTAM ขายตราสารหนี้ในประเทศ6เดือนชู3.40%ต่อปี
 
 
             นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนกรุงไทยสมาร์ท อินเวสท์ 6 เดือน 5 (KTSIV6M5)  ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19  สิงหาคม 2554   ซึ่งเป็นกองทุนประเภท roll over ที่เปิดให้นักลงทุนซื้อ-ขายคืนหน่วยลงทุนได้ ทุก 6 เดือน โดยคาดว่าผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.40% ต่อปี    โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารการเงินระยะสั้นของสถาบันการเงินและบริษัทเอกชนในประเทศทั้งหมด ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ A- ขึ้นไป เช่น ตั๋วแลกเงินของธนาคารนครหลวงไทย  ธนาคารไอซีบีซี (ไทย), ธนาคารเกียรตินาคิน, บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ,  บมจ.ภัทรลีสซิ่ง, บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์,  บมจ. เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ เวลลอปเม้นท์ เป็นต้น

 กองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น  และมีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ (ระดับ 4)   ซึ่งตราสารที่กองทุนลงทุน จะให้ส่วนต่างผลตอบแทนที่ค่อนข้างจูงใจเมื่อเทียบกับการลงทุนเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือเงินฝากระยะเดียวกัน   

 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐในประเทศปรับลดลงอย่างมากซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยพันธบัตรระยะ 6-12 เดือน ปรับลดลง 13-21 bp  เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจและหนี้สาธารณะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างล่าช้า  และปัจจัยดังกล่าวยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำไปอีกประมาณ 2 ปี  จึงทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้เกือบทุกรุ่นอายุปรับตัวลดลงอย่างมาก

  ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ  ยังอยู่ในช่วงที่รอผลการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการประชุมเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางสัปดาห์หน้า   โดย กนง. แสดงความเห็นในทิศทางที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจากระดับปัจจุบันที่ 3.25%  อย่างไรก็ตาม ด้วยตัวแปรทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการดำเนินนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งจะแถลงต่อรัฐสภาในสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีส่วนสำคัญต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย  ทั้งนี้  การคาดการณ์ของตลาดการเงินเริ่มมีมุมมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีปัจจัยเศรษฐกิจ กระแสการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทเป็นตัวกดดันที่มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากตัวแปรอัตราเงินเฟ้อ

19133
Gossip: คุณกอบชัย จิราธิวัฒน์ บอสใหญ่ซีพีเอ็น ปรับโฉมใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว



          กอบชัย จิราธิวัฒน์ บอสใหญ่ซีพีเอ็น ทุ่มทุนกว่า 3,600 ล้านบาท ปรับโฉมใหม่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ภายในภายนอก ให้เป็นศูนย์รวมความทันสมัยและเทรนดี้ล่าสุด รวบรวมแบรนด์แฟชั่นทั้งไทยเทศ ร้านอาหารขึ้นชื่อ เบเกอรี่ชั้นนำ ตอบโจย์ทุกไลฟ์สไตล์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ More Rewarding Experience ดีเดย์เปิดตัว วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2554 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

19134
กฎหมายปัจจุบันกับการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า
บทความ: อาจารย์รุจิระ บุนนาค
กรรมการผู้จัดการ สำนักงานกฎหมายมารุต บุนนาค
 
          เมื่อเร็วๆนี้ ผมมีโอกาสร่วมฟังการประชุมนโยบายเรื่องการส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า และความเหมาะสมของกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง จัดโดยสถาบัน Sasin Institute for Global Affairs (SIGA) ได้ฟังความเห็นของม.ล.ชาญโชติ ชมพูนุท รองประธานคณะกรรมการธุรกิจบริการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งมีแง่คิดที่น่าสนใจ จึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง

