Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: [1] 2 3 ... 2474
1
25 โปรไทยพร้อมสู้ศึก “ฟิลิปปินส์ โอเพ่น” เปิดฉากเอเชียน ทัวร์ ฤดูกาล 2025


นิติธร ทิพย์พงษ์ สดมภ์ แก้วกาญจนา เอกปริษฐิ์ หวู่

22 มกราคม 2568 – ทัพนักกอล์ฟ 144 คน พร้อมลงสู้ศึก “สมาร์ท อินฟินิตี้ ฟิลิปปินส์ โอเพ่น” ชิงรางวัลรวม 5 แสนเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 17 ล้านบาท เปิดฤดูกาลเอเชียน ทัวร์ 2025 ณ สนามมะนิลา เซาท์วูดส์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเปิดฉากดวลวงสวิงรอบแรกในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมนี้ โดยมีผู้เล่นชาวไทยลงชิงชัย 25 คน (ภาพ: Asian Tour)


สกอตต์ วินเซนต์

เอเชียน ทัวร์ จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการ สมาร์ท อินฟินิตี้ ฟิลิปปินส์ โอเพ่น แมทช์แรกของฤดูกาล 2025 ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคมนี้ ที่สนามสนามมะนิลา เซาท์วูดส์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ระยะ 7,138 หลา พาร์ 70 ในกรุงมะนิลา ซึ่งกอล์ฟ ฟิลิปปินส์ โอเพ่น ถือเป็นรายการระดับตำนานที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1913 (พ.ศ.2456) และเป็นการกลับคืนสู่ตารางแข่งขันของเอเชียน ทัวร์ อีกครั้งในรอบ 6 ปี


สตีฟ ลิวตัน

สำหรับผู้เล่นที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้มีทั้งโปรกอล์ฟชั้นนำของทัวร์อาทิ สกอตต์ วินเซนต์ แชมป์อินเตอร์เนชั่นเนล ซีรีส์ แรงกิ้ง ปี 2022 จากซิมบับเว, สตีฟ ลิวตัน แชมป์รายการนี้เมื่อปี 2017 จากอังกฤษ, ไทชิ โค นักกอล์ฟดาวรุ่งจากฮ่องกง, ชาน ชิห์-ชาง ผู้เล่นแถวหน้าจากไต้หวัน รวมถึงเหล่านักกอล์ฟเจ้าถิ่นดีกรีแชมป์เก่าอย่าง แองเจลโล เค ดีกรีแชมป์ปี 2008, ไคลด์ มอนดิลลา แชมป์ปี 2019, เจอรัลด์ โรซาเลซ แชมป์ปี 2000 และ มิเกล ทาบัวน่า เจ้าของแชมป์สองสมัยในปี 2015 และ 2018


ไทชิ โค

ทางด้านผู้เล่นชาวไทยลงชิงชัย 25 คน นำโดย สดมภ์ แก้วกาญจนา, พชร คงวัดใหม่, นิติธร ทิพย์พงษ์, รฐนน วรรณศรีจันทร์, สาริศ สุวรรณรัตน์, อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์, กัญจน์ เจริญกุล, พรหม มีสวัสดิ์, เอกปริษฐิ์ หวู่, แดนไท บุญมา, ปวิธ ตั้งกมลประเสริฐ, เด่นวิทย์ บริบูรณ์ทรัพย์ และสุธีพัทธ์ ประทีปเธียรชัย


ชาน ชิห์ ชาง มิเกล ทาบัวน่า

การแข่งขันอินเตอร์เนชันแนล ซีรีส์ รายการ สมาร์ท อินฟินิตี้ ฟิลิปปินส์ โอเพ่น รอบแรก (22 ม.ค.) กลุ่มแรกเริ่มเวลา 06.35 น. ตามเวลาท้องถิ่น  ติดตามข่าวสารของเอเชียน ทัวร์ ได้ที่เว็บไซต์ www.asiantour.com และเฟซบุค Asian Tour

2
อลิอันซ์เปิด Allianz Risk Barometer 2025 เผยปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจไทยชูอัคคีภัยและการระเบิดขึ้นแท่นความเสี่ยงอันดับหนึ่งทางธุรกิจ


-   อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความกังวลทางธุรกิจอันดับหนึ่งในปีหน้า (48%)
-   ภัยธรรมชาติ (36%) และการหยุดชะงักทางธุรกิจ (30%) อยู่ในอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ
-   การหยุดชะงักทางธุรกิจ เหตุการณ์ทางไซเบอร์ และภัยธรรมชาติเป็นความเสี่ยงสูงสุดทั้งในระดับโลกและในเอเชีย


อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความกังวลอันดับหนึ่งของธุรกิจในประเทศไทยในปี 2568 ขึ้นจากอันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 1 ตามรายงาน Allianz Risk Barometer ภัยธรรมชาติอยู่ในอันดับ 2 จากการคาดการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง เช่น น้ำท่วม ซึ่งจะทวีความรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ในขณะที่การหยุดชะงักทางธุรกิจยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญในอันดับ 3

ในขณะที่ความเสี่ยงทางธุรกิจที่สูงที่สุดของโลกและเอเชีย ได้แก่ การหยุดชะงักทางธุรกิจ เหตุการณ์ทางไซเบอร์ และภัยธรรมชาติ จากรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปีนี้ ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกของผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงกว่า 3,700 คนจากกว่า 100 ประเทศ


วาเนสสา แม็กเวล Allianz Commercial Chief Underwriting Officer กล่าวว่า “ปี 2567 เป็นปีที่ไม่ปกติในแง่ของการบริหารความเสี่ยง และรายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปีสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่  ปีนี้แตกต่างจากปีอื่นๆ ตรงที่ ความเสี่ยงในอันดับสูงๆ สัมพันธ์กัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีใหม่ กฎระเบียบ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น ทำให้สาเหตุและผลที่ตามมาซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการบริหารความเสี่ยงและพยายามพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ

คริสเตียน แซนดริก Regional Managing Director of Allianz Commercial Asia กล่าวว่า “การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทในภูมิภาคนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเนื่องจากเศรษฐกิจเอเชียมีส่วนในการค้าโลกและในระดับภูมิภาคมากขึ้น การหยุดชะงักทางธุรกิจยังมักเกิดจากเหตุการณ์ เช่น เหตุการณ์ทางไซเบอร์หรือภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงสูงสุดในภูมิภาค ท่ามกลางความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นและมีความผันผวน ธุรกิจต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการบริหารความเสี่ยงและสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทานและมาตรการรับมือมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการต่างๆ เช่น การป้องกันความสูญเสีย การใช้ซัพพลายเออร์หลายราย การโอนความเสี่ยงทางเลือก และนโยบายประกันภัยระดับนานาชาติ”

ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “อัคคีภัยและความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เป็นความกังวลหลักของบริษัทในประเทศไทย เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของการหยุดชะงักทางธุรกิจและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ธุรกิจต้องประเมินและปรับปรุงแนวทางการบรรเทาความเสี่ยงจากอัคคีภัยอย่างรอบคอบและสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียจากเหตุการณ์ใดๆ เมื่อเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ภัยธรรมชาติและการหยุดชะงักทางธุรกิจจึงกลายเป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ ในประเทศไทย สิ่งนี้ตอกย้ำความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น รวมถึงมาตรการโอนความเสี่ยงเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการหยุดชะงักทางธุรกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”

อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความเสี่ยงอันดับ 1

อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยขึ้นจากอันดับ 4 มาเป็นอันดับ 1 ความรุนแรงของภัยนี้ทำให้เกิดการหยุดชะงักอย่างมากและส่งผลให้การฟื้นตัวใช้เวลานานมากขึ้นเมื่อเทียบกับภัยด้านอื่นๆ โรงงานที่เสียหายอาจใช้เวลาหลายปีในการสร้างใหม่และกลับมาดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มกำลัง

ในปี 2567 มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอัคคีภัยและการระเบิดหลายเหตุการณ์ในประเทศไทยที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย และธุรกิจหยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมีที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทย ระเบิดที่โรงงานเหล็กในจังหวัดระยอง เพลิงไหม้โรงงานสารตั้งต้นพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และระเบิดคลังดอกไม้ไฟในภาคกลาง

อลิอันซ์ คอมเมอร์เชียล วิเคราะห์การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัยการหยุดชะงักทางธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในช่วงห้าปีซึ่งสิ้นสุดลงในปี 2566 (มูลค่าเกิน 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และพบว่าอัคคีภัยเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเรียกร้องค่าสินไหมเหล่านี้ และคิดเป็นมูลค่ามากกว่าหนึ่งในสามของมูลค่าการเรียกร้องค่าสินไหมทั้งหมด (36%)


