enjoyjam.net

ภาพยนตร์ => ข่าวภาพยนตร์ => Topic started by: FB on March 27, 2012, 01:37:31 PM

Title: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on March 27, 2012, 01:37:31 PM
ท้าทายความสามารถที่สุดในชีวิตการแสดง “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็น “จัน ดารา” ภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่องยิ่งใหญ่







          ท้าทายความสามารถที่สุดในชีวิตการแสดง “มาริโอ้ เมาเร่อ” เป็น “จัน ดารา” ภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ ของ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”  

          เปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ “จัน ดารา” ผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ “หม่อมน้อย-หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับชั้นครูของวงการภาพยนตร์ไทย โดยครั้งนี้ได้นำวรรณกรรม “เรื่องของจัน ดารา” ของ “อุษณา เพลิงธรรม” มาสร้างเป็นภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ และได้คัดเลือกนักแสดงหนุ่มมากความสามารถ “มาริโอ้ เมาเร่อ” มารับบทเป็น “จัน ดารา” ตัวละครหลักของเรื่อง ซึ่งถือเป็นบทบาทที่ท้าทายและพิสูจน์ฝีมือที่สุดในชีวิตการแสดงของเขา เพราะต้องแสดงตั้งแต่วัยหนุ่มถึงแก่กันเลยทีเดียว

          หม่อมน้อย เผยถึงผลงานเรื่องใหม่ล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกว่า “ที่เราเลือกทำ ‘จัน ดารา’ ในตอนนี้ก็เพราะรู้สึกว่า โดยเนื้อหาสาระจากหนังสือที่อุษณา เพลิงธรรม (ประมูล อุณหธูป) เขียน ถึงแม้ว่าจะเขียนมานานเกือบ 50 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาสาระก็ยังทันสมัยมาก ยังสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ และเหมือนเป็นกระจกที่จะสะท้อนให้เห็นกิเลสในใจของคน มันไม่ใช่แค่ตัณหาราคะอย่างเดียว แต่คนที่ยึดมั่นกับความเคียดแค้นมันจะก่อให้เกิดปัญหา และหายนะยังไงกับตัวเองและคนรอบข้างจนนำไปสู่ปัญหาสังคมในระดับรวมด้วย

          และที่เราคัดเลือก ‘มาริโอ้’ มารับบทนำของเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าไม่มีนักแสดงไทยคนไหนแล้วที่ด้วยวัย รูปลักษณ์ และฝีมือที่จะมารับบทจัน ดาราได้เท่ากับมาริโอ้ ซึ่งจากเรื่องที่แล้วใน ‘อุโมงค์ผาเมือง’ มาริโอ้ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วในการก้าวเข้ามารับบทที่แตกต่างจากที่เคยเล่นหนังวัยรุ่นธรรมดามาเล่นเป็นพระได้อย่างบริสุทธิ์ผ่องแผ้วมาก คราวนี้เราเลยรู้สึกว่าอยากทำงานร่วมกับมาริโอ้ให้เข้าไปถึงตัวละครในลักษณะตรงข้าม ที่ดำดิ่งไปสู่ตัณหาราคะและกิเลส ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายฝีมือการแสดงของนักแสดงชายของประเทศเรามาก และน่าจะเป็นงานแสดงที่น่าประทับใจอีกมุมหนึ่งของมาริโอ้ ซึ่งความยากก็คือ มาริโอ้จะต้องเล่นตั้งแต่อายุ 17-90 ปีเลย คือจัน ดาราคราวนี้ จะดำเนินเรื่องในสี่ยุคสมัยเริ่มตั้งแต่สมัย ร.6 จบลงที่ ร.9 การดำเนินเรื่องก็ไม่เหมือนกัน มุมมองก็ต่างกัน และคราวนี้จะมีหลากหลายอารมณ์มากกว่า”

          ด้านหนุ่มมาริโอ้ก็พูดถึงความรู้สึกในผลงานสุดท้าทายความสามารถนี้ว่า “ครั้งแรกที่โอ้ได้รู้ว่าหม่อมทำเรื่องนี้ โอ้ก็เชื่อมั่นและรู้ว่าหม่อมมีแง่มุมต่างๆ ที่ต้องการจะนำเสนออยู่แล้ว มันเป็นบทที่ท้าทายฝีมือการแสดงของเรา คือไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ หม่อมเสนอมาโอ้ก็รับเล่นเลย จากเรื่องที่แล้วเนี่ยมันคนละด้านกันเลย เรื่อง ‘จัน ดารา’ นี้จะเป็นมนุษย์จริงๆ มีทั้งด้านดีและร้าย มีหลากหลายอารมณ์ที่ต้องแสดงและเป็นตัวดำเนินเรื่องไปตลอด ต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลย ตัวละครของโอ้จะต้องเจออะไรที่แตกต่างไปตามช่วงอายุ มุมมองความคิด และเหตุผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราอายุเท่านี้จะได้เล่นบทบาทที่มันท้าทายความสามารถขนาดนี้ และยากมากที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ ทำให้โอ้ต้องหมั่นฝึกฝนและเข้าคลาสกับหม่อมอย่างหนักมาก นี่เป็นบทที่ดีมากจริงๆ ครับ”

          “จัน ดารา” กำลังอยู่ในช่วงเตรียมงานสร้างและพร้อมถ่ายทำกันในเร็วๆ นี้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไทยคุณภาพเรื่องยิ่งใหญ่ของค่ายสหมงคลฟิล์มในปี 2555 นี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา”
Post by: FB on May 23, 2012, 07:15:53 PM
“นิว ชัยพล” ประเดิมบทนำประกบ “มาริโอ้” ใน “จัน ดารา” เวอร์ชั่น “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”





          หลังจากเซ็นสัญญากับ “สหมงคลฟิล์ม” และได้ผ่านตาผู้ชมไปใน “อุโมงค์ผาเมือง” เมื่อปีที่ผ่านมา ล่าสุด นักแสดงหนุ่มน่าจับตา “นิว-ชัยพล พูพาร์ท” ก็ได้รับโอกาสท้าทายผีมือการแสดงและเตรียมแจ้งเกิดเต็มๆ กับการประเดิมรับบทนำเต็มตัวครั้งแรกประกบ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ในบท “เคน กระทิงทอง” ในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จัน ดารา” ผลงานกำกับเรื่องใหม่ของผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”

          “ในเรื่องนี้ผมรับบท ‘เคน กระทิงทอง’ ครับ เป็นลูกของหัวหน้าแม่ครัวในบ้านของคุณหลวง เราก็จะโตมากับคุณจัน (มาริโอ้) จะคอยเลี้ยงคุณจันมาตั้งแต่เด็กเลย เพราะว่าจันจะกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิด และพ่อก็ไม่รัก เคนก็จะเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย คอยดูแลทุกอย่างเลย พอจันจะไปไหนเราก็จะตามไปด้วย เหมือนเป็นบอดี้การ์ดอะไรอย่างนี้ คอยคุ้มกัน คอยเป็นเพื่อนช่วยคิด ช่วยในทุกๆ อย่าง เคนก็จะเป็นภาคบู๊ใช้กำลัง ส่วนจันก็จะเป็น สไตล์บุ๋นใช้ความคิด เรื่องนี้ผมต้องเล่นแอ็คชั่น ก็จะต้องไปเรียนคิวบู๊ คิวแอ็คชั่นกับทีมพี่พันนาก่อนด้วยครับ

          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้เล่นก็ตื่นเต้นก่อนเลย หม่อมจะให้เราเล่นจริงเหรอ เพราะเป็นบทนำเต็มตัวเรื่องแรก ในหนังจะเดินเรื่องคู่กะโอ้ ตลอดเรื่องตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้ายเลย บทมันเยอะมาก ความรู้สึกต่อมาคือ เราจะทำได้มั้ย เพราะเรื่องที่แล้วใน ‘อุโมงค์ผาเมือง’ เล่นแค่ 3-4 ฉากแค่นั้นเราก็ตื่นเต้น กลัวทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่นี่มาทั้งเรื่องเลย ก็เครียดกลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อได้ซ้อมการแสดงกับหม่อมก่อนการถ่ายทำจริงประมาณ 5-6 เดือน ก็ทำให้บทที่ยากมันง่ายขึ้น พูดได้เลยว่าแทบไม่มีปัญหาการแสดงในช่วงถ่ายทำเลยครับ เพราะปัญหาในการแสดงการจำบทมันเป็นปัญหาในตอนซ้อมและก็ได้คลี่คลายไปหมดแล้ว แต่ถ้าถามว่ายากมั้ย ยากมาก ยากที่สุดในชีวิตที่เคยแสดงมาเพราะต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่ดำเนินเรื่องผ่าน 4 ยุคสมัย (ร.6-ร.9) อย่างน่าสนใจมากๆ ครับ ทีมงานนักแสดงทุกคนก็ตั้งใจกันเกินร้อยมาก ผมว่าคนดูต้องชอบเพราะมันมีทั้งกลิ่นอายของหนังไทยและหนังต่างประเทศที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวมากครับ”

          ด้าน “หม่อมน้อย” พูดถึงพระเอกหนุ่มนี้ว่า

          “ที่เลือกนิวให้มารับบทนี้ก็เพราะด้วยวัย รูปร่างหน้าตา ความสามารถ ความตั้งใจ และด้วยความที่นิวกับโอ้เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ทำให้สนิทกันมาก คุ้นกันมากกับบทที่ต้องเล่นเป็นเพื่อนรักกัน และนิวเองก็มีเคมีเข้ากันกับมาริโอ้เวลาแสดงจะเข้าขากันมาก มีการรับส่งอารมณ์กันอย่างดีมาก และก็ยังต้องมีฉากชกมวย มีบู๊แอ็คชั่น ก็จะมีช่วงฝึกฝนฝึกซ้อมเตรียมตัวเล่นเรื่องนี้ถึง 6 เดือน มีการเข้ายิม ฝึกคิวบู๊ซึ่งนิวก็ทำได้ดีมากๆ ทั้งการเล่นบทดราม่าและแอ็คชั่นในเรื่องนี้“

          เตรียมชมบทบาทครั้งสำคัญของ “นิว ชัยพล” ได้ในภาพยนตร์ฟอร์มดี “จัน ดารา” พร้อมฉายเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา”
Post by: FB on May 31, 2012, 09:17:23 AM
เผยโฉมแรกความร้อนแรง“หญิง-รฐา โพธิ์งาม” รับบท “คุณบุญเลื่อง”ผู้สอนบทรักให้มาริโอ้ ใน “จัน ดารา”

         

            ถูกจับตามองและพูดถึงกันเป็นอย่างมากสำหรับบท “คุณบุญเลื่อง” ในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จัน ดารา” ของผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ที่ล่าสุดประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าได้เลือกนักแสดงสาวมากความสามารถอย่าง “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” มารับบทหญิงม่ายผู้สอนบทรักให้ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) อีกหนึ่งความร้อนแรงของเรื่องนี้