ม.ล.ชาญโชติ  ให้ความเห็นเรื่องนโยบายส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าว่า พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า ที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน ล้าสมัยและไม่ตรงกับวัตถุประสงค์แรกเริ่มในการออกกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของพรบ.ฉบับนี้ ต้องการปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ และป้องกันมิให้ผู้ประกอบการเอาเปรียบผู้บริโภค แต่พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าที่ประกาศใช้อยู่ในปัจจุบัน  กลับกลายเป็นกฎหมายที่ออกมากำกับดูแลระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ ซึ่งม.ล.ชาญโชติ มีความเห็นว่า รัฐไม่ควรเข้าไปกำกับผู้ประกอบการมากนัก  ควรปล่อยให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันโดยเสรี แต่กฎหมายฉบับนี้กลับออกมากำกับไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เอาเปรียบผู้ประกอบการรายเล็ก ซึ่งควรจะปล่อยให้แข่งขันไปตามกลไกของตลาด   ม.ล.ชาญโชติ จึงเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่น่าจะให้ประโยชน์กับฝ่ายใดเลย  แต่กลับเป็นเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการต่างๆยื่นข้อร้องเรียน แล้วเรียกร้องให้รัฐเป็นกรรมการตัดสิน แทนที่รัฐจะทำหน้าที่ในการป้องกันเศรษฐกิจของประเทศ และป้องกันมิให้ผู้ประกอบการเอาเปรียบประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภค ตามวัตถุประสงค์เริ่มแรกในการออกพรบ.ฉบับดังกล่าว

          ม.ล.ชาญโชติ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงความล้าหลังของกฎหมายฉบับต่างๆ ที่กว่าจะออกมาได้แต่ละฉบับ ใช้เวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า  1 ปี ในขณะที่พัฒนาการทางธุรกิจ ตลอดจนความต้องการของตลาดและผู้บริโภค  เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต่อเนื่องตลอดเวลา  ดังนั้น กว่ากฎหมายแต่ละฉบับที่เกี่ยวข้องจะแล้วเสร็จ ธุรกิจนั้นๆก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบ เงื่อนไขและรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญไปแล้ว ม.ล.ชาญโชติ จึงเห็นว่า การออกกฎหมายของประเทศไทยส่วนใหญ่มักไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้น การออกกฎหมายแต่ละฉบับควรเป็นกฎหมายที่สามารถปฏิบัติได้ด้วย

ม.ล. ชาญโชติ มีความเห็นว่า กฎหมายในบ้านเรามีมากมายหลายฉบับที่มีความซ้ำซ้อนกัน และบางฉบับยังมีข้อกำหนดที่หักล้างกันเอง  แทนที่จะส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้น กลับมีผลทำให้เกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

แต่กระนั้น ม.ล.ชาญโชติ ย้ำว่า ตนมิได้ไม่ต้องการให้มีการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้า  แต่เห็นว่ากฎหมายที่ออกมาจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ตั้งแต่เริ่มแรก  และที่สำคัญจะต้องสามารถนำมาปฏิบัติได้ด้วย เพราะหากกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวยังล้าหลัง ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเสริมสร้างภาคธุรกิจไทยให้มีศักยภาพที่จะแข่งขันในระดับสากลอีกด้วย

ม.ล. ชาญโชติ ยังกล่าวถึง การเข้ามาของบริษัทต่างชาติในประเทศไทย โดยเห็นว่า เป็นสิ่งที่ดี แต่จำเป็น ต้องมีนโยบายในการกำกับดูแลบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจแข่งขันว่า  การที่บริษัทต่างชาติต่างๆ เหล่านั้นเข้ามาใช้ทรัพยากรของประเทศ ก็ควรกำหนดเงื่อนไขค่าตอบแทนที่พึงจ่ายให้กับประเทศด้วย โดยรัฐสามารถออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องดังกล่าว  โดยมีเงื่อนไขที่ไม่แตกต่างมากจนเกินไประหว่างบริษัทไทยกับบริษัทต่างชาติ   ขณะเดียวกัน รัฐจะต้องมีนโยบาย ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทย รวมทั้งผู้ประกอบการขนาดเล็ก ตลอดจนผู้ประกอบการที่อ่อนแอกว่า เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขัน

