Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: 1 ... 737 738 [739] 740 741 ... 2404
11071
Sea (ประเทศไทย) และธุรกิจในเครือ เร่งผลักดันโครงการฝ่าวิกฤติ COVID-19 ระลอกใหม่
สนับสนุนทีมแพทย์-การรักษาผู้ป่วยเร่งด่วน พร้อมช่วย SMEs ท้องถิ่นและ Hidden Entrepreneur 
มอง “เศรษฐกิจ-สาธารณสุข-การศึกษา” เป็นโจทย์ใหญ่ เมื่อ “วิถีชีวิตใหม่” อยู่ยาว




Sea (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มที่ดำเนิน 3 ธุรกิจอยู่ในประเทศไทย ได้แก่ การีนา (Digital Entertainment) ช้อปปี้ (e-Commerce) และ ซีมันนี่ (Digital Financial Services)ตอกย้ำพันธกิจการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภค และเสริมศักยภาพธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยโครงการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่ โดยมุ่งสนับสนุน 2 ฟันเฟืองหลักในการระงับการแพร่ระบาด ได้แก่ 1.) การทำงานด้านสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 ทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยเด็ก 2.) การอำนวยความสะดวกให้ผู้คนอยู่บ้านเพื่อลดเสี่ยงภายใต้คุณภาพชีวิตที่ดีและมีรายได้

นางสาวมณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Sea (ประเทศไทย) กล่าวว่า “นอกจากการส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดี สะดวกสบาย และปลอดภัยในทุกๆ วัน ผ่านการดำเนินงานของธุรกิจในเครือแล้ว Sea (ประเทศไทย) เล็งเห็นว่าการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงอย่างกะทันหัน ส่งผลกระทบให้เกิดช่องว่างในการปรับตัวทั้งด้านสาธารณสุขและการส่งเสริมให้ผู้คนปรับตัวเพื่อหารายได้ จากช่องทางใหม่ๆ ได้ ในวันที่พวกเขาต้องอยู่บ้านเพื่อช่วยชาติลดเสี่ยงเป็นเวลานาน โดยกลุ่มที่เรามองว่ามีความเปราะบางหรือต้องการการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน ได้แก่ ทีมบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นด่านหน้าในการรักษาผู้ป่วย COVID-19 และรับความเสี่ยงในการติดเชื้อไว้มากที่สุด กลุ่มผู้ป่วย COVID-19 รวมถึงผู้ป่วยเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่ติดเชื้อมาจากสมาชิกคนอื่นภายในครอบครัวและไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามได้ กลุ่ม SMEs ท้องถิ่น และกลุ่ม Hidden Entrepreneurs เช่น กลุ่มคนที่เคยมีงานประจำ แม่บ้าน และนักเรียน-นักศึกษาที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน​ ซึ่งอาจพบปัญหาในการปรับตัวเมื่อผู้ว่าจ้างเผชิญหน้ากับวิกฤตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานลดลงเป็นอย่างมาก”

แนวทางสนับสนุนสังคมไทยร่วมฝ่าวิกฤติ COVID-19 ระลอกใหม่ของ Sea (ประเทศไทย) และบริษัทในเครือ มีดังนี้

1.)      เร่งสนับสนุนการรักษาผู้ป่วย COVID-19 อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มปลอดภัยในการทำงานให้บุคลากรในพื้นที่เสี่ยง

·       โครงการ Garena Stronger Together สมทบทุนรวม 1.2 ล้านบาทแก่มูลนิธิรามาธิบดี
พร้อมสร้างการตระหนักรู้ในสังคมผ่านกิจกรรม Gamers for Doctors ชวนเกมเมอร์ สตรีมเมอร์สระดับแนวหน้าของประเทศไทย และคนรุ่นใหม่ ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด พร้อมกระตุ้นการสนับสนุนจากระดับบุคคล ไม่ว่าจะเป็นด้านการขานรับแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องหรือการสมทบทุนต่างๆ

·       โครงการ Shopee Together ส่งมอบรถตู้แพทย์สนามฉุกเฉินจำนวน 1 คัน ให้แก่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย COVID-19 และทีมแพทย์สนามอย่างทันท่วงทีและปลอดภัย​ โดยมีการติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อกับโรงพยาบาลปลายทาง พร้อมระบบนำทางด้วย GPS ที่มีนวัตกรรมการแจ้งเตือนอัจฉริยะ เพื่อขนส่งผู้ป่วยและทีมแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ

·       การสนับสนุนเงินจำนวน 1.5 ล้านบาทให้แก่โรงพยาบาลเด็ก เพื่อจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจและรักษาผู้ป่วย COVID-19 ซึ่งเปนเด็ก​ เนื่องด้วยผู้ป่วยเด็กไม่สามารถรับการรักษาร่วมกับผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ใหญ่และไม่สามารถรับการรักษาในโรงพยาบาลสนามได้ ทำให้โรงพยาบาลเด็กเป็นศูนย์กลางรับดูแลผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่มีผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษาตัวมากที่สุดในปัจจุบัน








2.)    มุ่งถ่ายทอดและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการทำธรุกิจบนอีคอมเมิร์ซ การตลาดออนไลน์ รวมไปถึงทักษะด้านดิจิทัลต่างๆ ให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ท้องถิ่น และกลุ่ม Hidden Entrepreneur เข่น กลุ่มคนที่เคยมีงานประจำ แม่บ้าน และนักเรียน-นักศึกษา สามารถสร้างกระแสรายได้ใหม่ๆ ได้

·       Shopee Together นำความเชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซส่งเสริม SMEs และสินค้าท้องถิ่นสู่ตลาดใหม่ๆ ในประเทศ ผ่านแคมเปญ 'เที่ยวทิพย์ ช้อปของดีของทั่วไทย'
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทั่วไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยต่างภูมิภาค เพื่อทดแทนการขาดรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย

·       ขยายผลโปรแกรมการสอนยอดนิยมอย่าง Shopee Bootcamp และ Shopee e-Learning อย่างต่อเนื่องสู่ 2 หลักสูตร ได้แก่ “E-commerce 101”  ซึ่งมุ่งพัฒนาทักษะด้านการทำธุรกิจบนแพลตฟอร์มดิจิทัลให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยในอนาคต และ “Shopee Bootcamp Trainers” ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของ ”ตัวกลาง” หรือ “เทรนเนอร์” ที่มีบทบาทในการต่อยอดความรู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในแต่ละชุมชน โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายและพัฒนาเศรษฐกิจในระดับทวีคูณ พร้อมกันนั้นยังเปิดให้บุคคลทั่วไปเรียนวิชาอีคอมเมิร์ซได้ฟรีบนเว็บไซต์ Shopee Bootcamp​ https://shopeebootcamp.com/

3.)    การเตรียมความพร้อมด้านสินค้าอุปโภค-บริโภค ให้พร้อมต่อความต้องการของผู้บริโภคในช่วง “From Home” พร้อมมอบดีลส่วนลดเพื่อแบ่งเบาภาระผู้บริโภค

·       Shopee Together ส่งแคมเปญ “ช้อปอยู่บ้าน อุ่นใจ” #ShopeeFromHome
ซึ่งมาพร้อมสินค้าที่จำเป็นครอบคลุมทุกหมวดหมู่บน Shopee Mall ตลอดจนการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้บริโภค ด้วยการจัดโปรโมชั่น การแจกโค้ดส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาท, โค้ดรับเงินคืน 10%, Shopee Coins, โค้ดรับเงินคืน 12% เมื่อชำระเงินผ่าน ShopeePay

“สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2564 ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญที่ Sea (ประเทศไทย) จะต้องเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “Digital Nation” ตามวิสัยทัศน์อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะยังมีผลกระทบ ที่สร้าง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ในการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจในระยะยาวอย่างแน่นอน เนื่องด้วยพฤติกรรมการใช้จ่าย การชำระเงิน การรับเงินสนับสนุนต่างๆ การให้คุณค่ากับธุรกิจหรือโซลูชั่นเทคโนโลยีไร้สัมผัส (Touchless) เป็นต้น และทักษะที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการนำดาต้ามาปรับใช้จะยิ่งมีความสำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น​ในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเศรษฐกิจและสาธารณสุขที่ต้องเร่งจัดการ แต่ยังมีเรื่องการศึกษาและพัฒนาบุคลากรให้ขานรับต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดว่าจะคงอยู่อย่างถาวร ไม่เพียงในประเทศไทย แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก” คุณมณีรัตน์ กล่าวเสริม

###

เกี่ยวกับ Sea Limited

Sea Limited (NYSE: SE) เป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตแพลตฟอร์มสำหรับผู้บริโภค ถูกก่อตั้งที่ประเทศสิงคโปร์ในปี 2552 มีพันธกิจของบริษัท คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคและพัฒนาการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยด้วยเทคโนโลยี โดย Sea Limited ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย ดิจิทัลเอนเตอร์เทนเมนท์ (Digital Entertainment) อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) ดิจิทัลเพย์เมนต์และบริการการเงินดิจิทัล (Digital Payments and Financial Services) ได้แก่ การีนา (Garena) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ชั้นนำระดับโลก ช้อปปี้ (Shopee) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน และซีมันนี่ (SeaMoney) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลเพย์เมนต์และการเงินดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สามารถติดตามข่าวสาร Sea Limited ในประเทศไทย ได้ที่​
https://www.seathailand.com/

11072
รายการ “หนีเที่ยวกัน”
เสาร์ที่ 8 พฤษภาคม 2564 เวลา 08.30 น. Workpoint ช่อง 23



“ฟลุค&ลี” หนีเที่ยวทิพย์
โดนละลายทรัพย์กลางมิลาน!


