Show Posts
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
4906
news & activity / Re: บิ๊กซี เปิดสาขาบิ๊กซีจูเนียร์ สระบุรี แห่งแรกของประเทศ
« on: July 09, 2010, 12:20:13 PM »
เปิดสาขาใหม่ “บิ๊กซีจูเนียร์ สระบุรี”
นายสันติ โรจนสินวิไล (ซ้ายมือ) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวีกิจ พลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าทวีกิจคอมเพล็กซ์ จังหวัดสระบุรี ร่วมแสดงความยินดีกับ Mr. Ian Longden (กลาง) Senior Vice President Small Store Format และนางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในงานเปิด “บิ๊กซีจูเนียร์ สาขา สระบุรี” แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา
นายสันติ โรจนสินวิไล (ซ้ายมือ) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทวีกิจ พลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์การค้าทวีกิจคอมเพล็กซ์ จังหวัดสระบุรี ร่วมแสดงความยินดีกับ Mr. Ian Longden (กลาง) Senior Vice President Small Store Format และนางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ในงานเปิด “บิ๊กซีจูเนียร์ สาขา สระบุรี” แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา
4907
news & activity / ยักษ์ใหญ่ด้านชุดเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวของญี่ปุ่นเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์จากฟูจิตสึ
« on: July 09, 2010, 12:18:47 PM »
ยักษ์ใหญ่ด้านชุดเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวของญี่ปุ่นเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์จากฟูจิตสึเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนขององค์กร
PRIMERGY TX120 S2 ถูกติดตั้งทั้งในสำนักงานสาขาและในโชว์รูมทั่วประเทศญี่ปุ่น
กรุงเทพฯ : 6 กรกฎาคม 2553 - ฟูจิตสึ ผู้นำด้านการบูรณาการระบบ และผู้ให้บริการโซลูชันด้านธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร เปิดเผยว่า คลีนอัพ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องครัวรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจอัพเกรดคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของสำนักงานสาขาต่างๆ กว่า 129 แห่ง โดยได้เลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ PRIMERGY TX120 S2 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และถูกจัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีน (1) ของฟูจิตสึ คลีนอัพได้เลือกทำงานร่วมกับฟูจิตสึซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานในด้านการติดตั้งระบบเซิร์ฟเวอร์อันซับซ้อน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลง ติดตั้ง และใช้งานระบบเซิร์ฟเวอร์กว่า 137 เครื่องในทุกสาขาของคลีนอัพทั่วญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วที่สุดภายในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น
คลีนอัพได้ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมตลอดมาและพยายามหาแนวทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการทางธุรกิจในด้านต่างๆ ซึ่งการอัพเกรดระบบครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 181 ตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์ (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง) กว่า 12,928 ต้น (2) และในอนาคตทางคลีนอัพยังได้วางแผนในการมองหาแนวทางเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องด้วย
ความเป็นมา
ด้วยจำนวนสำนักงานสาขาและโชว์รูมกว่า 129 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น คลีนอัพถือเป็นบริษัทธุรกิจชั้นนำด้านอุปกรณ์เครื่องครัวและชุดเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องครัว ทั้งสำหรับกลุ่มลูกค้าตามบ้านและกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างๆ โดยได้มีแนวทางในการทำงานและมีกระบวนการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมตลอดมาในทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ
คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่ถูกใช้งานในสำนักงานสาขาและโชว์รูมของทางคลีนอัพกว่า 129 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น มีส่วนสำคัญต่อระบบงานขายเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้คลีนอัพได้ควบรวมจำนวนเซิร์ฟเวอร์เข้าด้วยกัน เพื่อลดจำนวนลงจาก 158 เครื่อง เหลือ 137 เครื่อง และได้อัพเกรดระบบใหม่ทั้งหมดให้เป็นเซิร์ฟเวอร์ PRIMERGY TX120 S2 ที่มอบประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานและความคุ้มค่าต่อพื้นที่ใช้งานได้ในระดับโลก โดยการเปลี่ยนแปลงระบบครั้งนี้ช่วยให้บริษัทลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 181 ตัน (เทียบเท่ากับอัตราการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์กว่า 12,928 ต้น) คิดเป็นการลดลงถึงหนึ่งในสามของปริมาณการปล่อยก๊าซก่อนหน้านี้ และทางคลีนอัพคาดว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนได้สูงกว่า 7 ล้านเยน อันเป็นผลมาจากการประหยัดพลังงานที่มากขึ้น
นอกจากนี้การนำ PRIMERGY TX120 S2 ซึ่งออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างไร้เสียงรบกวน ยังช่วยลดระดับเสียงดังในสำนักงานและโชว์รูมได้อย่างดี ช่วยมอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้นแก่พนักงาน อันนำไปสู่ศักยภาพในการทำงานที่เหนือกว่า และยังอาจส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่มากขึ้นได้ด้วย
คลีนอัพจะยังคงดำเนินตามแนวทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการใส่ใจต่อการป้องกันปัญหาภาวะโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับทาง ฟูจิตสึ ที่ได้ผลักดันแนวคิดนโยบายนวัตกรรมสีเขียว (Green Policy Innovation) เพื่อช่วยลูกค้าในการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และจะยังคงร่วมมือกับทางคลีนอัพเพื่อนำเสนอระบบไอซีทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อภิธานศัพท์และบันทึกย่อ
(1) ผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีน:
ผ่านการคัดสรรจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสีเขียวของฟูจิตสึ ที่มีความโดดเด่นในด้านการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การประหยัดพลังงานไปจนถึงการลดการใช้ทรัพยากร โดยผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีนนั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ระดับสูงในด้านการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยตอกย้ำพัฒนาการของผลิตภัณฑ์จากฟูจิตสึได้เป็นอย่างดี
(2) เทียบเท่ากับปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์กว่า 12,928 ต้น:
คำนวนอ้างอิงจากตัวเลขการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 14 กิโลกรัมต่อปีของต้นซีดาร์อายุ 50 ปี ที่มีความสูงราว 20-30 เมตร
เกี่ยวกับ บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2533 โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้แก่ คอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ ดอตเมตริกซ์พรินเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ทางด้านโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับงานด้านการผลิต การศึกษา การค้าปลีก ธนาคารและธุรกิจส่วนอื่น นอกจากนั้น เรายังให้บริการให้คำปรึกษา ออกแบบพัฒนาระบบ ออกแบบเครือข่าย Helpdesk ฝึกอบรม ติดตั้งระบบ และการบำรุงรักษา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://th.fujitsu.com
PRIMERGY TX120 S2 ถูกติดตั้งทั้งในสำนักงานสาขาและในโชว์รูมทั่วประเทศญี่ปุ่น
กรุงเทพฯ : 6 กรกฎาคม 2553 - ฟูจิตสึ ผู้นำด้านการบูรณาการระบบ และผู้ให้บริการโซลูชันด้านธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร เปิดเผยว่า คลีนอัพ คอร์ปอเรชัน ผู้ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องครัวรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ตัดสินใจอัพเกรดคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของสำนักงานสาขาต่างๆ กว่า 129 แห่ง โดยได้เลือกใช้เซิร์ฟเวอร์ PRIMERGY TX120 S2 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และถูกจัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีน (1) ของฟูจิตสึ คลีนอัพได้เลือกทำงานร่วมกับฟูจิตสึซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานในด้านการติดตั้งระบบเซิร์ฟเวอร์อันซับซ้อน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลง ติดตั้ง และใช้งานระบบเซิร์ฟเวอร์กว่า 137 เครื่องในทุกสาขาของคลีนอัพทั่วญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วที่สุดภายในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น
คลีนอัพได้ดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมตลอดมาและพยายามหาแนวทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการทางธุรกิจในด้านต่างๆ ซึ่งการอัพเกรดระบบครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 181 ตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับอัตราการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์ (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง) กว่า 12,928 ต้น (2) และในอนาคตทางคลีนอัพยังได้วางแผนในการมองหาแนวทางเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องด้วย
ความเป็นมา
ด้วยจำนวนสำนักงานสาขาและโชว์รูมกว่า 129 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น คลีนอัพถือเป็นบริษัทธุรกิจชั้นนำด้านอุปกรณ์เครื่องครัวและชุดเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องครัว ทั้งสำหรับกลุ่มลูกค้าตามบ้านและกลุ่มองค์กรธุรกิจต่างๆ โดยได้มีแนวทางในการทำงานและมีกระบวนการผลิตที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมตลอดมาในทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ
คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่ถูกใช้งานในสำนักงานสาขาและโชว์รูมของทางคลีนอัพกว่า 129 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น มีส่วนสำคัญต่อระบบงานขายเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้คลีนอัพได้ควบรวมจำนวนเซิร์ฟเวอร์เข้าด้วยกัน เพื่อลดจำนวนลงจาก 158 เครื่อง เหลือ 137 เครื่อง และได้อัพเกรดระบบใหม่ทั้งหมดให้เป็นเซิร์ฟเวอร์ PRIMERGY TX120 S2 ที่มอบประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานและความคุ้มค่าต่อพื้นที่ใช้งานได้ในระดับโลก โดยการเปลี่ยนแปลงระบบครั้งนี้ช่วยให้บริษัทลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 181 ตัน (เทียบเท่ากับอัตราการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์กว่า 12,928 ต้น) คิดเป็นการลดลงถึงหนึ่งในสามของปริมาณการปล่อยก๊าซก่อนหน้านี้ และทางคลีนอัพคาดว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนได้สูงกว่า 7 ล้านเยน อันเป็นผลมาจากการประหยัดพลังงานที่มากขึ้น
นอกจากนี้การนำ PRIMERGY TX120 S2 ซึ่งออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างไร้เสียงรบกวน ยังช่วยลดระดับเสียงดังในสำนักงานและโชว์รูมได้อย่างดี ช่วยมอบสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้นแก่พนักงาน อันนำไปสู่ศักยภาพในการทำงานที่เหนือกว่า และยังอาจส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่มากขึ้นได้ด้วย
คลีนอัพจะยังคงดำเนินตามแนวทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการใส่ใจต่อการป้องกันปัญหาภาวะโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับทาง ฟูจิตสึ ที่ได้ผลักดันแนวคิดนโยบายนวัตกรรมสีเขียว (Green Policy Innovation) เพื่อช่วยลูกค้าในการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และจะยังคงร่วมมือกับทางคลีนอัพเพื่อนำเสนอระบบไอซีทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อภิธานศัพท์และบันทึกย่อ