ภัยธรรมชาติยังคงเป็นความกังวลหลัก

ภัยธรรมชาติจัดอยู่ในอันดับความเสี่ยงที่สำคัญเป็นอันดับสองในประเทศไทย ซึ่งเเป็นหนึ่งในสี่ประเทศที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงที่สุดในโลก เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนมากกว่า 180,000 ครัวเรือนและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเกษตรกรรม โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 4.34 หมื่นล้านบาท (1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติที่มีหน้าที่ประสานงานการดำเนินงานเพื่อการบรรเทาทุกข์และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ในเอเชีย ภัยธรรมชาติยังคงเป็นความเสี่ยงในอันดับ 3 โดยมีผู้ตอบข้อนี้ 27% อุณหภูมิของภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยมีผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้นจากน้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น ภัยธรรมชาติเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งเผชิญกับแผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูดในคาบสมุทรโนโตะ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียที่มีประกันภัยมูลค่าสามพันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงในฮ่องกง ซึ่งประสบกับฝนตกหนักที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2567 นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกเมื่อ 140 ปีที่แล้วจากไต้ฝุ่นไห่ขุย

ภัยพิบัติทางธรรมชาติยังคงเป็นความเสี่ยงในอันดับที่ 3 ของโลกโดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 29% ปี 2567 นับเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันที่ความสูญเสียที่มีประกันภัยมีมูลค่าสูงเกินหนึ่งแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2567 ซึ่งคาดว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เป็นปีแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง มีพายุเฮอริเคนและพายุรุนแรงในอเมริกาเหนือ น้ำท่วมรุนแรงในยุโรป และภัยแล้งในแอฟริกาและอเมริกาใต้


การหยุดชะงักทางธุรกิจสัมพันธ์กับความเสี่ยงด้านอื่นอย่างมาก

การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงอันดับ 3 ในประเทศไทย โดยธุรกิจต่างๆ เผชิญความเสี่ยงจากหลายด้าน การหยุดชะงักทางธุรกิจสัมพันธ์อย่างมากกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำท่วมในเดือนสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าประมาณ 491 ล้านบาท (14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และส่งผลให้ไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลกมีปริมาณการผลิตยางพาราลดลง 30% ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน

ธุรกิจในประเทศไทยยังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก เช่น การเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูกซึ่งส่งผลให้โรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้น 40% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 ถึงมิถุนายน 2567 เมื่อเทียบกับ 12 เดือนก่อนหน้า ผู้ผลิตรายเล็กประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นและค่าแรงที่สูง

การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในเอเชีย อยู่ในสามอันดับแรกในทุกประเทศและเขตการปกครอง และเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในจีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ สะท้อนให้เห็นถึงการหยุดชะงักอย่างรุนแรงของห่วงโซ่อุปทานในช่วงระหว่างและหลังการระบาดของโควิด 19

ในระดับโลก การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงในอันดับ 1 หรือ 2 ในการจัดอันดับความเสี่ยงของอลิอันซ์ทุกปีตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และยังคงรักษาตำแหน่งอันดับ 2 ในปี 2568 โดยมีผู้ตอบข้อนี้ 31% โดยทั่วไปแล้วการหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นผลมาจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การโจมตีทางไซเบอร์หรือระบบล่ม การล้มละลาย หรือความเสี่ยงทางการเมือง เช่น ความขัดแย้งหรือความไม่สงบในประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจตามปกติ หลายเหตุการณ์ในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าทำไมบริษัทต่างๆ ยังคงมองว่าการหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นภัยคุกคามหลักต่อโมเดลธุรกิจของพวกเขา การโจมตีของกลุ่มฮูธิในทะเลแดงทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักจากการเปลี่ยนเส้นทางของเรือขนส่งสินค้า นอกจากนี้ เหตุการณ์เช่นการพังทลายของสะพาน Francis Scott Key ในบัลติมอร์ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งในระดับโลกและท้องถิ่น การวิเคราะห์ของ Circular Republic ร่วมร่วมกับอลิอันซ์และองค์กรอื่นๆ พบว่าการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบในระดับโลก จะเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก 1.4 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้น การหยุดชะงักเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ตั้งแต่ 5% ถึง 10% ของต้นทุนผลิตภัณฑ์ และทำให้เกิดการหยุดทำงานในด้านต่างๆ เพิ่มเติม


10 อันดับความเสี่ยงในประเทศไทย


แหล่งที่มา: Allianz Commercial. ตัวเลขแสดงความถี่ที่ความเสี่ยงนั้นถูกเลือกเป็นเปอร์เซ็นต์จากคำตอบทั้งหมดของประเทศนั้น

ผู้ตอบแบบสอบถาม: 33 คน ตัวเลขรวมไม่ได้เป็น 100% เนื่องจากสามารถเลือกความเสี่ยงได้สูงสุด 3 รายการ

3
Quinn ต้อนรับฤดูกาลแฟชั่นสปริง 2025
สะท้อนความเป็นผู้หญิงผ่านแบรนด์เอสเซนซ์ของควินท์
กับแคมเปญ La Femme de Quinn




Quinn (ควินน์) เชิญสัมผัสเรื่องราวของผู้หญิงในแบบควินน์อีกครั้งกับคอลเลกชั่น Quinn Spring 2025 คอลเลกชั่นเสื้อผ้าและแอคเซสเซอรี่สุดเก๋ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นศักราชใหม่ของผู้หญิง นำเสนอผ่านแคมเปญสุดชิคชื่อว่า [/size“La Femme de Quinn” ด้วยการดึงเอารากฐานความเป็นผู้หญิงแบบควินน์กลับมาบอกเล่าผ่านแบรนด์เอสเซนซ์ที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว คือ Contemporary (ร่วมสมัย), Unconventional (ไม่ตามขนบ), Effortless (เป็นธรรมชาติ), Experimental (แปลกใหม่) และ Inclusive (เปิดรับทุกความแตกต่าง)






โดยในแคมเปญนี้ถูกสะท้อนผ่านตัวตนของผู้หญิงที่เราต่างพบเห็นได้ในชีวิตประจำวันผ่านวิถีชีวิตที่หลากหลาย โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงแฟชั่นหรือมีชื่อเสียง แต่เป็นผู้หญิงในบทบาทต่างๆ ที่อยู่ในสังคม สามารถสะท้อนแบรนด์เอสเซนซ์ทั้งห้าผ่านรสนิยมในการแต่งตัวที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ชวนมองทุกครั้งที่ปรากฏตัว






La Femme de Quinn เฉลิมฉลองให้กับผู้หญิงยุคใหม่ด้วยคอนเซปต์การดีไซน์ที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมทว่าแปลกใหม่ไม่ตามขนบ กลิ่นอายความเป็น Pop Luxury ทั้งความสนุกและหรูหราเข้าด้วยกัน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะและทฤษฏีการใช้สี ที่มีการใช้เฉดสีที่โดดเด่นผสานกับเทคนิคใหม่ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ละชิ้นให้กลายเป็นชิ้นงานศิลปะที่สวมใส่ได้ เริ่มจากเดรสทรงเอสีขาวในความยาวระดับกลางที่กลายเป็นผืนแคนวาสให้กับวงกลมสีฟ้าตัดขอบด้วยฝีแปรงสีแดงขนาดใหญ่ที่สองข้างลำตัว เสื้อครอปแขนกุดและกระโปรงที่ถูกแต่งแต้มด้วยลายพิมพ์นามธรรมร่วมสมัยและสีสันที่ซับซ้อน แม้ลวดลายจะต่างกันระหว่างท่อนบนและท่อนล่างก็สามารถนำมาแมตช์ได้อย่างลงตัว






นอกจากนี้ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความเฟมินีนถูกนำมาตีความและประดิษฐ์ขึ้นใหม่ให้มีกลิ่นอายของงานฝีมือและงานปั้น ไม่ว่าจะเป็นมินิเดรสแต่งเอเลเมนต์ดอกไม้ที่โดดเด่นขึ้นมาบนแบ็คกราวสีเขียวนีออน จั๊มป์สูทสายสปาเกตตี้คล้องคอเข้ารูปในสีปูนปั้นที่มีกิมมิกของดอกกุหลาบดอกใหญ่ เดรสสีเบจที่โดดเด่นด้วยการฉลุกลีบดอกไม้ให้ลอยมีมิติขึ้นมาจากชายกระโปรง ไปจนถึงเดรสไหล่เบี่ยงที่จับทบช่วงไหล่เป็นกลีบดอกไม้