                 “หนีเที่ยวกัน” อินเทรนด์ขอหนีเที่ยวทิพย์ ฟลุค-เกริกพล กับ​ ลี-นาตาลี พาเยือนอิตาลี ดูงานใหญ่ เวิลด์ เอ็กซ์โปที่ประเทศทั่วโลกมาปล่อยของกัน งานนี้วันเดียวได้เที่ยว 3 ประเทศ!! แต่ที่ต้องมาเห็นด้วยตาคือ “วิหารเม่น” สวยสุดปัง ใช้เวลาสร้างถึง 400 ปี ต่อด้วยบุกถนนละลายทรัพย์ที่มิลาน และร้านอาหารที่มามิลานต้องมา ไม่งั้น ฟลุคไม่มา!! อย่าพลาด​ “หนีเที่ยวกัน” วันเสาร์ที่ 8 พ.ค. นี้ เวลา 08.30 น. ทาง Workpoint ช่อง 23 ดูย้อนหลังได้ทาง​ YouTube Flukelee FlukeLee - YouTube และไปหนีเที่ยวกันแบบ unlimited ที่เฟซบุ๊ก​ https://www.facebook.com/nheetiew/ และอินสตาแกรม @nheetiewgun.th














11073
แกร็บ จับมือ กสิกรไทย มอบโปรฯจัดเต็ม พร้อมความอุ่นใจในการชำระเงิน
ฉลองยอดใช้จ่ายผ่านแกร็บเพย์ วอลเล็ตโตกว่า 2 เท่า


กรุงเทพฯ, 6 พฤษภาคม 2564 – แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ประกาศมอบโปรโมชั่นและส่วนลดมากมาย เพื่อแสดงความขอบคุณผู้ใช้บริการแกร็บเพย์ วอลเล็ต (GrabPay Wallet) พร้อมฉลองยอดใช้จ่ายผ่านแกร็บเพย์ วอลเล็ตเติบโตกว่าสองเท่า

เพื่อเดินหน้ามอบความคุ้มค่า พร้อมบริการชำระเงินที่ปลอดภัย แกร็บ และธนาคารกสิกรไทย ได้ขนทัพสิทธิประโยชน์และกิจกรรมร่วมสนุกมากมายที่คัดสรรมาเพื่อผู้ใช้งานแกร็บเพย์ วอลเล็ต และลูกค้าธนาคารกสิกรไทยโดยเฉพาะ เช่น ส่วนลดพิเศษ 120 บาท สำหรับผู้ใช้ใหม่ เมื่อสั่งแกร็บฟู้ดครั้งต่อไป โปรโมชัน Wallet Wednesday จัดเต็มส่วนลดแกร็บฟู้ดและแกร็บมาร์ท เมื่อเติมเงินและชำระเงินผ่านวอลเล็ตทุกวันพุธ และภารกิจบนแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้งานสามารถร่วมสนุก เพื่อรับเครดิตเงินคืน (Cash back) 3% สูงสุด 150 บาทต่อเดือน จากการสะสมยอดการใช้จ่ายผ่านวอลเล็ตได้อีกด้วย


นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย


นางสาวศุภนีวรรณ จูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย

หลังเปิดใช้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2562 แกร็บเพย์ วอลเล็ต ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สัดส่วนการชำระเงินแบบไร้เงินสดบนแอปพลิเคชันแกร็บเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างเดือนเมษายน 2563 จนถึงเมษายน  2564 ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการและปริมาณธุรกรรมการชำระเงินบนแกร็บเพย์ วอลเล็ตเติบโตถึง 2 เท่า สนับสนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มทางการเงินของแกร็บในภาพรวม พร้อมนำเสนอบริการด้านการชำระเงินและการทำธุรกรรมที่ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยยังถือเป็นพันธมิตรธนาคารรายแรกที่เปิดให้ผู้ใช้งานแกร็บเติมเงินเข้ากระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร และความร่วมมือดังกล่าว ซึ่งนำโดย นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย และ​ นางสาวศุภนีวรรณ จูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จึงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของสังคมไทยไร้เงินสดอย่างเต็มกำลัง

แกร็บเพย์ วอลเล็ต พร้อมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกด้านบริการการชำระเงินที่รวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย รวมถึงลดความเสี่ยงจากการสัมผัสเงินสด เพื่อตอบโจทย์ความใส่ใจด้านสุขภาพในสังคมยุคนิวนอร์มัล (New Normal)

นอกจากโปรโมชัน Wallet Wednesday แล้ว ผู้ถือบัตรเดบิตและเครดิตกสิกรไทยทุกประเภทยังสามารถรับความคุ้มค่าเพิ่มขึ้น จากการใช้บริการบนแอปพลิเคชันแกร็บ เช่น รับทันทีส่วนลด 100 บาท สำหรับบริการแกร็บฟู้ด และจัสท์แกร็บ เมื่อผูกบัตรครั้งแรก และส่วนลด 150 บาท เมื่อสั่งแกร็บฟู้ดทุกวันอาทิตย์ สำหรับผู้ถือบัตรทุกประเภท เป็นต้น

ติดตามรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่​ https://www.grab.com/th/blog/kbankh121/ *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท แกร็บ ประเทศไทยกําหนด

####

เกี่ยวกับแกร็บ
แกร็บ (Grab) คือ ผู้นำด้านซูเปอร์แอปที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแกร็บได้ถูกดาวน์โหลดแล้วบนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 214 ล้านเครื่อง ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงพาร์ทเนอร์คนขับ พาร์ทเนอร์ร้านค้า รวมถึงตัวแทนกว่าหลายล้านราย โดยนำเสนอบริการต่างๆ แบบออนดีมานด์ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง การจัดส่งอาหาร สินค้าและพัสดุ ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนบริการทางการเงิน เพื่อตอบสนองผู้ใช้บริการทั่วทั้ง 428 เมืองใน 8 ประเทศ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแกร็บได้ที่ www.grab.com

11074
วช. สนับสนุนนักวิจัย สจล. พัฒนานวัตกรรมสู้โควิด
ห้องไอซียูความดันลบเคลื่อนที่สำหรับโรงพยาบาลสนาม


จากความรุนแรงของสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการหนักที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากอย่างชัดเจน  ทำให้จำนวนเตียงผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการรักษาตกอยู่ในภาวะวิกฤต ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือจำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักจำเป็นต้องอยู่ในห้องความดันลบของระบบสาธารณสุขกำลังจะเต็ม จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาอุปกรณ์ช่วยชีวิตสำหรับผู้ป่วยวิกฤตในโรงพยาบาลสนาม  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)  กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาห้องความดันลบที่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่อใช้เป็นห้อง ICU ในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม


ผศ.ดร. ณัฐพล ฤกษ์เกษมสันติ์  อาจารย์ประจำภาควิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า จากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด -19 เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายผ่านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลจึงไม่ต้องการนำเข้าไปรักษารวมกับผู้ป่วยในโรงพยาบาล อีกทั้งในโรงพยาบาลก็ประสบปัญหาผู้ป่วยล้นเตียงโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหนักและต้องดูแลในห้องไอซียูความดันลบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เพื่อพัฒนาห้องความดันลบที่สามารถเคลื่อนย้ายได้เพื่อใช้เป็นห้อง ICU ในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม  โดยพัฒนาเป็นห้องความดันลบขนาด 3*6.5 เมตร/ยูนิต  โดยห้องความดันลบนี้มีความพิเศษ คือ มีห้อง anteroom ในตัว และมีระบบควบคุมแรงดันอากาศอัตโนมัติ เพื่อให้ห้องทั้งผู้ป่วยและห้อง anteroom มีความดันที่เหมาะสมและสัมพันธ์กันตลอดเวลา ทั้งในกรณีที่มีการเปิดปิดประตูในแต่ละห้อง หรือมีการเปลี่ยนแปลงแรงดันภายในห้องจากกรณีอื่นๆ เพื่อมั่นใจได้ว่าอากาศภายในห้องที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนจะไม่ไหลออกมาสู่ภายนอก เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ภายนอก มีระบบดูดอากาศที่อาจเชื้อโรคเจือปนผ่านเครื่องกรองอากาศฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูงในการกรองอนุภาคขนาดเล็ก เพื่อกรองเชื้อไวรัสและปล่อยออกมาเป็นอากาศดีสู่ภายนอกอาคาร จากประสิทธิภาพการควบคุมการไหลเวียนของอากาศ สามารถควบคุมเชื้อโรคให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้  แต่ละยูนิตสามารถรองรับผู้ป่วยได้ 1 คน




