Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: [1] 2 3 ... 2473
1
จับตา “จัดเก็บภาษีความเค็ม”ขนมขบเคี้ยว
เพิ่มทางเลือกสุขภาพ ลดเสี่ยงโรค NCDs

โดย รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม


            จากกรณีที่กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะจัดเก็บภาษีความเค็มเนื่องจากคนไทยติดการบริโภคเค็มมากเกินไป โดยเริ่มจากสินค้าขนมขบเคี้ยวก่อน ซึ่งจะมีความชัดเจนในปี 2568 นี้ โดยกลุ่มขนมขบเคี้ยวจะถูกเก็บตามปริมาณโซเดียมต่อผลิตภัณฑ์ในอัตราภาษีแบบขั้นบันได โดยหวังให้ประชาชนบริโภคความเค็มลดน้อยลง โดยจะดำเนินการจัดเก็บภาษีความเค็มในรูปแบบเดียวกับภาษีความหวานซึ่งบังคับใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและส่งผลให้ประชาชนลดการบริโภคน้ำตาลลงชัดเจน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจ โดยรัฐตั้งเป้าหมายให้คนไทยลดการบริโภคเค็มให้ได้ร้อยละ 30 โดยก่อนหน้านี้ทางกระทรวงการคลังได้มีนโยบายและมอบหมายให้กรมสรรพสามิตไปศึกษาเรื่องกลไกการเก็บภาษีความเค็มในบางสินค้าที่มีอยู่ โดยเฉพาะการควบคุมสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป้าหมายหลัก ๆ ของกระทรวงการคลังต้องการจะดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทย ซึ่งจากข้อมูล 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยก็ยังบริโภคเค็ม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็มีนโยบายเป็นหลักยุทธศาสตร์ที่จะพยายามให้คนไทยลดการบริโภคเค็มลง


            สอดคล้องกับ นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การลดโรค NCDs เป็นภาระงานและความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุข มีคนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs กว่า 400,000 คนต่อปี รัฐต้องสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งในปี 2568 มีสโลแกน “กรมควบคุมโรคห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี” มุ่งสนับสนุนกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) นำนวัตกรรมเครื่องวัดความเค็ม(Salt Meter) ขยายผลสร้างความตระหนักและควบคุมปริมาณโซเดียมในการปรุงอาหารของครัวเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานทั่วประเทศ เป็นแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวังและลดการบริโภคเกลือและโซเดียมระดับจังหวัด รวมถึงกำหนดปริมาณเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ผลักดันมาตรการภาษีโซเดียม มุ่งเป้าให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี ห่างไกลโรค NCDs ด้วยการลดการกินเค็ม ลดเกลือและโซเดียมเกินกำหนด สอดรับ 1 ใน 9 เป้าหมายลด NCDs ระดับโลก (9 global targets for noncommunicable diseases for 2025)


            “จากข้อมูลพบว่าคนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหาร 4,351.69 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน สูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา ที่สำคัญยังพบว่า คนไทยป่วยด้วยโรคที่สัมพันธ์กับการบริโภคโซเดียม เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไต หัวใจและหลอดเลือดสมองกว่า 22 ล้านคน ซึ่งคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ภายในปี 2568 ไทยควรจะต้องทำให้ประชาชนลดการบริโภคเกลือและโซเดียมลง 30% โดยจะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดเกลือและโซเดียม สร้างความรู้สร้างความตระหนักแก่ผู้บริโภค การปรับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และผลักดันให้เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายประชาชนมีสุขภาพดี”


            รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า เราควรให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและเกินความพอดี ส่งผลทำให้ตัวเลขของผู้ป่วยด้วยเพิ่มขึ้น เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง พบว่าคนไทยมากกว่า 22 ล้านคน ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับการบริโภคโซเดียม ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทเลยทีเดียว และทางกระทรวงสาธารณสุขมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ คิดเป็นร้อยละ 52 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไทยกินเกลือโซเดียมเกินความต้องการ และมีอุบัติการณ์ของภาวะความดันโลหิตสูงถึง 10 % ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกินขนมกรุบกรอบและอาหารสำเร็จรูปมาก ดังนั้นภาครัฐจึงรณรงค์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคของคนไทย ในขณะที่ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพประชาชนมากขึ้น


            โดยที่ผ่านมาเครือข่ายลดบริโภคเค็มและองค์กรพันธมิตร รณรงค์และให้ความรู้ เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อสารมวลชนทุกแขนงในด้านโภชนาการเพื่อให้ผู้บริโภคบริโภคโซเดียมลดลง สนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโซเดียมต่ำ เครื่องตรวจวัดความเค็ม (Salt Meter) และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคโซเดียมต่อสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ (โรงเรียน ชุมชน โรงพยาบาล และองค์กรเอกชน) เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารในการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วยให้แต่ละคนสามารถปรับลิ้นให้คุ้นเคยรสชาติที่เปลี่ยนไปได้เมื่อเวลาผ่านไป หรือเป็นนิสัยที่ “เค็มน้อยอร่อยได้” ซึ่งนําไปสู่การควบคุมการบริโภคเกลือและความดันโลหิตที่ดีขึ้นภายในชุมชนอย่างยั่งยืน


            การปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโซเดียมลดลงเป็นมาตรการที่สามารถลดการเสียชีวิตจากโรค NCDs ได้ดี โดยมีค่าใช้จ่ายจากฝั่งภาครัฐน้อยและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิผล ซึ่งหนึ่งในวิธีหรือมาตรการที่จะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้ปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์อาหารให้มีความเค็มน้อยลง คือการใช้มาตรการทางภาษีและราคาโดยมีประเทศที่ได้ดำเนินมาตรการภาษีเกลือและประสบความสำเร็จ คือ ประเทศฮังการี ซึ่งผลของการดำเนินงานแสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารของภาคอุตสาหกรรม และการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเกลือสูง นอกจากนี้มีหลายประเทศที่ได้มีการวิเคราะห์และคาดการณ์ผลกระทบด้านสุขภาพหากมีการนำมาตรการภาษีเกลือและโซเดียมมาปฏิบัติใช้ ซึ่งทุกการศึกษาชี้ให้เห็นผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านสุขภาพ และความคุ้มค่าในการดำเนินมาตรการ

            การมีเกณฑ์สำหรับภาษีความเค็มในประเทศไทยที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกรมสรรพสามิต ในการที่จะพิจารณาในการจัดเก็บ ทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ ซึ่งเป้าหมายตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของรายได้ แต่เน้นเรื่องสุขภาพของคนไทย หากมีการเก็บภาษีความเค็มจริง จะเก็บเฉพาะสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น เช่น สินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และโจ๊กสำเร็จรูป ดังนั้นผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นไปที่การปรับสารอาหารให้มีปริมาณโซเดียมน้อยลงหรือใช้เกลือโซเดียมต่ำแทน อย่างไรก็ตามสินค้าในบางประเภท เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีข้อจำกัดในแง่ของการปรับราคา ซึ่งผู้ประกอบการเองจะต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพราะว่าตอนนี้คนไทยรักสุขภาพมากขึ้นและหันมาบริโภคสินค้าที่ดูแลสุขภาพมากขึ้นโดยปรับสูตรอาหารเพื่อลดบริโภคเค็มลงหรือโซเดียมลดลง ซึ่งเมื่อปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ลดต่ำลงในระดับที่เหมาะสมปลอดภัย ผลิตภัณฑ์นั้นก็จะไม่ถูกเก็บภาษี ทำให้ราคาสินค้าคงเดิมและยังลดต้นทุนในการใช้เกลือโซเดียมอีกด้วย มาตรการภาษีนี้จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคหันมานิยมอาหารโซเดียมต่ำ เค็มน้อยและดีต่อสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ โดยเราจะต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามไปด้วย รวมถึงต้องให้ความรู้ความเสี่ยงในการบริโภคโซเดียมมากเกินไปด้วย

            ในส่วนของกลุ่มตลาดอาหารขนมขบเคี้ยว ประกอบด้วย มันฝรั่งทอด ขนมขึ้นรูป และขนมที่ทำมาจากเนื้อปลา สาหร่าย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการของขนมสาหร่ายรายใหญ่ มีการปรับลดโซเดียมลงได้ร้อยละ 50 หรืออีกกลุ่มคือ มันฝรั่งทอดรายใหญ่ ก็ลดโซเดียมลงถึงร้อยละ 30 ด้วย

2
ถอดรหัสปั้นคาแรคเตอร์สติกเกอร์ให้ครองใจผู้ใช้
จากทริปบันดาลใจ LINE STICKERS CONTEST 2024 ณ ประเทศญี่ปุ่น


