Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 2472
31
วช. หนุนการบ่มเพาะการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยในการเป็น entrepreneur นำร่องผลักดันการใช้ประโยชน์นวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.เชียงใหม่


วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและตรวจเยี่ยมโครงการการพัฒนากลไกการใช้ประโยชน์งานวิจัยด้านการแพทย์ผ่านการสร้างแผนงานด้านเทคโนโลยีและบ่มเพาะธุรกิจนวัตกรรม นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ วช. โดยมี รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,รศ.ดร.อนรรฆ ขันธะชวนะ หัวหน้าห้องปฏิบัติการวัสดุฉลาด (SMART LAB) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และผศ.ดร.ทินกร ปงธิยา ม.เชียงใหม่ พร้อมคณะนักวิจัย นำเสนอและรายงานความก้าวหน้าโครงการ ณ อาคารอํานวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า การบ่มเพาะนักวิจัยให้มีความพร้อมรอบด้านนับเป็นความสำคัญในการยกระดับสมรรถนะของนักวิจัย โดยเฉพาะในมิติการเป็น  entrepreneur โครงการนี้ได้นำร่องการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ สู่การพึ่งพาตนเองด้านเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทยในระยะยาว


รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นในเป้าหมายการก้าวเข้าสู่การเป็น World Medical Hub ซึ่งมีการคัดเลือกให้นวัตกรรมทางการแพทย์ของไทย เป็นโอกาสนำร่อง สร้างโอกาสลดการนำเข้าทางเครื่องมือแพทย์  เพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรสวัสดิการสุขภาพแก่ประชาชนได้อย่างกว้างขวาง




ภายใต้โครงการนี้ วช. ได้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพกลุ่มวิจัยด้านเครื่องมือแพทย์ ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยริเริ่มโครงการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านเครื่องมือแพทย์ เสริมสร้างขีดความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ โดยมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและทักษะทางธุรกิจ เพื่อผลักดันงานวิจัยสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบและเป็นมาตรฐาน

32
วช. ส่งเสริมการพัฒนานักบินโดรนสำรวจและดับไฟป่า เพื่อบรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติ ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย


เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและตรวจเยี่ยม โครงการเครือข่ายความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าด้วยเทคโนโลยีโดรนดับเพลิง นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ วช. พร้อมด้วยทีมนักวิจัย  ณ โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่นำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาในหลายมิติ โดยในประเด็นด้านการบรรเทาและการป้องกันทางสาธารณภัย รวมถึงการจัดการภัยพิบัติ การใช้เทคโนโลยีโดรนเป็นอีกเครื่องมือที่สามารถช่วยลดผลกระทบจากสาธารณภัยและภัยพิบัติได้ในหลายพื้นที่ ทั้งในเชิงทรัพยากร ภาคเกษตรกรและภาคประชาชน ในการลดความเสี่ยงในการดับเพลิงในพื้นที่ป่าและการสำรวจพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ รวมถึงเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสถานการณ์ และเสริมสร้างความรวดเร็วในการดำเนินการ


นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า การใช้โดรนในภารกิจดับเพลิงและสำรวจพื้นที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้กับการจัดการภัยพิบัติ โดรนสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่มีความอันตรายหรือพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงด้วยวิธีการปกติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินสถานการณ์และการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ ลดความเสี่ยงและเวลาในการปฏิบัติงานได้อย่างมีนัยสำคัญ




ในการติดตามผลการดำเนิน ขณะนี้ โครงการพัฒนาดอยตุงมีศูนย์ดำเนินงานและทีมงานบินโดรนที่สามารถใช้เทคโนโลยีโดรนดับเพลิงที่มีระบบและอุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อใช้สำหรับภารกิจดับไฟป่า และโดรนระบบอัตโนมัติติดกล้องจับความร้อนเพื่อใช้ในภารกิจการสำรวจไฟป่า มีประสิทธิภาพสูงในการลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการสำรวจพื้นที่ รวมถึงช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤต  ทั้งนี้ วช. มีแผนการขยายองค์ความรู้และเทคโนโลยีดังกล่าวสู่การใช้งานในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถของเทคโนโลยีโดรนในการรองรับภารกิจที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคต

33
วช.สนับสนุนการนำเทคโนโลยีควบคุมสภาพอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตกาแฟในโครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย


เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ พร้อมด้วยคณะผู้ทรงคุณวุฒิ วช. ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและตรวจเยี่ยมโครงการ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเครื่องฟอกอากาศแบบผลิตออกซิเจนบวก-ลบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกกาแฟในพื้นที่ต้นแบบดอยตุง” พื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง ณ จังหวัดเชียงราย


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า โครงการนี้ มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องฟอกอากาศในกระบวนการปลูกกาแฟในพื้นที่สูงที่มีความแตกต่างของระดับความสูงในพื้นที่ ซึ่งครอบคลุมทั้งในด้านการเจริญเติบโตของต้นกาแฟ คุณภาพผลผลิต และกระบวนการแปรรูปกาแฟ โดยในพื้นที่ต้นแบบ ณ โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย ได้ใช้เครื่องฟอกอากาศ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในการปลูกกาแฟเหมาะสมกับพื้นที่สูงของไทย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต


นายณรงค์ อภิชัย ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการร้อยใจรักษ์ กล่าวว่า โครงการใช้เทคโนโลยีปรับสภาพอากาศในการปลูกพืชดังกล่าว ได้สร้างโอกาสใหม่ในการปลูกพืชเศรษฐกิจ“กาแฟ”ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง  สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการปลูกและแปรรูปกาแฟ เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตและยกระดับกาแฟไทยให้เข้าสู่ตลาดกาแฟคุณภาพพิเศษ (Specialty Coffee) ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ สามารถปลูกกาแฟคุณภาพในระดับความสูงที่น้อยลง ทำให้พื้นที่ของโครงการพัฒนาดอยตุงมีพืชเศรษฐกิจ“กาแฟ”พันธ์ใหม่ ที่โป็นโอกาสของเกษตรกรในอนาคต




ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับพืชเศรษฐกิจสำคัญอย่างยั่งยืน วช. มีเป้าหมายในการขยายผลการวิจัยเพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมกาแฟ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับนานาชาติ ทั้งนี้เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมกาแฟไทยและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในตลาดนานาชาติ

34
สุขสันต์วันเด็ก! คาเฟ่ แคนทารี ทุกสาขา
ร่วมฉลองวันแห่งความสุข เอาใจเหล่าคุณหนูตัวน้อย
ซื้อไอศกรีม 1 สกู๊ป แถมฟรี 1 สกู๊ป