จุดเด่นของห้องความดันลบนี้คือ เป็นห้องสำเร็จรูปที่สามารถนำไปติดตั้งที่ไหนก็ได้ เช่น นอกโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลสนาม เพียงแค่เชื่อม ระบบไฟเข้ากับห้องความดันลบก็สามารถใช้งานได้แล้ว  และที่สำคัญคือสามารถปรับรูปแบบการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น ห้อง ICU ห้องตรวจ หรือห้องฉุกเฉิน ขณะนี้ต้นแบบผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้วและนำไปทดลองใช้งานที่โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ปรากฏ ว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ดังนั้น ในภาวะที่ระบบสาธารณสุขของประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเตียงสำหรับผู้ป่วย  ห้องผู้ป่วยความดันลบแบบเคลื่อนย้ายได้จึงสามารถตอบสนองความต้องการใช้งาน และยังช่วยรองรับกับมาตรการการป้องกันและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 ได้ นอกจากนี้หลังสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ห้องดังกล่าวยังสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ปกติกับผู้ป่วยที่มีอาการป่วยด้วยโรคติดต่อทางทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น วัณโรค ต่อไปในอนาคตได้ เพื่อสามารถรักษาผู้ป่วยเหล่านี้นอกอาคารโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคผ่านระบบปรับอากาศภายในโรงพยาบาลต่อไป




ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เปิดเผยว่า วช. มีนโยบายสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาของไทยพัฒนานวัตกรรมในด้านต่างๆ เพื่อลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ ปัจจุบัน โครงการที่ วช. ได้สนับสนุนทุนวิจัย มหาวิทยาลัยหลายแห่งสามารถผลิตนวัตกรรมเพื่อตอบสนองการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ของประเทศ เช่น ด้านการแพทย์ ด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ตามความเร่งด่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น นวัตกรรมหลายประเภทสามารถผลิิตออกมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์  และอีกหลายโครงการเป็นการวางรากฐานงานวิจัยของไทยให้เกิดความเข้มแข็งในระยะยาว

11075
รณรงค์ “ฉีดวัคซีนทั่วโลก” เพื่อหยุดโควิด-19
ภายใต้โครงการ VOW: Vaccinate Our World โดย AHF





รณรงค์ “ฉีดวัคซีนทั่วโลก” เพื่อหยุดโควิด-19 เรียกร้องกลุ่มประเทศร่ำรวยเพิ่มงบสนับสนุน-เสนอให้ยกเลิกสิทธิบัตรชั่วคราว-เร่งกำลังผลิตให้ประชาชนโลกกว่า 7,500 ล้านคนได้รับวัคซีนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ภายใต้โครงการ VOW: Vaccinate Our World โดย AHF

          จากการแพร่  ระบาดใหญ่ของไวรัส โควิด-19 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3 ล้านคน ก่อให้เกิดวิกฤตทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจลุกลามไปทุกมุมโลก มูลนิธิเอดส์ เฮลท์ แคร์ (AHF) เชิญชวนชาวไทยและประชาคมโลกร่วมมือกันในโครงการ ฉีดวัคซีนให้โลก (VOW: Vaccinate Our World) ช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องให้กลุ่มประเทศร่ำรวย โดยเฉพาะกลุ่ม G20 และ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ เพิ่มงบประมาณสนับสนุน และขอให้บริษัทยายกเลิกหรือระงับสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 เป็นการชั่วคราว พร้อมเร่งกำลังการผลิตเพื่อให้ประชาชนโลกกว่า 7,500 ล้านคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกันทั้งโลก เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่จะยุติการแพร่ระบาดของมหันตภัยจากไวรัสครั้งนี้ได้ ทั้งนี้ AHF จะทำการรณรงค์พร้อมกันในเมืองเอกของทุกทวีปทั่วโลก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, โจฮันเนสเบิร์ก, ลอนดอน, เซาเปาโล และ กรุงวอชิงตัน ดีซี




      


          นายแพทย์ สรัท ชิม ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคเอเชีย มูลนิธิเอดส์ เฮลท์ แคร์ กล่าวว่า แม้สถานการณ์ของ โควิด-19 ในประเทศร่ำรวยบางประเทศจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ประเทศที่ยากจนหรือมีรายได้ปานกลางส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรับมือกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 เช่น ประเทศอินเดีย ที่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตหลังจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 300,000 คนต่อวัน ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์ เช่นเดียวกับยอดผู้เสียชีวิตที่ทะลุ 200,000 รายไปแล้ว

“เราเห็นว่าหนทางเดียวที่จะระงับยับยั้งวิกฤตครั้งนี้คือการทำให้คนทั่วโลกได้รับวัคซีนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เพราะจากข้อมูลจะพบว่าวัคซีนกว่า 700 ล้านโดสที่ผลิตขึ้นมา 87 เปอร์เซ็นต์ถูกจัดส่งไปยังประเทศที่มีฐานะร่ำรวยหรือค่อนข้างรวย มีเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ไปถึงยังประเทศที่ยากจน ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องร่วมกันลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวย ตลอดจนธนาคารโลกและสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั้งหลายช่วยกันบริจาคให้มากขึ้น และในสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้ควรให้มีการยกเลิกหรือระงับการใช้สิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 เป็นการชั่วคราว และขอให้โรงงานเร่งกำลังการผลิตให้มากที่สุด เพื่อให้ทันต่อการแพร่ระบาดและให้ผู้คนกว่า 7,500 ล้านคนทั่วโลกได้รับวัคซีน เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่เราทุกคนจะปลอดภัย” นายแพทย์ สรัท ชิม กล่าว

          ในส่วนสถานการณ์ของประเทศไทย นายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุขและกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่า “ขณะนี้แผนการจัดหาวัคซีนเป็นไปตามที่วางแผนไว้แล้ว ณ วันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาเราได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วกว่า 2 ล้านโดส โดยเน้นที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่อยู่ด่านหน้า เป้าหมายของเราคือการฉีดให้ครอบคลุมอย่างน้อย 70% ของประชากรทั่วประเทศภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาศัยงบประมาณจากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลราชการ กองทุนประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" นายแพทย์โสภณ ยังกล่าวอีกว่า “ความร่วมมือทั้งระบบภาครัฐและสังคมจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดครั้งนี้”

          ขณะที่ นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนว่า ปัจจุบันมีข้อมูลส่งต่อไปมากมายในโซเชียลมีเดีย อ้างถึงผลข้างเคียงของวัคซีนทำให้หลายคนเกิดความกังวลไม่กล้ามารับการฉีด ขอยืนยันว่า การฉีดวัคซีนนั้นดีกว่าไม่ฉีดแน่นอน เพราะจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงหากติดเชื้อ “แม้การรับวัคซีนจะเป็นไปตามความสมัครใจ แต่อยากให้ทุกคนถือเป็นหน้าที่รับวัคซีนเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเพียงพอและปิดจบการระบาดให้เร็ว” ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ยืนยัน และยังระบุว่า ประเทศไทยสั่งจองวัคซีนไว้ทั้งสิ้น 63 ล้านโดส จะเร่งฉีดให้ครบทั้งหมดภายในสิ้นปี 2564 ขณะเดียวกันก็ได้พิจารณาการจัดหาวัคซีนทางเลือกเอาไว้ด้วย

          ด้าน นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นความสำคัญของการยกเลิกหรือระงับสิทธิบัตรวัคซีนหรือยาต้านไวรัสว่า การแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ต้องตั้งเป้าหมาย 2 ประการ 1.การป้องกัน-เพื่อลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งต้องใช้วัคซีน 2.การรักษา-เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ต้องใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่เป็นระบบ โดยระบบสิทธิบัตรจะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการป้องกันและรักษา คือทั้งวัคซีนและยา ซึ่งผู้กำหนดนโยบายจะต้องเข้าใจและต้องทบทวนว่ามีกฎระเบียบใดที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงวัคซีนและยาหรือไม่ แล้วต้องแก้ไขโดยเร็ว
“ทั่วโลกจะต้องให้ความสำคัญกับระบบทรัพย์สินทางปัญญา ต้องไม่ปล่อยให้มันมาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการป้องกันและรักษาพยาบาลของประชาชน ยาและวัคซีนไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่เป็นปัจจัย 4 เป็นสินค้าเชิงคุณธรรมที่มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจะต้องมีความกล้าหาญพอที่จะยกเลิกคำขอสิทธิบัตร หรือต้องประกาศทำ CL ยา (การบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา) กรณีที่มีการจดสิทธิบัตรไว้แล้ว เพื่อทำให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงยาและวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมกันและยั่งยืน” ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยกล่าวย้ำ

          ส่วนด้านพิธีกร-นักร้องชื่อดัง แมทธิว ดีน ซึ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายจากการติดเชื้อโควิด-19 พร้อมภรรยาสาว ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เล่าว่า หลังจากที่ทราบผลว่าติดเชื้อก็เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที โดยต้องรักษาอยู่นานกว่า 1 เดือน ความเจ็บปวดทรมานจากการรักษาไม่เท่ากับความทรมานใจจากความกังวลว่าจะเอาเชื้อไปติดคนในครอบครัวในช่วงแรกที่รู้ผลตรวจ ขณะเดียวกันระหว่างที่รักษาตัวก็ต้องห่างจากครอบครัว จากคนที่เรารัก อยากจะกอดก็ทำไม่ได้ จึงอยากฝากถึงทุกคนว่าขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้สวมหน้ากากและล้างมือทุกครั้งก่อนจะสัมผัสทุกส่วนของใบหน้า รวมทั้งหากไม่จำเป็นให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มีคนหนาแน่น ไม่ได้จะให้ทุกคนหวาดกลัว แต่ขอให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท และการ์ดอย่าตก ทั้งนี้เขาถือเป็นดาราคนแรกที่ออกมากระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงอันตรายของ โควิด-19 และให้ใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท





หากท่านต้องการทราบว่าทำไมการยกเว้นหรือระงับสิทธิบัตรเป็นการชั่วคราวจึงสำคัญ โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

1.   ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในการประชุมองค์การการค้าโลกในวันที่ 5 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ได้หรือไม่?: https://www.youtube.com/watch?v=6YgpHdCjIrQ

2, Jeffrey D. Sachs, ผู้อำนวยการศูนย์การพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และ ประธานเครือข่ายการพัฒนาที่ยั่งยืน เรียกร้องให้มีการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อประโยชน์ของประชาคมโลก โดยเฉพาะในห้วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากกว่าที่จะเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น: https://www.project-syndicate.org/commentary/covid19-intellectual-property-waiver-is-a-moral-imperative-by-jeffrey-d-sachs-2021-04.