นอกจากนี้ ม.ล. ชาญโชติ ยังได้กล่าวถึงนโยบายการเปิดเสรีว่า ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นการเปิดเสรีจริงๆ เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีกฎหมายแตกต่างกันในการกำกับดูแลกรณีต่างๆ   เช่น กรณีที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ก็มีกฎหมายที่ดินที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับการถือครองกรรมสิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ ม.ล.ชาญโชติกล่าวว่า ต้องยอมรับว่ากฎหมายยังมีความอ่อนแอมาก จึงทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในมือของต่างชาติ จึงจำเป็นที่จะต้อง พิจารณา สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และต้องวางแผน วางหลักเกณฑ์ในการออกกฎหมายใหม่  ตัวอย่างเช่น กรณี BOI ที่ต้องการจูงใจให้ต่างชาติที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาลงทุนในประเทศ   แต่กลับไม่มีการส่งเสริมสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นคนไทยให้ออกไปลงทุนแข่งขันในต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งในความเป็นจริง BOI ควรมีมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยขนาดเล็กและขนาดกลางให้สามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศ มากกว่ามาตรการ ลด แลก แจก แถม เพื่อชักจูงให้ผู้ประกอบการต่างชาติรายใหญ่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ม.ล.ชาญโชติ มีความเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการลงทุน  มีหลายประเทศให้ความสนใจเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในไทย ยกตัวอย่าง บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนโดยบริษัทที่ปรึกษากฎหมายต่างประเทศ  ดังนั้น เมื่อคนไทยไปปรึกษาข้อกฎหมาย ข้อมูลต่างๆที่เป็นข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลที่เป็นข้อพิพาทสำคัญๆ ก็จะกลายเป็นข้อมูลของบริษัทที่เป็นต่างประเทศดังกล่าว ดังนั้น  รัฐจึงควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล เช่น การจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมาย จะต้องเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายที่เป็นคนไทยเท่านั้น โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่น ซึ่งคนไทยมีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าชาติอื่นๆ    และไม่ควรกลัวต่างชาติ  อาจจะยอมเสียเปรียบต่างชาติบ้าง  แต่ต้องอยู่ในขอบเขต  และที่สำคัญ ม.ร. ชาญโชติ ย้ำว่า จะต้องไม่ยอมให้ต่างชาติเอาเปรียบตลอดเวลา และจะต้องกำหนดประเภทธุรกิจ และข้อจำกัดการประกอบธุรกิจไว้ให้เป็นของคนไทยอย่างชัดเจน

และในตอนท้าย ม.ล.ชาญโชติ ยังกล่าวว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องบุคลากร ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจต้องเอาคนเป็นที่ตั้ง โดยเริ่มจากประชาชนคนไทย คือการสร้างคนซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญ โดยพิจารณาถึงความสามารถ ว่าคนไทยมีความสามารถในด้านใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนไทยมีความสามารถในด้านการให้บริการ ในด้านการบริหารจัดการซึ่งจะต้องพัฒนาให้คนไทยสามารถบริหารจัดการร่วมกันอย่างเป็นทีม แต่อย่างไรก็ตาม  แผนเศรษฐกิจของประเทศไทยฉบับปัจจุบัน กลับไม่กล่าวถึงเศรษฐกิจภาคบริการ ทั้งๆที่ภาคบริการมีความสำคัญ  นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง  (SME) เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้อยละ90  ของประเทศเป็น SME ที่มีความสามารถทั้งสิ้น
 
ผมอยากจะฝากประเด็นแง่คิดของม.ล.ชาญโชติ ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมการธุรกิจบริการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนพิจารณา เพราะธุรกิจปัจจุบันพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง ก็ควรที่จะหันมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกรอบของกฎหมายให้ทันสมัย  รองรับความต้องการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้มแข็ง สามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้อย่างแท้จริง

19135
ซีเอส ล็อกซอินโฟ มีกำไรครึ่งปีแรก - 206 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.35 บาทต่อหุ้น


 
          บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ มีกำไรสุทธิรวมสำหรับไตรมาส 2/2554 เท่ากับ 101 ล้านบาท หรือ 0.17 บาท/หุ้น ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรรวมสำหรับครึ่งปีแรกเท่ากับ 206 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.35 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากครึ่งปีก่อน ทั้งนี้ เนื่องจาก เติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอินเตอร์เน็ต (ในกลุ่มสินค้าหลัก) และธุรกิจ Voice & Mobile Content ควบคู่กับการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพของกลุ่มบริษัท ในขณะที่ กำไรจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของงบการเงินเฉพาะกิจการเท่ากับ 203 ล้านบาท หรือ 0.34 บาท/หุ้น

          ดังนั้น ในวันที่ 10 สิงหาคม 2554 คณะกรรมการบริษัทฯจึงมีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลปี 2554 จำนวน 0.27 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 79 ของผลการดำเนินงานจากงบการเงินเฉพาะกิจการในครึ่งปี 2554

