This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
16
news & activity / ไอบีเอ็มเผยบทบาทของซีเอฟโอเปลี่ยนไปและมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร
« on: June 17, 2010, 02:54:01 PM »
ไอบีเอ็มเผยบทบาทของซีเอฟโอเปลี่ยนไปและมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กรมากกว่าการดูแลด้านการเงินเพียงอย่างเดียว
ผลสำรวจจากความคิดเห็นของซีเอฟโอ ทั้งจากระดับโลกรวมทั้งภูมิภาคอาเซียน แสดงให้เห็นว่าซีเอฟโอ
ให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้วิเคราะห์เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงธุรกิจขององค์กร
กรุงเทพฯ – 17 มิถุนายน 2553: บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยผลสำรวจ ‘IBM Global CFO Study 2010” ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงด้านการเงิน (Chief Financial Officer - CFO) ครั้งใหญ่ที่สุดที่ไอบีเอ็มเคยทำมา โดยการสัมภาษณ์ซีเอฟโอในองค์กรชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,900 คน ใน 81 ประเทศ จาก 35 ประเภทธุรกิจ รวมทั้ง 47 คนจากภูมิภาคอาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทย ถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของซีเอฟโอตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมทั้งแนวคิด ปัญหา ความท้าทายต่าง ๆ รวมทั้งมุมมองในการบริหารจัดการ โดยจากผลสำรวจพบว่าซีเอฟโอกว่า 60 เปอร์เซ็นต์มีการวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
จากผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา และจัดทำขึ้นในช่วงกลางปี 2552 หลังจากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่มีผลกระทบไปทั่วโลก ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นมุมมองและทัศนคติของซีเอฟโอในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนต่อองค์กรใน 3 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่ ความจำเป็นในการลดค่าใช้จ่ายขององค์กร การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งการทำให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกจำเป็นต้องมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ผลสำรวจยังพบว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนยังให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ต้องทำได้อย่างรวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เมื่อเทียบกับผลสำรวจโดยรวมของซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นเรื่องการลดค่าใช้จ่ายมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีที่จะถึงนี้
สำหรับคำถามที่ว่าอะไรคือปัจจัยที่จะส่งผลกระทบให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่น่าสนใจว่าผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อประเด็นเรื่อง “การจัดหาและนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ขององค์กร” เป็นเรื่องสำคัญสูงสุด โดยประเด็นดังกล่าวสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องการลดค่าใช้จ่ายเสียอีก นอกจากนั้น จากผลสำรวจยังพบว่ามีซีเอฟโอเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าองค์กรของตนมีการทำงานภายในที่มีประสิทธิภาพและมีความสามารถที่จะนำข้อมูลเชิงธุรกิจที่มีนัยสำคัญมาใช้เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงธุรกิจขององค์กร นอกจากนั้น จากผลสำรวจยังพบว่า มีซีเอฟโอน้อยกว่าครึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่คิดว่าองค์กรของตนมีระบบที่มีประสิทธิภาพดีพอที่เอื้อต่อการนำวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในต่อธุรกิจ
นอกจากนั้น จากผลสำรวจโดยรวม พบว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของซีเอฟโอต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งรวมถึงบทบาทในการทำหน้าที่เชิงแนะนำ หรือตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการช่วยองค์กรนำเสนอข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเหมือนเช่นในอดีต ตัวอย่างของการแนะนำหรือช่วยตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ของซีเอฟโอ ได้แก่ การช่วยหารูปแบบวิธีการทำธุรกิจใหม่ ๆ หรือการนำนวัตกรรมมาพิจารณาปรับใช้ในเพื่อธุรกิจขององค์กร เป็นต้น
นางเมเรอร์ดิต อังวิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอบีเอ็ม โกลบอล บิสิเนส เซอร์วิสเซส กล่าวว่า “จากผลสำรวจที่ได้ ทำให้เราเห็นบทบาทที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของซีเอฟโอทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ซีเอฟโอมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และความสำเร็จขององค์กร นอกจากนั้นแล้ว จากผลสำรวจที่ได้ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ซีเอฟโอในองค์กรชั้นนำให้ความสำคัญต่อการนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกมาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ขององค์กรอีกด้วย”
ในเรื่องการบริหารจัดการข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก จากผลการสำรวจพบว่า ซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนยังค่อนข้างล้าหลังกว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เนื่องจากในองค์กรหลายแห่งยังใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจแบบเดิม ๆ เช่น การใช้ซอฟต์แวร์สเปรดชีตมาวิเคราะห์หรือประมวลผลข้อมูล เมื่อเทียบกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่นหลายแห่งที่เริ่มมีการนำเครื่องมืออันทันสมัยหรือเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้เพื่อการประมวลผลข้อมูลธุรกิจเชิงลึก และนำผลลัพธ์ที่ได้มาใช้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจ
นอกจากนั้น ในประเด็นเรื่องการบริหารและพัฒนาบุคลากร จากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเป็นอันดับต้น ๆ และมองว่าองค์กรของตนยังมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงในเรื่องดังกล่าวให้ดีกว่าเดิม เมื่อเทียบกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่นของโลก ซึ่งประเด็นเรื่องดังกล่าวนี้เอง เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ซีเอฟโอส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเรื่องความสามารถขององค์กรในการคาดการณ์สภาวะที่มีผลกระทบจากปัจจัยภายนอก การวางแผนการบริหารและปฏิบัติงานภายในองค์กร หรือแม้กระทั่งความสามารถในการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของธุรกิจในอนาคต เป็นต้น
จากการทำการสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอโดยไอบีเอ็ม ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา พบว่าซีเอฟโอต่างเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลในองค์กรมาวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารและขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่ามีซีเอฟโอไม่มากนักที่สามารถทำเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการนำข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กรมาเชื่อมโยงหรือควบรวมเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ
นอกเหนือไปจากการทำสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอดังกล่าวแล้ว ไอบีเอ็มยังได้หาวิธีจัดกลุ่มของซีเอฟโอออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยการใช้คุณลักษณะ 2 ประการเพื่อการแบ่งกลุ่มและประเภทของซีเอฟโอ ได้แก่
• ความสามารถในการบริหารจัดการทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ (Finance Efficiency) ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถในการบริหารจัดการขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงกันในแต่ละแผนกและการสร้างมาตรฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร
• การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อประโยชน์เชิงธุรกิจ (Business Insight) ด้วยการผสมผสานความสามารถในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความเชี่ยวชาญในการบริหารการเงิน ความสามารถในการดึงประโยชน์จากการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้เพื่อวางแผน ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กร
จากการใช้คุณลักษณะ 2 ประการในการแบ่งประเภทของซีเอฟโอนี้เอง ทำให้ไอบีเอ็มค้นพบซีเอฟโอกลุ่มหนึ่งที่มีคุณลักษณะโดดเด่นเหนือกว่าซีเอฟโอกลุ่มอื่น ๆ โดยไอบีเอ็มเรียกซีเอฟโอกลุ่มนี้ว่า “แวลลู อินทีเกรเตอร์ (Value Integrator)” ซึ่งเป็นซีเอฟโอที่มีคุณลักษณะอันโดดเด่นครบถ้วนทั้งสองประการ โดยซีเอฟโอกลุ่มดังกล่าวนี้ นอกจากจะมีศักยภาพและขีดความสามารถที่สามารถช่วยองค์กรฝ่าปัญหาและเอาชนะวิกฤติต่าง ๆ และมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กรแล้ว ซีเอฟโอกลุ่มนี้ยังมีความสามารถอันโดดเด่นในด้านอื่น ๆ อีก เช่น ความสามารถในการช่วยองค์กรกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์โดยพิจารณาแนวโน้มและทิศทางของธุรกิจโดยรวม ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Invested Capital – ROIC) การขยายการเติบโตในด้านรายได้ (Revenue Growth) และการบริหารกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Earnings before Interest, Taxes, Depreciation and Amortization) นอกจากนั้น ‘แวลลู อีทีเกรเตอร์’ ยังมีความสามารถในการมองธุรกิจแบบรอบด้านอย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถช่วยองค์กรหาโอกาสทางธุรกิจและวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยเบื้องหลังของความสามารถเหล่านี้เอง ประกอบไปด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำให้ขั้นตอนภายในองค์กร หรือการกำหนดมาตรฐานในด้านต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงการจัดการและวางมาตรฐานการบริหารข้อมูลภายใน ความเข้าใจการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนการตัดสินใจ การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต หรือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญทางธุรกิจขององค์กร เป็นต้น
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินของไอบีเอ็ม (IBM Global CFO Study 2010) สามารถเข้าไปที่ www.ibm.com/cfostudy
ผลสำรวจจากความคิดเห็นของซีเอฟโอ ทั้งจากระดับโลกรวมทั้งภูมิภาคอาเซียน แสดงให้เห็นว่าซีเอฟโอ
ให้ความสำคัญกับการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้วิเคราะห์เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์เชิงธุรกิจขององค์กร
กรุงเทพฯ – 17 มิถุนายน 2553: บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยผลสำรวจ ‘IBM Global CFO Study 2010” ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงด้านการเงิน (Chief Financial Officer - CFO) ครั้งใหญ่ที่สุดที่ไอบีเอ็มเคยทำมา โดยการสัมภาษณ์ซีเอฟโอในองค์กรชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,900 คน ใน 81 ประเทศ จาก 35 ประเภทธุรกิจ รวมทั้ง 47 คนจากภูมิภาคอาเซียนซึ่งรวมถึงประเทศไทย ถึงบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของซีเอฟโอตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมทั้งแนวคิด ปัญหา ความท้าทายต่าง ๆ รวมทั้งมุมมองในการบริหารจัดการ โดยจากผลสำรวจพบว่าซีเอฟโอกว่า 60 เปอร์เซ็นต์มีการวางแผนเพื่อรับมือกับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
จากผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา และจัดทำขึ้นในช่วงกลางปี 2552 หลังจากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่มีผลกระทบไปทั่วโลก ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นมุมมองและทัศนคติของซีเอฟโอในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนต่อองค์กรใน 3 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่ ความจำเป็นในการลดค่าใช้จ่ายขององค์กร การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งการทำให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกจำเป็นต้องมีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ผลสำรวจยังพบว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนยังให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ต้องทำได้อย่างรวดเร็วเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เมื่อเทียบกับผลสำรวจโดยรวมของซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญต่อประเด็นเรื่องการลดค่าใช้จ่ายมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 ปีที่จะถึงนี้
สำหรับคำถามที่ว่าอะไรคือปัจจัยที่จะส่งผลกระทบให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เป็นที่น่าสนใจว่าผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อประเด็นเรื่อง “การจัดหาและนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ขององค์กร” เป็นเรื่องสำคัญสูงสุด โดยประเด็นดังกล่าวสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องการลดค่าใช้จ่ายเสียอีก นอกจากนั้น จากผลสำรวจยังพบว่ามีซีเอฟโอเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่คิดว่าองค์กรของตนมีการทำงานภายในที่มีประสิทธิภาพและมีความสามารถที่จะนำข้อมูลเชิงธุรกิจที่มีนัยสำคัญมาใช้เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เชิงธุรกิจขององค์กร นอกจากนั้น จากผลสำรวจยังพบว่า มีซีเอฟโอน้อยกว่าครึ่งในภูมิภาคอาเซียนที่คิดว่าองค์กรของตนมีระบบที่มีประสิทธิภาพดีพอที่เอื้อต่อการนำวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในต่อธุรกิจ
นอกจากนั้น จากผลสำรวจโดยรวม พบว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปของซีเอฟโอต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กร ซึ่งรวมถึงบทบาทในการทำหน้าที่เชิงแนะนำ หรือตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการช่วยองค์กรนำเสนอข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเหมือนเช่นในอดีต ตัวอย่างของการแนะนำหรือช่วยตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ของซีเอฟโอ ได้แก่ การช่วยหารูปแบบวิธีการทำธุรกิจใหม่ ๆ หรือการนำนวัตกรรมมาพิจารณาปรับใช้ในเพื่อธุรกิจขององค์กร เป็นต้น
นางเมเรอร์ดิต อังวิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอบีเอ็ม โกลบอล บิสิเนส เซอร์วิสเซส กล่าวว่า “จากผลสำรวจที่ได้ ทำให้เราเห็นบทบาทที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของซีเอฟโอทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่ซีเอฟโอมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และความสำเร็จขององค์กร นอกจากนั้นแล้ว จากผลสำรวจที่ได้ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ซีเอฟโอในองค์กรชั้นนำให้ความสำคัญต่อการนำข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกมาใช้เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ขององค์กรอีกด้วย”
ในเรื่องการบริหารจัดการข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก จากผลการสำรวจพบว่า ซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนยังค่อนข้างล้าหลังกว่าซีเอฟโอในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เนื่องจากในองค์กรหลายแห่งยังใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจแบบเดิม ๆ เช่น การใช้ซอฟต์แวร์สเปรดชีตมาวิเคราะห์หรือประมวลผลข้อมูล เมื่อเทียบกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่นหลายแห่งที่เริ่มมีการนำเครื่องมืออันทันสมัยหรือเทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้เพื่อการประมวลผลข้อมูลธุรกิจเชิงลึก และนำผลลัพธ์ที่ได้มาใช้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจ
นอกจากนั้น ในประเด็นเรื่องการบริหารและพัฒนาบุคลากร จากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ซีเอฟโอในภูมิภาคอาเซียนให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเป็นอันดับต้น ๆ และมองว่าองค์กรของตนยังมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงในเรื่องดังกล่าวให้ดีกว่าเดิม เมื่อเทียบกับซีเอฟโอในภูมิภาคอื่นของโลก ซึ่งประเด็นเรื่องดังกล่าวนี้เอง เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ซีเอฟโอส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเรื่องความสามารถขององค์กรในการคาดการณ์สภาวะที่มีผลกระทบจากปัจจัยภายนอก การวางแผนการบริหารและปฏิบัติงานภายในองค์กร หรือแม้กระทั่งความสามารถในการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของธุรกิจในอนาคต เป็นต้น
จากการทำการสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอโดยไอบีเอ็ม ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา พบว่าซีเอฟโอต่างเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลในองค์กรมาวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารและขับเคลื่อนธุรกิจขององค์กรในด้านต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจครั้งล่าสุด พบว่ามีซีเอฟโอไม่มากนักที่สามารถทำเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามในการนำข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ในองค์กรมาเชื่อมโยงหรือควบรวมเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจ
นอกเหนือไปจากการทำสำรวจความคิดเห็นของซีเอฟโอดังกล่าวแล้ว ไอบีเอ็มยังได้หาวิธีจัดกลุ่มของซีเอฟโอออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยการใช้คุณลักษณะ 2 ประการเพื่อการแบ่งกลุ่มและประเภทของซีเอฟโอ ได้แก่
• ความสามารถในการบริหารจัดการทางด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพ (Finance Efficiency) ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถในการบริหารจัดการขั้นตอนการทำงานที่เชื่อมโยงกันในแต่ละแผนกและการสร้างมาตรฐานด้านการบริหารจัดการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กร
• การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อประโยชน์เชิงธุรกิจ (Business Insight) ด้วยการผสมผสานความสามารถในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความเชี่ยวชาญในการบริหารการเงิน ความสามารถในการดึงประโยชน์จากการนำข้อมูลเชิงลึกมาใช้เพื่อวางแผน ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กร
จากการใช้คุณลักษณะ 2 ประการในการแบ่งประเภทของซีเอฟโอนี้เอง ทำให้ไอบีเอ็มค้นพบซีเอฟโอกลุ่มหนึ่งที่มีคุณลักษณะโดดเด่นเหนือกว่าซีเอฟโอกลุ่มอื่น ๆ โดยไอบีเอ็มเรียกซีเอฟโอกลุ่มนี้ว่า “แวลลู อินทีเกรเตอร์ (Value Integrator)” ซึ่งเป็นซีเอฟโอที่มีคุณลักษณะอันโดดเด่นครบถ้วนทั้งสองประการ โดยซีเอฟโอกลุ่มดังกล่าวนี้ นอกจากจะมีศักยภาพและขีดความสามารถที่สามารถช่วยองค์กรฝ่าปัญหาและเอาชนะวิกฤติต่าง ๆ และมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กรแล้ว ซีเอฟโอกลุ่มนี้ยังมีความสามารถอันโดดเด่นในด้านอื่น ๆ อีก เช่น ความสามารถในการช่วยองค์กรกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์โดยพิจารณาแนวโน้มและทิศทางของธุรกิจโดยรวม ความสามารถในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Invested Capital – ROIC) การขยายการเติบโตในด้านรายได้ (Revenue Growth) และการบริหารกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Earnings before Interest, Taxes, Depreciation and Amortization) นอกจากนั้น ‘แวลลู อีทีเกรเตอร์’ ยังมีความสามารถในการมองธุรกิจแบบรอบด้านอย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถช่วยองค์กรหาโอกาสทางธุรกิจและวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยเบื้องหลังของความสามารถเหล่านี้เอง ประกอบไปด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำให้ขั้นตอนภายในองค์กร หรือการกำหนดมาตรฐานในด้านต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงการจัดการและวางมาตรฐานการบริหารข้อมูลภายใน ความเข้าใจการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนการตัดสินใจ การคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต หรือขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สำคัญทางธุรกิจขององค์กร เป็นต้น
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินของไอบีเอ็ม (IBM Global CFO Study 2010) สามารถเข้าไปที่ www.ibm.com/cfostudy
17
news & activity / KTAMขายบอนด์กิมจิ15เดือนชูผลตอบแทน2.30%ต่อปี
« on: June 17, 2010, 02:51:26 PM »
KTAMขายบอนด์กิมจิ15เดือนชูผลตอบแทน2.30%ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนพันธบัตรภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทย เอฟไอเอฟ 11 ( KTFF11 ) ตั้งแต่วันที่ 9-15 มิถุนายน 2553 อายุ 1 ปี 3 เดือน มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะพิจารณาความมั่นคงของผู้ออกตราสารเป็นหลัก และเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสม เมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ ทั้ง 100% เครดิตเรตติ้งที่ AA โดยฟิทซ์ และเป็นกองทุนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก3 เดือน ผลตอบแทนประมาณการที่ 2.30 % ต่อปี และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือน คุ้มครองเงินต้น 3 ( KTFIX6M3 ) ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2553 อายุโครงการ 6 เดือน เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 99 %และ ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคาร ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 0.90%ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย มูลค่าขั้นต่ำในการลงทุน 10,000 บาท
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้ยังมีความผันผวน โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของอเมริกาที่ประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรเกาหลีใต้ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรและสภาพคล่องของค่าเงินดอลลาร์ โดยในขณะนี้หลายๆฝ่ายได้ให้ความสนใจไปที่ประเทศฮังการี และความเสี่ยงที่อาจจะมีการลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอื่นๆในยุโรปเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ โดยในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้คาดว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเกาหลีใต้จะยังคงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% เช่นเดิม