“หม่อมน้อย” เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า
          “บทนี้ถูกถามถึงตั้งแต่เริ่มสร้างกันเลยว่าใครจะมาแสดง ซึ่งจริงๆ แล้วเราพิถีพิถันกับการคัดเลือกนักแสดงในทุกๆ บทบาทอยู่แล้ว และบท ‘คุณบุญเลื่อง’ นี้เราก็ได้เชิญนักแสดงหลายๆ คนมาออดิชั่นทดสอบบท แล้วแต่ละคนก็เหมาะสมในแต่ละแบบ แต่ในคราวนี้บทคุณบุญเลื่องถูกตีความเป็นศิลปิน เป็นแม่ม่ายสาววัยสี่สิบที่ได้รับการหล่อหลอมจากประเทศฝรั่งเศสดินแดนแห่งเสรีภาพและศิลปะชั้นสูง มีจิตใจเสรี ไม่ได้อยู่ในกรอบประเพณีของวัฒนธรรมไทยเลย เพราะฉะนั้นในเรื่องเพศเรื่องสรีระ เค้าจึงมองเป็นเรื่องสวยงามในสายตาของศิลปิน แล้วก็มองข้ามความลามกอนาจารไป เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์กับจัน ดาราในเวอร์ชั่นนี้ก็จะมีความลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่เรื่องโลกียเพศอย่างเดียว ตัวละครตัวนี้นอกจากจะต้องใช้คนที่มีความสามารถทางการแสดงแล้ว ยังต้องร้องเพลงได้ เต้นรำได้ เล่นดนตรีได้ ซึ่งคุณสมบัติหลายๆ อย่างนี้หญิงทำได้ทุกอย่าง เค้าสามารถถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ด้วยพรสวรรค์ทางการแสดงและความมีเสน่ห์ในแบบฉบับของหญิง ก็จะเป็นคุณบุญเลื่องในอีกแบบหนึ่งที่จะมีสีสันมาก เพราะคุณบุญเลื่องในคราวนี้ไม่ได้มาเพื่อแสดงฉากเลิฟซีนอย่างเดียว แต่จะมีความสามารถในด้านอื่นๆ อีกมากที่จะแสดงออก ก็คิดว่าหญิงเหมาะสมที่สุดที่จะเล่นเป็นคุณบุญเลื่องในเวอร์ชั่นใหม่ที่มีทั้งความยิ่งใหญ่และความน่าสงสารในตัวนี้”

ทางด้าน “หญิง รฐา” พูดถึงบทร้อนแรงในหนังไทยเรื่องแรกของเธอว่า
          “ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก
          ตัวละครคุณบุญเลื่องนี้ จะคล้ายกับตัวหญิงในเรื่องของศิลปะ ชอบร้องเพลง เล่นดนตรี มีอารมณ์ศิลปิน สิ่งที่ยากคือการแสดงอารมณ์ของความเป็นแม่ เพราะหญิงเองยังไม่เคยมีความรู้สึกนั้น เลยพยายามดึงคาแร็คเตอร์คุณแม่มาใช้เวลาเรามอง จับแขน กอดลูกอย่างนี้ เรื่องภาษาก็เป็นเรื่องที่หนักสำหรับหญิง หญิงติดนิสัยพูดเร็ว เลยสั่งกับตัวเองตลอดเวลาว่าให้คิด เดิน มอง พูดให้ช้าลง เพราะคุณบุญเลื่องอายุมากกว่าหญิง ผ่านอะไรมาเยอะกว่า น่าจะมีสติ อากัปกริยาที่นิ่งและสงบกว่าหญิงมาก แต่ความขี้เล่น ความน่ารักสนุกสนานก็ยังต้องมี เพราะคนที่ชอบร้องเพลงฟังเพลงจะมีมุมที่เป็นเด็กอยู่ในตัวเอง

          สำหรับบทอิโรติกกับโอ้ หญิงจะมองให้เป็นตัวละครค่ะ เวลาเล่นก็จะคิดถึงเหตุและผลของตัวละครตลอด และคุณบุญเลื่องเองก็จะมองเรื่องบนเตียงเป็นเรื่องที่รองจากความรักอยู่แล้ว เค้ามองว่าเป็นแค่ความต้องการที่มนุษย์ทุกคนต้องมี รวมๆ แล้วการแสดงในเรื่องนี้ก็จะยากทั้งหมดเลยค่ะ ต่างกันที่ยากมากยากน้อยค่ะ

          เวลาเราพูดถึงเรื่อง ‘จัน ดารา’ สิ่งที่เราคิดขึ้นมาในหัวคงเป็นเรื่องความใคร่ ชิงรักหักสวาท แต่สำหรับครั้งนี้ มันจะสื่อให้เห็นถึงจิตใจมนุษย์ ความรัก ความแค้น อำนาจ สิ่งที่ทุกคนอยากจะได้อยากจะมี จะด้วยเจตนาร้ายหรือดีก็ตาม มนุษย์เราก็แคนี้ ทุกสิ่งในชีวิตเราก็คือห่วง เมื่อเราหมดห่วงได้เราก็จะเป็นสุข หญิงรู้สึกอย่างนั้นค่ะ การตีความของหม่อมในเวอร์ชั่นนี้ยอดเยี่ยมมากค่ะ”

          เตรียมพบการแสดงภาพยนตร์ไทยครั้งแรกและครั้งสำคัญของ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” ในบท “คุณบุญเลื่อง” ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษนี้
ได้ในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ “จัน ดารา” พร้อมฉายเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา”
Post by: FB on June 23, 2012, 08:16:38 AM
“พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” โชว์ฝีมือเด็ด เล่น 2 บทบาท เป็นหญิงในใจมาริโอ้ ในหนังฟอร์มยักษ์ “จัน ดารา”















          นานทีปีหนจะแสดงภาพยนตร์สักครั้งสำหรับนักแสดงสาวเจ้าบทบาท “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” ที่ล่าสุดได้รับโอกาสดีจากผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ให้มารับบทสำคัญในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมฟอร์มยักษ์เรื่อง “จัน ดารา” ถึง 2 คาแร็คเตอร์ในบท “ไฮซินธ์” นักศึกษาสาวชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์สะอาด และอีกหนึ่งในบท “ดารา พิจิตรวานิช” มารดาผู้เลอโฉมของจัน ดารา ซึ่งเธอจะได้แสดงความสามารถและท้าทายฝีมือการแสดงในบทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน

พิ้งกี้พูดถึงการแสดงสุดท้าทายนี้ว่า

          “เรื่องนี้กี้ได้แสดงสองบทเลยค่ะ บทแรกก็จะเป็น ‘ดารา’ เป็นผู้หญิงที่สวยสง่า มีฐานะดี เข้าใจความรู้สึกของทุกคน เป็นคนมีจิตใจดีเหมือนกับจัน ดารา เพราะว่าเค้าเป็นแม่ลูกกัน จิตใจของเค้าที่ไม่คิดอะไรกับคนอื่นมันส่งไปถึงตัวจัน ส่วนอีกบทคือ ‘ไฮซินธ์’ เป็นนักเรียนอิสลาม จะเป็นความรู้สึกของเด็กใสๆ ที่จะเป็นรักแรกของจันค่ะ ทั้งสองตัวละครนี้ก็จะมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและเป็นผู้หญิงที่เป็นปมในใจของจันอยู่ตลอดมาค่ะ

          สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่มีอารมณ์หลากหลายของมนุษย์มากทั้งความรัก ความใคร่ ความแค้น ถ้าลองมาดูเรื่องนี้มันจะมีอะไรมากมายให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์มันไม่มีความแน่นอนเลยค่ะ กี้ถือว่าได้รับโอกาสที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงค่ะ รู้สึกดีใจมาก ก็คิดว่าครั้งหนึ่งเราอยากร่วมงานกับหม่อมน้อย แล้ววันนี้ฝันก็เป็นจริง พอเราได้มาเล่นจริงๆ เราก็ได้อะไรมากมายจากหม่อม นอกเหนือไปจากการแสดงแล้วหม่อมยังมีแง่มุมการใช้ชีวิตให้เราได้เรียนรู้อีกด้วย กี้รู้สึกปลาบปลื้มและโชคดีที่ได้เล่นเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”

          หม่อมน้อยกล่าวเพิ่มเติมว่า “หลังจากที่แคสนักแสดงหลายคน พิ้งกี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดในทั้งสองบทบาทโดยเฉพาะบท ‘ไฮซินธ์’ สาวมุสลิมผู้เป็นรักแรกของจัน ดารา ประกอบกับความสามารถในศิลปะการแสดงระดับอินเตอร์ ผมเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชมจะต้องประทับใจในบทบาทการแสดงทั้งสองบทนี้ของพิงกี้”

          เตรียมชมสองบทบาทครั้งสำคัญของ “พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช” ได้ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จัน ดารา” พร้อมฉายเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา”
Post by: FB on July 03, 2012, 06:27:40 PM
ปิดลานพระบรมรูปฯ ถ่ายฉากใหญ่ “จัน ดารา” เปิดตัว “มาริโอ้” ประกบ “พิ้งกี้” ในฉากเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475









          ผู้กำกับฝีมือดี “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ปิดถนนลานพระบรมรูปทรงม้าล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เนรมิตเป็นฉากวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมฟอร์มยักษ์เรื่อง “จัน ดารา”

          อันเป็นฉากเปิดตัว “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) นักศึกษาหนุ่มวัย 17 ปีซึ่งไปร่วมในกลุ่มฝูงชนที่เฝ้าดูเหตุการณ์คณะราษฎร์อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปประทับ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อทรงเป็นตัวประกันตามเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และที่นั่นเองที่จันได้พบกับนักศึกษาสาว “ไฮซินธ์” (สาวิกา ไชยเดช) เป็นครั้งแรก ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการปฏิวัติรัฐประหาร อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรักแสนบริสุทธิ์ของหนุ่มสาวทั้งคู่นี้

          หม่อมน้อยเผยถึงหนึ่งในฉากใหญ่ของเรื่องว่า

          “เนื่องจากฉากนี้เป็นฉากสำคัญฉากหนึ่งของเรื่องซึ่งเป็นการเปิดตัวจัน ดาราวัยหนุ่ม ที่ได้พบกันครั้งแรกกับไฮซินธ์สาวผู้เป็นรักแรกของเขา ท่ามกลางเหตุการณ์จริงทางประวัติศาสตร์ เราจึงสร้างบรรยากาศปริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าให้สมจริงที่สุดในทุกๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นขบวนทหารในรถยนต์แบบโบราณ หรือฝูงชนในเครื่องแต่งกายย้อนยุคซึ่งใช้นักแสดงประกอบนับร้อยชีวิต โดยปิดถนนบริเวณลานพระบรมรูปฯ ถ่ายทำกันในตอนเช้าตรู่ เพื่อให้ภาพยนตร์ออกมาอย่างยิ่งใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเมื่อถ่ายทำเสร็จสิ้นก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจทั้งเรื่องการแสดง ภาพงดงาม และฉากตระการตาเป็นอย่างยิ่ง”

