This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
4816
news & activity / บลจ.ไอเอ็นจีปลื้มกระแสตอบรับกองทุนเปิด ‘ไทย ไลฟ์ไซเคิล’ ย้ำดูแล “ความเสี่ยง”
« on: March 19, 2009, 04:54:17 PM »
บลจ.ไอเอ็นจีปลื้มกระแสตอบรับกองทุนเปิด ‘ไทย ไลฟ์ไซเคิล’ ย้ำดูแล “ความเสี่ยง” ผู้ลงทุนเน้นตราสารหนี้ภาครัฐ-หุ้นคุณภาพ
บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มกระแสตอบรับกองทุนเปิด “ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” หลังเดินหน้าให้ข้อมูลผู้ลงทุน พบได้รับความสนใจคึกคัก ชี้นักลงทุนแสวงหาช่องทางการลงทุนรับวัยเกษียณ ยันนโยบายดูแล “ความเสี่ยง” สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ย้ำเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่มีความมั่นคงสูง ขณะที่ตราสารทุนจะเฟ้นเฉพาะหุ้นคุณภาพ พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้ง 3 กองทุน ไม่ว่าจะเป็นไทย ไลฟ์ ไซเคิล 2015, 2020 หรือ 2025 มั่นใจเปิดขาย IPO 19-26 มี.ค.นี้ฉลุยแน่ เผยจองขั้นต่ำแค่ 10,000 บาท
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ในซีรีย์ส “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ ไซเคิล” (ING Thai Lifecycle Fund) ซึ่งประกอบด้วย 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 และกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 โดยใช้ปีที่ผู้ลงทุนต้องการเกษียณอายุเป็นตัวกำหนดเป้าหมายการลงทุนนั้น ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสอบถามข้อมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมสัมมนาเพื่อพบปะกับผู้ลงทุน ซึ่งกระแสตอบรับที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มาจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณ ขณะที่นโยบายหลักของกองทุนในซีรียส์ “ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” ที่เน้นดูแลความเสี่ยงจากการลงทุนสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
“ขณะนี้เราต้องยอมรับว่า ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งนโยบายของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะกองทุน ดังกล่าวเป็นกองทุนแบบผสม โดยส่วนของตราสารหนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเงินคลัง รวมถึง พันธบัตรรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นตราสารมีความมั่นคงสูง ขณะที่การเลือกลงทุนในตราสารทุน ซึ่งจะเป็นส่วนที่สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนนั้น เราจะลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีด้วยกระบวนการลงทุนของกลุ่มไอเอ็นจีที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างตราสารหนี้ หุ้นและเงินสดโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะของการลงทุนและการเลือกลงทุนในแต่ละสินทรัพย์อีกด้วย” นายจุมพลกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 จะมีอายุโครงการ 16 ปี 8 เดือน แต่มีสภาพคล่องด้วยการเปิดให้ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 40-45 ปี และคาดว่าอยากจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 60 ปี คือ ในปี 2023-2028 ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังอยู่ในวัยทำงานที่แสวงหาทั้งความมั่นคงในหน้าที่การงาน และความ มั่งคั่งให้กับตนเอง การแสวงหาผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการยอมรับความเสี่ยงจึงยังมีได้มาก ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจะเน้นการลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 55% แต่ในปีใกล้สิ้นอายุของกองทุน ตราสารในพอร์ตการลงทุนจะมีการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นจนกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งหมดในวันสิ้นอายุกองทุน เพื่อลดความเสี่ยงในตลอดช่วงอายุการลงทุน
ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 จะมีอายุโครงการ 11 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 45-50 ปี โดยคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณ 60 ปี ในปี 2018-2023 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสม่ำเสมอของรายได้และ รับความเสี่ยงได้น้อยลง ดังนั้น จึงให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดยจะลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 45%
ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 อายุโครงการ 6 ปี 8 เดือน เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีอายุ 50-55 ปี ซึ่งคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณในปี 2013-2023 ดังนั้น การจัดสรรการลงทุนจะเน้นความปลอดภัยมากกว่าผลตอบแทนที่สูง เพื่อเตรียมเงินทุนไว้รองรับการใช้จ่ายในยามเกษียณแล้ว โดยในช่วงปีแรกจะลงทุนในตราสารทุนไม่เกินกว่า 30% และจะกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นในที่สุด
“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” ทั้ง 3 กองทุน เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมกัน ระหว่างวันที่ 19-26 มีนาคม 2552 โดยกำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด โทร.0-2688-7777 หรือ www.ingfunds.co.th รวมทั้งที่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC) และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี
ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ซิมีโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
ธนาคาร ดอยซ์แบงก์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ไอวี โกลบอล จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน)
บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มกระแสตอบรับกองทุนเปิด “ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” หลังเดินหน้าให้ข้อมูลผู้ลงทุน พบได้รับความสนใจคึกคัก ชี้นักลงทุนแสวงหาช่องทางการลงทุนรับวัยเกษียณ ยันนโยบายดูแล “ความเสี่ยง” สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี ย้ำเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐที่มีความมั่นคงสูง ขณะที่ตราสารทุนจะเฟ้นเฉพาะหุ้นคุณภาพ พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้ง 3 กองทุน ไม่ว่าจะเป็นไทย ไลฟ์ ไซเคิล 2015, 2020 หรือ 2025 มั่นใจเปิดขาย IPO 19-26 มี.ค.นี้ฉลุยแน่ เผยจองขั้นต่ำแค่ 10,000 บาท
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี ได้เปิดตัวกองทุนใหม่ในซีรีย์ส “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ ไซเคิล” (ING Thai Lifecycle Fund) ซึ่งประกอบด้วย 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 และกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 โดยใช้ปีที่ผู้ลงทุนต้องการเกษียณอายุเป็นตัวกำหนดเป้าหมายการลงทุนนั้น ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสอบถามข้อมูลเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมสัมมนาเพื่อพบปะกับผู้ลงทุน ซึ่งกระแสตอบรับที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มาจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ตระหนักถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณ ขณะที่นโยบายหลักของกองทุนในซีรียส์ “ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” ที่เน้นดูแลความเสี่ยงจากการลงทุนสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
“ขณะนี้เราต้องยอมรับว่า ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งนโยบายของกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล สามารถตอบโจทย์ได้ เพราะกองทุน ดังกล่าวเป็นกองทุนแบบผสม โดยส่วนของตราสารหนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเงินคลัง รวมถึง พันธบัตรรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นตราสารมีความมั่นคงสูง ขณะที่การเลือกลงทุนในตราสารทุน ซึ่งจะเป็นส่วนที่สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนนั้น เราจะลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพดีด้วยกระบวนการลงทุนของกลุ่มไอเอ็นจีที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ซึ่งจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างตราสารหนี้ หุ้นและเงินสดโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะของการลงทุนและการเลือกลงทุนในแต่ละสินทรัพย์อีกด้วย” นายจุมพลกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2025 จะมีอายุโครงการ 16 ปี 8 เดือน แต่มีสภาพคล่องด้วยการเปิดให้ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 40-45 ปี และคาดว่าอยากจะเกษียณอายุในวัยประมาณ 60 ปี คือ ในปี 2023-2028 ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังอยู่ในวัยทำงานที่แสวงหาทั้งความมั่นคงในหน้าที่การงาน และความ มั่งคั่งให้กับตนเอง การแสวงหาผลตอบแทนที่ดีพร้อมกับการยอมรับความเสี่ยงจึงยังมีได้มาก ดังนั้น สัดส่วนการลงทุนจะเน้นการลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 55% แต่ในปีใกล้สิ้นอายุของกองทุน ตราสารในพอร์ตการลงทุนจะมีการเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้นจนกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งหมดในวันสิ้นอายุกองทุน เพื่อลดความเสี่ยงในตลอดช่วงอายุการลงทุน
ขณะที่กองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2020 จะมีอายุโครงการ 11 ปี 8 เดือน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุ 45-50 ปี โดยคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณ 60 ปี ในปี 2018-2023 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสม่ำเสมอของรายได้และ รับความเสี่ยงได้น้อยลง ดังนั้น จึงให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดยจะลงทุนในตราสารทุนในช่วงปีแรกไม่เกินกว่า 45%
ส่วนกองทุนเปิดไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล 2015 อายุโครงการ 6 ปี 8 เดือน เป็นกองทุนที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีอายุ 50-55 ปี ซึ่งคาดว่าจะเกษียณที่อายุประมาณในปี 2013-2023 ดังนั้น การจัดสรรการลงทุนจะเน้นความปลอดภัยมากกว่าผลตอบแทนที่สูง เพื่อเตรียมเงินทุนไว้รองรับการใช้จ่ายในยามเกษียณแล้ว โดยในช่วงปีแรกจะลงทุนในตราสารทุนไม่เกินกว่า 30% และจะกลายเป็นตราสารหนี้ระยะสั้นในที่สุด
“กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ไลฟ์ไซเคิล” ทั้ง 3 กองทุน เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมกัน ระหว่างวันที่ 19-26 มีนาคม 2552 โดยกำหนดวงเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด โทร.0-2688-7777 หรือ www.ingfunds.co.th รวมทั้งที่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น (HSBC) และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี
ธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ซิมีโก้ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
ธนาคาร ดอยซ์แบงก์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ไอวี โกลบอล จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟาร์อีสท์ จำกัด
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน)
4817
news & activity / วอลล์ คอร์นเนตโต ทุ่ม 200 ล้านผนึกกำลังพันธมิตร
« on: March 18, 2009, 05:34:17 PM »
วอลล์ คอร์นเนตโต ทุ่ม 200 ล้านผนึกกำลังพันธมิตร วัน-ทู-คอล! และเอเชียซอฟท์ ส่งแคมเปญดิจิเทนเมนท์เอาใจวัยทีนรับปิดเทอมนี้ แจกซิมคอร์นเนตโต ลิมิเต็ด เอดิชั่น ฟรีค่าโทรคูณสอง และแข่งขันแดนซ์ออนไลน์ออดิชั่น
จากความสำเร็จอย่างท่วมท้นหลังเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์วงบีโอวาย ไอศกรีมวอลล์ คอร์นเนตโต ทุ่มอีก 200 ล้าน เปิดตัวกิจกรรมดิจิเทนเม้นท์ โดยได้ผนึกกำลังกับ วัน-ทู-คอล! และเกมแดนซ์ออนไลน์ ออดิชั่น เพื่อมอบกิจกรรมความสนุกแบบคูณสองตลอดช่วง ปิดเทอมนี้
มร. เจอโรม ชาราโชน รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “เพื่อให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์วัยรุ่น พ.ศ.นี้ วอลล์ คอร์นเนตโต ได้รวบรวมความสนุกในแคมเปญดิจิเทนเมนท์เพื่อมอบประสบการณ์มันๆ ให้แก่วัยรุ่นรับปิดเทอมด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายถึง 3 รูปแบบ ด้วยการแจกคอร์นเนตโต ซิม พร้อมมอบค่าโทรฟรีคุ้มสุดๆ แบบคูณสอง และยังมีกิจกรรมการแข่งขันเกมส์เต้นออนไลน์ ผ่านรหัสใต้ฝาของวอลล์ คอร์นเนตโต”
กิจกรรมสนุกๆ เริ่มต้นด้วยการแจกซิมคอร์นเนตโต ลิมิเต็ด เอดิชั่น จำนวน 500,000 ซิม ที่มาพร้อมค่าโทรฟรี และคอนเท้นท์วงบี-โอ-วาย ผ่านทางฝาของคอร์นเนตโต รอยัล ที่มีคำว่า ฟลิป แอนด์ วิน กว่า 18 ล้านฝา ที่รถสามล้อวอลล์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 มีนาคมนี้
ต่อจากนั้น ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม วอลล์ คอร์นเนตโต ฝาคอร์นเนตโตทุกฝาสามารถใช้เติมเงิน วัน-ทู-คอล! ได้ฟรีทันที 5 บาท และเมื่อเติมเงินครบ 5 ฝา จะได้รับค่าโทรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยมีมูลค่ารวมสูงสุดถึง 50 บาท
ความสนุกรูปแบบที่สาม วอลล์ คอร์นเนตโตยังได้ร่วมกับเกมแดนซ์ออนไลน์ “ออดิชั่น” เอาใจคอเกมส์ออนไลน์วัยทีน โดยสามารถใช้รหัสใต้ฝาวอลล์ คอร์นเนตโต รอยัล ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกิจกรรม “คอร์นเนตโต โชว์สเต็ป ชิงเทพออดิชั่น” เพื่อชิงความเป็นสุดยอดนักเต้นเท้าไฟในเกมส์ออดิชั่น ซีซั่น 2 เกมส์ออนไลน์สุดฮิตอันดับหนึ่งในประเทศไทย เพื่อชิงรางวัลใหญ่พาไปเที่ยวเกาหลีและของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
นายอเนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด เอไอเอส กล่าวว่า “จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาจากแคมเปญ “คอร์นเนตโต โทรฟรี (ได้อีก)” ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้า เป็นอย่างดี ปีนี้ วัน-ทู-คอล! จึงมีความยินดีที่ได้ร่วมกับ ยูนิลีเวอร์ พันธมิตรทางธุรกิจที่ดีของเรามาโดยตลอดอีกครั้ง ด้วยการออกแคมเปญใหม่ “คอร์นเนตโต โทรฟรีคูณ 2” เพื่อมอบสิทธิพิเศษ และความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า วัน-ทู-คอล! และวอลล์ คอร์นเนตโต”
นายพยุงศักดิ์ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เกมส์ออดิชั่นแดนซ์ เป็นเกมส์ที่ฮิตติดอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นในขณะนี้มากกว่า 10 ล้านไอดี เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมพันธมิตรกับไอศกรีมวอลล์ จัดการแข่งขันออนไลน์ครั้งนี้ขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนเกมส์ออดิชั่นแดนซ์ได้ ร่วมการแข่งขันเพื่อแสดงความสามารถเพื่อชิงที่สุดของเทพออดิชั่นเพียง 6 คนที่จะได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศฮิตที่วัยรุ่นใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวมากที่สุด”
แคมเปญวอลล์ คอนเนตโต ดิจิเทนเมนท์ เริ่มระเบิดความสนุกทั่วประเทศตั้งแต่ 25 มีนาคมนี้ ไปจนถึง สิ้นเดือนพฤษภาคม โดยสามารถติดตามรายละเอียดแคมเปญได้ตั้งแต่วันนี้ ที่เว็บไซต์ www.CornettoClub.com
เกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย
พันธกิจของยูนิลีเวอร์ คือ การเติมพลังให้แก่ชีวิต เราตอบสนองความต้องการทางด้านโภชนาการ สุขอนามัย และการดูแลเอาใจใส่ชีวิตส่วนตัวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดี มีลักษณะชวนมอง และแต่งเติมชีวิตให้มีความสุขมากยิ่งขึ้นทุกวัน ทุกๆ วันมีผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 160 ล้านคน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ ยูนิลีเวอร์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยมากว่า 75 ปี ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย ได้แก่ผงซักฟอกบรีส โอโม ซันไลต์ คอมฟอร์ท ลักส์ วาสลีน ซิตร้า ซันซิล คลีนิค เคลียร์ พอนด์ส โดฟ แอกซ์ เรโซนา ใกล้ชิด คนอร์ วอลล์ ลิปตัน เบส์ทฟู้ดส์ และและ ภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ชั้นสูง (อาวิยองซ์) ยูนิลีเวอร์มุ่งมั่นที่จะสนองความต้องการของผู้บริโภคและชุมชนที่เราอยู่อาศัยทำธุรกิจ และใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน บริษัทฯ มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 2000 คนทั้งในประเทศไทย มีรายได้จากยอดขายปี 2551 ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท สามารถเรียกดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยได้ที่ www.unilever.co.th
จากความสำเร็จอย่างท่วมท้นหลังเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์วงบีโอวาย ไอศกรีมวอลล์ คอร์นเนตโต ทุ่มอีก 200 ล้าน เปิดตัวกิจกรรมดิจิเทนเม้นท์ โดยได้ผนึกกำลังกับ วัน-ทู-คอล! และเกมแดนซ์ออนไลน์ ออดิชั่น เพื่อมอบกิจกรรมความสนุกแบบคูณสองตลอดช่วง ปิดเทอมนี้
มร. เจอโรม ชาราโชน รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “เพื่อให้เข้าถึงไลฟ์สไตล์วัยรุ่น พ.ศ.นี้ วอลล์ คอร์นเนตโต ได้รวบรวมความสนุกในแคมเปญดิจิเทนเมนท์เพื่อมอบประสบการณ์มันๆ ให้แก่วัยรุ่นรับปิดเทอมด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายถึง 3 รูปแบบ ด้วยการแจกคอร์นเนตโต ซิม พร้อมมอบค่าโทรฟรีคุ้มสุดๆ แบบคูณสอง และยังมีกิจกรรมการแข่งขันเกมส์เต้นออนไลน์ ผ่านรหัสใต้ฝาของวอลล์ คอร์นเนตโต”
กิจกรรมสนุกๆ เริ่มต้นด้วยการแจกซิมคอร์นเนตโต ลิมิเต็ด เอดิชั่น จำนวน 500,000 ซิม ที่มาพร้อมค่าโทรฟรี และคอนเท้นท์วงบี-โอ-วาย ผ่านทางฝาของคอร์นเนตโต รอยัล ที่มีคำว่า ฟลิป แอนด์ วิน กว่า 18 ล้านฝา ที่รถสามล้อวอลล์ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 มีนาคมนี้