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนพันธบัตรภาครัฐทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทย เอฟไอเอฟ 11 ( KTFF11 ) ตั้งแต่วันที่ 9-15 มิถุนายน 2553 อายุ 1 ปี 3 เดือน มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะพิจารณาความมั่นคงของผู้ออกตราสารเป็นหลัก และเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสม เมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ ทั้ง 100% เครดิตเรตติ้งที่ AA โดยฟิทซ์ และเป็นกองทุนที่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก3 เดือน ผลตอบแทนประมาณการที่ 2.30 % ต่อปี และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือน คุ้มครองเงินต้น 3 ( KTFIX6M3 ) ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2553 อายุโครงการ 6 เดือน เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 99 %และ ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคาร ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 0.90%ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย มูลค่าขั้นต่ำในการลงทุน 10,000 บาท
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้ยังมีความผันผวน โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของอเมริกาที่ประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรเกาหลีใต้ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง เนื่องจากความเปราะบางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรและสภาพคล่องของค่าเงินดอลลาร์ โดยในขณะนี้หลายๆฝ่ายได้ให้ความสนใจไปที่ประเทศฮังการี และความเสี่ยงที่อาจจะมีการลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอื่นๆในยุโรปเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ โดยในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้คาดว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเกาหลีใต้จะยังคงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% เช่นเดิม
18
news & activity / GBX มองปัญหาหนี้ยุโรปลาม อานิสงส์ราคาทองคำปรับตัวขึ้น
« on: June 17, 2010, 02:50:02 PM »
GBX มองปัญหาหนี้ยุโรปลาม อานิสงส์ราคาทองคำปรับตัวขึ้น
โกลเบล็ก มองราคาทองคำสัปดาห์นี้ยังไปได้สวย ผลจากแรงรีบาวน์ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป เชื่อหากราคาทองคำส่งสัญญาณบวกยืนเหนือ 1,220 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ได้ มีลุ้นปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,240-1,250 สหรัฐต่อออนซ์ได้ไม่ยาก
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ ซึ่งเป็นผลจากรีบาวน์ ขึ้นจากในช่วงท้ายสัปดาห์ก่อน โดยได้แรงหนุนจากความกังวลในวิกฤติหนี้สินของยุโรป หลังปัญหาส่อแววว่าจะลุกลามไปยังฮังการี ถึงแม้ว่าธนาคารกลางฮังการีจะออกมาให้ความเห็นในเชิงบวกในภายหลังว่า สถานะด้านการคลังของฮังการียังดีกว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรป (ฮังการีมียอดหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 78.3% และ 4.0% ของ GDP) แต่นักลงทุนก็ยังวิตกว่า หากสถานการณ์ในฝั่งยุโรปยังไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ อาจทำให้ปัญหาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลภาคแรงงานของสหรัฐฯที่ออกมาไม่สดใส (ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ที่ 431,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าคาดการณ์ของโพลล์ส่วนใหญ่ ที่มองว่ายอดการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 500,000 ตำแหน่ง)ซึ่งยิ่งซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนโดยรวมให้ดูแย่ลงไป เพราะตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจล่าช้าไม่ต่างอะไรกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป กระแสเงินจึงเลือกที่จะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆแล้วกลับเข้าหา Safe Haven อย่างพันธบัตรสหรัฐฯและทองคำแทน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและเงินสกุลยูโรอย่างเป็นรูปธรรม และถ้าหากพิจารณาผลการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและ Dollar Index (ติดตามได้จากบทวิเคราะห์รายวันที่ www.globlexholding.co.th) เพื่อดูว่า ถ้ากระแสเงินยังไหลเข้าหา Safe Haven อยู่ สินทรัพย์ชนิดไหนจะน่าสนใจมากกว่ากัน พบว่า ราคาทองคำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับ Dollar Index จึงเป็นไปได้ที่ทองคำจะได้รับความน่าสนใจมากกว่าพันธบัตรสหรัฐฯในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากราคาทองคำสามารถทะยานขึ้นไปยืนเหนือ 1,220 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ได้ จะทำให้ Upside การปรับขึ้นเปิดกว้างไปหาบริเวณ 1,240-1,250 สหรัฐต่อออนซ์ ทั้งนี้จากการคาดการณ์กรอบระดับสัปดาห์ที่1,200-1,240 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,500-19,150 บาท/บาททอง
โกลเบล็ก มองราคาทองคำสัปดาห์นี้ยังไปได้สวย ผลจากแรงรีบาวน์ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป เชื่อหากราคาทองคำส่งสัญญาณบวกยืนเหนือ 1,220 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ได้ มีลุ้นปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,240-1,250 สหรัฐต่อออนซ์ได้ไม่ยาก
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ ซึ่งเป็นผลจากรีบาวน์ ขึ้นจากในช่วงท้ายสัปดาห์ก่อน โดยได้แรงหนุนจากความกังวลในวิกฤติหนี้สินของยุโรป หลังปัญหาส่อแววว่าจะลุกลามไปยังฮังการี ถึงแม้ว่าธนาคารกลางฮังการีจะออกมาให้ความเห็นในเชิงบวกในภายหลังว่า สถานะด้านการคลังของฮังการียังดีกว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรป (ฮังการีมียอดหนี้สาธารณะและยอดขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 78.3% และ 4.0% ของ GDP) แต่นักลงทุนก็ยังวิตกว่า หากสถานการณ์ในฝั่งยุโรปยังไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้ อาจทำให้ปัญหาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆอย่างจริงจัง
ในขณะเดียวกัน ข้อมูลภาคแรงงานของสหรัฐฯที่ออกมาไม่สดใส (ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรอยู่ที่ 431,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าคาดการณ์ของโพลล์ส่วนใหญ่ ที่มองว่ายอดการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 500,000 ตำแหน่ง)ซึ่งยิ่งซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุนโดยรวมให้ดูแย่ลงไป เพราะตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจล่าช้าไม่ต่างอะไรกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป กระแสเงินจึงเลือกที่จะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆแล้วกลับเข้าหา Safe Haven อย่างพันธบัตรสหรัฐฯและทองคำแทน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง จนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นและเงินสกุลยูโรอย่างเป็นรูปธรรม และถ้าหากพิจารณาผลการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำและ Dollar Index (ติดตามได้จากบทวิเคราะห์รายวันที่ www.globlexholding.co.th) เพื่อดูว่า ถ้ากระแสเงินยังไหลเข้าหา Safe Haven อยู่ สินทรัพย์ชนิดไหนจะน่าสนใจมากกว่ากัน พบว่า ราคาทองคำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับ Dollar Index จึงเป็นไปได้ที่ทองคำจะได้รับความน่าสนใจมากกว่าพันธบัตรสหรัฐฯในช่วงสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากราคาทองคำสามารถทะยานขึ้นไปยืนเหนือ 1,220 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ได้ จะทำให้ Upside การปรับขึ้นเปิดกว้างไปหาบริเวณ 1,240-1,250 สหรัฐต่อออนซ์ ทั้งนี้จากการคาดการณ์กรอบระดับสัปดาห์ที่1,200-1,240 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,500-19,150 บาท/บาททอง
19
news & activity / เนสวีต้า รุกตลาดคนรักสุขภาพต่อเนื่อง ครั้งแรกกับการแท็กทีมใยอาหารยอดฮิตจาก พรุน
« on: June 17, 2010, 02:45:55 PM »
เนสวีต้า รุกตลาดคนรักสุขภาพต่อเนื่อง ครั้งแรกกับการแท็กทีมใยอาหารยอดฮิตจาก พรุน ทับทิม บีทรูท
นางสาวนงนุช เทพประเสริฐวังศา ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่ บริษัท บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แนะนำเนสวีต้า เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป สูตรใหม่ ครั้งแรกกับการแท็กทีมใยอาหารยอดฮิตจากพรุน ทับทิม บีทรูท เพื่อเอาใจคนรักสุขภาพรอบด้าน โดยเน้นย้ำถึงการสร้างความสมดุลของร่างกาย ที่ไม่เพียงแค่การบำรุงด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน แต่ต้องใส่ใจในการกำจัดของเสียหรือระบบขับถ่ายควบคู่กันไป รับมือกระแสการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ10 ในทุกๆ ปี
นางสาวนงนุช เทพประเสริฐวังศา ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสำหรับผู้ใหญ่ บริษัท บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แนะนำเนสวีต้า เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป สูตรใหม่ ครั้งแรกกับการแท็กทีมใยอาหารยอดฮิตจากพรุน ทับทิม บีทรูท เพื่อเอาใจคนรักสุขภาพรอบด้าน โดยเน้นย้ำถึงการสร้างความสมดุลของร่างกาย ที่ไม่เพียงแค่การบำรุงด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน แต่ต้องใส่ใจในการกำจัดของเสียหรือระบบขับถ่ายควบคู่กันไป รับมือกระแสการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีแนวโน้มสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ10 ในทุกๆ ปี
20
news & activity / “เฮียฮ้อ” มั่นใจสนามศุภฯ รองรับคอบอลได้นับแสน คอบอลชาวไทยเชียร์บอลโลก
« on: June 17, 2010, 02:45:07 PM »
“เฮียฮ้อ” มั่นใจสนามศุภฯ รองรับคอบอลได้นับแสน คอบอลชาวไทยเชียร์บอลโลกลั่นสนั่นกรุงฯ
บอลโลก 2010 กำลังจะระเบิดศึกความมั่นอีกในไม่กี่วัน รับประกันว่าในช่วงค่ำคืนจะต้องมีแต่เสียงเฮ เชียร์บอลกันสนั่นลั่นประเทศอย่างแน่นอน งานนี้หัวหอกใหญ่แค่ค่ายอาร์เอส เฮียฮ้อ – สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์ฟีฟ่าเวิล์ดคัฟ 2010 เลยพร้อมระเบิดความมันส์ จัดกิจกรรมสุดอลังการ เกาะติดแมทซ์หยุดโลกในบรรยากาศจริงยิงสดๆ จากขอบสนามประเทศแอฟริกาใต้ ที่รับประกันว่างานนี้คอบอลชาวไทยกว่านับแสนจะสนุกสนานกันได้อย่างเต็มที่ ณ สนามกีฬาศุภชลาศัย อย่างแน่นอน
เฮียฮ้อ – สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เผยถึงความยิ่งใหญ่ในกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ศึกบอลโลกใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วครับ ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ฟีฟ่าเวิล์ดคัฟ 2010 แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรมพิเศษสุดอลังการ เพื่อรวมเสียงเชียร์คอบอลทั่วกรุงฯ ให้มาเชียร์บอลร่วมกัน โดยในกิจกรรม “FIFA World Cup On Ground 2010” เกาะติดแมทซ์หยุดโลก ทั้ง 64 แมทซ์ ที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้ จัดขึ้นที่ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองไทยที่จัดการแข่งขันกีฬาครั้งใหญ่ๆ ของประเทศมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้ง เอเชียเกมส์ ครั้งที่ 5, 6 และ 8 การแข่งขันกีฬาฟุตบอลจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ไมเคิล แจ็คสัน แดนเจอรัส เวิลด์ ทัวร์ เมื่อปี 2536 ซึ่งสนามศุภชลาศัยแห่งนี้จะสามารถรองรับคอบอลได้มากกว่า 100,000 คน