          “จัน ดารา” กำลังถ่ายทำกันอย่างเข้มข้นและประณีตละเอียดละออให้สมกับเป็นภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ พร้อมฉายเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on July 07, 2012, 01:51:50 PM
“จัน ดารา” ปิดกล้องสมบูรณ์แบบ!!! พร้อมเปิดกองถ่าย-สัมภาษณ์ครั้งแรก “หม่อมน้อย-มาริโอ้-พิ้งกี้”

 

          ถ่ายทำกันอย่างประณีตและพิถีพิถันจนหยดสุดท้าย ในที่สุดอีกหนึ่งภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่แห่งปี “จัน ดารา” ก็ปิดกล้องอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเปิดกองถ่ายให้กองทัพสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมการถ่ายทำและสัมภาษณ์ผู้กำกับ-นักแสดง “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”, “มาริโอ้ เมาเร่อ” และ “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ณ อาคารพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก เชิงสะพานซังฮี้

          โดยการถ่ายทำในครั้งนี้เป็นฉากที่ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) ได้มีโอกาสพบกันอีกครั้งกับ “ไฮซินธ์” (พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช) นักศึกษาสาวผู้เป็นรักแรกของเขา ณ โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ หลังจากเจอกันครั้งแรกโดยบังเอิญเมื่อครั้งเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองปีพ.ศ.2475 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นการทำความรู้จัก ก่อนที่ทั้งคู่จะมีโอกาสสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีกในครั้งนี้

          การถ่ายทำเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าและเป็นไปอย่างไหลลื่น โดยที่หนุ่มโอ้และสาวพิ้งกี้จะอินกับคาแร็คเตอร์ในช่วงวัยสดใสนี้เป็นพิเศษและแสดงเข้าขากันได้เป็นอย่างดี จากนั้นในช่วงสายๆ กองทัพนักข่าวทุกแขนงก็มารวมตัวทำข่าวกันอย่างคับคั่ง ก็ยิ่งทำให้กองถ่ายยิ่งคึกคักและสนุกสนานขึ้นไปอีก

          หม่อมน้อยได้พูดถึงฉากนี้และภาพรวมของหนังว่า

          “วันนี้ปิดกล้องแล้วแล้วครับหลังจากไปถ่ายทำกันมาตั้งแต่เมษาที่ราชบุรี, กาญจนบุรีแล้วก็มาปิดกันที่กรุงเทพฯ ในฉากนี้ก็เป็นฉากที่จัน ดาราได้มาพบกับไฮซินธ์อีกครั้งและก็ได้สานสัมพันธ์ในความเป็นเพื่อนกันมากขึ้น ซึ่งจันจะรู้สึกถูกชะตากับไฮซินธ์เป็นพิเศษตั้งแต่พบหน้ากันเป็นครั้งแรก เพราะไฮซินธ์มีใบหน้าที่เหมือนกับแม่ของจันที่เสียไปมากๆ ซึ่งฉากนี้โอ้กับพิ้งกี้ก็แสดงเข้าถึงบทบาทกันได้ดี เป็นช่วงวัยที่สดใสในชีวิตของทั้งคู่ ก่อนที่จะต้องเผชิญชะตากรรมในภายหลังโดยไม่คาดคิด การถ่ายวันนี้ไม่มีปัญหาเลยครับ ราบรื่นกันเป็นอย่างดี ทั้งทีมงาน นักแสดง และก็สภาพอากาศกำลังดีอย่างนี้ รวมทั้งหนังก็ถ่ายเสร็จตามคิวแล้วก็มีเวลาให้สื่อฯ สัมภาษณ์ทำข่าวกันอย่างเต็มที่ด้วย

หลายคนมองว่าหนังเรื่องนี้จะต้องอีโรติกโป๊เปลือยอย่างเดียว แต่จริงๆ มันไม่ใช่เลย ฉากหวือหวายังไงก็ต้องมีตามบทประพันธ์ แต่นั่นเป็นแค่ส่วนประกอบไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะจริงๆ ทั้งบทประพันธ์และหนังเวอร์ชั่นนี้จะพูดถึงชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะเป็นอุทธาหรณ์ให้กับคนดู พูดถึงเรื่องกรรมที่เป็นการกระทำของมนุษย์เรานี่แหละที่เต็มไปด้วยด้วยกิเลสตัณหาในใจจนนำไปสู่หายนะทั้งชีวิตตนเองและคนรอบข้าง

          หนังดูง่ายและดูสนุกครับ มีหลายรสชาติมากไม่ซับซ้อนแต่จะพลิกผันเหนือการคาดเดามากกว่า คืออย่าไปยึดติดกันแค่ฉากเลิฟซีนฉากอีโรติกอย่างเดียวเลยครับ หนังมีอะไรให้ได้เสพมากกว่านั้นจริงๆ ใครจะตีความก็จะได้สาระเพิ่มขึ้น ใครจะดูสบายๆ มันก็จะได้ความสนุกจากหนังโดยรวมแน่นอนครับ”

          ภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรม “จัน ดารา” พร้อมให้พิสูจน์คุณภาพ...กันยายนนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on July 07, 2012, 01:52:39 PM
“ตั๊ก บงกช” สุดปลื้มร่วมงาน “จัน ดารา” “หม่อมน้อย” ชมฝีมือเทียบชั้น “นก สินจัย”








    
           นักแสดงสาวมากฝีมือ “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” ปลื้มสุดชีวิตเมื่อได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมเรื่องยิ่งใหญ่ “จัน ดารา” โดยรับบทเด่นเป็น “น้าวาด” ผู้เลี้ยงดูจัน ดาราซึ่งกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิดจนเป็นหนุ่ม

          งานนี้สาวตั๊กต้องปล่อยฝีมือการแสดงแบบน้อยแต่ได้มากในบทกุลสตรีไทยผู้อยู่ในจารีตประเพณีอย่างเคร่งครัดตั้งแต่สาวจนแก่ซึ่งถือเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ท้าทายการแสดงของเธอเป็นอย่างยิ่ง

          ตั๊ก บงกชพูดถึงผลงานล่าสุดของเธอว่า

          “จริงๆ ตั๊กก็ดูผลงานของหม่อมน้อยมาหลายเรื่อง และก็อยากร่วมงานกับหม่อมมากๆ ทุกตัวละครในหนังของหม่อมจะมีเรื่องราว เป็นหนังไทยพีเรียดย้อนยุคที่น่าสนใจ ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกที่หม่อมติดต่อให้เข้าไปคุยก็แซวตั๊กก่อนเลยว่า เราเคยเห็นในข่าวเธอดูแรงๆ นะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็อยากให้ตั๊กเปลี่ยนลุคไปจากเรื่องที่ผ่านๆ มา จะให้เล่นบท ‘น้าวาด’ ซึ่งจะเป็นหญิงไทยที่เรียบร้อยมาก จะไม่ค่อยมีอิสระเท่าไรนัก จะเป็นผู้หญิงที่ยอม ไม่มีปากเสียง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ แต่เป็นวิธีที่นิ่มนวลไม่รุนแรง คาแร็คเตอร์นี้จะไม่แต่งตัวเลย แล้วพอไปอยู่กับคุณบุญเลื่องเราก็จะกลายเป็นแม่บ้านไปเลย

          บทนี้ก็ยากเลยค่ะ มันต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่าง มันนิ่งก็จริง แต่สายตาจะแสดงออก หม่อมจะไม่ได้ให้เล่นท่าทางมาก แต่จะให้ออกทางหน้าทางสายตา แล้วก็เป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว ชอบร้องไห้ ดีใจก็ร้อง เสียใจก็ร้อง จริงๆ ตั๊กจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ร้องเฉพาะเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่พอมาเรื่องนี้เราต้องร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่ได้ร้องนิดเดียวนะ ร้องทั้งวันเลย เพราะมันถ่ายต่อเนื่อง บางครั้งก็ต้องรอหน่อย เราก็กดดันเหมือนกัน หม่อมก็จะพูดเล่น ‘อ่ะ ทุกคนเงียบ รอตั๊กร้องไห้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอตั๊กร้องไห้อย่างเดียว’ (หัวเราะ)

          ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกันนี้ ตั๊กก็รู้ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีดุกันบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ แล้วที่ผ่านมาก็ได้ยินแต่ข่าวดีๆ ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งก็ทำให้การทำงานมันเป็นไปด้วยดี หม่อมจะบอกว่า การที่เราจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้ เราเองต้องมีวินัย ถ้าเราไม่มีวินัย เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้มันก็ยาก พอตั๊กได้มาร่วมงานกับหม่อมแล้ว ตั๊กก็รู้สึกดีใจมากๆ หม่อมน่ารัก เป็นคนที่เมตตากับตั๊กมาก สอนในสิ่งที่ตั๊กไม่รู้ หม่อมจะสอนเรื่องทั่วไปทุกอย่างเลย แล้วก็เอามาประยุกต์ใช้กับตัวละครได้ ไม่เคยด่าว่าตั๊กเลย อันไหนตั๊กยังทำไม่ได้ก็จะมาช่วยสอนช่วยบิลท์อารมณ์ ตั๊กว่าหม่อมน่ารักมากๆ ค่ะ”

          หม่อมน้อยเผยเพิ่มเติมว่า

          “ตั๊กมีความงามแบบหญิงไทยโบราณ เมื่อแต่งชุดไทยเขาจะงามราวกับนางในวรรณคดีสมกับบทบาทที่ผู้ประพันธ์ (อุษณา เพลิงธรรม) ได้บรรยายไว้ ประกอบกับความตั้งใจและทุ่มเทในการฝึกซ้อมทำให้การแสดงของตั๊กออกมาอย่างละเมียดละไมและลึกซึ้งเทียบเท่าฝีมือการแสดงระดับนก สินจัย เมื่อวัยสาวเลยทีเดียว”

          เตรียมพบการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย” ได้ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จัน ดารา” พร้อมฉายเร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์


Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on July 23, 2012, 07:23:30 AM
“หม่อมน้อย” อิมพอร์ตดาราญี่ปุ่น “โช นิชิโนะ” รับบทสาววิปริตสุดแรงใน “จัน ดารา”

 