ท่านสามารถร่วมเป็นหนึ่งพลังเสียงช่วยดับวิกฤตโควิด-19 กับ VOW ได้ และติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องได้ที่ VaccinateOurWorld.org และช่วยกันเผยแพร่โครงการ VOW ด้วยการทวีตและโพสต์ภาพหรือข้อความลงในช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งทาง เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ หรือ Tiktok แล้วติดแฮชแท็ก #VaccinateOurWorld #VOWnow #AHFThailand เราจะยุติการแพร่ระบาดของมหันตภัยครั้งนี้ด้วยกัน

Note to Editor: มูลนิธิเอดส์ เฮลท์ แคร์ (AHF) เป็นองค์กรที่ทำงานด้านเอดส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันให้บริการการรักษาพยาบาลที่ทันสมัยแก่ผู้คนมากกว่า 1.5 ล้านคน ใน 45 ประเทศทั่วโลก ทั้งในสหรัฐอมเริกา, แอฟริกา, ละตินอเมริกา/แคริเบียน, ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค และยุโรป หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AFH กรุณาเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.aidshealth.org  หรือ เฟซบุ๊กเพจ www.facebook.com/aidshealth และสามารถติดตามเราได้ทางทวิตเตอร์ @aidshealthcare และอินสตาแกรม @aidshealthcare








11076
10 โรคทรวงอกที่สามารถรักษาได้
โดยการผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเล็ก

โดย นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล


                ในยุคที่ฝุ่นละออง PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆในทั่วทุกภาคของประเทศไทยและยุคของเชื้อโคโรน่าไวรัสโควิด-19 ระบาด ทำให้คนไทยต้องใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับสภาพภูมิอากาศ และฝุ่นละอองในอากาศ ที่มีมลภาวะเป็นพิษ ซึ่งจากสาเหตุดังกล่าว ส่งผลทำให้โรคทางทรวงอกนับเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นตามมา โดยตามสถิติของสมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทยในปี 2563 พบว่ามีผู้ป่วยได้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดโรคในช่องทรวงอกมากกว่า 5,000 รายทั่วประเทศ โดยอวัยวะที่อยู่ในทรวงอก ประกอบไปด้วยตั้งแต่หัวใจ ปอด หลอดอาหาร หลอดลม รวมถึงเส้นเลือดที่สำคัญอีกมากมาย หากเราเกิดอาการผิดปกติ อาการต่าง ๆ มักจะแสดงออกมาขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแต่ละโรค ดังนั้นการรักษาให้ถูกจุด เช่น การตรวจหาสาเหตุของโรคทรวงอก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องรับรู้และเลือกที่จะรับการรักษา


                นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า วิธีการผ่าตัดในอวัยวะช่องทรวงอกนั้น ตามมาตรฐานยังคงเป็นการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งทำการผ่าตัดโดยการใช้อุปกรณ์ไปถ่างซี่โครงบริเวณซี่ที่ 5 โดยแผลผ่าตัดขนาดประมาณ 15-20 เซนติเมตร เพื่อเข้าไปทำการผ่าตัดในบริเวณช่องทรวงอก ข้อดีคือ สามารถเห็นชัดและการผ่าตัดทำได้ง่ายและวิธีนี้เราจะสามารถโยกซ้ายหรือโยกขวาและเห็นมุมต่าง ๆ ได้มากกว่า เนื่องจากเป็นแผลผ่าตัดที่เปิดขนาดใหญ่ ส่วนข้อเสีย คือ อาจส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหรือซี่โครงหัก หรือทำให้เกิดการระคายเคืองของเส้นประสาทที่อยู่บริเวณดังกล่าว นอกจากนี้ยังทำให้มีแผลเป็นขนาดใหญ่ มีโอกาสเสียเลือดมาก มีอาการเจ็บปวดหลังได้รับการผ่าตัดและผู้ป่วยต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน


                ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ มีการพัฒนามากขึ้น รวมถึงมีศัลยแพทย์ที่มีความสามารถในการผ่าตัดมากขึ้น ส่งผลทำให้วิธีการผ่าตัดมีการพัฒนาไปมากเช่นเดียวกันโดยแนวทางการรักษาโรคปอดและทรวงอกนั้น เปลี่ยนจากการผ่าตัดแบบเปิดเป็นการผ่าตัดส่องกล้องแบบแผลเดียว (Uniportal video assisted thoracoscopic srugery; VATS) โดยใช้เลนส์ยาวร่วมกับอุปกรณ์ผ่าตัดแบบเฉพาะผ่าตัดผ่านช่องซี่โครงบริเวณที่ 4 หรือ 5 โดยไม่มีเครื่องถ่างขยาย โดยมีขนาดแผลประมาณ 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น ส่งผลทำให้ผู้ป่วยหลังผ่าตัด มีอาการเจ็บลดลง แผลเล็ก ฟื้นตัวได้ไวและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ได้เร็วขึ้น ซึ่งผลของการผ่าตัดนั้น จะไม่มีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด​


                สำหรับ 10 โรคเกี่ยวกับทรวงอก ที่สามารถทำการผ่าตัดโดยการส่องกล้องแบบแผลเล็ก ได้แก่ 1. โรคมะเร็งปอด (Lung cancer) 2. โรคเนื้องอกในปอด (Benign lung nodule) 3.โรคลมรั่วในเยื่อหุ้มปอด หรือ ลมรั่วขณะมีประจำเดือน (Spontaneous or Catamenial pneumothorax) 4. โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia gravis) 5. โรคเนื้องอกของต่อมไทมัส (Thymoma) 6. โรคหนองในปอด (Empyema thoracic)7. โรคน้ำขังในเยื่อหุ้มหัวใจหรือช่องอก (Malignant Pericardial effusion , Maliganant Pleural effusion) 8. โรคเหงื่อออกที่มือ (Palmar hyperhidrosis) 9.โรคอกบุ๋ม (Pectus excavanatum) 10.โรคถุงน้ำในช่องทรวงอก (pericardial cyst, bronchogenic cyst, esophageal cyst)


                อย่างไรก็ตามการผ่าตัดด้วยวิธีการส่องกล้อง ผู้ป่วยจะต้องมีการเตรียมพร้อมประกอบด้วย 1. ต้องหยุดกินยาบางชนิดก่อนก่อนผ่าตัด เช่น แอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด 2. หากผู้ป่วยสูบบุหรี่ต้องเลิกสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัด 3.หมั่นออกกำลังกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด 4.ฝึกการหายใจด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า สไปโรมิเตอร์ 5.หลีกเลี่ยงการกินหรือดื่มหลังเที่ยงคืนก่อนการผ่าตัด 6.ผู้ป่วยบางรายต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมตามดุลยพินิจของแพทย์ เช่น เอ็กซเรย์ทรวงอก เพื่อดูหัวใจและปอด ,ตรวจ CT Scan หัวใจและปอดและการตรวจPET/CT Scan เพื่อค้นหาเนื้อเยื่อมะเร็ง

                การผ่าตัดส่องกล้อง ( VATS) นั้น สามารถทำการผ่าตัดได้ในโรคที่กล่าวมาข้างต้น แต่อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศัลยแพทย์เป็นหลักและตามความสามารถของศัลยแพทย์ทรวงอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้อง การผ่าตัดแบบส่องกล้องข้อห้ามคือ ผ่าตัดซ้ำซ้อน เช่น ตัดต่อเส้นเลือดหรือมีก้อนที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 7 เซนติเมตร สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านทรวงอก ยิ่งรักษาได้เร็ว โอกาสหายขาดก็ยิ่งสูงขึ้น

11077
นักกอล์ฟสาวระดับโลกเผยความพร้อมแข่งขันในรูปแบบสนามปิด
ดวลวงสวิงรายการฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2021

ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 50 ล้านบาท พร้อมลุ้นรางวัลโฮลอินวัน รถยนต์ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด มูลค่า 1.799 ล้านบาท
6-9 พฤษภาคม 2564 ณ สนามกอล์ฟ สยามคันทรีคลับ พัทยา โอลด์คอร์ส จ.ชลบุรี