โดยภายในงานจะเป็นกิจกรรมการถ่ายทอดสดการแข่งขันทั้ง 64 แมทซ์หยุดโลก ตรงมาจากขอบสนามประเทศแอฟริกาใต้ พร้อมกิจกรรมความสนุกเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น มินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน RS การแสดงตื่นตาตื่นใจ เกมส์ และกิจกรรมความสนุกบนเวที พร้อมรับของรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกมากมาย รวมถึงโซน กิน- ดื่ม ที่จะเพิ่มความมันส์พร้อมๆ ไปกับการเชียร์ทีมโปรดของคุณ โดยนัดระเบิดความสนุกพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 11 มิ.ย – 11 ก.ค 53 ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นเป็นต้นไป แบบชมฟรีตลอดงาน”
งานนี้บอกได้คำเดียวว่าคนที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอล เตรียมตัวเตรียมใจ ฟิตร่างกายให้พร้อม แล้วไปร่วมระเบิดความมันส์กับ 2010 ฟีฟ่า เวิล์ดคัพ เซาธ์ แอฟริกา ได้ที่ สนามศุภชลาศัย กันให้เสียงเฮดังลั่นสนามกันไปเลย
บอลโลก 2010 กำลังจะระเบิดศึกความมั่นอีกในไม่กี่วัน รับประกันว่าในช่วงค่ำคืนจะต้องมีแต่เสียงเฮ เชียร์บอลกันสนั่นลั่นประเทศอย่างแน่นอน งานนี้หัวหอกใหญ่แค่ค่ายอาร์เอส เฮียฮ้อ – สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือลิขสิทธิ์ฟีฟ่าเวิล์ดคัฟ 2010 เลยพร้อมระเบิดความมันส์ จัดกิจกรรมสุดอลังการ เกาะติดแมทซ์หยุดโลกในบรรยากาศจริงยิงสดๆ จากขอบสนามประเทศแอฟริกาใต้ ที่รับประกันว่างานนี้คอบอลชาวไทยกว่านับแสนจะสนุกสนานกันได้อย่างเต็มที่ ณ สนามกีฬาศุภชลาศัย อย่างแน่นอน
เฮียฮ้อ – สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ เผยถึงความยิ่งใหญ่ในกิจกรรมครั้งนี้ว่า “ศึกบอลโลกใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วครับ ในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ฟีฟ่าเวิล์ดคัฟ 2010 แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จึงได้จัดกิจกรรมพิเศษสุดอลังการ เพื่อรวมเสียงเชียร์คอบอลทั่วกรุงฯ ให้มาเชียร์บอลร่วมกัน โดยในกิจกรรม “FIFA World Cup On Ground 2010” เกาะติดแมทซ์หยุดโลก ทั้ง 64 แมทซ์ ที่จะจัดขึ้นในครั้งนี้ จัดขึ้นที่ สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งประวัติศาสตร์ของเมืองไทยที่จัดการแข่งขันกีฬาครั้งใหญ่ๆ ของประเทศมาหลายต่อหลายครั้ง ทั้ง เอเชียเกมส์ ครั้งที่ 5, 6 และ 8 การแข่งขันกีฬาฟุตบอลจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ รวมถึงการจัดคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศ ไมเคิล แจ็คสัน แดนเจอรัส เวิลด์ ทัวร์ เมื่อปี 2536 ซึ่งสนามศุภชลาศัยแห่งนี้จะสามารถรองรับคอบอลได้มากกว่า 100,000 คน
โดยภายในงานจะเป็นกิจกรรมการถ่ายทอดสดการแข่งขันทั้ง 64 แมทซ์หยุดโลก ตรงมาจากขอบสนามประเทศแอฟริกาใต้ พร้อมกิจกรรมความสนุกเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น มินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน RS การแสดงตื่นตาตื่นใจ เกมส์ และกิจกรรมความสนุกบนเวที พร้อมรับของรางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกมากมาย รวมถึงโซน กิน- ดื่ม ที่จะเพิ่มความมันส์พร้อมๆ ไปกับการเชียร์ทีมโปรดของคุณ โดยนัดระเบิดความสนุกพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 11 มิ.ย – 11 ก.ค 53 ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็นเป็นต้นไป แบบชมฟรีตลอดงาน”
งานนี้บอกได้คำเดียวว่าคนที่มีใจรักในกีฬาฟุตบอล เตรียมตัวเตรียมใจ ฟิตร่างกายให้พร้อม แล้วไปร่วมระเบิดความมันส์กับ 2010 ฟีฟ่า เวิล์ดคัพ เซาธ์ แอฟริกา ได้ที่ สนามศุภชลาศัย กันให้เสียงเฮดังลั่นสนามกันไปเลย
21
news & activity / ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปลื้มนักลงทุนตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิท่วมท้น
« on: June 17, 2010, 02:38:30 PM »
ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปลื้มนักลงทุนตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิท่วมท้น เผยผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและการดำเนินงานของธนาคาร ตลอดจนเศรษฐกิจที่มั่นคงของไทย
กรุงเทพฯ – 9 มิถุนายน 2553: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ปลื้มนักลงทุนตอบรับหุ้นด้อยสิทธิของธนาคารอย่างท่วมท้น ทำให้ยอดที่ธนาคารนำเสนอจำนวน 12,000 ล้านบาท หมดลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารจึงนำหุ้นกู้สำรองที่เตรียมไว้อีกจำนวน 8,000 ล้านบาท มารองรับความต้องการของนักลงทุน เผยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงและผลการดำเนินงานของธนาคาร ตลอดจนบ่งบอกถึงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้เสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1/2553 แก่นักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนทั่วไป จำนวน 12,000 ล้านบาท โดยจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 7 - 22 มิถุนายน 2553 นั้น ปรากฏว่านับตั้งแต่เริ่มจำหน่าย มีนักลงทุนให้ความสนใจหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทำให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 12,000 ล้านบาท ที่ธนาคารนำเสนอหมดลงภายใน 2 วันแรก ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ให้ความสนใจหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้ของธนาคาร ธนาคารจึงนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่สำรองไว้จำนวน 8,000 ล้านบาท มาเสนอขายแก่นักลงทุนที่ต้องการ
“ธนาคารมีความยินดีที่นักลงทุนทั้งสถาบันและบุคคลทั่วไปให้การตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้จำนวนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ตั้งไว้ในครั้งแรกจำนวน 12,000 ล้านบาทจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่มี ต่อธนาคารและเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายมาร์ค อาร์โนลด์กล่าว
การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1/2553 นี้เป็นการจัดหาเงินทุนระยะยาวเพื่อรองรับการขยายความเติบโตด้านธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่ ลูกค้าสินเชื่อ SME และลูกค้าสินเชื่อบุคคล และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร
สำหรับอัตราผลตอบแทนของหุ้นด้อยสิทธิดังกล่าวมีดังนี้ ปีที่ 1-3 เท่ากับ 4.35% และปีที่ 4-6 เท่ากับ 4.75% และปีที่เหลือเท่ากับ 5.50% ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 50,000 บาท และทวีคูณของ 50,000 บาท ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ดังกล่าวที่ระดับ A+
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 ตามงบการเงินรวม ธนาคารมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 14.5% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่ระดับ 2.75%
ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2488 ปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 821,632 ล้านบาท เป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรแก่ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ผ่านเครือข่ายสาขา 580 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 จีอี มันนี่ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการผสานความสามารถทางธุรกิจของสององค์กร เพื่อให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย โดยปัจจุบัน จีอี มันนี่ และกลุ่มรัตนรักษ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารในสัดส่วนร้อยละ 33 และร้อยละ 25 ตามลำดับ ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร www.krungsri.com
กรุงเทพฯ – 9 มิถุนายน 2553: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ปลื้มนักลงทุนตอบรับหุ้นด้อยสิทธิของธนาคารอย่างท่วมท้น ทำให้ยอดที่ธนาคารนำเสนอจำนวน 12,000 ล้านบาท หมดลงอย่างรวดเร็ว ธนาคารจึงนำหุ้นกู้สำรองที่เตรียมไว้อีกจำนวน 8,000 ล้านบาท มารองรับความต้องการของนักลงทุน เผยนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในความมั่นคงและผลการดำเนินงานของธนาคาร ตลอดจนบ่งบอกถึงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของประเทศ
นายมาร์ค อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้เสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1/2553 แก่นักลงทุนสถาบัน และ นักลงทุนทั่วไป จำนวน 12,000 ล้านบาท โดยจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 7 - 22 มิถุนายน 2553 นั้น ปรากฏว่านับตั้งแต่เริ่มจำหน่าย มีนักลงทุนให้ความสนใจหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทำให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 12,000 ล้านบาท ที่ธนาคารนำเสนอหมดลงภายใน 2 วันแรก ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ให้ความสนใจหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้ของธนาคาร ธนาคารจึงนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่สำรองไว้จำนวน 8,000 ล้านบาท มาเสนอขายแก่นักลงทุนที่ต้องการ
“ธนาคารมีความยินดีที่นักลงทุนทั้งสถาบันและบุคคลทั่วไปให้การตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้จำนวนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ตั้งไว้ในครั้งแรกจำนวน 12,000 ล้านบาทจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่มี ต่อธนาคารและเศรษฐกิจของประเทศไทย” นายมาร์ค อาร์โนลด์กล่าว
การเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1/2553 นี้เป็นการจัดหาเงินทุนระยะยาวเพื่อรองรับการขยายความเติบโตด้านธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าสินเชื่อขนาดใหญ่ ลูกค้าสินเชื่อ SME และลูกค้าสินเชื่อบุคคล และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร
สำหรับอัตราผลตอบแทนของหุ้นด้อยสิทธิดังกล่าวมีดังนี้ ปีที่ 1-3 เท่ากับ 4.35% และปีที่ 4-6 เท่ากับ 4.75% และปีที่เหลือเท่ากับ 5.50% ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 50,000 บาท และทวีคูณของ 50,000 บาท ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด และบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ดังกล่าวที่ระดับ A+
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 ตามงบการเงินรวม ธนาคารมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่ระดับ 14.5% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่ระดับ 2.75%
ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2488 ปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 821,632 ล้านบาท เป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรแก่ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ผ่านเครือข่ายสาขา 580 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 จีอี มันนี่ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการผสานความสามารถทางธุรกิจของสององค์กร เพื่อให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย โดยปัจจุบัน จีอี มันนี่ และกลุ่มรัตนรักษ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารในสัดส่วนร้อยละ 33 และร้อยละ 25 ตามลำดับ ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร www.krungsri.com
22
news & activity / ¬HTC Desire แอนดรอยด์โฟนล่าสุดที่มากับประสบการณ์ฉลาดล้ำที่เหนือกว่า
« on: June 17, 2010, 02:35:32 PM »
¬HTC Desire แอนดรอยด์โฟนล่าสุดที่มากับประสบการณ์ฉลาดล้ำที่เหนือกว่า
HTC Desire สวยสะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงผลสว่างคมชัด ขนาด 3.7 นิ้ว ด้วยระบบสัมผัส
กรุงเทพฯ – 9 มิถุนายน 2553 – เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบสมาร์ทโฟน ประกาศเปิดตัว HTC Desire ในประเทศไทย HTC Desire สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับการยกระดับประสบการณ์ในการใช้งานด้วยอินเทอร์เฟซ HTC Sense
แจ็ค ถง รองประธาน เอชทีซี เอเชีย กล่าวว่า “HTC Sense ที่มาพร้อมกับ HTC Desire รุ่นใหม่ ไม่เพียงแต่นำเสนอประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ได้อย่างไม่หยุดนิ่งและตรงตามความชอบส่วนบุคคล แต่ยังมอบประสบการณ์ในการใช้งานภาพเสียงสีเสียง ได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้” พร้อมเสริมว่า “HTC Desire นับเป็นเครื่องมือที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ”
HTC Desire มาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างสดใส คมชัดสมจริง และให้สีเหมือนจริงบนหน้าจอระบบสัมผัสด้วยปลายนิ้ว
ขนาดา 3.7 นิ้ว ด้วยโพรเซสเซอร์สแนปดรากอน 1 กิกะเฮิรตซ์ จากควอคอมม์ ทำให้ HTC Desire ตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใช้ระบบสัมผัสแบบเป็นธรรมชาติของ HTC Sense ช่วยเพิ่มประสบการณ์ ในการใช้งาน HTC Desire ได้อย่างน่าทึ่งที่สุด
HTC SENSE
HTC Sense เป็นอินเทอร์เฟซใหม่ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ของผู้ใช้ ที่มุ่งเน้นในการให้คนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการทำให้มือถือใช้งานง่ายขึ้นและทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยประสบการณ์ผู้ใช้นี้พัฒนามาจากการสังเกตการณ์ และการรับฟังว่า ผู้คนใช้ชีวิตและติดต่อสื่อสารกันอย่างไร
ประสบการณ์ในการใช้ HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ยังคงมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการโต้ตอบสื่อสารระหว่างคุณและคนสำคัญของคุณ นับตั้งแต่แอพพลิเคชันใหม่ของเอชทีซี และวิดเจ็ต Friend Stream ซึ่งเชื่อมประสานเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหมดของคุณไว้ในหนึ่งเดียว ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และฟลิคร์ มารวมการอัพเดตทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว การรวมหน้าจอการอัพเดตทั้งหมดไว้ทำให้ การติดตามว่าเพื่อนๆ ของเรากำลังทำอะไรกันอยู่ รวมถึงดูรูปและลิงก์ต่างๆ ที่เพื่อนๆ ได้ร่วมแบ่งปัน ทำได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน นอกจากนี้แล้ว โปรแกรม Friend Stream ยังช่วยให้เราสามารถจัดการกับผู้คนที่เราติดต่อไว้ตามกลุ่มสังคมต่างๆ เช่น กลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนร่วมงาน หรือกลุ่มอื่นๆ ตามสภาพแวดล้อม
ประสบการณ์ในการใช้ HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ได้ยกระดับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น บราวเซอร์ เครื่องลูกข่ายอีเมล์ และฟังก์ชั่นใช้งานอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ยังมีคุณสมบัติใหม่ๆ มาให้ด้วย เช่น แอพพลิเคชันในการอ่านข่าว และวิดเจ็ต รวมถึง รูปย่อแสดงหน้าโฮมสกรีนทั้ง 7 หน้าเพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหน้าโฮมสกรีนต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
ราคาและกำหนดการวางตลาด
HTC Desire รุ่นใหม่วางจำหน่ายแล้วในร้านตัวแทนจำหน่ายด้วยสนนราคา 21,900 บาท ในกล่องมาพร้อมกับหน่วยความจำไมโครเอสดีการ์ด 16 กิกะไบต์
*ราคาจำหน่ายขึ้นกับนโยบายของโอเปอเรเตอร์แต่ละราย
เกี่ยวกับ เอชทีซี
เอชทีซี คอร์ปอเรชัน หรือ เอชทีซี หนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ โดยมุ่งเน้นให้คนเป็นศูนย์กลางในการใช้งาน เอชทีซีสร้างสรรนวัตกรรมสมาร์ทโฟน ที่ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตและความต้องการส่วนบุคคลให้ดีขึ้น บริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไต้หวันภายใต้หมายเลข 2498 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเรียกดูได้จาก www.htc.com/th
HTC Desire สวยสะดุดตาด้วยหน้าจอแสดงผลสว่างคมชัด ขนาด 3.7 นิ้ว ด้วยระบบสัมผัส
กรุงเทพฯ – 9 มิถุนายน 2553 – เอชทีซี คอร์ปอเรชั่น ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบสมาร์ทโฟน ประกาศเปิดตัว HTC Desire ในประเทศไทย HTC Desire สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับการยกระดับประสบการณ์ในการใช้งานด้วยอินเทอร์เฟซ HTC Sense
แจ็ค ถง รองประธาน เอชทีซี เอเชีย กล่าวว่า “HTC Sense ที่มาพร้อมกับ HTC Desire รุ่นใหม่ ไม่เพียงแต่นำเสนอประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้ได้อย่างไม่หยุดนิ่งและตรงตามความชอบส่วนบุคคล แต่ยังมอบประสบการณ์ในการใช้งานภาพเสียงสีเสียง ได้มากเท่าที่จะเป็นไปได้” พร้อมเสริมว่า “HTC Desire นับเป็นเครื่องมือที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ”
HTC Desire มาพร้อมกับหน้าจอที่สว่างสดใส คมชัดสมจริง และให้สีเหมือนจริงบนหน้าจอระบบสัมผัสด้วยปลายนิ้ว
ขนาดา 3.7 นิ้ว ด้วยโพรเซสเซอร์สแนปดรากอน 1 กิกะเฮิรตซ์ จากควอคอมม์ ทำให้ HTC Desire ตอบสนองคำสั่งได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใช้ระบบสัมผัสแบบเป็นธรรมชาติของ HTC Sense ช่วยเพิ่มประสบการณ์ ในการใช้งาน HTC Desire ได้อย่างน่าทึ่งที่สุด
HTC SENSE
HTC Sense เป็นอินเทอร์เฟซใหม่ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ของผู้ใช้ ที่มุ่งเน้นในการให้คนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการทำให้มือถือใช้งานง่ายขึ้นและทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยประสบการณ์ผู้ใช้นี้พัฒนามาจากการสังเกตการณ์ และการรับฟังว่า ผู้คนใช้ชีวิตและติดต่อสื่อสารกันอย่างไร
ประสบการณ์ในการใช้ HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ยังคงมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการโต้ตอบสื่อสารระหว่างคุณและคนสำคัญของคุณ นับตั้งแต่แอพพลิเคชันใหม่ของเอชทีซี และวิดเจ็ต Friend Stream ซึ่งเชื่อมประสานเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหมดของคุณไว้ในหนึ่งเดียว ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และฟลิคร์ มารวมการอัพเดตทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว การรวมหน้าจอการอัพเดตทั้งหมดไว้ทำให้ การติดตามว่าเพื่อนๆ ของเรากำลังทำอะไรกันอยู่ รวมถึงดูรูปและลิงก์ต่างๆ ที่เพื่อนๆ ได้ร่วมแบ่งปัน ทำได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน นอกจากนี้แล้ว โปรแกรม Friend Stream ยังช่วยให้เราสามารถจัดการกับผู้คนที่เราติดต่อไว้ตามกลุ่มสังคมต่างๆ เช่น กลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนร่วมงาน หรือกลุ่มอื่นๆ ตามสภาพแวดล้อม
ประสบการณ์ในการใช้ HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ได้ยกระดับการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น บราวเซอร์ เครื่องลูกข่ายอีเมล์ และฟังก์ชั่นใช้งานอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว HTC Sense รุ่นใหม่นี้ ยังมีคุณสมบัติใหม่ๆ มาให้ด้วย เช่น แอพพลิเคชันในการอ่านข่าว และวิดเจ็ต รวมถึง รูปย่อแสดงหน้าโฮมสกรีนทั้ง 7 หน้าเพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหน้าโฮมสกรีนต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
ราคาและกำหนดการวางตลาด
HTC Desire รุ่นใหม่วางจำหน่ายแล้วในร้านตัวแทนจำหน่ายด้วยสนนราคา 21,900 บาท ในกล่องมาพร้อมกับหน่วยความจำไมโครเอสดีการ์ด 16 กิกะไบต์
*ราคาจำหน่ายขึ้นกับนโยบายของโอเปอเรเตอร์แต่ละราย
เกี่ยวกับ เอชทีซี
เอชทีซี คอร์ปอเรชัน หรือ เอชทีซี หนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ โดยมุ่งเน้นให้คนเป็นศูนย์กลางในการใช้งาน เอชทีซีสร้างสรรนวัตกรรมสมาร์ทโฟน ที่ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตและความต้องการส่วนบุคคลให้ดีขึ้น บริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไต้หวันภายใต้หมายเลข 2498 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเรียกดูได้จาก www.htc.com/th
23
news & activity / ตำรวจจับโรงงานละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี
« on: June 17, 2010, 02:30:58 PM »
ตำรวจจับโรงงานละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ตรวจพบซอฟต์แวร์เถื่อนบนเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 365 เครื่อง
กรุงเทพฯ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553 – ตำรวจไทยเข้าตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน และพบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 365 เครื่องของโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา มูลค่าซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ถูกละเมิดเกือบ 10 ล้านบาท บริษัทแห่งนี้มีทุนจดทะเบียนเกือบ 4 พันล้านบาท
แม้จะยังไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่เคยมีการตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่เช่นนี้ในประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ. 2545 โดยพบซอฟต์แวร์เถื่อนบนคอมพิวเตอร์จำนวน 300 เครื่อง
จากรายงานของตำรวจ จุดเริ่มต้นของการเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเหมือนครั้งอื่นๆ โดยตำรวจได้รับแจ้งเบาะแสผ่านทางสายด่วนต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานก่อนเข้าตรวจค้นจับกุม
การเข้าตรวจค้นโดยไม่ให้รู้ตัวครั้งนี้ ใช้เวลากว่าหกชั่วโมงครึ่งในการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท เจ้าหน้าที่พบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งผลิตโดยบริษัทอโดบี ออโต้เดสค์ ไมโครซอฟท์ โซลิดเวิร์ค และไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในกรุงเทพฯ
“ครั้งนี้นับเป็นการตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา” พันตำรวจเอก ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ โฆษกของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก. ปอศ.) กล่าว “แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าอยู่ดีๆ เราหันมามุ่งจับบริษัทขนาดใหญ่ เราสืบสวนบริษัททุกขนาดทุกประเภท สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเราได้รับเบาะแสหรือการร้องเรียนตามกฏหมายว่าบริษัทเหล่านี้ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฏหมายไทย อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเราพบหลักฐานว่าบริษัทเหล่านี้มีการละเมิดกฏหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาจริง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือบริษัทใดก็ตามหากใช้ซอฟต์แวร์ที่ปราศจากลิขสิทธิ์หรือมีลิขสิทธิ์ไม่ครบถ้วน อาจถูกเข้าตรวจค้นจับกุมได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่หรือดำเนินธุรกิจประเภทใดก็ตาม”