          เพื่อเป็นอีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จัน ดารา” ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ได้อิมพอร์ต “โช นิชิโนะ” (Sho Nishino) นักแสดงสาวมากความสามารถจากประเทศญี่ปุ่น มารับเป็น “คุณแก้ว” หญิงวิปริตผู้เป็นคู่ปรับของจัน ดาราตั้งแต่เกิดจนโต เธอเป็นคนที่ถือตัวเย่อหยิ่ง ชอบดูถูกคน และหากเธอได้รักชอบใครก็จะลุ่มหลงทุ่มเทโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น จนในที่สุดต้องตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว ถือเป็นอีกหนึ่งคาแร็คเตอร์โดดเด่นและต้องใช้การแสดงอารมณ์อันซับซ้อนที่สื่อออกมากับพฤติกรรมทางเพศแทบตลอดเรื่อง ซึ่งหม่อมน้อยได้เผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “บทของ ‘คุณแก้ว’ เป็นบทผู้หญิงที่แรงที่สุดในเรื่อง เพราะมีปมซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ซึ่งปรากฏออกมาในรูปของพฤติกรรมทางเพศอันรุนแรง ยากที่นักแสดงหญิงชาวไทยจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง เราจึงจำเป็นต้องใช้นักแสดงต่างชาติมารับบทสำคัญในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าโชคดีที่เราเลือกโช นิชิโนะมารับบทนี้ เพราะเขาเป็นนักแสดงที่พูดได้ว่าเป็นมือโปรระดับสากล สามารถแสดงได้ในทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นบทอิโรติกหรือดราม่า ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบในระดับอินเตอร์” ทางด้านสาวโชพูดถึงการแสดงภาพยนตร์ไทยครั้งแรกนี้ว่า

          “ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกอย่าง ‘จัน ดารา’ ก็รู้สึกงงๆ ว่าติดต่อมาได้ยังไง ดิฉันจะทำได้เหรอ เพราะเป็นคนญี่ปุ่น พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แล้วจะพูดบทได้ยังไง แต่ว่าพอพูดคุยกันและได้เห็นบทแล้วเนี่ย รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะว่าบท ‘แก้ว’ ในเรื่องจัน ดารานี้เป็นบทที่ใหญ่และสำคัญมากต่อเรื่อง แต่ก็รู้สึกกดดันและตื่นเต้นว่าจะทำได้หรือเปล่า สามารถพูดบทภาษาไทยได้มั้ย แล้วการแสดงของดิฉันเนี่ยจะทำให้ผู้ชมแฮปปี้ได้ไหม ก่อนที่จะบินมาไทยเนี่ยนอนไม่หลับเลยค่ะ แต่พอมาถึงกองถ่ายได้พูดคุยรายละเอียดกับหม่อมน้อย ได้ฝึกหัดภาษาไทย ซักซ้อมอ่านบทและการแสดงกับคนอื่นๆ รวมถึงเห็นการทำงานแบบมืออาชีพแล้วก็รู้สึกไม่ต้องกลัวแล้ว เล่นได้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ

          ที่ยากที่สุดก็คือบทพูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยทำเลยในชีวิต พอมีเวลาว่างก็จะหัดซ้อมฝึกพูดตลอดเวลาเลยค่ะจากแผ่นซีดีบ้าง จากล่ามบ้าง และจากนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ก่อนถ่ายทำก็กลัวมากๆ ค่ะ แต่พอถ่ายเสร็จแล้ว ทุกคนแฮปปี้ ปรบมือกันก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ

เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทย และญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจ และก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ

          ได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงของทุกคนที่รับส่งอารมณ์กันได้ดี ภาพสวยมากๆ รวมถึงเนื้อหาที่สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ ผู้ชมสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้”

          เตรียมพบการแสดงของนักแสดงอิมพอร์ต “โช นิชิโนะ” ในเรื่อง “จัน ดารา” ได้ในเดือนกันยายนนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on July 24, 2012, 02:52:50 PM
“นิว ชัยพล” โชว์แม่ไม้มวยไทย พร้อมเปิดตัว “โช นิชิโนะ” ครั้งแรก ในฉากใหญ่ “จัน ดารา”







           เป็นอีกหนึ่งฉากใหญ่และสำคัญของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จัน ดารา” สำหรับฉากโชว์ลีลาแม่ไม้มวยไทยของ “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” พร้อมเป็นฉากเปิดตัวครั้งแรกของ “โช นิชิโนะ” ในบท “คุณแก้ว” ลูกสาวของคุณหลวงวิสนันท์เดชา ซึ่งชื่นชอบกีฬาชกมวยเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย

          โดยฉากนี้ได้ถ่ายทำกันในบ้านวังตาลของหลวงสิทธิเทพการที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งสมมติให้เป็น “คฤหาสน์วิสนันท์” ตามเรื่อง โดยนิว ชัยพลในบท “เคน กระทิงทอง” กำลังแข่งชกมวยไทยซึ่งเป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียวของชนชั้นล่างในบ้านวิสนันท์ โดยมีคุณแก้วเป็นประธานในการแข่งขันและ “จัน ดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) ยืนเชียร์เพื่อนรักอยู่ที่ข้างสังเวียนมวยด้วยความตื่นเต้น

หม่อมน้อยเผยถึงฉากใหญ่นี้ว่า

          “ฉากนี้เป็นฉากที่ดาราสาวชาวญี่ปุ่น ‘โช นิชิโนะ’ เข้าฉากเป็นครั้งแรกในการถ่ายทำซึ่งตัวเธอรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในลีลาแม่ไม้มวยไทยของนิว ชัยพลเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เป็นความรู้สึกเดียวกับตัวละครคุณแก้วตามเนื้อเรื่อง ทำให้เธออินกับบทบาทนี้และแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

          ทางด้านศิลปะแม่ไม้มวยไทยของนิวในฉากนี้ เราก็ได้ ‘พันนา ฤทธิไกร’ ผู้กำกับหนังบู๊ชั้นครูมาเป็นผู้ฝึกสอนให้นานถึง 3 เดือน ซึ่งนิวแสดงได้อยางเป็นธรรมชาติสวยงามสมบทบาทอย่างดีเยี่ยม แม้แต่มาริโอ้ยังทึ่งในความสามารถของนิวทำให้ฉากนี้ออกมาอย่างสมจริงและสมบูรณ์เป็นที่สุด”

          ด้านนิว ชัยพลพูดถึงฉากแอ็คชั่นครั้งแรกของเขาว่า

          “ฉากนี้เป็นฉากแข่งชกมวยซึ่งทำให้เห็นคาแร็คเตอร์ของตัวเคนอย่างชัดเจนทั้งความทะเล้น ความเชี่ยวชาญทางด้านเตะต่อยเป็นอย่างสูง ตัวเคนก็จะเป็นบ่าวอยู่ในหลังบ้านของคุณหลวง เราก็จะต่อยกับบ่าวผู้ชายในบ้านนี่แหละจนเราเป็นแชมป์ ไม่มีใครในบ้านนี้ที่จะล้มเราได้ เราชนะมาทุกคนละ ฉากนี้ผมเล่นตอนแรกๆ ก็มีปัญหาบ้างนิดหน่อยครับทั้งเรื่องอากาศร้อนมาก ตัวแสดงหลักและเอ๊กซ์ตร้าเยอะมาก ทำให้สมาธิเราเสียไปบ้างในช่วงแรกๆ แต่พอได้ซ้อมและทวนคิวอีกครั้งก็ทำให้การแสดงแอ็คชั่นเป็นไปอย่างราบรื่น ก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อนถ่ายอยู่นานพอสมควรครับ ต้องเข้าฟิตเนส ควบคุมอาหารอย่างจริงจัง และก็ไปเรียนคิวบู๊กับทีมพี่พันนาก่อน ก็จะมีการเรียนการซ้อมกันประมาณ 2-3 เดือน ทั้งหมดนี้ก็ทำให้การแสดงฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้เป็นไปได้อย่างสมจริงมากขึ้นครับ”

          เตรียมพบฉากใหญ่ฉากนี้ได้ในเรื่อง “จัน ดารา” กันยายนนี้...แน่นอน
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 01, 2012, 07:20:44 AM
ตัวอย่าง “จันดารา ปฐมบท”

จันดารา ปฐมบท (HD Trailer)
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=miShj7Bie64" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=miShj7Bie64</a>



          ตัวอย่าง “จันดารา ปฐมบท”
          จากวรรณกรรมเชิงสังวาส สู่ มหากาพย์ภาพยนตร์
          จันดารา
          โศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา
          สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์
          โดย หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล

          ผ่านการพลิกบทบาทสุดเข้มข้นของ
          มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์,
          บงกช คงมาลัย, รฐา โพธิ์งาม, โช นิชิโนะ, สาวิกา ไชยเดช,
          รัดเกล้า อามระดิษ, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ฯลฯ
          6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 02, 2012, 05:39:53 PM
“ศักราช” รับบท “คุณหลวงใจโหด” ปะทะอารมณ์ “มาริโอ้” ให้ตายกันไปข้าง ใน “จัน ดารา”







           เป็นนักแสดงเจ้าบทบาทอันดับต้นๆ ของวงการ สำหรับ “เจี๊ยบ-ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” ผู้เคยสร้างความประทับใจในบท “ทิพย์” หัวหน้าคนงานผู้ซื่อสัตย์จากภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลสุพรรณหงส์ปี 2553 เรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” มาแล้ว ล่าสุด เขาพลิกบทบาทเป็น “หลวงวิสนันท์เดชา” พ่อใจโหดอำมหิตของจัน ดาราผู้กุมอำนาจสูงสุดในคฤหาสน์พิจิตรวานิชอันมั่งคั่งในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฎกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จัน ดารา” ประชันบทบาทอย่างเข้มข้นกับ มาริโอ้ เมาเร่อ, บงกช คงมาลัย, รฐา โพธิ์งาม และ สาวิกา ไชยเดช

          ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เผยถึงการแสดงของนักแสดงลูกหม้อว่า

          “บทบาทของคุณหลวงในครั้งนี้ต้องแสดงตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆ ไปจนถึงอายุ 60 ซึ่งเป็นบทที่ต้องซ่อนแผนร้ายอันลุ่มลึกไว้อย่างแนบเนียน ทั้งยังใช้เซ็กส์เป็นเกมการเมืองในบ้านเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในทุกวิถีทาง และยีงมีความหลากหลายของอารมณ์ซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และยุคสมัย ดังนั้นจึงต้องเลือกนักแสดงที่มีฝีมือและพร้อมที่จะฝึกซ้อมการแสดงก่อนการถ่ายทำเพื่อความเป้นธรรมชาติและสมจริงตามบทประพันธ์ ซึ่งศักราชเป็นนักแสดงที่ทุ่มเทเพื่อที่จะเข้าถึงตัวละครในหนังทุกเรื่องที่เขาแสดง โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่เขาต้องเชือดเฉือนบทบาทกับมาริโอ้ตั้งแต่จัน ดารายังเยาว์วัยจนโตเป็นหนุ่มใหญ่อย่างเข้มข้น ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นผลงานการแสดงชิ้นโบว์แดงอีกงานหนึ่งของเขาเลย”