ด้วยบุคลิกความมั่นใจและการเปิดกว้างในการแต่งตัว คอลเลกชั่นนี้ยังเล่นกับสไตล์การแต่งตัวแบบ Copenhagen Luxe ที่หยิบเอาเค้าโครงของเสื้อผ้าผู้ชายมาผนวกเข้ากับไอเทมให้มีความคูลแบบยูนิเซ็กซ์ เหมาะกับลุคทำงานและทางการที่ต้องการความเท่และเรียบหรูแบบไม่พยายาม ทั้งสูทโอเวอร์ไซส์สไตล์มาสคิวลีน และเสื้อที่เน้นฟีเจอร์โครงไหล่ที่สวมใส่ได้ตลอดกาล ก่อนปิดท้ายคอลเลกชั่นด้วยจุดยืนของควินน์ที่มุ่งมั่นใส่ใจในเรื่องของความยั่งยืน ด้วยไอเทมจากคอตตอนและลินิน 100%

นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังเติมเต็มรสนิยมในการแต่งตัวด้วยแอคเซสเซอรี่ที่มาในคอนเซปต์เดียวกันอย่างกระเป๋าและรองเท้าที่พร้อมแสดงจุดยืนแบบสาวควินน์ให้ชัดยิ่งขึ้น กับกระเป๋าคล้องแขนสไตล์มินิมอลที่ขับให้เห็นวัสดุหนังคุณภาพ มีกิมมิคจากการฉลุหูกระเป๋าเป็นรูปตัว Q และกระเป๋าสะพายใบจุในโทนสีเรียบโก้เป็นธรรมชาติที่มีไฮไลต์เป็นอะไหล่บัคเกิลตัว Q สุดเท่ รับกับวัสดุหนังนุ่มและคัตติ้งที่ประณีตเป็นเอกลักษณ์ ขาดไม่ได้ในการคอมพลีตลุคให้สมบูรณ์แบบกับรองเท้าส้นสูงเปิดส้นสีเมทัลลิคกับส้นรูปเข็มหมุดสุดโดดเด่น

ค้นพบสุนทรียศาสต์ของผู้หญิงควินน์ในแบบที่ไม่มีใครเหมือน พร้อมสัมผัสเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่จะเนรมิตให้คุณโดดเด่นในแบบของตัวเองกับ Quinn Spring 2025 : La Femme de Quinn ได้แล้ววันนี้ ที่ QUINN ทุกสาขาและออนไลน์ www.iamquinn.com

อัปเดตเทรนด์แฟชั่นล่าสุดของ “Quinn” เพิ่มเติมได้ที่
Instagram: @iamquinn.quinniam
Facebook: QUINN (@iamquinn.quinniam)
LINE Official Account: @quinn_official

4
DITP จัดกิจกรรมแถลงข่าว ตอกย้ำความสำเร็จ E-Academy ภายใต้แนวคิด “Beyond Boundaries Transform Knowledge into Impact”


           เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานแถลงข่าว ตอกย้ำความสำเร็จของ E-Academy ภายใต้แนวคิด “Beyond Boundaries Transform Knowledge into Impact” ณ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) ถนนรัชดาภิเษก


           นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้พัฒนาระบบการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ที่เราเรียกว่าระบบ E-Academy เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย ซึ่งนับเป็นมิติใหม่แห่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศได้ด้วยตัวเองทุกที่ ทุกเวลา จากทุกภาคส่วน ของประเทศ และยังช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศของผู้ประกอบการไทย          ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ เสริมทักษะเดิม (Reskill) และ        เพิ่มทักษะใหม่ (Upskill) ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสอดคล้องกับนโยบายกระทรวงพาณิชย์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย


           ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ยืนหยัดในฐานะผู้ช่วยทางการค้า มุ่งมั่นพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ด้วยเป้าหมายในการเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการไทย ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนก้าวสู่ตลาดโลก โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาหลักสูตรในระบบ E-Academy มาแล้วมากกว่า 89 หลักสูตร และมีผู้ประกอบการเข้ามาเรียนแล้วกว่า 90,000 รายทั่วประเทศ


           นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเสริมว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้พัฒนาระบบ E-Academy มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Beyond Boundaries : Transform Knowledge into Impact” ที่เราจะมุ่งมั่นให้ E-Academy เป็นนวัตกรรมที่ช่วยพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการด้านการค้าระหว่างประเทศ ไม่ต่ำกว่า 5,000 ราย และจะมีการเพิ่ม 4 หลักสูตรใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสและขยายขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการไทย ได้แก่ 1) หลักสูตรเคล็ดลับการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA 2) หลักสูตรเจาะลึกตลาดอินเดีย 3) หลักสูตรการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการส่งออก และ
4) หลักสูตรการประยุกต์ใช้พลังงานของซอฟต์พาวเวอร์กับสินค้า รวมถึงกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของเราจะมุ่งผลักดันให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาต่อยอดธุรกิจและบริการ ให้สามารถเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถทำการค้าระหว่างประเทศได้อย่างประสบความสำเร็จ



           นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการบอกเล่าความสำเร็จจาก E-Academy สู่เวทีโลก และได้รับเกียรติร่วมแบ่งปันความสำเร็จจากประสบการณ์ตรงโดย คุณแหวนแหวน ปวริศา เพ็ญชาติ คุณอั้ม ดร.อธิชาติ ชุมนานนท์ คุณวรรณา สุทัศน์ ณ อยุธยา นายกสมาคมการออกแบบ บรรจุภัณฑ์ไทย คุณสถิตย์ แถลงสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) คุณชญาณ์พิมพ์ สังฆธรรม กรรมการบริษัท ละมุนกรุ๊ป จำกัด และ คุณยุภารัตน์ เวชกรปฏิวงค์ กรรมการบริษัท ทองพูน 88 จำกัดพร้อมทั้งมีการจัดแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมอบรมกับทางสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ อีกด้วย

           สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจสมัครเข้าอบรมหลักสูตรของ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ ผ่านระบบ E-Academy สามารถสมัครฟรี! ได้ที่ https://e-academy.ditp.go.th/ เพียงคลิกลิงค์แล้วกดเลือกหลักสูตรที่สนใจโดยสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/nea.ditp และ Line: @nea.ditp หรือโทร: 1169 กด 1 กด 1

5
MOTOR EXPO จับรางวัลคืนกำไรให้ผู้ชม


            “IMC สื่อสากล” จับรางวัลหาผู้โชคดีจากงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41” ลุ้นรถยนต์ 3 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน จากกิจกรรมคืนกำไรให้ผู้ชมที่ “ซื้อรถ...ชิงรถ” “ซื้อบัตร...ชิงรถ” “ซื้อมอเตอร์ไซค์...ชิงบิกไบค์” และ “ชมงานผ่าน MOTOR EXPO APP ชิงรางวัล" ณ ห้องรอยัลจูบิลี อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ในวันพุธที่ 22 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา


            สำหรับรายชื่อผู้โชคดีที่ผ่านการตรวจสอบว่าปฏิบัติตามกฎกติกาของการชิงรางวัลแล้ว จะประกาศ ทางเวบไซท์ motorexpo.co.th, autoinfo.co.th, ทาง LINE @motorexpo ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และทางนิตยสาร “ฟอร์มูลา”, 4 WHEELS ฉบับประจำเดือนเมษายน 2568






6
ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ชวนดู “หยุดโลกปล้น” ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดระทึก 24 ม.ค.นี้


           ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 ขอเชิญผู้ชมมาร่วมเป็นพยานไปกับการปล้นครั้งประวัติศาสตร์อีกครั้ง กับหนังแอ็คชั่นสุดระทึกในภาพยนตร์ "หยุดโลกปล้น" (Way Down) ผลงานการกำกับของ "เฆาเม บาลาเกโร พร้อมด้วยการประชันบทบาทของ เฟรดดี้ ไฮมอร์, เลียม คันนิงแฮม, แซม ไรลีย์ และ แอสทริด เบอร์เจส – ฟริสบี