ต่อจากนั้น ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม วอลล์ คอร์นเนตโต ฝาคอร์นเนตโตทุกฝาสามารถใช้เติมเงิน วัน-ทู-คอล! ได้ฟรีทันที 5 บาท และเมื่อเติมเงินครบ 5 ฝา จะได้รับค่าโทรเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว โดยมีมูลค่ารวมสูงสุดถึง 50 บาท
ความสนุกรูปแบบที่สาม วอลล์ คอร์นเนตโตยังได้ร่วมกับเกมแดนซ์ออนไลน์ “ออดิชั่น” เอาใจคอเกมส์ออนไลน์วัยทีน โดยสามารถใช้รหัสใต้ฝาวอลล์ คอร์นเนตโต รอยัล ลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกิจกรรม “คอร์นเนตโต โชว์สเต็ป ชิงเทพออดิชั่น” เพื่อชิงความเป็นสุดยอดนักเต้นเท้าไฟในเกมส์ออดิชั่น ซีซั่น 2 เกมส์ออนไลน์สุดฮิตอันดับหนึ่งในประเทศไทย เพื่อชิงรางวัลใหญ่พาไปเที่ยวเกาหลีและของรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
นายอเนก อนันต์วัฒนพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลุ่มลูกค้าพรีเพด เอไอเอส กล่าวว่า “จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมาจากแคมเปญ “คอร์นเนตโต โทรฟรี (ได้อีก)” ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้า เป็นอย่างดี ปีนี้ วัน-ทู-คอล! จึงมีความยินดีที่ได้ร่วมกับ ยูนิลีเวอร์ พันธมิตรทางธุรกิจที่ดีของเรามาโดยตลอดอีกครั้ง ด้วยการออกแคมเปญใหม่ “คอร์นเนตโต โทรฟรีคูณ 2” เพื่อมอบสิทธิพิเศษ และความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า วัน-ทู-คอล! และวอลล์ คอร์นเนตโต”
นายพยุงศักดิ์ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เกมส์ออดิชั่นแดนซ์ เป็นเกมส์ที่ฮิตติดอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยมีผู้เล่นในขณะนี้มากกว่า 10 ล้านไอดี เราจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมพันธมิตรกับไอศกรีมวอลล์ จัดการแข่งขันออนไลน์ครั้งนี้ขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนเกมส์ออดิชั่นแดนซ์ได้ ร่วมการแข่งขันเพื่อแสดงความสามารถเพื่อชิงที่สุดของเทพออดิชั่นเพียง 6 คนที่จะได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศฮิตที่วัยรุ่นใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวมากที่สุด”
แคมเปญวอลล์ คอนเนตโต ดิจิเทนเมนท์ เริ่มระเบิดความสนุกทั่วประเทศตั้งแต่ 25 มีนาคมนี้ ไปจนถึง สิ้นเดือนพฤษภาคม โดยสามารถติดตามรายละเอียดแคมเปญได้ตั้งแต่วันนี้ ที่เว็บไซต์ www.CornettoClub.com
เกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย
พันธกิจของยูนิลีเวอร์ คือ การเติมพลังให้แก่ชีวิต เราตอบสนองความต้องการทางด้านโภชนาการ สุขอนามัย และการดูแลเอาใจใส่ชีวิตส่วนตัวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้คนรู้สึกดี มีลักษณะชวนมอง และแต่งเติมชีวิตให้มีความสุขมากยิ่งขึ้นทุกวัน ทุกๆ วันมีผู้บริโภคทั่วโลกกว่า 160 ล้านคน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ ยูนิลีเวอร์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยมากว่า 75 ปี ผลิตภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์ในประเทศไทย ได้แก่ผงซักฟอกบรีส โอโม ซันไลต์ คอมฟอร์ท ลักส์ วาสลีน ซิตร้า ซันซิล คลีนิค เคลียร์ พอนด์ส โดฟ แอกซ์ เรโซนา ใกล้ชิด คนอร์ วอลล์ ลิปตัน เบส์ทฟู้ดส์ และและ ภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ชั้นสูง (อาวิยองซ์) ยูนิลีเวอร์มุ่งมั่นที่จะสนองความต้องการของผู้บริโภคและชุมชนที่เราอยู่อาศัยทำธุรกิจ และใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน บริษัทฯ มีพนักงานรวมทั้งสิ้นกว่า 2000 คนทั้งในประเทศไทย มีรายได้จากยอดขายปี 2551 ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท สามารถเรียกดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยได้ที่ www.unilever.co.th
4818
news & activity / UPLUZ What Students like การแสดงความสามารถของนักศึกษา ในคอนเซ็ปต์ 8 Smarts In U
« on: March 17, 2009, 03:39:43 PM »
UPLUZ What Students like การแสดงความสามารถของนักศึกษา ในคอนเซ็ปต์ 8 Smarts In U
วีรภัทร มะลิวงษ์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รีฟิลล์ โปรดักชั่นส์ จำกัด เจ้าของ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นิตยสารยูพลัส (UPLUZ) พร้อมด้วย มาฬิศร์ กรรณสูต เชยโสภณ (ที่ 2 จากซ้าย) บรรณาธิการบริหาร นิตยสารยูพลัส พื้นที่สำหรับคนวัยเรียน จัดงาน UPLUZ What Students like เพื่อเปิดตัวนิตยสารยูพลัสฉบับพิเศษช่วงปิดเทอมบนแผงหนังสือ โดยวางแผงเล่มแรกในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับแนะนำกิจกรรมภายใต้คอนเซ็ปต์ UPLUZ What Students like โดยมี อภิชาต พุฒพันธ์ กรรมการผู้จัดการ AP Group Organizer ณัฐกาญจน์ เสนเนียม กรรมการผู้จัดการ TA Media Agency และ นาวาอากาศตรี พิชญาณ อะสีติรัตน์ ร่วมงาน เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ลานชั้น 1 ฟอรั่มโซน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ด
วีรภัทร มะลิวงษ์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รีฟิลล์ โปรดักชั่นส์ จำกัด เจ้าของ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา นิตยสารยูพลัส (UPLUZ) พร้อมด้วย มาฬิศร์ กรรณสูต เชยโสภณ (ที่ 2 จากซ้าย) บรรณาธิการบริหาร นิตยสารยูพลัส พื้นที่สำหรับคนวัยเรียน จัดงาน UPLUZ What Students like เพื่อเปิดตัวนิตยสารยูพลัสฉบับพิเศษช่วงปิดเทอมบนแผงหนังสือ โดยวางแผงเล่มแรกในเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับแนะนำกิจกรรมภายใต้คอนเซ็ปต์ UPLUZ What Students like โดยมี อภิชาต พุฒพันธ์ กรรมการผู้จัดการ AP Group Organizer ณัฐกาญจน์ เสนเนียม กรรมการผู้จัดการ TA Media Agency และ นาวาอากาศตรี พิชญาณ อะสีติรัตน์ ร่วมงาน เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ลานชั้น 1 ฟอรั่มโซน ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ด
4819
news & activity / กลุ่มพันธมิตรศูนย์ข้อมูลในเอเชียผนึกกำลังอย่างแข็งแกร่ง ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล
« on: March 17, 2009, 03:30:01 PM »
กลุ่มพันธมิตรศูนย์ข้อมูลในเอเชียผนึกกำลังอย่างแข็งแกร่ง ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลชั้นนำ 4 รายนำเสนอบริการครบวงจรข้ามพรมแดน
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค ศูนย์ข้อมูลชั้นนำ 4 รายที่อิสระไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดรายหนึ่ง(Carrier Neutral Data Centers) ซึ่งได้แก่ ทีซีซี เทคโนโลยี (TCCT) ของไทย, 1-Net Singapore, AIMS Asia Group ของมาเลเซีย และ CMC Telecom ของเวียดนาม ลงนามอย่างเป็นทางการในสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิก Asia Data Center Alliance (ADCA) กลุ่มสมาชิกดังกล่าวจะผสานรวมความแข็งแกร่งของสมาชิกแต่ละราย และขยายขีดความสามารถในการให้บริการในระดับภูมิภาค ด้วยบริการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งทางด้านธุรกิจและเทคโนโลยีให้แก่องค์กรชั้นนำต่างๆ รวมถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคม หน่วยงานภาครัฐเอกชน และสถาบันการเงิน
บนพื้นที่บริการกว่า 500,000 ตารางฟุต ทางกลุ่มสมาชิกได้สร้างศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคที่เหนือชั้น โดยคาดว่าจะมียอดรายได้ต่อปีกว่า 2,700 ล้านบาท (75 ล้านดอลลาร์) ภายในปี 2553 ภายใต้แนวคิดเรื่องบริการวัน สต๊อป ช้อป หรือจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop-Shop) ลูกค้าที่ติดต่อศูนย์ข้อมูลรายใดรายหนึ่งในกลุ่มสมาชิก จะสามารถเข้าใช้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล และได้รับประโยชน์จากการถ่ายโอนข้อมูลและสื่อดิจิตอลข้ามพรมแดนอย่างราบรื่น นอกจากนี้ กลุ่มฯยังสามารถอำนวยความสะดวกในการปกป้องข้อมูลโดยผ่านศูนย์สำรองเพื่อกู้คืนระบบด้วยแนวทางรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในระดับนานาชาติ
สอดคล้องกับข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจเมื่อเดือนมิถุนายน 2008 กลุ่ม ADCA มุ่งมั่นที่จะยึดถือแนวทางในการดำเนินการตามมาตรฐาน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดและการขายร่วมกัน พันธมิตรด้านเทคนิคจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ทางกลุ่มฯ ในการดำเนินโครงการศูนย์ข้อมูลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Data Center) เพื่อประหยัดพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อม
ADCA ได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการตลาดและเทคนิค เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนบริการต่างๆ ที่จัดหาให้แก่ลูกค้าในแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม โดยสมาชิกแต่ละรายจะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จโดยรวมถึงบริการศูนย์ข้อมูลที่ถูกโฮสต์ไว้ในประเทศสมาชิก นอกจากนี้นโยบายและแนวทางต่างๆที่กล่าวข้างต้นจะมีผลบังคับใช้กับการรับสมาชิกใหม่เข้าสู่กลุ่มฯในอนาคตด้วยเช่นกัน
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ”โครงการความร่วมมือ ADCA สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ออกใบอนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศและการเชื่อมโยงโครงข่ายภายในประเทศ ประเภทที่ 2 (International Internet Gateway and Domestic Exchange License Type II) ให้แก่ TCCT ใบอนุญาตนี้ ประกอบกับความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านทางกลุ่ม ADCA จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการในปัจจุบัน เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ และการเชื่อมโยงโครงข่ายไอพีระหว่างประเทศ/บริการวงจรเช่า และ IP VPN สำหรับองค์กรชั้นนำ”
”1-Net Singapore ภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร ADCA ร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาคนี้ เราเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้เราขยายการให้บริการแก่ลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลอย่างครบวงจรในระดับภูมิภาคบนแพลตฟอร์มที่ทางกลุ่มพันธมิตรใช้งานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าในระดับภูมิภาค เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผสานรวมความแข็งแกร่งของเราและพันธมิตรแต่ละรายเข้าด้วยกันและขยายขีดความสามารถในการให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ สำหรับในอนาคต เราคาดว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายอื่นๆ ในเอเชียจะเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรของเรา” นายเยา เตา เคียน (Yow Tau Keon) กรรมการผู้จัดการของ 1-Net Singapore กล่าว
”AIMS รู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กลุ่มฯก้าวมาสู่จุดที่สำคัญในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค การที่ผู้ให้บริการอิสระถึง 4 รายผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเกื้อหนุนศักยภาพในระดับภูมิภาคและสามารถรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของคอนเท็นต์และบริการข้ามพรมแดน เราคาดว่าจะได้พบเจอช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นดังกล่าว” นายโล ยุน เวง (Loh Yuen Weng) รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ AIMS Asia Group กล่าว
”การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือของกลุ่มฯ ทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้า ด้วยการใช้บริการแบบครบวงจรจากกลุ่มฯ แทนการลงทุนด้วยตนเองเหมาะกับช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านการเงินเช่นนี้” ดร. ฟาม อา เชียน (Pham Anh Chien) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CMC Telecom กล่าว
เกี่ยวกับ TCC Technology
T.C.C. Technology Co., Ltd. (TCCT) เป็นบริษัทผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลชั้นนำในประเทศไทยที่อิสระไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดรายหนึ่ง ทางบริษัทมีบริการระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อสนองความต้องการขององค์กรที่มีแนวโน้มใช้บริการในเรื่องระบบสารสนเทศจากภายนอกองค์กรมากขึ้น ปัจจุบัน บริษัท TCCT ดูแลศูนย์ข้อมูลระดับโลกอยู่สองแห่ง แห่งแรกอยู่ที่ ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯย่านสาทร และศูนย์ข้อมูลอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่บางนาซึ่งอยู่ทางตะวันออกใกล้กับสนามบินนานาชาติของกรุงเทพฯ
TCCT ตระหนักดีถึงความต้องการของบริษัทต่างๆ ในการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด รวมทั้งกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้ TCCT จึงได้พัฒนาแนวทางให้สอดคล้องกับแบบฉบับการปฏิบัติที่ดีเลิศ สำหรับการจัดการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Service Management - ITSM) ปั จจุบัน TCCT ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลได้แก่ ISO9001:2000 และ ISO 27001:2005 (ในด้านความปลอดภัยของข้อมูล) และ TCCTเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองจาก SAP Adaptive Solution Provider (การรับรองตามมาตรฐาน SAP Hosting) ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า TCCT มีขั้นตอนที่จำเป็นอย่างครบถ้วนรวมทั้งรับรองได้ว่าบริการที่มีอยู่สามารถดำเนินงานอย่างถูกต้องเหมาะสมภายใต้สภาพแวดล้อมที่อยู่ภายในการควบคุมเป็นอย่างดี
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.tcc-technology.com
เกี่ยวกับ 1-Net Singapore
1-Net Singapore เป็นบริษัทผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีข้อมูลและสื่อสารชั้นนำ
1-Net เป็นผู้บุกเบิกการให้บริการระบบสื่อสารบรอดแบนด์ในสิงคโปร์และปัจจุบันมีบริการศูนย์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพสูง โดยสามารถให้บริการเชื่อมต่อภายในประเทศและระหว่างประเทศ มีบริการแบบเบ็ดเสร็จ มีระบบรักษาความปลอดภัยและบริการให้คำปรึกษาแบบเบ็ดเสร็จ รวมทั้งมีบริการด้านสื่ออีกด้วย ด้วยบริการที่มีเสถียรภาพและความปลอดภัย และด้วยประวัติการทำงานที่เป็นเลิศ 1-Net จึงเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระดับท้องถิ่นเพียงไม่กี่รายที่จัดการบริการแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าอย่างพร้อมสรรพ
1-Net เป็นบริษัทในเครือของ MediaCorp Pte Ltd ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อชั้นนำของสิงคโปร์ โดยมีสื่อในเครือแบบครบวงจรอาทิ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ภาพยนตร์ และสื่อข้อมูลดิจิตอล
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.1-net.com.sg
เกี่ยวกับ The AIMS Asia Group
AIMS Asia Group เป็นบริษัทผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค ซึ่งเน้นไปที่การสร้างและบริการศูนย์ข้อมูลชั้นยอดทั่วทั้งเอเชีย โดยเปิดดำเนินงานในมาเลเซีย สิงคโปร์ AIMS เป็นบริษัทในเครือของ The Megawisra Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่เน้นในด้านการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.aims.com.my
เกี่ยวกับ CMC Telecom
CMC Telecommunication Services Corporation (CMC Telecom) เป็นหนึ่งในสมาชิกของ CMC Group ซึ่งเป็นบริษัทไอซีทีหนึ่งในสองบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม บริษัท CMC Telecom ให้บริการที่คุณภาพสูงสุดเกี่ยวกับบริการข้อมูล บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสาร บริการมูลค่าเพิ่ม และบริการดูแลลูกค้าเป็นต้น ปัจจุบัน CMC Telecom มีศูนย์ข้อมูล ระดับโลกอยู่ที่เมืองไซดอง ซึ่งห่างจากเมืองฮานอยประมาณ 10 กิโลเมตร คาดว่า CMC Telecom จะกลายเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดโดยเฉพาะที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามภายในสิ้นปี 2009 โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 6000 ตารางเมตร
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.cmctelecom.net
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค ศูนย์ข้อมูลชั้นนำ 4 รายที่อิสระไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดรายหนึ่ง(Carrier Neutral Data Centers) ซึ่งได้แก่ ทีซีซี เทคโนโลยี (TCCT) ของไทย, 1-Net Singapore, AIMS Asia Group ของมาเลเซีย และ CMC Telecom ของเวียดนาม ลงนามอย่างเป็นทางการในสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มสมาชิก Asia Data Center Alliance (ADCA) กลุ่มสมาชิกดังกล่าวจะผสานรวมความแข็งแกร่งของสมาชิกแต่ละราย และขยายขีดความสามารถในการให้บริการในระดับภูมิภาค ด้วยบริการศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งทางด้านธุรกิจและเทคโนโลยีให้แก่องค์กรชั้นนำต่างๆ รวมถึงผู้ให้บริการโทรคมนาคม หน่วยงานภาครัฐเอกชน และสถาบันการเงิน
บนพื้นที่บริการกว่า 500,000 ตารางฟุต ทางกลุ่มสมาชิกได้สร้างศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคที่เหนือชั้น โดยคาดว่าจะมียอดรายได้ต่อปีกว่า 2,700 ล้านบาท (75 ล้านดอลลาร์) ภายในปี 2553 ภายใต้แนวคิดเรื่องบริการวัน สต๊อป ช้อป หรือจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop-Shop) ลูกค้าที่ติดต่อศูนย์ข้อมูลรายใดรายหนึ่งในกลุ่มสมาชิก จะสามารถเข้าใช้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล และได้รับประโยชน์จากการถ่ายโอนข้อมูลและสื่อดิจิตอลข้ามพรมแดนอย่างราบรื่น นอกจากนี้ กลุ่มฯยังสามารถอำนวยความสะดวกในการปกป้องข้อมูลโดยผ่านศูนย์สำรองเพื่อกู้คืนระบบด้วยแนวทางรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดในระดับนานาชาติ
สอดคล้องกับข้อตกลงในบันทึกความเข้าใจเมื่อเดือนมิถุนายน 2008 กลุ่ม ADCA มุ่งมั่นที่จะยึดถือแนวทางในการดำเนินการตามมาตรฐาน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดและการขายร่วมกัน พันธมิตรด้านเทคนิคจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ทางกลุ่มฯ ในการดำเนินโครงการศูนย์ข้อมูลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Data Center) เพื่อประหยัดพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อม
ADCA ได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านการตลาดและเทคนิค เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนบริการต่างๆ ที่จัดหาให้แก่ลูกค้าในแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม โดยสมาชิกแต่ละรายจะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จโดยรวมถึงบริการศูนย์ข้อมูลที่ถูกโฮสต์ไว้ในประเทศสมาชิก นอกจากนี้นโยบายและแนวทางต่างๆที่กล่าวข้างต้นจะมีผลบังคับใช้กับการรับสมาชิกใหม่เข้าสู่กลุ่มฯในอนาคตด้วยเช่นกัน
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ”โครงการความร่วมมือ ADCA สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ออกใบอนุญาตให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศและการเชื่อมโยงโครงข่ายภายในประเทศ ประเภทที่ 2 (International Internet Gateway and Domestic Exchange License Type II) ให้แก่ TCCT ใบอนุญาตนี้ ประกอบกับความร่วมมือระหว่างประเทศผ่านทางกลุ่ม ADCA จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการในปัจจุบัน เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ และการเชื่อมโยงโครงข่ายไอพีระหว่างประเทศ/บริการวงจรเช่า และ IP VPN สำหรับองค์กรชั้นนำ”
”1-Net Singapore ภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร ADCA ร่วมกับผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาคนี้ เราเชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้เราขยายการให้บริการแก่ลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอโซลูชั่นศูนย์ข้อมูลอย่างครบวงจรในระดับภูมิภาคบนแพลตฟอร์มที่ทางกลุ่มพันธมิตรใช้งานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าในระดับภูมิภาค เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผสานรวมความแข็งแกร่งของเราและพันธมิตรแต่ละรายเข้าด้วยกันและขยายขีดความสามารถในการให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคที่ปลอดภัยและมีเสถียรภาพ สำหรับในอนาคต เราคาดว่าผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลรายอื่นๆ ในเอเชียจะเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรของเรา” นายเยา เตา เคียน (Yow Tau Keon) กรรมการผู้จัดการของ 1-Net Singapore กล่าว
”AIMS รู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กลุ่มฯก้าวมาสู่จุดที่สำคัญในตลาดศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค การที่ผู้ให้บริการอิสระถึง 4 รายผนึกกำลังร่วมกันในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและเกื้อหนุนศักยภาพในระดับภูมิภาคและสามารถรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของคอนเท็นต์และบริการข้ามพรมแดน เราคาดว่าจะได้พบเจอช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นดังกล่าว” นายโล ยุน เวง (Loh Yuen Weng) รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ AIMS Asia Group กล่าว
”การลงนามในข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือของกลุ่มฯ ทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้า ด้วยการใช้บริการแบบครบวงจรจากกลุ่มฯ แทนการลงทุนด้วยตนเองเหมาะกับช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านการเงินเช่นนี้” ดร. ฟาม อา เชียน (Pham Anh Chien) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CMC Telecom กล่าว
เกี่ยวกับ TCC Technology
T.C.C. Technology Co., Ltd. (TCCT) เป็นบริษัทผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลชั้นนำในประเทศไทยที่อิสระไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดรายหนึ่ง ทางบริษัทมีบริการระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบโฮสติ้งที่ออกแบบมาเพื่อสนองความต้องการขององค์กรที่มีแนวโน้มใช้บริการในเรื่องระบบสารสนเทศจากภายนอกองค์กรมากขึ้น ปัจจุบัน บริษัท TCCT ดูแลศูนย์ข้อมูลระดับโลกอยู่สองแห่ง แห่งแรกอยู่ที่ ตึกเอ็มไพร์ทาวเวอร์ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯย่านสาทร และศูนย์ข้อมูลอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่บางนาซึ่งอยู่ทางตะวันออกใกล้กับสนามบินนานาชาติของกรุงเทพฯ
TCCT ตระหนักดีถึงความต้องการของบริษัทต่างๆ ในการปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด รวมทั้งกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้ TCCT จึงได้พัฒนาแนวทางให้สอดคล้องกับแบบฉบับการปฏิบัติที่ดีเลิศ สำหรับการจัดการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Service Management - ITSM) ปั จจุบัน TCCT ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลได้แก่ ISO9001:2000 และ ISO 27001:2005 (ในด้านความปลอดภัยของข้อมูล) และ TCCTเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองจาก SAP Adaptive Solution Provider (การรับรองตามมาตรฐาน SAP Hosting) ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า TCCT มีขั้นตอนที่จำเป็นอย่างครบถ้วนรวมทั้งรับรองได้ว่าบริการที่มีอยู่สามารถดำเนินงานอย่างถูกต้องเหมาะสมภายใต้สภาพแวดล้อมที่อยู่ภายในการควบคุมเป็นอย่างดี
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.tcc-technology.com
เกี่ยวกับ 1-Net Singapore
1-Net Singapore เป็นบริษัทผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีข้อมูลและสื่อสารชั้นนำ
1-Net เป็นผู้บุกเบิกการให้บริการระบบสื่อสารบรอดแบนด์ในสิงคโปร์และปัจจุบันมีบริการศูนย์ข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพสูง โดยสามารถให้บริการเชื่อมต่อภายในประเทศและระหว่างประเทศ มีบริการแบบเบ็ดเสร็จ มีระบบรักษาความปลอดภัยและบริการให้คำปรึกษาแบบเบ็ดเสร็จ รวมทั้งมีบริการด้านสื่ออีกด้วย ด้วยบริการที่มีเสถียรภาพและความปลอดภัย และด้วยประวัติการทำงานที่เป็นเลิศ 1-Net จึงเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระดับท้องถิ่นเพียงไม่กี่รายที่จัดการบริการแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าอย่างพร้อมสรรพ
1-Net เป็นบริษัทในเครือของ MediaCorp Pte Ltd ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อชั้นนำของสิงคโปร์ โดยมีสื่อในเครือแบบครบวงจรอาทิ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ภาพยนตร์ และสื่อข้อมูลดิจิตอล
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.1-net.com.sg
เกี่ยวกับ The AIMS Asia Group
AIMS Asia Group เป็นบริษัทผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาค ซึ่งเน้นไปที่การสร้างและบริการศูนย์ข้อมูลชั้นยอดทั่วทั้งเอเชีย โดยเปิดดำเนินงานในมาเลเซีย สิงคโปร์ AIMS เป็นบริษัทในเครือของ The Megawisra Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่เน้นในด้านการให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.aims.com.my
เกี่ยวกับ CMC Telecom
CMC Telecommunication Services Corporation (CMC Telecom) เป็นหนึ่งในสมาชิกของ CMC Group ซึ่งเป็นบริษัทไอซีทีหนึ่งในสองบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม บริษัท CMC Telecom ให้บริการที่คุณภาพสูงสุดเกี่ยวกับบริการข้อมูล บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานระบบสื่อสาร บริการมูลค่าเพิ่ม และบริการดูแลลูกค้าเป็นต้น ปัจจุบัน CMC Telecom มีศูนย์ข้อมูล ระดับโลกอยู่ที่เมืองไซดอง ซึ่งห่างจากเมืองฮานอยประมาณ 10 กิโลเมตร คาดว่า CMC Telecom จะกลายเป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ไม่ขึ้นกับบริษัทสื่อสารรายใดโดยเฉพาะที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามภายในสิ้นปี 2009 โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 6000 ตารางเมตร
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.cmctelecom.net
4820
news & activity / สลิมอัพ เซ็นเตอร์ ปฏิบัติการ ค้นหาสาวต้นแบบยุคใหม่ “Hi Idol 5 Women ”
« on: March 17, 2009, 03:26:31 PM »
สลิมอัพ เซ็นเตอร์ ปฏิบัติการ ค้นหาสาวต้นแบบยุคใหม่ “Hi Idol 5 Women ”
สลิมอัพ เซ็นเตอร์ ผู้นำด้านสถาบันลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนครบวงจรอันดับ 1 ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัท เคลล็อกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, สถาบันเดอะสกินด็อกเตอร์ และนิตยสารเที่ยวรอบโลก จัดแคมเปญพิเศษ “Hi Idol 5 Women ” เพื่อเฟ้นหาสาวทันสมัย รูปร่างดี มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และมีความสามารถ มาเป็นผู้หญิงต้นแบบประจำปี 2009 และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง พร้อมรับรางวัลมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
โดยแคมเปญฯ ดังกล่าว ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ ลานลิฟท์แก้ว เซ็นทรัล เวิลด์ โซน เซ็นทรัล คอร์ท ซึ่งงานนี้มีแขกผู้มีเกียรติและเหล่าคนดังมาร่วมงานมากมาย อาทิ จอห์น รัตนเวโรจน์, แอ้ม ศิระประภา ฯลฯ รวมถึงกองทัพสื่อมวลชนที่ขนกันมาทำข่าวอย่างคับคั่ง สำหรับบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยสีสันของความสนุกสนาน จากการแสดงบนเวที เริ่มจากโชว์ชุดพิเศษ จาก 4 สาว มากความสามารถ ต่อด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Hi Idol 5 Women ” อย่างเป็นทางการ โดยตัวแทนจาก 5 บริษัทฯ ชั้นนำ ขึ้นกล่าววัตถุประสงค์ของการจัดงาน และก็มาถึงไฮไลท์พิเศษของงาน ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณม้า-อรนภา กฤษฎี กูรูด้านความงาม และคุณเก๋-ชลดา เมฆราตรี พิธีกรและนางแบบชื่อดัง มาร่วมพูดคุยถึงเรื่องราวของสาวยุคใหม่ และเทคนิคในการปฏิบัติตัวของสาวไอดอล ยุค 2009 พร้อมปิดม่านการแถลงข่าวอย่างอบอุ่น ด้วยการถ่ายภาพที่ระลึกบนเวที เรียกว่างานนี้ได้เคล็ดลับดีๆ ในการดูแลสุขภาพ เป็นของแถมกลับบ้านไปเตรียมตัวเป็นสาวยุคใหม่กันเพียบ
Hi Idol 5 Women เปิดรับสมัครผู้หญิงทั่วปะเทศที่มีอายุ ตั้งแต่ 24 -32 ปี โดยส่งประวัติส่วนตัวพร้อมรูปถ่ายขนาดเต็มตัว และครึ่งตัว มาที่ 87 อาคารเอ็มไทย ออลซีซั่นเพลส ชั้น 10 ห้อง 1005 ถ.วิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. 1330 (วงเล็บมุมซอง Hi Idol 5 Women) ตั้งแต่วันนี้ – 15 เมษายน 2552 หรือสมัครผ่านทาง www.slimupcenter.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2620-0288
สลิมอัพ เซ็นเตอร์ ผู้นำด้านสถาบันลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนครบวงจรอันดับ 1 ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัท เคลล็อกส์ (ประเทศไทย) จำกัด, สถาบันเดอะสกินด็อกเตอร์ และนิตยสารเที่ยวรอบโลก จัดแคมเปญพิเศษ “Hi Idol 5 Women ” เพื่อเฟ้นหาสาวทันสมัย รูปร่างดี มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และมีความสามารถ มาเป็นผู้หญิงต้นแบบประจำปี 2009 และก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง พร้อมรับรางวัลมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
โดยแคมเปญฯ ดังกล่าว ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ ลานลิฟท์แก้ว เซ็นทรัล เวิลด์ โซน เซ็นทรัล คอร์ท ซึ่งงานนี้มีแขกผู้มีเกียรติและเหล่าคนดังมาร่วมงานมากมาย อาทิ จอห์น รัตนเวโรจน์, แอ้ม ศิระประภา ฯลฯ รวมถึงกองทัพสื่อมวลชนที่ขนกันมาทำข่าวอย่างคับคั่ง สำหรับบรรยากาศในงานเต็มไปด้วยสีสันของความสนุกสนาน จากการแสดงบนเวที เริ่มจากโชว์ชุดพิเศษ จาก 4 สาว มากความสามารถ ต่อด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “Hi Idol 5 Women ” อย่างเป็นทางการ โดยตัวแทนจาก 5 บริษัทฯ ชั้นนำ ขึ้นกล่าววัตถุประสงค์ของการจัดงาน และก็มาถึงไฮไลท์พิเศษของงาน ซึ่งได้รับเกียรติจาก คุณม้า-อรนภา กฤษฎี กูรูด้านความงาม และคุณเก๋-ชลดา เมฆราตรี พิธีกรและนางแบบชื่อดัง มาร่วมพูดคุยถึงเรื่องราวของสาวยุคใหม่ และเทคนิคในการปฏิบัติตัวของสาวไอดอล ยุค 2009 พร้อมปิดม่านการแถลงข่าวอย่างอบอุ่น ด้วยการถ่ายภาพที่ระลึกบนเวที เรียกว่างานนี้ได้เคล็ดลับดีๆ ในการดูแลสุขภาพ เป็นของแถมกลับบ้านไปเตรียมตัวเป็นสาวยุคใหม่กันเพียบ
Hi Idol 5 Women เปิดรับสมัครผู้หญิงทั่วปะเทศที่มีอายุ ตั้งแต่ 24 -32 ปี โดยส่งประวัติส่วนตัวพร้อมรูปถ่ายขนาดเต็มตัว และครึ่งตัว มาที่ 87 อาคารเอ็มไทย ออลซีซั่นเพลส ชั้น 10 ห้อง 1005 ถ.วิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. 1330 (วงเล็บมุมซอง Hi Idol 5 Women) ตั้งแต่วันนี้ – 15 เมษายน 2552 หรือสมัครผ่านทาง www.slimupcenter.com สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2620-0288
4821
news & activity / บริหารเงินออมอย่างชาญฉลาด “LH BANK Wealth Buddy” ให้ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่ม 1.00%
« on: March 17, 2009, 03:08:21 PM »
บริหารเงินออมอย่างชาญฉลาด “LH BANK Wealth Buddy” ให้ดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่ม 1.00%
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บ ริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด จับมือสวนกระแสดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ถือฤกษ์ดีวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ เปิดตัวโครงการ “LH BANK Wealth Buddy” ฝากประจำ 6 หรือ 12 เดือน พร้อมสมัครทำประกันชีวิต รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่ม 1.00% เมื่อครบกำหนด เชื่อมั่นลูกค้าให้การตอบรับตามเป้า เงินฝาก 500 ล้านบาท ภายใน 3 เดือน
นางศศิธร พงศธร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยว่า “ในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบัน อยู่ในทิศทางขาลง และอาจคงอยู่ในระดับเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกค้าที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนจากดอกเบี้ยและไม่มีความเสี่ยงใดๆ อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าได้รับคำแนะนำวิธีการบริหารเงินออมที่เหมาะสม ลูกค้าจะมีทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน”
นางศศิธร กล่าวต่อว่า “ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการออม LH Bank และ เมืองไทยประกันชีวิต จึงเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ และเป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินและความอุ่นใจให้กับลูกค้า โดยจัดทำโครงการ LH Bank Wealth Buddy ซึ่งลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากประจำ 6 หรือ 12 เดือน พร้อมสมัครทำประกันชีวิต LH Bank Life 612 ตามเงื่อนไขของโครงการ จะมีสิทธิได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม 1.00% จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำโดยปกติ”
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า “ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารและบริษัทประกันชีวิตจัดทำโครงการร่วมกันเช่นนี้ และลูกค้าเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยได้รับทั้งอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่เพิ่มขึ้นและได้รับความอุ่นใจจากแผนประกันชีวิต จึงเชื่อมั่นว่า จะได้รับกระแสตอบรับจากตลาดโดยรวม”
นายสาระ กล่าวต่อว่า “โครงการ LH Bank Life 612 หรือ แบบประกันเมืองไทยเพิ่มทรัพย์ 12/6 เป็นกรมธรรม์ที่สามารถตอบสนองความจำเป็นด้านความคุ้มครอง โดยระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันเพียงแค่ 6 ปี แต่ให้ความคุ้มครองนานถึง 12 ปี และยังมีเงินจ่ายคืนให้ทุกๆ 2 ปี ระหว่างสัญญา”
ความโดดเด่นของแบบประกันคือ ความคุ้มครองที่นานถึง 12 ปี แต่ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง 6 ปี และมีเงินจ่ายคืนทุกๆ 2 ปี รวมรับผลประโยชน์ตลอดสัญญา 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา อายุที่รับประกันภัยคือตั้งแต่ 1 – 60 ปี การรับผลประโยชน์คือ
1. กรณีมีชีวิตอยู่
รับเงินจ่ายคืนทุกๆ 2 ปี
ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2, 4, 6, 8, 10 ปีละ 6% (รวม 30%)
รับเงินครบสัญญา 120% ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 12
รวมรับผลประโยชน์ตลอดสัญญา 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
2. กรณีเสียชีวิต
ปีที่ 1 – 4 รับผลประโยชน์ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
ปีที่ 5 – 12 รับผลประโยชน์ 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
สนใจโครงการ “LH BANK Wealth Buddy” ติดต่อ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถึง 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-359-0000
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)
ส่วนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สำนักกรรมการผู้จัดการ
คุณศจิกา เจนคิด (แหม่ม)
โทรศัพท์. 02-359-0283 , 081-208-6306
แฟกซ์. 02-677-7223 E-mail : sajikaj@lhbank.co.th
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บ ริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด จับมือสวนกระแสดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ถือฤกษ์ดีวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ เปิดตัวโครงการ “LH BANK Wealth Buddy” ฝากประจำ 6 หรือ 12 เดือน พร้อมสมัครทำประกันชีวิต รับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเพิ่ม 1.00% เมื่อครบกำหนด เชื่อมั่นลูกค้าให้การตอบรับตามเป้า เงินฝาก 500 ล้านบาท ภายใน 3 เดือน