            11 มกราคม 2568 คาเฟ่ แคนทารี ทุกสาขา (ปราจีนบุรี, เชียงใหม่, เกาะยาวน้อย, โคราช, ภูเก็ต, ศรีราชา, ระยอง, ระยองบายเดอะซี (หาดแสงจันทร์), อยุธยา และคาเฟ่ แคนทารี คอนเนอร์ สาขาคลาสสิค คามิโอ อยุธยา) ร่วมฉลองวันเด็ก จัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจคุณหนูๆ เมื่อซื้อ ไอศกรีม 1 สกู๊ป แถมฟรี 1 สกู๊ป! พลาดไม่ได้กับกิจกรรมสุดพิเศษ! สนุกสนานตื่นตาตื่นใจกับโบโซ่ เดอะคลาวน์ พร้อมการแสดงโชว์บิดลูกโป่งเฉพาะที่สาขาระยอง และศรีราชา เท่านั้น






            สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centre: 1627 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.cafekantary.com

############

*โรงแรมในเครือเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไข
โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผ่านทางช่องทางการติดต่อสื่อสารของโรงแรมฯ


Hashtags: #cafekantary #คาเฟ่แคนทารี #ฉลองวันเด็ก #ไอศกรีม1แถม1 #วันเด็กแห่งชาติ


35
Highlight 2024 : SCGD รุกตลาดอาเซียน เติบโตต่อเนื่อง ตามเป้าโต 2 เท่าในปี 2030


เป็นเวลากว่า 1 ปีที่ SCGD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการตามพันธกิจเป็นผู้นำวัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง แม้ปีนี้จะเผชิญกับความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจ และภัยธรรมชาติที่ท้าทาย แต่บริษัทยังมุ่งมั่นเดินหน้าตามกลยุทธ์ดำเนินงาน เตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อสถานการณ์ตลาดฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง  มีการเติบโตที่สำคัญใน 6 ด้านหลัก ได้แก่


           1. ควบคุมต้นทุนเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร บริษัทเร่งลงทุนในโครงการลดต้นทุนโดยการใช้เชื้อเพลิงทดแทน และพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้สามารถใช้พลังงานชีวมวลประมาณ 19% และพลังงานจากโซลาร์เซลล์ประมาณ 10% ในการผลิตทั้งหมด โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทั้งสองประเภทให้ถึง 46% และ 15% ภายในปี 2573 ตามลำดับ

           2. เพิ่มสินค้าผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง รวมไปถึงการปรับปรุงไลน์การผลิตกระเบื้อง บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น เช่น กระเบื้องเกรซพอร์ซเลน X-Strong ที่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และวัสดุตกแต่งพื้นผิว Paws & Play ลดอาการข้อเสื่อมของสัตว์เลี้ยง และทนต่อรอยขีดข่วนรวมถึงสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart toilet) นอกจากนี้ SCGD ได้ปรับปรุงไลน์การผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงทั้งในไทยและเวียดนาม เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรง  สวยงาม อีกทั้งเปิดไลน์ผลิตวัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC LT by COTTO ในไทย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ใช้งานได้สะดวกสบายขึ้นด้วยคุณสมบัติการติดตั้งง่าย และทนทาน


           3. เติบโตธุรกิจสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน บริษัทขยายตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในแต่ละประเทศกว่า 170 รายทั่วอาเซียนในปีนี้ อีกทั้งร่วมปรับหน้าร้านโชว์รูมของตัวแทนจำหน่ายให้สอดคล้องกับแบรนด์ของสินค้าทุกระดับ ส่งผลให้ยอดขายการส่งออกสุขภัณฑ์ไปยังอาเซียนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะกว่า 500 ล้านบาท

           4. ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในอาเซียน SCGD ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อเพิ่มการเข้าถึงตลาดและเข้าใจความต้องการลูกค้ามากขึ้น โดยในประเทศไทยได้เปิดร้าน COTTO LiFE สาขาดอนเมืองซึ่งเป็นแฟลกชิปโชว์รูม พร้อมบริการครบวงจร ส่วนในต่างประเทศ ได้เพิ่มร้าน CTM ในฟิลิปปินส์กว่า 4 สาขา รวมทั้งเปิดร้านค้าของบริษัทแห่งแรกในประเทศเวียดนามและประเทศกัมพูชาชื่อ V-Ceramic และ OK Tiles Outlet ตามลำดับ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดวัสดุก่อสร้าง และการตกแต่งบ้านที่กำลังขยายตัว


           5. แบรนด์สินค้าครองใจผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศ SCGD ได้รับรางวัลมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ สะท้อนผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เช่น รางวัล “2024 THAILAND’S MOST ADMIRED BRAND” จาก BrandAge ในโอกาสที่ COTTO ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 13  รางวัลแบรนด์วัสดุปิดผิวและสุขภัณฑ์ชั้นนำ "Marketeer Number 1 Brand Thailand" รางวัลชนะเลิศ กระเบื้อง COTTO รักษ์โลกรุ่น ECO-SHIZZO ในเวที TGDA 2024 และรางวัลวัสดุก่อสร้างเพื่อสัตว์เลี้ยงดีเด่นจากบ้านและสวน รวมถึงรางวัลระดับภูมิภาคอย่าง "ASIA's Top Influential Brands Awards 2023" สุดยอดแบรนด์ระดับเอเชีย ที่ครองใจผู้บริโภคในอุตสาหกรรมและ "Asia Excellent Brand Awards 2024" ในประเทศเวียดนาม

           6. SCGD เดินหน้าสู่หุ้นยั่งยืน ช่วงเดือนธันวาคม SCGD ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้เป็นหนึ่งใน "หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings" ระดับ A กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Propcon) และ "ดัชนี SETESG" ประจำปี 2567 สะท้อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสิ่งแวดล้อม

บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาพัฒนานวัตกรรมสินค้า โซลูชัน ตอบเทรนด์โลกเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ตามแผนงานระยะยาว (ปี 2025-2030) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ยั่งยืน และลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่า ตามเป้าที่ตั้งไว้ภายในปี 2030

36
โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่
สนับสนุนห้องพักให้กับอาสาสมัคร มูลนิธิร่วมกตัญญู
เพื่อช่วยฟื้นฟูพื้นที่อุทกภัย จ.เชียงใหม่


              เศรษฐพงศ์ วรรธนะกุล (คนที่ 3 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่ เป็นตัวแทน ธีรวัลคุ์ เตชะอุบล เจ้าของธุรกิจเครือโรงแรมเคป แอนด์ แคนทารี ให้การต้อนรับและสนับสนุนห้องพักโรงแรมให้กับคณะอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่มาช่วยแจกสิ่งของและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยใน จ.เชียงใหม่ โดยมี เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ (คนที่ 4 จากซ้าย) หัวหน้าอาสาสมัคร มูลนิธิฯ, นพดล เดวาทมค์ (คนที่ 5 จากซ้าย), ดวงเดือน แซ่ไหล (คนที่ 6 จากซ้าย) และ ฤทัยภักดิ์ ถิ่นหนองจอก (คนที่ 7 จากซ้าย) ตัวแทนอาสาสมัครมูลนิธิฯ เข้าร่วมกิจกรรม พร้อมด้วย พนักงานโรงแรมฯ ยุพรัตน์ ผัดดวงเป็ง (คนที่ 1 จากซ้าย) และ อรวรรณ วรรณฤทธิ์ (คนที่ 2 จากซ้าย) ร่วมต้อนรับ ณ โรงแรมแคนทารี ฮิลส์ เชียงใหม่