           เตรียมพบกับเรื่องราวของทีมอาชญากรโคตรอัฉริยะที่วางแผนปล้นสะท้านโลก การปล้นธนาคารสุดหินที่ได้ชื่อว่าไม่มีใครกล้าปล้น  เมื่อเป้าหมายคือธนาคารแห่งชาติสเปนอายุร้อยปี ที่ไม่มีแม้แต่ข้อมูล ไม่มีพิมพ์เขียว ไม่มีใครรู้กลไกการทำงานมัน  แต่มีเงื่อนไขลับที่ดึงดูดใจเด็กหนุ่มวิศวกรสุดอัจฉริยะ “ทอม” (เฟรดดี ไฮมอร์) เขาจึงได้เข้ารวมทีมกับเซียนงานศิลปะ “วอลเทอร์” (เลียม คันนิงแฮม) พวกเขาต้องวางแผนปล้นเหนือชั้นพร้อมเอาชีวิตให้รอดจากธนาคารที่ได้ชื่อว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อน และอันตรายขั้นสุดภายใต้เงื่อนไขเวลา “105 นาที” ดูความสนุกได้เลยวันศุกร์ที่ 24 มกราคมนี้ เวลา 15.00 น. ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และ https://true4u.com/live

#หยุดโลกปล้น
#WayDown
#ทรูโฟร์ยู#ช่อง24#True4U

7
ดร.ปวริศร์ ชัยชะนะกิตติยศ ประธานชมรมสวยสดใสด้วยใจรัก
เปิดตัวภาพยนตร์พล็อตรางวัล "Day-time ปาฏิหาริย์ข้ามเวลา"





               เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ดร.ปวริศร์ ชัยชะนะกิตติยศประธานชมรมสวยสดใสด้วยใจรัก ได้จัดพิธีบวงสรวงเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง "Day-time ปาฏิหาริย์ข้ามเวลา" เพื่อเป็นการสนับสนุนผลงานภาพยนตร์ไทยให้เป็น soft power และเป็นการสนับสนุนกิจการเพื่อความรัก ความสามัคคี ภายใต้นโยบายหลักของชมรม

               ทั้งนี้บทภาพยนตร์เรื่อง "Day-time ปาฏิหาริย์ข้ามเวลา" ยังเป็นบทภาพยนตร์ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของการประกวดพล็อตภาพยนตร์จากค่ายหนังดัง ภายใต้นามปากกา "จิต มหัศจรรย์" ที่คร่ำหวอดในวงการสื่อนิตยสารมายาวนาน

               บทภาพยนตร์เรื่อง "Day-time ปาฏิหาริย์ข้ามเวลา" นอกจากเป็นเรื่องราวที่สอดแทรกแง่คิดในการใช้ชีวิตแล้ว ยังสร้างความสนุกสนาน ชวนให้คิดถึงภาพจำในวันวาน และครบถ้วนอรรถรส โดยใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียง พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้มีนักแสดงหน้าใหม่เข้าร่วมในผลงาน







               โดยภายในงานยังเปิดตัวหนุ่ม "ไวท์ กุลธวัช บัวเจริญ" นักแสดงหนุ่มที่มีผลงานการแสดงมากมายทางช่อง 7 สี อาทิ แม่สื่อจอมป่วน,พ่อมดเจ้าเสน่ห์,เสาร์ 5,หุบพญาเสือ,ทะเลเดือด และ ชาติพยัคฆ์คมนักเลง โดยหนุ่มไวท์จะเป็นผู้มารับหน้าที่เป็น  Acting coach คัดเลือกนักแสดงใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้

               พร้อมเปิดตัวนักแสดงหน้าใหม่ น้องขันติ - จุฑารุจ ปาละวงษ์ ยูทูปเปอร์เมืองไทยซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่าสี่ล้านคน และติด 1 ใน 10 ของยอดวิวที่มีผู้เข้ารับชม 3 ปีซ้อน

               ท่านที่สนใจสามารถส่งภาพและข้อมูลเพื่อสมัครคัดเลือกเป็นนักแสดงได้ที่เพจ :  Day-time ปาฏิหาริย์ข้ามเวลา  มีกำหนดเปิดกล้องในวันที่ 4 มีนาคม 2568 และมีกำหนดฉายในเดือนตุลาคมนี้ทุกโรงภาพยนตร์...








   












8
UNHCR ชวนบริจาคมอบผ้าอนามัยและชุดสุขอนามัยที่จำเป็น
สำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงให้ผู้ลี้ภัยสงคราม เป็นของขวัญในเริ่มต้นปีใหม่





               กรุงเทพฯ – จำนวนผู้ถูกบังคับให้ลี้ภัยสูงขึ้นถึง 122 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2567 และมากกว่าครึ่งคือผู้หญิงและเด็ก ที่รอดชีวิตจากความขัดแย้ง ในสถานการณ์ที่ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากสงครามพวกเขามีสิ่งของติดตัวมาเพียงเล็กน้อย ระหว่างการเดินทางเพื่อแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยและต้องลี้ภัยหรือพลัดถิ่นนานนับปี

               จากสถานการณ์วิกฤติที่รุนแรงเช่นนั้น ส่งผลให้พวกเขาต้องต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในวันที่ยังไม่สามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยพวกเขายังคงต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง

               สำหรับผู้หญิงทุกคน “ผ้าอนามัย” ช่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยจากความเสี่ยงทางสุขอนามัย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น ที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่พวกเธอเลือกไม่ได้ ในวิกฤตสงครามเด็กผู้หญิงจำนวนมากต้องหยุดเรียนเมื่อ
มีประจำเดือน เพราะไม่มีผ้าอนามัยใส่ไปโรงเรียน ผู้หญิงและเด็กหญิงผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องเผชิญอุปสรรคเมื่อพวกเธอมีประจำเดือนและต้องการผ้าอนามัย ความขาดแคลนนี้ทำให้พวกเธอตกอยู่ในความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย




               นอกจากผ้าอนามัย ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงผู้ลี้ภัยมีความจำเป็นต้องการของใช้ด้านสุขอนามัยรวมถึงกระดาษชำระ สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน หวี ผงซักฟอก ถังน้ำ ชุดชั้นใน เพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย มีสุขอนามัยที่ดี ถูกสุขลักษณะ และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

               ขอเพียงแค่มีผ้าอนามัยใช้เพียงพอ ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน อย่างสม่ำเสมอหรือแม้กระทั่งได้หวีผมและส่องกระจก ก็ทำให้ผู้หญิงทุกคนรู้สึกสะอาด ปลอดภัย และมั่นใจ มีกำลังใจเพื่อดำรงชีวิตและมีความหวังอีกครั้ง ผู้หญิงและเด็กผู้ลี้ภัยก็เช่นกัน

               “การได้ผ้าอนามัยและสบู่มาอาจดูไม่มากนัก แต่สำหรับหนูแล้วมันทำให้หนูไม่ต้องขาดเรียน” บิชาร์ มิเชล เด็กสาวผู้ลี้ภัยชาวซูดาน วัย 15 ปี กล่าว

               ร่วมสนับสนุนชุดสุขอนามัยกับ UNHCR เพื่อมอบของใช้จำเป็นให้แก่ผู้หญิงและเด็กผู้ลี้ภัย ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ได้ที่ เว็บไซต์: https://unh.cr/6759a8160 หรือ บัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 004-225-8596 ชื่อบัญชี UNHCR Special Account *โปรดส่งสลิปโอนเงินมาที่ LINE @UNHCRDonation เพื่อยืนยันการบริจาคและรับการ์ด






9
จับตา “จัดเก็บภาษีความเค็ม”ขนมขบเคี้ยว
เพิ่มทางเลือกสุขภาพ ลดเสี่ยงโรค NCDs

โดย รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม


            จากกรณีที่กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะจัดเก็บภาษีความเค็มเนื่องจากคนไทยติดการบริโภคเค็มมากเกินไป โดยเริ่มจากสินค้าขนมขบเคี้ยวก่อน ซึ่งจะมีความชัดเจนในปี 2568 นี้ โดยกลุ่มขนมขบเคี้ยวจะถูกเก็บตามปริมาณโซเดียมต่อผลิตภัณฑ์ในอัตราภาษีแบบขั้นบันได โดยหวังให้ประชาชนบริโภคความเค็มลดน้อยลง โดยจะดำเนินการจัดเก็บภาษีความเค็มในรูปแบบเดียวกับภาษีความหวานซึ่งบังคับใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและส่งผลให้ประชาชนลดการบริโภคน้ำตาลลงชัดเจน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการธุรกิจ โดยรัฐตั้งเป้าหมายให้คนไทยลดการบริโภคเค็มให้ได้ร้อยละ 30 โดยก่อนหน้านี้ทางกระทรวงการคลังได้มีนโยบายและมอบหมายให้กรมสรรพสามิตไปศึกษาเรื่องกลไกการเก็บภาษีความเค็มในบางสินค้าที่มีอยู่ โดยเฉพาะการควบคุมสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยว ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งเป้าหมายหลัก ๆ ของกระทรวงการคลังต้องการจะดูแลเรื่องสุขภาพของคนไทย ซึ่งจากข้อมูล 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยก็ยังบริโภคเค็ม ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็มีนโยบายเป็นหลักยุทธศาสตร์ที่จะพยายามให้คนไทยลดการบริโภคเค็มลง