             LINE STICKERS สานต่อภารกิจสนับสนุนและพัฒนาทักษะครีเอเตอร์ไทยในการสร้างสรรค์ผลงานสติกเกอร์ให้มีคุณภาพ ผ่านกิจกรรม LINE STICKERS CONTEST 2024  เพื่อเฟ้นหาสุดยอดครีเอเตอร์สร้างสรรค์สติกเกอร์บนแอปพลิเคชัน LINE ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยในปีนี้ยังคงมาพร้อมบททดสอบสุดเข้มข้น ด้วยการให้ครีเอเตอร์ออกแบบสติกเกอร์ตามโจทย์ที่กำหนด พร้อมวางขายจริงในตลาด โดย 12 ผู้ชนะจากกิจกรรมได้ร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเวิร์คช็อปกับผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ของ LINE ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Dream Design Deliver: The Inspiration Experience เปิดโลกบันดาลใจสู่การสร้างสรรค์ LINE STICKERS


             อิสรี ดำรงพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ Consumer Business LINE ประเทศไทย กล่าวว่า LINE ยังคงมุ่งมั่นตอกย้ำจุดยืนในฐานะ Creative Business Enabler เดินหน้าส่งเสริมทักษะและผลักดันครีเอเตอร์ไทย ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นทั้งในเชิงศิลปะและธุรกิจ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานให้สำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวาดหรือขายสติกเกอร์เท่านั้น แต่ต้องตั้งต้นจากการหาแรงบันดาลใจ ผ่านคลังประสบการณ์และมุมมองที่หลากหลาย พร้อมทั้งมีการศึกษาอินไซต์ของตลาด จากนั้นจึงนำความคิดสร้างสรรค์ที่ตกผลึกมาอย่างดีมาเชื่อมโยงเข้ากับโลกธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งาน ดังนั้น LINE จึงมุ่งมั่นในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการสร้างแรงบันดาลใจให้ครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง”




             สรุป 8 Tips & Tricks ปั้น LINE STICKERS ครองใจผู้ใช้ ไม่ตกเทรนด์

             ไฮไลต์ของทริปที่หาไม่ได้จากที่ไหน กับกิจกรรมเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟโดยผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศญี่ปุ่นและวิทยากรผู้คร่ำหวอดในวงการคาแรคเตอร์ มาแชร์เคล็ดลับที่จะช่วยให้สติกเกอร์โดดเด่นและเป็นที่นิยม

1. ในญี่ปุ่นพบว่าผู้ใช้กว่า 90% พึงพอใจในการใช้งานก็จริง แต่ยังต้องการให้ LINE STICKERS สามารถทำการค้นหาได้ง่ายขึ้น และมีตัวสติกเกอร์ที่ตรงใจผู้ใช้งานมากขึ้น
2. หาจุดร่วมระหว่างผู้ส่งและผู้รับ เนื่องจากผู้ใช้งานในปัจจุบันไม่ได้เลือกใช้สติกเกอร์จากคำที่ชอบหรือตัวที่แสดงอารมณ์ของผู้ใช้อย่างเดียว แต่คำนึงถึงคู่สื่อสารด้วย
3. บางครั้งสามารถ หยิบคาแรคเตอร์ขวัญใจผู้ใช้ มาปรับหน้าตาใหม่ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เคยทำกับสติกเกอร์ Moon เมื่อทางไลน์หยิบมาปรับหน้าตาใหม่ ก็กลับมาครองใจและเพิ่มงานใช้งานได้มากกว่าเดิม
4. ฟีเจอร์ Sticker Arranging หรือการส่งสติกเกอร์หลายตัวได้ในคราวเดียว เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่กลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะช่วยสร้างเรื่องราวและเพิ่มอรรถรสขึ้นไปอีก
5. โซเชียลมีเดีย คือเครื่องมือในการโปรโมทสติกเกอร์ที่สามารถสร้างการจดจำกับฐานแฟนได้ดีมาก
6. เทรนด์การ “แสดงความรู้สึก” ยอดนิยมผ่านสติกเกอร์ในญี่ปุ่นได้แก่  1) ขอบคุณ 2) It’s OK 3) หัวเราะด้วยท่าทางโอเวอร์ 4) กอด 5) แอบมอง แอบดู
7. หากต้องการทำตลาดในต่างประเทศ หนึ่งในคำแนะนำคือไม่จำเป็นต้องมีตัวอักษรในสติกเกอร์เพราะต่างภาษาของผู้ใช้ และความคุ้นเคยของลักษณะตัวอักษรอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
8. แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนการสร้างสรรค์งานมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด การวาดลายเส้นด้วยมือยังคงเป็นคุณค่าที่ผู้ใช้มองหาและไม่สามารถแทนที่ได้ด้วย AI





             สูตรสำเร็จสร้าง “คาแรคเตอร์ท้องถิ่น” ขวัญใจนักท่องเที่ยว

             นอกจากนี้ Arakawa Fukasaku จาก Japanese Local Character Association ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมองค์ความรู้และเครือข่ายคาแรคเตอร์ทั่วประเทศญี่ปุ่น ยังเผยอีกว่า “การปั้นคาแรคเตอร์ท้องถิ่นให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องสร้างเอกลักษณ์ เข้าไปอยู่ในใจคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้ ที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการออกแบบ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของชาวเมือง คำนึงถึงการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นมาสคอตหรือรูปปั้น ไปจนถึงทำการตลาด โฆษณา เพื่อโปรโมตให้คาแรคเตอร์นั้นเป็นที่รู้จักและรักษาความนิยมอย่างต่อเนื่อง”




             คาแรคเตอร์ท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะเป็นรูปสัตว์ เช่น สุนัข แมว หมี กระต่าย และกระรอก ขณะที่ “นก” จะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังมักนำสิ่งที่มีชื่อเสียงหรือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนั้นๆ มาประกอบรวมกัน โดยโทนสีที่นิยมคือ โทนสีอ่อน สบายตา อย่างสีเขียว ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งนี้ควรตั้งชื่อที่จำง่าย มีอิมแพค ให้ความรู้สึกสดใส และที่สำคัญควรต่อยอดไปสู่การพัฒนาเป็นสินค้า เช่น ตุุ๊กตา ฟิกเกอร์ เสื้อ เข็มกลัด กระเป๋าผ้า พวงกุญแจ ให้น่าใช้ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบสามารถเก็บสะสมได้ เป็นการตรึงความนิยมไปอีกยาวๆ




             เปิดเส้นทางบันดาลใจ ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสุดยอดครีเตอร์ไทย

             ทริปครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Dream Design Deliver: The Inspiration Experience เปิดโลกบันดาลใจสู่การสร้างสรรค์ LINE STICKERS พาสุดยอดครีเอเตอร์ไทยผู้ชนะแคมเปญ ไปเติมเต็มแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น เมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะ หรือ "Little Edo" ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์และการผสมผสานระหว่างอดีตและอนาคตสร้างสรรค์งานเชิงวัฒนธรรมร่วมสมัยได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นไปเปิดโลกจินตนาการให้โลดแล่นที่ Moomin Valley Park ธีมพาร์คที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครมูมินจากฟินแลนด์ ก่อนจะดำดิ่งสู่โลกของมังงะและไลท์โนเวลที่พิพิธภัณฑ์ Kadokawa Musashino Manga Ranobe Library เรียนรู้วิวัฒนาการของการเล่าเรื่อง ตัวละคร และศิลปะ ที่ช่วยเสริมกระบวนการสร้างสรรค์งานสติกเกอร์ ต่อด้วยย่านอากิฮาบาระ สวรรค์ของวัฒนธรรมเกมและซับคัลเจอร์ญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยพลังและสีสันของชีวิตที่หลากหลาย พร้อมเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบสำหรับการสร้างสรรค์สติกเกอร์ที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ณ ย่านชิบูย่า ศูนย์กลางสีสันของวัยรุ่นของญี่ปุ่น และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะจิฮิโระ สัมผัส ความทรงพลังของดีไซน์ที่เรียบง่ายและกินใจ แล้วปิดท้ายที่ Sunshine City สวรรค์สายคาแรคเตอร์โดยเฉพาะ

             ทั้งหมดนี้ คือ ส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษ ที่ LINE จัดเต็มเพื่อปลุกพลังไอเดียสร้างสรรค์ ปลดล็อกสกิลที่มี ให้นำมาต่อยอดผลงานสร้างสรรค์ของตัวเองผ่าน LINE STICKERS ที่สามารถ “เติมความสนุกทุกการแชท” กันแบบไม่ตกเทรนด์

3
SCGC ผนึกกำลัง ทช. เร่งเครื่องจัดการปัญหาขยะทะเล เน้น Up-Scale และ Up-Speedพร้อมส่งมอบ”ทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลล่าสุด” ป้องกันขยะสู่ทะเล


กรุงเทพ, ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ – 21 มกราคม 2568 : เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน นำโดย นางสาวน้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร   แบรนด์และกิจการเพื่อสังคม ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดย ดร.ปิ่นสักก์  สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมระดมความคิดเพื่อฟื้นฟูและดูแลระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งการจัดการปัญหาขยะทะเล โดยเน้นกลยุทธ์ Up-Scale และ Up-Speed เพื่อเร่งขยายผลในโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่าง SCGC และ ทช. อาทิ ทุ่นกักขยะลอยน้ำ  บ้านปลา การปลูกป่าชายเลน