          ติดตามการแสดงอันเข้มข้นและเร้าใจของ “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” ในเรื่อง “จัน ดารา” ได้ในเดือนกันยายนนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:02:48 PM
Movie: จันดารา ปฐมบท





          กำหนดฉาย 6 กันยายน 2555
          แนวภาพยนตร์ พีเรียด-ดราม่า
          บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
          อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
          ดำเนินงานสร้าง นัยนา อึ้งสวัสดิ์
          กำกับภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล
          บทภาพยนตร์ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล
          กำกับคิวบู๊ พันนา ฤทธิไกร
          กำกับภาพ พนม พรมชาติ
          ออกแบบงานสร้าง พัฒน์ฑริก มีสายญาติ
          กำกับศิลป์ นิติ สมิตตะสิงห์
          ลำดับภาพ สิริกัณณ์ ศรีจุฬาภรณ์
          เทคนิคภาพพิเศษ เซอร์เรียล สตูดิโอ
          ดนตรีประกอบ ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์
          ออกแบบเครื่องแต่งกาย อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์
          แต่งหน้า-แต่งหน้าเอฟเฟ็คต์ มนตรี วัดละเอียด
          ทีมนักแสดง มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, บงกช คงมาลัย, สาวิกา ไชยเดช, รฐา โพธิ์งาม, โช นิชิโนะ, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ฯลฯ
 
มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา ปฐมบท”

          เรื่องราวโศกนาฏกรรมชีวิตของ “จันดารา” (มาริโอ้ เมาเร่อ) เริ่มต้นนับตั้งแต่เขาถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ณ บ้านพิจิตรวานิชในปี พ.ศ. 2458 เขาเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับความตายของมารดาโดยไม่คาดฝัน นั่นทำให้ “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) ผู้เป็นบิดาได้ลงโทษทัณฑ์เขาอย่างทารุณราวกับว่าเขาไม่ใช่ลูก พร้อมเรียกขานเขาว่า “ไอ้จัญไร”

          ที่เรือนเล็กในสวนหลังบ้าน จันเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของ “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) ญาติสนิทของมารดาจากเมืองพิจิตร และมี “เคน กระทิงทอง” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) ลูกชายแม่ครัวในบ้านเป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวที่จันสามารถเล่าทุกอย่างให้ฟังได้

          ต่อมาน้าวาดได้ตกเป็นภรรยาของคุณหลวง และให้กำเนิดลูกสาวสาวชื่อ “คุณแก้ว” หรือ “วิไลเลข” (โช นิชิโนะ) อันเป็นที่รักยิ่งของคุณหลวงซึ่งสอนให้หล่อนเกลียดชังจันตั้งแต่จำความได้

          ตัวคุณหลวงเองนั้นก็มักมากในกาม บริวารหญิงแทบทั้งสิ้นในบ้านล้วนตกเป็นเมียลับของเขา ซึ่งเมื่อเขามีอารมณ์ที่จะสังวาสกับหญิงคนใดก็กระทำการอย่างเปิดเผยไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือมุมใดในบ้านหลังนั้นอย่างเสรี จนทำให้เด็กทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นจัน ดารา, เคน กระทิงทอง หรือคุณแก้วล้วนเติบโตขึ้นมาในบรรยากาศแห่งกามตัณหาอย่างที่ไม่สมควรจะเกิดให้เป็นแบบอย่างแก่เด็กคนใดก็ตาม

          เมื่อจันเติบโตเป็นหนุ่ม เขาได้เรียนรู้ประสบการณ์แห่ง “กามคุณ” กับบ่าวหญิงในบ้าน โดยการชักนำของเคน กระทิงทอง ก่อนที่จันจะได้พบรักอันบริสุทธิ์เป็นครั้งแรกกับ “ไฮซินธ์” (สาวิกา ไชยเดช) เพื่อนหญิงร่วมโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษภาคค่ำ จนกระทั่งเมื่อคุณหลวงได้พา “คุณบุญเลื่อง” (รฐา โพธิ์งาม) คนรักเก่าเข้ามาอยู่บ้าน ทำให้จันเกิดความประทับใจในความสง่างามและความอบอุ่นประดุจมารดา ส่วนตัวคุณบุญเลื่องเองก็ประทับใจในความละเอียดอ่อนลึกซึ้งดุจศิลปินของจัน จนมีความสัมพันธ์ลับอันเกินเลย

          และแล้ววันหนึ่ง ชะตากรรมได้พลิกผันทำให้จันล่วงรู้ความจริงบางอย่างอันน่าอดสูเกี่ยวกับตระกูลของเขา นั่นทำให้จันตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต เพราะคุณหลวงนั้นเป็นมนุษย์ฉ้อฉลผู้ใช้ทุกกลวิธีในการคดโกงเพื่อครอบครองทรัพย์สินอันมหาศาลแห่งตระกูลพิจิตรวานิช ทำให้จันต้องเดินทางหนีภัยจากพระนครไปพำนักอยู่กับ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” (รัดเกล้า อามระดิษ) ผู้เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ที่เมืองพิจิตร เพื่อรอเวลาชำระแค้นและเอาทุกสิ่งทุกอย่างคืนกลับมาเป็นของเขาให้จงได้

          โศกนาฏกรรมชีวิตของ “จันดารา” แวดล้อมไปด้วยผู้คนรอบข้างที่สะท้อนมวลอารมณ์แห่งความรัก ความชัง ความใคร่ ความเคียดแค้น และการจดจำเอาเยี่ยงอย่างมาสู่การดำเนินชีวิตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          อีกทั้งยังเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของความเป็นมนุษย์อันน่าสมเพชจนนำไปสู่หายนะอย่างแท้จริง

กฎแห่งกรรม...กิเลสแห่งกาม

          “นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวเรื่องแรกของผู้เขียน ซึ่งต้องขอบอกกล่าวไว้เสียด้วยว่า เป็นเรื่องอ่านเล่น ซึ่งไม่ใช่ของสำหรับเด็ก และเป็นของแสลงอย่างยิ่งสำหรับบุคคลประเภท ‘มือถือสาก ปากถือศีล’”

          “เรื่องของจัน ดารา” จัดเป็นงานที่พรรณนาภาพอันน่าสังเวชของมนุษย์ที่ตกอยู่ใน “เขาวงกตแห่งกามตัณหา” นักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” เขียนเรื่องนี้อย่างผู้ที่มากด้วย “ประสบการณ์” และ “ประสบกาม” จัดได้ว่าเป็นแบบ “อัตถนิยมแท้ๆ” (Realism) เล่มหนึ่งของวงวรรณกรรมไทย

          ความน่าสนใจของวรรณกรรมเรื่องนี้ มิใช่การรจนาอันละเมียดละไมอย่าง “วิจิตรบรรจง” ใน “บทอัศจรรย์เชิงสังวาส” แต่เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่การสร้างสรรค์ลักษณะนิสัยของ “ตัวละคร” ทุกตัวอย่างมีจิตวิญญาณและเลือดเนื้อ เป็นมนุษย์ปุถุชนในโลกของความเป็นจริง ทุกตัวละครล้วนมี “มิติ” ของความเป็น “คน” ที่พบเห็นได้สัมผัสได้ในทุกยุคทุกสมัย มีทั้งด้านดีและเลวคละเคล้ากันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับอิทธิพลทาง “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันป็น “เบ้าหลอม” ทำให้มนุษย์ก่อพฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นไปใน “ด้านบวก” หรือ “ด้านลบ”

          ตัวละครอย่าง “จันดารา” จึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของชะตากรรมที่น่าสังเวช อันมีเหตุมาจาก “กรรมพันธุ์” และ “สภาพแวดล้อม” อันโหดร้ายทารุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          “ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็น ‘จันดารา’ ก็ต้องตอบว่าในยุคสมัยที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยการแสวงหาอำนาจเงินทองชื่อเสียงเกียรติยศต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัณหาของมนุษย์ อาจจะพูดได้ว่าเป็นยุคสมัยที่มนุษย์เราเป็นทาสของสภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงชีวิตประจำวัน ครอบครัว ระดับประเทศ หรือระดับโลกก็ตาม มันมีผลต่อการกระทำของเราเสมอ อันนี้มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจให้คิดถึงวรรณกรรม ‘เรื่องของจัน ดารา’ ซึ่งผู้ประพันธ์คือ อุษณา เพลิงธรรม (ครูประมูล อุณหธูป) ได้แฝงเรื่องเหล่านี้เอาไว้ภายใต้เปลือกของความเป็นอีโรติกของบทประพันธ์นี้ และที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นมันพูดถึงเรื่อง ‘กรรม’ ใครทำอะไรประพฤติอย่างไรก็จะได้ผลกรรมอย่างนั้นซึ่งเป็นแก่นแท้ของบทประพันธ์นี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีวรรณกรรมเรื่องไหนที่สะท้อนภาพชีวิตแม้กระทั่งสังคมปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้ใกล้เคียงเท่าเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะเขียนมานานเกือบ 50 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาสาระก็ยังทันสมัยมาก ยังสะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของมนุษย์ซึ่งในปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ และเหมือนเป็นกระจกที่จะสะท้อนให้เห็นกิเลสในใจของคน มันไม่ใช่แค่ตัณหาราคะอย่างเดียว แต่คนที่ยึดมั่นกับความเคียดแค้นมันจะก่อให้เกิดปัญหาและหายนะยังไงกับตัวเองและคนรอบข้างจนนำไปสู่ปัญหาสังคมในระดับรวมด้วย