            สอดคล้องกับ นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การลดโรค NCDs เป็นภาระงานและความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุข มีคนไทยเสียชีวิตจากโรค NCDs กว่า 400,000 คนต่อปี รัฐต้องสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งในปี 2568 มีสโลแกน “กรมควบคุมโรคห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี” มุ่งสนับสนุนกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) นำนวัตกรรมเครื่องวัดความเค็ม(Salt Meter) ขยายผลสร้างความตระหนักและควบคุมปริมาณโซเดียมในการปรุงอาหารของครัวเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานทั่วประเทศ เป็นแนวทางการดำเนินงานเฝ้าระวังและลดการบริโภคเกลือและโซเดียมระดับจังหวัด รวมถึงกำหนดปริมาณเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ผลักดันมาตรการภาษีโซเดียม มุ่งเป้าให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี ห่างไกลโรค NCDs ด้วยการลดการกินเค็ม ลดเกลือและโซเดียมเกินกำหนด สอดรับ 1 ใน 9 เป้าหมายลด NCDs ระดับโลก (9 global targets for noncommunicable diseases for 2025)


            “จากข้อมูลพบว่าคนไทยได้รับโซเดียมจากการกินอาหาร 4,351.69 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน สูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา ที่สำคัญยังพบว่า คนไทยป่วยด้วยโรคที่สัมพันธ์กับการบริโภคโซเดียม เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไต หัวใจและหลอดเลือดสมองกว่า 22 ล้านคน ซึ่งคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกระบุว่า ภายในปี 2568 ไทยควรจะต้องทำให้ประชาชนลดการบริโภคเกลือและโซเดียมลง 30% โดยจะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ลดเกลือและโซเดียม สร้างความรู้สร้างความตระหนักแก่ผู้บริโภค การปรับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และผลักดันให้เป็นรูปธรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายประชาชนมีสุขภาพดี”


            รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า เราควรให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรังหรือ NCDs ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมและเกินความพอดี ส่งผลทำให้ตัวเลขของผู้ป่วยด้วยเพิ่มขึ้น เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง พบว่าคนไทยมากกว่า 22 ล้านคน ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับการบริโภคโซเดียม ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาทเลยทีเดียว และทางกระทรวงสาธารณสุขมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ คิดเป็นร้อยละ 52 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไทยกินเกลือโซเดียมเกินความต้องการ และมีอุบัติการณ์ของภาวะความดันโลหิตสูงถึง 10 % ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกินขนมกรุบกรอบและอาหารสำเร็จรูปมาก ดังนั้นภาครัฐจึงรณรงค์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคของคนไทย ในขณะที่ภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพประชาชนมากขึ้น


            โดยที่ผ่านมาเครือข่ายลดบริโภคเค็มและองค์กรพันธมิตร รณรงค์และให้ความรู้ เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลมีเดียและสื่อสารมวลชนทุกแขนงในด้านโภชนาการเพื่อให้ผู้บริโภคบริโภคโซเดียมลดลง สนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม ส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโซเดียมต่ำ เครื่องตรวจวัดความเค็ม (Salt Meter) และการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคโซเดียมต่อสุขภาพ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ (โรงเรียน ชุมชน โรงพยาบาล และองค์กรเอกชน) เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชน รวมทั้งประสานความร่วมมือกับผู้ผลิตอาหารในการลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วยให้แต่ละคนสามารถปรับลิ้นให้คุ้นเคยรสชาติที่เปลี่ยนไปได้เมื่อเวลาผ่านไป หรือเป็นนิสัยที่ “เค็มน้อยอร่อยได้” ซึ่งนําไปสู่การควบคุมการบริโภคเกลือและความดันโลหิตที่ดีขึ้นภายในชุมชนอย่างยั่งยืน


            การปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโซเดียมลดลงเป็นมาตรการที่สามารถลดการเสียชีวิตจากโรค NCDs ได้ดี โดยมีค่าใช้จ่ายจากฝั่งภาครัฐน้อยและให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิผล ซึ่งหนึ่งในวิธีหรือมาตรการที่จะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้ปรับเปลี่ยนสูตรผลิตภัณฑ์อาหารให้มีความเค็มน้อยลง คือการใช้มาตรการทางภาษีและราคาโดยมีประเทศที่ได้ดำเนินมาตรการภาษีเกลือและประสบความสำเร็จ คือ ประเทศฮังการี ซึ่งผลของการดำเนินงานแสดงให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนสูตรอาหารของภาคอุตสาหกรรม และการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีเกลือสูง นอกจากนี้มีหลายประเทศที่ได้มีการวิเคราะห์และคาดการณ์ผลกระทบด้านสุขภาพหากมีการนำมาตรการภาษีเกลือและโซเดียมมาปฏิบัติใช้ ซึ่งทุกการศึกษาชี้ให้เห็นผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านสุขภาพ และความคุ้มค่าในการดำเนินมาตรการ

            การมีเกณฑ์สำหรับภาษีความเค็มในประเทศไทยที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกับกรมสรรพสามิต ในการที่จะพิจารณาในการจัดเก็บ ทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ ซึ่งเป้าหมายตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของรายได้ แต่เน้นเรื่องสุขภาพของคนไทย หากมีการเก็บภาษีความเค็มจริง จะเก็บเฉพาะสินค้าที่มีปริมาณโซเดียมสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น เช่น สินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวที่มีรสเค็ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และโจ๊กสำเร็จรูป ดังนั้นผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นไปที่การปรับสารอาหารให้มีปริมาณโซเดียมน้อยลงหรือใช้เกลือโซเดียมต่ำแทน อย่างไรก็ตามสินค้าในบางประเภท เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีข้อจำกัดในแง่ของการปรับราคา ซึ่งผู้ประกอบการเองจะต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพราะว่าตอนนี้คนไทยรักสุขภาพมากขึ้นและหันมาบริโภคสินค้าที่ดูแลสุขภาพมากขึ้นโดยปรับสูตรอาหารเพื่อลดบริโภคเค็มลงหรือโซเดียมลดลง ซึ่งเมื่อปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์ลดต่ำลงในระดับที่เหมาะสมปลอดภัย ผลิตภัณฑ์นั้นก็จะไม่ถูกเก็บภาษี ทำให้ราคาสินค้าคงเดิมและยังลดต้นทุนในการใช้เกลือโซเดียมอีกด้วย มาตรการภาษีนี้จะเป็นแรงจูงใจให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคหันมานิยมอาหารโซเดียมต่ำ เค็มน้อยและดีต่อสุขภาพในระยะยาว ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ โดยเราจะต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ให้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารตามไปด้วย รวมถึงต้องให้ความรู้ความเสี่ยงในการบริโภคโซเดียมมากเกินไปด้วย

            ในส่วนของกลุ่มตลาดอาหารขนมขบเคี้ยว ประกอบด้วย มันฝรั่งทอด ขนมขึ้นรูป และขนมที่ทำมาจากเนื้อปลา สาหร่าย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการของขนมสาหร่ายรายใหญ่ มีการปรับลดโซเดียมลงได้ร้อยละ 50 หรืออีกกลุ่มคือ มันฝรั่งทอดรายใหญ่ ก็ลดโซเดียมลงถึงร้อยละ 30 ด้วย

10
ถอดรหัสปั้นคาแรคเตอร์สติกเกอร์ให้ครองใจผู้ใช้
จากทริปบันดาลใจ LINE STICKERS CONTEST 2024 ณ ประเทศญี่ปุ่น


             LINE STICKERS สานต่อภารกิจสนับสนุนและพัฒนาทักษะครีเอเตอร์ไทยในการสร้างสรรค์ผลงานสติกเกอร์ให้มีคุณภาพ ผ่านกิจกรรม LINE STICKERS CONTEST 2024  เพื่อเฟ้นหาสุดยอดครีเอเตอร์สร้างสรรค์สติกเกอร์บนแอปพลิเคชัน LINE ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 โดยในปีนี้ยังคงมาพร้อมบททดสอบสุดเข้มข้น ด้วยการให้ครีเอเตอร์ออกแบบสติกเกอร์ตามโจทย์ที่กำหนด พร้อมวางขายจริงในตลาด โดย 12 ผู้ชนะจากกิจกรรมได้ร่วมทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเวิร์คช็อปกับผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ของ LINE ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Dream Design Deliver: The Inspiration Experience เปิดโลกบันดาลใจสู่การสร้างสรรค์ LINE STICKERS