37
ชาวเกาะกูด จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 44 ไม่ควรเสียดินแดนทางทะเลไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว




               เมื่อเร็วๆนี้ (26 ธ.ค.) ที่โรงแรมดิเอมเมอร์รัล ถนนรัชดาถิเษก กทม. นายเกียรติภูมิ สิริพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสมาร์ท จัดแถลงข่าวประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูด MOU 44 ในหัวข้อ เอกราชอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองกันได้ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีปหรือ "MOU 44" ที่ไทยลงนามร่วมกับกัมพูชาไว้เมื่อปี 2544 โดยนายเกียรติภูมิ สิริพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสมาร์ท ชี้แจงว่า  ตัวเองเกิดมาตังแต่เกิด และเป็นเจ้าของที่ดินบนเกาะกูด เกิดมาก็รับรู้มาตลอดว่าเกาะกูดเป็นของประทศไทย ไม่ใช่ของกัมพูชา และไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลดำเนินการไปตามสัญญา MOU44 เพราะนั้นอาจทำให้ไทยเสียดินแดนในส่วนนี้ไปได้ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ซึ่งตัวเองและชาวเกาะกูด ก็จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พร้อมมองว่า MOU44 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ผ่านรัฐสภา จึงจี้รัฐบาลพิจารณาประเด็นร้อนเกาะกูด MOU 44  ของไทย 100 เปอร์เซ็น




               พร้อมกันนี้ในช่วงท้าย นายเกียรติภูมิ สิริพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสมาร์ท ได้ร่วมพูดคุยสนทนาและให้ความรู้กับพิธีกร 2 ท่านคือ น.ส.ธนัญญา  พิพิธวณิชยการ (แตงกวา) และ มิ้นท์ รพิรัตน์ นาดี  โดยนายเกียรติภูมิ กล่าวว่าตนเป็นคนเกิดที่เกาะกูด อ.เกาะกูด มีครอบครัวอยู่ที่นั่นมาตลอด   ตนเกิดมาที่นี้ส่วนมากทำสวนมะพร้าว ยางพารา และปัจจุบันเจริญเติมโต ก็มีรีสอร์ท ที่พัก ที่ท่องเที่ยวสวยๆ หลายจุด และที่สำคัญเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศ จึงรู้มาว่าเกาะกูดไม่ได้เป็นของกัมพูชาและมีทรัพย์ยากรทางทะเลมากมาย ซึ่งฝั่งกัมพูชาไม่มี  อยู่ๆจะมีการแบ่งเขตหวังผลประโยชน์กันหน้าตาเฉยไม่ได้  เพราะไม่ได้เป็นตามหลักสากลที่กัมพูชามาขีดเส้นทางทะเลเองในฐานะที่เป็นชาวเกาะกูด จึงอยากให้รัฐบาลยกเลิก MOU 44 เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทยไว้ และศึกษารายละเอียดเชิงลึกในเรื่องนี้อย่างรอบด้าน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าไทยไม่ควรเสียดินแดนทางทะเลไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพราะฉะนั้นเขตแดนนี้ก็ไม่เป็นไปตามสนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศษ ตามที่กัมพูชากล่าวอ้างไม่ได้ และอีกอย่างจึงยังไม่มีผล เพราะไม่ผ่านรัฐสภา แต่เราต้องจี้รัฐให้โปร่งใส ชัดเจน แน่นอน จึงต้องมีการเรียกร้องให้ถึงที่สุด  และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีพระบรมราชโองการ ประกาศเส้นเขตแดนของไทยเองเช่นกัน ซึ่งปรากฏในพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย ด้านอ่าวไทยปี 2516 และตามด้วยการประกาศเขตไหล่ทวีปของเวียดนามในปี 2517

               สำหรับการออกมาเรียกร้องในครั้งนี้ ก็ต้องให้ความรู้กับประชาชน และรักที่จะป้องกันประเทศ พร้อมให้รัฐบาลจงพิจารณาและชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจ  1 เดือน หากรัฐบาลนิ่งเฉยในเรื่องนี้ ก็จะยกระดับการคัดค้านให้ถึง ที่สุด

               สามารถติดตามคลิปเต็มได้ที่ ช่องYouTube บันเทิงสตอรี่ หรือคลิ๊กลิ้งค์ https://youtu.be/iAyATFVfM4U


















38
สายคาเฟ่ต้องไม่พลาด! BRIX Dessert Bar นำเสนอ
“OISHI HOKKAIDO CORN BUTTER BEER”
เมนูใหม่สุดเฟรช รับเทศกาลส่งความสุข
ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2568


           BRIX Dessert Bar ร้านขนมระดับพรีเมียมภายใต้เครือชายสี่ คอร์ปอเรชั่น ขอเชิญร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่เอาใจสายคาเฟ่ จับมือ เครื่องดื่ม โออิชิ กรีนที ผ่านแคมเปญ “Refreshing Co-Creation by Oishi Green Tea” ต้อนรับเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษ ตอบโจทย์เทรนด์ Mixology “OISHI HOKKAIDO CORN BUTTER BEER” รังสรรค์โดย BRIX กับเมนูใหม่สุดเฟรช ด้วยส่วนผสมหลักจากโออิชิกรีนที ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2568 เท่านั้น ณ BRIX Dessert Bar ทุกสาขา

           คุณกิติยาภรณ์ ชวาลวราเกียรติ Central Operation, Brix Dessert Bar กล่าวว่า “ช่วงเวลาแห่งความสุข การเฉลิมฉลองเทศกาล Festive รับปีใหม่ในปีนี้ เรายินดีนำเสนอเครื่องดื่มที่ครีเอทมาเพื่อรับเทรนด์ Butter Beer ซึ่งกำลังมาแรง ด้วยเมนู OISHI HOKKAIDO CORN BUTTER BEER เป็นการนำ โออิชิ กรีนที ชาเขียวกลิ่นข้าวโพดฮอกไกโด มาเป็นส่วนผสมหลัก และยังเป็นส่วนหนึ่งในการทำวิปปิ้งครีม ผสมผสานร่วมกับโซดา เพิ่มความซ่าให้กับเครื่องดื่มสุดพิเศษนี้ ให้อร่อย สดชื่น ลงตัว การร่วมมือกันระหว่าง BRIX Dessert Bar และ โออิชิ กรีนที ในครั้งนี้ ช่วยเพิ่มทางเลือกและความหลากหลายให้กับลูกค้า เป็นตัวแทนของความสนุกสนานและการเฉลิมฉลองที่น่าประทับใจ”