นางศศิธร พงศธร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank เปิดเผยว่า “ในสถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบัน อยู่ในทิศทางขาลง และอาจคงอยู่ในระดับเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกค้าที่ต้องการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนจากดอกเบี้ยและไม่มีความเสี่ยงใดๆ อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าได้รับคำแนะนำวิธีการบริหารเงินออมที่เหมาะสม ลูกค้าจะมีทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน”
นางศศิธร กล่าวต่อว่า “ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการออม LH Bank และ เมืองไทยประกันชีวิต จึงเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์ และเป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินและความอุ่นใจให้กับลูกค้า โดยจัดทำโครงการ LH Bank Wealth Buddy ซึ่งลูกค้าที่เปิดบัญชีเงินฝากประจำ 6 หรือ 12 เดือน พร้อมสมัครทำประกันชีวิต LH Bank Life 612 ตามเงื่อนไขของโครงการ จะมีสิทธิได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม 1.00% จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำโดยปกติ”
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า “ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารและบริษัทประกันชีวิตจัดทำโครงการร่วมกันเช่นนี้ และลูกค้าเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยได้รับทั้งอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่เพิ่มขึ้นและได้รับความอุ่นใจจากแผนประกันชีวิต จึงเชื่อมั่นว่า จะได้รับกระแสตอบรับจากตลาดโดยรวม”
นายสาระ กล่าวต่อว่า “โครงการ LH Bank Life 612 หรือ แบบประกันเมืองไทยเพิ่มทรัพย์ 12/6 เป็นกรมธรรม์ที่สามารถตอบสนองความจำเป็นด้านความคุ้มครอง โดยระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันเพียงแค่ 6 ปี แต่ให้ความคุ้มครองนานถึง 12 ปี และยังมีเงินจ่ายคืนให้ทุกๆ 2 ปี ระหว่างสัญญา”
ความโดดเด่นของแบบประกันคือ ความคุ้มครองที่นานถึง 12 ปี แต่ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง 6 ปี และมีเงินจ่ายคืนทุกๆ 2 ปี รวมรับผลประโยชน์ตลอดสัญญา 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา อายุที่รับประกันภัยคือตั้งแต่ 1 – 60 ปี การรับผลประโยชน์คือ
1. กรณีมีชีวิตอยู่
รับเงินจ่ายคืนทุกๆ 2 ปี
ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2, 4, 6, 8, 10 ปีละ 6% (รวม 30%)
รับเงินครบสัญญา 120% ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 12
รวมรับผลประโยชน์ตลอดสัญญา 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
2. กรณีเสียชีวิต
ปีที่ 1 – 4 รับผลประโยชน์ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
ปีที่ 5 – 12 รับผลประโยชน์ 150% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
สนใจโครงการ “LH BANK Wealth Buddy” ติดต่อ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถึง 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 02-359-0000
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)
ส่วนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ สำนักกรรมการผู้จัดการ
คุณศจิกา เจนคิด (แหม่ม)
โทรศัพท์. 02-359-0283 , 081-208-6306
แฟกซ์. 02-677-7223 E-mail : sajikaj@lhbank.co.th
4822
news & activity / ซาบีน่า ร่วมกับ Happy DTAC ออกบัตรเติมเงิน 100 บาท พร้อมโปรโมชั่น
« on: March 17, 2009, 12:17:53 PM »
ซาบีน่า ร่วมกับ Happy DTAC ออกบัตรเติมเงิน 100 บาท พร้อมโปรโมชั่น
โปรโมชั่นส่งความสุข :
คุณอมรเทพ อสีปัญญา ผู้อำนวยการสายงานขายและการตลาดในประเทศ (ขวาสุด) บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) และคุณภาณุพันธ์ สงวนพรรค ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) (ซ้ายสุด) ร่วมเปิดโปรโมชั่นใหม่ ออกบัตรเติมเงิน Happy 100 บาท ภายใต้ concept ทำอย่างนี้ชุดชั้นในแฮบปี้แน่ๆ ในลวดลายชุดชั้นในน่ารักๆ สุดเก๋ ให้เก็บสะสม ทั้งหมด 4 แบบ พร้อมจัดโปรโมชั่นต้อนรับหน้าร้อน เพียงนำบัตรเติมเงิน ใช้เป็นส่วนลดสูงสุดถึง 200 บาท เมื่อซื้อสินค้า SABINA ครบ 800 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค – 31 พ.ค. นี้เท่านั้น
โปรโมชั่นส่งความสุข :
คุณอมรเทพ อสีปัญญา ผู้อำนวยการสายงานขายและการตลาดในประเทศ (ขวาสุด) บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) และคุณภาณุพันธ์ สงวนพรรค ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) (ซ้ายสุด) ร่วมเปิดโปรโมชั่นใหม่ ออกบัตรเติมเงิน Happy 100 บาท ภายใต้ concept ทำอย่างนี้ชุดชั้นในแฮบปี้แน่ๆ ในลวดลายชุดชั้นในน่ารักๆ สุดเก๋ ให้เก็บสะสม ทั้งหมด 4 แบบ พร้อมจัดโปรโมชั่นต้อนรับหน้าร้อน เพียงนำบัตรเติมเงิน ใช้เป็นส่วนลดสูงสุดถึง 200 บาท เมื่อซื้อสินค้า SABINA ครบ 800 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค – 31 พ.ค. นี้เท่านั้น
4823
news & activity / เซ็นเตอร์พ้อทย์@เซ็นทรัลเวิลด์” เปิดตัวเป็นทางการยิ่งใหญ่
« on: March 17, 2009, 12:03:28 PM »
เซ็นเตอร์พ้อทย์@เซ็นทรัลเวิลด์” เปิดตัวเป็นทางการยิ่งใหญ่ ชูแม่เหล็กเรียกกลุ่มเป้าหมาย 20,000 คนต่อวัน
“เซ็นเตอร์พ้อทย์@เซ็นทรัลเวิลด์” เปิดตัวเป็นทางการยิ่งใหญ่ หลังเปิดพื้นที่มา 5 เดือน มีร้านเช่าพื้นที่เกือบเต็มแล้ว 80 % เดินหน้า มุ่งเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจทุ่ม 150 ล. พัฒนาพื้นที่กว่า10,000ต.ร.ม. ที่ถูกเนรมิตให้เป็น Teensett Venue แห่งใหม่ในไทยและเอเชีย ชูแม่เหล็กล้ำสมัยเรียกกลุ่มเป้าหมายเข้าห้าง20,000 คนต่อวัน แผนระยะยาวเช่าพ.ท. 10ปีคาดใช้เงินลงทุนอีกกว่า 1,200 ล้านบาท ส่วนปี52 มุ่งสร้างให้คนรู้จัก ขยายงานอีเว้นท์ที่โตถึง100%
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินฟินิตี้ มอลล์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการบริหารพื้นที่ “ เซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิลด์” บนชั้น 7-8 ของเซ็ลทรัลเวิลด์ ที่ได้เช่าพื้นที่ระยะยาว 10 ว่า หลังจากที่เปิดพื้นที่กว่า 5 เดือนแล้ว ได้รับการตอบรับอย่างดี มีร้านเข้าเช่าพื้นที่แล้ว 80% หรือประมาณ 50 ร้านค้า ส่วนเป้าหมายปีนี้จะมุ่งสร้างความรู้จักในกลุ่มเป้าหมาย มากกว่าผลักดันยอดรายได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
“อย่างไรก็ตามถึงเศรษฐกิจจะย้ำแย่ และน่าหนักใจแต่ก็ไม่ ถือว่าเลวร้ายมากนัก เมื่อเทียบกับช่วงที่ปี2540 ที่ได้ก่อตั้งเซ็นเตอร์พ้อยท์เดิมที่สยามสแควร์ ที่ภาวะเศรษฐแย่เหมือนสิ้นลมหายใจ และเราก็เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยโอกาสของช่องว่างการตลาด และด้วยศักยภาพของทีมงานและผมกับน้องชายเป็นนักกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียน จึงริเริ่มการเข้ามาทำกิจกรรมการตลาดในกลุ่มวัยรุ่น จัดอีเว้นท์กิจกรรมตลาดกับบริษัทสินค้าต่างๆ โดยรายได้หลักมาจากการให้เช่าพื้นที่และจัดกิจกรรม ในขณะนั้นลงทุนเริ่มแรกแค่ 13- 15 ล้านบาท สร้างฐานตลาดใหม่ๆในกลุ่มวัยรุ่น แบ่งเซ็กเม้นต์กลุ่มย่อยๆมากมาย ทั้ง กลุ่ม อินดี้ เด็กแนว ฯ”
การกลับมาครั้งใหม่ในนาม “ เซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิล์ด” นับว่ามีความแตกต่างจากเดิมอย่างมาก อันดับแรกคือทางกายภาพ โลเกชั่นสถานที่ จากเดิมที่อยู่กลางแจ้ง มาอยู่ในห้องแอร์ พื้นที่ใหญ่ขึ้นมากว่า 10 เท่า จากเดิม 1,300 ต.ร.ม มาเป็น 10,000 ต.ร.ม. บนชั้น7-8 เซ็นทรัลเวิล์ด การลงทุนก็เพิ่มมากขึ้นถึง 150 ล้านบาท ในระยะเริ่มต้น
การทำตลาดและและการจัดกิจกรรมต่างๆจะต้องมีความแตกต่างชัดเจน มีการลงทุนเพิ่มเป็นเท่าตัวทั้งค่าเช่าพื้นที่ และทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ ดังนั้นกิจกรรมทางการตลาดจะต้องวางแผนเป็นระบบมากขึ้น และมีการจัดกิจกรรมที่เป็นแม่เหล็กดึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แต่ก็มีกลิ่นอายของเซ็นเตอร์พ้อยท์ที่ครองใจวัยรุ่นอยู่ อาทิ ได้จัดเปิดตลาดอินดี้ ขายสินค้าทำมือของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ทุกวันศุกร์ด้านล่างในพื้นที่ว่างของเซ็นทรัลเวิลด์ โดยนักเรียน นักศึกษาไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างดี มีผู้มาซื้อสินค้ามากกว่า 20,000 คน ถือเป็นพื้นที่หน้าต่างที่จะดึงคนสู่เซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิล์ด อีกทางหนึ่ง
“ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่ตระการตา สำหรับคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เปิดในครั้งนี้ โดยโครงการนี้ใช้งบลงทุนเบื้อต้น 150ล้าน ถูกเนรมิตให้เป็น Teensetter Venue แห่งใหม่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย และทุ่มงบอีก 1,200 ล้าน ในการบริหารจัดการพื้นที่ ตลอดเวลา 10 ปี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว สำหรับวัยรุ่นในเอเชีย ภายในปี 2553 จะขยายฐานลูกค้าเดิมจากกลุ่มวัยรุ่น 12-21ปี เป็นกลุ่มเริ่มทำงาน 21-35 ปี”
ภายในเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิล์ด มีพื้นที่หลัก 2 ส่วน คือส่วนTechnotainment นำเสนอเทคโนโลยีรูปแบบบันเทิง และUrban Life Entertainment ไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองโดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะให้เช่า ซึ่งขณะนี้มีร้านเข้าเช่าพื้นที่แล้ว 80% ประมาณ 50 ร้านค้า
นอกจากนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่สดใสกว่าเดิม โดยสื่อถึงเซ็นเตอร์พ้อยท์แห่งใหม่ ด้วยมิติใหม่ที่เพิ่มความสนุกสนานมากขึ้น สีส้มที่บ่งบอกความเป็นตัวตน วัฒนธรรมสุดฮิปของกลุ่มวัยรุ่น และสัญลักษณ์วงกลมที่สื่อถือความเป็น Unity และ Unique ของเหล่าวัยรุ่น
ทั้งนี้เรามีแม่เหล็กใหม่ๆที่ดึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เซ็นเตอร์พ้อยท์เพลเฮ้า โรงละครที่ทันสมัยที่สุดรองรับคน 576 ที่นั่ง พร้อมด้วยระบบแสงสีเสีง ที่รองรับมินิคอนเสิร์ต ละครเวที การประชุมสัมมนา รวมถึงการแสดงมายากลทั้งไทยและเทศ ถือเป็นพื้นที่พระเอกหลัก
และพื้นที่โดดเด่นอีกที่หนึ่งคือ ไซบีเรีย หรือเซ็นเตอร์พ้อยท์ ดิจิตอล เพลกราวน์ บาย เว็บ เป็นพื้นที่เล่นเกมและการแข่งขันออนไลน์ 3 ชั้น ที่ทันสมัยที่สุดแห่งแรกของไทย รองรับผู้เล่นพร้อมกันกว่า 100 คน หรือชมการแข่งขันเวิล์ดแชมเปี้ยนชิป กับจอขนาดใหญ่สุด และยังสามารถจัดอีเว้นท์ต่างๆได้อีกด้วย
มินิแลนด์ เป็นโซนมิติใหม่ของเกมส์ Arcade ถ่ายรูปได้พร้อมจอ ทัชสกรีนแอลซีดี และไวด์สกรีนแอลซีดีขนาดใหญ่ หลากหลายรูปแบบเกมส์อิตที่รองรับระบบอินเตอร์เน็ตแห่งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโซน มิวสิค พาเลซ สไตล์โมเดิร์นถูกใจคนรักเสียงเพลง และร่วมสนุกกับการประกวด คาราโอเกะ คอนเทสต์ที่นี้ และยังมีความน่าสนใจอีกหลากหลายจากร้านผู้เช่าพื้นที่กว่า 50 ร้าน และลานกิจกรรมที่จัดไว้ให้กับวัยรุ่นโดยเฉพาะ
ส่วนเป้าหมายในปีนี้เราต้องการเพียงต้องการให้คนรู้จัก โฉมใหม่ของเซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิล์ด เป็นเรื่องหลัก ส่วนเป้ารายได้ในปีแรกๆจะมาจากค่าเช่าพื้นที่ 75%และจัดอีเว้นท์ 25%เกือบ 300 อีเว้นท์ต่อปี คาดว่าจะมีลูกค้าเข้าใช้บริการต่อวัน 5,000 คน และจะขยายเพิ่มในปีถัดไป ตั้งเป้าคนเข้าถึง 20,000 คนต่อวัน
ด้านนายชยะบูรณ์ ชวนไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นเตอร์พ้อยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้จะมุ่งสร้าง เซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมการตลาด20-50 ล้านบาท และมุ่งงานอีเว้นท์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางเดียวที่เห็นรายได้เด่นชัด โดยในปีนี้มีอัตราการเติบโตถึง 100 % ซึ่งทางบริษัทได้รองรับการตลาดส่วนนี้โดยการแตกบริษัทเพื่อรับงานด้าน อีเว้นท์โดยเฉพาะ รองรับการขยายงานด้านกิจกรรมต่างๆของเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์
ในขณะเดียวกัน ยังมีการจัดระเบียบฐานข้อมูลสมาชิกกลุ่มเป้าหมาย ของเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่ในขณะนี้มีมากกว่า 1,000 คน และขยายตัวอย่างรวดเร็วในอนาคต เพื่อนำฐานข้อมูลเหล่านี้ มาจัดระบบเพื่อเป็นประโยชน์ในการคิดงานกิจกรรมที่สร้างสรรค์ต่างๆและยังเป็นฐานตลาดให้กับกลุ่มลูกค้า บริษัทสินค้าวัยรุ่นอีกด้วย
“เซ็นเตอร์พ้อทย์@เซ็นทรัลเวิลด์” เปิดตัวเป็นทางการยิ่งใหญ่ หลังเปิดพื้นที่มา 5 เดือน มีร้านเช่าพื้นที่เกือบเต็มแล้ว 80 % เดินหน้า มุ่งเป็นศูนย์รวมวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ ไม่หวั่นพิษเศรษฐกิจทุ่ม 150 ล. พัฒนาพื้นที่กว่า10,000ต.ร.ม. ที่ถูกเนรมิตให้เป็น Teensett Venue แห่งใหม่ในไทยและเอเชีย ชูแม่เหล็กล้ำสมัยเรียกกลุ่มเป้าหมายเข้าห้าง20,000 คนต่อวัน แผนระยะยาวเช่าพ.ท. 10ปีคาดใช้เงินลงทุนอีกกว่า 1,200 ล้านบาท ส่วนปี52 มุ่งสร้างให้คนรู้จัก ขยายงานอีเว้นท์ที่โตถึง100%
พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินฟินิตี้ มอลล์ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการบริหารพื้นที่ “ เซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิลด์” บนชั้น 7-8 ของเซ็ลทรัลเวิลด์ ที่ได้เช่าพื้นที่ระยะยาว 10 ว่า หลังจากที่เปิดพื้นที่กว่า 5 เดือนแล้ว ได้รับการตอบรับอย่างดี มีร้านเข้าเช่าพื้นที่แล้ว 80% หรือประมาณ 50 ร้านค้า ส่วนเป้าหมายปีนี้จะมุ่งสร้างความรู้จักในกลุ่มเป้าหมาย มากกว่าผลักดันยอดรายได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี
“อย่างไรก็ตามถึงเศรษฐกิจจะย้ำแย่ และน่าหนักใจแต่ก็ไม่ ถือว่าเลวร้ายมากนัก เมื่อเทียบกับช่วงที่ปี2540 ที่ได้ก่อตั้งเซ็นเตอร์พ้อยท์เดิมที่สยามสแควร์ ที่ภาวะเศรษฐแย่เหมือนสิ้นลมหายใจ และเราก็เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยโอกาสของช่องว่างการตลาด และด้วยศักยภาพของทีมงานและผมกับน้องชายเป็นนักกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียน จึงริเริ่มการเข้ามาทำกิจกรรมการตลาดในกลุ่มวัยรุ่น จัดอีเว้นท์กิจกรรมตลาดกับบริษัทสินค้าต่างๆ โดยรายได้หลักมาจากการให้เช่าพื้นที่และจัดกิจกรรม ในขณะนั้นลงทุนเริ่มแรกแค่ 13- 15 ล้านบาท สร้างฐานตลาดใหม่ๆในกลุ่มวัยรุ่น แบ่งเซ็กเม้นต์กลุ่มย่อยๆมากมาย ทั้ง กลุ่ม อินดี้ เด็กแนว ฯ”
การกลับมาครั้งใหม่ในนาม “ เซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิล์ด” นับว่ามีความแตกต่างจากเดิมอย่างมาก อันดับแรกคือทางกายภาพ โลเกชั่นสถานที่ จากเดิมที่อยู่กลางแจ้ง มาอยู่ในห้องแอร์ พื้นที่ใหญ่ขึ้นมากว่า 10 เท่า จากเดิม 1,300 ต.ร.ม มาเป็น 10,000 ต.ร.ม. บนชั้น7-8 เซ็นทรัลเวิล์ด การลงทุนก็เพิ่มมากขึ้นถึง 150 ล้านบาท ในระยะเริ่มต้น
การทำตลาดและและการจัดกิจกรรมต่างๆจะต้องมีความแตกต่างชัดเจน มีการลงทุนเพิ่มเป็นเท่าตัวทั้งค่าเช่าพื้นที่ และทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์สถานที่ ดังนั้นกิจกรรมทางการตลาดจะต้องวางแผนเป็นระบบมากขึ้น และมีการจัดกิจกรรมที่เป็นแม่เหล็กดึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด แต่ก็มีกลิ่นอายของเซ็นเตอร์พ้อยท์ที่ครองใจวัยรุ่นอยู่ อาทิ ได้จัดเปิดตลาดอินดี้ ขายสินค้าทำมือของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ทุกวันศุกร์ด้านล่างในพื้นที่ว่างของเซ็นทรัลเวิลด์ โดยนักเรียน นักศึกษาไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างดี มีผู้มาซื้อสินค้ามากกว่า 20,000 คน ถือเป็นพื้นที่หน้าต่างที่จะดึงคนสู่เซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิล์ด อีกทางหนึ่ง
“ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่ตระการตา สำหรับคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เปิดในครั้งนี้ โดยโครงการนี้ใช้งบลงทุนเบื้อต้น 150ล้าน ถูกเนรมิตให้เป็น Teensetter Venue แห่งใหม่ของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย และทุ่มงบอีก 1,200 ล้าน ในการบริหารจัดการพื้นที่ ตลอดเวลา 10 ปี เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว สำหรับวัยรุ่นในเอเชีย ภายในปี 2553 จะขยายฐานลูกค้าเดิมจากกลุ่มวัยรุ่น 12-21ปี เป็นกลุ่มเริ่มทำงาน 21-35 ปี”
ภายในเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิล์ด มีพื้นที่หลัก 2 ส่วน คือส่วนTechnotainment นำเสนอเทคโนโลยีรูปแบบบันเทิง และUrban Life Entertainment ไลฟ์สไตล์แบบคนเมืองโดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะให้เช่า ซึ่งขณะนี้มีร้านเข้าเช่าพื้นที่แล้ว 80% ประมาณ 50 ร้านค้า
นอกจากนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่สดใสกว่าเดิม โดยสื่อถึงเซ็นเตอร์พ้อยท์แห่งใหม่ ด้วยมิติใหม่ที่เพิ่มความสนุกสนานมากขึ้น สีส้มที่บ่งบอกความเป็นตัวตน วัฒนธรรมสุดฮิปของกลุ่มวัยรุ่น และสัญลักษณ์วงกลมที่สื่อถือความเป็น Unity และ Unique ของเหล่าวัยรุ่น
ทั้งนี้เรามีแม่เหล็กใหม่ๆที่ดึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เซ็นเตอร์พ้อยท์เพลเฮ้า โรงละครที่ทันสมัยที่สุดรองรับคน 576 ที่นั่ง พร้อมด้วยระบบแสงสีเสีง ที่รองรับมินิคอนเสิร์ต ละครเวที การประชุมสัมมนา รวมถึงการแสดงมายากลทั้งไทยและเทศ ถือเป็นพื้นที่พระเอกหลัก
และพื้นที่โดดเด่นอีกที่หนึ่งคือ ไซบีเรีย หรือเซ็นเตอร์พ้อยท์ ดิจิตอล เพลกราวน์ บาย เว็บ เป็นพื้นที่เล่นเกมและการแข่งขันออนไลน์ 3 ชั้น ที่ทันสมัยที่สุดแห่งแรกของไทย รองรับผู้เล่นพร้อมกันกว่า 100 คน หรือชมการแข่งขันเวิล์ดแชมเปี้ยนชิป กับจอขนาดใหญ่สุด และยังสามารถจัดอีเว้นท์ต่างๆได้อีกด้วย
มินิแลนด์ เป็นโซนมิติใหม่ของเกมส์ Arcade ถ่ายรูปได้พร้อมจอ ทัชสกรีนแอลซีดี และไวด์สกรีนแอลซีดีขนาดใหญ่ หลากหลายรูปแบบเกมส์อิตที่รองรับระบบอินเตอร์เน็ตแห่งแรกในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโซน มิวสิค พาเลซ สไตล์โมเดิร์นถูกใจคนรักเสียงเพลง และร่วมสนุกกับการประกวด คาราโอเกะ คอนเทสต์ที่นี้ และยังมีความน่าสนใจอีกหลากหลายจากร้านผู้เช่าพื้นที่กว่า 50 ร้าน และลานกิจกรรมที่จัดไว้ให้กับวัยรุ่นโดยเฉพาะ