(1) ผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีน:
ผ่านการคัดสรรจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสีเขียวของฟูจิตสึ ที่มีความโดดเด่นในด้านการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การประหยัดพลังงานไปจนถึงการลดการใช้ทรัพยากร โดยผลิตภัณฑ์ซูเปอร์กรีนนั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ระดับสูงในด้านการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยตอกย้ำพัฒนาการของผลิตภัณฑ์จากฟูจิตสึได้เป็นอย่างดี
(2) เทียบเท่ากับปริมาณการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นซีดาร์กว่า 12,928 ต้น:
คำนวนอ้างอิงจากตัวเลขการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 14 กิโลกรัมต่อปีของต้นซีดาร์อายุ 50 ปี ที่มีความสูงราว 20-30 เมตร
เกี่ยวกับ บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งในประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2533 โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้แก่ คอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ ดอตเมตริกซ์พรินเตอร์ เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์ทางด้านโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับงานด้านการผลิต การศึกษา การค้าปลีก ธนาคารและธุรกิจส่วนอื่น นอกจากนั้น เรายังให้บริการให้คำปรึกษา ออกแบบพัฒนาระบบ ออกแบบเครือข่าย Helpdesk ฝึกอบรม ติดตั้งระบบ และการบำรุงรักษา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://th.fujitsu.com
4908
news & activity / Re: ธนาคารกรุงไทยรุกนำ CG & CSR สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
« on: July 09, 2010, 12:11:49 PM »
ทิศทางการดำเนินงาน วิสัยทัศน์ และพันธกิจของธนาคารกรุงไทย
ทิศทางการดำเนินงาน
1. เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง มีผลประกอบการดี
และสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐ
2. พัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง
3. ยกระดับการบริหารจัดการที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
วิสัยทัศน์
ธนาคารแสนสะดวก (The Convenience Bank) สำหรับลูกค้ารายย่อย ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสถาบัน
พันธกิจ
เป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ที่มุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการสร้างทุนทางปัญญา และยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
การดำเนินงานที่สำคัญ ในการกำกับดูแลกิจการของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย
ในฐานะที่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐ นอกจากการดำเนินธุรกิจในการให้บริการทางการเงินที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นแล้ว ธนาคารยังถือเป็นหน้าที่ในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งภารกิจดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องมาจากนโยบายแผนงาน และกระบวนการทำงานที่ดี โดยเฉพาะกระบวนการกำกับดูแลกิจการ ดังนั้น ธนาคารจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลในองค์กร
โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ ๆคือ
• จัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาลขึ้นในปี 2545 เพื่อรับผิดชอบงานด้านบรรษัทภิบาลเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดการผลักดันอย่างจริงจัง และ ปรับพื้นฐานด้านบรรษัทภิบาลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร โดยได้ประกาศหลักบรรษัทภิบาลเป็นลายลักษณ์อักษรและประกาศใช้ทั้งองค์กร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 รวม 7 ประการ และมีชื่อเรียกโดยย่อว่า CARPETS ดังนี้
1) Creation of Long Term Value Added: สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน โดยไม่เสี่ยงต่อการทำลายองค์กรในระยะสั้น
2) Accountability: แสดงความรับผิดและรับชอบต่อผลการปฏิบัติหน้าที่
3) Responsibility: มีความเข้าใจและมีขีดความสามารถในการประพฤติได้ตามหน้าที่และความรับผิดชอบ
4) Promotion of Best Practices: มุ่งดำเนินธุรกิจและให้บริการแก่ลูกค้า โดยยึดหลักวัฒนธรรมและ จรรยาบรรณที่ดี รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และมีจิตสำนึกในคุณธรรม จริยธรรม
5) Equitable Treatment: ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม และยุติธรรม
6) Transparency: แสดงความโปร่งใสในการดำเนินงาน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้
7) Social and Environmental Awareness: สำนึกในการปฏิบัติที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อลดหรือขจัดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำธุรกิจของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องด้วย
• ในปี 2549 ธนาคารได้ประกาศให้เป็นปีแห่งบรรษัทภิบาล และกำหนดแผนงานด้านการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาล ระยะ 3 ปี ขึ้น โดย ปี 2549 เป็นปี “รู้เรียน” ปี 2550 เป็นปี“เพียรทำ” และ ปี 2551 เป็นปี “นำชัย” ตลอดระยะ 3 ปีนี้ ธนาคารกำหนดจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรณรงค์ให้พนักงานและผู้บริหารทุกระดับได้ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี เช่น การจัดนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่โครงการบรรษัทภิบาลอย่างต่อเนื่อง การจัดประกวดแต่งคำขวัญ ซึ่งคำขวัญที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ “ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจคุณธรรม” การจัดโครงการ CG Awards เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานดีเด่นที่สามารถปฏิบัติตามนโยบายบรรษัทภิบาลได้อย่างดีเยี่ยม เป็นต้น
• ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป ธนาคารมีนโยบายดำเนินการสร้างพันธมิตรในการบริหารงานโดยยึด
หลักบรรษัทภิบาล โดยเริ่มจากบริษัทในเครือที่ธนาคารถือหุ้น 100%ทุกวัน
• ในครบรอบก่อตั้งธนาคาร (14 มี.ค.) ได้กำหนดเป็นวัน CG&CSR DAY โดยให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมกับกิจกรรม CG&CSR
• ในปี 2553 ได้ประสานกับ 6 ธนาคาร รัฐ เพื่อลงบันทึกความร่วมมือ ด้านบรรษัทภิบาล
ร่วมกัน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรุ้ ประสบการณ์ เพื่อการส่งเสริมงานด้านบรรษัทภิบาลทั้งด้าน
กิจกรรมและการร่วมกันกำหนดมาตรฐานต่างๆ
• เพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร ในปี 2553 ยังจะได้ขยายและส่งเสริมการดำเนินแผนงานด้านบรรษัทภิบาลภายในเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 จัดทำ Website CG&CSR เพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ ซึ่งพนักงานสามารถเข้าดูข้อมูลผ่านทางระบบ Intranet ของธนาคาร
1.2 ทำการสื่อสารหลักบรรษัทภิบาลผ่านทาง KTB Mail เดือนละ 3 ครั้ง และมีการมอบรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม
1.3 จัดทำ Poster CG ส่งให้ทุกหน่วยงาน
1.4 จัดทำคู่มือ CG ส่งให้กับพนักงานทุกคน
1.5 กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานเข้าใหม่
1.6 กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับผู้จัดการสาขา
1.7 กำหนดเป็น 1 ใน 10 วิชา สำหรับการสอบ Self Learning เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน
ทิศทางการดำเนินงาน
1. เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง มีผลประกอบการดี
และสนับสนุนการดำเนินงานภาครัฐ
2. พัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง
3. ยกระดับการบริหารจัดการที่ดี และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
วิสัยทัศน์
ธนาคารแสนสะดวก (The Convenience Bank) สำหรับลูกค้ารายย่อย ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสถาบัน
พันธกิจ
เป็นสถาบันการเงินชั้นนำของประเทศ ที่มุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการสร้างทุนทางปัญญา และยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
การดำเนินงานที่สำคัญ ในการกำกับดูแลกิจการของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย
ในฐานะที่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐ นอกจากการดำเนินธุรกิจในการให้บริการทางการเงินที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นแล้ว ธนาคารยังถือเป็นหน้าที่ในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งภารกิจดังกล่าวจะสำเร็จได้ต้องมาจากนโยบายแผนงาน และกระบวนการทำงานที่ดี โดยเฉพาะกระบวนการกำกับดูแลกิจการ ดังนั้น ธนาคารจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลในองค์กร
โดยมีการดำเนินการที่สำคัญ ๆคือ
• จัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาลขึ้นในปี 2545 เพื่อรับผิดชอบงานด้านบรรษัทภิบาลเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดการผลักดันอย่างจริงจัง และ ปรับพื้นฐานด้านบรรษัทภิบาลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร โดยได้ประกาศหลักบรรษัทภิบาลเป็นลายลักษณ์อักษรและประกาศใช้ทั้งองค์กร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 รวม 7 ประการ และมีชื่อเรียกโดยย่อว่า CARPETS ดังนี้
1) Creation of Long Term Value Added: สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน โดยไม่เสี่ยงต่อการทำลายองค์กรในระยะสั้น
2) Accountability: แสดงความรับผิดและรับชอบต่อผลการปฏิบัติหน้าที่
3) Responsibility: มีความเข้าใจและมีขีดความสามารถในการประพฤติได้ตามหน้าที่และความรับผิดชอบ
4) Promotion of Best Practices: มุ่งดำเนินธุรกิจและให้บริการแก่ลูกค้า โดยยึดหลักวัฒนธรรมและ จรรยาบรรณที่ดี รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ และมีจิตสำนึกในคุณธรรม จริยธรรม
5) Equitable Treatment: ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียม และยุติธรรม
6) Transparency: แสดงความโปร่งใสในการดำเนินงาน สามารถอธิบายและตรวจสอบได้
7) Social and Environmental Awareness: สำนึกในการปฏิบัติที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อันเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อลดหรือขจัดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำธุรกิจของธนาคารให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องด้วย
• ในปี 2549 ธนาคารได้ประกาศให้เป็นปีแห่งบรรษัทภิบาล และกำหนดแผนงานด้านการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาล ระยะ 3 ปี ขึ้น โดย ปี 2549 เป็นปี “รู้เรียน” ปี 2550 เป็นปี“เพียรทำ” และ ปี 2551 เป็นปี “นำชัย” ตลอดระยะ 3 ปีนี้ ธนาคารกำหนดจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรณรงค์ให้พนักงานและผู้บริหารทุกระดับได้ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี เช่น การจัดนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่โครงการบรรษัทภิบาลอย่างต่อเนื่อง การจัดประกวดแต่งคำขวัญ ซึ่งคำขวัญที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ “ซื่อสัตย์ โปร่งใส ใส่ใจคุณธรรม” การจัดโครงการ CG Awards เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานดีเด่นที่สามารถปฏิบัติตามนโยบายบรรษัทภิบาลได้อย่างดีเยี่ยม เป็นต้น
• ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป ธนาคารมีนโยบายดำเนินการสร้างพันธมิตรในการบริหารงานโดยยึด
หลักบรรษัทภิบาล โดยเริ่มจากบริษัทในเครือที่ธนาคารถือหุ้น 100%ทุกวัน
• ในครบรอบก่อตั้งธนาคาร (14 มี.ค.) ได้กำหนดเป็นวัน CG&CSR DAY โดยให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมกับกิจกรรม CG&CSR