           ร่วมเฉลิมฉลองกับความอร่อยสดชื่น กับเมนู OISHI HOKKAIDO CORN BUTTER BEER ได้ที่ร้าน BRIX Dessert Bar ทุกสาขา ได้แก่ สยามพารากอน ชั้น G, ไอคอนสยาม ชั้น G, One Bangkok ชั้น G ตึก The Storeys, เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 4 และ The Salil Hotel Riverside – Bangkok ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2568

39
วช. คว้ารางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 ในงาน “DG Awards 2024” มุ่งมั่นการเป็นองค์กรชั้นนำ และองค์กรคุณภาพดานดิจิทัลภาครัฐในการให้บริการ


วันที่ 27 ธันวาคม 2567 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้ารับรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 (Digital Government Award 2024) หรือ DG Awards 2024 จัดโดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. ย้ำชัดความสำเร็จในการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อให้บริการนักวิจัยและประชาชนอย่างต่อเนื่อง ด้วย 2 รางวัล แห่งความภาคภูมิใจ ดังนี้ “รางวัลรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Awards) หน่วยงานภาครัฐระดับกรมที่ให้บริการเป็นหลัก อันดับ 4" และ “รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านส่งเสริมการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Participation) หน่วยงานระดับกรม ที่ให้บริการเป็นหลัก”


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เข้าร่วมรับโล่รางวัลและประกาศนียบัตร จาก นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในงานมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 “DG Awards 2024” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งในปีนี้ เป็นปีที่ 4 ที่ วช. เป็นรางวัลอันทรงเกียรติและภาคภูมิใจ สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนางานบริการด้านดิจิทัล โดยมุ่งเน้นยกระดับระบบบริการสำหรับกลุ่มเปราะบาง พัฒนาสังคมสูงวัย สร้างการมีส่วนร่วม สำหรับประชาชน นักวิจัย หน่วยงานในระบบวิจัย มุ่งนำผลงานวิจัย องค์ความรู้จากงานวิจัย นำสู่การใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศได้ทุกมิติ


วช. ได้สร้างช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนและอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ประชาชน โดยการเปิดรับฟังการชี้แจงกรอบการวิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) NRCT Open House 2024 สะท้อนมุมมองมิติของประเทศ สร้างมาตรฐาน เกิดความคุ้มค่า ครอบคลุม สร้างเครือข่าย พัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์และการแก้ไขปัญหาประเทศได้ทันท่วงที โดยดำเนินงานโครงการสำคัญ อาทิ โครงการ “เกษียณมีดี” นวัตกรรมทางการศึกษาที่ไม่ได้เป็นแค่บทเรียนออนไลน์ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิตบนแอปพลิเคชัน LINE ปัจจุบันมีผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโครงการ จำนวนไม่ต่ำกว่า 20,000 คน อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบออนไลน์ หรือ “e-Service” ให้มีมาตรฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในรูปแบบเฉพาะบุคคล Personalization ด้วย ระบบการติดตามโครงการวิจัย “NRIIS Project Tracking” ที่มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากขึ้น




ทั้งนี้ งาน DG Awards 2024 เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐขับเคลื่อนองค์กรในรูปแบบ Digital Government อย่างเต็มรูปแบบ และยกระดับการให้บริการประชาชนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่ง วช. พร้อมเดินหน้าพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องต่อไป

40
มวยมันส์ส่งท้ายปีในรายการ FISTS OF GLORY จัดโดยสองโปรโมเตอร์ "บริโก้ - ศุภณัฐ" แห่ง NARIS - HIGHLAND - SPACEPLUS BOXING PROMOTIONS จัดใหญ่ 6 คู่มวยชิงเข็มขัดแชมป์ WBA , WBC , WBF และ ABF ดวลกันสุดมันส์ทุกคู่เป็นของขวัญปีใหม่และนัดส่งท้ายเวทีมวยชั่วคราว Space Plus RCA Plaza รัชดาฯ


            เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ เวทีมวยชั่วคราว Space Plus  RCA Plaza รัชดาฯ  "NARIS - HIGHLAND - SPACE PLUS BOXING PROMOTION" โดยสองโปรโมเตอร์"ไทย-ปินส์" ศุภณัฐ จันทร์แรม และ มิสเตอร์บริโก้ ซานติก จัดคู่มวยสุดมันส์ส่งท้ายปีและเป็นนัดส่งท้ายเวทีมวยชั่วคราวแห่งนี้ รวมถึงเป็นของขวัญปีใหม่ให้แฟนกำปั้นด้วยการจัดชิงแชมป์เข็มขัด 6 เส้นจาก 4 องค์กรมวยประกอบไปด้วยชิงเข็มขัดแชมป์มวยโลก WBA , WBC , WBF และ ABF โดยได้รับการสนับสนุนจาก “พ่อพระวงการมวย” นายนริส สิงห์วังชา ประธานสหพันธ์มวยแห่งเอเชีย (ABF) และ นายกสมาคมกีฬาชักกะเย่อแห่งประเทศไทย และ พล.ต.ดำรงค์ สิมะขจรบุญ รับเป็นประธานที่ปรึกษาศึกมวย "FISTS OF GLORY"


สรุปผลการแข่งขันในรายการมีดังนี้

คู่ที่ 1. อุ่นเครื่อง 4 ยก 53 กก.คาร์ลอส อ่อง นักชกจากสิงคโปร์ใช้พลังกำปั้นชนะน็อค กมลชาติ จันทร์ภักดี นักชกไทยแค่ยกแรก

คู่ที่ 2. อุ่นเครื่อง 6 ยก 64 กก.เรย์มาร์ช โซลีดาส นักชกจากฟิลิปปินส์ ปิดต็อบเร็วชนะน็อค ณัฐนุช สิงห์มนัสศักดิ์ยิม นักชกไทยแค่ยกหนึ่ง

คู่ที่ 3. อุ่นเครื่อง 6 ยก 57 กก.เฟรสดี้ คาลีฟจอร์ส กำปั้นสวีเดน ชนะน็อค ฤทธิเกียรติ เกตุโสภา นักชกไทยยกที่ 4





คู่่ที่ 4. อุ่นเครื่อง 6 ยก 52 กก.เอลม่า ซาโมล่า ฟิลิปปินส์ ชนะน็อค วิสิทธิศักดิ์ สายแวว นักชกไทยยกที่ 2

คู่ที่ 5. อุ่นเครื่อง 6 ยก 52 กก. (ญ) เลสทีเซีย คัมพาน่า นักชกจากฝรั่งเศส แลกหมัดเดือดก่อนแพ้คะแนน อังลี บ้านโพธิสปอร์ตยิม นักชกไทย

คู่ที่ 6. อุ่นเครื่อง 6 ยก 57 กก.อาฟซัลเบค คูลันทาเยฟ นักชกจากทากิสถาน ชนะน็อค ยัง บิน ชอง นักชกจากเกาหลีใต้ยกที่ 3