          สำหรับแนวโน้มในครึ่งปีหลัง บริษัทยังคงสานต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจ เช่นเดียวกับครึ่งปีแรก โดยทางด้านธุรกิจอินเทอร์เน็ต จะเน้นกลุ่มบริการ ICT Service ส่วนด้านธุรกิจโฆษณาสมุดหน้าเหลือง จะเน้นการบริการที่ผสมสื่อโฆษณาบนมือถือและอินเทอร์เน็ต ส่วนธุรกิจ voice & mobile จะเพิ่มบริการบน smart phone ให้มากขึ้น

19136
Gossip News “เสมอต้นเสมอปลาย”
 


...ยังคงเป็นหุ้นที่น่าจับตามองอย่างต่อเนื่อง สำหรับ บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่(QTC) หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อขายตลาด mai มาแล้ว
โดยล่าสุดมีโอกาสต้อนรับนักลงทุนกว่า 30 ชีวิต ที่ตบเท้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า ที่จังหวัดระยอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ซึ่งนักลงทุนเป็นปลื้มสุดๆ เพราะบอสใหญ่ “พูลพิพัฒน์  ตันธนสิน” ประธานกรรมการบริษัท ให้เกียรติบรรยายข้อมูล พร้อมโชว์ศักยภาพที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ 
แถมยังพาเที่ยวชมโรงงาน และอธิบายขั้นตอนการผลิตอย่างเจาะลึก เรียกว่า...รู้ถึงไส้ถึงพุงการผลิตกันเลยทีเดียว...แบบนี้นักลงทุนคงเข้าใจถึงพื้นฐานอย่างแท้จริง
...นี่แหละของเค้าดีตั้งแต่เริ่มและจะดีแบบ ”เสมอต้นเสมอปลาย” ต่อไปแน่นอน ...   
 

19137
สตาร์บัคส์ แนะนำขนมไหว้พระจันทร์ ร่วมต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กำลังจะมาถึง



          สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ ร่วมต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีนี้ กับการกลับมาอีกครั้งของขนมไหว้พระจันทร์ยอดนิยมหลากรส โดยในปีนี้บรรจุในกล่องสีแดงสด พร้อมลวดลายสวยงามดีไซน์ใหม่เหมาะสำหรับมอบเป็นของขวัญ ที่มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ อย่างขนมไหว้พระจันทร์ไส้กาแฟสตาร์บัคส์เอสเพรสโซ่และไข่ 1 ฟอง รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของสตาร์บัคส์ ไส้ชาเขียวสตาร์บัคส์และถั่วแดง นอกจากนี้ยังมี ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนหมอนทองและไข่ 1 ฟอง และขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้ง ที่พร้อมให้ทุกคนเลือกลิ้มลอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

          รายละเอียดขนมไหว้พระจันทร์จากสตาร์บัคส์

          สตาร์บัคส์ร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ประจำปีอีกครั้ง ด้วยขนมไหว้พระจันทร์ยอดนิยม 4 รสชาติ ในกล่องสีแดงสดใสดีไซน์ใหม่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

          1. ขนมไหว้พระจันทร์ไส้กาแฟสตาร์บัคส์เอสเพรสโซ่และไข่ 1 ฟอง (ราคาชิ้นละ 120 บาท)
          ขนมไหว้พระจันทร์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่มีส่วนผสมของกาแฟเอสเพรสโซ่ ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญของ กาแฟสตาร์บัคส์ เนื่องจากเป็นกาแฟหลักที่สตาร์บัคส์ใช้ทำเครื่องดื่มเอสเพรสโซ่ทุกประเภทในร้าน
          2. ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนหมอนทองและไข่ 1 ฟอง (ราคาชิ้นละ 115 บาท)
          3. ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ชาเขียวสตาร์บัคส์และถั่วแดง (ราคาชิ้นละ 115 บาท)
          4. ขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้ง (ราคาชิ้นละ 110 บาท) ประกอบด้วยเมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ฟักเชื่อม เมล็ดแตงโม เมล็ดงาขาว เม็ดเฮ่งยิ้ง ถั่วแมคคาเดเมีย หมูหวาน

19138
สตาร์บัคส์ เตรียมเปิตตัว ‘สตาร์บัคส์ เวีย’ กาแฟคุณภาพเยี่ยมพร้อมชงรูปแบบใหม่ ในประเทศไทย 6 กันยายน นี้