          นี่คือความโดดเด่นของเรื่องจันดารา ที่นอกเหนือไปจากฉากอีโรติกที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้นมาเมื่อยุคสมัย 2507 ที่ยังไม่เคยมีใครเขียนเรื่องทำนองนี้ ก็เลยเป็นที่ฮือฮากันมากในวรรณกรรมเชิงสังวาส พูดง่ายๆ ก็คือเป็นเรื่องโป๊ แล้วเราก็จะตื่นเต้นกับบทอัศจรรย์บทสังวาสที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ว่าความเป็นอัจริยะของท่านเนี่ย ได้ซ่อนปรัชญาทางพุทธเอาไว้ แล้วก็ตีแผ่จิตมนุษย์ออกมาในงานวรรณกรรม ซึ่งเราว่ายุคสมัยนี้ใกล้เคียงในเรื่องทีเดียวนะ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ เราว่าในยุคสมัยนี้แหละที่น่าจะได้ชมภาพสะท้อนของตัวเอง ของสังคมที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเรื่องนี้”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:04:51 PM
อีโรติกเป็นเรื่องสำคัญแต่มีเรื่องสำคัญกว่า...ที่มิอาจมองข้าม
          “จันดารา” เวอร์ชั่นดัดแปลงโดยผู้กำกับมือเอก “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” นี้ สะท้อนภาพความวิปริตของมนุษย์แต่ละคน เพื่อชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของ “สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ความหิวโหยความรัก ความทารุณเหี้ยมเกรียม ตัวอย่างโสมม” ที่ประทับหูประทับตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเบ้าหลอมที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
          คนที่จะปีนขึ้นจากเบ้าหลอมเช่นนั้นได้ จะต้องอาศัย “ความแกร่ง” ชนิดพิเศษ และ “กรรมดี” ช่วยสนับสนุนประกอบกัน
          แต่เผอิญ “จันดารา” ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น เขาจึงตกเป็นเหยื่อของสิ่งแวดล้อมนั้นอย่างน่าสมเพช
           “ด้วยความอัจริยะของท่านผู้ประพันธ์ที่เปิดช่องให้เราได้ตีความได้มากมาย ไม่ได้ให้เราคิดตามท่านอย่างเดียว แต่เปิดช่องให้เราคิดเองด้วย ดังนั้นในแง่การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก็จะทำได้ง่ายขึ้น เราก็เอาแก่นหรือสาระของเรื่องมาขยายความดัดแปลงให้เหมาะสมในทางภาพยนตร์ จากพรรณนาโวหารที่มีความงามอยู่ในนั้น เราก็เอาความงามทางภาษามาแปลงเป็นความงามทางภาพแทน และความเด่นที่สุดอีกจุดหนึ่งของท่านก็คือ การที่ใช้หลักจิตวิทยาของ ‘ซิกมันด์ ฟรอยด์’ มาสร้างตัวละครให้มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง ‘ปมออดิปุส คอมเพล็กซ์’ (OEDIPUS COMPLEX) เป็นปมที่ท่านเอามาสร้างเป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจได้อย่างสมจริงในเรื่องหรือพล็อตที่คนไทยจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ มีการหักมุม มีการแย่งชิงอำนาจกัน แย่งทรัพย์สินมรดกกัน และก็มีเรื่องเพศเรื่องเซ็กส์ ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตัณหาราคะ แต่อธิบายง่ายๆ อย่างผู้ชายจะรักผู้หญิงที่มีอะไรคล้ายๆ แม่ของตัวเอง ผู้หญิงก็จะรักผู้ชายที่คล้ายๆ พ่อของตัวเองตรงนี้มันจะเป็นปมที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมไม่ว่าจะกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตาม ซึ่งฟรอยด์ก็พูดเสมอว่า ‘Sex Drive-แรงกระตุ้นทางเพศ’ ก่อให้เกิดพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก เกิดสิ่งยิ่งใหญ่ของโลก การสร้างสรรค์วรรณกรรมที่ดีขึ้นมา หรือไม่ก็เป็นทางลบไปเลย เป็นฆาตกรบ้ากามไปเลยทำนองนั้น
          ฉะนั้นเรื่องเพศหรืออีโรติกมันสามารถก่อให้เกิดพฤติกรรมสองมุมทั้งบวกและลบ ในเรื่องนี้เราจึงไม่สามารถหนีประเด็นนี้ได้เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตใจของตัวละครทุกตัว แต่ว่านี่แหละมันเป็นประเด็นที่น่าสนใจในการสร้าง คือว่ามนุษย์เราเนี่ยใช้เรื่องเซ็กส์ได้ในหลายจุดประสงค์ เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องนี้ที่ใช้เซ็กส์เพื่อความสนุก ความรัก ความเกลียด การแก้แค้น การต่อรองอำนาจ และด้วยเหตุผลอื่นๆ มากมาย ฉะนั้นฉากอีโรติกในเรื่องนี้มีเยอะทีเดียวและแต่ละฉากจะมีความหมายที่แตกต่างกันและมีเหตุมีผลกับชีวิตมนุษย์จริงๆ ทั้งสิ้น”
 
