Recent Posts

Pages: 1 ... 8 9 [10]
91
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร
รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม
แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท





มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินหน้าบรรเทาทุกข์จากสภาวะอากาศร้อนแก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร รุดส่งมอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น พร้อมค่าพาหนะ ค่าติดตั้งพัดลม แก่โรงเรียนที่ขาดแคลนเพิ่มอีก 5 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท

ระหว่างวันที่ 13 -19 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย  นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก พร้อมด้วย นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ในโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร ครั้งที่ 2 ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วยจังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ระยอง ตราด และสระแก้ว รวม 5 จังหวัด 25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังได้มอบชุดนักเรียน ให้แก่นักเรียนทั้ง 25 โรงเรียน รวม 750 ชุด รวมงบประมาณทั้งสิ้น 987,050 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นเจ็ดพันห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียนได้คลายร้อนและมีสมาธิในการเรียนการสอน โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี




โครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายให้คณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เร่งดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร นำร่องเมื่อปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โดยมอบชุดพัดลมแก่สถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด  25 โรงเรียน  และได้ขยายพื้นที่บรรเทาทุกข์ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2568 รวมการดำเนินการโครงการพัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดารแล้ว 10 จังหวัด 50 โรงเรียน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท






 
ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ชนชั้น และศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ภายใต้ปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดต่อสอบถาม ตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

** มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต **





92
เริ่มแล้ว “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47”
อวดโฉมรถสุดวินเทจ ฉลอง 30 ปี ฟิวเจอร์พาร์ค




            สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัด “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” แสดงรถโบราณ ทรงคุณค่ากว่าร้อยคัน พร้อมยกทัพรถคลาสสิค ร่วมฉลอง 30 ปี ฟิวเจอร์พาร์ค วันนี้–22 มิถุนายน 2568


            ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47 จัดภายใต้แนวคิด “ความหวังยุคหลังสงคราม-The Post-War Hope” โดยปีนี้มีผู้ส่งรถโบราณ และรถคลาสสิคเข้าประกวด และจัดแสดงให้ชมกว่า 100 คัน ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์


            การประกวดแบ่งออกเป็น 7 รุ่น ได้แก่ รถรุ่นบรรพบุรุษ รถรุ่นผ่านศึก รถโบราณ รถรุ่นก่อนสงคราม รถรุ่นหลังสงคราม รถคลาสสิค และรถคลาสสิคร่วมสมัย โดยรถเด่น ได้แก่ Mercedes-Benz 300 Cabriolet D ปี 1953 รถเปิดประทุนคันงาม ซึ่งเป็นแบบในโปสเตอร์งานปีนี้


            ยิ่งกว่านั้น ยังมีการประกวด รถจำลอง รถดัดแปลง รถประดิษฐ์พิเศษ รถแจกวาร์ รถมีนี รถโฟล์คสวาเกน รถอเมริกัน และรถเฟียต พร้อมรถคลาสสิคร่วมสมัย อายุ 30 ปี ที่นำมาแสดงเป็นพิเศษร่วมฉลองครบรอบ 30 ปี ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์


            ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ได้แก่ เสวนาเกี่ยวกับรถโบราณ การประกวดราชินีแห่งความสง่างาม มินิคอนเสิร์ตจากสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำหน่ายสินค้าวินเทจ เช่น รถโบราณจำลอง หนังสือ นิตยสาร ฯลฯ


            กัลยา กมลรัตน์ ผู้อำนวยการด้านการตลาด ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค กล่าวว่า “ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ จัดพื้นที่แสดงรถโบราณ และรถคลาสสิค กว่า 4,000 ตารางเมตร เพราะเราไม่ได้เป็นเพียงช้อปปิ้ง เดสติเนชั่น เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์การค้าที่ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน โดยงานประกวดรถโบราณนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละเจเนอเรชัน




            นอกจากนี้ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ พร้อมมอบประสบการณ์พิเศษด้วยกิจกรรมสนุกที่ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย ได้แก่ Game Jigsaw Challenge / เวิร์คช็อพทำพวงกุญแจรถคลาสสิค – เติมสีสันตามสไตล์ / Rally Scan – ตามหารถไฮไลท์ภายในงาน รับของรางวัลมากมาย อาทิ กระเป๋า Limited Edition 30th Anniversary , กล่องกระดาษทิชชู ฯลฯ