 
          มร. เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ในวันที่ 6 กันยานนี้ ประสบการณ์สตาร์บัคส์รูปแบบใหม่ที่คอกาแฟต่างรอคอย “สตาร์บัคส์ เวีย” (Starbucks VIA® Ready Brew) พร้อมเตรียมเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดย มร. เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง ยังได้การันตี ถึงความโดดเด่นของกาแฟสตาร์บัคส์ เวีย ที่ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวมาแล้ว ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน เพราะสตาร์บัคส์ เวีย เป็นนวัตกรรมกาแฟพร้อมชงรูปแบบใหม่สำหรับคอกาแฟที่หลงใหลรสชาติอันเข้มข้นและความหอมกรุ่นของกาแฟดำชงสดที่ต้องการดื่มกาแฟรสชาติเยี่ยม ทุกที่ ทุกเวลา โดยจะมีให้เลือก 2 รสชาติ คือ สตาร์บัคส์ เวีย เรดี้ บรูว์ โคลอมเบีย (Starbucks VIA® Ready Brew Colombia) และ สตาร์บัคส์ เวีย เรดี้ บรูว์ อิตาเลี่ยน โรสท์ (Starbucks VIA® Ready Brew Italian Roast) ในกล่องบรรจุ 3 ซอง ราคา 95 บาท และกล่องบรรจุ 12 ซอง  ราคา 350 บาท คอกาแฟชาวไทยทั้งหลายเตรียมนับถอยหลังที่จะได้รื่นรมย์กับกาแฟรสชาติเยี่ยมทุกที่ ทุกเวลา ได้เลย
 
เกี่ยวกับสตาร์บัคส์

          บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ มุ่งมั่นในการเสาะแสวงหาและคัดสรรเมล็ดกาแฟอาราบิก้า ชั้นเยี่ยมจากทั่วโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2514 สตาร์บัคส์ ถือเป็นผู้นำและผู้บุกเบิกธุรกิจคั่วบดกาแฟ และร้านกาแฟระดับโลก ด้วยมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจและความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ ทำให้สตาร์บัคส์ สามารถมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ที่พิเศษให้กับลูกค้าผ่านกาแฟทุกแก้วของสตาร์บัคส์ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์สตาร์บัคส์ได้ โดยคลิกไปที่ www.starbucks.com

เกี่ยวกับสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์

          สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ เปิดดำเนินการในประเทศไทยสาขาแรกที่เซ็นทรัล ชิดลม เมื่อเดือนกรกฎาคม 2541 ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 140 สาขา ทั่วประเทศไทย สตาร์บัคส์ มุ่งมั่นที่จะมอบ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ให้กับลูกค้าในประเทศไทย ขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมบริเวณแหล่งปลูกกาแฟ พร้อมทั้งชาวไร่กาแฟและครอบครัวชาวไร่กาแฟชาวไทยภูเขาทางภาคเหนือ ภายใต้ชื่อ กาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์

          สตาร์บัคส์ มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เครื่องดื่มพิเศษเฉพาะบุคคลเพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า พาร์ทเนอร์สตาร์บัคส์ พร้อมที่จะแบ่งปันความรู้ ความชำนาญในด้านกาแฟของสตาร์บัคส์ ให้กับลูกค้าทุกคน ด้วยการเตรียมเครื่องดื่มแบบพิเศษเฉพาะบุคคล หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสตาร์บัคส์ กรุณาคลิกไปที่ http://www.starbucks.co.th

Starbucks set to launch ‘Starbucks VIA? Ready Brew’ in Thailand
             
 

          Managing Director, Murray Darling, Starbucks Coffee (Thailand) Co., Ltd. revealed that Starbucks will introduce its latest product innovation, Starbucks VIA® Ready Brew, in Thailand at Starbucks stores nationwide on September 06, 2011. All coffee lovers will have a chance to enjoy a cup of bold, rich, brewed coffee made from 100 per cent roasted coffee whenever and wherever they want it. Starbucks VIA® Ready Brew, has already been successfully launched in many markets such as the US, Canada, U.K., Japan and China.
 
          In Thailand, Starbucks VIA® Ready Brew will be available in two flavours, Starbucks VIA® Ready Brew Colombia and Starbucks VIA® Ready Brew Italian Roast, in the two convenient pack sizes of three sachets (95 baht) and in packs of 12 sachets (350 baht).

          Be ready for Starbucks VIA® Ready Brew!
 