คู่ที่ 7. ชิงแชมป์ว่าง ABF รุ่นซุปเปอร์ไลท์เวท 140 ปอนด์ (10 ยก) ระหว่าง เลย์มอส ยามอง นักชกจากฟิลิปปินส์ระดมกำปั้นชุดใหญ่ชนะน็อค คัมภีร์ พะยอม กำปั้นไทยแค่ยก 2 หลังการชกได้รับเกียรติจาก นายนริศ สิงห์วังชา แระธานสหพันธ์มวยแห่งเอเชีย ( ABF ) และนายกสมาคมกีฬาชักกะเย่อแห่งประเทศไทยขึ้นร่วมแสดงความยินดีและคาดเข็มขัดแชมป์ให้

คู่ที่ 8. ชิงแชมป์ว่าง WBA Asia รุ่นยูธเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์ (10 ยก) เจมาเน่ ฮาดิสัน กำปั้นชาวอเมริกัน เจอกำปั้นเจ้าถิ่น ธุวนันท์ ตุ้มนิลกาล นักชกไทยซึ่งแลกหมัดกันสนุกครบ 10 ยกก่อน เจมาเน่ ฮาดิสัน ชนะคะแนนคว้าเข็มขัดกลับสหรัฐฯ

คู่ที่ 9. ชิงแชมป์ว่าง WBC Asia รุ่นคอนติเนลตัน ไลท์ฟลายเวท 108 ปอนด์ (10ยก) เรย์ม่อน พูล นักชกจากฮ่องกง แลกหมัดกับ คมกฤช นันทเพชร กำปั้นไทยจนครบ 10 ยกกรรมการชูมือให้เสมอกันไปเข็มขัดเส้นนี้ยังคงไร้เจ้าของ





คู่ที่ 10. ชิงแชมป์ว่าง WBA Asia รุ่นเซาว์ไลท์เวท 135 ปอนด์  (10ยก) แมททิว ลากาเลส กำปั้นรัสเซีย ชนะน็อค อรรถนนท์ กุลวงศ์ นักชกไทยยก 2 คว้าเข็มขัดแชมป์กลับรัสเซีย

คู่ที่ 11. ชิงแชมป์ว่าง WBF รุ่นฟลายเวท 112 ปอนด์ (10 ยก) ฮิน ติง ชาน กำปั้นสาวฮ่องกงประสบการณ์บนสังเวียนเหนือกว่าชนะน็อค ภาณุมาส บุปผาโล นักชกสาวไทยยก 4 ได้เข็มขัดไปครองอีก 1 เส้น

คู่ที่ 12. ปิดท้ายรายการ ป้องกันแชมป์ WBA Asia รุ่นไลท์ฟลายเวท 108 ปอนด์ (12 ยก) อวินจอห์น พาซิโอเนส เจ้าของเข็มขัดจากฟิลิปปินส์ แลกหมัดกับ เชียง ลี นักชกจีนเดือดตลอด 12 ยกกรรมการรวมคะแนนให้กำปั้นฟิลิปปินส์ชนะคะแนนป้องกันแชมป์สำเร็จ





            ทั้งหมดคือคู่มวยสุดมันส์ส่งท้ายปีที่ NARIS - HIGHLAND - SPACE PLUS BOXING PROMOTIONS" โดยสองโปรโมเตอร์ "ไทย-ปินส์" ศุภณัฐ จันทร์แรม และมิสเตอร์บริโก้ ซานติก ฝากเป็นของขวัญปีใหม่ให้แฟนกำปั้นได้ชมกันอย่างเต็มอิ่มกับ 6 คู่ชิงเข็มขัดแชมป์ WBA , WBC , WBF และ ABF และคู่มวยอุ่นเครื่องอีก 6 คู่รวม 12 คู่ ที่มีความหลากหลายจากนักชกชาย-หญิงหลายสัญชาตทั่วโลก จัดยิ่งใหญ่เป็นนัดอำลาเวทีมวยชั่วคราว Space Plus RCA Plaza แห่งนี้ครับ ส่วนนัดต่อไปของเดือนมกราคม 2568 แฟนมวยติดตามข่าวสารได้ทางเพจ Highland Boxing Promotions ต่อไปครับ


















41
DGA จัดงานมอบรางวัลเกียรติยศแห่งปี “DG Awards 2024”
เชิดชูหน่วนยงานภาครัฐที่มีความพร้อมในการพัฒนาด้านรัฐบาลดิจิทัล





               สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA จัดงานมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2567 หรือ Digital Government Awards 2024 (DG Awards 2024) ในวันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความเป็นต้นแบบในการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กระตุ้นให้หน่วยงานภาครัฐเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล




               นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประธานในการมอบรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2567 กล่าวแสดงความชื่นชม กับหน่วยงานที่ได้รับรางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2567 ทั้ง 47 รางวัล พร้อมทั้งกล่าวถึงทิศทางการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลของประเทศว่า “เป้าหมายสำคัญของรัฐบาล คือ การปรับปรุงบริการออนไลน์ภาครัฐ เพื่อให้การติดต่อกับภาครัฐเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ การเข้าถึงสวัสดิการและบริการสาธารณะ หรือการสมัครใบอนุญาตต่าง ๆ พร้อมทั้ง สร้างความมั่นใจต่อผู้รับบริการว่าขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น โปร่งใส และสะดวกสบายในการใช้บริการจากที่ใดก็ได้ โดยรัฐบาลจะปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เปลี่ยนผ่านราชการไทยไปสู่ราชการทันสมัยในระบบดิจิทัล ใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากรภาครัฐ  2) สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ 3) มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และ 4) กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและภาคประชาชน และเชื่อมั่นว่า การผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลจะทำให้ประเทศไทยพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม”




                นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวเพิ่มเติมว่า “DGA มุ่งมั่นพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม โดยความสำเร็จในปีนี้สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ส่งผลให้อันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่สำรวจโดย UN ประจำปี 2567 ของประเทศไทยดีขึ้นมา 3 อันดับ อยู่อันดับที่ 52 จาก 193 ประเทศ เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน และดัชนีชี้วัดระดับสากลของ Waseda-IAC World Digital Government Ranking ประจำปี 2567 ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้น 1 อันดับ อยู่อันดับที่ 18 จาก 66 ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มที่”







               ทั้งนี้จากรายงานผลการสำรวจความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลพบว่า หน่วยงานภาครัฐมีพัฒนาการระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลที่สูงขึ้นในภาพรวม และมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 4 เรื่อง ได้แก่

               1. เร่งส่งเสริมการจัดการข้อมูลตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มกลางภาครัฐ
               2. ยกระดับทักษะบุคลากรภาครัฐโดยเฉพาะด้านดิจิทัล พร้อมปรับเกณฑ์สนับสนุนการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลให้มีส่วนร่วมในการดำเนินการกับหน่วยงานภาครัฐ
               3. มุ่งปรับปรุงและพัฒนาบริการภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์และ
               4. หน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยี AI ตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี  รวมถึงการพัฒนาโครงการด้านดิจิทัลตามลำดับความสำคัญที่เหมาะสม เน้นตอบสนองตัวชี้วัดที่ครอบคลุมตามนโยบายและภารกิจของหน่วยงาน