            ชม “งานประกวดรถโบราณ ครั้งที่ 47” ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ ระหว่างวันที่ 18-22 มิถุนายน 2568 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vintagecarclub.or.th และ facebook.com/VintageCarClub
93
ยัวซ่าแบตเตอรี่จัดอบรมมอบความรู้ประจำปี 2568


             มร.สึเนะโนริ  โยชิมูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ผลิตและจัดจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์- รถจักรยานยนต์คุณภาพและมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น นำทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมจัดกิจกรรม “การอบรมมอบความรู้เกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์ ประจำปี 2568” ให้กับผู้แทนจำหน่ายแบตเตอรี่ยัวซ่า เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ New line up Battery ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยในปัจจุบัน และวิธีการตรวจเช็คแบตเตอรี่ เป็นต้น เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเทวมันตร์ทรา รีสอร์ท จังหวัดกาญจนบุรี







94
ยันม่าร์ฯ คืนกำไรให้กับเกษตรกรไทย จัดหนักแจกส่วนลดซื้อผลิตภัณฑ์ ครั้งที่ 2 มูลค่ารวมกว่า 169 ล้านบาท


บริษัท ยันม่าร์ เอส.พี.จำกัด (ประเทศไทย) ผู้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการเกษตรและผู้ผลิตเครื่องมืออุตสาหกรรมแบบครบวงจร จัดแคมเปญฯ “ยันม่าร์ ลุ้นหนักหลักแสน ลดสนั่น 40% ครั้งที่ 2” คืนกำไรให้เกษตรกรไทย ลุ้นรับส่วนลดในการซื้อผลิตภัณฑ์ยันม่าร์ ทั้งรถแทรกเตอร์และรถเกี่ยวนวดข้าว มูลค่ารวมของรางวัลกว่า 169 ล้านบาท ของรางวัลสำหรับกิจกรรมนี้ ได้แก่

1. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น EF393T 45 TH Edition มูลค่ารางวัลละ 233,600 บาท จำนวน 79 รางวัล

2. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น YM351R มูลค่ารางวัลละ 293,200 บาท จำนวน 79 รางวัล

3. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น YM358R มูลค่ารางวัลละ 332,400 บาท จำนวน 91 รางวัล

4. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น YM358R-L1 มูลค่ารางวัลละ 356,800 บาท จำนวน 85 รางวัล

5. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น Yanmar Solis30 45 TH Edition มูลค่ารางวัลละ 175,200 บาท จำนวน 100 รางวัล

6. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น Yanmar Solis75 45 TH Edition มูลค่ารางวัลละ 411,600 บาท จำนวน 51 รางวัล

7. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถแทรกเตอร์ ยันม่าร์ รุ่น Yanmar Solis90 มูลค่ารางวัลละ 530,800 บาท จำนวน 40 รางวัล

8. รางวัล บัตรกำนัล ยันม่าร์ สำหรับใช้เป็นส่วนลด 40% ซื้อรถเกี่ยวนวดข้าว ยันม่าร์ รุ่น YH1180 มูลค่ารางวัลละ 711,600 บาท จำนวน 10 รางวัล


สามารถร่วมลุ้นรับสิทธิ์กับแคมเปญฯ “ยันม่าร์ ลุ้นหนักหลักแสน ลดสนั่น 40% ครั้งที่ 2” ได้ง่าย ๆ เพียงลงทะเบียนผ่าน QR Code หรือคลิก https://yanmarthailandfanclub.com/luckydraw ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 14 กรกฎาคม 2568 และตรวจสอบผลผู้โชคดีที่ได้หน้าเฟซบุ๊ค Yanmar Thailand Fanclub’s Facebook page ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 รวมของรางวัลตลอดรายการ จำนวน 535  รางวัล รวมมูลค่าทั้งสิ้น 169,053,200 บาท
95
ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 เตรียมฉาย “ยอดปรมาจารย์ยิปมัน” ผลงานระดับโลกจากผู้กำกับหว่อง กาไว