นอกจากการตรวจค้นจับกุมครั้งใหญ่ที่อยุธยาแล้ว ตำรวจยังเดินหน้าบังคับใช้กฏหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องทั้วประเทศ ทั้งนี้เพื่อลดอัตราละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 75
เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินงานคืบหน้าไปมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และกล่าวว่าการตรวจค้นจับกุมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอคือกลยุทธ์สำคัญที่สุด ในการลดอัตราการละมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทย
“ไม่ใช่ว่าเราประสบความสำเร็จในการเข้าตรวจค้นจับกุมบริษัทแห่งหนึ่งแล้วจะนั่งอยู่เฉยๆ” พันตำรวจเอกชัยณรงค์กล่าว “เราลงมือจัดการกับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ทุกสัปดาห์ และบางครั้งก็ทุกวันด้วยซ้ำ ตัวเลขและสถิติต่างๆ จะแสดงให้เห็นเองว่าความพยายามในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านซอฟต์แวร์ของเรานั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทยในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในประเทศที่ลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ลงได้มากสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย”
บริษัทอื่นๆ ที่ถูกตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เมื่อเร็วๆ นี้ประกอบด้วยโรงงานขนาดใหญ่เจ็ดแห่ง ซึ่งล้วนมีสินทรัพย์จดทะเบียนในหลักหลายร้อยล้านหรือพันล้านทั้งสิ้น ประกอบด้วยโรงงานสแตนเลส สตีล โรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์ โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และโรงงานผลิตสินค้าจากยางพารา
กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยระบุว่า ผู้บริหารของบริษัทที่ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่รายงานการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ผ่านทางสายด่วนโทร. 02-714-1010 หรือทางเว็บไซต์ มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 250,000 บาท ข้อมูลของผู้รายงานจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.stop.in.th
กรุงเทพฯ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553 – ตำรวจไทยเข้าตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน และพบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 365 เครื่องของโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา มูลค่าซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่ถูกละเมิดเกือบ 10 ล้านบาท บริษัทแห่งนี้มีทุนจดทะเบียนเกือบ 4 พันล้านบาท
แม้จะยังไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่เคยมีการตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่เช่นนี้ในประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ. 2545 โดยพบซอฟต์แวร์เถื่อนบนคอมพิวเตอร์จำนวน 300 เครื่อง
จากรายงานของตำรวจ จุดเริ่มต้นของการเข้าตรวจค้นจับกุมครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเหมือนครั้งอื่นๆ โดยตำรวจได้รับแจ้งเบาะแสผ่านทางสายด่วนต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานก่อนเข้าตรวจค้นจับกุม
การเข้าตรวจค้นโดยไม่ให้รู้ตัวครั้งนี้ ใช้เวลากว่าหกชั่วโมงครึ่งในการตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัท เจ้าหน้าที่พบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งผลิตโดยบริษัทอโดบี ออโต้เดสค์ ไมโครซอฟท์ โซลิดเวิร์ค และไทยซอฟท์แวร์เอ็นเตอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ในกรุงเทพฯ
“ครั้งนี้นับเป็นการตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา” พันตำรวจเอก ชัยณรงค์ เจริญไชยเนาว์ โฆษกของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก. ปอศ.) กล่าว “แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าอยู่ดีๆ เราหันมามุ่งจับบริษัทขนาดใหญ่ เราสืบสวนบริษัททุกขนาดทุกประเภท สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเราได้รับเบาะแสหรือการร้องเรียนตามกฏหมายว่าบริษัทเหล่านี้ใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฏหมายไทย อีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเราพบหลักฐานว่าบริษัทเหล่านี้มีการละเมิดกฏหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาจริง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือบริษัทใดก็ตามหากใช้ซอฟต์แวร์ที่ปราศจากลิขสิทธิ์หรือมีลิขสิทธิ์ไม่ครบถ้วน อาจถูกเข้าตรวจค้นจับกุมได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่หรือดำเนินธุรกิจประเภทใดก็ตาม”
นอกจากการตรวจค้นจับกุมครั้งใหญ่ที่อยุธยาแล้ว ตำรวจยังเดินหน้าบังคับใช้กฏหมายเพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องทั้วประเทศ ทั้งนี้เพื่อลดอัตราละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 75
เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินงานคืบหน้าไปมากในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และกล่าวว่าการตรวจค้นจับกุมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอคือกลยุทธ์สำคัญที่สุด ในการลดอัตราการละมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทย
“ไม่ใช่ว่าเราประสบความสำเร็จในการเข้าตรวจค้นจับกุมบริษัทแห่งหนึ่งแล้วจะนั่งอยู่เฉยๆ” พันตำรวจเอกชัยณรงค์กล่าว “เราลงมือจัดการกับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ทุกสัปดาห์ และบางครั้งก็ทุกวันด้วยซ้ำ ตัวเลขและสถิติต่างๆ จะแสดงให้เห็นเองว่าความพยายามในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านซอฟต์แวร์ของเรานั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในการลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของไทยในช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในประเทศที่ลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ลงได้มากสุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย”
บริษัทอื่นๆ ที่ถูกตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เมื่อเร็วๆ นี้ประกอบด้วยโรงงานขนาดใหญ่เจ็ดแห่ง ซึ่งล้วนมีสินทรัพย์จดทะเบียนในหลักหลายร้อยล้านหรือพันล้านทั้งสิ้น ประกอบด้วยโรงงานสแตนเลส สตีล โรงงานผลิตอุปกรณ์การแพทย์ โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และโรงงานผลิตสินค้าจากยางพารา
กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยระบุว่า ผู้บริหารของบริษัทที่ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ที่รายงานการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ผ่านทางสายด่วนโทร. 02-714-1010 หรือทางเว็บไซต์ มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 250,000 บาท ข้อมูลของผู้รายงานจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.stop.in.th
24
news & activity / “พราว เอ็กซ์ ทู” ลุยกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง
« on: June 17, 2010, 02:29:18 PM »
“พราว เอ็กซ์ ทู” ลุยกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง จัดแกรนด์โอเพนนิ่ง 12-13 มิ.ย. นี้ โปรโมชั่นพิเศษรวมกว่า 300,000 บาท
ทายาทวันชัยก่อสร้างอดีตยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้างเมืองไทย อดิศร วิเวกานนท์ ผู้บริหารหนุ่ม ที่ก้าวออกมาสานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยตัวเอง ในนามบริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ เป็นปลื้มสุดๆ หลังโครงการ “พราว เอ็กซ์ ทู” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดในสไตล์โมเดิร์นมินิมอลลิส ยอดขายฉลุยกว่า 70 % แล้ว ล่าสุดลุยกระตุ้นยอดขายต่อเนื่องจัดงาน แกรนด์โอเพนนิ่ง “Xclusive Living In X2 Gen สะท้อนการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่” มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าภายใต้แคมเปญ ร่วมลุ้นรับทองคำรวม 15 บาท และรับโปรโมชั่นพิเศษ Bose SoundDock + iPod Nano 8 GB หรือ Blackberry Bold 9700 ภายในงานวันที่ 12 – 13 มิ.ย. นี้ พร้อม พบกิจกรรมพิเศษมากมายกับดารารับเชิญ อาทิ กระทบไหล่หนุ่มหล่อมาดเข้ม (สมาร์ท) กฤษฎา พรเวโรจน์ หรือคุณเชฟ จากละครหวานใจนายจอมหยิ่ง และน้องจอย สุนันท์ษา จิรมณีกุล และร่วมดูดวงกับนักโหราศาสตร์ชื่อดัง อ.คฑา ชินบัญชร และหมอดูไพ่ยิบซี ที่จะมาร่วมสร้างสีสันในงานนี้ ณ สำนักงานขายโครงการพราว เอ็กซ์ทู ซ.แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด 19 สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-583-2626
ทายาทวันชัยก่อสร้างอดีตยักษ์ใหญ่วงการก่อสร้างเมืองไทย อดิศร วิเวกานนท์ ผู้บริหารหนุ่ม ที่ก้าวออกมาสานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยตัวเอง ในนามบริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ เป็นปลื้มสุดๆ หลังโครงการ “พราว เอ็กซ์ ทู” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดในสไตล์โมเดิร์นมินิมอลลิส ยอดขายฉลุยกว่า 70 % แล้ว ล่าสุดลุยกระตุ้นยอดขายต่อเนื่องจัดงาน แกรนด์โอเพนนิ่ง “Xclusive Living In X2 Gen สะท้อนการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่” มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าภายใต้แคมเปญ ร่วมลุ้นรับทองคำรวม 15 บาท และรับโปรโมชั่นพิเศษ Bose SoundDock + iPod Nano 8 GB หรือ Blackberry Bold 9700 ภายในงานวันที่ 12 – 13 มิ.ย. นี้ พร้อม พบกิจกรรมพิเศษมากมายกับดารารับเชิญ อาทิ กระทบไหล่หนุ่มหล่อมาดเข้ม (สมาร์ท) กฤษฎา พรเวโรจน์ หรือคุณเชฟ จากละครหวานใจนายจอมหยิ่ง และน้องจอย สุนันท์ษา จิรมณีกุล และร่วมดูดวงกับนักโหราศาสตร์ชื่อดัง อ.คฑา ชินบัญชร และหมอดูไพ่ยิบซี ที่จะมาร่วมสร้างสีสันในงานนี้ ณ สำนักงานขายโครงการพราว เอ็กซ์ทู ซ.แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด 19 สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-583-2626
25
news & activity / ข่าว GOSSIP ของโกลเบล็ก กรุ๊ป
« on: June 17, 2010, 02:28:06 PM »
ข่าว GOSSIP ของโกลเบล็ก กรุ๊ป
Gossip News
…ขยันแจกจริงๆสำหรับโกลเบล็ก กรุ๊ป ที่แม้ว่าจะจบงาน Money Expo 2010 ไปแล้ว แต่โปรโมชั่น TFEX ที่มาจากงานดังกล่าวยังคงใช้ได้ต่อเนื่องยาวไปถึงเดือนกรกฎาคม โดยลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชีอนุพันธ์ในงาน Money Expoที่มียอดค่าคอมมิสชั่นทุก 5,000 บาท รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 500 บาท ซึ่งจะมีการตัดยอดทุกสิ้นเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2553 และรับรางวัลพร้อมกันในเดือนสิงหาคม ซึ่งทางโกลเบล็กฝากบอกมาว่า การคิดคะแนนสะสม จะอ้างอิงจากค่าคอมมิสชั่นตามที่บริษัทฯ ได้รับเท่านั้นนะจ๊ะ…ทราบแล้วเปลี่ยน…