• ในปี 2553 ได้ประสานกับ 6 ธนาคาร รัฐ เพื่อลงบันทึกความร่วมมือ ด้านบรรษัทภิบาล
ร่วมกัน โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรุ้ ประสบการณ์ เพื่อการส่งเสริมงานด้านบรรษัทภิบาลทั้งด้าน
กิจกรรมและการร่วมกันกำหนดมาตรฐานต่างๆ
• เพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร ในปี 2553 ยังจะได้ขยายและส่งเสริมการดำเนินแผนงานด้านบรรษัทภิบาลภายในเพิ่มเติม ดังนี้
1.1 จัดทำ Website CG&CSR เพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ ซึ่งพนักงานสามารถเข้าดูข้อมูลผ่านทางระบบ Intranet ของธนาคาร
1.2 ทำการสื่อสารหลักบรรษัทภิบาลผ่านทาง KTB Mail เดือนละ 3 ครั้ง และมีการมอบรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม
1.3 จัดทำ Poster CG ส่งให้ทุกหน่วยงาน
1.4 จัดทำคู่มือ CG ส่งให้กับพนักงานทุกคน
1.5 กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานเข้าใหม่
1.6 กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับผู้จัดการสาขา
1.7 กำหนดเป็น 1 ใน 10 วิชา สำหรับการสอบ Self Learning เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน
4909
news & activity / ธนาคารกรุงไทยรุกนำ CG & CSR สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
« on: July 09, 2010, 12:10:17 PM »
ธนาคารกรุงไทยรุกนำ CG & CSR สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนมั่นใจ โครงสร้างบริหารจัดการ นำการขยายเครือข่าย พร้อมประกาศยึดแนวทาง ISO 26000 พัฒนาซีเอสอาร์ อย่างเป็นระบบ เผยยึดแนวทางสร้างคุณค่า ทุนทางปัญญา 4 มิติ พัฒนา การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม สังคม กีฬา และสิ่งแวดล้อม ให้ประเทศ
ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ความท้าท้ายของปัญหาทาง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ของโลก ที่มีผลเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน และเห็นผลกระทบที่เกิดอย่างชัดเจน ทำให้ กิจการธนาคาร ในฐานะพลเมืองหนึ่งของสังคม ถูกถามถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะที่ประชาชนเองก็มีความคาดหวังที่จะให้ธนาคารได้มีส่วนทำหน้าที่ดูแลสร้างสรรค์สังคม ไปพร้อมๆ กับการให้บริการทางการเงินที่ดี มีความโปร่งใส ซึ่งหากพิจารณาถึงศักยภาพของธนาคารแต่ละแห่ง ที่มีสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ และมีบุคคลากรที่มีความสามารถ แล้วจะเห็นว่า ธนาคารควรที่จะต้องแสดงบทบาทหน้าที่ในฐานะพลเมือง และองค์กรหนึ่งของสังคมในการเข้าไปส่วนร่วมดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น
“เพราะที่ผ่านมาผลกระทบจากการส่งเสริมการบริโภคมากเกินพอดี การโฆษณา โปรโมชั่นเชิญชวนให้มีการใช้บัตรเครดิต การจับจ่ายซื้อของมากขึ้น ก็มีส่วนทำให้คนในสังคมขาดการดูแลด้านจิตใจ มีแต่เรื่องวัตถุเป็นหลัก ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่นการลักขโมย รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างไม่รู้ค่า การบุกรุกทำลาย ดังนั้นควบคู่ไปกับการกำกับและดูแลกิจการที่ดี ธนาคารกรุงไทย ซึ่งตระหนักถึงความท้าทายนี้ จะต้อง นำเรื่องบรรษัทภิบาล หรือซีจี และซีเอสอาร์ เข้าสู่วิสัยทัศน์ เพื่อให้ทุกส่วนงานมีสำนึกร่วมกัน ในการดูแลกำกับหน่วยงานของตัวเอง ให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และที่น่าเชือถือ และรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน เพื่อนำสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความยั่งยืน หลายคนบอกว่าได้ทำมามากแล้ว แต่ผมว่าเรายังทำได้มากกว่านี้ และต้องทำให้ได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้
ดร.สถิตย์ กล่าวว่า รูปธรรมที่สำคัญและเป็นส่วนหลักในการผลักดันให้งานด้านซีจีและซีเอสอาร์มีความก้าวหน้า คือ การมีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ชัดเจน โดยในส่วนของธนาคารกรุงไทย คณะกรรมการบริหาร ได้มีความเห็นชอบที่จะให้ธนาคาร ผสานทั้งเรื่องซีจี และ ซีเอสอาร์ เข้าสู่การดำเนินงานในทุกระดับ รวมถึงกิจกรรมทางสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ธนาคารได้เข้าไปสนับสนุน และเมื่อช่วงต้นปีในปี2553 นี้ ได้จัดโครงสร้างบริหารจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมี คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ เป็นประธานกรรมการบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคณะอนุกรรมการที่ช่วยดูแลในเรื่องต่างๆ อีก 5 คณะ รวมถึงมีฝ่าย เสริมสร้างทุนทางปัญญาและกิจกรรมเพื่อสังคมและคณะอนุกรรมการบรรษัทภิบาล ทำให้มั่นใจว่าการดำเนินนโยบายด้านซีจีและซีเอสอาร์ ของธนาคารกรุงไทยจากนี้ไป จะมีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามากและทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ทางธนาคารจะได้นำมาตรฐานสากลและแนวปฏิบัติต่างๆ มาใช้ โดยเฉพาะ ISO 26000
คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกรรมการบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากนโยบายที่ชัดเจน การมีโครงสร้างบริหารจัดการที่เป็นระบบ และประสบการณ์การเรียนรู้ ในแต่ละปี ทำให้กิจกรรมทั้งในส่วนงานบรรษัทภิบาล และซีเอสอาร์ ของธนาคาร โดยเฉพาะ การเสริมสร้างทุนทางปัญญา ให้สังคมเป็นที่ประจักษ์ ทั้งจากภายใน และภายนอก ซึ่งแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นจะไม่ง่าย แต่วันนี้หากมองย้อนไป มีสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการดำเนินงาน หลายประการ และเป็นปัจจัยในการพัฒนาต่อยอด ที่อาจสรุปได้ดังนี้
1. ความเข้าใจของคณะกรรมการบริหาร และนโยบายที่ชัดเจน CG & CSR ผลักดันให้มีความยั่งยืน ต่อเนื่อง
2. การมีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ชัดเจน และครบถ้วน คือจะต้องมีทั้งส่วนงานส่งเสริม งานปฏิบัติ งานเผยแพร่ งานสนับสนุน และมีการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ
3. การมีแนวปฏิบัติ ของธนาคาร และแผนงาน กรอบเวลา การประเมิน ที่ชัดเจน จะทำให้การขับเคลื่อนงานมีความชัดเจน ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมได้ง่าย
4. การดำเนินงาน CG & CSR ด้วยมุมมองที่คำนึงถึงผลลัพท์และผลที่ตามมา จะทำให้กิจกรรม และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตร และ ชุมชน เกิดขึ้นและต่อยอดได้ ดังเช่นความร่วมมือของ 7 ธนาคารของรัฐในเรื่องบรรษัทภิบาล
5. การสื่อสารทั้งภายใน และภายนอก จะเป็นตัวเร่งให้เรื่อง CG & CSR มีพลังที่นำไปสู่สำ
นึกและการปฏิบัติ อย่างเป็นวัฒนธรรม
สำหรับแนวทางในการดำเนินงานในปีต่อไป คุณสันติ เปิดเผยว่า
1. จะมีการพัฒนาและเทียบเคียงแนวปฏิบัติของธนาคารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยจะนแนวปฏิบัติ ISO 26000 มาเป็นแนวทาง เพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ เป็นระบบ สามารถจัดการความรู้ได้ง่าย
2. พัฒนากลยุทธ์และต่อยอดกิจกรรมในโครงการทุนทางปัญญาต่างๆให้มีคุณค่าเพิ่ม โดยปลูกฝังให้ แนวคิด CG และ CSR เข้าไปสู่ระดับกิจกรรม โดยธนาคารนำความรู้ นำบุคลากร และเครือข่าย เข้าไปสนับสนุนการต่อยอด เช่น โครงการกรุงไทยยุวาณิช โรงเรียนมงฟอร์ต ได้มอบองค์ความรู้ในการทำรองเท้านวดเพื่อสุขภาพให้ชุมชน นำไปเป็นอาชีพต่อเนื่อง
3. การเสริมสร้างการปฏิบัติจากภายในธนาคารอย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ที่เราต้องการให้เกิดเป็น Green Culture
4. การสื่อสารด้านซีจีและซีเอสอาร์ให้พนักงานได้รับรู้ มีความภูมิใจ และสมัครใจมีส่วนร่วมด้วยตนเอง
5. การสื่อสารภายนอก โดยการจัดทำรายงาน ตามหลักของ GRI
ทั้งนี้กิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างทุนทางปัญญา ธนาคารยังคงมุ่งเน้นและต่อยอดใน 4 มิติ คือ การศึกษา สังคมสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และ กีฬา โดยเรื่องการศึกษาจะเป็น ทุนทางปัญญาหลัก ที่ธนาคารจะให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณ โดยมีโครงการที่เด่น ๆคือ กรุงไทยสานฝันโรงเรียนดี ใกล้บ้าน กรุงไทยยุววาณิช กรุงไทยต้นกล้าสีขาว KTB Lecture Series สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานด้านซีเอสอาร์ในปีนี้ เรากำหนดไว้ทั้งหมด100 ล้านบาท
สำหรับด้านบรรษัทภิบาล ในปีนี้ คุณสันติ กล่าวว่า ภายใต้ค่านิยม รู้เรียน เพียรทำ นำชัย สิ่งที่ธนาคารจะผลักดันให้เกิดขึ้นก็คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการส่งเสริมในเรื่องนี้ย่างจริงจัง ซึ่งการลงนามความร่วมมือกับ อีก 6 ธนาคารของรัฐด้านการส่งเสริมบรรษัทภิบาล เป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อน ซึ่งจะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์การระหว่างกัน รวมถึงการทำกิจกรรมซีเอสอาร์ร่วมกัน เพื่อสร้างผลกระทบในทางบวกเกิดขึ้นกับสังคม และสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้น รวมถึง ความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้ของชุมชน ขณะเดียวกันก็จะเร่งสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยมีแผนงานที่จะทำอาทิ จัดทำ Website CG&CSR เพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ ซึ่งพนักงานสามารถเข้าดูข้อมูลผ่านทางระบบ Intranet ของธนาคาร ทำการสื่อสารหลักบรรษัทภิบาลผ่านทาง KTB Mail เดือนละ 3 ครั้ง และมีการมอบรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานเข้าใหม่ และผู้จัดการสาขา และกำหนดเป็น 1 ใน 10 วิชา สำหรับการสอบ Self Learning เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน
“จะเห็นว่าแนวทางในการดำเนินงานด้าน CG& CSR จะต้องมีการบริหารจัดการ และพัฒนายกระดับ และทวีความเข้มข้นอย่างถูกทิศทาง และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติและมาตรฐานสากล เรียกว่า ทั้ง Enlarge และ Enrich ซึ่งเราจะพยายามพัฒนาคุณค่าของสิ่งที่ทำให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น โดยใช้การปฏิบัติจริง เป็นกลยุทธ์ในการสื่อสาร”
บมจ.ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ทีให้ความสำคัญด้านซีจี และซีเอสอาร์มาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาได้รับ รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากสำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัลคุณภาพการให้บริการดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัล SET Awards 2009 ด้านรางวัลรายงานบรรษัทภิบาลดีเด่น จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารธนาคาร ผลการประเมินคุณภาพการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น อยู่ในระดับเยี่ยม จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย รางวัล Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2009 ระดับ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors :IOD) รางวัลคณะกรรมการแห่งปีดีเลิศ ประจำปี 2551/52 จากคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ
ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ความท้าท้ายของปัญหาทาง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ของโลก ที่มีผลเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน และเห็นผลกระทบที่เกิดอย่างชัดเจน ทำให้ กิจการธนาคาร ในฐานะพลเมืองหนึ่งของสังคม ถูกถามถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะที่ประชาชนเองก็มีความคาดหวังที่จะให้ธนาคารได้มีส่วนทำหน้าที่ดูแลสร้างสรรค์สังคม ไปพร้อมๆ กับการให้บริการทางการเงินที่ดี มีความโปร่งใส ซึ่งหากพิจารณาถึงศักยภาพของธนาคารแต่ละแห่ง ที่มีสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ และมีบุคคลากรที่มีความสามารถ แล้วจะเห็นว่า ธนาคารควรที่จะต้องแสดงบทบาทหน้าที่ในฐานะพลเมือง และองค์กรหนึ่งของสังคมในการเข้าไปส่วนร่วมดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น