             วันอาทิตย์นี้ ห้ามพลาด “ยอดปรมาจารย์ยิปมัน” (THE GRANDMASTER) ภาพยนตร์ดราม่า-แอ็กชันสุดเข้มข้นจากฝีมือการกำกับของ “หว่อง กาไว” นำแสดงโดย “โทนี่ เหลียง” ในบท “ยิปมัน” และ “จางซิยี่” ในบท “กงเอ๋อ” ลูกสาวปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ชื่อดัง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงสะกดใจผู้ชมด้วยฉากต่อสู้ที่งดงามราวบทกวี แต่ยังถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตอันทรงพลังของยอดปรมาจารย์กังฟู การันตีคุณภาพด้วยรางวัลและเสียงชื่นชมจากทั้งเวทีระดับนานาชาติและผู้ชมทั่วโลก




             โดยตัวหนังเล่าถึง ชีวิตของ “ยิปมัน” (โทนี่ เหลียง) ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิชาหมัดหย่งชุน ในช่วงที่ประเทศจีนกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ ยิปมันต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในวงการศิลปะการต่อสู้และชีวิตส่วนตัว เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อเขาได้พบกับ กงเอ๋อ (จางซิยี่) ลูกสาวของปรมาจารย์กง ซึ่งทั้งสองกลายเป็นคู่ปรับและเพื่อนร่วมทางที่ผูกพันกันด้วยศิลปะการต่อสู้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัย ยิปมันต้องเลือกระหว่างการปกป้องวิถีดั้งเดิมหรือปรับตัวเพื่อรักษาศิลปะการต่อสู้ให้คงอยู่ ขณะเดียวกันเขายังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายจากคู่ต่อสู้ที่ต้องการโค่นเขาลง อย่าพลาดชม “ยอดปรมาจารย์ยิปมัน” ในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 เวลา 14.55 น. ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และทาง true4u.com/live
96
MAKAVELIC เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ SPRING & SUMMER 2025
แบรนด์พรีเมียมจากโตเกียวสู่ไทย สายแฟชั่นที่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ไลฟ์สไตล์คนเมือง


ในยุคที่ “สไตล์” ต้องไปพร้อมกับ “การใช้งานจริง” และ “ความคล่องตัว” คือคำตอบของชีวิตคนเมือง MAKAVELIC จึงกลายเป็นชื่อที่สายแฟชั่นและสายลุยต่างจับตามอง เมื่อกระเป๋าไม่ได้มีหน้าที่แค่พกของ แต่ “พกความเป็นตัวตน” ไปกับคุณทุกที่


MAKAVELIC แบรนด์กระเป๋าสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นที่โตเกียว มีจุดเริ่มต้นจากแนวคิด “Balance of Urban and Utility” หรือ “ความสมดุลระหว่างสไตล์ในเมืองและฟังก์ชันที่ใช้ได้จริง” สะท้อนแนวทางการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตจริงของคนรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Urban ใส่ใจเรื่องดีไซน์ คุณภาพ และความคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา คนทำงานในเมือง และ นักธุรกิจ ครีเอทีฟ ไปจนถึงนักเดินทาง ในประเทศไทย
Design x Function: แฟชั่นที่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน



สิ่งที่ทำให้ MAKAVELIC แตกต่างจากแบรนด์กระเป๋าแฟชั่นทั่วไป คือ การออกแบบกระเป๋าให้เป็น “แฟชั่นที่ไม่ทิ้งฟังก์ชัน” ทุกดีไซน์เริ่มจากคำถามว่า “กระเป๋าใบนี้จะช่วยให้ชีวิตของผู้ใช้สะดวกขึ้นได้อย่างไร?” แล้วจึงขยายต่อไปสู่รูปทรง การจัดช่อง การเลือกวัสดุ และแนวทางการออกแบบที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อให้ตอบโจทย์ในด้านการใช้งานอย่างแท้จริง ดีไซน์เรียบ เท่ ใช้งานได้จริง คือ คีย์เวิร์ดของดีไซน์ที่แม้จะมาในโทนสีเรียบขรึม แต่แฝงไว้ด้วยรายละเอียดที่แสดงถึงความใส่ใจ เช่น วัสดุกันน้ำ ความทนทาน ช่องจัดระเบียบที่คิดมาดี หรือแม้แต่การเย็บที่ประณีตทุกมุม มีความ Urban Street & Lifestyle และ Business ที่เรียบแต่มีคาแรกเตอร์ ซึ่งบาลานซ์ระหว่างแฟชั่นกับฟังก์ชันได้อย่างลงตัว โดยความพิเศษอีกอย่าง ของ MAKAVELIC คือ การนำกระเป๋าแต่ละใบมาใช้ร่วมกัน และมิกซ์แอนด์แมตช์สไตล์ใหม่ ๆ