             อิสรี ดำรงพิทักษ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ Consumer Business LINE ประเทศไทย กล่าวว่า LINE ยังคงมุ่งมั่นตอกย้ำจุดยืนในฐานะ Creative Business Enabler เดินหน้าส่งเสริมทักษะและผลักดันครีเอเตอร์ไทย ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นทั้งในเชิงศิลปะและธุรกิจ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานให้สำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการวาดหรือขายสติกเกอร์เท่านั้น แต่ต้องตั้งต้นจากการหาแรงบันดาลใจ ผ่านคลังประสบการณ์และมุมมองที่หลากหลาย พร้อมทั้งมีการศึกษาอินไซต์ของตลาด จากนั้นจึงนำความคิดสร้างสรรค์ที่ตกผลึกมาอย่างดีมาเชื่อมโยงเข้ากับโลกธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งาน ดังนั้น LINE จึงมุ่งมั่นในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการสร้างแรงบันดาลใจให้ครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง”




             สรุป 8 Tips & Tricks ปั้น LINE STICKERS ครองใจผู้ใช้ ไม่ตกเทรนด์

             ไฮไลต์ของทริปที่หาไม่ได้จากที่ไหน กับกิจกรรมเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟโดยผู้เชี่ยวชาญจาก LINE ประเทศญี่ปุ่นและวิทยากรผู้คร่ำหวอดในวงการคาแรคเตอร์ มาแชร์เคล็ดลับที่จะช่วยให้สติกเกอร์โดดเด่นและเป็นที่นิยม

1. ในญี่ปุ่นพบว่าผู้ใช้กว่า 90% พึงพอใจในการใช้งานก็จริง แต่ยังต้องการให้ LINE STICKERS สามารถทำการค้นหาได้ง่ายขึ้น และมีตัวสติกเกอร์ที่ตรงใจผู้ใช้งานมากขึ้น
2. หาจุดร่วมระหว่างผู้ส่งและผู้รับ เนื่องจากผู้ใช้งานในปัจจุบันไม่ได้เลือกใช้สติกเกอร์จากคำที่ชอบหรือตัวที่แสดงอารมณ์ของผู้ใช้อย่างเดียว แต่คำนึงถึงคู่สื่อสารด้วย
3. บางครั้งสามารถ หยิบคาแรคเตอร์ขวัญใจผู้ใช้ มาปรับหน้าตาใหม่ ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เคยทำกับสติกเกอร์ Moon เมื่อทางไลน์หยิบมาปรับหน้าตาใหม่ ก็กลับมาครองใจและเพิ่มงานใช้งานได้มากกว่าเดิม
4. ฟีเจอร์ Sticker Arranging หรือการส่งสติกเกอร์หลายตัวได้ในคราวเดียว เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่กลุ่มผู้ใช้งานวัยรุ่นชื่นชอบเป็นอย่างมาก เพราะช่วยสร้างเรื่องราวและเพิ่มอรรถรสขึ้นไปอีก
5. โซเชียลมีเดีย คือเครื่องมือในการโปรโมทสติกเกอร์ที่สามารถสร้างการจดจำกับฐานแฟนได้ดีมาก
6. เทรนด์การ “แสดงความรู้สึก” ยอดนิยมผ่านสติกเกอร์ในญี่ปุ่นได้แก่  1) ขอบคุณ 2) It’s OK 3) หัวเราะด้วยท่าทางโอเวอร์ 4) กอด 5) แอบมอง แอบดู
7. หากต้องการทำตลาดในต่างประเทศ หนึ่งในคำแนะนำคือไม่จำเป็นต้องมีตัวอักษรในสติกเกอร์เพราะต่างภาษาของผู้ใช้ และความคุ้นเคยของลักษณะตัวอักษรอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
8. แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนการสร้างสรรค์งานมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด การวาดลายเส้นด้วยมือยังคงเป็นคุณค่าที่ผู้ใช้มองหาและไม่สามารถแทนที่ได้ด้วย AI





             สูตรสำเร็จสร้าง “คาแรคเตอร์ท้องถิ่น” ขวัญใจนักท่องเที่ยว

             นอกจากนี้ Arakawa Fukasaku จาก Japanese Local Character Association ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมองค์ความรู้และเครือข่ายคาแรคเตอร์ทั่วประเทศญี่ปุ่น ยังเผยอีกว่า “การปั้นคาแรคเตอร์ท้องถิ่นให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องสร้างเอกลักษณ์ เข้าไปอยู่ในใจคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้ ที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการออกแบบ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบของชาวเมือง คำนึงถึงการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นมาสคอตหรือรูปปั้น ไปจนถึงทำการตลาด โฆษณา เพื่อโปรโมตให้คาแรคเตอร์นั้นเป็นที่รู้จักและรักษาความนิยมอย่างต่อเนื่อง”




             คาแรคเตอร์ท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะเป็นรูปสัตว์ เช่น สุนัข แมว หมี กระต่าย และกระรอก ขณะที่ “นก” จะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังมักนำสิ่งที่มีชื่อเสียงหรือเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนั้นๆ มาประกอบรวมกัน โดยโทนสีที่นิยมคือ โทนสีอ่อน สบายตา อย่างสีเขียว ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งนี้ควรตั้งชื่อที่จำง่าย มีอิมแพค ให้ความรู้สึกสดใส และที่สำคัญควรต่อยอดไปสู่การพัฒนาเป็นสินค้า เช่น ตุุ๊กตา ฟิกเกอร์ เสื้อ เข็มกลัด กระเป๋าผ้า พวงกุญแจ ให้น่าใช้ เพื่อให้ผู้ที่ชื่นชอบสามารถเก็บสะสมได้ เป็นการตรึงความนิยมไปอีกยาวๆ




             เปิดเส้นทางบันดาลใจ ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อสุดยอดครีเตอร์ไทย

             ทริปครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ Dream Design Deliver: The Inspiration Experience เปิดโลกบันดาลใจสู่การสร้างสรรค์ LINE STICKERS พาสุดยอดครีเอเตอร์ไทยผู้ชนะแคมเปญ ไปเติมเต็มแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น เมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะ หรือ "Little Edo" ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์และการผสมผสานระหว่างอดีตและอนาคตสร้างสรรค์งานเชิงวัฒนธรรมร่วมสมัยได้อย่างดีเยี่ยม จากนั้นไปเปิดโลกจินตนาการให้โลดแล่นที่ Moomin Valley Park ธีมพาร์คที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครมูมินจากฟินแลนด์ ก่อนจะดำดิ่งสู่โลกของมังงะและไลท์โนเวลที่พิพิธภัณฑ์ Kadokawa Musashino Manga Ranobe Library เรียนรู้วิวัฒนาการของการเล่าเรื่อง ตัวละคร และศิลปะ ที่ช่วยเสริมกระบวนการสร้างสรรค์งานสติกเกอร์ ต่อด้วยย่านอากิฮาบาระ สวรรค์ของวัฒนธรรมเกมและซับคัลเจอร์ญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยพลังและสีสันของชีวิตที่หลากหลาย พร้อมเก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบสำหรับการสร้างสรรค์สติกเกอร์ที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ณ ย่านชิบูย่า ศูนย์กลางสีสันของวัยรุ่นของญี่ปุ่น และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะจิฮิโระ สัมผัส ความทรงพลังของดีไซน์ที่เรียบง่ายและกินใจ แล้วปิดท้ายที่ Sunshine City สวรรค์สายคาแรคเตอร์โดยเฉพาะ

             ทั้งหมดนี้ คือ ส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษ ที่ LINE จัดเต็มเพื่อปลุกพลังไอเดียสร้างสรรค์ ปลดล็อกสกิลที่มี ให้นำมาต่อยอดผลงานสร้างสรรค์ของตัวเองผ่าน LINE STICKERS ที่สามารถ “เติมความสนุกทุกการแชท” กันแบบไม่ตกเทรนด์

11
SCGC ผนึกกำลัง ทช. เร่งเครื่องจัดการปัญหาขยะทะเล เน้น Up-Scale และ Up-Speedพร้อมส่งมอบ”ทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลล่าสุด” ป้องกันขยะสู่ทะเล