งานสร้างสรรค์สุดละเมียด ละเลียดการแสดงสุดเข้มข้น
          ขึ้นชื่อในเรื่องของความละเอียดและพิถีพิถันในงานสร้างทุกๆ ขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมงานก่อนการถ่ายทำไปจนถึงหลังการถ่ายทำ โดยในครั้งนี้ยังคงระดมทีมงานเบื้องหลังมืออาชีพหลากหลายแขนงมาร่วมสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกนี้อย่างเต็มกำลัง รวมถึงทีมนักแสดงมากความสามารถที่ขึ้นจอประชันบทบาทกันอย่างเข้มข้นในทุกๆ ฉากเลยทีเดียว
          “คือเรื่องนี้จะยากนิดนึงในแง่ศิลปกรรมทุกไม่ว่าจะเป็นด้านฉาก ด้านการแต่งกาย ด้านการแต่งหน้า เนื่องจากดำเนินเรื่องตั้งแต่จันดาราเกิดตั้งแต่รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2457) จนถึงปัจจุบันเนี่ย เพราะฉะนั้น ในแง่ฉาก เครื่องประกอบฉาก การแต่งกายมันเป็นไปตามยุคสมัย แม้กระทั่งทรงผม เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายต้องศึกษาอย่างละเอียดและทำงานกันหนักมาก และเรื่องส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในบ้านพิจิตรวานิชก็จะต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไปตามเสื้อผ้าและแบบผม แต่ว่าเราก็ได้โปรดักชั่นดีไซเนอร์มืออาชีพระดับอินเตอร์อย่าง ‘คุณแป๊ะ-พัฒน์ฑริก มีสายญาติ’ ที่เคยร่วมงานกันจากอุโมงค์ผาเมือง ได้ ‘คุณโจ้-อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์’ จากร้าน Surface มาเป็นผู้ดีไซน์เสื้อผ้า และก็ได้ ‘อาจารย์มนตรี วัดละเอียด’ มาควบคุมการแต่งหน้าและทรงผม ทุกคนจะทำงานกันหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งหน้าเนี่ยก็ต้องเปลี่ยนไปตามวัย 4 สมัย 4 รัชกาล ต้องแต่งหน้าให้มาริโอ้และนิวซึ่งยังเด็กๆ ยี่สิบกว่าเองให้เป็นคนอายุเจ็ดสิบกว่า ก็เป็นงานที่หนักที่สุดเท่าที่เคยทำมา และก็มีฉากใหญ่ที่ท้าทายในการถ่ายทำมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ต้องจำลองภาพสมัยยุครัชกาลที่ 7, มีฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีฉากเครื่องบินมาถล่มกรุงเทพฯ และก็มีฉากงานเลี้ยงต่างๆ มากมาย อันนี้ก็ต้องศึกษาเยอะและก็เป็นงานที่ใหญ่มากเกินกว่าที่คิด
          ทางด้านโลเกชั่นหลัก เราถ่ายอยู่ที่บ้านบ้านสังคหวังตาลของหลวงสิทธิเทพการ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และก็มีบางส่วนที่ไปถ่ายทำที่สระบุรี, กาญจนบุรี และก็ที่กรุงเทพฯ การหาโลเกชั่น Outdoor นั้นยากมาก มีการเปลี่ยนแปลงมาก เพราะฉะนั้นการทำงานจะยากตรงที่ว่าตรงไหนที่จะต้องหลบไอ้สิ่งทันสมัยต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย เพราะว่ามันยากตรงที่แต่ละยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปมากด้วย
          ส่วนด้านดนตรีประกอบเนี่ย เราก็ได้ ‘คุณชาติชาย พงศ์ประภาพันธ์’ ซึ่งก็ร่วมงานกันมาเมื่อตอนอุโมงค์ผาเมือง มาทำเพลงประกอบด้วยความอลังการมาก คือเนื่องจากเรื่องดำเนินใน 4 ยุค 4 สมัย ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศมากมาย มีการชิงอำนาจกันในบ้าน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอำนาจในประเทศจนถึงระดับโลก เพราะฉะนั้นดนตรีประกอบจึงสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาซึ่งมีทั้งความยิ่งใหญ่ ความเจ็บปวด ความรัก ความเศร้า มีการแก้แค้นอยู่ในนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะอันน่าสะเทือนอารมณ์ของมนุษย์ แต่ก็มีฉากที่เป็นสีสันความสนุกของเรื่องอย่างฉากร้องเพลง ‘เมื่อไหร่จะให้พบ’ ในงานเลี้ยง ซึ่งขับร้องโดยหญิง รฐา โพธิ์งามกับศักราช ฤกษ์ธำรงค์ ซึ่งแต่งคำร้องโดย ‘แก้ว อัจริยะกุล’ และแต่งทำนองโดย ‘หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์’ ซึ่งเป็นเพลงฮิตในยุคนั้นมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย”
           “ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครที่เดินเรื่องตลอดก็คือตัว ‘จันดารา’ ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องชีวิตของเขาเองทั้งหมด โดยในภาพยนตร์ครั้งนี้มีการดัดแปลงให้จัน ดารามีชีวิตยาวขึ้นกว่าในบทประพันธ์ โดยในวรรณกรรมจะเล่าเรื่องถึงอายุ 40 แต่ในหนังเราจะเล่าไปถึงอายุ 80-90 คือจะเล่าตั้งแต่จันดาราเกิดขึ้นบนโลกนี้จนอายุถึง 90 ปี เรื่องก็จะดำเนินผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของเขา ซึ่งก็คล้ายๆ กับอัตชีวประวัติ ถึงเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นมหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม
          ตัวจันดาราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน มีความเป็นศิลปินสูงมาก เป็นคนอ่อนไหวมาก เป็นคนที่สามารถจดจำรายละเอียดของตัวเองและคนอื่นได้เป็นอย่างดี เรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินตอนที่เขาอายุ 17 จนถึงเกือบอายุ 40 เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเลือกคนที่มีหน้าตากลางๆ ที่สามารถเล่นเป็นคนอายุ 17 จนถึง 30-40 ได้ การเลือกนักแสดงมันก็ต้องน่าเชื่อ แก่ไปก็เล่นเป็นเด็กไม่ได้ เด็กไปก็เล่นแก่ไม่ได้ ตัว ‘มาริโอ้’ ด้วยวัยเค้าจริงๆ เนี่ยก็จะกลางๆ ที่สุด และด้วยฝีมือทางการแสดงของเขาหลังจากที่ร่วมงานกันมาใน อุโมงค์ผาเมืองเนี่ย เราก็ได้เห็นศักยภาพทางการแสดงและคิดว่ามาริโอ้จะสวมบทบาทเป็นจันดาร ได้อย่างลึกซึ้ง ตอนออดิชั่นให้มาริโอ้แต่งเป็นอะไรเค้าก็จะมีเสน่ห์เป็นคนนั้นซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของนักแสดงมากๆ เค้าก็คงจะเหมาะที่สุดแล้ว คราวนี้เรามองจัน ดาราเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ และข้อสำคัญก็คือ สภาพแวดล้อมรอบข้างนี่แหละที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของเขาต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นดาร์กขึ้น หม่นขึ้นๆ จนกลายเป็นดำสนิท ด้วยสภาพจิตใจและหน้าตาของเค้าก็ทำให้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว
          ส่วนตัวละคร ‘เคน กระทิงทอง’ ซึ่งสร้างขึ้นมาให้ละเอียดขึ้นจากหนังสือเนี่ย เป็นตัวละครที่เติบโตมาพร้อมๆ กับจัน ถ้าจันเป็นสีดำเคนก็เป็นสีขาว ถ้าเคนเป็นสีขาวจันก็เป็นสีดำ เป็นบุคลิกตรงข้ามกันมาก เคนกระทิงทองจะเป็นคนที่แมนๆ แข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากทั้งสิ้น เอ็นจอยกับชีวิตในทุกวินาทีที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ เป็นคนมองโลกในแง่ความเป็นจริง การที่เลือก ‘นิว ชัยพล’ เพราะเขามีลักษณะภายนอกที่เหมือนเคน กระทิงทองมาก ด้วยรูปร่างหน้าตาและความแข็งแกร่งที่ดูเป็นนักสู้ เป็นนักเลงนิดๆ และมีความทะเล้นอยู่ในตัว ในแง่แอ็คติ้งเนี่ยนิวเรียนกับเรามาตั้งสี่ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาสามารถทำความเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือนิวกับโอ้เขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาเล่นด้วยกันเขาจะมีเคมีที่เข้ากันได้ดีมาก มันไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างเดียวนะ มันเป็นทั้งนายกับบ่าว มีความซื่อสัตย์ ความไว้ใจซึ่งกันและกัน คู่นี้พอเล่นด้วยกันแล้วดูน่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:05:38 PM
          ‘ตั๊ก บงกช’ ก็เลือกจากลักษณะภายนอกเหมือนกัน คือตัว ‘น้าวาด’ เนี่ยสวยแบบนางในวรรณคดี เป็นหญิงไทยโบราณและมีความเป็นแม่สูงด้วยลักษณะภายนอก มีหน้าอกที่ใหญ่ มีไหล่ที่ใหญ่ แล้วมีความอบอุ่น และตั๊กเขามีความสวยอย่างคนไทยมากยิ่งพอใส่สไบแต่งเป็นไทยขึ้นมาก็ตรงกับที่คิดไว้เลย ที่สำคัญเขาต้องเล่นตั้งแต่สาวจนกระทั่งอายุ 40-50 ซึ่งตั๊กก็ทุ่มเทกับการซ้อมมากจนเข้าถึงตัวน้าวาดได้อย่างน่าประทับใจ
          ส่วน ‘พิ้งกี้’ ต้องเล่นเป็นสองคาแร็คเตอร์ หนึ่งคือ ‘ไฮซินธ์’ บทระบุไปเลยว่าเป็นผู้หญิงมุสลิมและสวยมากก็เลยเห็นว่าพิงกี้เนี้ยเหมาะที่สุดที่จะมารับบทนี้ ก็เลยเชิญมาออดิชั่นและฝีมือการแสดงเขาสูงมากทีเดียวถึงขั้นระดับอินเตอร์ก็ว่าได้ ก็เลยมีความรู้สึกว่าบทไฮซินธ์อย่างเดียวมันจะง่ายไปหรือเปล่าสำหรับเขา ก็เลยเพิ่มบทให้เขาอีกบทนั่นคือบท ‘ดารา’ แม่ของจันที่เสียชีวิตหลังจากคลอดจันออกมา บทของดาราก็เป็นบทที่สำคัญมาก ในนวนิยายพูดไว้ว่า ผู้หญิงสองคนที่จันรักอย่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเหมือนกันอยู่ในแง่ของตัวละคร คือเราพยายามคิดว่าทำไมจันดาราถึงรักไฮซินธ์อย่างบริสุทธิ์มันต้องมีความเป็นอะไรเหมือนแม่อยู่ก็เลยให้คนๆ เดียวกันเล่น ซึ่งจริงๆ ก็เป็นคนละคาแร็คเตอร์เลย ซึ่งเขาก็เล่นได้ดีและแตกต่างมาก
          บท ‘คุณหลวงวิสนันท์เดชา’ เป็นบทที่เหมือนกระจกส่องสะท้อนกับจันดารา ที่ทำให้แม่ต้องตายหลังจากคลอดเขา ก็เลยก่อเกิดความเคียดแค้นที่มาใส่กับตัวเด็ก โดยที่จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่ เป็นบทที่เล่นค่อนข้างยาก เพราะฉะนั้นบทนี้ต้องใช้คนที่มีฝีมือมาก สำหรับผมคิดว่า ‘เจี๊ยบ ศักราช’ เนี่ย มีบุคลิกภายนอกมีความเป็นผู้ชายไทยเหมือนที่ตั๊ก บงกชมีความเป็นผู้หญิงไทย และประกอบฝีมือการแสดงที่เล่นได้แนบเนียนและลึกซึ้งเหมือนตัวละคร ก็เลยคิดว่าศักราชจะสวมบทบาทนี้ได้ดี ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างดีมากๆ เลยทีเดียว
คาแร็คเตอร์ของ ‘คุณบุญเลื่อง’ ก็จริงๆ แล้วเป็นตัวละครที่เราแคสติ้งไว้หลายคนทีเดียว เพราะเป็นบทที่ถูกตีความใหม่ให้เป็นศิลปินแม่ม่ายชาวภูเก็ตแต่ไปโตที่ประเทศฝรั่งเศสและก็มีสังคมเป็นชาวต่างประเทศ จะเป็นฝรั่งมาก เพราะฉะนั้นบทของคุณบุญเลื่องเลยมีสีสันต่างจากตัวละครผู้หญิงในเรื่องซึ่งเป็นคนไทย คุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้จะรักการแต่งตัวมาก จะแฟชั่นจ๋ามาก และก็เป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักวาดรูป ร้องเพลงเก่ง เปียโนเก่ง เต้นรำเก่ง มันก็มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่ต้องเลือกคนที่เหมาะจริงๆ เพราะฉะนั้นในการเลือก ‘หญิง รฐา’ มารับบทนี้ก็จะเหมาะที่สุด และก็ด้วยวัยจริงๆ เขาอายุไม่ค่อยเยอะ แต่ว่าหญิงสามารถ่ายทอดบทบาทของหญิงวัยสี่สิบได้อย่างเหลือเชื่อ
          บท ‘คุณแก้ว’ เนี่ยพูดได้ว่าเป็นบทที่แรงที่สุดในเรื่องนี้นะครับ คือเธอมีจิตใจที่เปราะบางทีเดียว คือมีปมของการที่แม่ไม่รัก ตัวเองก็รักพ่อมากและก็ได้รับอิทธิพลความคิดความอ่านจากพ่อไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อใส่หัวตั้งแต่เด็กว่าให้เกลียดจันและก็ถ่ายทอดเลือดของพ่อมาเยอะ คือเป็นคนที่เจ้าอำนาจบาตรใหญ่มาก และก็มีความวิปริตทางจิตค่อนข้างสูง เป็นผู้หญิงที่รุนแรงมากทางด้านอารมณ์ เพราะฉะนั้นมันยากมากสำหรับนักแสดงไทยที่จะถ่ายทอดตรงนี้ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฉากอีโรติกซึ่งค่อนข้างสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ก็เลยคิดว่านักแสดงไทยคงไม่กล้าเล่นแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจใช้นักแสดงญี่ปุ่น ‘โช นิชิโนะ’ ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากและท้าทายสำหรับเธอมากที่จะเล่นเป็นคนไทย ซึ่งแต่เดิมเราบอกว่าพูดญี่ปุ่นก็ได้และเดี๋ยวให้คนอื่นมาพากย์ทับ แต่แกกลับบอกว่าแกอยากจะพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนที่มาพากย์แทนแกจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นคนที่มีสปิริตและทุ่มเทในการซ้อมมากแม้จะเป็นช่วงเวลาที่น้อยนิดที่เราเจอกัน เราก็ขอชื่นชมในสปิริต ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพระดับสากลจริงๆ คือถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักแสดง AV แต่ว่าบ้านเขาถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากและดาราญี่ปุ่นหลายๆ คนก็เกิดจากเอวีทั้งนั้น แต่ว่าโชก็สามารถเล่นได้ทุกอย่างเป็นมือโปรจริงๆ และเขาเองก็พยายามที่จะเรียนรู้ความเป็นคนไทยอย่างมาก และเราก็โชคดีมากที่ได้ ‘นัท มีเรีย’ ที่ไม่ใช่แค่มาให้เสียงเท่านั้น แต่ต้องถือว่านัทก็เหมือนแสดงเป็นคุณแก้วเลย เข้าใจบทเท่าๆ กับที่โชเข้าใจ ต้องใส่วิญญาณของคุณแก้วเข้าไปในภาพของโช ซึ่งสำหรับนัทเองก็เป็นบทที่ยากสำหรับเขามาก จริงๆ แล้วเหมือนเล่นสองคนนะครับบทนี้ แสดงโดยโช มิชิโนะและนัท มีเรีย ซึ่งนัทก็สามารถถ่ายทอดได้เหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน แต่พูดภาษาไทยได้ชัดกว่าเท่านั้นเอง
          ส่วนบทของ ‘คุณท้าวพิจิตรรักษา’ แสดงโดย ‘รัดเกล้า อามระดิษ’ ก็จะเป็นบทที่เราได้มีการดัดแปลงขึ้นมา เพราะในบทประพันธ์จะเป็นคุณตา เราคิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงมากกว่าก็เลยดัดแปลงเป็นคุณท้าวยาย ซึ่งเป็นคุณป้าของดารา พิจิตรวานิชแม่ของจัน เป็นผู้อาวุโสมากที่สุดในบ้านพิจิตรวานิช ซึ่งจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้แหละเป็นตัวละครที่สร้างปมปัญหาต่างๆ ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในบทบาทสำคัญนี้จะหนัก ต้องใช้นักแสดงที่เล่นได้อย่างมีพลัง ซึ่งรัดเกล้าเป็นนักแสดงคุณภาพที่พิสูจน์ฝีมือแล้วจาก ‘อุโมงค์ผาเมือง’ นะครับ ซึ่งถ่ายทอดบทผู้หญิงแก่ที่หลงอำนาจและก็ตัดสินใจบางอย่างผิดๆ ไปและก่อให้เกิดความหายนะต่อคนรอบข้างได้อย่างน่าสะพรึงกลัวทีเดียว”
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:06:53 PM
เรื่องของจันดาราและคนรอบข้าง

 