               รางวัลรัฐบาลดิจิทัลประจำปี 2567  แบ่งออกเป็น 4 ประเภท มีจำนวนทั้งสิ้น 47 รางวัล ประกอบด้วย

1. รางวัลรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government Awards) จำนวน 15 รางวัล ประกอบด้วย

               1)   รางวัลรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานระดับกรมที่ให้บริการเป็นหลัก จำนวน 6 รางวัล
               2)   รางวัลรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานระดับกรมที่จัดทำนโยบาย ประสานงาน กำกับดูแล หรืออื่นๆ เป็นหลัก จำนวน 4 รางวัล
               3)   รางวัลรัฐบาลดิจิทัลระดับจังหวัด จำนวน 5 รางวัล

2. รางวัลเฉพาะด้านประจำปี จำนวน 26 รางวัล ประกอบด้วย

               1)   รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance) สำหรับหน่วยงานระดับกรม จำนวน 8 รางวัล
               2)   รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการเปิดเผยข้อมูลเปิดภาครัฐ และการแลกเปลี่ยนข้อมูล (Open data & Sharable Data) สำหรับหน่วยงานระดับกรม จำนวน 1 รางวัล
               3)   รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านบุคลากรดิจิทัล โดยพิจารณาจากผลการประเมินตนเอง สำหรับหน่วยงานระดับกรม จำนวน 5 รางวัล
               4)   รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน หรือ การให้บริการ จำนวน 6 รางวัล
               5)   รางวัลหน่วยงานคุณภาพด้านส่งเสริมการมีส่วนร่วม ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e- Participation) 6 รางวัล

3. รางวัลพัฒนาการดีเด่น จำนวน 5 รางวัล

               1)   รางวัลสำหรับหน่วยงานภาครัฐระดับกรมที่ให้บริการเป็นหลัก 3 รางวัล
               2)   รางวัลสำหรับหน่วยงานภาครัฐระดับกรมที่จัดทำนโนบาย กำกับ ดูแล ประสานงาน หรืออื่นๆ เป็นหลัก 2 รางวัล

4. รางวัลผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่น จำนวน 1 รางวัล
























42
หนุ่ม กรรชัย - นพรัตน์ มาลัยวงค์ ผนึกกำลังผลักดัน LYO คว้ารางวัล Prime Minister’s Export Award 2024





               คุณหนุ่ม - กรรชัย กำเนิดพลอย พาร์ทเนอร์ “LYO” (ไลโอ) และ คุณนพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร  88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH เจ้าของ “LYO” สร้างความสำเร็จด้วยการคว้ารางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 ในสาขาแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีผลงานโดดเด่นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์จนเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ โดยมี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้มอบรางวัล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

              รางวัลนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงการทำงานที่มีจุดหมายร่วมกัน ซึ่งขับเคลื่อนและเสริมจุดแข็งให้ “LYO” เติบโตอย่างต่อเนื่อง

              คุณนพรัตน์ มาลัยวงค์ กล่าวว่า “รางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 เป็นเครื่องยืนยันว่าเรากำลังก้าวมาถูกทาง ความสำเร็จนี้เกิดจากความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการพัฒนา LYO ให้เติบโตอย่างมั่นคง ด้วยมาตรฐานและคุณภาพที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เราจะเดินหน้าต่อไป เพื่อขับเคลื่อนตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะให้เป็นที่ยอมรับและครองใจผู้บริโภคไทย พร้อมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศ CLMV และสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายในปี 2568”

               คุณหนุ่ม - กรรชัย กำเนิดพลอย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมเชื่อว่าสินค้าที่สะท้อนภูมิปัญญาไทยและวัตถุดิบคุณภาพ ควรถูกนำเสนอให้ตลาดสากลได้รู้จักมากขึ้น เราให้ความสำคัญกับการผลิตอย่างมีมาตรฐาน คาดว่าผลิตภัณฑ์ LYO จะสามารถสร้างความสนใจและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคต่างชาติได้”

#88ไทยแลนด์
#88TH
#นพรัตน์มาลัยวงค์
#LYO
#หนุ่มกรรชัย
#คุณออย
#พี่หนุ่ม
#กรรชัยกำเนิดพลอย
#ไลโอ









43
เชิญชม เทศกาลชมสวน 2567 (Flora Festival 2024)
ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่
ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568


            อุทยานหลวงราชพฤกษ์ มีจุดกำเนิดมาจากพื้นที่ที่เคยจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ในปี พ.ศ. 2549 ปัจจุบันเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส.


            ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรที่ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนามให้กับสถานที่แห่งนี้ว่า “อุทยานหลวงราชพฤกษ์” เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2553 เพื่อเป็นสวนของพ่อที่นับเป็นอุทยานแห่งการเรียนรู้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่ดำเนินงานกว่า 468 ไร่ โดยมีพันธกิจเป็นแหล่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการตามแนวพระราชดำริ โครงการหลวงและการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน แหล่งเรียนรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม ด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี รวมทั้งให้บริการพื้นที่เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ความสัมพันธ์ในครอบครัว และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่




            สำหรับเทศกาลชมสวน (Flora Festival) เป็นเทศกาลประจำปีของอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ ที่เนรมิตสวนสวยด้วยไม้ดอกเมืองหนาวนานาพรรณจากฝีมือการปลูกของเกษตรกรบนพื้นที่สูง สำหรับปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สีสันพรรณไม้และการเข้าสู่สังคมไร้มลพิษเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 08.00 – 18.00 น. โดยมีวัตถุประสงค์การจัดงานเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 อีกทั้ง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ยังได้รับรางวัลมาตรฐานต่างๆ หลายรางวัล อาทิ




1. รางวัล Hall of Fame  (รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยประเภทแหล่งท่องเที่ยว สาขาแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้)
2. รางวัลดีเด่น Thailand Tourism Silver Awards ประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน
3. สวพส. ขึ้นทะเบียนเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO)
4. โล่ประกาศเกียรติคุณองค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก ประจำปี 2567 (Climate Action Leading Organization: CALO)
5. ได้รับรองมาตรฐานสวนพฤกษศาสตร์ระดับสากล BGCI Botanic Garden Accreditation จาก Botanical Gardens Conservation International: BGCI ซึ่งเป็นเครือข่ายการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก
6. ผ่านการรับรองมาตรฐานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในโครงการ STAR : Sustainable Tourism Acceleration Rating ที่ผ่านการรับรอง 16 เป้าหมาย (จากทั้งหมด17 เป้าหมาย)
7. โรงแรมราชพฤกษ์เพลซ (Rajapruek Place) ได้รับรางวัล “Green Hotel 2567” ระดับดีเยี่ยม (เหรียญทอง)
8. รางวัลตราสัญลักษณ์ G-Green ระดับประเทศ ระดับดีเยี่ยม G ทอง สำนักงานสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Office) ปี 2566