โปรเหมียว แพตตี้  ธวัชธนกิจ

(ชลบุรี – 5 พฤษภาคม 2564) -  การแข่งขันรายการกอล์ฟอาชีพสตรี “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2021” พร้อมเริ่มการแข่งขันในวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2564 ณ สนามกอล์ฟ สยามคันทรีคลับ พัทยา โอลด์คอร์ส จ.ชลบุรี  โดยมีโปรกอล์ฟสาวระดับโลกรวม 72 คน พร้อมร่วมประชันวงสวิงชิงเงินรางวัลรวม 50 ล้านบาท และลุ้นรางวัลพิเศษ รถยนต์ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด รุ่น HYBRID TECH มูลค่า 1,799,000 บาท กับการทำโฮลอินวันหลุมที่ 16 ณ สยามคันทรีคลับ พัทยา โอลด์คอร์ส จังหวัดชลบุรี วันที่ 6 - 9 พฤษภาคม 2564  และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ทุกฝ่าย การแข่งขันในปีนี้จึงกำหนดจัดในรูปแบบสนามปิด ภายใต้ข้อกำหนดและการกำกับดูแลของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการกีฬาแห่งประเทศไทย อย่างเคร่งครัด  โดยมีการถ่ายทอดสดตลอดการแข่งขันไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก แฟนกอล์ฟชาวไทยสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 หรือเว็บไซต์​www.pptvhd36.com หรือแอปพลิเคชัน PPTVHD36


เอมี่ หยาง

การแข่งขันในปีนี้ได้รับการตอบรับจาก 4 นักกอล์ฟระดับท็อปเทนของโลก จากการจัดอันดับของโรเล็กซ์ วีเมนส์ เวิลด์ กอล์ฟ แรงกิงส์ (Rolex Women's  World  Golf  Rankings ) ได้แก่ แดเนียล คัง (อันดับ  6), ลิเดีย โค (อันดับ 8), มินจี ลี (อันดับ 10) รวมทั้งฮโย จู คิม (อันดับ 7) แชมป์ล่าสุดจากรายการเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ (HSBC Women’s World Championship) ร่วมด้วยขบวนนักกอล์ฟสาวไทย 10 คน ได้แก่ “โปรโม” โมรียา จุฑานุกาล, “โปรเม เอรียา จุฑานุกาล, “โปรเหมียว” แพตตี้ ธวัชธนกิจ, “โปรแจน” วิชาณี มีชัย,​ “โปรมายด์” กานต์พนิตนันท์ เมืองคำสกุล ,"โปรจูเนียร์" จัสมิน สุวัณณะปุระ, "โปรแหวน" พรอนงค์ เพชรล้ำำ, “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล, “โปรเมียว” ปาจรีย์ อนันต์นฤการ และ“โปรพราว” ชเนตตี วรรณแสน

ตัวแทนนักกอล์ฟที่จะลงแข่งขันชิงชัยในปีนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวผ่านระบบซูมทางออนไลน์วันนี้ ได้แก่

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=x-cj6-5MzXI" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=x-cj6-5MzXI</a>


โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟไทยอันดับ33 ของโลก   วัย 25 ปี  เจ้าของ 2 แชมป์เมเจอร์ รายการ บริติช วีเมนส์ โอเพ่น 2016 และ ยูเอส วีเมนส์ โอเพ่น 2018   และเป็นนักกอล์ฟสาวไทยที่คว้าแชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ มากที่สุด 10 รายการ  รวมทั้งรองแชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2013 กล่าวว่า “ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาแข่งขันฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ ส่วนสยามคันทรีคลับ พัทยา โอลด์คอร์ส เป็นสนามที่ยาก ซึ่งปีนี้อาจจะยากขึ้นไปอีกเพราะสนามเปียกเนื่องจากฝนตก ปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่มีแฟนๆเข้ามาชมในสนามทำให้คิดถึงแฟนกอล์ฟมาก ส่วนความพร้อมในการแข่งขันครั้งนี้ พยายามมีสมาธิ มุ่งมั่นกับเกมในแต่ละวันของตนเองให้ดีที่สุด”


โปรโม โมรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟไทยอันดับ 40 ของโลก  วัย 26 ปี เจ้าของแชมป์ ฮูเจล เจทีบีซี แอลเอ โอเพ่น  2018 ( 2018 HUGEL-JTBC LA Open) และเคยคว้ารองแชมป์ร่วม ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2018 กล่าวว่า “การแข่งขันรายการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากแฟนกอล์ฟชาวไทยมาโดยตลอดทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ลงเล่นและช่วยให้มีกำลมากเป็นพิเศษด้วย ปีนี้รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาเล่นในบ้านเกิดอีกครั้ง แม้ว่าจะต้องกลับมาเล่นในบรรยากาศที่แตกต่าง ไม่ได้เจอครอบครัวและแฟนกอล์ฟเนื่องจากสถานการณ์โควิด อีกทั้งรู้สึกเป็นเกียรติที่รู้ว่าตนเองเป็นหนึ่งในนักกอล์ฟต้นแบบให้กับนักกอล์ฟไทยรุ่นใหม่ สิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับโมคือการที่ได้ออกไปเล่น ได้แสดงให้นักกอล์ฟรุ่นใหม่ได้เห็นว่าถ้าคุณมีความฝันเพียงลงมือทำทุ่มเททุกอย่างเพื่อกอล์ฟ ไม่มีคำว่าสายเกินไป” ส่วนความพร้อมในการแข่งขัน โปรโมกล่าวว่า “หวังว่าจะพัตต์ได้ดีขึ้นหลังจากทำผลงานค่อนข้างดีในการแข่งขันที่สิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ก่อนและอยากให้แฟนกอล์ฟติดตามชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันให้สนุกและปลอดภัย”

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=lDFi1JFh-UA" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=lDFi1JFh-UA</a>


เอมี่ หยาง นักกอล์ฟอันดับ 45 ของโลก วัย 31 ปี จากเกาหลีใต้ ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกอล์ฟคนแรกที่คว้าแชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 3 สมัย และเป็นแชมป์คนล่าสุดในปี 2019 กล่าวว่า “ฉันมีความทรงจำที่ดีหลายๆครั้งในการแข่งขันที่นี่ ดังนั้นรู้สึกตื่นเต้นที่ได้กลับมาอีกครั้ง  ฉันชอบมาประเทศไทยเพื่อมาเล่นแมชต์นี้ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทัวร์นาเมนท์โปรด เพราะชอบสนาม รวมถึงบรรยากาศการเชียร์ของแฟนๆที่นี่ แม้ปีนี้จะไม่มีแฟนกอล์ฟเข้าชมเพราะสถานการณ์โควิด แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่ได้กลับมาได้ลงเล่นร่วมกับนักกอล์ฟชั้นนำของโล  ทุกๆปีได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายและยังคงพยายามที่จะพัฒนาตัวเองและตั้งใจทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ตอนนี้เกมของตนเองพัฒนาขึ้นในทุกๆสัปดาห์ ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เล่น สำหรับแผนการเล่นรายการนี้คือเกมยาว ทั้งการตี การแอพโพรช เหมือนกับที่ใช้ได้ผลในการแข่งขันที่ผ่านมาเนื่องจากกรีนสั้นและแฟร์เวย์แคบ บวกกับการพัตต์ที่ดีจะช่วยได้เยอะ แม้ว่าการได้แแชมป์สมัยที่ 4 เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ฉันต้องการโฟกัสว่าสิ่งใดที่จำเป็นต้องทำกับการแข่งขันทั้ง 4 วัน”

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=0NbufYApBKc" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=0NbufYApBKc</a>


มินจี ลี​ นักกอล์ฟจากออสเตรเลีย วัย 24 ปี  มืออันดับ 10  ของโลก เจ้าของรองแชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์  2019 และแชมป์ ฮูเจล แอร์ พรีเมีย แอลเอ โอเพ่น  2019 (2019 HUGEL-AIR PREMIA LA Open)  กล่าวว่าเธอมีความทรงจำที่ดีในการแข่งขันปี2019 ส่วนปีนี้ได้เตรียมความพร้อมเรื่องการต้องลงเล่นในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้นโดยจากแข่งขันที่สิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ฝึกเรื่องของความอดทน สมาธิ ทานน้ำให้เพียงพอ ทานอาหารให้เพียงพอเพื่อรับมือกับการสูญเสียพลังงานระหว่างวัน สัปดาห์นี้เตรียมลงแข่งด้วยทัศนติที่ดี  หลังจากการซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่น “ฉันคิดว่าตำแหน่งแชมป์อยู่ไม่ไกล ฉันมีความทรงจำดีกับสนามแห่งนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ และคิดว่าตนเองมีโอกาสที่ดีที่จะคว้าแชมป์”

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pY75JGpc1uo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pY75JGpc1uo</a>


สำหรับ​ โปรเหมียว แพตตี้  ธวัชธนกิจ นักกอล์ฟสาวไทยอันดับ12 ของโลก   วัย 21 ปี ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์กอล์ฟเมเจอร์และแชมป์แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการแรก ในอาชีพ จากรายการ เอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น 2021  และเจ้าของอันดับสามร่วม  รายการ เอชเอสบีซี  วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ( 2021 HSBC Women's World Championship )ที่สิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กล่าวว่า “อาหารที่อยากทานมากๆหลังจากกลับถึงไทยคือ แกงเทโพ ซึ่งการกลับมาเล่นในประเทศไทยหลังจากคว้าแชมป์เมเจอร์นั้นรู้สึกเป็นเกียรติที่มีตำแหน่งแชมป์เมเจอร์ตามหลังชื่อเธอ รู้สึกเหมือนฝันเป็นจริง  ส่วนการได้ลงแข่งขันฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ เป็นทัวร์นาเมนท์ที่เธอเคยมีความทรงจำดีๆตอนที่มีโอกาสลงแข่งขันในปี 2015 และ 2016 ทั้งสนามที่ดีและบรรยากาศแฟนกอล์ฟที่สุดยอด หลังจากที่คว้าแชมป์เอเอ็นเอ อินสไปเรชั่น ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น และพยายามรักษามันเอาไว้ ฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกล และอยากทำให้ดีที่สุด  พร้อมกับรู้สึกว่ามีความหมายมากกับการได้เป็นนักกอล์ฟต้นแบบของรุ่นน้องและพยายามที่จะเป็นต้นแบบที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้  ส่วนเป้าหมายการแข่งขันรายการนี้มองว่า เกมกอล์ฟมีเล่นดี เล่นแย่ ไม่มีใครที่จะเล่นเพอร์เฟ็คตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตามจะตั้งใจให้ดีที่สุด และขอให้แฟนกอล์ฟเชียร์นักกอล์ฟชาวไทยด้วย ”