[

พร้อมกันนี้ SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ล่าสุด “SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3” จำนวน 25 ชุด ให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปกักขยะลอยน้ำบริเวณปากแม่น้ำลำคลองสาขาต่าง ๆ ไม่ให้หลุดรอดสู่ทะเล โดยระหว่างปี 2563 จนถึงปี 2567 (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะฯ ไปแล้วกว่า 50 ชุด ติดตั้งใน 17 จังหวัด สามารถลดปริมาณขยะบกไหลลงสู่ทะเลได้กว่า 90 ตัน ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับระบบนิเวศทางทะเล


สำหรับ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ : SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3 ได้ออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน สามารถลดน้ำหนักทุ่นได้กว่า 50% ประกอบติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ขนส่งในปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยวจึงช่วยลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ สามารถรองรับน้ำหนักขยะได้กว่า 700 กิโลกรัมต่อตัว อายุการใช้งานยาวนานกว่า 25 ปี แม้วางอยู่กลางแสงแดด เนื่องจากวัสดุที่นำมาใช้เป็นพลาสติก HDPE เกรดพิเศษเช่นเดียวกับที่ใช้ใน SCGC Floating Solar Solutions จึงมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด




ทั้งนี้ SCGC ได้ร่วมกับ ทช. และภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมเยาวชน The Youth Fund สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มปิโตรเคมี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ องค์กร AEPW (Alliance to End Plastic Waste) ขับเคลื่อนภารกิจพิทักษ์ทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โดย SCGC ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนามาสร้างสรรค์ “นวัตกรรมเพื่อพิทักษ์ทะเล” (Innovation for Better Marine) อาทิ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ บ้านปลาเอสซีจีซี รวมทั้งร่วมก่อตั้งเครือข่าย “Nets Up” โมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อทะเลยั่งยืน เปลี่ยนอวนประมงที่ไม่ใช้แล้ว สู่ Marine Materials วัสดุทางเลือกใหม่จากนวัตกรรมรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังได้นำพนักงานจิตอาสาร่วมเก็บขยะชายหาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่าน มีจิตอาสากว่า 2,000 คน สามารถเก็บขยะชายหาดได้กว่า 3 ล้านตัน

4
Maison Berger Paris เปิดตัวคอลเลคชันล่าสุดรับปีใหม่ GEODE Collection
ครบเซ็ตทั้ง ตะเกียงน้ำหอม ก้านกระจายความหอม และ เทียนหอม


              เมซอง แบร์เช่ ปารีส (Maison Berger Paris) ผู้นำด้านเครื่องหอมสำหรับบ้านเกรดพรีเมียมจากประเทศฝรั่งเศส ขอแนะนำคอลเลคชันใหม่ GEODE Collection ออกแบบด้วยความชำนาญจากช่างฝีมือฝรั่งเศส Armand Delsol กับลวดลายสามเหลี่ยมที่สานอยู่รอบตัวผลิตภัณฑ์ ให้ความหรูหราและมีสไตล์ รูปทรงชวนให้นึกถึงผลทับทิม เต็มไปด้วยความสวยงาม สามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการ อาทิ ตะเกียงน้ำหอม ก้านกระจายความหอม เทียนหอม โดยตะเกียงน้ำหอม เมซอง แบร์เช่ ปารีส ยังมาพร้อมคุณสมบัติกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน ช่วยฟอกอากาศให้สะอาดสดชื่น ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และมีกลิ่นน้ำหอมให้เลือกมากที่สุดกว่า 65 กลิ่น เติมเต็มความสุขทุกการพักผ่อนในบ้าน โปรชันรับปีใหม่ ตั้งแต่วันนี้ – 23 มกราคม 2568








·       ชุดตะเกียงน้ำหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ฟ้า ขาวขุ่น แดง พิเศษ 2,536 บาท (จากราคา 3,170 บาท) รับฟรีน้ำหอม ขนาด 500 มิลลิลิตร 2 ขวด

·       ก้านกระจายความหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ GEODE Bleue Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Under the Olive Tree, GEODE Givre Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Cotton Caress, GEODE Paprika Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Land of Spices พิเศษ 1,904 บาท (จากราคา 2,380 บาท)

·       เทียนหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ GEODE Bleue Scented Candle พร้อมกลิ่น Under the Olive Tree, GEODE Givre Scented Candle พร้อมกลิ่น Cotton Caress, GEODE Paprika Scented Candle พร้อมกลิ่น Land of Spices พิเศษ 1,344 บาท (จากราคา 1,680 บาท)

              สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ร้าน Maison Berger Paris และช่องทางออนไลน์ Facebook: MaisonBergerThailand, LINE: @maisonbergerthai, IG: maisonbergerthailand,www.maisonbergerthailand.com, Lazada, Shopee, ShopSabuy และ Tiktok หรือ โทร. 02-672-2088

5
“อาฒยา” พร้อมเหล่าท็อปเท็นโลกร่วมชิงชัยศึก “เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” ที่สิงคโปร์


สิงคโปร์, 20 มกราคม 2568 –  “จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล พร้อมโปรสาวท็อปเท็นของโลกนำทัพนักกอล์ฟชั้นนำลงสู้ศึก “เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” ที่สนามเซนโตซา กอล์ฟ คลับ ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคมนี้ (ภาพ: Getty Images/HSBC)

แอลพีจีเอทัวร์จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการ เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นปีที่ 17 และได้รับการยกย่องว่าเป็น “เมเจอร์หญิงแห่งเอเชีย” โดยปีนี้ได้รับการตอบรับจากเหล่ายอดฝีมือแถวหน้าของโลกตบเท้าเข้าชิงชัยนำโดยโปรสาวมืออันดับท็อปเท็นของโลกถึง 9 คน ได้แก่ หยิน รัวหนิง มือ 2 ของโลกจากจีน, ลิเดีย โค มือ 3 ของโลก และเจ้าของ 3 แชมป์เมเจอร์ จากนิวซีแลนด์, ลิเลีย วู มือ 5 ของโลกจากสหรัฐฯ, ฮันนาห์ กรีน มือ 6 ของโลกจากออสเตรเลีย ในฐานะแชมป์เก่า ซึ่งทั้งสี่ยืนยันลงแข่งขันไปก่อนหน้านี้

รวมถึงล่าสุดผู้เล่นสาวแถวหน้าอีก 5 คน ยืนยันร่วมประชันฝีมือได้แก่ อาฒยา ฐิติกุล มือ 4 โลก ขวัญใจชาวไทย, แฮรัน ยู มือ 7 โลกจากเกาหลีใต้, อายากะ ฟุรุเอะ มือ 8 โลกจากญี่ปุ่น, เซลีน บูติเยร์ มือ 9 โลกจากฝรั่งเศส และชาร์ลีย์ ฮัลล์ มือ 10 โลกจากอังกฤษ ซึ่งผู้เล่นทั้งหมดครองชัยชนะในแอลพีจีเอรวมกันได้ถึง 54 ครั้ง และเป็นแชมป์เมเจอร์ 9 รายการ


จีโน่-อาฒยา ฐิติกุล ซึ่งปีที่แล้วโชว์ผลงานได้น่าประทับใจเมื่อจับคู่กับ หยิน รัวหนิง คว้าแชมป์กอล์ฟทีมดาว แชมเปี้ยนชิพ ในเดือนมิถุนายน และปิดฤดูกาลด้วยแชมป์ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ เมื่อเดือนพฤศจิกายน จะลงสู้ศึก เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นครั้งที่ 4 โดยเป็นการกลับมาแข่งขันรายการนี้อีกครั้งหลังจากพลาดลงเล่นในครั้งที่แล้วเนื่องจากอาการบาดเจ็บ เจ้าตัวเผยว่า “รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปแข่งขันเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ อีกครั้ง ทัวร์นาเมนท์นี้เป็นหนึ่งในรายการโปรดมาโดยตลอด และการได้เล่นที่สนามเซนโตซ่า กอล์ฟ คลับ ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก การพลาดโอกาสลงเล่นเมื่อปีที่แล้วทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นที่จะกลับไปที่นั่นในปีนี้ และรอคอยที่จะได้ไปเยือนประเทศที่ตนชื่นชอบอีกครั้ง”

ทางด้าน คี จู หว่อง ซีอีโอของเอชเอสบีซี สิงคโปร์ กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นนักกอล์ฟหญิง 10 อันดับแรกของโลกถึง 9 คนเข้าร่วมการแข่งขันเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2025 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคุณภาพของทัวร์นาเมนท์นี้ อีกทั้งยังเป็นรายการที่ดึงดูดความสนใจ เราแทบรอไม่ไหวที่จะได้ต้อนรับเหล่านักกีฬาระดับโลกสู่ศูนย์กลางระดับโลกที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อตอกย้ำการเป็นรายการเมเจอร์แห่งเอเชียที่ยิ่งใหญ่อีกรายการหนึ่ง”