MAKAVELIC SS25 เปิดตัว 4 ซีรีส์ใหม่ เติมฟังก์ชันให้ชีวิต เติมสไตล์ให้ทุกวัน

สำหรับสายแฟชั่นที่ใช้ชีวิตแบบ On-the-go และ Urban Explorer ที่กำลังมองหาไอเท็มใหม่ที่จะไปด้วยกันได้ทุกที่ทุกวัน MAKAVELIC ขอนำเสนอคอลเลกชันล่าสุด Spring/Summer 2025  ที่เปิดตัวพร้อมกันถึง 4 ซีรีส์ใหม่ ผสมผสานดีไซน์เท่แบบญี่ปุ่นเข้ากับฟังก์ชันที่พร้อมใช้งานจริงได้ทุกที่


สำหรับสายแฟชั่นที่ใช้ชีวิตแบบ On-the-go และ Urban Explorer ที่กำลังมองหาไอเท็มใหม่ที่จะไปด้วยกันได้ทุกที่ทุกวัน MAKAVELIC ขอนำเสนอคอลเลกชันล่าสุด Spring/Summer 2025  ที่เปิดตัวพร้อมกันถึง 4 ซีรีส์ใหม่ ผสมผสานดีไซน์เท่แบบญี่ปุ่นเข้ากับฟังก์ชันที่พร้อมใช้งานจริงได้ทุกที่

RICO SERIES : สัมผัสสไตล์ Military สุดเท่ที่มาในวัสดุทนทาน พร้อมดีไซน์ใหม่ในแบบกระเป๋าสะพายข้าง, เมสเซนเจอร์ และกระเป๋าคาดเอว ที่ถูกออกแบบให้รับมือกับชีวิตเมืองใหญ่ได้อย่างคล่องตัว และยังพร้อมลุยกับกิจกรรม Outdoor ได้อย่างไม่สะดุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไอเท็มที่ไปได้ทุกที่และเท่ทุกวัน


SQUAD SERIES : แรงบันดาลใจจากสายสปอร์ตที่ผสมความแข็งแกร่งกับความเท่ได้อย่างลงตัว ‘SQUAD’ คือ ซีรีส์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องดีไซน์และประสิทธิภาพการใช้งาน ด้วยผ้า CORDURA N/630D ที่แข็งแรงทนทาน มาพร้อมช่องใช้งานครบ ฟังก์ชันจัดเต็ม ใช้ได้ทั้งในวันทำงานหรือออกทริป


SIERRA SERIES : ซีรีส์ยอดนิยมที่มาพร้อมดีเทลพรีเมียม ฟังก์ชันจัดเต็ม ทั้งกระเป๋าเป้ขนาดกลาง กระเป๋าสะพายข้าง และกระเป๋าโท้ทใบใหญ่ เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา

LIMITED SERIES : พบกับคอลเลกชันลิมิเต็ดแห่งปี 2025 ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานจริงในทุกวัน พร้อมวัสดุ Ripstop Nylon กันน้ำ น้ำหนักเบา แต่คงความทนทานและดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร สำหรับคนที่อยากได้ไอเท็มชิ้นพิเศษที่บอกความเป็นตัวเองได้ในทุกการใช้งาน

พร้อมสัมผัส MAKAVELIC กระเป๋าพรีเมียมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้แล้ววันนี้ที่ Flagship Store Siam Square , One Bangkok, Siam Discovery, Central Eastville และ POP UP Stores

สามารถดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Makavelic Thailand
97
สภานโยบาย เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม นายกฯ มอบ อว. นำเทคโนโลยี AI พลิกโฉมเกษตร พร้อมดัน Joint Lab ไทย-จีน และหลักสูตรขั้นสูงกับไมโครซอฟท์


นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา


นางสาวศุภมาส กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานอนาคตของประเทศ ผ่านการพลิกโฉมภาคการเกษตรด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างบุคลากรครูที่มีคุณภาพสูงเพื่อพัฒนาการศึกษาของเยาวชน และผลักดันให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมเตรียมพัฒนากำลังคนรองรับอุตสาหกรรมดังกล่าว สิ่งเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ได้เสนอประเด็นสำคัญต่อที่ประชุม 4 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ การปฏิรูปภาคการเกษตรด้วย AI ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ กระทรวง อว. ดำเนินการ โดยมอบหมายให้ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาทางการเกษตร เช่น การพยากรณ์โรคพืช ภัยแล้ง น้ำท่วม และราคาผลผลิต เพื่อนำมาพัฒนา AI Chatbot โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นผู้พัฒนาระบบต้นแบบที่สามารถตอบคำถามเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเริ่มต้นกับพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ ข้าว และพืชอาหารสัตว์


ศ.ดร.ศุภชัย ยังกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาระบบข้อมูล ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้คำแนะนำที่แม่นยำแก่เกษตรกรผ่านแชทบอท เช่น การแจ้งเตือนแมลงศัตรูพืชที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว การพยากรณ์อากาศ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับโรคพืช ราคาผลผลิต เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวง อว. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน โดยมีข้อเสนอแนะให้มีผู้แทนจากภาคการเกษตรเข้าร่วมกำหนดแผนงาน รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อลดความซ้ำซ้อน และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ศ.ดร.ศุภชัย ยังได้นำเสนอ “โครงการผลิตครูเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2569–2582)” เพื่อผลิตครูคุณภาพสูงในสาขาที่ขาดแคลน ตรงตามความต้องการของพื้นที่ โดยมีเป้าหมายการบรรจุข้าราชการครู 17,392 คน โครงการนี้จะเน้นการพัฒนาทักษะผ่านการฝึกปฏิบัติจริงในโรงเรียนฝึกหัดครู (Teaching Training School: TTS) ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของผู้เรียนให้ทัดเทียมนานาชาติ โดยที่ประชุมเสนอให้นำผลการประเมินระยะที่ 1 มาประกอบการพิจารณาว่าสถาบันใดประสบความสำเร็จในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้เรียน เพื่อให้การดำเนินงานระยะที่ 2 มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และย้ำให้มีระบบประเมินสมรรถนะครูจากสถานการณ์จริง


ประเด็นต่อมา ปลัดกระทรวง อว. นำเสนอต่อที่ประชุม เรื่องการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัย นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์โดยการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน โดยให้สภานโยบายกำหนดชื่อหน่วยงานที่มีภารกิจวิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นที่จะใช้ระเบียบในการร่วมลงทุน ที่ประชุมเห็นชอบ อนุมัติหลักการให้ 7 สถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (สซ.) สามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปร่วมลงทุนต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้ เป็นการปลดล็อกศักยภาพงานวิจัยไทยให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและเกิดการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีได้


ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าของโครงการสำคัญที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนากำลังคนกว่า 84,900 คน ภายในปี พ.ศ. 2573 รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมแห่งชาติด้านเซมิคอนดักเตอร์ (National Semiconductor Training Centers) จำนวน 3 แห่ง ใน 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (มทม.) และโครงการความร่วมมือกับบริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ในการพัฒนาทักษะด้าน AI โดยตั้งเป้าฝึกอบรมนักพัฒนา 50,000 คน และผู้ใช้งานเบื้องต้นอีกอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งขณะนี้ได้บรรจุเนื้อหาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของวิชาศึกษาทั่วไป (General Education) ในมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลกระทบของนโยบายต่างประเทศต่อการศึกษาและวิทยาศาสตร์ของไทย เพื่อเตรียมมาตรการเชิงรุกดูแลนักเรียนและนักวิจัยไทยในต่างแดน และรับทราบความก้าวหน้าในการจัดงานประชุมวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือไทย–จีน โดยจะจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือหรือห้องปฏิบัติการร่วม (Joint Lab) โดยเฉพาะในด้านอวกาศและปัญญาประดิษฐ์ เช่น การจัดตั้ง Remote Sensing Data Center ระหว่าง China National Space Administration (CNSA) และ GISTDA รวมถึงห้องปฏิบัติการร่วมด้าน AI อื่น ๆ ต่อไป
98
สอวช. ร่วมกับ UNDP เปิดรายงานการพัฒนามนุษย์ปี 2025 เผยไทยติดอันดับ 4 อาเซียน ด้านการพัฒนามนุษย์ ชูจุดแข็งความเท่าเทียม-การพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วย AI และนวัตกรรมเชิงนโยบาย


เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 สำนักงานสภานโยบาย การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เปิดตัวรายงานการพัฒนามนุษย์ ประจำปี 2025 รวมทั้งเสวนา ในหัวข้อ “เทคโนโลยีของใคร? ทางเลือกของเรา : ทำอย่างไรให้ AI ทำงานเพื่อมนุษย์”


โดยรายงานระบุว่า ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 35 ปี ขณะที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศยังคงขยายตัวเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จึงเป็นจุดสำคัญที่จะต้องสร้างแนวทางใหม่โดยเน้นบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนทุกคนอย่างเท่าเทียมและไม่เป็นเหตุในการสร้างให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นในอนาคต สำหรับประเทศไทย รายงานระบุว่า อยู่อันดับที่ 76 จาก 193 ประเทศ และเป็นอันดับ 4 ในประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ บรูไน และมาเลเซีย โดยชี้ว่าไทยมีจุดแข็งด้านความเท่าเทียมทางเพศ และเป็นผู้นำในอาเซียนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน


ในรายงานยังระบุว่า AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับผลิตภาพ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และขยายโอกาสในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม โดย 3 เสาหลักที่ UNDP ไทยผลักดัน ได้แก่ 1. AI เพื่อเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขัน 2. AI เพื่อความทั่วถึง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ 3. AI เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นในระบบเศรษฐกิจและสังคม


นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึง “ระบบการศึกษาในยุค AI ของไทย” ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านในการเข้าสู่ AI โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรท้องถิ่นที่มีทักษะด้าน AI การพัฒนากฎระเบียบที่ล่าช้า ต้นทุนในการนำ AI ขนาดใหญ่มาใช้ที่ยังไม่คุ้มค่า รวมถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่การครองเทคโนโลยีเป็นของสหรัฐอเมริกาและจีน ขณะเดียวกันยังมีความกังวลเรื่องการสูญเสียงานจากระบบอัตโนมัติ โดยข้อมูลระบุว่าในช่วงปี 2025–2030 กลุ่มอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุด ได้แก่ นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ วิศวกร AI และวิศวกรการเรียนรู้ของเครื่องจักร นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน นักวิเคราะห์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และวิศวกรด้านพลังงานหมุนเวียน ส่วนอาชีพที่มีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ พนักงานธนาคาร พนักงานบัญชี คอลเซ็นเตอร์ แคชเชียร์ และพนักงานบริการหน้าร้าน


สำหรับบทบาทของการอุดมศึกษาไทยในยุค AI นั้น นางสาวสุชาดา กล่าวว่า กระทรวง อว. ขับเคลื่อนผ่านกรอบความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่ 1. ภาครัฐในฐานะผู้สนับสนุนเชิงนโยบาย 2. ภาคธุรกิจในฐานะผู้กำหนดความต้องการกำลังคน และ 3. สถาบันอุดมศึกษาในฐานะผู้พัฒนาเนื้อหาหลักสูตรให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน โดยโครงการสำคัญที่ได้รับการผลักดัน ได้แก่ โครงการ Higher Education Sandbox มีตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และดิจิทัลเทคโนโลยี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยออกแบบระบบ Block Course และฝึกงานแทนการเรียนบางวิชา ช่วยให้เรียนจบได้เร็วขึ้น ซึ่งสามารถผลิตกำลังแรงงานที่ตรงความต้องการของภาคเอกชน โดยนักศึกษาปี 1 จากหลักสูตรดังกล่าว 33% ได้รับการประเมินว่าสามารถทำงานได้ดีกว่านักศึกษาปี 3 จากหลักสูตรปกติ โครงการ National Credit Bank ระบบสะสมหน่วยกิตจากการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และจากประสบการณ์ตรง ซึ่งสอดรับกับแนวคิดที่ต้องการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม รองรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตและรับรองสมรรถนะจากการเรียนรู้นอกห้องเรียน โครงการ GenNX Model โมเดล เป็นการฝึกอบรมเข้มข้นเพื่อเข้าสู่การจ้างงาน โดยเชื่อมคนว่างงานเข้ากับบริษัทที่ต้องการแรงงานคุณภาพ ช่วยแก้ปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้าง

นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับบริษัท Microsoft พัฒนาโครงการ "AI for All" เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้าน AI ให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย ผ่านการจัดทำหลักสูตร การอบรมครู แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ และพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศเข้าสู่โลกแห่งเอไออย่างเท่าเทียมและยั่งยืน


ด้าน ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมเชิงนโยบายจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืน โดย สอวช. ได้เร่งพัฒนากลไกและเครื่องมือนโยบายใหม่ ๆ ตั้งแต่ต้นทางของการออกแบบนโยบายจนถึงการประเมินผล เช่น Design Thinking, Strategic Foresight, Regulatory Sandbox, Policy Accelerator และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ระบบนโยบายตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัว

อีกบทบาทสำคัญคือการผลักดันนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศ โดย กระทรวง อว. ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ (Thailand National AI Strategy 2022–2027) โดยยึด 5 แกนหลัก ได้แก่ 1. การเตรียมความพร้อมด้านจริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบ 2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไออย่างยั่งยืน 3. การพัฒนาทุนมนุษย์และการศึกษาด้าน AI 4. การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI 5. การผลักดันการประยุกต์ใช้เอไอในทุกภาคส่วน


ดร.สุรชัย ยังได้กล่าวย้ำว่า ความสำเร็จของยุทธศาสตร์ AI ต้องเกิดจากความร่วมมือแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานรัฐทุกระดับ การแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย การประสานทรัพยากรและองค์ความรู้เพื่อสร้างบริการสาธารณะอัจฉริยะที่เข้าถึงคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ AI กลายเป็นพลังแห่งการเติบโตอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมของประเทศไทยในอนาคต


ขณะที่ ศ.ดร.สุรินทร์ คำฝอย รองผู้อำนวย สอวช. ร่วมการเสวนา “ทางเลือกของประเทศไทย: ใช้ AI ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” โดยกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ด้านการศึกษา ทั้งจากจำนวนประชากรวัยเรียนที่ลดลง ตลอดจนอัตราการศึกษาต่อในระดับมัธยมและอุดมศึกษาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจุดอ่อนหลักคือ จำนวนปีเฉลี่ยของการศึกษาในประเทศไทยยังคงอยู่ที่เพียง 9 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มี HDI ในระดับสูงมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งแก้ไข

ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ สอวช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานปลัดกระทรวง อว. และ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เร่งขับเคลื่อนการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยนักศึกษาในทุก ๆ ช่วงของการอุดมศึกษา ตั้งแต่ 1. การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย พัฒนาระบบ MyTCAS ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ใช้ AI จับคู่นักเรียนกับสาขาวิชาที่เหมาะสมตามความถนัด ตั้งแต่ขั้นตอนสมัครจนถึงการยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษา 2. ตรวจสอบรับรองหลักสูตรด้วย AI ผ่านระบบ CISA ช่วยลดระยะเวลาอนุมัติจาก 120 วันเหลือเพียง 30 วัน ส่งผลให้หน่วยงานสามารถปล่อยกู้เพื่อการศึกษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ 3. การแนะแนวอาชีพแบบเฉพาะบุคคลทั้งในระหว่างการศึกษาและหลังจบการศึกษา โดยใช้แบบทดสอบวิเคราะห์ความถนัด และเชื่อมโยงกับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ (Skill Mapping) เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนและแม่นยำ ตลอดจนสนับสนุนการออกแบบหลักสูตรใหม่ให้สอดรับกับตลาดงาน


รองผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สอวช. ยังได้ร่วมพัฒนาเชิงนโยบายโดยใช้ AI เพื่อจัดกลุ่มหลักสูตร เช่น STEM และ Non-STEM ในการให้ทุนการศึกษา รวมทั้งประเมินและแนะนำหลักสูตรคุณภาพเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาระบบจับคู่ทักษะที่เชื่อมโยงช่องว่างด้านทักษะกับความต้องการของนายจ้างแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์ม STEMPlus