แฟนกอล์ฟสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามข่าวสารของการแข่งขันรายการ “ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2021” ได้ที่​ www.hondalpgathailand.com และ​ www.facebook.com/lpgaThailand และชมการถ่ายทอดสดทาง พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 หรือเว็บไซต์ www.pptvhd36.com หรือแอปพลิเคชัน PPTV HD36

11078
"อว. เผยฉีดวัคซีนทั่วโลกแล้ว 1,195 ล้านโดส ใน 194 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 32.7 ล้านโดส ไทยฉีดแล้วมากกว่า 1.573 ล้านโดส"


➡️(5 พฤษภาคม 2564) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 1,195 ล้านโดส ใน 194 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 19.8 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณารายประเทศพบว่าอิสราเอลได้ฉีดวัคซีนครอบคลุมเกินครึ่งของประชากรแล้ว ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 248 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 106 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"




ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 32.7 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (19.5% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 20.9 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 1,573,075 โดส โดยฉีดให้กับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 49.9%




🌏 ในการฉีดวัคซีน จำนวน 1,195 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 3 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 60% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
     1. จีน จำนวน 279.91 ล้านโดส (10% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
     2. สหรัฐอเมริกา จำนวน 247.77 ล้านโดส (38.6%)
     3. อินเดีย จำนวน 160.42 ล้านโดส (5.9%)





2. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
     1. อิสราเอล (57.8% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
     2. มัลดีฟส์ (55.5%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford และ Sinopharm )
     3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (50.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
     4. บาห์เรน (43.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
     5. ชิลี (39.3%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
     6. สหรัฐอเมริกา (38.6%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Johnson&Johnson)
     7. สหราชอาณาจักร (37.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
     8. ภูฏาน (32.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford)
     9. ฮังการี (32.0%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
     10. กาตาร์ (29.9%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech)





3. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
     1. เอเชียและตะวันออกกลาง 49.02%
     2. อเมริกาเหนือ 23.91%
     3. ยุโรป 18.08%
     4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 7.06%
     5. แอฟริกา 1.71%
     6. โอเชียเนีย 0.22%


4. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 22,984,902 โดส ได้แก่
     1. สิงคโปร์ จำนวน 2,213,888 โดส (19.5% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderna
     2. กัมพูชา จำนวน 2,469,822 โดส (7.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm
     3. อินโดนีเซีย จำนวน 20,984,828 โดส (3.8% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac
     4. มาเลเซีย จำนวน 1,569,609 โดส (2.4% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Sinovac
     5. ลาว จำนวน 345,818 โดส (2.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm
     6. ไทย จำนวน 1,573,075 โดส (1.2% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
     7. บรูไน จำนวน 10,715 โดส (1.2% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
     8. พม่า จำนวน 1,040,000 โดส (1% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca
     9. ฟิลิปปินส์ จำนวน 1,999,214 โดส (0.9% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca
     10. เวียดนาม จำนวน 539,062 โดส (0.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca





5. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2564
จัดสรรวัคซีนแล้วทั้งหมด 2,071,247 โดส
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 1,573,075  คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 1,150,564 โดส
-เข็มสอง 422,511 โดส

แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)









11079
รายงานข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อ
โควิด-19 ณ วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564



🇹🇭🇹🇭ประเทศไทย
วันนี้มีผู้ติดเชื้อ 2,112 ราย
รวมผู้ติดเชื้อสะสม 74,900 ราย
-เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯเพิ่มขึ้น 1,955 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อที่กลับจากต่างประเทศใน Quarantine เพิ่มขึ้น 5 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกวันนี้ 152 ราย (ยอดผู้ติดเชื้อสะสมจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกอยู่ที่ 22,794 ราย) เสียชีวิตรวม 318 ราย(วันนี้มีรายงาน
ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 15 ราย) รักษาหายป่วยแล้ว 44,360 ราย(59.23%) (มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น 1,886 ราย)
รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 30,222 ราย



ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ
2,107 ราย มีรายละเอียดดังนี้
จากกรุงเทพฯ(789) ปริมณฑล (587) จังหวัดอื่น ๆ (731)

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นในวันนี้ 5 ราย และเข้า Quarantine โดยเข้ารับการรักษาที่กรุงเทพฯ(2) นนทบุรี(2) และ ชลบุรี (1)
มีรายละเอียดดังนี้
- จากประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ราย
- จากประเทศเนปาล 1  ราย
- จากประเทศฟิลิปปินส์ 1 ราย
- จากประเทศเยอรมนี 1 ราย
- จากประเทศอิรัก 1 ราย



🌐 สถานการณ์โลกในวันนี้

- ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 154.9 ล้านราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 3.2 ล้านราย​ (คิดเป็นร้อยละ 2.1 ของจำนวนผู้ติดเชื้อ) ในขณะที่ผู้รักษาหายมีจำนวน 132 ล้านราย (คิดเป็นร้อยละ 85.5)
- สหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ 42,354 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ 592,409 ราย
- อินเดีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 20.6 ล้านรายแล้ว โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 382,691  ราย ทั้งนี้ยอดผู้รักษาหายในอินเดียอยู่ที่ 16.9 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 81.9
- ไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่อันดับ 99 และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 125 ของโลก



🌐 สถานการณ์อาเซียนในวันนี้
 
- เมียนมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 142,858 ราย โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ 17 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 3,209 ราย
- มาเลเซีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 420,632  ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่​ อยู่ที่ 3,120   ราย
- กัมพูชา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 16,299 ราย
มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 107 ราย
- ลาว ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 1,026 ราย
โดยกำลังรักษาอยู่ 966   ราย
- เวียดนาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 14 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 35 ราย

ประมวลข้อมูลโดย กรมควบคุมโรค และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

11080
เวียตเจ็ทเผยกำไรไตรมาส 1/2564 จากการพัฒนาบริการใหม่และการลงทุนทางการเงิน
พร้อมรายงานงบการเงินประจำปี 2563 เป็นบวก


(กรุงเทพฯ, 5 พฤษภาคม 2564) - บริษัท เวียตเจ็ท เอวิเอชั่น จอยท์ สต๊อค (HoSE: VJC) เผยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1/2564 และรายงานงบการเงินประจำปี 2563 พร้อมสัญญาณบวกที่แสดงถึงการฟื้นตัว

จากรายงานผลประกอบการ บริษัทแม่ของเวียตเจ็ทมีรายได้และกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 123.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ขณะที่รายได้รวมและกำไรรวมหลังหักภาษีของเวียตเจ็ทในในไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 175.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ประมาณ 5.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ โดยเวียตเจ็ททำกำไรได้จากการการลงทุนด้านการเงินและโครงการต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาบริการด้านการบินใหม่ ๆ เพื่อชดเชยกิจการขนส่งทางอากาศที่ซบเซา

เวียตเจ็ทยังได้โอนหุ้นซื้อคืนทั้งหมดในไตรมาสแรกเพื่อสร้างความเข็มแข็งให้กับงบดุลและกระแสเงินสดแก่กลุ่มธุรกิจการขนส่งทางอากาศ

ตลอดระยะเวลาสามเดือนแรกของปี เวียตเจ็ทได้ขนส่งผู้โดยสารแล้วเกือบ 3.6 ล้านคน บนกว่า 21,000 เที่ยวบิน โดยมีอัตราความตรงต่อเวลาของเที่ยวบิน (OTP) เกิน 90% ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับระดับนานาชาติ

นอกจากการขนส่งผู้โดยสาร เวียตเจ็ทยังได้คิดหาวิธีการในการเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายสินค้าที่ระลึก ยังผลให้ปัจจุบันรายได้จากการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกมีสัดส่วนถึงเกือบ 50% ของรายได้ทั้งหมดของสายการบินฯ

เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น เวียตเจ็ทได้เพิ่มความหลากหลายในสินค้าและบริการขนส่งทางอากาศ ในไตรมาส 1/2564 บริษัท สวิฟต์247 จอยท์ สต๊อค ซึ่งเวียตเจ็ทถือหุ้นอยู่ 67% ได้เปิดตัวบริการขนส่งสินค้าทางอากาศแบบออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “SWIFT Mega” เพื่อขนส่งสินค้าหนักบนเครือข่ายเส้นทางบินของเวียตเจ็ทที่กำลังขยายกว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ โดยเวียตเจ็ทได้ให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศแล้วกว่า 18,000 ตันในไตรมาสแรกของปี 2564