สำหรับกอล์ฟรายการเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ แข่งขันแบบสโตรกเพลย์ 4 วัน 72 หลุม ไม่มีการตัดตัว โดยในการแข่งขัน 16 ครั้งที่ผ่านมามีผู้ชนะเป็นแชมป์เมเจอร์ถึง 14 คน ชิงชัยที่สนามเซนโตซา กอล์ฟ คลับ ตันจงคอร์ส สนามที่เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในวงการกอล์ฟ และยังได้รับรางวัล “สนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในเอเชีย” รวมถึง “สนามกอล์ฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในเอเชีย” และ “สนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในสิงคโปร์” จากการประกาศรางวัลของ เวิลด์ กอล์ฟ อวอร์ดส์ ปี 2024           

ข้อมูลเพิ่มเติมการแข่งขัน เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ได้ที่เว็บไซต์
www.hsbcgolf.com/womens

6
"บินล่าฝัน”ภาพยนตร์พลังบวกที่สร้างแรงบันดาลใจ ดูเพลินที่ทรูโฟร์ยู ช่อง 24


             “บินล่าฝัน” (A Time to Fly) ภาพยนตร์ฟิลกู๊ดที่สร้างพลังใจและฮีลใจ ทำให้ใจฟูด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ “หม่อง ทองดี” เด็กชายไร้สัญชาติที่ฝันอยากเป็นคนไทยเต็มตัว เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลนในชีวิต โดยเฉพาะสัญชาติและอิสระเสรี ซึ่งกำกับและเขียนบทโดย นายศักดิ์ศิริ คชพัชรินทร์ โดยมี โบกี้-ศุภัช ท้าวสกุล รับบทเป็น หม่อง ทองดี ในวัยเด็ก และ แมน-ธฤษณุ สรนันท์ รับบท วีระ ครูผู้ช่วยสานฝันให้เด็กชายหม่อง








             เริ่มต้นเส้นทางบินล่าฝันของหม่อง ทองดี ในช่วงวัย 7-8 ขวบ ที่ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนบ้านห้วยทราย จังหวัดเชียงใหม่ ไปร่วมแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับระดับภูมิภาค และชนะจนได้เป็นตัวแทนระดับประเทศไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อการแข่งขันเริ่มใกล้เข้ามา แต่ทางรัฐบาลไทยปฏิเสธการออกเอกสารการเดินทางให้กับเด็กไร้สัญชาติ ทำให้เหล่าบรรดาคุณครู อาจารย์ นักกฎหมาย นักข่าว และประชาชนทั่วไปรวมตัวและพยายามเรียกร้องจากทางภาครัฐให้เด็กด้อยโอกาสได้มีโอกาสเดินตามความฝัน จนในที่สุดเด็กชายหม่อง ทองดี ใช้เวลา 19 วินาทีในการแข่งเครื่องบินกระดาษพับและสามารถคว้าแชมป์ให้กับประเทศไทย เขาใช้เวลาถึง 20 ปี ที่จะก้าวมาเป็น “วีรบุรุษเครื่องบินกระดาษ” ห้ามพลาดชมหนังฟิลกู๊ด "บินล่าฝัน” กับช่วงมูฟวี่พรีเมียร์ ปักหมุดหนังใหม่ วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคมนี้ เวลา 18.40 น. ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และ https://true4u.com/live

# ATimeToFly
#บินล่าฝัน
#ทรูโฟร์ยู#ช่อง24#True4U

7
ที่ศูนย์การค้าแพลทินัมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน - วาเลนไทน์ ชวนอิ่มอร่อยสุดคุ้ม
กับโปรโมชั่น DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER


ศูนย์การค้าแพลทินัม ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน - วาเลนไทน์ จัดโปรโมชั่น DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER ชวนอิ่มอร่อยสุดคุ้ม กับร้านอาหารชื่อดังมากมายที่ยกขบวนกันมามอบส่วนลด พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสุดคุ้ม อาทิ


• ร้าน Ali's Thai Halal ลดทันที 10% เมื่อรับประทานอาหารที่ร้านครบ 500 บาท
• ร้าน ZOOK ZAAP 56 ลดทันที 150 บาทเมื่อรับประทานอาหารที่ร้านครบ 300 บาท ยกเว้น เครื่องดื่ม
• ร้าน ปังสยาม รับฟรีคูปองส่วนลด 10 บาท สำหรับทุกเมนูเครื่องดื่ม เมื่อซื้อสินค้าครบ 120 บาท
•  ร้าน Mango Siam จับคู่เซตเมนูพิเศษเพียง 129 บาท หรือเมื่อซื้อ Mango Smoothies (129 บาท)
   คู่กับ Mango Sticky Rice Size S (70 บาท)
• ร้าน My Avocado รับส่วนลดเครื่องดื่มแก้วละ 5 บาท เมื่อสั่งเมนูน้ำปั่นทุกเมนู
• ร้าน Durian Story รับส่วนลด 20 บาททุกเมนู เพียงแจ้งโค้ดลับ " I Love Durian"
• ร้าน IYARA FRUITS ซื้อผลไม้พร้อมทาน 1 แพค แถมฟรี 1 แพ็ค







และร่วมเติมเต็มความสุขกับร้านอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายที่ร่วมรายการอีกมากมาย พร้อมรับสิทธิพิเศษ สุดคุ้ม! เพียงนำโบรชัวร์โปรโมชั่นมาแสดงที่ บูธจันทร์แก้ว รับทันที ยาดมสมุนไพรจันทร์แก้ว มูลค่า 59 บาท ฟรี 1 กระปุก ยาดมสมุนไพรแท้ที่ผสานภูมิปัญญาไทยจากตำนานสู่ศาสตร์สมุนไพร ให้คุณสดชื่น หอมละมุน พร้อมเติมพลังตลอดวัน เชิญสัมผัสเสน่ห์สมุนไพรไทยและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่งานนี้เท่านั้น!






พลาดไม่ได้! ชวนมาร่วมอิ่มอร่อยสุดคุ้มกับโปรโมชั่นพิเศษ DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER พร้อมรับชมการแสดงวงกลองยาวและนางรำประยุกต์ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ ช่วงเวลา 12.00 – 15.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โซน SAWASDEE FOODIE HUB ชั้น 5 ศูนย์การค้าแพลทินัม ติดตามรายละเอียดร้านค้าและโปรโมชั่นที่น่าสนใจได้ที่ FB: Platinum Fashion Mall แพลทินัม แฟชั่น มอลล์

8
ทีเส็บ ปั้นโครงการ MICE Coffee Break ชุมชน ภาคกลางและภาคตะวันออก พลิกโฉมเมนูอาหารว่างจากวัตถุดิบประจำถิ่น สู่เมนูสร้างสรรค์ “MICE Coffee Break ชุมชน” เปิดประตูชุมชนสู่โอกาสใหม่ในธุรกิจการจัดประชุมสัมมนา




นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ โครงการ MICE Coffee Break ชุมชน ภาคกลางและภาคตะวันออก ปี 2567 มีเป้าหมาย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเมนูอาหารพื้นบ้านที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น โดยร่วมกับชุมชนนำเอาวัตถุดิบมารังสรรค์เมนูใหม่ยกระดับสู่อุตสาหกรรมไมซ์ เป็นเมนู MICE Coffee Break ชุมชน เพื่อการจัดประชุมสัมมนา สร้างโอกาสให้ชุมชนในภูมิภาคของประเทศไทย สามารถก้าวเข้าสู่ห่วงโซ่ธุรกิจอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ได้อย่างมีคุณภาพ สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา

โดยในภาพรวมอุตสาหกรรมไมซ์ไทย ปี 2567 เติบโตกว่า 5% มีนักเดินทางไมซ์ กว่า 25,350,288 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักเดินทางไมซ์ 148,341 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางไมซ์จากต่างประเทศ 1,160,569 คน สร้างรายได้ 69,594 ล้านบาท และนักเดินทางไมซ์ในประเทศ 24,189,719 คน สร้างรายได้ 78,747 ล้านบาท สำหรับปี 2568 ทีเส็บ มีแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทย พัฒนา “แบรนด์ประเทศไทย” ในฐานะ “จุดหมายปลายทางของการจัดงานไมซ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง” (High Value-Added MICE Destination) โดยนำ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) มาช่วยยกระดับประสบการณ์ให้กลุ่มนักเดินทางไมซ์ ซึ่งทีเส็บได้กำหนดเป้าหมายสิ้นปีงบประมาณ 2568 ประเทศไทยจะมีนักเดินทางไมซ์ทั้งต่างประเทศและในประเทศ รวมทั้งสิ้น 34,000,000 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักเดินทาง 200,000 ล้านบาท