“เพราะที่ผ่านมาผลกระทบจากการส่งเสริมการบริโภคมากเกินพอดี การโฆษณา โปรโมชั่นเชิญชวนให้มีการใช้บัตรเครดิต การจับจ่ายซื้อของมากขึ้น ก็มีส่วนทำให้คนในสังคมขาดการดูแลด้านจิตใจ มีแต่เรื่องวัตถุเป็นหลัก ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่นการลักขโมย รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างไม่รู้ค่า การบุกรุกทำลาย ดังนั้นควบคู่ไปกับการกำกับและดูแลกิจการที่ดี ธนาคารกรุงไทย ซึ่งตระหนักถึงความท้าทายนี้ จะต้อง นำเรื่องบรรษัทภิบาล หรือซีจี และซีเอสอาร์ เข้าสู่วิสัยทัศน์ เพื่อให้ทุกส่วนงานมีสำนึกร่วมกัน ในการดูแลกำกับหน่วยงานของตัวเอง ให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และที่น่าเชือถือ และรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน เพื่อนำสังคมไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความยั่งยืน หลายคนบอกว่าได้ทำมามากแล้ว แต่ผมว่าเรายังทำได้มากกว่านี้ และต้องทำให้ได้มากกว่านี้ ดีกว่านี้
ดร.สถิตย์ กล่าวว่า รูปธรรมที่สำคัญและเป็นส่วนหลักในการผลักดันให้งานด้านซีจีและซีเอสอาร์มีความก้าวหน้า คือ การมีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ชัดเจน โดยในส่วนของธนาคารกรุงไทย คณะกรรมการบริหาร ได้มีความเห็นชอบที่จะให้ธนาคาร ผสานทั้งเรื่องซีจี และ ซีเอสอาร์ เข้าสู่การดำเนินงานในทุกระดับ รวมถึงกิจกรรมทางสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ธนาคารได้เข้าไปสนับสนุน และเมื่อช่วงต้นปีในปี2553 นี้ ได้จัดโครงสร้างบริหารจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมี คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ เป็นประธานกรรมการบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม และมีคณะอนุกรรมการที่ช่วยดูแลในเรื่องต่างๆ อีก 5 คณะ รวมถึงมีฝ่าย เสริมสร้างทุนทางปัญญาและกิจกรรมเพื่อสังคมและคณะอนุกรรมการบรรษัทภิบาล ทำให้มั่นใจว่าการดำเนินนโยบายด้านซีจีและซีเอสอาร์ ของธนาคารกรุงไทยจากนี้ไป จะมีพัฒนาการที่ก้าวหน้ามากและทำได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ทางธนาคารจะได้นำมาตรฐานสากลและแนวปฏิบัติต่างๆ มาใช้ โดยเฉพาะ ISO 26000
คุณสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานกรรมการบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคมและ สิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากนโยบายที่ชัดเจน การมีโครงสร้างบริหารจัดการที่เป็นระบบ และประสบการณ์การเรียนรู้ ในแต่ละปี ทำให้กิจกรรมทั้งในส่วนงานบรรษัทภิบาล และซีเอสอาร์ ของธนาคาร โดยเฉพาะ การเสริมสร้างทุนทางปัญญา ให้สังคมเป็นที่ประจักษ์ ทั้งจากภายใน และภายนอก ซึ่งแม้ว่าในช่วงเริ่มต้นจะไม่ง่าย แต่วันนี้หากมองย้อนไป มีสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการดำเนินงาน หลายประการ และเป็นปัจจัยในการพัฒนาต่อยอด ที่อาจสรุปได้ดังนี้
1. ความเข้าใจของคณะกรรมการบริหาร และนโยบายที่ชัดเจน CG & CSR ผลักดันให้มีความยั่งยืน ต่อเนื่อง
2. การมีโครงสร้างการบริหารจัดการที่ชัดเจน และครบถ้วน คือจะต้องมีทั้งส่วนงานส่งเสริม งานปฏิบัติ งานเผยแพร่ งานสนับสนุน และมีการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ
3. การมีแนวปฏิบัติ ของธนาคาร และแผนงาน กรอบเวลา การประเมิน ที่ชัดเจน จะทำให้การขับเคลื่อนงานมีความชัดเจน ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมได้ง่าย
4. การดำเนินงาน CG & CSR ด้วยมุมมองที่คำนึงถึงผลลัพท์และผลที่ตามมา จะทำให้กิจกรรม และการเชื่อมโยงกับเครือข่ายพันธมิตร และ ชุมชน เกิดขึ้นและต่อยอดได้ ดังเช่นความร่วมมือของ 7 ธนาคารของรัฐในเรื่องบรรษัทภิบาล
5. การสื่อสารทั้งภายใน และภายนอก จะเป็นตัวเร่งให้เรื่อง CG & CSR มีพลังที่นำไปสู่สำ
นึกและการปฏิบัติ อย่างเป็นวัฒนธรรม
สำหรับแนวทางในการดำเนินงานในปีต่อไป คุณสันติ เปิดเผยว่า
1. จะมีการพัฒนาและเทียบเคียงแนวปฏิบัติของธนาคารให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยจะนแนวปฏิบัติ ISO 26000 มาเป็นแนวทาง เพื่อพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ เป็นระบบ สามารถจัดการความรู้ได้ง่าย
2. พัฒนากลยุทธ์และต่อยอดกิจกรรมในโครงการทุนทางปัญญาต่างๆให้มีคุณค่าเพิ่ม โดยปลูกฝังให้ แนวคิด CG และ CSR เข้าไปสู่ระดับกิจกรรม โดยธนาคารนำความรู้ นำบุคลากร และเครือข่าย เข้าไปสนับสนุนการต่อยอด เช่น โครงการกรุงไทยยุวาณิช โรงเรียนมงฟอร์ต ได้มอบองค์ความรู้ในการทำรองเท้านวดเพื่อสุขภาพให้ชุมชน นำไปเป็นอาชีพต่อเนื่อง
3. การเสริมสร้างการปฏิบัติจากภายในธนาคารอย่างจริงจัง โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ที่เราต้องการให้เกิดเป็น Green Culture
4. การสื่อสารด้านซีจีและซีเอสอาร์ให้พนักงานได้รับรู้ มีความภูมิใจ และสมัครใจมีส่วนร่วมด้วยตนเอง
5. การสื่อสารภายนอก โดยการจัดทำรายงาน ตามหลักของ GRI
ทั้งนี้กิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างทุนทางปัญญา ธนาคารยังคงมุ่งเน้นและต่อยอดใน 4 มิติ คือ การศึกษา สังคมสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม และ กีฬา โดยเรื่องการศึกษาจะเป็น ทุนทางปัญญาหลัก ที่ธนาคารจะให้ความสำคัญและจัดสรรงบประมาณ โดยมีโครงการที่เด่น ๆคือ กรุงไทยสานฝันโรงเรียนดี ใกล้บ้าน กรุงไทยยุววาณิช กรุงไทยต้นกล้าสีขาว KTB Lecture Series สำหรับงบประมาณในการดำเนินงานด้านซีเอสอาร์ในปีนี้ เรากำหนดไว้ทั้งหมด100 ล้านบาท
สำหรับด้านบรรษัทภิบาล ในปีนี้ คุณสันติ กล่าวว่า ภายใต้ค่านิยม รู้เรียน เพียรทำ นำชัย สิ่งที่ธนาคารจะผลักดันให้เกิดขึ้นก็คือ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการส่งเสริมในเรื่องนี้ย่างจริงจัง ซึ่งการลงนามความร่วมมือกับ อีก 6 ธนาคารของรัฐด้านการส่งเสริมบรรษัทภิบาล เป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อน ซึ่งจะมีการแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์การระหว่างกัน รวมถึงการทำกิจกรรมซีเอสอาร์ร่วมกัน เพื่อสร้างผลกระทบในทางบวกเกิดขึ้นกับสังคม และสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้น รวมถึง ความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้ของชุมชน ขณะเดียวกันก็จะเร่งสร้างวัฒนธรรมบรรษัทภิบาลให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยมีแผนงานที่จะทำอาทิ จัดทำ Website CG&CSR เพื่อสื่อสารข้อมูลต่างๆ ซึ่งพนักงานสามารถเข้าดูข้อมูลผ่านทางระบบ Intranet ของธนาคาร ทำการสื่อสารหลักบรรษัทภิบาลผ่านทาง KTB Mail เดือนละ 3 ครั้ง และมีการมอบรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม กำหนดเป็นหลักสูตรในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานเข้าใหม่ และผู้จัดการสาขา และกำหนดเป็น 1 ใน 10 วิชา สำหรับการสอบ Self Learning เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งของพนักงาน
“จะเห็นว่าแนวทางในการดำเนินงานด้าน CG& CSR จะต้องมีการบริหารจัดการ และพัฒนายกระดับ และทวีความเข้มข้นอย่างถูกทิศทาง และสอดคล้องกับแนวปฏิบัติและมาตรฐานสากล เรียกว่า ทั้ง Enlarge และ Enrich ซึ่งเราจะพยายามพัฒนาคุณค่าของสิ่งที่ทำให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น โดยใช้การปฏิบัติจริง เป็นกลยุทธ์ในการสื่อสาร”
บมจ.ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ทีให้ความสำคัญด้านซีจี และซีเอสอาร์มาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาได้รับ รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัลการดำเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากสำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัลคุณภาพการให้บริการดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง รางวัล SET Awards 2009 ด้านรางวัลรายงานบรรษัทภิบาลดีเด่น จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารธนาคาร ผลการประเมินคุณภาพการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น อยู่ในระดับเยี่ยม จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย รางวัล Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2009 ระดับ 5 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors :IOD) รางวัลคณะกรรมการแห่งปีดีเลิศ ประจำปี 2551/52 จากคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ
4910
news & activity / โกลเบล็กโกยยอดTFEXครึ่งปีแรก 476,593 สัญญา
« on: July 09, 2010, 12:04:37 PM »
โกลเบล็กโกยยอดTFEXครึ่งปีแรก 476,593 สัญญา
โกลเบล็ก สรุปตัวเลขตราสารอนุพันธ์ครึ่งปีแรก 476,593 สัญญา คิดเป็น12.39 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของทั้งตลาด ที่เพิ่มขึ้น8.99%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 85,551 สัญญา ด้าน “สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช” รับอานิสงส์จากราคาทองคำแท่งที่ผันผวน ส่งผลนักลงทุนแห่ลงทุนในTFEX เพิ่ม พร้อม ระบุ ครึ่งปีหลัง เตรียมอัดโปรโมชั่น Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures หวังวอลุ่มเพิ่มอีกกว่า700,000 สัญญา
นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯปริมาณการซื้อขายรวมในตราสารอนุพันธ์อยู่ที่ 74,932 สัญญา หรือมูลค่าเท่ากับ 41,996.30 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมครึ่งปีแรกของปี2553 อยู่ที่ 270,910.29 ล้านบาท หรือจำนวน 476,593 สัญญา คิดเป็น12.39 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของทั้งตลาด ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.99% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนการซื้อขายอยู่ที่ 85,551 สัญญา หรือ3.40% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด
สำหรับสาเหตุที่มูลค่าสัญญาเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาทองคำแท่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ ทำให้บริษัทฯยังเป็นการครองอันดับหนึ่งในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สด้วยปริมาณการซื้อขายล่วงหน้าทองคำถึง 132,723 สัญญา
“ ภาวะการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอกอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันโกลเบล็กก็ยังสามารถครองตำแหน่งจ้าวตลาดอนุพันธ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านปริมาณการซื้อขายและมูลค่าการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าประเภทต่างๆ” นายสัญญา กล่าว
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯจะมีสินค้าใหม่ อาทิ Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าโปรดักดังกล่าวจะช่วยให้ปริมาณการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ Mini-Gold Futures หรือสัญญาล่วงหน้าทองคำขนาด 10 บาท
“โดยส่วนตัวมองว่า Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures จะเป็นโปรดักส์ที่ได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศการแข่งขันในการออกโปรโมชั่น รวมถึงการออกให้ความรู้กับลูกค้าคงทยอยเพิ่มขึ้น” นายสัญญา กล่าว
ทั้งนี้ทางโกลเบล็ก มีแผนที่จะหาลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของทั้ง 2 สินค้า ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ลูกค้าโกลด์ฟิวเจอร์สที่มีอยู่แล้วหันมาใช้ประโยชน์จากสัญญาล่วงหน้า SET 50 ให้มากขึ้นโดยบริษัทได้มีตั้งเป้ามูลค่าสัญญาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี2553อีกกว่า 700,000 สัญญา
อย่างไรก็ตาม หลังสมาคม FI Club อนุมัติให้แต่ละโบรกเกอร์สามารถออกโปรโมชั่นให้กับลูกค้าโดยการให้รางวัลได้เป็นปีละไม่เกิน 2 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนน่าจะได้รับประโยชน์มากขึ้น พร้อมทั้งคาดว่าแต่ละโบรกเกอร์มีแนวโน้มที่จะอัดเคมเปญกันในช่วงมินิโกลด์ฟิวเจอร์ส ยาวจนถึงงาน SET in the City อย่างแน่นอน ดังนั้นบริษัทฯก็เตรียมงัดโปรโมชั่นเพื่อตอบสนองให้กับลูกค้าTFEX ทั้งรายใหม่และรายเก่า ให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด
สำหรับส่วนแบ่งทางการตลาดนั้น นายสัญญา กล่าวว่า บริษัทฯจะยังคงรักษาส่วนแบ่งได้เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของตลาด ขณะเดียวกันจะเน้นให้ความรู้ความเข้าใจในตัวสินค้าให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องทองคำ , เรื่องหุ้น และเรื่องการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า ให้มีศักยภาพมาขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการต่อยอดฐานลูกค้ารายใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต
โกลเบล็ก สรุปตัวเลขตราสารอนุพันธ์ครึ่งปีแรก 476,593 สัญญา คิดเป็น12.39 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของทั้งตลาด ที่เพิ่มขึ้น8.99%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 85,551 สัญญา ด้าน “สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช” รับอานิสงส์จากราคาทองคำแท่งที่ผันผวน ส่งผลนักลงทุนแห่ลงทุนในTFEX เพิ่ม พร้อม ระบุ ครึ่งปีหลัง เตรียมอัดโปรโมชั่น Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures หวังวอลุ่มเพิ่มอีกกว่า700,000 สัญญา
นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทฯปริมาณการซื้อขายรวมในตราสารอนุพันธ์อยู่ที่ 74,932 สัญญา หรือมูลค่าเท่ากับ 41,996.30 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมครึ่งปีแรกของปี2553 อยู่ที่ 270,910.29 ล้านบาท หรือจำนวน 476,593 สัญญา คิดเป็น12.39 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของทั้งตลาด ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.99% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนการซื้อขายอยู่ที่ 85,551 สัญญา หรือ3.40% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด
สำหรับสาเหตุที่มูลค่าสัญญาเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาทองคำแท่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ ทำให้บริษัทฯยังเป็นการครองอันดับหนึ่งในตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สด้วยปริมาณการซื้อขายล่วงหน้าทองคำถึง 132,723 สัญญา
“ ภาวะการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอกอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันโกลเบล็กก็ยังสามารถครองตำแหน่งจ้าวตลาดอนุพันธ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านปริมาณการซื้อขายและมูลค่าการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าประเภทต่างๆ” นายสัญญา กล่าว
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯจะมีสินค้าใหม่ อาทิ Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าโปรดักดังกล่าวจะช่วยให้ปริมาณการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ Mini-Gold Futures หรือสัญญาล่วงหน้าทองคำขนาด 10 บาท
“โดยส่วนตัวมองว่า Interest Rate Futures และ Mini-Gold Futures จะเป็นโปรดักส์ที่ได้รับการตอบรับจากกลุ่มนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศการแข่งขันในการออกโปรโมชั่น รวมถึงการออกให้ความรู้กับลูกค้าคงทยอยเพิ่มขึ้น” นายสัญญา กล่าว
ทั้งนี้ทางโกลเบล็ก มีแผนที่จะหาลูกค้าให้ตรงกลุ่มเป้าหมายของทั้ง 2 สินค้า ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ลูกค้าโกลด์ฟิวเจอร์สที่มีอยู่แล้วหันมาใช้ประโยชน์จากสัญญาล่วงหน้า SET 50 ให้มากขึ้นโดยบริษัทได้มีตั้งเป้ามูลค่าสัญญาที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี2553อีกกว่า 700,000 สัญญา
อย่างไรก็ตาม หลังสมาคม FI Club อนุมัติให้แต่ละโบรกเกอร์สามารถออกโปรโมชั่นให้กับลูกค้าโดยการให้รางวัลได้เป็นปีละไม่เกิน 2 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนน่าจะได้รับประโยชน์มากขึ้น พร้อมทั้งคาดว่าแต่ละโบรกเกอร์มีแนวโน้มที่จะอัดเคมเปญกันในช่วงมินิโกลด์ฟิวเจอร์ส ยาวจนถึงงาน SET in the City อย่างแน่นอน ดังนั้นบริษัทฯก็เตรียมงัดโปรโมชั่นเพื่อตอบสนองให้กับลูกค้าTFEX ทั้งรายใหม่และรายเก่า ให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด
สำหรับส่วนแบ่งทางการตลาดนั้น นายสัญญา กล่าวว่า บริษัทฯจะยังคงรักษาส่วนแบ่งได้เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของตลาด ขณะเดียวกันจะเน้นให้ความรู้ความเข้าใจในตัวสินค้าให้กับลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรที่มีอยู่ให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องทองคำ , เรื่องหุ้น และเรื่องการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า ให้มีศักยภาพมาขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการต่อยอดฐานลูกค้ารายใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต
4911
news & activity / KTAMออกบูธตลาดนัดกองทุนรวม
« on: July 09, 2010, 12:02:00 PM »
KTAMออกบูธตลาดนัดกองทุนรวม ขนกองทุนอัดโปรโมชั่นเอาใจลูกค้า
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2553 บริษัทได้ร่วมออกบูธในงานตลาดนัดกองทุนรวม ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สยามพารากอน ชั้น M โดยบริษัทได้เตรียมนำกองทุนไปจำหน่ายในงานหลายประเภทด้วยกัน พร้อมจัดโปรโมชั่นสำหรับผู้ที่ซื้อกองทุนมันนี่มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) ไว้ให้กับลูกค้า
โดยบริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ฟอเรน ฟิกซ์อินคัม11เดือน 3( KTFF11M3) เปิดขาย ระหว่างวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2553 อายุโครงการ 11 เดือน มูลค่า 1,500 ล้านบาท กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ ทั้ง 100% เครดิตเรตติ้งที่ AA โดยฟิทซ์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.10% ต่อปี โดยมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดเสนอขายรอบใหม่ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือน คุ้มครองเงินต้น 4 ( KTFIX 6 M4 ) อายุโครงการ 6 เดือน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 76% ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคิน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 0.95% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนผู้ลงทุนไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย
โดยผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนดังกล่าวในงานตลาดนัดกองทุนรวม ที่มียอดซื้อตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไปรับกระเป๋าเอนกประสงค์ , ลงทุน 100,000 บาท ขึ้นไป รับ ThumbDrive 4 GB และ ลงทุน 200,000 บาท ขึ้นไป รับบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 500 บาท ซึ่งโปรโมชั่นดังกล่าว รวมถึงกองทุนประเภทมันนี่มาร์เก็ต และกองทุนรวมทุกประเภทที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท
นอกจากนี้ ได้จัดโปรโมชั่นเสริม กองทุนประเภท RMF /LTF นอกเหนือจากโปรโมชั่นหลัก สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนในงานดังกล่าว โดยลงทุน50,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 200 บาท , ลงทุน 100,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่มบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 500 บาท ลงทุน 200,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 1,000 บาท ลงทุน 300,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตร เทสโก้โลตัส มูลค่า 1,500 บาท ลงทุน 400,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 2,000 บาท และลงทุน 500,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 2,500 บาท ส่วนโปรโมชั่นหลักในปี 2553 รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ ( KTSS) มูลค่าสูงสุดถึง 13,000 บาท
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2553 บริษัทได้ร่วมออกบูธในงานตลาดนัดกองทุนรวม ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สยามพารากอน ชั้น M โดยบริษัทได้เตรียมนำกองทุนไปจำหน่ายในงานหลายประเภทด้วยกัน พร้อมจัดโปรโมชั่นสำหรับผู้ที่ซื้อกองทุนมันนี่มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) ไว้ให้กับลูกค้า
โดยบริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ฟอเรน ฟิกซ์อินคัม11เดือน 3( KTFF11M3) เปิดขาย ระหว่างวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2553 อายุโครงการ 11 เดือน มูลค่า 1,500 ล้านบาท กองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ ทั้ง 100% เครดิตเรตติ้งที่ AA โดยฟิทซ์ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.10% ต่อปี โดยมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดเสนอขายรอบใหม่ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือน คุ้มครองเงินต้น 4 ( KTFIX 6 M4 ) อายุโครงการ 6 เดือน ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 76% ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคิน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 0.95% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนผู้ลงทุนไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย
โดยผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนดังกล่าวในงานตลาดนัดกองทุนรวม ที่มียอดซื้อตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไปรับกระเป๋าเอนกประสงค์ , ลงทุน 100,000 บาท ขึ้นไป รับ ThumbDrive 4 GB และ ลงทุน 200,000 บาท ขึ้นไป รับบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 500 บาท ซึ่งโปรโมชั่นดังกล่าว รวมถึงกองทุนประเภทมันนี่มาร์เก็ต และกองทุนรวมทุกประเภทที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท
นอกจากนี้ ได้จัดโปรโมชั่นเสริม กองทุนประเภท RMF /LTF นอกเหนือจากโปรโมชั่นหลัก สำหรับผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนในงานดังกล่าว โดยลงทุน50,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 200 บาท , ลงทุน 100,000 บาทขึ้นไป รับเพิ่มบัตรไอศครีม Swensen’s มูลค่า 500 บาท ลงทุน 200,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 1,000 บาท ลงทุน 300,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตร เทสโก้โลตัส มูลค่า 1,500 บาท ลงทุน 400,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 2,000 บาท และลงทุน 500,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มบัตรเทสโก้โลตัส มูลค่า 2,500 บาท ส่วนโปรโมชั่นหลักในปี 2553 รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ ( KTSS) มูลค่าสูงสุดถึง 13,000 บาท
4912
news & activity / ข่าว Gossip News บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE)
« on: July 09, 2010, 11:59:43 AM »
ข่าว Gossip News บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE)
ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์เตรียมแผนในการขยายงานบริษัทอยู่เป็นนานสองนาน สำหรับ “ พนม ควรสถาพร” บอสใหญ่แห่ง บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE)เพราะในที่สุดก็ประกาศคลอดบริษัทย่อย “เอจีอี เทอร์มินอล” มาต่อยอดการบริหารงานด้านลอจิสติกส์จนได้ มิหนำซ้ำยังสามารถล ดต้นทุนบ ริษัทได้เฉลี่ยปีละเกือบ100 ล้านบาทซะด้วย ยังไม่หมดแค่นั้น AGET2 ยังได้รับประโยชน์จากภาษีจากBOI เป็นเวลา 8 ปี เรียกว่างานนี้ บริษัทแม่อย่างAGE สามารถประหยัดคอร์สได้อื้อ ได้ยินแบบนี้แล้วคงต้องยกนิ้วให้กับการบริหารงานสไตล์คนทำงานที่เอาถ่านอย่างเฮียพนม จริงๆ
ไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์เตรียมแผนในการขยายงานบริษัทอยู่เป็นนานสองนาน สำหรับ “ พนม ควรสถาพร” บอสใหญ่แห่ง บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE)เพราะในที่สุดก็ประกาศคลอดบริษัทย่อย “เอจีอี เทอร์มินอล” มาต่อยอดการบริหารงานด้านลอจิสติกส์จนได้ มิหนำซ้ำยังสามารถล ดต้นทุนบ ริษัทได้เฉลี่ยปีละเกือบ100 ล้านบาทซะด้วย ยังไม่หมดแค่นั้น AGET2 ยังได้รับประโยชน์จากภาษีจากBOI เป็นเวลา 8 ปี เรียกว่างานนี้ บริษัทแม่อย่างAGE สามารถประหยัดคอร์สได้อื้อ ได้ยินแบบนี้แล้วคงต้องยกนิ้วให้กับการบริหารงานสไตล์คนทำงานที่เอาถ่านอย่างเฮียพนม จริงๆ
4913
news & activity / โครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจปีที่ ๒
« on: July 09, 2010, 11:58:02 AM »
โครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจปีที่ ๒
เพราะเยาวชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติและเป็นพลังอันบริสุทธิ์ มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ จึงจัดโครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจ ขึ้นเป็นปีที่ ๒ เพื่อเป็นการต่อยอด ผลงานของเด็กและเยาวชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนและสังคม โดยขอเชิญชวนเยาวชนหรือ กลุ่มเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ มีผลงานโครงการการสร้างสรรค์หรือกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ลงมือทำมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๒ ปี ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจ ปี ๒
เธอ คือ แรงบันดาลใจ เป็นโครงการที่มีส่วนในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน พัฒนา คลื่นลูกใหม่ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและมีคุณค่าต่อสังคมไทย รายละเอียดการดำเนินงาน คือ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเข้าไปค้นหากิจกรรมหรือโครงการของเด็กและเยาวชนที่ตั้งใจทำ ความดีให้กับสังคมและเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า ๒ ปีเป็นโครงการที่ทำขึ้นด้วย แรงบันดาลใจอันมุ่งมั่นที่จะช่วยเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นเป็นแบบอย่างอันดีงามให้เด็กและเยาวชนคนอื่น ได้ดำเนินรอยตามในความหมาย “เธอ คือ แรง บันดาลใจ” เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาแล้ว มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะเข้าไปร่วมต่อยอดความคิดโดยการมอบทุน ดำเนินการและพัฒนาโครงการของเยาวชนเหล่านั้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องตลอดจนจัดกิจกรรม เชิดชูเกียรติโครงการของเด็กๆ จัดพิมพ์เป็นหนังสือในชื่อเดียวกัน
เด็กๆ หรือเยาวชนท่านใดสนใจสามารถติดต่อส่งโครงการเข้าร่วมได้ตามที่ โครงการ “เธอ คือ แรงบันดาลใจ” ตู้ปณ. ๑๑๑๙ ปณฝ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ ๑๐๓๑๑ โทรศัพท์ ๐๒ ๖๕๒ ๑๑๕๕ ต่อ ๒๐๑ โทรสาร ๐๒ ๖๕๓ ๑๑๕๙ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ๐๘๒ ๗๙๖ ๑๖๗๐-๑
E-mail : u.inspiration@hotmail.com ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
แล้วน้องๆ หนูๆก็จะเป็น แรงบันดาลใจให้คนไทยคนต่อๆ ไ ป
เพราะเยาวชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติและเป็นพลังอันบริสุทธิ์ มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ จึงจัดโครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจ ขึ้นเป็นปีที่ ๒ เพื่อเป็นการต่อยอด ผลงานของเด็กและเยาวชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชนและสังคม โดยขอเชิญชวนเยาวชนหรือ กลุ่มเยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑-๖ มีผลงานโครงการการสร้างสรรค์หรือกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ลงมือทำมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๒ ปี ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ เธอ คือ แรงบันดาลใจ ปี ๒
เธอ คือ แรงบันดาลใจ เป็นโครงการที่มีส่วนในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน พัฒนา คลื่นลูกใหม่ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและมีคุณค่าต่อสังคมไทย รายละเอียดการดำเนินงาน คือ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเข้าไปค้นหากิจกรรมหรือโครงการของเด็กและเยาวชนที่ตั้งใจทำ ความดีให้กับสังคมและเป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า ๒ ปีเป็นโครงการที่ทำขึ้นด้วย แรงบันดาลใจอันมุ่งมั่นที่จะช่วยเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้นเป็นแบบอย่างอันดีงามให้เด็กและเยาวชนคนอื่น ได้ดำเนินรอยตามในความหมาย “เธอ คือ แรง บันดาลใจ” เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาแล้ว มูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะเข้าไปร่วมต่อยอดความคิดโดยการมอบทุน ดำเนินการและพัฒนาโครงการของเยาวชนเหล่านั้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องตลอดจนจัดกิจกรรม เชิดชูเกียรติโครงการของเด็กๆ จัดพิมพ์เป็นหนังสือในชื่อเดียวกัน
เด็กๆ หรือเยาวชนท่านใดสนใจสามารถติดต่อส่งโครงการเข้าร่วมได้ตามที่ โครงการ “เธอ คือ แรงบันดาลใจ” ตู้ปณ. ๑๑๑๙ ปณฝ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ ๑๐๓๑๑ โทรศัพท์ ๐๒ ๖๕๒ ๑๑๕๕ ต่อ ๒๐๑ โทรสาร ๐๒ ๖๕๓ ๑๑๕๙ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ๐๘๒ ๗๙๖ ๑๖๗๐-๑
E-mail : u.inspiration@hotmail.com ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
แล้วน้องๆ หนูๆก็จะเป็น แรงบันดาลใจให้คนไทยคนต่อๆ ไ ป
4914
news & activity / กรมพลศึกษา นำวิทยาศาสตร์การกีฬาใช้ในโรงเรียน
« on: July 09, 2010, 11:56:09 AM »
กรมพลศึกษา นำวิทยาศาสตร์การกีฬาใช้ในโรงเรียน หวังสร้างนักเรียนสู่การเป็นนักกีฬาฟุตซอลระดับสากล
สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา ได้ดำเนินโครงการจัดทำรูปแบบการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนาศักยภาพนักกีฬาระดับนักเรียน เพื่อให้ผู้ฝึกสอนได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถของนักกีฬาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา
นายสมบัติ คุรุพันธ์ อธิบดีกรมพลศึกษา กล่าวว่า “ปัจจุบันวิทยาศาสตร์การกีฬาได้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาความสามารถทางการกีฬา โดยเฉพาะการนำมาใช้ในการพัฒนานักกีฬาในระดับเยาวชนที่มีอย่างแพร่หลาย ตามนโยบายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ที่ต้องการเน้นการเสริมสร้างสุขภาวะคนไทยให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ มีความสัมพันธ์ทางสังคมและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ โดยมุ่งการสร้างความมั่นคง ด้านอาหารและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา เสริมสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มออกกำลังกายและเล่นกีฬา โดยประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนากีฬา รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนมีความสนใจในการกีฬาและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
การดำเนินโครงการในครั้งนี้ ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ฝึกสอนกีฬาได้เห็นภาพที่ชัดเจน จากการนำรูปแบบด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาไปใช้กับนักกีฬาระดับนักเรียน โดยได้นำรูปแบบที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นำไปปฏิบัติและฝึกซ้อมจริงกับนักกีฬาฟุตซอล โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว นอกจากนี้ได้จัดทำวีดิทัศน์(ดีวีดี)เรื่อง “วิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับกีฬาฟุตซอล” เพื่อเผยแพร่แก่โรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ โดยเนื้อหาประกอบด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา 4 ด้าน ได้แก่ 1.จิตวิทยาการกีฬา 2.โภชนาการการกีฬา 3.เวชศาสตร์การกีฬา และ4.สรีรวิทยาและการพัฒนาสมรรถภาพทางกายเฉพาะกีฬา เป็นต้น
สำหรับสถานศึกษาที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา โทร.0-2219- 2671 หรือดูรายละเอียดที่ www.osrd.go.th
สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา กรมพลศึกษา ได้ดำเนินโครงการจัดทำรูปแบบการนำวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนาศักยภาพนักกีฬาระดับนักเรียน เพื่อให้ผู้ฝึกสอนได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถของนักกีฬาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา
นายสมบัติ คุรุพันธ์ อธิบดีกรมพลศึกษา กล่าวว่า “ปัจจุบันวิทยาศาสตร์การกีฬาได้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาความสามารถทางการกีฬา โดยเฉพาะการนำมาใช้ในการพัฒนานักกีฬาในระดับเยาวชนที่มีอย่างแพร่หลาย ตามนโยบายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ที่ต้องการเน้นการเสริมสร้างสุขภาวะคนไทยให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ มีความสัมพันธ์ทางสังคมและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ โดยมุ่งการสร้างความมั่นคง ด้านอาหารและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา เสริมสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มออกกำลังกายและเล่นกีฬา โดยประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนากีฬา รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนมีความสนใจในการกีฬาและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์”
การดำเนินโครงการในครั้งนี้ ได้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ฝึกสอนกีฬาได้เห็นภาพที่ชัดเจน จากการนำรูปแบบด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาไปใช้กับนักกีฬาระดับนักเรียน โดยได้นำรูปแบบที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นำไปปฏิบัติและฝึกซ้อมจริงกับนักกีฬาฟุตซอล โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว นอกจากนี้ได้จัดทำวีดิทัศน์(ดีวีดี)เรื่อง “วิทยาศาสตร์การกีฬาสำหรับกีฬาฟุตซอล” เพื่อเผยแพร่แก่โรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ โดยเนื้อหาประกอบด้วยวิทยาศาสตร์การกีฬา 4 ด้าน ได้แก่ 1.จิตวิทยาการกีฬา 2.โภชนาการการกีฬา 3.เวชศาสตร์การกีฬา และ4.สรีรวิทยาและการพัฒนาสมรรถภาพทางกายเฉพาะกีฬา เป็นต้น
สำหรับสถานศึกษาที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักวิทยาศาสตร์การกีฬา โทร.0-2219- 2671 หรือดูรายละเอียดที่ www.osrd.go.th
4915
ข่าวบันเทิง / “ชมพู” เน้นต่าง...คลอดเบอร์หนึ่ง ‘ซุปเปอร์เกิร์ล’ ป้อน “โซนี่”!!!
« on: July 09, 2010, 11:54:54 AM »
“ชมพู” เน้นต่าง...คลอดเบอร์หนึ่ง ‘ซุปเปอร์เกิร์ล’ ป้อน “โซนี่”!!! www.sugareyesgang.com
เปิดประเด็นกันที่ป๋าดัน...ชอบปั้นเด็กกก...! “ชมพู” สุทธิพงษ์ วัฒนจัง กำลังได้ยิ้มแก้มปริ เป็นปลื้มที่จะได้คลอดศิลปินแบรนด์ใหม่ชื่อ “SUGAR EYES” (ชูการ์ อายส์) ซึ่งถือเป็นซุปเปอร์เกิร์ลเบอร์แรกของ “ป๋าพู” หลังย้ายบ้านมาซุ่มเครียดผลิตศิลปินให้กับค่ายอินเตอร์ ‘โซนี่ มิวสิค’ กว่า 1 ปี ขอบอกแก็งค์นี้เทรนมาดี เน้นความต่าง แถมยังสวย น่ารัก มากความสามารถ เรียกว่าร้องดี - เต้นเก่ง...เป๊ะได้ดั่งใจป๋า! อยากเห็นเกิร์ลแก๊งค์ปั้นใหม่ของ ‘ป๋าพู’ ก่อนใคร...คลิค www.sugareyesgang.com !
เปิดประเด็นกันที่ป๋าดัน...ชอบปั้นเด็กกก...! “ชมพู” สุทธิพงษ์ วัฒนจัง กำลังได้ยิ้มแก้มปริ เป็นปลื้มที่จะได้คลอดศิลปินแบรนด์ใหม่ชื่อ “SUGAR EYES” (ชูการ์ อายส์) ซึ่งถือเป็นซุปเปอร์เกิร์ลเบอร์แรกของ “ป๋าพู” หลังย้ายบ้านมาซุ่มเครียดผลิตศิลปินให้กับค่ายอินเตอร์ ‘โซนี่ มิวสิค’ กว่า 1 ปี ขอบอกแก็งค์นี้เทรนมาดี เน้นความต่าง แถมยังสวย น่ารัก มากความสามารถ เรียกว่าร้องดี - เต้นเก่ง...เป๊ะได้ดั่งใจป๋า! อยากเห็นเกิร์ลแก๊งค์ปั้นใหม่ของ ‘ป๋าพู’ ก่อนใคร...คลิค www.sugareyesgang.com !