ส่วนเป้าหมายในปีนี้เราต้องการเพียงต้องการให้คนรู้จัก โฉมใหม่ของเซ็นเตอร์พ้อยท์@เซ็นทรัลเวิล์ด เป็นเรื่องหลัก ส่วนเป้ารายได้ในปีแรกๆจะมาจากค่าเช่าพื้นที่ 75%และจัดอีเว้นท์ 25%เกือบ 300 อีเว้นท์ต่อปี คาดว่าจะมีลูกค้าเข้าใช้บริการต่อวัน 5,000 คน และจะขยายเพิ่มในปีถัดไป ตั้งเป้าคนเข้าถึง 20,000 คนต่อวัน
ด้านนายชยะบูรณ์ ชวนไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นเตอร์พ้อยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้จะมุ่งสร้าง เซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมการตลาด20-50 ล้านบาท และมุ่งงานอีเว้นท์เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางเดียวที่เห็นรายได้เด่นชัด โดยในปีนี้มีอัตราการเติบโตถึง 100 % ซึ่งทางบริษัทได้รองรับการตลาดส่วนนี้โดยการแตกบริษัทเพื่อรับงานด้าน อีเว้นท์โดยเฉพาะ รองรับการขยายงานด้านกิจกรรมต่างๆของเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์
ในขณะเดียวกัน ยังมีการจัดระเบียบฐานข้อมูลสมาชิกกลุ่มเป้าหมาย ของเซ็นเตอร์พ้อยท์@ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่ในขณะนี้มีมากกว่า 1,000 คน และขยายตัวอย่างรวดเร็วในอนาคต เพื่อนำฐานข้อมูลเหล่านี้ มาจัดระบบเพื่อเป็นประโยชน์ในการคิดงานกิจกรรมที่สร้างสรรค์ต่างๆและยังเป็นฐานตลาดให้กับกลุ่มลูกค้า บริษัทสินค้าวัยรุ่นอีกด้วย
4824
news & activity / "มหกรรมครบเครื่องเรื่องอาหารและอุปกรณ์ ครั้งที่ 4" Makro HoReCa 2009
« on: March 16, 2009, 11:52:12 AM »
“มหกรรมครบเครื่องเรื่องอาหารและอุปกรณ์” ครั้งที่ 4 พร้อมเดินหน้า 20-22 มี.ค.นี้ ฮอลล์ 1-2 อิมแพค เมืองทองธานี
แม็คโคร มีข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจจัดเลี้ยง ตลอดจนประชาชนทั่วไป ไม่ควรพลาดเข้ามาร่วม “ต่อยอดธุรกิจ สร้างแนวคิดใหม่” กับงาน มหกรรมครบเครื่องเรื่องอาหารและอุปกรณ์ ครั้งที่ 4” Makro HoReCa 2009 ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี วันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ฮอลล์1-2 อิมแพค เมืองทองธานี เวลา 9.00 – 19.00 น. ร่วมตื่นตากับเชฟระดับโลก ตัวจริงจากยุทธภูมิกระทะเหล็ก (เชฟซาไค) Chef Hiroyuki Sakai มาสาธิตการทำอาหารฝรั่งเศส โดยใช้วัตถุดิบของไทยที่มีจำหน่ายในแม็คโคร รวมทั้งภายในบู้ธของแม็คโคร มีการจัด workshop ซูชิแฟนซี น้ำปั่น เบเกอรี่จัดเลี้ยง และสอนทำอาหารเพื่อทำขาย อาทิ ข้าวมันไก่ไขมันต่ำ แกงกะหรี่สูตรเยาวราช
Hiroyuki Sakai (เชฟซาไค) จากรายการยุทธภูมิกระทะเหล็ก
นอกจากนี้ ยังมีขบวนสินค้าจากพันธมิตรกว่า 270 ราย มาให้เลือกสรรอย่างจุใจ และสัมมนาเสริมความรู้ อาทิ เปิดทางรอด บอกทางรุ่ง ธุรกิจโฮเรก้า ,ทำไมร้านอาหารต้องสร้างแบรนด์ ?,กว่าจะเป็นบูติกโฮเท็ล, และร่วม Work Shop โดยวิทยากรชั้นนำอย่าง คุณดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ , คุณโรส วริศรา ลี้ธีระกุล ,คุณกบ ธนกร – คุณกอหญ้า ฮุนตระกูล มหาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เปิดคอร์สสอนทำขนม เป็นต้น สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2351-8888 หรือ www.siammakro.co.th
แม็คโคร มีข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจจัดเลี้ยง ตลอดจนประชาชนทั่วไป ไม่ควรพลาดเข้ามาร่วม “ต่อยอดธุรกิจ สร้างแนวคิดใหม่” กับงาน มหกรรมครบเครื่องเรื่องอาหารและอุปกรณ์ ครั้งที่ 4” Makro HoReCa 2009 ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี วันที่ 20-22 มีนาคมนี้ ฮอลล์1-2 อิมแพค เมืองทองธานี เวลา 9.00 – 19.00 น. ร่วมตื่นตากับเชฟระดับโลก ตัวจริงจากยุทธภูมิกระทะเหล็ก (เชฟซาไค) Chef Hiroyuki Sakai มาสาธิตการทำอาหารฝรั่งเศส โดยใช้วัตถุดิบของไทยที่มีจำหน่ายในแม็คโคร รวมทั้งภายในบู้ธของแม็คโคร มีการจัด workshop ซูชิแฟนซี น้ำปั่น เบเกอรี่จัดเลี้ยง และสอนทำอาหารเพื่อทำขาย อาทิ ข้าวมันไก่ไขมันต่ำ แกงกะหรี่สูตรเยาวราช
Hiroyuki Sakai (เชฟซาไค) จากรายการยุทธภูมิกระทะเหล็ก
นอกจากนี้ ยังมีขบวนสินค้าจากพันธมิตรกว่า 270 ราย มาให้เลือกสรรอย่างจุใจ และสัมมนาเสริมความรู้ อาทิ เปิดทางรอด บอกทางรุ่ง ธุรกิจโฮเรก้า ,ทำไมร้านอาหารต้องสร้างแบรนด์ ?,กว่าจะเป็นบูติกโฮเท็ล, และร่วม Work Shop โดยวิทยากรชั้นนำอย่าง คุณดุ๊ก ภาณุเดช วัฒนสุชาติ , คุณโรส วริศรา ลี้ธีระกุล ,คุณกบ ธนกร – คุณกอหญ้า ฮุนตระกูล มหาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เปิดคอร์สสอนทำขนม เป็นต้น สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2351-8888 หรือ www.siammakro.co.th
4825
news & activity / “Andre ‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok”
« on: March 15, 2009, 09:35:05 PM »
ครั้งแรกและครั้งเดียว เกือบสองชั่วโมงเต็มกับแฟชั่นโชว์สุดอลังการของดีไซน์เนอร์ระดับ
ท็อปของเอเชีย ที่มาพร้อมซุปเปอร์สตาร์ชายอย่างคับคั่งจากประเทศเกาหลีในงาน “Andre ‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok”
นายนัยสันต์ จันทรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธิรวา จำกัด ในนามของคณะผู้จัดงานแสดงแฟชั่นโชว์
“Andre ‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok ” ที่จัดขึ้น ณ Centara Grand & Bangkok Convention Centre at Central World ในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ได้กล่าวถึงการเตรียมงานครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมงานแสดงแฟชั่นโชว์ที่มีความแตกต่างจากแฟชั่นโชว์ทั่วๆ ไปที่เราต่างได้เห็นและชมการแสดงแฟชั่นโชว์ของที่ผ่านๆ มา ซึ่งนับว่าครั้งนี้ทางดีไซน์เนอร์ระดับท็อปของเอเชีย “มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้เตรียมการแสดงแฟชั่นโชว์สุดอลังการครั้งแรกและครั้งเดียวของประเทศไทยจริงๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย – สาธารณรัฐเกาหลี ที่เราทุกท่านจะต้องไม่พลาด และเต็มอิ่มกับการแสดงที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดังเกาหลี ได้เตรียมการแสดงมาให้สมกับการรอคอยของผู้ที่ชื่นชอบผลงานและไม่ให้ผิดหวังกับผู้ที่มาชมการแสดงครั้งนี้เพราะผลงานที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดัง “มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้เตรียมเปิดการแสดงให้คนไทยได้มีโอกาสชมกันในครั้งนี้นั้น จะแบ่งเป็น 6 Episode ด้วยกันใน Concept : Andre ‘Kim Fashion Art Fantasia
Episode1: 2010 World Festival for Spring & Summer in Bangkok
Episode 2: Unforgettable Romanticism & Poetic Dream
Episode 3: Everlasting Glory for Kingdom of Thailand
Episode 4: Korea, The Tales about Land of Morning Calm
Episode 5: Seven Veils Legend of Orient
Episode 6: My Love of Eternity in Shangrila
โดยเสื้อผ้าที่นำมาเปิดการแสดงจำนวน 175 ชุดนั้น ล้วนคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์การออกแบบตามสไตล์ของ มิสเตอร์ อังเดร คิม ที่มีการผสมผสานระหว่างความงดงามแบบคลาสสิค และความโดดเด่นแบบทันสมัยไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเลือกใช้สีสัน วัสดุ รูปแบบ หรือแม้กระทั่งลวดลายที่มีความสวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร การออกแบบของเขาจะยังคงกลิ่นอายของความเป็นเอเชียไว้ด้วยลวดลายของดอกไม้ นก และกิ่งไม้นานาชนิด อีกทั้งยังมีเซ็ทพิเศษที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ”มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้ออกแบบและตัดเย็บมาโดยใช้ผ้าไหมไทยของของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ไทย อีกด้วย นับเป็นการแสดงแฟชั่นโชว์ที่แสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสองประเทศ ในนามของผู้จัดงานจึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นเสื้อผ้า และแฟนพันธุ์แท้ของซีรีย์เกาหลีห้ามพลาดกับการร่วมงานแฟชั่นโชว์ที่เรียกได้ว่าเต็มอิ่มชิดขอบรันเวย์กับเหล่าซุปเปอร์สตาร์ชายที่อิมพอร์ตมาจากประเทศเกาหลีอย่างคับคั่งในงาน “Andre‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok” สำหรับผู้สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ 02-262-3456 หรือ www.thaiticketmajor.com
ท็อปของเอเชีย ที่มาพร้อมซุปเปอร์สตาร์ชายอย่างคับคั่งจากประเทศเกาหลีในงาน “Andre ‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok”
นายนัยสันต์ จันทรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธิรวา จำกัด ในนามของคณะผู้จัดงานแสดงแฟชั่นโชว์
“Andre ‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok ” ที่จัดขึ้น ณ Centara Grand & Bangkok Convention Centre at Central World ในวันที่ 7 มีนาคม 2552 ได้กล่าวถึงการเตรียมงานครั้งนี้ว่า เป็นการเตรียมงานแสดงแฟชั่นโชว์ที่มีความแตกต่างจากแฟชั่นโชว์ทั่วๆ ไปที่เราต่างได้เห็นและชมการแสดงแฟชั่นโชว์ของที่ผ่านๆ มา ซึ่งนับว่าครั้งนี้ทางดีไซน์เนอร์ระดับท็อปของเอเชีย “มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้เตรียมการแสดงแฟชั่นโชว์สุดอลังการครั้งแรกและครั้งเดียวของประเทศไทยจริงๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย – สาธารณรัฐเกาหลี ที่เราทุกท่านจะต้องไม่พลาด และเต็มอิ่มกับการแสดงที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดังเกาหลี ได้เตรียมการแสดงมาให้สมกับการรอคอยของผู้ที่ชื่นชอบผลงานและไม่ให้ผิดหวังกับผู้ที่มาชมการแสดงครั้งนี้เพราะผลงานที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดัง “มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้เตรียมเปิดการแสดงให้คนไทยได้มีโอกาสชมกันในครั้งนี้นั้น จะแบ่งเป็น 6 Episode ด้วยกันใน Concept : Andre ‘Kim Fashion Art Fantasia
Episode1: 2010 World Festival for Spring & Summer in Bangkok
Episode 2: Unforgettable Romanticism & Poetic Dream
Episode 3: Everlasting Glory for Kingdom of Thailand
Episode 4: Korea, The Tales about Land of Morning Calm
Episode 5: Seven Veils Legend of Orient
Episode 6: My Love of Eternity in Shangrila
โดยเสื้อผ้าที่นำมาเปิดการแสดงจำนวน 175 ชุดนั้น ล้วนคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์การออกแบบตามสไตล์ของ มิสเตอร์ อังเดร คิม ที่มีการผสมผสานระหว่างความงดงามแบบคลาสสิค และความโดดเด่นแบบทันสมัยไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเลือกใช้สีสัน วัสดุ รูปแบบ หรือแม้กระทั่งลวดลายที่มีความสวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร การออกแบบของเขาจะยังคงกลิ่นอายของความเป็นเอเชียไว้ด้วยลวดลายของดอกไม้ นก และกิ่งไม้นานาชนิด อีกทั้งยังมีเซ็ทพิเศษที่ทางดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ”มิสเตอร์ อังเดร คิม” ได้ออกแบบและตัดเย็บมาโดยใช้ผ้าไหมไทยของของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ไทย อีกด้วย นับเป็นการแสดงแฟชั่นโชว์ที่แสดงให้เห็นถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสองประเทศ ในนามของผู้จัดงานจึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นเสื้อผ้า และแฟนพันธุ์แท้ของซีรีย์เกาหลีห้ามพลาดกับการร่วมงานแฟชั่นโชว์ที่เรียกได้ว่าเต็มอิ่มชิดขอบรันเวย์กับเหล่าซุปเปอร์สตาร์ชายที่อิมพอร์ตมาจากประเทศเกาหลีอย่างคับคั่งในงาน “Andre‘Kim Fashion Fantasia in Bangkok” สำหรับผู้สนใจสามารถซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ติดต่อหมายเลขโทรศัพท์ 02-262-3456 หรือ www.thaiticketmajor.com
4826
news & activity / อีซีซี กรุ๊ป เปิดตัว โพรเมนาดา เชียงใหม่ พร้อมจัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์
« on: March 15, 2009, 09:32:46 PM »
อีซีซี กรุ๊ป เปิดตัว โพรเมนาดา เชียงใหม่ พร้อมจัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์ โฮลดิ้ง มูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
อีซีซี กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกจาก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดตัว โพรเมนาดา เชียงใหม่ ที่สุดแห่งชีวิตยุคใหม่ในภาคเหนือ พร้อมจัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์ โฮลดิ้ง มูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงการในไทยและเวียดนาม
อีซีซี กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ประกาศทุ่มงบกว่า 3,100 ล้านบาท สร้าง โพรเมนาดา ศูนย์การค้าในเมืองเชียงใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ
โพรเมนาดา ศูนย์การค้าครบวงจรบนพื้นที่ 75, 000 ตารางเมตรตั้งอยู่บนถนนบ้านสหกรณ์ติดกับซูเปอร์ ไฮเวย์และถนนวงแหวนรอบ 2 ซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่และสามารถเดินทางได้สะดวก
และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่ ทางศูนย์จึงได้คัดสรร แบรนด์ชั้นนำของไทยและต่างประเทศทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารและกิจกรรมบันเทิงอันหลากหลาย ทั้งนี้ศูนย์การค้าโพรเมนาดา มีกำหนดเสร็จสิ้นการก่อสร้างและเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2554
งบลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท
อีซีซี กรุ๊ป ได้วางงบประมาณการลงทุนในโครงการนี้ไว้ถึง 3,100 ล้านบาท (88.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยคาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้เกิดการจ้างงานถึง 3,000 ตำแหน่งและในช่วงระหว่างการก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลังของปีพ.ศ. 2552 จะทำให้เกิดการจ้างงานจากคนงานท้องถิ่นกว่าพันตำแหน่ง
สำหรับอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในเครือของอีซีซี กรุ๊ป ได้รับใบอนุญาตการลงทุนจากสถาบัน ส่งเสริมการลงทุน (ฺBOI) สำหรับการลงทุนโครงการ โพรเมนาดา เชียงใหม่ ทางบริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท VGF Design ในเชียงใหม่ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านคุณภาพสูง
ด้วยคอนเซ็ปท์ที่ว่า “เราให้คุณมากกว่าการช้อปปิ้ง” อีซีซี กรุ๊ป จึงมุ่งมั่นในการสร้างให้ โพรเมนาดา เป็นศูนย์รวมความทันสมัยและจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ของชาวเชียงใหม่และชาวเหนือรวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
สำหรับการโปรโมท โพรเมนาดาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างนั้น อีซีซี กรุ๊ป มีแผนจัดงานแฟชั่นโชว์และคอนเสิร์ตอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตีพิมพ์นิตยสาร โพรเมนาดา นิตยสารรายสามเดือนที่รวบรวมข่าวสาร กิจกรรมใหม่ ๆ และโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้อัพเดทสินค้าและเทรนด์ใหม่ๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวเครดิตการ์ดของทางศูนย์และโครงการ Loyalty Program เพื่อดึงดูดใจลูกค้าด้วย
อีซีซี กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2534 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าในยุโรป และจะนำความเชี่ยวชาญนี้มาพัฒนาโครงการในเอเชียถึงปัจจุบัน อีซีซี กรุ๊ป ใช้เงินลงทุนไปกว่า 12.25 พันล้านบาท (350 ล้านเหรียญสหรัฐ) สำหรับโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วในยุโรป ขณะนี้ อีซีซี กรุ๊ป กำลังใช้เงินลงทุนกว่า 17.5 พันล้านบาท (500 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ใน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทยและเวียดนาม) แอฟริกาเหนือ (โมรอคโค) และตะวันออกกลาง (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
ในเวียดนาม อีซีซี กรุ๊ป ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท GuocoLand จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์การค้า “โพรเมนาดา @ คาแนรี่” ภายใต้คอนเซ็ปท์เดียวกับโพรเมนาดา เชียงใหม่ ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองของกรุงโฮจิมินห์ มีพื้นที่ทั้งหมด 82,000 ตารางเมตร คาดว่าการก่อสร้างเฟสแรกจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 3 พ.ศ.2554 และการก่อสร้างในเฟสที่ 2 จะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4 พ.ศ. 2555 โดยจะเป็นโครงการศูนย์การค้าที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติแห่งแรกในเวียดนาม
ทั้งนี้ อีซีซี อินเวสท์ บริษัทที่ดูแลด้านการลงทุนของอีซีซี กรุ๊ป ซึ่งก่อตั้งในปีพ.ศ. 2550 ได้จัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์ โฮลดิ้ง มูลค่าถึง 8.75 พันล้านบาท (250 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เกี่ยวกับ อีซีซี กรุ๊ป
อีซีซี กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน โดยก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2534 อีซีซี กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารงานศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้แบรนด์ โพรเมนาดา และมีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 65 คน ซึ่งดูแลการดำเนินงานและปฏิบัติงานในทวีปยุโรปและเอเชียได้แก่ ประเทศโปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชค เวียดนามและไทย อีซีซี กรุ๊ปใช้เงินลงทุนกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว และได้เตรียมงบลงทุนกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการในอนาคต ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 อีซีซี กรุ๊ป เริ่มลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอีซีซี กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.eccrealestate.com