            ด้วยแนวคิดของการจัดงานชมสวนที่จะแสดงผลงานและผลสำเร็จให้นักท่องเที่ยวได้ชมในปีนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนผ่านองค์ความรู้ด้านโครงการตามแนวพระราชดำริ โครงการหลวง และการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อมที่ได้ต่อยอดและรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพทั้งทรัพยากรพรรณไม้นานาชนิดมากถึง 23,831 รายการที่ได้รับรองมาตรฐานสวนพฤกษศาสตร์ระดับสากล BGCI Botanic Garden Accreditation จาก Botanical Gardens Conservation International: BGCI ซึ่งเป็นเครือข่ายการอนุรักษ์พันธุ์พืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก




            สำหรับไฮไลท์ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ชมความสวยงามของไม้ดอกเมืองหนาวนานาพรรณนับล้านดอกที่พร้อมใจกันเบ่งบานงดงามเต็มสวน อาทิ เจอราเนียม ฟอร์เก็ตมีน็อต บีโกเนีย พิทูเนีย ซัลเวีย แพนซี คัสตี้มิลเลอร์ เดซี่ เทียนนิวกีนี ฯลฯ

            พบกับจุดไฮไลท์ใหม่ที่ไม่ควรพลาด ได้แก่




            ชมวิวสวยๆ ฟินๆ แบบ 360 องศาบน Skywalk กับความสวยงามที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงฤดูแถมได้ความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้ตลอดเส้นทางเดิน นักท่องเที่ยวสามารถเดินตั้งแต่ 'เรือนร่มไม้' ที่เต็มไปด้วยพรรณไม้หายากกว่า 400 สายพันธุ์ เชื่อมต่อทางเดินไปยังจุดชมวิวมุมสูง หรือจะนั่งพักผ่อนใจไปกับต้นไม้และวิวภูเขาสีเขียวขจี เซลฟี่มุมสูงกับแปลงรวบรวมสายพันธุ์กุหลาบและยังมีทางเดินเส้นทางใหม่ที่ทอดยาวลงมาจนถึงโดมกุหลาบที่รวบรวมสายพันธุ์กุหลาบถึง 220 สายพันธุ์ เมื่อสุดเส้นทางก็ยังสามารถเดินชมป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง และทุ่งดอกไม้ที่สวนพรมบุปผา อีกทั้งยังมีสวนสมุนไพรที่จัดแสดงสมุนไพรท้องถิ่นและสมุนไพรจากต่างประเทศ




            ชมความหลากหลายของกล้วยไม้ทั้งพันธุ์แท้และพันธุ์ลูกผสมกว่า 50 สายพันธุ์กว่า 10,000 ต้นในบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบายในเรือนกล้วยไม้ เปิดประสบการณ์มหัศจรรย์ไปกับ "ถ้ำกล้วยไม้" ที่เต็มไปด้วยภาพวาดจิตรกรรม"กล้วยไม้ไทย" อาทิ กล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ ทั้งสายพันธุ์เอื้อง เอื้องสาย เอื้องสามปอย แวนด้าฟ้ามุ่ย ฯลฯ ที่มีความแปลกตาไม่เหมือนใคร ทั้งการวาดแบบภาพ 3 มิติเสมือนจริง และยังมีห้องที่จำลองเป็นถ้ำเรืองแสงที่ให้ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของธรรมชาติ เสมือนว่าเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สมบูรณ์ยามค่ำคืน ก็จะมีแสงจากสิ่งมีชีวิตบินรอบๆ ตัวเรา เช่น ผีเสื้อกลางคืน หิ่งห้อย ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์




            และอีกจุดไฮไลท์ ตระการตากับหอคำหลวง สถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่ทรงคุณค่าและสง่างามที่สุดมีการจัดแสดงภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบล้านนาบอกเล่าเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 และชมความงดงามของศิลปวัฒนธรรมที่สวนนานาชาติประเทศภูฎาณ อีกหนึ่งสวนนานาชาติที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในอุทยานหลวงราชพฤกษ์ และตื่นตากับโฉมใหม่ของอาคารโลกแมลงที่ให้ทุกท่านได้ค้นหาความมหัศจรรย์และศึกษาพฤติกรรมแปลกๆ ของแมลงหลากหลายชนิดทั้งในรูปแบบนิทรรศการและในรูปแบบสื่อมัลติมีเดีย โดยได้มีการรวบรวมตัวอย่างแมลงหายากและแฝงด้วยความรู้ทางด้านกีฏวิทยา อาทิ แหล่งกำเนิดของแมลง วงจรชีวิต ฯลฯ อีกทั้งยังจะได้ใกล้ชิดและสัมผัสความน่ารักของแมลงมีชีวิตท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอีกด้วย




            นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษภายในงานอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น งานมหกรรมกาแฟอราบิก้าบนพื้นที่สูง (Highland Arabica Coffee Exposition), สัปดาห์สมุนไพร (เดือนกุมภาพันธ์) กิจกรรมสัมมนาและเสวนาในหัวข้อ พืชสมุนไพร ลดโรค ลดโลก(ร้อน)" การเรียนรู้สมุนไพร 9 รสยา และยังได้ช้อปพรรณไม้ สินค้าที่ระลึก สินค้าชุมชน กาแฟบนพื้นที่สูง




            รวมทั้งนิทรรศการและการเรียนรู้เกี่ยวกับการกักเก็บคาร์บอนของสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (สวพส.) ด้วยการนำเสนอกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคาร์บอน ซึ่งครอบคลุม 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การดูดกลับ (Carbon Sequestration), การลด (Carbon Reduction) และ การชดเชย (Carbon Offset) ไม่ว่าจะเป็น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล การสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ชุมชนบนพื้นที่สูง การส่งเสริมเกษตรกรรมแบบยั่งยืน รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการอุทยานหลวงราชพฤกษ์ให้เป็นพื้นที่ต้นแบบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อย่างยั่งยืนในปี 2570

            อีกทั้งยังมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้พลังงานสะอาด การคัดแยกขยะ พร้อมสนุกกับกิจกรรม Walk Rally ตามหา RC เพื่อสร้างความสนุกสนานและยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับพรรณไม้และบทบาทสำคัญของต้นไม้ในการลดคาร์บอนและดูดซับก๊าซเรือนกระจก โดยใช้รูปแบบการสแกน QR Code ของต้นไม้นั้นๆ บริเวณนิทรรศการ และสามารถเดินตามหาจุดที่อยู่ของต้นไม้นั้นๆ ภายในสวน ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของต้นไม้ในการลดคาร์บอนเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

            พบกับพันธุ์ไม้เมืองหนาว ที่ยกขบวนมาให้เลือกซื้อ อาทิ ลิซิแอนทัสหรือกุหลาบเวียดนาม กล็อกซีเนีย บิโกเนีย เยอบีร่า ฯลฯ ที่มีจำหน่ายเฉพาะในช่วงงานเท่านั้น