การดำเนินโครงการ MICE Coffee Break ชุมชน ภาคกลางและภาคตะวันออก ประกอบด้วยกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่การคัดเลือกเฟ้นหาชุมชนเข้าร่วมโครงการฯ โดยมีคณะกรรมการพิจารณาเกณฑ์และคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการฯ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาอาหารและไมซ์ มีวิสาหกิจชุมชนสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 75 ชุมชน ผ่านเกณฑ์คัดเลือกเบื้องต้น จำนวน 60 ชุมชน จาก 20 จังหวัด และมีการจัดสัมภาษณ์คัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการฯ ในระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2567 โดยมีวิสาหกิจชุมชนผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 35 ชุมชน จาก 15 จังหวัด ทั้งจากภาคกลางและภาคตะวันออก รวมจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ 89 คน ประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้


1) กิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการพัฒนาเมนู Coffee Break เพื่อการประชุม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 22 พฤศจิกายน 2567 เพื่อสร้างองค์ความรู้และทักษะในการยกระดับเมนูอาหารว่างท้องถิ่นสู่เมนู MICE Coffee Break เพื่อการประชุม โดยมีเนื้อหาครอบคลุม ความเข้าใจในอุตสาหกรรมไมซ์ การถ่ายทอดเรื่องราว (Storytelling) การทำการตลาดและสร้างแบรนด์ เทคนิคการเจรจาธุรกิจ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านอาหาร การจัดและประดับตกแต่งเมนูอาหารว่าง การบริหารจัดการต้นทุนและการตั้งราคา การยืดอายุผลิตภัณฑ์อาหาร มาตรฐานอาหารปลอดภัย เป็นต้น


2) กิจกรรมการประกวดแข่งขัน MICE Coffee Break ชุมชน ภาคกลางและภาคตะวันออก จัดขึ้นในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดเมนูอาหารว่าง MICE Coffee Break มีวิสาหกิจชุมชนที่ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ สมัครเข้าแข่งขัน จำนวน 30 ชุมชน โดยคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากอุตสาหกรรมไมซ์ อุตสาหกรรมอาหาร และกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารระดับประเทศ ประกอบด้วย รางวัล MICE Coffee Break ชุมชน ประเภท Excellence Award 2024 จำนวน 1 รางวัล ซึ่งได้รับโล่รางวัลและเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวตำบลตะเคียนเตี้ย จังหวัดชลบุรี จากเมนูขนมดอกมะพร้าว


และรางวัล MICE Coffee Break ชุมชน ประเภท Best Award 2024 จำนวน 4 รางวัล ซึ่งได้รับโล่รางวัลและเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ได้แก่ (1.) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรบ้านตม จังหวัดชลบุรี จากเมนูเฟื่องสุข (2.) วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเมืองสาปยา จังหวัดชัยนาท จากเมนูมัจฉาหมี่กรอบ (3.) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกแตงโม และผักผลไม้ปลอดสาร จังหวัดชลบุรี จากเมนู Melon Romance และ (4.) วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมอาชีพผู้เลี้ยงชันโรงบ้านทับมา จังหวัดระยอง จากเมนูเกสรซ่อนกาย


3) กิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดเจรจาธุรกิจ (Business Matching) จัดขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2567 จับคู่ธุรกิจระหว่างวิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 33 ชุมชน และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ ช่วยสร้างโอกาสในการขยายช่องทางการตลาดและสร้างรายได้ที่มั่นคงในอนาคต โดยมีผู้ประกอบการจากหน่วยงานภาคเอกชน สมาคม และธุรกิจโรงแรมและที่พัก เข้าร่วมกว่า 40 ราย เกิดการเจรจาจับคู่ธุรกิจ จำนวน 218 คู่ธุรกิจ ประมาณการมูลค่าที่เกิดขึ้นจากการจองซื้อเมนู MICE Coffee Break วัตถุดิบท้องถิ่น และการใช้บริการที่เกี่ยวเนื่อง คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 3 ล้านบาท


โครงการนี้จะช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ และแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในการพัฒนาวัตถุดิบและเมนูอาหารพื้นบ้านที่มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล บนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ ความปลอดภัยทางอาหาร ความสม่ำเสมอ และการยกระดับสู่ธุรกิจบริการอาหารมืออาชีพ ถือเป็นการนำกลยุทธ์ “ซอฟต์พาวเวอร์” (Soft Power) พร้อมเชื่อมโยงโอกาสทางการตลาดกับภาคธุรกิจการจัดงานประชุมสัมมนาหรืออุตสาหกรรมไมซ์ เป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต สร้างงาน สร้างรายได้ที่ยั่งยืนได้ในที่สุด” นายจิรุตถ์ กล่าว


ด้าน ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวถึงการดำเนินงานภายใต้โครงการบูรณาการเพื่อยกระดับวัตถุดิบและวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านชุมชนสู่เมนู Coffee Break เพื่อการประชุม (MICE Coffee Break ชุมชน) เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และผลผลิตของโครงการ ผ่านการนำเสนอเอกลักษณ์และความหลากหลายของวัตถุดิบท้องถิ่น มานำเสนอเป็นเมนูอาหารว่างท้องถิ่น MICE Coffee Break มาผสานเข้ากับมาตรฐานปรุงที่สม่ำเสนอ การบริการบนมาตรฐานความปลอดภัยและสุขลักษณะทางอาหารได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งสร้างสรรค์แนวทางที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจ โดยการจัดหลักสูตรการประชุมเชิงปฏิบัติการ ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราว (Storytelling) การจัดจานและกล่องอาหาร การจัดทำคู่มือมาตรฐานเชิงปฏิบัติการ (Standard Operation Procedure, SOP) เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอของการปรุงอาหารว่างในทุกเมนู พร้อมทั้งเรียนรู้การบริหารจัดการต้นทุนและการตั้งราคา เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจ ต่อยอดสู่แนวทางการแปรรูปให้สามารถยืดอายุเป็นของขวัญของฝากได้อย่างมีมาตรฐาน ความปลอดภัยอาหาร




“นอกจากวิสาหกิจชุมชนจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากโครงการนี้แล้ว จากกิจกรรมส่งเสริมการขายและการตลาดเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่จัดประชุมเสวนา ผู้ประกอบการด้านธุรกิจบริการ ร้านอาหาร โรงแรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นโอกาสที่ดีที่หลายภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของธุรกิจชุมชน ร่วมกันสร้างสรรค์ สร้างโอกาสใหม่ๆ ต่อยอดขยายเครือข่ายธุรกิจของชุมชนที่มีให้มีความเข้มแข็งและมีมาตรฐานสากล สามารถเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมไมซ์ได้สำเร็จตามเป้าหมายของโครงการฯ” ดร.ศุภวรรณ กล่าว




โครงการ MICE Coffee Break ชุมชนภาคกลางและภาคตะวันออก ยังได้มีการจัดทำ Guideline book เพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในการสร้างเมนูอาหารว่างเพื่อการประชุม MICE Coffee Break เพื่อใช้ในการต่อยอดให้แก่วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารจากวัตถุดิบท้องถิ่นให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่สามารถแข่งขันในตลาดไมซ์ ทั้งในและต่างประเทศ การสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารช่วยสร้างอาชีพและเสริมสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและการรับรู้ถึงคุณค่าของวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นต่อไป

9
“เรวัต อารีรอบ” ยกทีมเปิดเวทีปราศรัยใหญ่  ยืนยัน “ทำจริง ไม่ขายฝัน”
ชูนโยบายหลักแก้ปัญหาจราจร เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ มั่นใจชาวภูเก็ตเทคะแนน  หลังเห็นผลงานที่ผ่านมา


วันที่ 19 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น. ทีมภูเก็ต หยัดได้ จัดเวทีปราศรัยใหญ่ ประเดิมเปิดเวทีการปราศรัยจาก นายเรวัต อารีรอบ ผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต หมายเลข 1 พร้อมร่วมแสดงพลัง เปิด 8 นโยบายในการพัฒนาเมืองภูเก็ต ให้คนภูเก็ต “หยัดได้” (เชื่อถือได้) จากจุดแข็ง “หยัดได้ ไปต่อ” สานต่องานเก่าให้สำเร็จ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายปั้นภูเก็ตให้เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองน่าดู ซึ่งบรรยากาศคึกคัก มีประชาชนชาวภูเก็ตมาร่วมรับฟังการปราศรัยพันกว่าคน จนพื้นที่ห้องแน่นขนัด ย้ำชูนโยบายหลักแก้ไขปัญหาจราจร พร้อมให้ความสำคัญคนรุ่นใหม่ ส่งนโยบาย New Next Gen เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงาน และสร้างแรงบันดาลใจ สนับสนุนงานคราฟท์ (Craft) และ เทศกาล (Festivals) ต่างๆในภูเก็ตให้ทันยุคสมัย