About Starbucks
          Since 1971, Starbucks Coffee Company has been committed to ethically sourcing and roasting the highest quality Arabica coffee in the world. Today, with stores around the globe, the company is the premier roaster and retailer of specialty coffee in the world. Through our unwavering commitment to excellence and our guiding principles, we bring the unique Starbucks Experience to life for every customer through every cup. To share in the experience, please visit us in our stores or online at www.starbucks.com.

About Starbucks Coffee Thailand
          Starbucks Coffee (Thailand) Co., Ltd. was founded in Thailand since the opening of the first outlet on July 1998 at Central Chidlom. Starbucks Coffee (Thailand) now operates 140 retail locations throughout the Kingdom of Thailand. The company is dedicated to making the Starbucks Experience a rewarding part of the day for all its customers in Thailand, while contributing positively to the community through its sponsorship of sustainable coffee production with Thai hill tribes under the name of Muan Jai® (Thai blended coffee).

          Starbucks always initiates handcrafted beverages one at a time and invites customers to personalize their beverages. Starbucks partners strive to provide the best coffee experience and are always ready to share with customers background on Starbucks coffee heritage. For further information, please visit http://www.starbucks.co.th

19139
“โอเรียนทอล พริ้นเซส” มอบอภิสิทธิ์ระดับเฟิร์สคลาส ครั้งหนึ่งในชีวิตแด่สาวๆ เป็นปีที่ 3 ด้วย “Beauty First Class” ตอน “The Beauty of Self-Esteem”


 
          “โอเรียนทอล พริ้นเซส” โดยบริษัท โอ.พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด เปิดประสบการณ์ความงามด้วยทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Beauty First Class” ครั้งที่ 3 ตอน “The Beauty of Self-esteem” ที่โอเรียนทอล พริ้นเซส เข้าใจถึงความต้องการของผู้หญิง จึงรังสรรอภิสิทธิ์ระดับเฟิร์สคลาสอีกครั้ง เพื่อสร้างความทรงจำอันแสนวิเศษครั้งหนึ่งในชีวิตที่สาวๆ สมาชิกโอเรียนทอล พริ้นเซส โซไซตี้ จะได้สัมผัสกับเส้นทางสู่ความงามสมบูรณ์แบบ ที่พร้อมพรั่งไปด้วยความสุขจากการพักผ่อน และกิจกรรมมากมาย ผ่านกลยุทธ์แห่งการสร้างความมั่นใจในตัวเองด้านต่างๆ ให้กับผู้หญิง จากกูรูชื่อดังของประเทศ อาทิ คุณหมู อาซาว่า, คุณม้า อรนภา, คุณโจ้ สุธีศักดิ์ และคุณธาดา วารีช พร้อมร่วมดินเนอร์ในค่ำคืนสุดพริวิเลจกับดาราศิลปินหนุ่มสุดฮอต อั้ม อธิชาติ, ป๋อ ณัฐวุฒิ, โป๊ป ธนวรรธ์ และไอซ์ ศรัญญู ที่โรงแรมสุดหรูระดับห้าดาว วีรันดา เชียงใหม่ เดอะ ไฮท์ รีสอร์ท

          เพียงร่วมซื้อผลิตภัณฑ์โอเรียนทอล พริ้นเซส ภายในร้านครบ 500 บาท รับรหัสพิเศษท้ายบิลใบเสร็จ มาร่วมลงทะเบียนที่ www.orientalprincess.com พร้อมโพสต์รูปตัวเองที่แสดงออกถึงเสน่ห์ของคุณมากที่สุด และร่วมตอบคำถาม “คุณคิดว่าเสน่ห์ของคุณสร้างความสุขให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างได้อย่างไร และทำไมคุณถึงอยากไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้” สำหรับสมาชิกที่เคยร่วมเดินทาง “Beauty First Class” ครั้งที่ 1 หรือ 2 ตอบคำถามเพิ่มเติม “คุณสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับจากกิจกรรมไปแบ่งปันให้คนรอบข้างให้รับรู้ได้อย่างไร” เพียงเท่านี้ ก็มีสิทธิ์ลุ้นเป็นผู้โชคดีเพียง 30 ท่าน ที่ได้ร่วมเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสกับโอเรียนทอล พริ้นเซส