4916
news & activity / บิ๊กซี เปิดสาขาบิ๊กซีจูเนียร์ สระบุรี แห่งแรกของประเทศ
« on: July 09, 2010, 11:53:36 AM »
บิ๊กซี เปิดสาขาบิ๊กซีจูเนียร์ สระบุรี แห่งแรกของประเทศ เพิ่มความสะดวก สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน
สระบุรี – 5 กรกฎาคม 2553 : บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เปิดให้บริการบิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรี สาขาแห่งแรกของประเทศไทย เพิ่มความสะดวกในการจับจ่ายสินค้า สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนให้เติบโต พร้อมเติมเต็มให้กับห้างในท้องถิ่นสามารถตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับบิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรีแห่งนี้ถือเป็นสาขาจูเนียร์แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในชุมชนที่ต้องการความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน ด้วยขนาดพื้นที่เกือบ 2,000 ตารางเมตร มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 15,000 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหาร ของใช้ประจำวัน และของใช้ในบ้าน เป็นต้น
“บิ๊กซีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตำบลปากเพียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเรามั่นใจว่าบิ๊กซีจูเนียร์แห่งนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดีด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ การบริการด้วยใจ และราคาประหยัด” นางสาวจริยา กล่าว
การเปิดบิ๊กซีจูเนียร์ในครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มให้กับห้างในท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และถือเป็นความร่วมมือกับห้างในท้องถิ่นเนื่องจากบิ๊กซีจูเนียร์ตั้งอยู่ในพื้นที่ของห้างทวีกิจ คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่เก่าแก่ของจังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังถือเป็นการคืนกำไรให้กับสังคม เพราะบิ๊กซีมีนโยบายในการชำระภาษีคืนกลับสู่ท้องถิ่นในทุกพื้นที่ที่ไปเปิดให้บริการ ขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่นและให้พนักงานสามารถโอนย้ายกลับมาทำงานที่ภูมิลำเนา เพื่อให้พนักงานได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว โดยบิ๊กซีจูเนียร์สาขาสระบุรีดังกล่าวมีพนักงานรวมทั้งสิ้น 40 คน แบ่งเป็นพนักงานโอนย้ายกลับภูมิลำเนาจำนวน 20 คน และการจ้างงานในท้องถิ่นอีก 20 คน
“เราได้ร่วมมือกับห้างในท้องถิ่นเพื่อเติมเต็มให้กับทั้งทางห้างและคนในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในชุมชนแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจในชุมชนเติบโตขึ้นอีกด้วย” รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุป
ทั้งนี้บิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ในช่วงเปิดให้บริการ โดยลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกบิ๊กการ์ดฟรี สิทธิพิเศษเหนือใครด้วยส่วนลดสินค้าและร้านค้าชั้นนำทั่วไทยที่มีสัญญลักษณ์ ลดชัวร์ทั่วไทย
………………………………………………….
เกี่ยวกับ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในรูปแบบซูเปอร์เซ็นเตอร์ภายใต้ชื่อ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่หลากหลายในราคาสมเหตุสมผล ภายใต้สโลแกน “เราให้คุณมากกว่าคำว่าถูก” เพื่อสร้างความคุ้มค่าในระดับสูงสุดแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันมีสาขาที่เปิดให้บริการจำนวน 68 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.bigc.co.th
สระบุรี – 5 กรกฎาคม 2553 : บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เปิดให้บริการบิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรี สาขาแห่งแรกของประเทศไทย เพิ่มความสะดวกในการจับจ่ายสินค้า สร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนให้เติบโต พร้อมเติมเต็มให้กับห้างในท้องถิ่นสามารถตอบสนองความต้องการของคนในชุมชน
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับบิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรีแห่งนี้ถือเป็นสาขาจูเนียร์แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในชุมชนที่ต้องการความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อสินค้าในชีวิตประจำวัน ด้วยขนาดพื้นที่เกือบ 2,000 ตารางเมตร มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 15,000 รายการ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหาร ของใช้ประจำวัน และของใช้ในบ้าน เป็นต้น
“บิ๊กซีมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตำบลปากเพียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเรามั่นใจว่าบิ๊กซีจูเนียร์แห่งนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดีด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ การบริการด้วยใจ และราคาประหยัด” นางสาวจริยา กล่าว
การเปิดบิ๊กซีจูเนียร์ในครั้งนี้จะเป็นการเติมเต็มให้กับห้างในท้องถิ่นให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และถือเป็นความร่วมมือกับห้างในท้องถิ่นเนื่องจากบิ๊กซีจูเนียร์ตั้งอยู่ในพื้นที่ของห้างทวีกิจ คอมเพล็กซ์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่เก่าแก่ของจังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังถือเป็นการคืนกำไรให้กับสังคม เพราะบิ๊กซีมีนโยบายในการชำระภาษีคืนกลับสู่ท้องถิ่นในทุกพื้นที่ที่ไปเปิดให้บริการ ขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนการจ้างงานในท้องถิ่นและให้พนักงานสามารถโอนย้ายกลับมาทำงานที่ภูมิลำเนา เพื่อให้พนักงานได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว โดยบิ๊กซีจูเนียร์สาขาสระบุรีดังกล่าวมีพนักงานรวมทั้งสิ้น 40 คน แบ่งเป็นพนักงานโอนย้ายกลับภูมิลำเนาจำนวน 20 คน และการจ้างงานในท้องถิ่นอีก 20 คน
“เราได้ร่วมมือกับห้างในท้องถิ่นเพื่อเติมเต็มให้กับทั้งทางห้างและคนในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในชุมชนแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เศรษฐกิจในชุมชนเติบโตขึ้นอีกด้วย” รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวสรุป
ทั้งนี้บิ๊กซีจูเนียร์ สาขาสระบุรีได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ในช่วงเปิดให้บริการ โดยลูกค้าสามารถสมัครสมาชิกบิ๊กการ์ดฟรี สิทธิพิเศษเหนือใครด้วยส่วนลดสินค้าและร้านค้าชั้นนำทั่วไทยที่มีสัญญลักษณ์ ลดชัวร์ทั่วไทย
………………………………………………….
เกี่ยวกับ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในรูปแบบซูเปอร์เซ็นเตอร์ภายใต้ชื่อ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่หลากหลายในราคาสมเหตุสมผล ภายใต้สโลแกน “เราให้คุณมากกว่าคำว่าถูก” เพื่อสร้างความคุ้มค่าในระดับสูงสุดแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันมีสาขาที่เปิดให้บริการจำนวน 68 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สามารถเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.bigc.co.th
4917
news & activity / Re: MTS Gold แม่ทองสุกเปิด “ MTS Academy สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร”
« on: July 09, 2010, 11:52:22 AM »
MTS Gold launches integrated gold investment institution “MTS Academy” at latest branch on 28th floor Central World Office Building
MTS Gold Group gears up its presence as one of the country’s leading gold investment house by introducing MTS Academy, an integrated gold investment institution. The establishment is meant to upgrade and enhance gold trading skills for its clients, focusing on various training courses with subjects ranging from basic knowledge about investment in gold, fixing gold investment portfolios, to professional data analysis. MTS Academy will be located at MTS’s latest branch on the 28th floor of Central World Office building, aiming to serve VIP clients.
MTS Gold has established MTS Academy to provide knowledges and trading techniques on gold bullion and gold futures investment for all levels of clients and investors via conduction of seminars and traning courses, said Dr. Kritcharat Hirunyasiri, M.D., President of MTS Gold Group Co., Ltd.
At MTS academy, the most advanced learning technology such as Multi-Touch and Interactive Presentation has been adopted to allow comperhensive understanding while on-line tuition is also applicable.
Key elements of training courses at MTS Academy can be divided into three levels. At Basic Level, investors will learn about basic gold bullion and gold futures investment as well as relevant risks. The Intermediate Level will provide investors with knowledge on technical analysis and determination of gold price trend while the Advanced Level will equip investors with problem-solving methods for investors suffering investment losses as well as portfolio management and correction techniques to fix any investment error and to catch up with ongoing market trend.
“We are professional expert in gold business. We aim to pass on our knowledge and expertise to our clients and investors in every levels so that they will be able to invest with confidence and discipline that ensure continuous profitability from gold investment,” said Dr. Kritcharat.
To ensure smooth and well-rounded coverage of the course, MTS Group’s keyman Dr. Kritcharat will supervise in arrangement of the training courses while managing director of MTS Gold Futures Co., Ltd., Nuttapong Hirunyasiri, one of the group’s young-blood executives, will help develop understading in gold investment innovations to facilitate effective and profitable gold trading.
“MTS’ executives team comprise both experienced and well-educated young-blood that make the group capable of educating investors through both expertise and modern techonology to onpass the correct understanding about gold trading and increase investors’ profitability,” Dr. Kritnat said and added that “The group has expanded over 100% every year and it sees great opportunity in spreading its wings into the modern central business district at the Central World Office building to facilitate universal investment services in the gold market. “
To learn more about MTS Group, please visit our website at www.mtsgold.co.th For more details about gold trading seminar, please call 02-222-5959.
MTS Gold Group gears up its presence as one of the country’s leading gold investment house by introducing MTS Academy, an integrated gold investment institution. The establishment is meant to upgrade and enhance gold trading skills for its clients, focusing on various training courses with subjects ranging from basic knowledge about investment in gold, fixing gold investment portfolios, to professional data analysis. MTS Academy will be located at MTS’s latest branch on the 28th floor of Central World Office building, aiming to serve VIP clients.
MTS Gold has established MTS Academy to provide knowledges and trading techniques on gold bullion and gold futures investment for all levels of clients and investors via conduction of seminars and traning courses, said Dr. Kritcharat Hirunyasiri, M.D., President of MTS Gold Group Co., Ltd.
At MTS academy, the most advanced learning technology such as Multi-Touch and Interactive Presentation has been adopted to allow comperhensive understanding while on-line tuition is also applicable.
Key elements of training courses at MTS Academy can be divided into three levels. At Basic Level, investors will learn about basic gold bullion and gold futures investment as well as relevant risks. The Intermediate Level will provide investors with knowledge on technical analysis and determination of gold price trend while the Advanced Level will equip investors with problem-solving methods for investors suffering investment losses as well as portfolio management and correction techniques to fix any investment error and to catch up with ongoing market trend.
“We are professional expert in gold business. We aim to pass on our knowledge and expertise to our clients and investors in every levels so that they will be able to invest with confidence and discipline that ensure continuous profitability from gold investment,” said Dr. Kritcharat.
To ensure smooth and well-rounded coverage of the course, MTS Group’s keyman Dr. Kritcharat will supervise in arrangement of the training courses while managing director of MTS Gold Futures Co., Ltd., Nuttapong Hirunyasiri, one of the group’s young-blood executives, will help develop understading in gold investment innovations to facilitate effective and profitable gold trading.
“MTS’ executives team comprise both experienced and well-educated young-blood that make the group capable of educating investors through both expertise and modern techonology to onpass the correct understanding about gold trading and increase investors’ profitability,” Dr. Kritnat said and added that “The group has expanded over 100% every year and it sees great opportunity in spreading its wings into the modern central business district at the Central World Office building to facilitate universal investment services in the gold market. “
To learn more about MTS Group, please visit our website at www.mtsgold.co.th For more details about gold trading seminar, please call 02-222-5959.