กรุงเทพ, ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ – 21 มกราคม 2568 : เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC ผู้นำธุรกิจพอลิเมอร์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน นำโดย นางสาวน้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร   แบรนด์และกิจการเพื่อสังคม ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดย ดร.ปิ่นสักก์  สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมระดมความคิดเพื่อฟื้นฟูและดูแลระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งการจัดการปัญหาขยะทะเล โดยเน้นกลยุทธ์ Up-Scale และ Up-Speed เพื่อเร่งขยายผลในโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ระหว่าง SCGC และ ทช. อาทิ ทุ่นกักขยะลอยน้ำ  บ้านปลา การปลูกป่าชายเลน

[

พร้อมกันนี้ SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ล่าสุด “SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3” จำนวน 25 ชุด ให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปกักขยะลอยน้ำบริเวณปากแม่น้ำลำคลองสาขาต่าง ๆ ไม่ให้หลุดรอดสู่ทะเล โดยระหว่างปี 2563 จนถึงปี 2567 (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) SCGC ได้ส่งมอบทุ่นกักขยะฯ ไปแล้วกว่า 50 ชุด ติดตั้งใน 17 จังหวัด สามารถลดปริมาณขยะบกไหลลงสู่ทะเลได้กว่า 90 ตัน ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันและเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้กับระบบนิเวศทางทะเล


สำหรับ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ : SCGC - DMCR Litter Trap Gen 3 ได้ออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนวัสดุใหม่เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน สามารถลดน้ำหนักทุ่นได้กว่า 50% ประกอบติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ขนส่งในปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยวจึงช่วยลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทุ่นกักขยะลอยน้ำโมเดลใหม่ สามารถรองรับน้ำหนักขยะได้กว่า 700 กิโลกรัมต่อตัว อายุการใช้งานยาวนานกว่า 25 ปี แม้วางอยู่กลางแสงแดด เนื่องจากวัสดุที่นำมาใช้เป็นพลาสติก HDPE เกรดพิเศษเช่นเดียวกับที่ใช้ใน SCGC Floating Solar Solutions จึงมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด




ทั้งนี้ SCGC ได้ร่วมกับ ทช. และภาคีเครือข่าย เช่น สมาคมเยาวชน The Youth Fund สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มปิโตรเคมี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ องค์กร AEPW (Alliance to End Plastic Waste) ขับเคลื่อนภารกิจพิทักษ์ทะเลมาอย่างต่อเนื่อง โดย SCGC ได้นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนามาสร้างสรรค์ “นวัตกรรมเพื่อพิทักษ์ทะเล” (Innovation for Better Marine) อาทิ นวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ บ้านปลาเอสซีจีซี รวมทั้งร่วมก่อตั้งเครือข่าย “Nets Up” โมเดลการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อทะเลยั่งยืน เปลี่ยนอวนประมงที่ไม่ใช้แล้ว สู่ Marine Materials วัสดุทางเลือกใหม่จากนวัตกรรมรีไซเคิล นอกจากนี้ ยังได้นำพนักงานจิตอาสาร่วมเก็บขยะชายหาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่าน มีจิตอาสากว่า 2,000 คน สามารถเก็บขยะชายหาดได้กว่า 3 ล้านตัน

12
Maison Berger Paris เปิดตัวคอลเลคชันล่าสุดรับปีใหม่ GEODE Collection
ครบเซ็ตทั้ง ตะเกียงน้ำหอม ก้านกระจายความหอม และ เทียนหอม


              เมซอง แบร์เช่ ปารีส (Maison Berger Paris) ผู้นำด้านเครื่องหอมสำหรับบ้านเกรดพรีเมียมจากประเทศฝรั่งเศส ขอแนะนำคอลเลคชันใหม่ GEODE Collection ออกแบบด้วยความชำนาญจากช่างฝีมือฝรั่งเศส Armand Delsol กับลวดลายสามเหลี่ยมที่สานอยู่รอบตัวผลิตภัณฑ์ ให้ความหรูหราและมีสไตล์ รูปทรงชวนให้นึกถึงผลทับทิม เต็มไปด้วยความสวยงาม สามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการ อาทิ ตะเกียงน้ำหอม ก้านกระจายความหอม เทียนหอม โดยตะเกียงน้ำหอม เมซอง แบร์เช่ ปารีส ยังมาพร้อมคุณสมบัติกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้าน ช่วยฟอกอากาศให้สะอาดสดชื่น ปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง และมีกลิ่นน้ำหอมให้เลือกมากที่สุดกว่า 65 กลิ่น เติมเต็มความสุขทุกการพักผ่อนในบ้าน โปรชันรับปีใหม่ ตั้งแต่วันนี้ – 23 มกราคม 2568








·       ชุดตะเกียงน้ำหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ ฟ้า ขาวขุ่น แดง พิเศษ 2,536 บาท (จากราคา 3,170 บาท) รับฟรีน้ำหอม ขนาด 500 มิลลิลิตร 2 ขวด

·       ก้านกระจายความหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ GEODE Bleue Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Under the Olive Tree, GEODE Givre Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Cotton Caress, GEODE Paprika Scented Bouquet พร้อมน้ำหอมกลิ่น Land of Spices พิเศษ 1,904 บาท (จากราคา 2,380 บาท)

·       เทียนหอม GEODE มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ GEODE Bleue Scented Candle พร้อมกลิ่น Under the Olive Tree, GEODE Givre Scented Candle พร้อมกลิ่น Cotton Caress, GEODE Paprika Scented Candle พร้อมกลิ่น Land of Spices พิเศษ 1,344 บาท (จากราคา 1,680 บาท)

              สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ร้าน Maison Berger Paris และช่องทางออนไลน์ Facebook: MaisonBergerThailand, LINE: @maisonbergerthai, IG: maisonbergerthailand,www.maisonbergerthailand.com, Lazada, Shopee, ShopSabuy และ Tiktok หรือ โทร. 02-672-2088

13
“อาฒยา” พร้อมเหล่าท็อปเท็นโลกร่วมชิงชัยศึก “เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” ที่สิงคโปร์


สิงคโปร์, 20 มกราคม 2568 –  “จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล พร้อมโปรสาวท็อปเท็นของโลกนำทัพนักกอล์ฟชั้นนำลงสู้ศึก “เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ” ที่สนามเซนโตซา กอล์ฟ คลับ ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคมนี้ (ภาพ: Getty Images/HSBC)

แอลพีจีเอทัวร์จัดการแข่งขันกอล์ฟรายการ เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นปีที่ 17 และได้รับการยกย่องว่าเป็น “เมเจอร์หญิงแห่งเอเชีย” โดยปีนี้ได้รับการตอบรับจากเหล่ายอดฝีมือแถวหน้าของโลกตบเท้าเข้าชิงชัยนำโดยโปรสาวมืออันดับท็อปเท็นของโลกถึง 9 คน ได้แก่ หยิน รัวหนิง มือ 2 ของโลกจากจีน, ลิเดีย โค มือ 3 ของโลก และเจ้าของ 3 แชมป์เมเจอร์ จากนิวซีแลนด์, ลิเลีย วู มือ 5 ของโลกจากสหรัฐฯ, ฮันนาห์ กรีน มือ 6 ของโลกจากออสเตรเลีย ในฐานะแชมป์เก่า ซึ่งทั้งสี่ยืนยันลงแข่งขันไปก่อนหน้านี้

รวมถึงล่าสุดผู้เล่นสาวแถวหน้าอีก 5 คน ยืนยันร่วมประชันฝีมือได้แก่ อาฒยา ฐิติกุล มือ 4 โลก ขวัญใจชาวไทย, แฮรัน ยู มือ 7 โลกจากเกาหลีใต้, อายากะ ฟุรุเอะ มือ 8 โลกจากญี่ปุ่น, เซลีน บูติเยร์ มือ 9 โลกจากฝรั่งเศส และชาร์ลีย์ ฮัลล์ มือ 10 โลกจากอังกฤษ ซึ่งผู้เล่นทั้งหมดครองชัยชนะในแอลพีจีเอรวมกันได้ถึง 54 ครั้ง และเป็นแชมป์เมเจอร์ 9 รายการ