เวียตเจ็ทเป็นสายการบินแรกที่ได้กลับมาให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศเวียดนามอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งยังได้เปิดเส้นทางบินใหม่เพื่อตอบรับกับความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังช่วงวันหยุดเทศกาลเต็ดและช่วงฤดูร้อน เส้นทางบินใหม่เหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นของเวียดนาม

ในช่วงไม่กี่เดือนถัดจากนี้ เวียตเจ็ทจะมุ่งให้ความสำคัญกับการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเร่งสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ ทั้งยังวางแผนเจรจาขอส่วนลดจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า รวมถึงมองหาแหล่งที่มาของรายได้อื่น ๆ เช่น บริการขนส่งสินค้าทางอากาศและบริการการทางการบินอื่น ๆ สายการบินฯ คาดว่าจะยังคงรักษาการลงทุนทางการเงินและโครงการต่าง ๆ เพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความยั่งยืนของกลยุทธ์ทางธุรกิจของตน

เวียตเจ็ทคาดการณ์ว่าจะสามารถกลับมาให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศได้ในไตรมาสที่ 4/2564 โดยได้เตรียมความพร้อมสำหรับเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศแล้ว ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามได้ขยายมาตรการผ่อนปรนภาษีและค่าธรรมเนียม ทั้งยังได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและการลดดอกเบี้ยเงินกู้แก่สายการบินฯ เร็ว ๆ นี้

เร็ว ๆ นี้ เวียตเจ็ทได้เปิดเผยรายงานงบการเงินประจำปี 2563 โดยบริษัทแม่ของเวียตเจ็ทมีรายได้ที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว ประจำปี 2563 อยู่ที่ 657.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรายได้รวมและกำไรหลังภาษีที่ได้รับการตรวจสอบแล้วอยู่ที่ 788.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 2.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณากำไรในแต่ละภาคส่วน เวียตเจ็ทขาดทุนในธุรกิจการขนส่งทางอากาศ 62.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยลดลงกว่า 31% จากรายงานงบการเงินที่ผ่าน ๆ มา


#####

เกี่ยวกับ เวียตเจ็ทกรุ๊ป

เวียตเจ็ท สายการบินยุคใหม่แห่งเวียดนาม มิเพียงปฏิวัติอุตสาหกรรมการบินของเวียดนามเท่านั้น หากยังเป็นสายการบินผู้บุกเบิกในหลายด้านของภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุน การดำเนินงานและประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม เพื่อมอบโอกาสการเดินทางด้วยอัตราค่าโดยสารที่คุ้มค่าและยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงบริการพิเศษมากมายเพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารอย่างสมบูรณ์แบบ
 
สายการบินเวียตเจ็ท ได้รับการบรรจุเป็นสมาชิกของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ ไออาตา (International Air Transport Association: IATA) โดยสมบูรณ์ เวียตเจ็ทเป็นสายการบินเอกชนรายใหญ่ที่สุดที่ได้รับการจัดอันดับด้านความปลอดภัยระดับ 7 ดาวในปี ค.ศ. 2018, 2019 และ 2020 จากเว็บไซต์ AirlineRatings.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ด้านความปลอดภัยและการจัดอันดับผลิตภัณฑ์ระดับโลก นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังติดอันดับ 50 สายการบินที่มีสถานทางการเงินและการดำเนินงานเข้มแข็งที่สุดของโลกโดยนิตยสาร Airfinance Journal ในปี ค.ศ. 2018 และ 2019 นอกจากนี้ สายการบินยังได้รับการยกย่องเป็นสายการบินต้นทุนต่ำพิเศษที่ดีที่สุด (Best Low-Cost Carrier) โดยองค์กรชั้นนำหลายแห่ง อาทิ Skytrax, CAPA, Airline Ratings และอีกมากมาย
 
สายการบินไทยเวียตเจ็ท ดำเนินงานร่วมกับสายการบินเวียตเจ็ทในการขยายเครือข่ายการบินเพื่อมอบโอกาสการเดินทางที่มากกว่าแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันมีบริการเที่ยวบินในประเทศไทย 14 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต อุดรธานี หาดใหญ่ ขอนแก่น นครศรีธรรมราช อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี เส้นทางระหว่าง เชียงรายสู่ ภูเก็ต หาดใหญ่ อุดรธานี เส้นทางระหว่างเชียงใหม่ สู่ นครศรีธรรมราช และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 17 เส้นทางจากไทยสู่เวียดนาม ไต้หวัน และจีน
 
ติดตามกิจกรรมและข่าวสารล่าสุดได้ทาง
www.vietjetair.com

11081
วีซ่า เผยเกือบครึ่งของผู้บริโภคชาวไทยตั้งใจจะเลี่ยงการใช้เงินสด
แม้ว่าการแพร่ระบาดสิ้นสุดลง


สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย-วันที่ 5 พฤษภาคม 2564: วีซ่า ผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก เผยข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการศึกษาเรื่องทัศนคติการชำระเงินของผู้บริโภคประจำปีของวีซ่า (Visa Consumer Payment Attitudes Study) ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (45 เปอร์เซ็นต์) มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายด้วยเงินสดถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะสิ้นสุดลง

การศึกษาฉบับนี้ยังได้เจาะลึกในเรื่องของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้บริโภคชาวไทยตั้งตารอเมื่อสถานการณ์ในปัจจุบันคลี่คลายลง โดยสามกิจกรรมที่ผู้คนสนใจมากที่สุด คือ การท่องเที่ยวภายในประเทศ (35 เปอร์เซ็นต์) การท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด-19 (29 เปอร์เซ็นต์) และการจัดทริปสั้น ๆ ภายในเมืองที่อาศัยอยู่ (19 เปอร์เซ็นต์)


สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย

สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความเป็นอยู่ รวมถึงด้านการงาน และการจับจ่ายของผู้คนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เป็นเวลากว่าหนึ่งปีนับแต่การเริ่มระบาดของโควิด-19 เราได้จับตามองว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตจะส่งผลอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของเราในอนาคต ซึ่งวีซ่าเองก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาและนำสิ่งที่เราค้นพบมาแบ่งปันด้วยความเชื่อที่ว่าในท้ายที่สุดสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนเพื่อใช้ในการเตรียมตัวและวางแผนในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้”

การศึกษาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่น่าจะกลายเป็นนิวนอร์มัลหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ คือ การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในชีวิตประจำวัน (62 เปอร์เซ็นต์) และการหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนชุมนุมกันหนาแน่น (43 เปอร์เซ็นต์)

นอกจากนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวไทยช้อปปิ้งผ่านช่องทางใหม่ ๆ ซึ่งช่องทางที่ผู้ตอบแบบสำรวจใช้เป็นครั้งแรกมากที่สุดหลังการเกิดวิกฤตการณ์โควิด คือ การช้อปผ่านแอปและเว็บไซต์ (65 เปอร์เซ็นต์) การใช้บริการส่งตรงถึงบ้านหลังการสั่งซื้อทางโทรศัพท์กับร้านค้าในพื้นที่ (47 เปอร์เซ็นต์) และการช้อปผ่านโซเชียลมีเดีย (44 เปอร์เซ็นต์)

สิ่งที่น่าสนใจ คือ กลุ่มผู้บริโภคชาวไทยได้ถูกปรับพฤติกรรมให้ต้องมีการคิดทบทวนเพื่อจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายไปโดยปริยาย โดยผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ชี้ให้เห็นว่า หมวดการใช้จ่ายที่มีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ (63 เปอร์เซ็นต์) การไปชมภาพยนตร์หรือร่วมงานกิจกรรมต่าง ๆ (60 เปอร์เซ็นต์) การซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋า นาฬิกา และเครื่องประดับ (60 เปอร์เซ็นต์) การรับประทานอาหารในร้านอาหารแบบ Fine-dining (58 เปอร์เซ็นต์) การใช้บริการเสริมสุขภาพและความงาม (57 เปอร์เซ็นต์) และการซื้อเสื้อผ้าใหม่ (54 เปอร์เซ็นต์)

นอกจากนี้ นอกเหนือไปจากเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายใน ต่างประเทศ และทริประยะสั้น ผลวิจัยยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยเตรียมที่จะกลับไปซื้อสินค้าจำพวกแก็ดเจ็ตต่าง ๆ (16 เปอร์เซ็นต์) ของชำและของใช้ส่วนตัว​ (15 เปอร์เซ็นต์) และการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและกิจกรรมเพื่อความบันเทิงนอกที่พักอาศัย (10 เปอร์เซ็นต์) โดยน้อยกว่าหนึ่งในสิบวางแผนที่จะเปลี่ยนเครื่องใช้ในบ้านใหม่ (9 เปอร์เซ็นต์) และซื้อสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกาย (8 เปอร์เซ็นต์)

“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดขึ้นนี้ จะกลายมาเป็นพฤติกรรมถาวรมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว ซึ่งรวมถึงการเลือกใช้วิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัส อย่างเช่น การแตะเพื่อจ่ายผ่านบัตรหรือสมาร์ทโฟน ซึ่งมอบประสบการณ์ทางการชำระเงินที่ดีกว่า แถมยังปลอดภัยทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขายอีกด้วย เราหวังว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว และในขณะเดียวกันวีซ่าเองได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางธุรกิจต่าง ๆ ของเราทั้งในและนอกวงการธุรกิจด้านการชำระเงิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่น่าจะใกล้เข้ามาก่อนเวลาที่ได้เราคาดการณ์ไว้”, สุริพงษ์ กล่าวสรุป