4918
news & activity / MTS Gold แม่ทองสุกเปิด “ MTS Academy สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร”
« on: July 09, 2010, 11:49:41 AM »
MTS Gold แม่ทองสุกเปิด “ MTS Academy สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร”
พร้อมเปิดสำนักงานใจกลางเมือง ณ ออฟฟิต เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28
ค่าย MTS แม่ทองสุก เดินหน้าสานต่อความเป็นผู้นำการลงทุนทองคำที่แข็งแกร่ง เปิดตัว “MTS Academy สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร” เพื่อรองรับแผนการยกระดับและเพิ่มพูนทักษะให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการจัดการอบรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนทองคำ การแก้ไขพอร์ตการลงทุนทองคำ ไปจนถึงขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลระดับมืออาชีพ ล่าสุดเปิดสาขาใจกลางเมือง ณ ออฟฟิต เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28 รองรับการให้บริการแก่ลูกค้าวีไอพี
น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัว “สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร หรือ MTS ACADEMY” ซึ่งเป็นสถาบันการให้ความรู้ด้านการลงทุนทองคำแท่ง และการลงทุนในธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส สำหรับนักลงทุนและลูกค้าทุกระดับ โดยมีการอบรม และให้ความรู้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นสำหรับการลงทุนทองคำ ไปจนถึงหลักความรู้เกี่ยวกับวิเคราะห์ข้อมูลระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งการให้คำปรึกษาด้านการแก้ไขพอร์ตลงทุนทองคำด้วย นอกจากนี้ระบบการเรียนการสอน ยังมีการนำรูปแบบการเรียนรู้ที่ทันสมัย มาใช้ อาทิ ระบบ Multi-Touch and Interactive Presentation เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น รวมถึงการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ โดยล่าสุดได้เปิดสาขาที่ อาคารสำนักงาน เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28 เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและนักลงทุนด้วย
สำหรับเนื้อหาการอบรมของ MTS Academy โดยกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส แม่ทองสุก แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับBasic Level (ระดับเบื้องต้น) เป็นการสอนให้เข้าใจถึงการลงทุนในทองคำแท่ง และ โกลด์ฟิวเจอร์ พร้อมทั้งความเสี่ยงที่นักลงทุนควรจะเข้าใจ ระดับ Intermediate Level (ระดับกลาง) เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค และแนวโน้มของทองคำ โดยที่สามารถนำไปใช้ได้ด้วยตนเอง และระดับ Advanced Level (ระดับสูง) ช่วยแก้ปัญหาแก่นักลงทุนที่ประสบภาวะขาดทุน จะได้เข้าใจถึงวิธีการบริหาร และแก้ไขพอร์ต เพื่อที่จะได้ลงทุนได้อย่างถูกต้องตามแนวโน้มตลาด
“ เราเป็นผู้ประกอบธุรกิจทองคำที่มีความเป็นมืออาชีพ โดยมีความมุ่งหวังที่จะถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่ลูกค้า และนักลงทุนในทุกระดับชั้น เพื่อที่จะได้ลงทุนอย่างมั่นใจและมีวินัยที่ดี อันจะนำมาซึ่งการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในตลาดทองคำนั่นเอง” น.พ.กฤชรัตน์ กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก มีนายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะช่วยให้ระบบการอบรมต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุม ในขณะที่มีคุณณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท MTS Gold Futures ซึ่งเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ที่จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการลงทุนทองคำ เพื่อให้ลูกค้าและนักลงทุนได้รับความสะดวกสบาย รวมถึงการสร้างความได้เปรียบในการลงทุนในตลาดทองคำนั่นเอง
“ นับว่ากลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก มีฝ่ายบริหารที่ครบวงจรทั้งคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ รวมถึงมีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงมีความพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทองคำได้อย่างถูกต้อง และเพิ่มโอกาสในการสร้างความสำเร็จในการลงทุนในตลาดทองคำ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเติบโตของกลุ่มมากกว่าปีละ 100% จึงได้มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจสู่พื้นที่สำคัญกลางใจเมือง ที่อาคารเซ็นทรัลเวิลดิ์ เพื่อรองรับบริการการลงทุนในตลาดทองคำที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าที่สนใจข้อมูลของบริษัทฯ สามารถดูได้จากเว็บไซต์ www.mtsgold.co.th ซึ่งได้รับการพัฒนามาตรฐานที่น่าเชื่อถือมากกว่า 4 ปีเต็ม ส่วนผู้สนใจเข้าร่วมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับทองคำ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-222-5959” น.พ.กฤชรัตน์ กล่าว
พร้อมเปิดสำนักงานใจกลางเมือง ณ ออฟฟิต เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28
ค่าย MTS แม่ทองสุก เดินหน้าสานต่อความเป็นผู้นำการลงทุนทองคำที่แข็งแกร่ง เปิดตัว “MTS Academy สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร” เพื่อรองรับแผนการยกระดับและเพิ่มพูนทักษะให้กับลูกค้า โดยเฉพาะการจัดการอบรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุนทองคำ การแก้ไขพอร์ตการลงทุนทองคำ ไปจนถึงขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลระดับมืออาชีพ ล่าสุดเปิดสาขาใจกลางเมือง ณ ออฟฟิต เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28 รองรับการให้บริการแก่ลูกค้าวีไอพี
น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้เปิดตัว “สถาบันการลงทุนทองคำครบวงจร หรือ MTS ACADEMY” ซึ่งเป็นสถาบันการให้ความรู้ด้านการลงทุนทองคำแท่ง และการลงทุนในธุรกิจโกลด์ฟิวเจอร์ส สำหรับนักลงทุนและลูกค้าทุกระดับ โดยมีการอบรม และให้ความรู้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นสำหรับการลงทุนทองคำ ไปจนถึงหลักความรู้เกี่ยวกับวิเคราะห์ข้อมูลระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งการให้คำปรึกษาด้านการแก้ไขพอร์ตลงทุนทองคำด้วย นอกจากนี้ระบบการเรียนการสอน ยังมีการนำรูปแบบการเรียนรู้ที่ทันสมัย มาใช้ อาทิ ระบบ Multi-Touch and Interactive Presentation เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการเรียนรู้ที่ง่ายขึ้น รวมถึงการเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ โดยล่าสุดได้เปิดสาขาที่ อาคารสำนักงาน เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 28 เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและนักลงทุนด้วย
สำหรับเนื้อหาการอบรมของ MTS Academy โดยกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส แม่ทองสุก แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับBasic Level (ระดับเบื้องต้น) เป็นการสอนให้เข้าใจถึงการลงทุนในทองคำแท่ง และ โกลด์ฟิวเจอร์ พร้อมทั้งความเสี่ยงที่นักลงทุนควรจะเข้าใจ ระดับ Intermediate Level (ระดับกลาง) เพื่อให้นักลงทุนได้เข้าใจถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค และแนวโน้มของทองคำ โดยที่สามารถนำไปใช้ได้ด้วยตนเอง และระดับ Advanced Level (ระดับสูง) ช่วยแก้ปัญหาแก่นักลงทุนที่ประสบภาวะขาดทุน จะได้เข้าใจถึงวิธีการบริหาร และแก้ไขพอร์ต เพื่อที่จะได้ลงทุนได้อย่างถูกต้องตามแนวโน้มตลาด
“ เราเป็นผู้ประกอบธุรกิจทองคำที่มีความเป็นมืออาชีพ โดยมีความมุ่งหวังที่จะถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่ลูกค้า และนักลงทุนในทุกระดับชั้น เพื่อที่จะได้ลงทุนอย่างมั่นใจและมีวินัยที่ดี อันจะนำมาซึ่งการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในตลาดทองคำนั่นเอง” น.พ.กฤชรัตน์ กล่าว
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก มีนายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ เป็นหัวเรือใหญ่ที่จะช่วยให้ระบบการอบรมต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุม ในขณะที่มีคุณณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท MTS Gold Futures ซึ่งเป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ที่จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการลงทุนทองคำ เพื่อให้ลูกค้าและนักลงทุนได้รับความสะดวกสบาย รวมถึงการสร้างความได้เปรียบในการลงทุนในตลาดทองคำนั่นเอง
“ นับว่ากลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก มีฝ่ายบริหารที่ครบวงจรทั้งคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ รวมถึงมีความสามารถในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงมีความพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทองคำได้อย่างถูกต้อง และเพิ่มโอกาสในการสร้างความสำเร็จในการลงทุนในตลาดทองคำ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเติบโตของกลุ่มมากกว่าปีละ 100% จึงได้มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจสู่พื้นที่สำคัญกลางใจเมือง ที่อาคารเซ็นทรัลเวิลดิ์ เพื่อรองรับบริการการลงทุนในตลาดทองคำที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น สำหรับลูกค้าที่สนใจข้อมูลของบริษัทฯ สามารถดูได้จากเว็บไซต์ www.mtsgold.co.th ซึ่งได้รับการพัฒนามาตรฐานที่น่าเชื่อถือมากกว่า 4 ปีเต็ม ส่วนผู้สนใจเข้าร่วมอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับทองคำ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-222-5959” น.พ.กฤชรัตน์ กล่าว
4919
news & activity / Re: แคริ่ง แนะนำ ครีมยืดผมถาวร สูตรพิเศษ
« on: July 05, 2010, 10:33:02 AM »
แคริ่ง ผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ที่แชมป์ผมโลกเลือกใช้ แนะนำ ซีน พลัส ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมที่ให้เฉดสีตรง คงประกายนุ่ม
ซีน พลัส “SEEN+” หนึ่งในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมของ แคริ่ง ผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ที่แชมป์ผมโลกเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมคุณภาพจากแคริ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสีผมที่ให้เฉดสีที่ตรง คงประกายนุ่ม เงางาม สวยอย่างมีสไตล์กับ 18 เฉดสี เพื่อเปลี่ยนบุคลิกใหม่ สู่ความมั่นใจไม่ซ้ำแบบใคร พร้อมด้วยเทคนิคพิเศษการเร่งสี (Speed Color Technique) ที่ทำให้การทำสีผมรวดเร็วขึ้นอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังได้เฉดสีตรงและอยู่ทนนานขึ้น
ซีน พลัส ขอแนะนำ 3 เฉดสี ที่เหมาะกับบุคลิกของคนไทย สีน้ำตาลเข้มประกายทอง สำหรับผู้ที่มีผิวสีแทนหรือผิวคล้ำเข้ม สีบลอนด์เปลือกไม้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสีแทนหรือผิวคล้ำเข้ม และ สีบลอนด์ประกายเขียว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสองสี หรือผิวขาว สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร.02-892-0525-34 หรือ คุณวรานันท์ 089-951-4500
4920
news & activity / Re: ปีที่ 9 กับเทศกาลดนตรีแจ๊ส HUA HIN JAZZ FESTIVAL 2010 Presented by PTT”
« on: July 05, 2010, 10:28:41 AM »
HUA HIN JAZZ FESTIVAL 2010 Presented by PTT” ร่วมอนุรักษ์ชายหาดและสิ่งแวดล้อม
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดงาน “HUA HIN JAZZ FESTIVAL 2010 Presented by PTT” พร้อมด้วย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอภินันท์ จันทรังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสุวิทย์ เหรียญรุ่งเรือง รองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหัวหิน และนางปัทมา โยชิมุระ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท พร้อมด้วยคณะผู้จัดงาน ร่วมกันอนุรักษ์ความสะอาดด้วยการรณรงค์เก็บขยะรอบๆ พื้นที่จัดคอนเสิร์ต บริเวณหน้าโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท เพื่อคืนทัศนียภาพที่สวยงามให้แก่ชายหาดหัวหิน เมื่อเร็วๆ นี้
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดงาน “HUA HIN JAZZ FESTIVAL 2010 Presented by PTT” พร้อมด้วย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นายอภินันท์ จันทรังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายสุวิทย์ เหรียญรุ่งเรือง รองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหัวหิน และนางปัทมา โยชิมุระ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท พร้อมด้วยคณะผู้จัดงาน ร่วมกันอนุรักษ์ความสะอาดด้วยการรณรงค์เก็บขยะรอบๆ พื้นที่จัดคอนเสิร์ต บริเวณหน้าโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท เพื่อคืนทัศนียภาพที่สวยงามให้แก่ชายหาดหัวหิน เมื่อเร็วๆ นี้