จีโน่-อาฒยา ฐิติกุล ซึ่งปีที่แล้วโชว์ผลงานได้น่าประทับใจเมื่อจับคู่กับ หยิน รัวหนิง คว้าแชมป์กอล์ฟทีมดาว แชมเปี้ยนชิพ ในเดือนมิถุนายน และปิดฤดูกาลด้วยแชมป์ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิพ เมื่อเดือนพฤศจิกายน จะลงสู้ศึก เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นครั้งที่ 4 โดยเป็นการกลับมาแข่งขันรายการนี้อีกครั้งหลังจากพลาดลงเล่นในครั้งที่แล้วเนื่องจากอาการบาดเจ็บ เจ้าตัวเผยว่า “รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับไปแข่งขันเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ อีกครั้ง ทัวร์นาเมนท์นี้เป็นหนึ่งในรายการโปรดมาโดยตลอด และการได้เล่นที่สนามเซนโตซ่า กอล์ฟ คลับ ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก การพลาดโอกาสลงเล่นเมื่อปีที่แล้วทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้นที่จะกลับไปที่นั่นในปีนี้ และรอคอยที่จะได้ไปเยือนประเทศที่ตนชื่นชอบอีกครั้ง”

ทางด้าน คี จู หว่อง ซีอีโอของเอชเอสบีซี สิงคโปร์ กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นนักกอล์ฟหญิง 10 อันดับแรกของโลกถึง 9 คนเข้าร่วมการแข่งขันเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2025 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคุณภาพของทัวร์นาเมนท์นี้ อีกทั้งยังเป็นรายการที่ดึงดูดความสนใจ เราแทบรอไม่ไหวที่จะได้ต้อนรับเหล่านักกีฬาระดับโลกสู่ศูนย์กลางระดับโลกที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อตอกย้ำการเป็นรายการเมเจอร์แห่งเอเชียที่ยิ่งใหญ่อีกรายการหนึ่ง”

สำหรับกอล์ฟรายการเอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ แข่งขันแบบสโตรกเพลย์ 4 วัน 72 หลุม ไม่มีการตัดตัว โดยในการแข่งขัน 16 ครั้งที่ผ่านมามีผู้ชนะเป็นแชมป์เมเจอร์ถึง 14 คน ชิงชัยที่สนามเซนโตซา กอล์ฟ คลับ ตันจงคอร์ส สนามที่เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนในวงการกอล์ฟ และยังได้รับรางวัล “สนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในเอเชีย” รวมถึง “สนามกอล์ฟที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในเอเชีย” และ “สนามกอล์ฟที่ดีที่สุดในสิงคโปร์” จากการประกาศรางวัลของ เวิลด์ กอล์ฟ อวอร์ดส์ ปี 2024           

ข้อมูลเพิ่มเติมการแข่งขัน เอชเอสบีซี วีเมนส์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ได้ที่เว็บไซต์
www.hsbcgolf.com/womens

14
"บินล่าฝัน”ภาพยนตร์พลังบวกที่สร้างแรงบันดาลใจ ดูเพลินที่ทรูโฟร์ยู ช่อง 24


             “บินล่าฝัน” (A Time to Fly) ภาพยนตร์ฟิลกู๊ดที่สร้างพลังใจและฮีลใจ ทำให้ใจฟูด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ “หม่อง ทองดี” เด็กชายไร้สัญชาติที่ฝันอยากเป็นคนไทยเต็มตัว เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดแคลนในชีวิต โดยเฉพาะสัญชาติและอิสระเสรี ซึ่งกำกับและเขียนบทโดย นายศักดิ์ศิริ คชพัชรินทร์ โดยมี โบกี้-ศุภัช ท้าวสกุล รับบทเป็น หม่อง ทองดี ในวัยเด็ก และ แมน-ธฤษณุ สรนันท์ รับบท วีระ ครูผู้ช่วยสานฝันให้เด็กชายหม่อง








             เริ่มต้นเส้นทางบินล่าฝันของหม่อง ทองดี ในช่วงวัย 7-8 ขวบ ที่ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนบ้านห้วยทราย จังหวัดเชียงใหม่ ไปร่วมแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับระดับภูมิภาค และชนะจนได้เป็นตัวแทนระดับประเทศไปแข่งขันที่ประเทศญี่ปุ่น เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อการแข่งขันเริ่มใกล้เข้ามา แต่ทางรัฐบาลไทยปฏิเสธการออกเอกสารการเดินทางให้กับเด็กไร้สัญชาติ ทำให้เหล่าบรรดาคุณครู อาจารย์ นักกฎหมาย นักข่าว และประชาชนทั่วไปรวมตัวและพยายามเรียกร้องจากทางภาครัฐให้เด็กด้อยโอกาสได้มีโอกาสเดินตามความฝัน จนในที่สุดเด็กชายหม่อง ทองดี ใช้เวลา 19 วินาทีในการแข่งเครื่องบินกระดาษพับและสามารถคว้าแชมป์ให้กับประเทศไทย เขาใช้เวลาถึง 20 ปี ที่จะก้าวมาเป็น “วีรบุรุษเครื่องบินกระดาษ” ห้ามพลาดชมหนังฟิลกู๊ด "บินล่าฝัน” กับช่วงมูฟวี่พรีเมียร์ ปักหมุดหนังใหม่ วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคมนี้ เวลา 18.40 น. ทางทรูโฟร์ยู ช่อง 24 และ https://true4u.com/live

# ATimeToFly
#บินล่าฝัน
#ทรูโฟร์ยู#ช่อง24#True4U

15
ที่ศูนย์การค้าแพลทินัมต้อนรับเทศกาลตรุษจีน - วาเลนไทน์ ชวนอิ่มอร่อยสุดคุ้ม
กับโปรโมชั่น DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER


ศูนย์การค้าแพลทินัม ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน - วาเลนไทน์ จัดโปรโมชั่น DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER ชวนอิ่มอร่อยสุดคุ้ม กับร้านอาหารชื่อดังมากมายที่ยกขบวนกันมามอบส่วนลด พร้อมเสิร์ฟความอร่อยสุดคุ้ม อาทิ


• ร้าน Ali's Thai Halal ลดทันที 10% เมื่อรับประทานอาหารที่ร้านครบ 500 บาท
• ร้าน ZOOK ZAAP 56 ลดทันที 150 บาทเมื่อรับประทานอาหารที่ร้านครบ 300 บาท ยกเว้น เครื่องดื่ม
• ร้าน ปังสยาม รับฟรีคูปองส่วนลด 10 บาท สำหรับทุกเมนูเครื่องดื่ม เมื่อซื้อสินค้าครบ 120 บาท
•  ร้าน Mango Siam จับคู่เซตเมนูพิเศษเพียง 129 บาท หรือเมื่อซื้อ Mango Smoothies (129 บาท)
   คู่กับ Mango Sticky Rice Size S (70 บาท)
• ร้าน My Avocado รับส่วนลดเครื่องดื่มแก้วละ 5 บาท เมื่อสั่งเมนูน้ำปั่นทุกเมนู
• ร้าน Durian Story รับส่วนลด 20 บาททุกเมนู เพียงแจ้งโค้ดลับ " I Love Durian"
• ร้าน IYARA FRUITS ซื้อผลไม้พร้อมทาน 1 แพค แถมฟรี 1 แพ็ค







และร่วมเติมเต็มความสุขกับร้านอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายที่ร่วมรายการอีกมากมาย พร้อมรับสิทธิพิเศษ สุดคุ้ม! เพียงนำโบรชัวร์โปรโมชั่นมาแสดงที่ บูธจันทร์แก้ว รับทันที ยาดมสมุนไพรจันทร์แก้ว มูลค่า 59 บาท ฟรี 1 กระปุก ยาดมสมุนไพรแท้ที่ผสานภูมิปัญญาไทยจากตำนานสู่ศาสตร์สมุนไพร ให้คุณสดชื่น หอมละมุน พร้อมเติมพลังตลอดวัน เชิญสัมผัสเสน่ห์สมุนไพรไทยและโปรโมชั่นพิเศษได้ที่งานนี้เท่านั้น!






พลาดไม่ได้! ชวนมาร่วมอิ่มอร่อยสุดคุ้มกับโปรโมชั่นพิเศษ DOUBLE CELEBRATION DOUBLE THE CHEER พร้อมรับชมการแสดงวงกลองยาวและนางรำประยุกต์ทุกวันศุกร์และวันเสาร์ ช่วงเวลา 12.00 – 15.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 ที่โซน SAWASDEE FOODIE HUB ชั้น 5 ศูนย์การค้าแพลทินัม ติดตามรายละเอียดร้านค้าและโปรโมชั่นที่น่าสนใจได้ที่ FB: Platinum Fashion Mall แพลทินัม แฟชั่น มอลล์

Pages: [1] 2 3 ... 2474