“เป้าหมายของเราคือ การใช้ AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพทางการศึกษา โดยไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ ต้องยึดหลักมนุษยธรรม ให้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพ ไม่ใช่แทนที่คน และเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้เข้าถึงการศึกษาในระดับสูง พร้อมปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับอาชีพในอนาคต” ศ.ดร.สุรินทร์ กล่าว
99
ซูเลียน เปิดตัวสุดปัง หจก.พหุธน บุรีรัมย์ เอเจนซี่ (BRF)
จุดประกายเครือข่ายภาคอีสาน สู่ความสำเร็จยั่งยืน


บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด จุดไฟแห่งความสำเร็จลุกโชนขึ้นอีกครั้งกลางเมืองบุรีรัมย์ เปิดตัวห้างหุ้นส่วนจำกัด พหุธน บุรีรัมย์ เอเจนซี่ (BRF) ศูนย์รวมพลังนักธุรกิจเครือข่ายสายเลือดใหม่ ภายใต้การนำของสองผู้นำรุ่นใหม่มากความสามารถ RCM ภุชงค์ สุดสวาท และ SE สาวิตรี สะอาดล้วน ที่ร่วมกันผลักดัน BRF ให้กลายเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนเครือข่ายธุรกิจ ซูเลียนแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

บรรยากาศภายในงาน Grand Opening สุดยิ่งใหญ่ ซึ่งจัดขึ้น ณ ใจกลางอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยได้รับเกียรติสูงสุดจาก ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง พันธมิตรทางธุรกิจ สมาชิก และแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างล้นหลาม

ไฮไลต์ของงานอยู่ที่เวทีแห่งแรงบันดาลใจ ที่ได้ 3 สุดยอดวิทยากรระดับแนวหน้า RCD ปราโมทย์ คงชัย, RCD วิมุกดา ภูทับทิม และ RCD ไพบูลย์ เมืองอุดม มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และกลยุทธ์เด็ดที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิตและธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมปลุกพลังในตัวผู้ร่วมงานให้กล้าที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด และเดินหน้าสู่ความฝันด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยพลังบวก



งานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปิดบ้าน BRF เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง "วิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของซูเลียน" ที่มุ่งมั่นสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สร้างรายได้อย่างมั่นคง และมอบโอกาสให้กับผู้คนในภูมิภาคนี้ได้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า "ภาคอีสาน" พร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจซูเลียนในระดับประเทศ

ก่อนจบงานยังมีเซอร์ไพรส์สุดพิเศษกับกิจกรรม "จับแจกรางวัลอั่งเปาเงินสด" ที่สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความสุข และพลังใจให้กับสมาชิกทุกคนได้กลับบ้านไปพร้อมแรงบันดาลใจเต็มพิกัด!

BRF ไม่ใช่แค่ศูนย์ธุรกิจ แต่คือศูนย์กลางความฝันที่จับต้องได้ และก้าวต่อไปของความสำเร็จที่เริ่มต้นจากใจกลางบุรีรัมย์!








100
"อินฟอร์มา มาร์เก็ต" แถลงข่าวประกาศความพร้อม
ยกระดับเวทีความงามภูมิภาคสู่ระดับโลกจัดงาน "Cosmoprof CBE ASEAN 2025"


นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมด้วย นางสาวแองเจิล ฟู ผู้อำนวยการโครงการ อินฟอร์มา มาร์เก็ต, นางสาวฟรานเชสกา โดนาติ ผู้บริหารด้านการตลาดระหว่างประเทศ เอเชีย โบโลญญาเฟียร์ คอสโมพรอฟ และ นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย แถลงข่าวจัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมความงามระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด ระหว่างวันที่ 25–27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานในปีนี้รวบรวมแบรนด์ความงามกว่า 2,000 แบรนด์จากผู้แสดงสินค้ากว่า 650 ราย พร้อมตอกย้ำบทบาทการเป็นเวทีสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมความงามอาเซียนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี เมื่อเร็ว ๆ นี้

ติดตามข่าวสารและรายละเอียดงานเพิ่มเติมได้ที่ http://www.cosmoprofcbeasean.com
ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเข้าร่วมงานได้ที่ https://www.cosmoprofcbeasean.com/registration
Pages: 1 ... 8 9 [10]