####

เกี่ยวกับวีซ่า
Visa Inc. (NYSE:V) เป็นผู้นำการให้บริการการชำระเงินดิจิทัลระดับโลก ภารกิจของเราคือการเชื่อมโยงโลกผ่านเครือข่ายนวัตกรรมการชำระเงินที่เชื่อถือได้และมีความปลอดภัยมากที่สุด ช่วยให้ผู้บริโภค ธุรกิจต่างๆ สถาบันการเงิน และหน่วยงานรัฐมากกว่า 200 ประเทศ สามารถดำเนินการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อถือได้ VisaNet (วีซ่าเน็ต) ซึ่งเป็นเครือข่ายประมวลผลระดับโลกที่ทันสมัยของเราให้บริการการชำระเงินที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ทั่วโลก และมีความสามารถในการจัดการธุรกรรมมากกว่า 65,000 รายการต่อวินาที ด้วยการป้องกันการฉ้อโกง และให้ความมั่นใจในการชำระเงินกับผู้ค้า วีซ่าไม่ใช่ธนาคารและออกบัตรให้บริการ ขยายสินเชื่อ หรือกำหนดอัตราและค่าธรรมเนียมสำหรับลูกค้า ด้วยนวัตกรรมของบริษัทที่ช่วยให้ลูกค้าที่เป็นสถาบันการเงินสามารถมอบทางเลือกการให้บริการกับลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ การชำระด้วยเดบิต การชำระล่วงหน้าด้วยระบบพรีเพด หรือชำระภายหลังด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่างๆ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์​ https://usa.visa.com/, visacorporate.tumblr.com และ @VisaNews. 

11082
ทรูโฟร์ยู ช่อง 24  ขนผลงาน “โป๊ป ธนวรรธน์” กับภาพยนตร์ “รักละไมล์” มาให้ชมกันแบบจุใจ


สำหรับใครที่คิดถึง และถามถึง โป๊ป ธนวรรธน์ กับผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆ ของเขา ก็คงไม่พ้นเรื่อง “รักละไมล์” ภาพยนตร์แนวโรแมนติกสุดละมุน แถมยังสอดแทรกการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมไทยแบบ Unseen เรียกได้ว่าภาพสวยจนต้องร้องว้าว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยสวยเอามาก ๆ ส่วนจะเป็นจังหวัดใดต้องไปติดตามชมในภาพยนตร์ “รักละไมล์” ที่กำลังจะออกอากาศทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 เร็วๆนี้






พบกับเรื่องราวของ "แดน" (โป๊ป - ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) นักเชิดหุ่น ผิดหวังกับสังคมที่ไม่ใส่ใจรักษาวัฒนธรรม ตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ต่างแดนที่ซึ่งเขาหวังว่าสังคมที่นั่นจะให้ความสำคัญกับคนทำงานศิลปะ ขณะที่ "แพรวา" (สิรี ลูเธอร์) สาวลูกครึ่งที่เกือบตลอดชีวิตไปเติบโตในต่างประเทศ แต่เมื่อเธอกลับมาเมืองไทยเพื่อทำความฝันของแม่ให้เป็นจริง เธอพบว่าเมืองไทยคือบ้านที่แท้จริง บ้านที่เต็มไปด้วยรัก ความอบอุ่น ความผูกพัน บ้านที่มีทุกอย่างเช่นเดียวกับในประเทศที่เธอเพิ่งจากมา ที่สำคัญ เธอทำให้แดนรู้ในที่สุดถึงความหมายของ "บ้าน"  ห้ามพลาดชมความสนุกกับภาพยนตร์​ “รักละไมล์” ในวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคมนี้ เวลา 16.30 น.ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และทาง​ https://true4u.com/live/

11083
คาเฟ่ แคนทารี จัดโปรเด็ด! ซื้อพิซซ่า 1 ถาด แถมฟรี 1 ถาด!




               วันนี้ – 14 พฤษภาคม 2564 คาเฟ่ แคนทารี สาขา ปราจีนบุรี บางแสน เชียงใหม่ เกาะยาวน้อย โคราช ภูเก็ต ศรีราชา ระยอง ระยองบายเดอะซี(หาดแสงจันทร์) และอยุธยา จัดโปรเด็ด! ซื้อพิซซ่า​ 1 ถาด แถมฟรีอีก 1 ถาด ในราคาที่ต่ำกว่าหรือเท่ากัน อิ่มอร่อยสุดคุ้มกับพิซซ่าสูตรต้นตำรับสไตล์อิตาเลียน หลากหลายหน้าให้เลือกความอร่อยโดนใจ ได้แล้ววันนี้ทั้งแบบเดลิเวอรี่ หรือ Takeaway  กลับบ้าน โดยสามารถติดต่อสอบถามเงื่อนไขของบริการจัดส่งฟรีได้ที่คาเฟ่ แคนทารี สาขาใกล้บ้านคุณ สำหรับช่องทางการจัดซื้อทางไลน์แมนมีค่าจัดส่งตามจริง

               สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centre: 1627 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์​ www.cafekantary.com

คาเฟ่ แคนทารี ในเครือ เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์  พร้อมเสิร์ฟเค้ก และ เบเกอรี่อบสดใหม่สไตล์โฮมเมด  อาหารว่างและอาหารจานอร่อย อาทิ สลัด พาสต้า พิซซ่า ติ่มซำ ไอศกรีมอิตาเลียน และเครื่องดื่มหลากหลายเมนู รวมทั้งกาแฟพรีเมี่ยมรสเลิศ “ลาวาซซ่า” จากประเทศอิตาลี ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นสบายๆและทันสมัย พบกับคาเฟ่ แคนทารีทั้ง 11 สาขา ปราจีนบุรี บางแสน เชียงใหม่ เกาะยาวน้อย โคราช ภูเก็ต ศรีราชา ระยอง ระยองบายเดอะซี(หาดแสงจันทร์) อยุธยา ตั้งอยู่หน้าโรงแรมแคนทารีอยุธยา พร้อมแนะนำสาขาใหม่ล่าสุด คาเฟ่ แคนทารี คอนเนอร์ สาขาคลาสสิค คามิโอ อยุธยา

11084
เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต ประกาศแต่งตั้ง
“ชวลิต ทองรมย์” นำทัพตัวแทนดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายช่องทางตัวแทน
(Chief Agency Officer- CAO)


คุณชวลิต ทองรมย์

                บริษัท เจนเนอราลี่  ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) ประกาศแต่งตั้งนายชวลิต ทองรมย์ ขึ้นคุมทัพตัวแทน ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Chief Agency Officer- CAO) ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป

                นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.เจนเนอราลี่ ประกันชีวิต (ไทยแลนด์) ได้แต่งตั้งนายชวลิต ทองรมย์ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Chief Agency Officer) รับผิดชอบพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายผ่านตัวแทน (Agency Channel)

                นายบัณฑิตกล่าวว่า “ช่องทางตัวแทนหรือเอเจนซี่ถือเป็นช่องทางสำคัญของธุรกิจประกันชีวิต เราเล็งเห็นว่าคุณชวลิต มีประสบการณ์บริหารสายงานตัวแทนมาอย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ พิสูจน์แล้วว่า จะนำพาช่องทางเอเจนซี่ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน”

                นายชวลิต มีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจประกันภัยเกือบ 20 ปี ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจประกันชีวิต มีการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องและยังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการที่แข็งแกร่ง มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการฝ่ายตัวแทนมายาวนาน ซึ่งการเข้าร่วมงานในตำแหน่ง CAO กับเจนเนอราลี่ ครั้งนี้ จะสามารถพัฒนาฝ่ายช่องทางตัวแทนของเจนเนอราลี่ให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ สามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายขายให้สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามได้ตามเป้าหมาย มุ่งสู่การเป็น Lifetime Partner ที่จะอยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงเวลาของชีวิต

11085
แม็คโคร ยกระดับมาตรการป้องกันโควิด -19 ระลอกใหม่ขั้นสูงสุด
ปฏิบัติการเชิงรุก เข้มทำความสะอาดทุกสาขา หลังปิดทำการทุกวัน


บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)  ยกระดับมาตรการป้องกันขั้นสูงสุดอีกครั้ง ล่าสุด ตั้งทีมเฉพาะกิจทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเชิงลึกทุกวันหลังปิดทำการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เพิ่มความมั่นใจในเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ให้กับลูกค้าและพนักงานทุกคน นอกจากนี้ ยังเน้นทำความสะอาดทุกจุดสัมผัส ในช่วงเวลาเปิดทำการ ตลอดจนมีทีม “เฝ้าระวัง รักษาระยะห่าง” (distancing scouts) คอยสื่อสารย้ำเตือนให้ลูกค้าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันของทางราชการอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่เข้าใช้บริการภายในสาขา  ที่ผ่านมา   แม็คโครทุกสาขาได้รับการรับรองเป็นสถานประกอบการปลอดภัย ป้องกันโควิด-19 “THAI STOP COVID Plus” รอบล่าสุด จาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พร้อมคงมาตรการเสริมเพิ่มความรัดกุมเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น  โดยแม็คโครจะคงมาตรการป้องกันขั้นสูงสุดนี้ต่อไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย








Pages: 1 ... 737 738 [739] 740 741 ... 2404