อีซีซี กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกจาก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดตัว โพรเมนาดา เชียงใหม่ ที่สุดแห่งชีวิตยุคใหม่ในภาคเหนือ พร้อมจัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์ โฮลดิ้ง มูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงการในไทยและเวียดนาม
อีซีซี กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ประกาศทุ่มงบกว่า 3,100 ล้านบาท สร้าง โพรเมนาดา ศูนย์การค้าในเมืองเชียงใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ
โพรเมนาดา ศูนย์การค้าครบวงจรบนพื้นที่ 75, 000 ตารางเมตรตั้งอยู่บนถนนบ้านสหกรณ์ติดกับซูเปอร์ ไฮเวย์และถนนวงแหวนรอบ 2 ซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่และสามารถเดินทางได้สะดวก
และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่ ทางศูนย์จึงได้คัดสรร แบรนด์ชั้นนำของไทยและต่างประเทศทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารและกิจกรรมบันเทิงอันหลากหลาย ทั้งนี้ศูนย์การค้าโพรเมนาดา มีกำหนดเสร็จสิ้นการก่อสร้างและเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลังของปี พ.ศ.2554
งบลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท
อีซีซี กรุ๊ป ได้วางงบประมาณการลงทุนในโครงการนี้ไว้ถึง 3,100 ล้านบาท (88.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยคาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะทำให้เกิดการจ้างงานถึง 3,000 ตำแหน่งและในช่วงระหว่างการก่อสร้างซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งปีหลังของปีพ.ศ. 2552 จะทำให้เกิดการจ้างงานจากคนงานท้องถิ่นกว่าพันตำแหน่ง
สำหรับอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในเครือของอีซีซี กรุ๊ป ได้รับใบอนุญาตการลงทุนจากสถาบัน ส่งเสริมการลงทุน (ฺBOI) สำหรับการลงทุนโครงการ โพรเมนาดา เชียงใหม่ ทางบริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท VGF Design ในเชียงใหม่ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านคุณภาพสูง
ด้วยคอนเซ็ปท์ที่ว่า “เราให้คุณมากกว่าการช้อปปิ้ง” อีซีซี กรุ๊ป จึงมุ่งมั่นในการสร้างให้ โพรเมนาดา เป็นศูนย์รวมความทันสมัยและจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ของชาวเชียงใหม่และชาวเหนือรวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
สำหรับการโปรโมท โพรเมนาดาให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างนั้น อีซีซี กรุ๊ป มีแผนจัดงานแฟชั่นโชว์และคอนเสิร์ตอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตีพิมพ์นิตยสาร โพรเมนาดา นิตยสารรายสามเดือนที่รวบรวมข่าวสาร กิจกรรมใหม่ ๆ และโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้อัพเดทสินค้าและเทรนด์ใหม่ๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวเครดิตการ์ดของทางศูนย์และโครงการ Loyalty Program เพื่อดึงดูดใจลูกค้าด้วย
อีซีซี กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2534 ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าในยุโรป และจะนำความเชี่ยวชาญนี้มาพัฒนาโครงการในเอเชียถึงปัจจุบัน อีซีซี กรุ๊ป ใช้เงินลงทุนไปกว่า 12.25 พันล้านบาท (350 ล้านเหรียญสหรัฐ) สำหรับโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วในยุโรป ขณะนี้ อีซีซี กรุ๊ป กำลังใช้เงินลงทุนกว่า 17.5 พันล้านบาท (500 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ใน ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทยและเวียดนาม) แอฟริกาเหนือ (โมรอคโค) และตะวันออกกลาง (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
ในเวียดนาม อีซีซี กรุ๊ป ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท GuocoLand จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์การค้า “โพรเมนาดา @ คาแนรี่” ภายใต้คอนเซ็ปท์เดียวกับโพรเมนาดา เชียงใหม่ ตั้งอยู่ในย่านชานเมืองของกรุงโฮจิมินห์ มีพื้นที่ทั้งหมด 82,000 ตารางเมตร คาดว่าการก่อสร้างเฟสแรกจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 3 พ.ศ.2554 และการก่อสร้างในเฟสที่ 2 จะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4 พ.ศ. 2555 โดยจะเป็นโครงการศูนย์การค้าที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติแห่งแรกในเวียดนาม
ทั้งนี้ อีซีซี อินเวสท์ บริษัทที่ดูแลด้านการลงทุนของอีซีซี กรุ๊ป ซึ่งก่อตั้งในปีพ.ศ. 2550 ได้จัดตั้งอีซีซี รีเทล อินเวสท์เม้นท์ โฮลดิ้ง มูลค่าถึง 8.75 พันล้านบาท (250 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เกี่ยวกับ อีซีซี กรุ๊ป
อีซีซี กรุ๊ป เป็นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน โดยก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2534 อีซีซี กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและบริหารงานศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้แบรนด์ โพรเมนาดา และมีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 65 คน ซึ่งดูแลการดำเนินงานและปฏิบัติงานในทวีปยุโรปและเอเชียได้แก่ ประเทศโปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชค เวียดนามและไทย อีซีซี กรุ๊ปใช้เงินลงทุนกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว และได้เตรียมงบลงทุนกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับโครงการในอนาคต ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 อีซีซี กรุ๊ป เริ่มลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอีซีซี กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.eccrealestate.com
4827
news & activity / “เวิลด์เด็กซ์ฯ” ทุ่มงบฯ 20 ล. เปิด “Kids of the World 2009”
« on: March 14, 2009, 12:32:00 PM »
“เวิลด์เด็กซ์ฯ” ทุ่มงบฯ 20 ล.เปิดโลกแห่งการเล่น-เรียนรู้ เนรมิตงาน “Kids of the World 2009”
เวิลด์เด็กซ์ฯ ...เมินวิกฤติเศรษฐกิจ ผนึกองค์กรพันธมิตร และบริษัทชั้นนำของเมืองไทย เตรียมจัดงาน “Kids of the World 2009” สวนสนุกแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศ พร้อมเนรมิตรพื้นที่กว่า 13,500 ตารางเมตร ภายในอิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นดินแดนแห่งการ “เล่นและเรียนรู้” (Play & Learn) สำหรับเด็กสุดยิ่งใหญ่ในปลายปีนี้ ลั่นอัดงบ 20 ล้านบาท หวังดึงน้องๆ หนูๆ และผู้ปกครอง สัมผัสความหลากหลายของกิจกรรม อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะของเด็กและเยาวชนไทย
คุณนงลักษณ์ ภัทรสกุล ผู้จัดการโครงการ บริษัท เวิลด์เด็กซ์ จี.อี.ซี. จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากความสำเร็จในการจัดงาน Kids of the World 2008 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เวิลด์เด็กซ์ฯ ในฐานะบริษัทผู้จัดงานมีความตั้งใจที่จะจัดงาน Kids of the world 2009 อีกครั้ง เน้นการส่งเสริมความรู้เชิงสร้างสรรค์ และเสริมด้วยกิจกรรมการเล่นต่างๆ ที่สอดแทรกสาระที่จะเพิ่มจินตนาการอันเป็นประโยชน์สำหรับเยาวชนและผู้ปกครอง ให้มีความยิ่งใหญ่ตระกรานตามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 1-5 ตุลาคม 2552 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
“ในปีที่ผ่านมาถือว่าเราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบริษัทร่วมออกงานมากกว่า 250 ราย และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 450,000 คน สำหรับงาน Kids of the world 2009 นี้ เราจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าในปีที่ผ่านมา แต่ยังคงยึดแนวคิดเดิม คือ Play & Learn พร้อมด้วยการเนรมิตพื้นที่กว่า 13,500 ตารางเมตร ให้กลายเป็นโซนการเล่นและเรียนรู้ ให้เด็กและเยาวชนได้ค้นพบความสนใจเชิงทักษะในด้านต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ ดนตรี กีฬา เพื่อพัฒนาการที่สมวัย ทั้งด้านสติปัญญา ร่างกาย และอารมณ์”
สำหรับพื้นที่การจัดงาน ได้แบ่งออกเป็น 5 โซน คือ 1. Adventure World : การผจญภัยในโลกไดโนเสาร์ โดยผู้ร่วมชมงานจะได้ตื่นตาตื่นใจกับไดโนเสาร์จำลอง พร้อมโครงกระดูกไดโนเสาร์และฟอสซิล ของสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งบริษัทฯ ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมทรัพยากรธรณี 2. Toy City: เมืองของเล่นปลอดภัย พบกับของเล่นปลอดภัยไร้สารพิษ จากเหล่าแบรนด์ดังที่จะยกขบวนมาลดราคาภายในงาน รวมไปถึง playground zone สนามเด็กเล่นสำหรับน้องๆ เพื่อ
พัฒนาการที่สมวัย โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงวัย คือ 0-3 ปี / 4-9 ปี / และ 10-12 ปี 3. Talent World: โลกแห่งศิลปะ กลับมาอีกครั้งกับการปล่อยจินตนาการให้จับต้องได้ผ่านปลายพู่กันและสีสันอันหลากหลายไร้สารพิษ รวมทั้งกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงศิลป์อีกมากมาย 4. Contest Zone: ในปีนี้กำหนดจัดการแข่งขัน “KIDS OF THE WORLD 2009 CHEERLEADING JUNIOR CONTEST” ขึ้น โดยเป็นการแข่งขันระดับอนุบาล ชิงถ้วยรางวัลและทุนการศึกษา เพื่อเป็นโอกาสให้เด็กๆได้แสดงออกและสร้างความสามัคคี และ 5. Shopping Zone: เด็กและผู้ปกครองจะได้พบกับสินค้ามากกมาย ที่พร้อมใจกันจำหน่ายในราคาพิเศษ
“ปีนี้เราตั้งใจจะจัดให้ยิ่งใหญ่ และได้วางงบประมาณในการดำเนินงานและการประชาสัมพันธ์กว่า 20 ล้านบาท ผ่านสื่อทุกช่องทาง และหวังว่าตลอดทั้ง 5 วันของการจัดงาน Kids of the World 2009 จะเป็นโอกาสดี ที่ให้เด็กๆ และผู้ปกครอง ได้ใช้เวลาร่วมกันในช่วงปิดภาคเรียน ได้ร่วมสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมและสินค้าคุณภาพ รวมทั้งได้เรียนรู้และค้นพบความสนใจใหม่ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของเด็กและเยาวชนไทย” คุณนงลักษณ์ กล่าว
ด้าน คุณพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด หนึ่งในองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วมงานติดต่อกันเป็นปีที่ 2 เปิดเผยว่า บริษัทฯ รู้สึกยินดีที่จะเข้าร่วมงานอีกครั้ง เพราะงานดังกล่าวถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายของเมืองไทยประกันชีวิต ที่มอบความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวไทยตลอดมา
สำหรับไฮไลท์ของบูธ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด นั้น นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาการวางแผนอนาคตทางการเงินให้แก่ผู้ที่เข้าเยี่ยมชมงานแล้ว ยังมีการจัดพื้นที่กิจกรรมสร้างเสริมทักษะให้กับน้องๆ อาทิ การวาดภาพระบายสี, การเพ็นท์เล็บ นอกจากนี้ยังมีการจัดพื้นที่ Play zone เพื่อให้น้องๆ ได้สนุกสนานกับบ้านลูกบอลอีกด้วย
“นอกจากนี้ ภายในงานเมืองไทยประกันชีวิต ยังได้นำตัวการ์ตูนทั้ง 4 คาแร็กเตอร์อันแสนน่ารักของบริษัทฯ ได้แก่ พี่จิ้งจก พี่นกแสก พี่กะหร่อง และพี่ซูบซีด มาร่วมเดินโชว์ตัวในขบวนพาเหรด เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้สัมผัสความน่ารักของพวกเขาอย่างใกล้ชิด”
เวิลด์เด็กซ์ฯ ...เมินวิกฤติเศรษฐกิจ ผนึกองค์กรพันธมิตร และบริษัทชั้นนำของเมืองไทย เตรียมจัดงาน “Kids of the World 2009” สวนสนุกแห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศ พร้อมเนรมิตรพื้นที่กว่า 13,500 ตารางเมตร ภายในอิมแพ็ค เมืองทองธานี เป็นดินแดนแห่งการ “เล่นและเรียนรู้” (Play & Learn) สำหรับเด็กสุดยิ่งใหญ่ในปลายปีนี้ ลั่นอัดงบ 20 ล้านบาท หวังดึงน้องๆ หนูๆ และผู้ปกครอง สัมผัสความหลากหลายของกิจกรรม อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะของเด็กและเยาวชนไทย
คุณนงลักษณ์ ภัทรสกุล ผู้จัดการโครงการ บริษัท เวิลด์เด็กซ์ จี.อี.ซี. จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากความสำเร็จในการจัดงาน Kids of the World 2008 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เวิลด์เด็กซ์ฯ ในฐานะบริษัทผู้จัดงานมีความตั้งใจที่จะจัดงาน Kids of the world 2009 อีกครั้ง เน้นการส่งเสริมความรู้เชิงสร้างสรรค์ และเสริมด้วยกิจกรรมการเล่นต่างๆ ที่สอดแทรกสาระที่จะเพิ่มจินตนาการอันเป็นประโยชน์สำหรับเยาวชนและผู้ปกครอง ให้มีความยิ่งใหญ่ตระกรานตามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งได้กำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 1-5 ตุลาคม 2552 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี
“ในปีที่ผ่านมาถือว่าเราประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีบริษัทร่วมออกงานมากกว่า 250 ราย และมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 450,000 คน สำหรับงาน Kids of the world 2009 นี้ เราจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่กว่าในปีที่ผ่านมา แต่ยังคงยึดแนวคิดเดิม คือ Play & Learn พร้อมด้วยการเนรมิตพื้นที่กว่า 13,500 ตารางเมตร ให้กลายเป็นโซนการเล่นและเรียนรู้ ให้เด็กและเยาวชนได้ค้นพบความสนใจเชิงทักษะในด้านต่างๆ ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านศิลปะ ดนตรี กีฬา เพื่อพัฒนาการที่สมวัย ทั้งด้านสติปัญญา ร่างกาย และอารมณ์”
สำหรับพื้นที่การจัดงาน ได้แบ่งออกเป็น 5 โซน คือ 1. Adventure World : การผจญภัยในโลกไดโนเสาร์ โดยผู้ร่วมชมงานจะได้ตื่นตาตื่นใจกับไดโนเสาร์จำลอง พร้อมโครงกระดูกไดโนเสาร์และฟอสซิล ของสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ มากมาย ซึ่งบริษัทฯ ได้รับความอนุเคราะห์จากกรมทรัพยากรธรณี 2. Toy City: เมืองของเล่นปลอดภัย พบกับของเล่นปลอดภัยไร้สารพิษ จากเหล่าแบรนด์ดังที่จะยกขบวนมาลดราคาภายในงาน รวมไปถึง playground zone สนามเด็กเล่นสำหรับน้องๆ เพื่อ
พัฒนาการที่สมวัย โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงวัย คือ 0-3 ปี / 4-9 ปี / และ 10-12 ปี 3. Talent World: โลกแห่งศิลปะ กลับมาอีกครั้งกับการปล่อยจินตนาการให้จับต้องได้ผ่านปลายพู่กันและสีสันอันหลากหลายไร้สารพิษ รวมทั้งกิจกรรมสร้างสรรค์เชิงศิลป์อีกมากมาย 4. Contest Zone: ในปีนี้กำหนดจัดการแข่งขัน “KIDS OF THE WORLD 2009 CHEERLEADING JUNIOR CONTEST” ขึ้น โดยเป็นการแข่งขันระดับอนุบาล ชิงถ้วยรางวัลและทุนการศึกษา เพื่อเป็นโอกาสให้เด็กๆได้แสดงออกและสร้างความสามัคคี และ 5. Shopping Zone: เด็กและผู้ปกครองจะได้พบกับสินค้ามากกมาย ที่พร้อมใจกันจำหน่ายในราคาพิเศษ
“ปีนี้เราตั้งใจจะจัดให้ยิ่งใหญ่ และได้วางงบประมาณในการดำเนินงานและการประชาสัมพันธ์กว่า 20 ล้านบาท ผ่านสื่อทุกช่องทาง และหวังว่าตลอดทั้ง 5 วันของการจัดงาน Kids of the World 2009 จะเป็นโอกาสดี ที่ให้เด็กๆ และผู้ปกครอง ได้ใช้เวลาร่วมกันในช่วงปิดภาคเรียน ได้ร่วมสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมและสินค้าคุณภาพ รวมทั้งได้เรียนรู้และค้นพบความสนใจใหม่ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของเด็กและเยาวชนไทย” คุณนงลักษณ์ กล่าว
ด้าน คุณพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด หนึ่งในองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วมงานติดต่อกันเป็นปีที่ 2 เปิดเผยว่า บริษัทฯ รู้สึกยินดีที่จะเข้าร่วมงานอีกครั้ง เพราะงานดังกล่าวถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายของเมืองไทยประกันชีวิต ที่มอบความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวไทยตลอดมา
สำหรับไฮไลท์ของบูธ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด นั้น นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาการวางแผนอนาคตทางการเงินให้แก่ผู้ที่เข้าเยี่ยมชมงานแล้ว ยังมีการจัดพื้นที่กิจกรรมสร้างเสริมทักษะให้กับน้องๆ อาทิ การวาดภาพระบายสี, การเพ็นท์เล็บ นอกจากนี้ยังมีการจัดพื้นที่ Play zone เพื่อให้น้องๆ ได้สนุกสนานกับบ้านลูกบอลอีกด้วย
“นอกจากนี้ ภายในงานเมืองไทยประกันชีวิต ยังได้นำตัวการ์ตูนทั้ง 4 คาแร็กเตอร์อันแสนน่ารักของบริษัทฯ ได้แก่ พี่จิ้งจก พี่นกแสก พี่กะหร่อง และพี่ซูบซีด มาร่วมเดินโชว์ตัวในขบวนพาเหรด เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้สัมผัสความน่ารักของพวกเขาอย่างใกล้ชิด”
4828
news & activity / ข้อแนะนำสำหรับการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในโลกไร้พรมแดน
« on: March 14, 2009, 12:29:48 PM »
ข้อแนะนำสำหรับการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในโลกไร้พรมแดน
นับตั้งแต่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น ซึ่งได้ทำลายกำแพงและอุปสรรคทางด้านเวลาและระยะทางในการติดต่อสื่อสารกันแล้ว อินเทอร์เน็ตยังเอื้อประโยชน์ให้การทำงานร่วมกันสามารถทำได้อย่างไร้ขีดจำกัดอีกด้วย ในปัจจุบัน เครื่องมือต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อีเมล อินสแตนท์ เมสเสจจิ้ง การสร้างห้องสนทนาเฉพาะกลุ่ม การประชุมออนไลน์ หรือการสร้างคลังข้อมูลออนไลน์เพื่อใช้อ้างอิง (วิกิ wiki) ถือเป็นเครื่องมือที่รู้จักกันดีและใช้กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีการพัฒนาต่อเนื่องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับเครื่องมือต่าง ๆ ดีเพียงใดก็ตาม เราก็ควรรู้จักวิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ไอบีเอ็ม ขอเสนอข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ 7 ประการ เพื่อสนับสนุนให้การทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
1. เลือกใช้สื่อให้เหมาะกับเนื้อหา ก่อนที่จะเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพอร์ทัล วิกิ อินสแตนท์ เมสเสจจิ้ง หรือแม้กระทั่งการใช้โลกเสมือน เช่น เซคั่น ไลฟ์ (Second Life) เป็นต้น ควรพิจารณาเนื้อหานั้น ๆ ก่อนว่าควรจะใช้วิธีการสื่อสารหรือใช้ผ่านเครื่องมือแบบใดจึงจะเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเนื้อหาแต่ละประเภทอาจเหมาะกับรูปแบบหรือวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกัน
2. สถานะ “กำลังออนไลน์อยู่” (Present) ไม่ได้หมายความว่า “ว่าง” ปัจจุบันในโปรแกรมอินสแตนท์ แมสเสจจิ้ง มักจะมีการแสดงสถานะของผู้ใช้ เช่น กำลังออนไลน์อยู่ ไม่ว่าง หรือ พักทานข้าว เป็นต้น แต่ในแง่ของการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ เรามักจะต้องพิจารณาก่อนเริ่มส่งข้อความให้คู่สนทนาว่า การส่งข้อความของเรานั้นจะรบกวนคู่สนทนาหรือไม่ วิธีที่พึงกระทำก่อนอื่นใดก็คือ คุณควรจะเกริ่นถามคู่สนทนาก่อนว่า เขาหรือเธอสะดวกที่จะพูดคุยกับคุณในตอนนั้นหรือไม่ ก่อนจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
3. ยึดหลักแห่งความเรียบง่ายในการสื่อสารหรือทำงานร่วมกัน หลักที่ควรยึดถือปฏิบัติข้อหนึ่งก็คือ การทำงานในวิธีการหรือรูปแบบใดก็ตาม ต้องเอื้อประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพ โดยไม่เพิ่มภาระหรือทำให้งานนั้น ๆ เกิดความซับซ้อนมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างหนึ่งที่อาจหยิบยกมาแสดงเพื่อให้เห็นภาพก็คือ การใช้บอร์ดสนทนาในการทำงานซึ่งอาจใช้ในโครงการที่มีผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเพื่อให้การสื่อสารหรือทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น ผู้เกี่ยวข้องในงานดังกล่าวอาจเลือกวิธีการสนทนาแบบกลุ่มย่อยแทนในบางสถานะ เพื่อให้งานบางอย่างสำเร็จลุล่วงเร็วขึ้นหรือเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น เป็นต้น
4. คำนึงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม เฉกเช่นเดียวกับการไปเยือนประเทศหรือชุมชนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา คุณควรคำนึงถึงข้อพึงปฏิบัติทางด้านวัฒนธรรมและมารยาทที่เหมาะสมในวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น การใช้ข้อความโต้ตอบแบบทันทีผ่านโปรแกรมอินสแตนท์ แมสเสจจิ้งอาจไม่ใช่เครื่องมือที่นิยมใช้หรือเหมาะสมในบางประเทศ หรือแม้กระทั่งตัวย่อที่ใช้ในวัฒนธรรมหนึ่งก็อาจแตกต่างกันในเชิงความหมายกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เป็นต้น
5. ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในเชิงสร้างสรรค์ให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน การทำงานร่วมกันอาจเป็นหนทางหนี่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการพบปะกันแบบตัวต่อตัวอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่การใช้เครื่องมือเช่น โปรแกรมส่งข้อความวิดีโอโต้ตอบแบบทันทีก็อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการประชุมร่วมกันโดยตรง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางโดยไม่จำเป็น
6. เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการดูแลให้คำแนะนำระหว่างเพื่อนร่วมงาน การใช้เครื่องมือที่รู้จักกันดีสำหรับเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้ง เช่น บล็อก แท็ก และชุมชนเสมือน อาจช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องหรือช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการและสนับสนุนทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เครื่องมือเหล่านี้ยังช่วยเสริมบรรยากาศของการทำงาน และเป็นประโยชน์โดยตรงโดยเฉพาะกับพนักงานใหม่ซึ่งอาจเข้าร่วมสังเกตการณ์ในการสนทนา หรือใช้ชุมชนของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องเพื่อหาความรู้เฉพาะทางหรือสิ่งที่ตัวเองสนใจ เป็นต้น
7. มาตรฐานแบบเปิดช่วยขยายขอบเขตของการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับเป้าหมายของชุมชนโอเพ่นซอร์ส (Open Source) ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้ เผยแพร่ และปรับปรุงโค้ดซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ การใช้มาตรฐานเปิดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่รองรับการพัฒนาร่วมกันก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานในชุมชนนั้น ๆ ได้ช่วยเหลือกันในการปรับปรุงประสบการณ์การทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยเทคนิคและข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ คาดว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในโลกไร้พรมแดนและปราศจากข้อจำกัดด้านเวลาในปัจจุบัน
นับตั้งแต่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น ซึ่งได้ทำลายกำแพงและอุปสรรคทางด้านเวลาและระยะทางในการติดต่อสื่อสารกันแล้ว อินเทอร์เน็ตยังเอื้อประโยชน์ให้การทำงานร่วมกันสามารถทำได้อย่างไร้ขีดจำกัดอีกด้วย ในปัจจุบัน เครื่องมือต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น อีเมล อินสแตนท์ เมสเสจจิ้ง การสร้างห้องสนทนาเฉพาะกลุ่ม การประชุมออนไลน์ หรือการสร้างคลังข้อมูลออนไลน์เพื่อใช้อ้างอิง (วิกิ wiki) ถือเป็นเครื่องมือที่รู้จักกันดีและใช้กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีการพัฒนาต่อเนื่องอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะคุ้นเคยกับเครื่องมือต่าง ๆ ดีเพียงใดก็ตาม เราก็ควรรู้จักวิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ไอบีเอ็ม ขอเสนอข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ 7 ประการ เพื่อสนับสนุนให้การทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
1. เลือกใช้สื่อให้เหมาะกับเนื้อหา ก่อนที่จะเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพอร์ทัล วิกิ อินสแตนท์ เมสเสจจิ้ง หรือแม้กระทั่งการใช้โลกเสมือน เช่น เซคั่น ไลฟ์ (Second Life) เป็นต้น ควรพิจารณาเนื้อหานั้น ๆ ก่อนว่าควรจะใช้วิธีการสื่อสารหรือใช้ผ่านเครื่องมือแบบใดจึงจะเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเนื้อหาแต่ละประเภทอาจเหมาะกับรูปแบบหรือวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกัน
2. สถานะ “กำลังออนไลน์อยู่” (Present) ไม่ได้หมายความว่า “ว่าง” ปัจจุบันในโปรแกรมอินสแตนท์ แมสเสจจิ้ง มักจะมีการแสดงสถานะของผู้ใช้ เช่น กำลังออนไลน์อยู่ ไม่ว่าง หรือ พักทานข้าว เป็นต้น แต่ในแง่ของการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ เรามักจะต้องพิจารณาก่อนเริ่มส่งข้อความให้คู่สนทนาว่า การส่งข้อความของเรานั้นจะรบกวนคู่สนทนาหรือไม่ วิธีที่พึงกระทำก่อนอื่นใดก็คือ คุณควรจะเกริ่นถามคู่สนทนาก่อนว่า เขาหรือเธอสะดวกที่จะพูดคุยกับคุณในตอนนั้นหรือไม่ ก่อนจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
3. ยึดหลักแห่งความเรียบง่ายในการสื่อสารหรือทำงานร่วมกัน หลักที่ควรยึดถือปฏิบัติข้อหนึ่งก็คือ การทำงานในวิธีการหรือรูปแบบใดก็ตาม ต้องเอื้อประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพ โดยไม่เพิ่มภาระหรือทำให้งานนั้น ๆ เกิดความซับซ้อนมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างหนึ่งที่อาจหยิบยกมาแสดงเพื่อให้เห็นภาพก็คือ การใช้บอร์ดสนทนาในการทำงานซึ่งอาจใช้ในโครงการที่มีผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเพื่อให้การสื่อสารหรือทำงานร่วมกันเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น ผู้เกี่ยวข้องในงานดังกล่าวอาจเลือกวิธีการสนทนาแบบกลุ่มย่อยแทนในบางสถานะ เพื่อให้งานบางอย่างสำเร็จลุล่วงเร็วขึ้นหรือเกิดประสิทธิภาพดีขึ้น เป็นต้น
4. คำนึงถึงความอ่อนไหวทางวัฒนธรรม เฉกเช่นเดียวกับการไปเยือนประเทศหรือชุมชนที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา คุณควรคำนึงถึงข้อพึงปฏิบัติทางด้านวัฒนธรรมและมารยาทที่เหมาะสมในวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น การใช้ข้อความโต้ตอบแบบทันทีผ่านโปรแกรมอินสแตนท์ แมสเสจจิ้งอาจไม่ใช่เครื่องมือที่นิยมใช้หรือเหมาะสมในบางประเทศ หรือแม้กระทั่งตัวย่อที่ใช้ในวัฒนธรรมหนึ่งก็อาจแตกต่างกันในเชิงความหมายกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เป็นต้น
5. ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในเชิงสร้างสรรค์ให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกัน การทำงานร่วมกันอาจเป็นหนทางหนี่งในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการพบปะกันแบบตัวต่อตัวอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่การใช้เครื่องมือเช่น โปรแกรมส่งข้อความวิดีโอโต้ตอบแบบทันทีก็อาจมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการประชุมร่วมกันโดยตรง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางโดยไม่จำเป็น
6. เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมการดูแลให้คำแนะนำระหว่างเพื่อนร่วมงาน การใช้เครื่องมือที่รู้จักกันดีสำหรับเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์คกิ้ง เช่น บล็อก แท็ก และชุมชนเสมือน อาจช่วยเพิ่มความสะดวกในการติดต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องหรือช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการและสนับสนุนทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ นอกจากประโยชน์ดังกล่าวแล้ว เครื่องมือเหล่านี้ยังช่วยเสริมบรรยากาศของการทำงาน และเป็นประโยชน์โดยตรงโดยเฉพาะกับพนักงานใหม่ซึ่งอาจเข้าร่วมสังเกตการณ์ในการสนทนา หรือใช้ชุมชนของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องเพื่อหาความรู้เฉพาะทางหรือสิ่งที่ตัวเองสนใจ เป็นต้น
7. มาตรฐานแบบเปิดช่วยขยายขอบเขตของการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับเป้าหมายของชุมชนโอเพ่นซอร์ส (Open Source) ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถใช้ เผยแพร่ และปรับปรุงโค้ดซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ การใช้มาตรฐานเปิดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่รองรับการพัฒนาร่วมกันก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานในชุมชนนั้น ๆ ได้ช่วยเหลือกันในการปรับปรุงประสบการณ์การทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น
ด้วยเทคนิคและข้อแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ คาดว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในโลกไร้พรมแดนและปราศจากข้อจำกัดด้านเวลาในปัจจุบัน
4829
news & activity / ชีวาทัย รุกตลาดไฮเอ็นด์เปิดม่านคอนโดฯ “เดอะ สุรวงศ์” สร้างสีสันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
« on: March 13, 2009, 11:42:49 AM »
ชีวาทัย รุกตลาดไฮเอ็นด์เปิดม่านคอนโดฯ “เดอะ สุรวงศ์” สร้างสีสันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนถนนสุรวงศ์
“ชีวาทัย” ผนึกความร่วมมือพันธมิตรสิงคโปร์ “ฮัพ ซูน โกลบอล” เปิดตัว บริษัท ชีวาทัย ฮัพ ซูน จำกัด พร้อมโครงการ “เดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพ ซูน ” โครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์?โลไรซ์ 8 ชั้น 52 ยูนิต โครงการใหม่ที่มาพร้อมแนวคิด “Redefining City Lifestyle” หวังเจาะกลุ่มเศรษฐีเมืองไทยและนักลงทุน โดยชีวาทัยคาด สามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปี 2552 หลังฟันยอดจองก่อนเปิดตัวไปกว่า 10% โดยงานแถลงข่าวเปิดตัวได้จัดขึ้น ในวันที่ 11 มีนาคม 2552 ณ? ห้อง พิมานแมน โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ
บริษัท ชีวาทัย จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์?ที่เปิดตัวบริษัทฯ พร้อมโครงการ “ชีวาทัย ราชปรารภ” โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านราชปรารภ พร้อมรุกหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อเจาะกลุ่มตลาดบน และนักลงทุนโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เดอะ สุรวงศ์” ที่ร่วมทุนกับ บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์?เวิกส์ สยาม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ฮัพ ซูน โกลบอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลัก ทรัพย์สิงคโปร์ใน สัดส่วนการลงทุน 50/50 กับ เม็ดเงินลงทุนกว่า 350 ล้านบาท
หลังจากการเล็งเห็นศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากทำเลที่ตั้งของบริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์?เวิกส์ (สยาม) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลทองบนถนนสุรวงศ์ ท่ามกลางแหล่งธุรกิจ สถานศึกษา โรงพยาบาล และการเดินทาง และประสบการณ์ในการบริหารการก่อสร้างและการขายโครงการ ของบริษัทชีวาทัย จำกัด สู่การเริ่มโครงการ เดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพซูน โดยพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารที่เข้มแข็งของทั้งสองฝ่าย เพิ่มความเชื่อมั่น ให้ลูกค้าทั้งในสิงคโปร์และประเทศไทย
เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวทั่วโลก ชีวาทัยมองว่าเป็นโอกาสอันดีของบริษัทฯ? ที่จะสามารถลงทุนได้ อย่างคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากค่าวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างตลอดจนที่ดินที่มีราคาต่ำลงถึง 10-15% จึงทำให้ต้นทุนมีมูลค่าต่ำลง อีกทั้งในแง่ของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มตลาดระดับ A-A+ และนักลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติที่มีเงินออมค่อนข้างสูง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ถือว่าเป็น การลงทุนที่มีโอกาสการผันผวนของราคาต่ำ
โดยการเปิดตัวของโครงการ “เดอะ สุรวงศ์” จะมีกำหนดเปิดตัวอีกครั้งในวันที่ 27-29 มีนาคม 2551 ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติกับบริษัทร่วมทุน และเป็นการเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าชาวสิงคโปร์ซึ่งถือว่าเป็น Potential Client ที่มีพฤติกรรมการซื้ออสังหาริมทรัพย์?ในต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่มนักลงทุนชาวสิงคโปร์?ในปัจจุบันมีแนวโน้ม การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในต่างประเทศมากขึ้น? นาย บุญ ชุน เกียรติ กรรมการบริษัทชีวาทัย ชาวสิงคโปร์?กล่าว
สำหรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ในฐานะนักลงทุนสิงคโปร์ มองว่า การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ยังมีความน่าสนใจอยู่มาก ทั้งในด้านนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อ อัตราดอกเบี้ย ประกอบกับในมุมมอง สำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเปรียบเทียบราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย ยังถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่มาก ทั้งในด้านของราคา คุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบสาธารณูปโภค ค่าครองชีพ ธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งล้วนส่งผลให้โครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สุรวงศ์” ในส่วนของโควตาชาวต่างชาติจะหมดไปอย่างรวดเร็ว มร. เฮนรี่ เฮง กรรมการบริหาร บริษัท ยูไนเต็ดมอเตอร์เวิกส์ (สยาม) จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม
โครงการ “เดอะ สุรวงศ์” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์?ขนาด 8 ชั้น ที่ตั้งอยู่บนถนนสุรวงศ์ โดยพื้นที่ โครงการ 240 ตารางวา กับรูปแบบการก่อสร้าง ในสไตล์? Modern Contemporary จำนวน 52 ยูนิต ขนาดห้องตั้งแต่ 40 – 79 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ ตารางเมตรละ 120,000 บาท หรือ 4.3 -10 ล้านบาทต่อยูนิต โดยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นในคอนเซปต์ “Redefining City Lifestyle” โดยแบ่งเป็นห้องประเภท A-G
ประเภทห้อง A ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 40.28 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง B ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 45.26 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง C ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 46.72 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต ประเภทห้อง D ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 53.41 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง E ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 65.14 ตารางเมตร จำนวน 1 ยูนิต ประเภทห้อง F ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 69.78 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต ประเภทห้อง G ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 74.03 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต ประเภทห้อง G1 ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 79.43 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต โดยทุกห้องประเภทนั้นมาพร้อมกับโปรโมชั่น Fully Furnished
โครงการ “เดอะ สุรวงศ์” ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสุดเอ็กคลูซีฟ อาทิ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ให้ความมั่นใจด้วยระบบป้องกันความปลอดภัยสูงสุด โดยความลงตัวทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ บนถนนสุรวงศ์?ที่แวดล้อมด้วยย่านเศรษฐกิจ ย่านความบันเทิงและย่านการศึกษาหลักของประเทศไทย อาทิ ห้างเซ็นทรัล พัฒน์พงษ์ เซ็นทรัลเวิร์ล สยามสแควร์ มาบุญครอง ฯลฯ โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ สถานศึกษาชั้นนำของประเทศ และยังเดินทาง ไปมาอย่างสะดวกสบายหลากหลายวิธี อาทิ ทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที
ด้วยจุดเด่นของโครงการเดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพ ซูน ทั้งทำเลที่ตั้ง การออกแบบ และการจำกัดจำนวนห้องเพียง 52 ยูนิต เพื่อความส่วนตัวและสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ไม่เพียงความประทับใจเมื่อแรกเห็นในรูปลักษณ์?ภายนอกเท่านั้น ภายในยังตกแต่งอย่างทัยสมัย และยัง มอบโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์ครบชุดพร้อมเข้าอยู่ในทุกยูนิต นับว่าเป็นโครงการที่