            สำหรับใครที่กำลังมองหาห้องพักท่ามกลางธรรมชาติ ต้องเลือกมาที่ “ราชพฤกษ์เพลซ (Rajapruek Place)” สถานที่พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม สะอาด ปลอดภัย เป็นที่พักที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) ในระดับดีเยี่ยม (Gold Class)

            มาร่วมรับลมหนาวและชื่นชมความงามของไม้ดอกเมืองหนาวนานาพรรณจากเกษตรกรบนพื้นที่สูงพร้อมสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติในเทศกาลชมสวน (Flora Festival) ภายใต้แนวคิด “สีสันพรรณไม้และการเข้าสู่สังคมไร้มลพิษเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน”ตั้งแต่วันนี้- 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 08.00-18.00 น. ณ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ สอบถามเพิ่มเติมที่ 053-114110 ถึง 2 หรือทางแฟนเพจ : อุทยานหลวงราชพฤกษ์ : Royal Park Rajapruek

44
ดร.วิภารัตน์ ผอ.วช. กระชับความร่วมมือไทย-จีน ระหว่าง วช. กับ CASS  ส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมภายใต้ศูนย์วิจัยจีน และร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านการยกระดับความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน


สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีความร่วมมือทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์ระหว่างไทย-จีน กับสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2543 เพื่อผลักดันความร่วมมือเชิงรุกด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ โดยมีแนวทางความร่วมมือ ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนนักวิจัย การทำวิจัยร่วม การแลกเปลี่ยนงานวิชาการ และมีกำหนดจัดการสัมมนาวิชาการร่วมกันทุกปี เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนทัศนะ ประสบการณ์ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับไทย–จีน และสานต่อองค์ความรู้ไปพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือไทย–จีน ต่อมา วช. และ CASS ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การจัดตั้งศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความร่วมมือทางวิชาการ และส่งเสริมงานวิจัยระหว่างไทย-จีน ให้เกิดผลเด่นชัด และเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ผ่านโครงการและกิจกรรมที่เชื่อมโยงนักวิจัยและนักวิชาการของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งได้จัดพิธีเปิดศูนย์วิจัยจีนฯ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ณ วช. ประเทศไทย


ด้วยความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีอย่างต่อเนื่องระหว่าง วช. กับ CASS ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และคณะผู้แทน วช. ได้รับเชิญ ให้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง วันที่ 19 – 23 ธันวาคม 2567 เพื่อเข้าร่วมหารือกิจกรรมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS และเข้าร่วม การสัมมนาวิชาการนานาชาติ เรื่อง “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)”


โดยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. เข้าร่วมพบปะหารือกับ Professor WANG Changlin รองประธานสถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) เพื่อหารือเชิงนโยบายความร่วมมือไทย-จีน และแลกเปลี่ยนมุมมองการสร้างศักยภาพการวิจัยของนักวิจัยทั้งสองประเทศในมิติ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่มีมา อย่างยาวนาน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ณ สถาบันสังคมศาสตร์จีน (Chinese Academy of Social Sciences, CASS) กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน


ต่อมา ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และคณะผู้บริหาร วช. ร่วมหารือกับสถาบันวิจัยกลยุทธ์ระหว่างประเทศแห่งชาติ (National Institute of International Strategy, NIIS) ภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์จีน Chinese Academy of Social Sciences, CASS นำโดย Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการสถาบัน NIIS และบุคลากรของ NIIS


ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง และ Professor LI Xiangyang ได้ร่วมกันกล่าวถึง ประเด็นเนื่องในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ความร่วมมือของ วช. และ CASS จะมีการสานต่องานอย่างเข้มแข็ง โดยความร่วมมือในการร่วมจัดตั้ง “ศูนย์วิจัยจีน CASS-NRCT CCS” ประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง วช. กับ CASS ซึ่งให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยน นักวิจัยรุ่นเยาว์ระหว่างไทย-จีน มีการเตรียมแผนงานโครงการวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในประเด็นเร่งด่วน รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งของบันทึกข้อตกลง (MOU) ผ่านกลไกการทำงานในประเด็นอาเซียน-จีน และการพัฒนาโครงการนำร่องร่วมกัน


พร้อมกันนี้ Professor LI Xiangyang ผู้อำนวยการ NIIS, CASS ได้เรียนเชิญ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ร่วมกล่าวปาฐกถาพิเศษในการสัมมนาวิชาการนานาชาติ “Dialogue on Peace and Development in Asia-Pacific (2024)” ในหัวข้อ “การเสริมสร้างวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างจีน-อาเซียน” (Strengthen the Culture and Social Relationship between China-ASEAN) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2567 ณ Beijing International Hotel กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน


ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่า การขับเคลื่อนการพัฒนาและความร่วมมือในภูมิภาคจีน-อาเซียน ต้องอาศัยศิลปะ และวัฒนธรรมเป็นสะพานข้ามพรมแดน เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม สร้างความไว้วางใจ ความเคารพซึ่งกันและกัน และบทบาทของประเทศไทยโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการเสริมสร้างทักษะของบุคลากรในอาเซียน ภายใต้โปรแกรม ASEAN Talent Mobility (ATM) โดยมีวิสัยทัศน์และมุมมองในการพัฒนาทักษะขั้นสูง ของบุคลากรในอาเซียน ผ่านประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรม โดยมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีความก้าวหน้าและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของ ภาคอุตสาหกรรม การเติบโตทางเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในอาเซียน


ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมขับเคลื่อนการส่งเสริมและยกระดับความร่วมมือในระบบวิจัยโดยมุ่งสร้างความเข้มแข็งในงานวิจัย นวัตกรรม และการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน ต่อไป

45
ฉลองครบรอบ 22 ปี จิมโบรี สาขา พระราม 3


            นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง (ที่ห้าจากซ้าย) ผู้บริหาร จิมโบรี เพลย์ แอนด์ มิวสิค สาขาพระราม 3 จัดงานฉลองในโอกาสครบรอบ 22 ปี จิมโบรี สาขา พระราม 3 โดยเชิญศิษย์เก่าเซเลบริตี้ Next Gen มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความทรงจำวัยเด็กที่ส่งต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ พร้อมมีแขกผู้มีเกียรติ ผู้ปกครอง ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันร่วมงานอย่างอบอุ่น ณ จิมโบรี พระราม 3 บางกอก การ์เด้น เมื่อเร็ว ๆ นี้

บุคคลในภาพ จากซ้ายไปขวา

1. ปืน เหล่าบุญมี
2. ลภัส อัตศาสตร์
3. นาตาเลีย สุโกศล บริโอเนส
4. เคนเน็ท อึง
5. นนทกานต์ ทัพพะรังสี อึง
6. ณัฐอร จันทร์กล่ำ (คุณครูจิมโบรี)
7. กาญ่า ซานอตติ
8. มิรา เหล่าสุวรรณ์
9. สาธิดา ธนะรัชต์
10. คริษฐ์ ทัพพะรังสี อึง
11. รตภูมิ วาณิชกะ

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 2472