Gossip News
…ขยันแจกจริงๆสำหรับโกลเบล็ก กรุ๊ป ที่แม้ว่าจะจบงาน Money Expo 2010 ไปแล้ว แต่โปรโมชั่น TFEX ที่มาจากงานดังกล่าวยังคงใช้ได้ต่อเนื่องยาวไปถึงเดือนกรกฎาคม โดยลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชีอนุพันธ์ในงาน Money Expoที่มียอดค่าคอมมิสชั่นทุก 5,000 บาท รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 500 บาท ซึ่งจะมีการตัดยอดทุกสิ้นเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2553 และรับรางวัลพร้อมกันในเดือนสิงหาคม ซึ่งทางโกลเบล็กฝากบอกมาว่า การคิดคะแนนสะสม จะอ้างอิงจากค่าคอมมิสชั่นตามที่บริษัทฯ ได้รับเท่านั้นนะจ๊ะ…ทราบแล้วเปลี่ยน…
26
news & activity / “ปูนอินทรี” เปิดตัว Green Heart...โลกน่าอยู่ คู่หัวใจสีเขียว
« on: June 17, 2010, 02:22:31 PM »
“ปูนอินทรี” เปิดตัว Green Heart...โลกน่าอยู่ คู่หัวใจสีเขียว พร้อมภาพยนต์โฆษณาชุดใหม่
คุณจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหารลูกค้าสัมพันธ์ บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ “ปูนอินทรี” เปิดตัว Green Heart...โลกน่าอยู่ คู่หัวใจสีเขียว พร้อมภาพยนต์โฆษณาชุดใหม่ เพื่อสร้างจิตสำนึก และกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งให้คนไทยตื่นตัวมากขึ้น โดยใช้แนวคิดหลักว่า เรารักโลก โลกรักเรา ในภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้ยังเพิ่มความสดชื่นและน่าติดตามด้วยบทเพลงไพเราะ ที่แต่งและร้องโดย ว่าน AF2 ณ สำนักงานใหญ่ อาคารคอลัมน์ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
คุณจันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหารลูกค้าสัมพันธ์ บมจ. ปูนซีเมนต์นครหลวง หรือ “ปูนอินทรี” เปิดตัว Green Heart...โลกน่าอยู่ คู่หัวใจสีเขียว พร้อมภาพยนต์โฆษณาชุดใหม่ เพื่อสร้างจิตสำนึก และกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งให้คนไทยตื่นตัวมากขึ้น โดยใช้แนวคิดหลักว่า เรารักโลก โลกรักเรา ในภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้ยังเพิ่มความสดชื่นและน่าติดตามด้วยบทเพลงไพเราะ ที่แต่งและร้องโดย ว่าน AF2 ณ สำนักงานใหญ่ อาคารคอลัมน์ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
27
news & activity / KTAMเปิดซื้อขายกองทุนTCIF เริ่ม16มิ.ย.ผ่านตลาดหลักทรัพย์
« on: June 17, 2010, 02:21:02 PM »
KTAMเปิดซื้อขายกองทุนTCIF เริ่ม16มิ.ย.ผ่านตลาดหลักทรัพย์
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียล อินเวสเม้นต์ หรือ TCIF เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เคาะซื้อขายวันแรก 16 มิ.ย.นี้ เชื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมท่ามกลางความผันผวน มีนโยบายจ่ายปันผล พร้อมชูจุดเด่นด้านลงทุนในรูปแบบ freehold
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน 2553 หน่วยลงทุนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก โดยจะอยู่ในหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และจะใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “TCIF” หลังจากกองทุนได้เปิดเสนอขายครั้งแรก เมื่อวันที่ 15-23 มีนาคม 2553 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,960 ล้านบาท
สำหรับกองทุนดังกล่าว ได้ลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารในโครงการเนชั่นทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 9 ไร่ 26 ตารางวา บนถนนบางนา-ตราด ขาเข้า ช่วงกม. 4 ประกอบด้วยกลุ่มอาคารสำนักงาน 3 อาคาร และอาคารจอดรถ 1 อาคาร มีพื้นที่ใช้สอยรวม 110,518 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่ารวมสุทธิ 54,750ตารางเมตร ถือเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคตในเขตพื้นที่รอบนอก อันเนื่องมาจากทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและนิคมอุตสาหกรรมต่างๆในเขตภาคตะวันออก ที่สามารถเข้าสู่ใจกลางธุรกิจการค้าของกรุงเทพมหานคร (CBD) ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จุดเด่นของกองนี้ นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ในอนาคต จากการเพิ่มของทั้งอัตราการเช่าและอัตราค่าเช่า ที่ยังถือว่าต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดและศักยภาพของโครงการ หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากการลงทุนในรูปแบบของ Freehold
“ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นและทิศทางการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวนเช่นนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเภทอาคารสำนักงานให้เช่าที่มีการทำสัญญา 1 – 3 ปี กับผู้เช่า นับเป็นทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งเป็นทางเลือกให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้”นายสมชัยกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ ถือเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองแรกภายใต้การบริหารจัดการ ของ บลจ.กรุงไทย และตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในทุกไตรมาส เริ่มจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้ โดยบลจ.กรุงไทย มีนโยบายที่จะทำให้ กองทุน TCIF เติบโตด้วยการลงทุนในทรัพย์สินประเภทเดียวกันในอนาคต และ มีความคาดหวังว่า กองทุน TCIF จะกระตุ้นนักลงทุนให้สนใจการลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนระยะยาว
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียล อินเวสเม้นต์ หรือ TCIF เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เคาะซื้อขายวันแรก 16 มิ.ย.นี้ เชื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมท่ามกลางความผันผวน มีนโยบายจ่ายปันผล พร้อมชูจุดเด่นด้านลงทุนในรูปแบบ freehold
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน 2553 หน่วยลงทุนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก โดยจะอยู่ในหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และจะใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “TCIF” หลังจากกองทุนได้เปิดเสนอขายครั้งแรก เมื่อวันที่ 15-23 มีนาคม 2553 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,960 ล้านบาท
สำหรับกองทุนดังกล่าว ได้ลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารในโครงการเนชั่นทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 9 ไร่ 26 ตารางวา บนถนนบางนา-ตราด ขาเข้า ช่วงกม. 4 ประกอบด้วยกลุ่มอาคารสำนักงาน 3 อาคาร และอาคารจอดรถ 1 อาคาร มีพื้นที่ใช้สอยรวม 110,518 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่ารวมสุทธิ 54,750ตารางเมตร ถือเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้ในอนาคตในเขตพื้นที่รอบนอก อันเนื่องมาจากทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและนิคมอุตสาหกรรมต่างๆในเขตภาคตะวันออก ที่สามารถเข้าสู่ใจกลางธุรกิจการค้าของกรุงเทพมหานคร (CBD) ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จุดเด่นของกองนี้ นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ในอนาคต จากการเพิ่มของทั้งอัตราการเช่าและอัตราค่าเช่า ที่ยังถือว่าต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดและศักยภาพของโครงการ หรือมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากการลงทุนในรูปแบบของ Freehold
“ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า ในภาวะที่ตลาดหุ้นและทิศทางการลงทุนทั่วโลกมีความผันผวนเช่นนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเภทอาคารสำนักงานให้เช่าที่มีการทำสัญญา 1 – 3 ปี กับผู้เช่า นับเป็นทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งเป็นทางเลือกให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้”นายสมชัยกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ ถือเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองแรกภายใต้การบริหารจัดการ ของ บลจ.กรุงไทย และตั้งใจที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยในทุกไตรมาส เริ่มจ่ายเงินปันผลครั้งแรกในเดือนกันยายนนี้ โดยบลจ.กรุงไทย มีนโยบายที่จะทำให้ กองทุน TCIF เติบโตด้วยการลงทุนในทรัพย์สินประเภทเดียวกันในอนาคต และ มีความคาดหวังว่า กองทุน TCIF จะกระตุ้นนักลงทุนให้สนใจการลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนระยะยาว
28
news & activity / นึกถึงยาง 0% นึกถึง...ค็อกพิทและออโต้บอย
« on: June 17, 2010, 02:14:58 PM »
นึกถึงยาง 0% นึกถึง...ค็อกพิทและออโต้บอย
สำหรับเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาในช่วงปัจจุบันนี้ การใช้จ่ายที่ไม่คล่องตัวเป็นปัญหาอย่างมากกับผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยกับของที่จำเป็นเท่านั้น แต่ตอนนี้บริดจสโตนมีทางเลือกให้กับผู้บริโภคอีกทางที่ไม่ต้องการจับจ่ายด้วยเงินสดสำหรับซื้อยางรถที่ต้องการ กับแคมเปญเมื่อซื้อยางเฉพาะรุ่น TURANZA GR90, TURANZA AR10, POTENZA RE001, POTENZA RE050 , MY01, , DUELER 684, 684II, 689, 840, 683, 694, 470, 687, 680, DHPS และ FIREHAWK WIDE OVAL , FIREHAWK TZ100 ครบ 4 เส้น (รายการเดียว) สามารถผ่อนชำระ 0% นานถึง 10 เดือน โดยผ่านบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการ ค็อกพิท และ ออโต้บอย ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2553 นี้
“ค็อกพิท และ ออโต้บอย” เป็นศูนย์บริการยางคุณภาพมาตรฐานของบริดจสโตน เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลด้านยางรถยนต์และล้อแม็กทุกประเภท นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์บริการเพื่อขานรับความต้องการของผู้บริโภค และสนองตอบรสนิยมของผู้บริโภคให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจในหลายๆ ด้าน โดยนำเสนอสินค้าที่คู่ควรกับรถยนต์และเหมาะสมกับรสนิยมของผู้บริโภค รวมถึงบริการที่มีมาตรฐานและราคายุติธรรม เพื่อให้ผู้บริโภคทุกท่านพอใจในสินค้าและบริการที่ได้รับจากพนักงานและช่างผู้ชำนาญของค็อกพิท ปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนองความต้องการให้ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง
สนใจสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขได้ที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2636-1555 (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) หรือ 1-800-295-537 (ต่างจังหวัดโทรฟรี) หรือ www.cockpit.co.th
สำหรับเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาในช่วงปัจจุบันนี้ การใช้จ่ายที่ไม่คล่องตัวเป็นปัญหาอย่างมากกับผู้บริโภคในการจับจ่ายใช้สอยกับของที่จำเป็นเท่านั้น แต่ตอนนี้บริดจสโตนมีทางเลือกให้กับผู้บริโภคอีกทางที่ไม่ต้องการจับจ่ายด้วยเงินสดสำหรับซื้อยางรถที่ต้องการ กับแคมเปญเมื่อซื้อยางเฉพาะรุ่น TURANZA GR90, TURANZA AR10, POTENZA RE001, POTENZA RE050 , MY01, , DUELER 684, 684II, 689, 840, 683, 694, 470, 687, 680, DHPS และ FIREHAWK WIDE OVAL , FIREHAWK TZ100 ครบ 4 เส้น (รายการเดียว) สามารถผ่อนชำระ 0% นานถึง 10 เดือน โดยผ่านบัตรที่ร่วมรายการเท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการ ค็อกพิท และ ออโต้บอย ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2553 นี้