คุ้มค่าในการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโครงการ “ ชีวาทัย ราชปรารภ ” ที่มียอดจองอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มั่นใจได้ว่า “เดอะ สุรวงศ์” จะได้รับตอบรับจาก ลูกค้าหลังจากการ เปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ
โดยท่านสามารถเยี่ยมชมโครงการ “เดอะ สุรวงศ์” พร้อมห้องตัวอย่างได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ? สำนักงานขาย “เดอะ สุรวงศ์ แกลลอรี่” บน?ถนนสุรวงศ์ กรุงเทพฯ? โทรศัพท์ 02-679-8870 หรือที่ www.chewathai.com
“ชีวาทัย” ผนึกความร่วมมือพันธมิตรสิงคโปร์ “ฮัพ ซูน โกลบอล” เปิดตัว บริษัท ชีวาทัย ฮัพ ซูน จำกัด พร้อมโครงการ “เดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพ ซูน ” โครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์?โลไรซ์ 8 ชั้น 52 ยูนิต โครงการใหม่ที่มาพร้อมแนวคิด “Redefining City Lifestyle” หวังเจาะกลุ่มเศรษฐีเมืองไทยและนักลงทุน โดยชีวาทัยคาด สามารถปิดการขายได้ภายในสิ้นปี 2552 หลังฟันยอดจองก่อนเปิดตัวไปกว่า 10% โดยงานแถลงข่าวเปิดตัวได้จัดขึ้น ในวันที่ 11 มีนาคม 2552 ณ? ห้อง พิมานแมน โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ
บริษัท ชีวาทัย จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์?ที่เปิดตัวบริษัทฯ พร้อมโครงการ “ชีวาทัย ราชปรารภ” โครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านราชปรารภ พร้อมรุกหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อเจาะกลุ่มตลาดบน และนักลงทุนโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เดอะ สุรวงศ์” ที่ร่วมทุนกับ บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์?เวิกส์ สยาม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ฮัพ ซูน โกลบอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลัก ทรัพย์สิงคโปร์ใน สัดส่วนการลงทุน 50/50 กับ เม็ดเงินลงทุนกว่า 350 ล้านบาท
หลังจากการเล็งเห็นศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จากทำเลที่ตั้งของบริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์?เวิกส์ (สยาม) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลทองบนถนนสุรวงศ์ ท่ามกลางแหล่งธุรกิจ สถานศึกษา โรงพยาบาล และการเดินทาง และประสบการณ์ในการบริหารการก่อสร้างและการขายโครงการ ของบริษัทชีวาทัย จำกัด สู่การเริ่มโครงการ เดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพซูน โดยพื้นฐานทางการเงินที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารที่เข้มแข็งของทั้งสองฝ่าย เพิ่มความเชื่อมั่น ให้ลูกค้าทั้งในสิงคโปร์และประเทศไทย
เมื่อพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวทั่วโลก ชีวาทัยมองว่าเป็นโอกาสอันดีของบริษัทฯ? ที่จะสามารถลงทุนได้ อย่างคล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากค่าวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างตลอดจนที่ดินที่มีราคาต่ำลงถึง 10-15% จึงทำให้ต้นทุนมีมูลค่าต่ำลง อีกทั้งในแง่ของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มตลาดระดับ A-A+ และนักลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติที่มีเงินออมค่อนข้างสูง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ถือว่าเป็น การลงทุนที่มีโอกาสการผันผวนของราคาต่ำ
โดยการเปิดตัวของโครงการ “เดอะ สุรวงศ์” จะมีกำหนดเปิดตัวอีกครั้งในวันที่ 27-29 มีนาคม 2551 ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นการให้เกียรติกับบริษัทร่วมทุน และเป็นการเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าชาวสิงคโปร์ซึ่งถือว่าเป็น Potential Client ที่มีพฤติกรรมการซื้ออสังหาริมทรัพย์?ในต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่มนักลงทุนชาวสิงคโปร์?ในปัจจุบันมีแนวโน้ม การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในต่างประเทศมากขึ้น? นาย บุญ ชุน เกียรติ กรรมการบริษัทชีวาทัย ชาวสิงคโปร์?กล่าว
สำหรับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก ในฐานะนักลงทุนสิงคโปร์ มองว่า การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ยังมีความน่าสนใจอยู่มาก ทั้งในด้านนโยบายของรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ซื้อ อัตราดอกเบี้ย ประกอบกับในมุมมอง สำหรับชาวต่างชาติ เมื่อเปรียบเทียบราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ ในประเทศไทย ยังถือว่ามีความคุ้มค่าอยู่มาก ทั้งในด้านของราคา คุณภาพของวัสดุอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ระบบสาธารณูปโภค ค่าครองชีพ ธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ ซึ่งล้วนส่งผลให้โครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สุรวงศ์” ในส่วนของโควตาชาวต่างชาติจะหมดไปอย่างรวดเร็ว มร. เฮนรี่ เฮง กรรมการบริหาร บริษัท ยูไนเต็ดมอเตอร์เวิกส์ (สยาม) จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริม
โครงการ “เดอะ สุรวงศ์” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์?ขนาด 8 ชั้น ที่ตั้งอยู่บนถนนสุรวงศ์ โดยพื้นที่ โครงการ 240 ตารางวา กับรูปแบบการก่อสร้าง ในสไตล์? Modern Contemporary จำนวน 52 ยูนิต ขนาดห้องตั้งแต่ 40 – 79 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ ตารางเมตรละ 120,000 บาท หรือ 4.3 -10 ล้านบาทต่อยูนิต โดยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นในคอนเซปต์ “Redefining City Lifestyle” โดยแบ่งเป็นห้องประเภท A-G
ประเภทห้อง A ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 40.28 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง B ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 45.26 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง C ประกอบไปด้วย 1 ห้องนอน ขนาด 46.72 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต ประเภทห้อง D ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 53.41 ตารางเมตร จำนวน 7 ยูนิต ประเภทห้อง E ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 65.14 ตารางเมตร จำนวน 1 ยูนิต ประเภทห้อง F ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 69.78 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต ประเภทห้อง G ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 74.03 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต ประเภทห้อง G1 ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน ขนาด 79.43 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต โดยทุกห้องประเภทนั้นมาพร้อมกับโปรโมชั่น Fully Furnished
โครงการ “เดอะ สุรวงศ์” ยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสุดเอ็กคลูซีฟ อาทิ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ ให้ความมั่นใจด้วยระบบป้องกันความปลอดภัยสูงสุด โดยความลงตัวทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ บนถนนสุรวงศ์?ที่แวดล้อมด้วยย่านเศรษฐกิจ ย่านความบันเทิงและย่านการศึกษาหลักของประเทศไทย อาทิ ห้างเซ็นทรัล พัฒน์พงษ์ เซ็นทรัลเวิร์ล สยามสแควร์ มาบุญครอง ฯลฯ โรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ สถานศึกษาชั้นนำของประเทศ และยังเดินทาง ไปมาอย่างสะดวกสบายหลากหลายวิธี อาทิ ทางด่วน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที
ด้วยจุดเด่นของโครงการเดอะ สุรวงศ์ บาย ชีวาทัย ฮัพ ซูน ทั้งทำเลที่ตั้ง การออกแบบ และการจำกัดจำนวนห้องเพียง 52 ยูนิต เพื่อความส่วนตัวและสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ไม่เพียงความประทับใจเมื่อแรกเห็นในรูปลักษณ์?ภายนอกเท่านั้น ภายในยังตกแต่งอย่างทัยสมัย และยัง มอบโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์ครบชุดพร้อมเข้าอยู่ในทุกยูนิต นับว่าเป็นโครงการที่
คุ้มค่าในการลงทุนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโครงการ “ ชีวาทัย ราชปรารภ ” ที่มียอดจองอย่างรวดเร็ว จึงทำให้มั่นใจได้ว่า “เดอะ สุรวงศ์” จะได้รับตอบรับจาก ลูกค้าหลังจากการ เปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ
โดยท่านสามารถเยี่ยมชมโครงการ “เดอะ สุรวงศ์” พร้อมห้องตัวอย่างได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ? สำนักงานขาย “เดอะ สุรวงศ์ แกลลอรี่” บน?ถนนสุรวงศ์ กรุงเทพฯ? โทรศัพท์ 02-679-8870 หรือที่ www.chewathai.com
4830
news & activity / ศธ.เปิดศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย”
« on: March 12, 2009, 11:22:49 AM »
ศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” ตามโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศึกษา ให้มีรายได้ระหว่างเรียนของ ศธ. ปี ๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน
รมว.ศธ. กล่าวว่า การดำเนินงานเปิดศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง ศธ. กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียนนักศึกษา ให้มีรายได้ในช่วงปิดภาคเรียนของปี ๒๕๕๒ ตามที่รัฐบาลนโยบายสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา ๑๕ ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นับเป็นการช่วยลดภาระให้กับผู้ปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้หลายครอบครัวประสบกับสภาวะยากลำบากในการดำรงชีวิต
ดังนั้น การจัดและส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้มีประสบการณ์ระหว่างเรียน โดยการหารายได้จากการทำงานระหว่างปิดภาคเรียน ในขณะเดียวกัน เป็นการฝึกให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เห็นคุณค่าของการทำงาน ทำให้เกิดการประหยัด อดออม ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดี และสร้างคุณลักษณะที่น่าชื่นชม
นอกจากนี้ ยังได้รับทราบว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีโครงการส่งเสริมการอ่านและการรู้หนังสืออย่างหลากหลาย ซึ่งนับเป็นการสนองนโยบายของ ศธ. ที่กำลังจะดำเนินการจัดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติต่อไป กิจกรรมนี้จึงนับเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
รมว.ศธ.กล่าวขอบคุณหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยสานฝันเด็กไทยให้มีอนาคตที่ก้าวไกลจากประสบการณ์เรียนรู้งานในครั้งนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนที่มาร่วมงาน ร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยความสนุกสนาน มีความพยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ที่ดีต่อตนเอง นำไปสู่ทางเลือกในการประกอบวิชาชีพในอนาคตต่อไป
วัตถุประสงค์การดำเนินงาน เพื่อเปิดโครงการและศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” และรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เข้าทำงาน เพื่อหารายได้ในช่วงปิดภาคเรียนในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ได้รับความรู้ ประสบการณ์ มีโลกทัศน์และโอกาสการเลือกและตัดสินใจทางอาชีพ ที่สามารถพัฒนาสู่อาชีพที่ยั่งยืนในอนาคต และเพื่อให้นักเรียน นักศึกษา เกิดการเรียนรู้ เกิดทักษะในการทำงาน รวมทั้งงานส่งเสริมการอ่านที่สามารถเป็นแกนนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กิจกรรมพี่สอนหนังสือน้อง กิจกรรมการสอนผู้ไม่รู้หนังสือ สอนหรืออ่านหนังสือให้แก่ผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการ กิจกรรมการทำข้อมูลเชื่อมโยงความรู้ ห้องสมุดโรงเรียนกับห้องสมุดประชาชน
วิธีการดำเนินการ
ส่วนกลาง มีการเปิดศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” ซึ่งเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ ๓-๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร รับสมัครงานทั้งภาครัฐและเอกชน ภาครัฐประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอื้อเฟื้อสถานที่จัดงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี สพฐ. กศน. และ สช. ตลอดจนภาคเอกชนมาร่วมออกบูธรับนำเรียน/นักศึกษาเข้าทำงาน จำนวน ๑๘ บริษัท ซึ่งจะรับนักเรียน นักศึกษาเข้าทำงานและร่วมจัดกิจกรรมร้านค้าในงานนี้ด้วย นอกจากนั้นจะมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ในการทำงาน จัดกิจกรรมทดสอบความถนัด ฝึกทักษะอาชีพ กิจกรรมเสวนาความรู้ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ กิจกรรมการทำงาน เพื่อการรักการอ่าน
ส่วนภูมิภาค จะมีการรับนักเรียน/นักศึกษา เข้าทำงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐจะให้ กศน. อำเภอ จำนวน ๘๗๐ อำเภอ เป็นหน่วยขับเคลื่อนในลักษณะการจ้างงานแบบบูรณาการ เพื่อให้ห้องสมุดประจำอำเภอ และสถานศึกษาในอำเภอรับนักเรียนเข้าทำงาน ในวันที่ ๑๖-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒ นอกจากนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตทั่วประเทศ ร่วมดำเนินการจ้างงานด้วย
ลักษณะงานที่ทำ งานภาครัฐจะเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ โครงสร้างพื้นฐาน ผลิตสื่อ กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ และการรักการอ่าน ภาคเอกชน งานกิจการร้านค้า ประชาสัมพันธ์ หรือพนักงานเก็บเงิน คาดว่าในปีนี้ ทั้งประเทศจะสามารถจ้างงานนักเรียน/นักศึกษา ได้ถึง ๕๐,๐๐๐ คน จำแนกเป็น ภาครัฐ จำนวน ๒๐,๐๐๐ คน และภาคเอกชน จำนวน ๓๐,๐๐๐ คน
รมว.ศธ. กล่าวว่า การดำเนินงานเปิดศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่าง ศธ. กระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียนนักศึกษา ให้มีรายได้ในช่วงปิดภาคเรียนของปี ๒๕๕๒ ตามที่รัฐบาลนโยบายสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา ๑๕ ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นับเป็นการช่วยลดภาระให้กับผู้ปกครอง ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้หลายครอบครัวประสบกับสภาวะยากลำบากในการดำรงชีวิต
ดังนั้น การจัดและส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้มีประสบการณ์ระหว่างเรียน โดยการหารายได้จากการทำงานระหว่างปิดภาคเรียน ในขณะเดียวกัน เป็นการฝึกให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เห็นคุณค่าของการทำงาน ทำให้เกิดการประหยัด อดออม ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดี และสร้างคุณลักษณะที่น่าชื่นชม
นอกจากนี้ ยังได้รับทราบว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ มีโครงการส่งเสริมการอ่านและการรู้หนังสืออย่างหลากหลาย ซึ่งนับเป็นการสนองนโยบายของ ศธ. ที่กำลังจะดำเนินการจัดให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติต่อไป กิจกรรมนี้จึงนับเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
รมว.ศธ.กล่าวขอบคุณหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยสานฝันเด็กไทยให้มีอนาคตที่ก้าวไกลจากประสบการณ์เรียนรู้งานในครั้งนี้ ขอให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนที่มาร่วมงาน ร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วยความสนุกสนาน มีความพยายามเรียนรู้ด้วยตนเอง เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือ และเป็นการเปิดโลกทัศน์ที่ดีต่อตนเอง นำไปสู่ทางเลือกในการประกอบวิชาชีพในอนาคตต่อไป
วัตถุประสงค์การดำเนินงาน เพื่อเปิดโครงการและศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” และรับสมัครนักเรียน นักศึกษา เข้าทำงาน เพื่อหารายได้ในช่วงปิดภาคเรียนในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา ได้รับความรู้ ประสบการณ์ มีโลกทัศน์และโอกาสการเลือกและตัดสินใจทางอาชีพ ที่สามารถพัฒนาสู่อาชีพที่ยั่งยืนในอนาคต และเพื่อให้นักเรียน นักศึกษา เกิดการเรียนรู้ เกิดทักษะในการทำงาน รวมทั้งงานส่งเสริมการอ่านที่สามารถเป็นแกนนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กิจกรรมพี่สอนหนังสือน้อง กิจกรรมการสอนผู้ไม่รู้หนังสือ สอนหรืออ่านหนังสือให้แก่ผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการ กิจกรรมการทำข้อมูลเชื่อมโยงความรู้ ห้องสมุดโรงเรียนกับห้องสมุดประชาชน
วิธีการดำเนินการ
ส่วนกลาง มีการเปิดศูนย์บริการ “เรียนรู้งาน สานฝันเด็กไทย” ซึ่งเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ ๓-๖ มีนาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๐๐-๑๗.๐๐ น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร รับสมัครงานทั้งภาครัฐและเอกชน ภาครัฐประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเอื้อเฟื้อสถานที่จัดงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี สพฐ. กศน. และ สช. ตลอดจนภาคเอกชนมาร่วมออกบูธรับนำเรียน/นักศึกษาเข้าทำงาน จำนวน ๑๘ บริษัท ซึ่งจะรับนักเรียน นักศึกษาเข้าทำงานและร่วมจัดกิจกรรมร้านค้าในงานนี้ด้วย นอกจากนั้นจะมีการจัดนิทรรศการให้ความรู้ในการทำงาน จัดกิจกรรมทดสอบความถนัด ฝึกทักษะอาชีพ กิจกรรมเสวนาความรู้ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ กิจกรรมการทำงาน เพื่อการรักการอ่าน
ส่วนภูมิภาค จะมีการรับนักเรียน/นักศึกษา เข้าทำงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยภาครัฐจะให้ กศน. อำเภอ จำนวน ๘๗๐ อำเภอ เป็นหน่วยขับเคลื่อนในลักษณะการจ้างงานแบบบูรณาการ เพื่อให้ห้องสมุดประจำอำเภอ และสถานศึกษาในอำเภอรับนักเรียนเข้าทำงาน ในวันที่ ๑๖-๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒ นอกจากนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตทั่วประเทศ ร่วมดำเนินการจ้างงานด้วย
ลักษณะงานที่ทำ งานภาครัฐจะเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ โครงสร้างพื้นฐาน ผลิตสื่อ กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ และการรักการอ่าน ภาคเอกชน งานกิจการร้านค้า ประชาสัมพันธ์ หรือพนักงานเก็บเงิน คาดว่าในปีนี้ ทั้งประเทศจะสามารถจ้างงานนักเรียน/นักศึกษา ได้ถึง ๕๐,๐๐๐ คน จำแนกเป็น ภาครัฐ จำนวน ๒๐,๐๐๐ คน และภาคเอกชน จำนวน ๓๐,๐๐๐ คน