นายเรวัต อารีรอบ ผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต หมายเลข 1 กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลอด 4 ปี ที่เข้ามารับหน้าที่นายก อบจ.ภูเก็ตตั้งแต่ ปี 2564 –  2567 เริ่มตั้งแต่การต่อสู้กับวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก รวมถึงจังหวัดภูเก็ตที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วงนั้นได้ทำงานแบตั้งรับและทำงานเชิงรุก การจัดตั้งศูนย์ Quarantine โรงพยาบาลสนาม จัดหาวัคซีนให้ชาวกูก็ตอย่างทั่วถึง จนกระทั่งสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเวลานั้น รวมถึงการที่ อบจ. ภูเก็ต มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้จังหวัดภูเก็ตของเราสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยว ทำให้จังหวัดภูเก็ตสามารถฟื้นตัวได้เร็ว หลังจากนั้น ปี 2566 - 2567 การทำงานของ อบจ.ภูเก็ต จะเน้นการผลักคันโครงการต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ด้านสิ่งแวดล้อม และรับมือกับความท้าท้ายใหม่ คือ การแก้ไขปัญหาจราจร ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ชาวภูเก็ตกำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้


สำหรับศึกการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ทีม “ภูเก็ต หยัดได้” นำโดย นายเรวัต อารีรอบ ผู้สมัคร นายก อบจ.ภูเก็ต หมายเลข 1 ชูนโยบายและแผนการพัฒนาจังหวัดภูเก็ต โดยได้รวบรวมนโยบายที่ครอบคลุมทุกด้านเพื่อพัฒนาภูเก็ตอย่างยั่งยืน นโยบายเหล่านี้รวมถึงการสานต่อโครงการเดิมและผลักดันแนวคิดใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งการดูแลสุขภาพ การศึกษา การพัฒนาสำหรับคนรุ่นใหม่ และอื่นๆอีกมากมาย ทำให้เกิด 8 นโยบาย พร้อมยืนยัน “ทำจริง ไม่ขายฝัน”


1. นโยบายเแก้ไขปัญหาจราจร  ขยายเส้นทางการเดินรถขนส่งมวลชนสู่จุดหมายใหม่ ผลักดันโครงการถนนคู่ขนานเทพกระษัตรี และพัฒนาถนนสายรองและเส้นทางสำรอง ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหานี้ต้องดำเนินการในหลากหลายด้าน เพื่อให้การเดินทางในจังหวัดสะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2. นโยบายเตรียมพร้อมภูเก็ตกรณีเกิดภัยพิบัติและความปลอดภัย  Phuket Alert ระบบเตือนภัยอัจฉริยะ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประจำอำเภอ พัฒนาถนนสายรองและเส้นทางสำรอง การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับภัยพิบัติ ซึ่งจะทำให้ภูเก็ตจะมีความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืนในอนาคต



3. นโยบายสาธารณสุข ต่อยอดโครงการ “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” พร้อมระบบการแพทย์ทางไกล Telemedicine ครอบคลุมทั้งจังหวัด    ยกระดับการบริการศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน 1669 เพิ่มศูนย์ฟอกเลือดด้วยไตเทียมในทุกอำเภอ ศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงวัย  ยกระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ยกมาตรฐานแพทย์แผนไทยสู่สากล ช่วยให้ภูเก็ตกลายเป็นจังหวัดที่มีระบบสุขภาพที่ครอบคลุมและมีคุณภาพ ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับการดูแลที่ดีที่สุด ทั้งในด้านการรักษา การป้องกัน และการส่งเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน

4. นโยบายการศึกษา ผลักดันการศึกษาให้เยาวชน ก้าวล้ำสู่ยุค AI อย่างสร้างสรรค์ สร้างโรงเรียนต้นแบบแห่งการเรียนรู้คุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เน้นการพัฒนาทักษะใช้ได้จริง ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลก ภูเก็ตจะสามารถพัฒนาเยาวชนและประชาชนให้มีทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล และมีการศึกษาที่ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง



5. นโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อความสมดุลของธรรมชาติและชุมชน มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ปกป้องทรัพยากรทางทะเล เสริมพลังประชาชนและองค์กรท้องถิ่น ร่วมกันสร้างภูเก็ตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

6. นโยบายสุขภาพและกีฬา ส่งเสริมสนามกีฬามาตรฐานครบทุกอำเภอ พร้อมพื้นที่สันทนาการ ผลักดันภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพ (Phuket Wellness Destination) ส่งเสริมกีฬาทางเลือก สานต่อนโยบาย 3 อ. เพื่อลดโรค NCDs  พร้อมมุ่งสู่เมืองแห่งสุขภาพและกีฬา ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้อย่างเท่าเทียม ร่วมสร้างอนาคตที่แข็งแรงและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับคนภูเก็ตและผู้มาเยือน!



7.นโยบายเศรษฐกิจ ผลักดันมหกรรมและเทศกาลนานาชาติ ส่งเสริมประเพณี ศิลปะ และวัฒนธรรมสู่สากล ส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม พัฒนาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ผลักดันสินค้าและอาหารท้องถิ่นสู่ตลาดสากล

8. นโยบาย “หยัดได้” Next New Gen สร้างศูนย์ TCDC Phuket  บ้านชาร์เตอร์แบงค์ จะเปิดให้บริการปลายปี 2568 พลิกฟื้นพื้นที่ สร้างคุณค่าให้ชุมชน สนับสนุนงานคราฟท์และเทศกาลร่วมสมัย พัฒนาทักษะอาชีพเพื่อคนทุกวัย ยกระดับการศึกษาเพื่ออนาคต โดยเน้นทักษะที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม นโยบายนี้ คือก้าวสำคัญในการพัฒนาภูเก็ตสู่เมืองแห่งโอกาส ที่ทุกคนสามารถเติบโตและสร้างอนาคตที่มั่นคงร่วมกัน



“เรามุ่งมั่นพัฒนาภูเก็ต ให้เป็นเมืองน่าอยู่ ผ่านนโยบายที่โปร่งใส่และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน เพื่อให้ “ภูเก็ต” เติบโตอย่างยังยืน กับ ทีมภูเก็ต หยัดได้  เราพร้อมทำหน้าที่ต่อ เพื่อคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีของชาวภูเก็ต เราทำงานทุกวัน ทำจริง ไม่ขายฝัน” นายเรวัต กล่าวทิ้งท้าย

10
ยินดีนายกสมาคมนักเรียนเก่ามาแตร์เดอีวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์


             ได้ยินข่าวจากพี่น้องศิษย์เก่านักเรียนมาแตร์เดอี จึงต้องรีบขอแสดงความยินดีกับ คุณเอ๋ นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง ในโอกาสได้รับตำแหน่ง นายกสมาคมนักเรียนเก่ามาแตร์เดอีวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คนใหม่ล่าสุด เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่คุณเอ๋พร้อมทุ่มเทในการทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสมาคมด้วยความมุ่งมั่น ที่มีพลังขนาดนี้ก็ด้วยความรักและภาคภูมิใจในสถาบัน ขอส่งกำลังใจให้คุณเอ๋ด้วยค่ะ

11
เปิดศึกมวยปูนเสือ มวยไทยพันธุ์แท้ ครั้งที่ 24 นัดแรก สาย A รอบ 16 คน


             นายจมร เลขะกุล ผู้แทนปูนเสือ เป็นประธานในการตัดลิปบิ้นเปิดการแข่งขันศึกมวยปูนเสือ มวยไทยพันธุ์แท้ ครั้งที่ 24 สาย A รอบ 16 คน นัดแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2568 ที่เวทีมวยช่อง 7 สี โดยก่อนชก นายจมร เลขะกุล ผู้แทนปูนเสือ ให้เกียรติขึ้นคล้องพวงมาลัยเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักมวยทั้ง 2 คู่บนเวทีอีกด้วย ระหว่าง เงาอีที ปตท.ทองทวี (แดง) ดวลกับ แคมารูน ศิษย์ลมหนาว (น้ำเงิน) พิกัด 112 ปอนด์ และ เอเจ ก.กลมเกลียว (แดง) ดวลกับ เพชรรุ่งโรจน์ โชติบางแสน (น้ำเงิน) พิกัด 112 ปอนด์




สรุปผลมวยรอบปูนเสือ มีดังนี้

คู่ที่ 1. แคมารูน ชนะคะแนนนขาดลอย เงาอีที ปตท ทองทวี (แดง) พบกับ แคมารูน ศิษย์ลมหนาว (น้ำเงิน) ทั้งคู่เป็นมวยขวาด้วยกัน "แคมารูน" เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเตะขวาเข้าลำตัวจับปล้ำตีเข่าชัดเจน ช่วงท้ายๆ "เงาอีที" เดินเข้าหาพยามปล้ำตีเข่าแต่ไม่ชัดเจนกลับโดน "แคมารูน" จับตีเข่าได้ชัดเจนกว่าครบยก "แคมารูน" ชนะคะแนนขาดลอยท้ายๆ[/size