“ค็อกพิท และ ออโต้บอย” เป็นศูนย์บริการยางคุณภาพมาตรฐานของบริดจสโตน เป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูแลด้านยางรถยนต์และล้อแม็กทุกประเภท นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์บริการเพื่อขานรับความต้องการของผู้บริโภค และสนองตอบรสนิยมของผู้บริโภคให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจในหลายๆ ด้าน โดยนำเสนอสินค้าที่คู่ควรกับรถยนต์และเหมาะสมกับรสนิยมของผู้บริโภค รวมถึงบริการที่มีมาตรฐานและราคายุติธรรม เพื่อให้ผู้บริโภคทุกท่านพอใจในสินค้าและบริการที่ได้รับจากพนักงานและช่างผู้ชำนาญของค็อกพิท ปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนองความต้องการให้ผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง
สนใจสอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขได้ที่แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โทรศัพท์ 0-2636-1555 (กรุงเทพฯ และปริมณฑล) หรือ 1-800-295-537 (ต่างจังหวัดโทรฟรี) หรือ www.cockpit.co.th
29
news & activity / ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รุกตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์
« on: June 17, 2010, 02:08:55 PM »
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา รุกตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ออกแคมเปญ “ย้ายเลย...คุ้มกว่าจริง ประหยัดจริง กับสินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์
ดอกเบี้ย 0% นานติดต่อกัน 6 เดือน”
กรุงเทพฯ 14 มิถุนายน 2553 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้ารุกตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านออกแคมเปญ “ย้ายเลย...คุ้มกว่าจริง ประหยัดจริง กับสินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์” อัตราดอกเบี้ย 0% นานติดต่อกัน 6 เดือนแรก พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะมียอดเบิกรับเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคม ศกนี้
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกแคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ต้องการลดภาระค่าผ่อนในแต่ละเดือน โดยในเดือนที่ 1-6 คิดดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 คิดดอกเบี้ย MLR – 3.65% หลังจากนั้นยังคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ MLR -1.00 % ตลอดอายุสัญญา นอกจากนี้ ธนาคารยังมอบสิทธิพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ได้แก่ ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน และค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรมสัญญาและหรือจดทะเบียนสิทธิหลักประกัน
ผู้สนใจแคมเปญดังกล่าวของ “สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ “สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KRUNGSRI Call Center 1572 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.krungsri.com
ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2488 ปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 821,632 ล้านบาท เป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรแก่ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ผ่านเครือข่ายสาขา 580 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 จีอี มันนี่ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการผสานความสามารถทางธุรกิจของสององค์กร เพื่อให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย โดยปัจจุบัน จีอี มันนี่ และกลุ่มรัตนรักษ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารในสัดส่วนร้อยละ 33 และร้อยละ 25 ตามลำดับ ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร www.krungsri.com
ดอกเบี้ย 0% นานติดต่อกัน 6 เดือน”
กรุงเทพฯ 14 มิถุนายน 2553 ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้ารุกตลาดสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านออกแคมเปญ “ย้ายเลย...คุ้มกว่าจริง ประหยัดจริง กับสินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์” อัตราดอกเบี้ย 0% นานติดต่อกัน 6 เดือนแรก พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะมียอดเบิกรับเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคม ศกนี้
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกแคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ ซึ่งคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ต้องการลดภาระค่าผ่อนในแต่ละเดือน โดยในเดือนที่ 1-6 คิดดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 คิดดอกเบี้ย MLR – 3.65% หลังจากนั้นยังคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ MLR -1.00 % ตลอดอายุสัญญา นอกจากนี้ ธนาคารยังมอบสิทธิพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ได้แก่ ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน และค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรมสัญญาและหรือจดทะเบียนสิทธิหลักประกัน
ผู้สนใจแคมเปญดังกล่าวของ “สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ “สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ KRUNGSRI Call Center 1572 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.krungsri.com
ข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2488 ปัจจุบันเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 821,632 ล้านบาท เป็นธนาคารที่ให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรแก่ทั้งลูกค้าธุรกิจ และลูกค้าบุคคล ผ่านเครือข่ายสาขา 580 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 จีอี มันนี่ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำได้บรรลุข้อตกลงการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งสะท้อนถึงความตั้งใจและความเชื่อมั่นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับการผสานความสามารถทางธุรกิจของสององค์กร เพื่อให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นนำของประเทศไทย โดยปัจจุบัน จีอี มันนี่ และกลุ่มรัตนรักษ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารในสัดส่วนร้อยละ 33 และร้อยละ 25 ตามลำดับ ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ธนาคาร www.krungsri.com
30
news & activity / ราคาทองคำยังมีลุ้นไปต่อ GBXแนะเก็งกำไรระยะสั้น
« on: June 17, 2010, 02:07:17 PM »
ราคาทองคำยังมีลุ้นไปต่อ GBXแนะเก็งกำไรระยะสั้น
โกลเบล็ก เชื่อบรรยากาศการลงทุนทองคำภายในสัปดาห์นี้ยังไปได้สวย แนะนำ “เก็งกำไรทองคำระยะสั้น” ให้กรอบ18,500 – 19,350 บาทต่อบาททอง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนทองคำภายในสัปดาห์นี้ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น” คาดกรอบ 1,205-1,260 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,500 -19,350 บาท/บาททอง
ทั้งนี้ราคาทองคำได้แรงหนุนจากความกังวลในปัญหาหนี้สินของยุโรปที่ยังไม่จางหายไป และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงปลายสัปดาห์ที่ออกมาไม่ดี ประกอบกับการฟื้นตัวของเงินสกุล ยูโรที่เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้นๆจากการเปิดประมูลพันธบัตรจำนวนมากเท่านั้น
ในขณะเดียวกันภาพทางเทคนิคที่ดูดีขึ้น หลังราคาสามารถยืนเหนือจุดเปลี่ยนแนวโน้มที่ 1,210 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ และดัชนีบ่งชี้ระยะสั้น (Stochastic Oscillators) ของกราฟระดับสัปดาห์ที่กลับมายืนเหนือ Signal Line ตัวเอง พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าสัปดาห์ก่อน
นอกจากนี้ กองทุนทองคำ SPDR Gold Trust ยังเพิ่มสถานะถือครองทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาซื้อเพิ่มอีก 19.78 ตัน มาอยู่ที่ 1,306.14 ตัน ซึ่งหากเทียบสถานะถือครองทองคำที่ระดับดังกล่าวด้วยการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ (Correlation Analysis) พบว่า ราคาทองคำควรขึ้นไปซื้อขายในช่วงราคา 1,240-1,270 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จึงจะถือว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางสถิติบ่งชี้ว่า ราคาทองคำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มิ.ย.(สัปดาห์นี้)โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.27% WoW ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% และ Upside การปรับขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ (ตัวแทนของสินทรัพย์เสี่ยง) เริ่มถูกจำกัด จนกว่าจะปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 10,250 จุด ได้อย่างมั่นคง
โกลเบล็ก เชื่อบรรยากาศการลงทุนทองคำภายในสัปดาห์นี้ยังไปได้สวย แนะนำ “เก็งกำไรทองคำระยะสั้น” ให้กรอบ18,500 – 19,350 บาทต่อบาททอง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัทโกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนทองคำภายในสัปดาห์นี้ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในสัปดาห์นี้ โดยแนะนำ “ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น” คาดกรอบ 1,205-1,260 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,500 -19,350 บาท/บาททอง
ทั้งนี้ราคาทองคำได้แรงหนุนจากความกังวลในปัญหาหนี้สินของยุโรปที่ยังไม่จางหายไป และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงปลายสัปดาห์ที่ออกมาไม่ดี ประกอบกับการฟื้นตัวของเงินสกุล ยูโรที่เกิดขึ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเพียงปรากฏการณ์สั้นๆจากการเปิดประมูลพันธบัตรจำนวนมากเท่านั้น
ในขณะเดียวกันภาพทางเทคนิคที่ดูดีขึ้น หลังราคาสามารถยืนเหนือจุดเปลี่ยนแนวโน้มที่ 1,210 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ และดัชนีบ่งชี้ระยะสั้น (Stochastic Oscillators) ของกราฟระดับสัปดาห์ที่กลับมายืนเหนือ Signal Line ตัวเอง พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าสัปดาห์ก่อน
นอกจากนี้ กองทุนทองคำ SPDR Gold Trust ยังเพิ่มสถานะถือครองทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาซื้อเพิ่มอีก 19.78 ตัน มาอยู่ที่ 1,306.14 ตัน ซึ่งหากเทียบสถานะถือครองทองคำที่ระดับดังกล่าวด้วยการวิเคราะห์ค่าความสัมพันธ์ (Correlation Analysis) พบว่า ราคาทองคำควรขึ้นไปซื้อขายในช่วงราคา 1,240-1,270 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จึงจะถือว่าเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางสถิติบ่งชี้ว่า ราคาทองคำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มิ.ย.(สัปดาห์นี้)โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรอบ 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.27% WoW ด้วยความน่าจะเป็นราว 70% และ Upside การปรับขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ (ตัวแทนของสินทรัพย์เสี่ยง) เริ่มถูกจำกัด จนกว่าจะปรับตัวขึ้นไปยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 10,250 จุด ได้อย่างมั่นคง