19140
"พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) และ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) คว้าชัยรายการแข่งขันแรลลี่" ชัยชนะสองรุ่นซ้อนสำหรับปอร์เช่ในการแข่งขัน Michelin Challenge Bibendum พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) และ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) คว้าชัยรายการแข่งขันแรลลี่



          ปอร์เช่ พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) ประกาศศักดาความเหนือชั้นก่อนเปิดตัวเข้าสู่ตลาดโลกเสียอีก ด้วยเครื่องยนต์คู่ขนานไฮบริดเต็มรูปแบบนี้เองที่ทำให้พานาเมร่าคันนี้คว้าชัยชนะการแข่งขันแรลลี่ที่โด่งดังของมิชลินในรายการ Intercity Rally: Michelin Challenge Bibendum ครั้งที่ 11 ณ กรุงเบอร์ลิน ได้อย่างงดงาม ไม่เพียงเท่านี้ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) ยังสามารถคว้าตำแหน่งที่ 2 มาครอบครองได้เช่นเดียวกัน ชัยชนะครั้งนี้คือการพิสูจน์ให้บรรดาแฟนๆ ปอร์เช่ได้รับรู้ถึงความมีประสิทธิภาพของรถยนต์ปอร์เช่และเรียกได้ว่าดีที่สุดอีกด้วย

          รถยนต์ปอร์เช่ทั้ง 2 รุ่นทำการแข่งขันและขับเคี่ยวกับรถยนต์คันอื่นๆ กว่า 14 คันในระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ซึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ประกอบไปด้วยรถยนต์ที่มีประเภทเครื่องยนต์ที่หลากหลาย อาทิเช่น เครื่องยนต์ดีเซล เครื่องยนต์เบนซินธรรมดา เครื่องยนต์ไฮบริด และเครื่องยนต์ไฮบริดแบบ plug-in (Plug-in Hybrid) โดยทำการวัดอัตราเร่ง เวลาที่ใช้ในการควบคุมการทรงตัวและรักษาเสถียรภาพรถ (Handling Course) รวมไปถึงการวัดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย อีกทั้งยังมีการทำการทดสอบอื่นๆ ทั่วไปตลอดระยะเวลาการวิ่งในระยะทาง 300 กิโลเมตร (186 ไมล์) ทางตอนใต้ของกรุงเบอร์ลินด้วยเช่นกัน

          อัตราการปล่อย CO2 ของรุ่นพานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S Hybrid) นั้นอยู่เพียงแค่ 159 กรัมต่อกิโลเมตร และมีแรงม้าสูงสุดถึง 380 แรงม้า (279 กิโลวัตต์) ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นที่มีอัตราการปล่อยมลพิษที่น้อยที่สุดของปอร์เช่เลยทีเดียว และหากเลือกติดตั้งยางชนิด Rolling Resistance จากมิชลิน (อุปกรณ์เสริม) ด้วยแล้ว อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 6.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (ตามวงจรการขับขี่แบบ NEDC) แต่ถึงจะเลือกติดตั้งยางมาตรฐานที่มาพร้อมกับรถ รถยนต์ไฮบริดจากปอร์เช่ใหม่ล่าสุดคันนี้ก็ยังมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหนือชั้นอยู่ดี นั่นคือ 7.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น (ตามรูปแบบการขับขี่แบบ NEDC) และมีอัตราการปล่อย CO2 อยู่น้อยนิดเพียงแค่ 167 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น

          ชัยชนะจากทั้งสองรุ่นนี้คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าปอร์เช่ประสบความสำเร็จกับการผสมผสานของประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นเข้ากับการขับขี่ที่คล่องตัวจนทำให้สามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม

          ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ ได้ที่ แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-102 หรือเยี่ยมชมเว็บไซด์ได้ที่ www.porsche.co.th

          หมายเหตุ: ผู้สื่อข่าวสามารถเข้าไปค้นหาข่าวสารและรูปภาพของปอร์เช่ พานาเมร่า เอส ไฮบริด (Panamera S
          Hybrid) และ 911 คาร์เรร่า (911 Carrera) ได้ใน Porsche Press Database ที่เว็บไซด์
https://presse.porsche.de

          Porsche Centre Bangkok PR
          Public Relations and Media
          กมลทิพย์ ศักดิ์สมานชัย
          Phone: +662 522 6655 ext. 448
          E-Mail: kamonthip@porsche.co.th

Pages: 1 ... 1274 1275 [1276] 1277 1278 ... 1284