คู่ที่ 2. "เอเจ" เฉือนแต้ม เอเจ ก.กลมเกลียว (แดง) พบกับ เพชรรุ่งโรจน์ โชติบางแสน (น้ำเงิน) ต้นยกทั้งคู่ยังเชิงกัน "เอเจ" เดินเข้าเตะขวาเข้าลำตัว "เพชรรุ่งโรจน์" ต้องถอยมาตั้งหลักพยามเกินต่อยหมัดแต่ไม่ชัดเจน กลับโดน "เอเจ" ต่อยหมัดสลับฟันศอกเน้นๆปลายยก "เพชรรุ่งโรจน์" ไม่มีอะไรเสียต่อยหมัดอย่างเดียวแต่ไม่ชัดเจน ครบยก "เอเจ" เป็นฝ่ายชนะแนน






             สำหรับ "ศึกมวยรอบปูนเสือ มวยไทยพันธุ์แท้" ครั้งที่ 24 สาย B นัดแรก รอบ 16 คน ในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2568 เป็นการชกกันระหว่าง ยอดบัวงาม ลูกกันทระ (แดง) ดวลกับ รุ่งทะยานฟ้า ส.ยิ่งเจริญการช่าง (น้ำเงิน) พิกัด 112 ปอนด์ และ นําโชค บุญลานนามวยไทย (แดง) ดวลกับ ยอดเหล็กแหลม ต.พิทักษ์ชัย (น้ำเงิน) พิกัด 112 ปอนด์






             ช่อง 7 HD ทำการถ่ายทอดสด การแข่งขันให้แฟนมวยคนไทยและชาวต่างชาติเข้ารับชมและเชียร์กันได้ที่เวทีมวยช่อง 7 HD เวลา 14.30 น. เป็นต้นไป

12
ก้าวที่ยิ่งใหญ่! OLÁ BL&GL  THAILAND IN BRAZIL
พาซีรีส์วายและนักแสดงเผยศักยภาพวงการบันเทิงไทยสู่สายตาโลก
ปักหมุดโชว์ในบราซิลสมการรอคอยแฟนชาวลาติน!




จากกระแสความร้อนแรงของซีรีส์ Boy Love และ Girl Love หรือซีรีส์วาย ที่กำลังก่อตัวขึ้นในภูมิภาคลาตินอเมริกา กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ มูลนิธิไทย, และสมาคมส่งเสริมคอนเทนต์ วาย ไทย จึงได้ผนึกกำลังจัดโครงการ OLÁ BL&GL  THAILAND IN BRAZIL ในปี 2568 เพื่อขยายฐานแฟนคลับคอนเทนต์วายไทยในตลาดลาตินอเมริกา ผ่านการนำทีมผู้สร้างซีรีส์และนักแสดงวายไทยจากหลากหลายค่ายเดินทางไปจัดกิจกรรมแฟนมีต พบปะสื่อ และจับคู่ธุรกิจ ในระหว่างวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 และวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป (ตามเวลาท้องถิ่น) ณ Terra SP เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นฐานกำลังสำคัญของแฟนคอนเทนต์วายในภูมิภาคลาตินอเมริกา


              ในงานแถลงข่าว OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ มีทีมผู้สร้างซีรีส์ ค่ายบันเทิง และสื่อมวลชนจำนวนมากเข้าร่วม เป็นสักขีพยานถึงการเดินทางครั้งสำคัญของซีรีส์ Boy Love และ Girl Love ไทยสู่โลกลาตินอเมริกา โดยหลังจากที่พิธีกร โซล วีรเมธาชัย ได้แนะนำความเป็นมาของงาน OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL แล้ว มีการอุ่นเครื่องด้วยการแสดงร้องเพลงจากเหล่านักแสดงก่อนการเดินทางในครั้งนี้ บอกเลยว่าเป็นภาพที่หาชมได้ยากและจะสร้างความประทับใจให้แฟน ๆ ได้อย่างแน่นอน


              หลังจากนั้นคุณรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนภายในงาน โดยเน้นย้ำความมุ่งมั่นของกระทรวงการต่างประเทศในการส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทยให้ “รุกไปในระดับโลก” ตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติของรัฐบาล โดยเน้นบทบาทการ “สร้างความนิยมไทย” ในกลุ่มชาวต่างประเทศและ “ชี้เป้า” ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ โดยคุณปาณิดล ปัจฉิมสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ, อดีตเอกอัครราชทูตธฤต จรุงวัฒน์ เลขาธิการมูลนิธิไทย และคุณณพสิทธิ เที่ยงธรรม อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมคอนเทนต์ วาย ไทย ได้ร่วมเสวนาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของกระแสความนิยมในซีรีส์วายไทยทั่วโลก รวมถึงความตั้งใจในการส่งเสริมนักแสดงและอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในต่างประเทศ ซึ่งงาน OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ขับเคลื่อนวงการซีรีส์วายไทยในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง


              นอกจากกระทรวงการต่างประเทศ, มูลนิธิไทย, และสมาคมส่งเสริมคอนเทนต์ วาย ไทย เป็นผู้กำหนดทิศทางหลักของโครงการ OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL แล้ว โครงการนี้ยังผนึกกำลังของผู้ผลิตและนักแสดงซีรีส์วายไทยจากหลากหลายค่าย เพื่อแสดงให้โลกเห็นถึงพลังของซีรีส์วายไทยและศิลปินชาวไทยที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม โดยในงานแถลงข่าวนี้ก็ได้รับเกียรติจากตัวแทนผู้สร้างซีรีส์อย่าง คุณนภัสริญญ์ พรหมพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮโล โปรดักส์ชั่น จำกัด (HALO PRODUCTIONS), คุณศุภลักษณ์ มหาสุพรรณพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารศิลปิน และ สื่อประชาสัมพันธ์ บริษัท บีออนคลาวด์ จำกัด (BeOnCloud), คุณวรฤทธิ์ นิลกลม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ๙ หน้า โปรดักชั่น จำกัด (9Naa Production), คุณอธิภัทร อนุกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ฮอลลีวู้ด เอเชียน ไรซิ่ง สตาร์ จำกัด (Hollywood Jinloe), คุณนิรัติศัย ราษฎร์พิทักษ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายผลิตภาพยนตร์และซีรีส์ บริษัท เอฟอาร์ที เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (FRT Entertainment), คุณทักษญา ธีญานาถธนันชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองทัพ โปรดักชั่น จำกัด (Kongthup Production), คุณจตุพล สุธีสถาพร กรรมการผู้บริหาร บริษัท มีเดียเพล็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Mediaplex International), คุณวีรยุทธ แก้วจินดา ผู้อำนวยการฝ่าย 9 MCOT HD บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และ คุณโอ๊ต - สิทธิพร ห่วงแก้วพราย กรรมการผู้จัดการบริษัท คิดลึก จำกัด ในฐานะผู้ประสานงานหลักในไทยและบราซิล  โดยการเดินทางไปบราซิลในครั้งนี้ นอกจากแฟน ๆ ชาวลาตินจะได้ชมโชว์เคสสุดพิเศษจากนักแสดงแล้ว ในส่วนของค่ายผู้ผลิตฯ เอง จะมีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนในแถบลาตินอเมริกาจากงานอีเวนต์จับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching เพื่อเพิ่มโอกาสและต่อยอดความร่วมมือในอนาคตต่อไป จากนั้นผู้สร้างซีรีส์ได้พูดถึงเป้าหมายและการเตรียมการสู่งาน OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ตามลำดับ


              เมื่อการพูดคุยของตัวแทนผู้สร้างซีรีส์จบลง คุณโอ๊ต - สิทธิพร ได้เปิดคลิปสุดเซอร์ไพรส์จากแฟนคลับซีรีส์วายไทยประเทศบราซิล ที่ได้ฝากข้อความสุดประทับใจ และบอกเล่าความรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับงาน OLÁ BL&GL  THAILAND IN BRAZIL ที่พวกเขารอคอยมาในโอกาสนี้ สร้างความประทับใจให้นักแสดงที่ร่วมงานอย่างถ้วนหน้า โดยหลังจบคลิปของแฟนคลับชาวบราซิล ก็เป็นคิวของ 4 คู่นักแสดงซีรีส์ Boy Love และ Girl Love กระแสแรงที่ได้ขึ้นมาพูดคุยถึงการเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปร่วมสร้างโมเมนต์ดี ๆ ในงาน OLÁ BL&GL  THAILAND IN BRAZIL ไม่ว่าจะเป็น เจษ-เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์ และ ไบเบิ้ล -วิชญ์ภาส สุเมตติกุล นักแสดงนำจากซีรีส์ 4MINUTES, พี-เอกภพ ต๊ะตา และ ป้าน-จิรโชติ โชติทิฆัมพร นักแสดงนำจากซีรีส์ KISEKI ฤดูปาฏิหาริย์, มีมี่-ฤทัยภัทร พัทธนนปภังกร และ ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ นักแสดงนำจากซีรีส์ Buy My Boss และ เจ๋อ-วศิน ไตรประคอง กับ นิวเยียร์-นวพรรษ ธนมงคลสวัสดิ์ นักแสดงนำจากซีรีส์ Addicted Heroin บอกเลยว่า แต่ละคนนั้นเตรียมตัวมาอย่างดี และพร้อมพบปะแฟนสุด ๆ กับการขึ้นเวทีเสิร์ฟโมเมนต์เรียล ๆ ให้แฟนคลับแดนไกลได้รับประสบการณ์แสนสุขในครั้งนี้ ก่อนที่ผู้แทน 3 ภาคีหลัก รวมถึงผู้จัด ค่ายผู้สร้างซีรีส์ และ นักแสดงจะถ่ายรูปร่วมกัน




              นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแสดงสุดพิเศษจากนักแสดงค่าย 9Naa Production ทั้ง พี-เอกภพ ต๊ะตา, ป้าน-จิรโชติ โชติทิฆัมพร, ปลาย -ฉัตริน โชติทิฆัมพร และ พีเจ -กฤษณะ ปันใจ ที่นำ 3 บทเพลงรัก “ฝนตกไหม”, “คิด (แต่ไม่) ถึง” และ “กันและกัน” มาร้อยเรียงกลายเป็นโชว์ที่ทำให้หลายคนเห็นภาพอุ่นเครื่องก่อนเดินทางไปงาน OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL ที่บอกเลยว่าหาชมไม่ง่าย และแฟน ๆ ทั่วโลกต้องชอบอย่างแน่นอน






              OLÁ BL&GL THAILAND IN BRAZIL เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนไทยละผู้คนในลาตินอเมริกา ผ่านการขยายฐานแฟนคลับประเทศไทยในภูมิภาคลาตินอเมริกาด้วยสื่อคอนเทนต์วาย ทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายและส่งเสริมการเจรจาธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยโครงการดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของวงการซีรีส์ BL&GL ที่จะพานักแสดงและผลงานของพวกเขาเดินทางไปพบแฟน ๆ จากทั่วโลก เพื่อเผยแพร่ศักยภาพและความก้าวหน้าของวงการบันเทิงไทยที่เปิดรับทุกความหลากหลายทางเพศได้อย่างแท้จริง

13
“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้”
สุขสมหวัง ร่ำรวย เฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับอาหารจีนเลิศรส
ณ ห้องอาหารจีนแทพเพสทรี ใน 3 โรงแรมชั้นนำเครือเคป แอนด์ แคนทารี




            ขอเชิญร่วมเฉลิมฉลองตรุษจีนกับเมนูมงคลและบุฟเฟ่ต์ติ่มซำดินเนอร์ ณ ห้องอาหารจีนแทพเพสทรี ใน3 โรงแรมชั้นนำเครือเคป แอนด์ แคนทารี อาทิ โรงแรมแคนทารี โคราช โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา และโรงแรมคลาสสิค คามิโอ ระยอง เชิญสัมผัสประสบการณ์อาหารรสอร่อยที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ สำหรับการเฉลิมฉลองและสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกับครอบครัวและคนรัก


            วันที่  27 – 29 มกราคม 2568

-   ห้องอาหารแทพเพสทรี โรงแรมแคนทารี โคราช ตั้งแต่เวลา 11.30-14.30 และ 18.00-22.00 น. เสริมความเป็นสิริมงคลด้วยเมนูนำโชค เตรียมรับความโชคดี และความเจริญรุ่งเรือง อาทิ เมนูครื้นเครงทั้งครอบครัว ราคา 400++ บาท, อายุยืนหมื่นปี ราคา 250++ บาท, สองทองครองรัก ราคา 250++ บาท และขยันขันแข็ง ราคา 250++ บาท

*สำรองที่นั่ง โทร. 044-353-011
วันที่  29 มกราคม 2568

-   ห้องอาหารแทพเพสทรี โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. เต็มอิ่มกับอาหารจีนต้นตำรับอร่อยๆเต็มๆคำกับบุฟเฟ่ต์อาหารจีนและติ่มซำนานาชนิด พร้อมเสิร์ฟเมนูเด็ดยอดนิยมหลากหลายเมนู ที่ไม่ควรพลาด อาทิ เป็ดปักกิ่ง เนื้อผัดซอสเซี่ยงไฮ้ ผัดหมี่ฮ่องกง สลัดกุ้งทอด ขาหมูน้ำแดง ราดหน้าปลาเต้าซี่ พร้อมเครื่องดื่มชาจีนร้อน หรือเย็น ในราคาเพียง 790 บาท (สุทธิ) ต่อท่าน เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี หรือส่วนสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ลดครึ่งราคา

*สำรองที่นั่ง โทร. 035-212-535
วันที่  26 – 27 มกราคม 2568

-   ห้องอาหารแทพเพสทรี โรงแรมคลาสสิค คามิโอ ระยอง รังสรรค์โปรโมชั่นพิเศษสำหรับสายมูเตลู เพื่อเสริมดวงชะตา และโชคลาภ กับ ชุดไหว้ (ชุดใหญ่) อาทิ เป็ดพะโล้ ไก่ต้ม ขาหมูพะโล้ ปลากะพงนึ่ง และขนมมาไลโกว ในราคา 1,800 บาทสุทธิ (สั่งจอง ชุดไหว้ (ชุดใหญ่) 1 ชุด รับขนมมาไลโกว 1 เข่ง สั่ง 3 ชุด รับไปเลย 3 เข่ง และรับส่วนลด 10% ทันที) สำหรับชุดของไหว้ (ชุดเล็ก) มีทั้งด้วยเป็ดพะโล้ ไก่ต้ม ขาหมูพะโล้ ในราคาเพียง 1,400 บาทสุทธิ ส่งฟรีในระยะทางไม่เกิน 5 กิโลเมตร


*สั่งสินค้าล่วงหน้า โทร. 038-614-340-9 จองได้ตั้งแต่วันนี้ - 22 มกราคม 2568 (รับสินค้า 26 – 27 มกราคม 2568)






#####

#capekantary #buffet #ayutthaya #rayong #korat #chinesenewyear

#####

* โรงแรมในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไข
โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผ่านทางช่องทางการติดต่อสื่อสารของโรงแรมฯ


#####

* กลุ่มโรงแรมในเครือ เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ สนับสนุนการป้องกันการทารุณสัตว์
ซึ่งโรงแรมฯ มีนโยบายชัดเจนในการห้ามไม่ให้มีการขาย หูฉลาม รังนก และตับห่าน ในทุกห้องอาหารของโรงแรม

14
10 รถโบราณ ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ “สุขเต็มสิบ” คู่สะพานทศมราชัน

            สมาคมรถโบราณฯ เชิญชมรถโบราณทรงคุณค่าบนสะพานทศมราชัน ในมหกรรม “สุขเต็มสิบ” โดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย


            สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย สนับสนุนการจัดงานมหกรรม “สุขเต็มสิบ” ฉลองเปิดสะพานสะพานทศมราชัน หรือสะพานพระราม 10 ซึ่งจัดโดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 10 - 19 มกราคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้ชม และสัมผัสความยิ่งใหญ่ของสะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นสะพานคู่ขนานแห่งแรกของประเทศไทย ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มกราคม ศกนี้


            โดยสมาคมฯ ได้ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในมหกรรมดังกล่าว ด้วยการจัดแสดงรถโบราณ 10 คัน บนสะพานทศมราชัน ระหว่างวันที่ 17 - 19 มกราคม 2568 เวลา 16.00 – 22.00 น.


            รถโบราณที่สมาคมฯ นำไปจอดแสดง ได้แก่ MG TB ปี 1939, Armstrong Siddeley Hurricane ปี 1949, Jaguar Mark V Saloon ปี 1951, Jaguar XK 140 FHC ปี 1956, Morris 1000 Convertible ปี 1957, Mercedes-Benz 190SL ปี 1958, Mercedes Benz 220S Cabriolet ปี 1958, Jaguar E-Type ปี 1964, Alfa Romeo Spider Duetto ปี 1966 และ Porsche Carrera 2 Cabriolet ปี 1990

            เชิญติดตามชมภาพประวัติศาสตร์ของรถโบราณในงาน “สุขเต็มสิบ” ณ สะพานทศมราชัน เพิ่มเติมที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub

15
โรงแรมแคนทารี บ้านฉาง ร่วมสนับสนุนกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568
ณ สนามกีฬาเทศบาลเมืองบ้านฉาง


           กิตติเดช คุ้มม่วง (คนที่ 7 จากซ้าย) ผู้จัดการโรงแรมแคนทารี บ้านฉาง และ นันทิยา  แดงเจริญ (คนที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการแผนกบัญชี พร้อมด้วยพนักงานโรงแรมในเครือเคป แอนด์ แคนทารี ให้การสนับสนุนกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568  แจกอาหาร ผลไม้และเครื่องดื่มฟรีแก่เด็กๆ ที่มาร่วมงาน โดยมี กิติพงศ์ อุระวัตร (คนที่ 6 จากซ้าย) นายอำเภอเมืองบ้านฉาง เป็นตัวแทนผู้รับมอบ ณ สนามกีฬาเทศบาลเมืองบ้านฉาง จ.ระยอง

Pages: [1] 2 3 ... 2473