          “จันดารา…นั่นแหละชื่อผม ขอแนะนำตัวเองในฐานะที่เป็นเจ้าของเรื่องพิกลนี้ และเราคงจะได้มักคุ้นกันต่อไปอีกพักใหญ่ ถ้าผมไม่มีอันเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน...คือไม่เป็นบ้าก็ตาย...ชีวิตผมมันมากด้วยมุมหักเหตั้งแต่เกิด พูดก็พูดเถอะ ผมเกิดเมื่อแม่ผมตาย ฟังดูบ้าดีไหมล่ะ”
          จันดารา (มาริโอ้ เมาเร่อ) - ชายผู้ละเอียดอ่อน ละเมียดละไม และลึกซึ้งเกินกว่ามนุษย์ปุถุชนจะเข้าใจได้จนบางคราดูเหมือนจะอ่อนไหวและเปราะบางเมื่อเทียบกับโลกแห่งวัตถุอันหยาบกระด้าง
          แม้ว่าชะตากรรมที่เขาจำต้องเผชิญจะโหดร้ายทารุณเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานปวดร้าวใจสักปานใดก็ตาม เขาสามารถแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็น “ความงาม” อันบริสุทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทุกภาพชีวิตที่เขาเห็น ทุกสรรพเสียงสำเนียงที่เขาได้ยิน ทุกสรรพสัมผัสด้วยเรือนกาย หรือเรือนใจล้วนถูกกลั่นกรองและปรุงแต่งออกมาจากสุนทรีย์แห่งจินตภาพที่เลือกสรรมาแล้วอย่างสมบูรณ์ทั้งสิ้น ดังนั้นทุกการกระทำของเขาจึงแฝงไว้ด้วย “ความหมาย” อันยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าผลของมันจะปรากฏออกมาในรูปของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม
          “ครั้งแรกที่โอ้ได้รู้ว่าหม่อมทำเรื่องนี้ โอ้ก็เชื่อมั่นและรู้ว่าหม่อมมีแง่มุมต่างๆ ที่ต้องการจะนำเสนออยู่แล้ว มันเป็นบทที่ท้าทายฝีมือการแสดงของเรา คือไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ หม่อมเสนอมาโอ้ก็รับเล่นเลย จากเรื่องที่แล้วเนี่ยมันคนละด้านกันเลย เรื่อง ‘จันดารา’ นี้จะเป็นมนุษย์จริงๆ มีทั้งด้านดีและร้าย มีหลากหลายอารมณ์ที่ต้องแสดงและเป็นตัวดำเนินเรื่องไปตลอด ต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลย ตัวละครของโอ้จะต้องเจออะไรที่แตกต่างไปตามช่วงอายุ มุมมองความคิด และเหตุผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราอายุเท่านี้จะได้เล่นบทบาทที่มันท้าทายความสามารถขนาดนี้ และยากมากที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ ทำให้โอ้ต้องหมั่นฝึกฝนและเข้าคลาสกับหม่อมอย่างหนักมาก นี่เป็นบทที่ดีมากจริงๆ ครับ
          ก็อย่างที่ทุกคนก็รู้จักจันดารา มันต้องมีเรื่องของอีโรติก ต้องมีเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าโอ้อ่านบทเรื่องนี้หลายรอบและก็ได้เล่นเอง โอ้รู้สึกว่าทุกซีนมันมีเหตุผลของมัน ถ้าไม่มีเลิฟซีนอันนั้นเรื่องก็จะไม่ต่อ จะไม่ทำให้ตัวละครต้องเจอเรื่องราวต่อๆ มา จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตคนทุกคนที่ต้องมี แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นแค่เลิฟซีนหรือให้คนมาเมคเลิฟกันเฉยๆ ผมว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น อาจเป็นความใคร่ตัณหาราคะ เป็นความรักระหว่างแม่กับลูก รักระหว่างสามีภรรยา รักในเชิงชู้สาว ซึ่งมันทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปแล้วผมรู้สึกว่าแต่ละซีนมันขาดไม่ได้ มันทำให้สนุกและมีรสชาติที่พอพูดถึงจันดาราแล้วต้องนึกถึงครับ”

          “นี่คุณจัน รู้มั้ย พอเนื้อสาวโดนปากโดนลิ้นโดนจมูกเราเข้านะ โดยเฉพาะที่ยอดปทุมถัน… คุณจันจะได้ยินเสียงครางเบาๆ ผสมกับเสียงลมหายใจหนักๆ ถี่ๆ มันครางเป็นชื่อเราด้วยนะ เพราะชิบหายเลย...นี่จะบอกให้เอาบุญนะคุณจัน ลงได้ลองขึ้นครูแค่ครั้งเดียว คุณจันจะลืมนางทั้งห้าไปเลย...เชื่อไอ้เคนเถอะ”
          เคน กระทิงทอง (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) - ชายผู้ดูเหมือนหยาบกระด้างแต่ไม่หยาบคาย และแข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชายชาตรีผู้มาดมั่นในเพศผู้ กล้าและท้าทายชีวิตแต่ไม่บ้าบิ่น คือคุณลักษณะภายนอกของเขา แต่ลึกลงไปในจิตใจของเขานั้น “เคน กระทิงทอง” เป็นคนซื่อ ตรงไปตรงมา และจริงใจอย่างหาใครมาเปรียบมิได้ ฉะนั้นคนประเภทนี้จึงเคารพความถูกต้อง และพร้อมเสมอที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสมกับคำว่า “สุภาพบุรุษ” โดยแท้
          “ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้เล่นก็ตื่นเต้นก่อนเลย หม่อมจะให้เราเล่นจริงเหรอ เพราะเป็นบทนำเต็มตัวเรื่องแรก ในหนังจะเดินเรื่องคู่กะโอ้ตลอดเรื่องตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้ายเลย บทมันเยอะมาก ความรู้สึกต่อมาคือ เราจะทำได้มั้ย เพราะเรื่องที่แล้วใน ‘อุโมงค์ผาเมือง’ เล่นแค่ 3-4 ฉากแค่นั้นเราก็ตื่นเต้นกลัวทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่นี่มาทั้งเรื่องเลย ก็เครียดกลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่เมื่อได้ซ้อมการแสดงกับหม่อมก่อนการถ่ายทำจริงประมาณ 5-6 เดือน ก็ทำให้บทที่ยากมันง่ายขึ้น พูดได้เลยว่าแทบไม่มีปัญหาการแสดงในช่วงถ่ายทำเลยครับ เพราะปัญหาในการแสดงการจำบทมันเป็นปัญหาในตอนซ้อมและก็ได้คลี่คลายไปหมดแล้ว แต่ถ้าถามว่ายากมั้ย ยากมาก ยากที่สุดในชีวิตที่เคยแสดงมาเพราะต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่ดำเนินเรื่องผ่าน 4 ยุคสมัย (ร.6-ร.9) อย่างน่าสนใจมากๆ ครับ ทีมงานนักแสดงทุกคนก็ตั้งใจกันเกินร้อยมาก
จันดาราเวอร์ชั่นของหม่อมน้อยนี้ ผมว่าเป็นหนังที่ให้แง่คิดในหลายๆ แง่มุมเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ให้เป็นกระจกส่องว่า มนุษย์อย่างเราเนี่ยทำสิ่งที่ไม่ดีอย่างในหนังหรือเปล่า ถ้าทำก็ควรจะหยุดและก็เลิกทำ การแก้แค้นหรือการจองเวรจองกรรม การเอารัดเอาเปรียบกัน การเห็นแก่ตัวเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อเราไปจองเวรจองกรรมกับคนอื่น มันก็ทำให้ทั้งตัวเราและตัวเขานั้นไม่มีความสุขหรอก จองเวรกันไปมามันก็ไม่จบไม่สิ้น เราควรที่จะเริ่มต้นชีวิตและก็ปล่อยวางในบางสิ่งที่ไม่จำเป็นไป และก็อยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขและอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรัก รวมถึงอยู่กับคนที่เรารัก คนที่เขารักและแคร์เรา ผมว่าแค่นี้ชีวิตเราก็มีความสุขได้แล้ว บางทีคนที่คิดว่าเงินสำคัญที่สุดหรืออำนาจสำคัญที่สุด สุดท้ายแล้วเนี่ยเขาก็ต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวและก็รอวันตาย...”

          “กู...หลวงวิสนันท์เดชา ขอประกาศต่อฟ้าดินว่ากูจะขอจองเวรจองกรรมกับไอ้เด็กจัญไรนั่นทุกชาติไป...จำเอาไว้ กูจะไม่มีวันยกโทษให้มึง...ไอ้จัญไร”
          หลวงวิสนันท์เดชา (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) - บุรุษผู้ยึดมั่นในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิอันสูงส่ง จารีตประเพณีอันเป็นคุณสมบัติของบุรุษสยามจึงปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดในทุกลมหายใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นความลุ่มหลงในอำนาจวาสนาและกามคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นการถูกหมิ่นเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีจึงเป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้ง่ายๆ และพร้อมเสมอที่จะต่อสู้เพื่อกอบกู้ให้ได้มา ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางใดก็ตาม และเป็นที่น่าเสียดายที่เขาเลือกวิถีทางอันรุนแรงและป่าเถื่อนที่ส่งผลให้เขาต้องเผชิญกับความหายนะอันยิ่งใหญ่
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:07:41 PM
          “เรื่องนี้ยากมากกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา เพราะว่าตัวละครคุณหลวงตัวนี้จะอารมณ์รุนแรงตลอด พอเห็นหน้าจันปุ๊บก็จะปรี๊ดปั๊บ ซึ่งต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาเช่น ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ อันนั้นเล่นเก็บอารมณ์เก็บความรู้สึกคือรับรู้เหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกก็แสดงออกแค่ทางสีหน้าแววตา แต่เรื่องนี้อารมณ์จะพุ่งแรงตลอด เราต้องใช้พลังในการแสดงเยอะมาก จะเหนื่อยจนท้องตัวเองเนี่ยปวดไปหมดเลย คือมันผสมผสานทั้งสภาพอากาศ สภาพสิ่งแวดล้อมตอนถ่ายทำด้วย ก็ทำให้ใช้พลังไปเยอะมาก ก็ทำให้เราบาดเจ็บได้ เหนื่อยมากครับเรื่องนี้
          ฟังแค่ชื่อเรื่องมันอาจจะสื่อไปทางด้านเซ็กส์อย่างที่เคยรู้จักกันมา แต่จริงๆ แล้วเนี่ยมันเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาสาระมาก การทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นเรื่องของกรรม (การกระทำ) เป็นกงเกวียนกำเกวียนมากกว่าครับ
          ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมตั้งใจทำและนักแสดงทุกคนก็ตั้งใจแสดงมาก ผมว่ามันคุ้มค่าในการชมที่จะได้ทั้งสาระและความบันเทิงแน่นอนครับ”

          “คุณหลวงต้องสัญญากับฉันก่อน ไม่ว่าคุณหลวงจะโกรธจะเกลียดจันมันเพียงไร คุณหลวงต้องไม่ทำร้ายมันจนถึงแก่ชีวิต ถ้าคุณหลวงรับคำฉัน ฉันจะมอบชีวิตฉันทั้งชีวิตไว้แทบเท้าคุณหลวง”
          น้าวาด (บงกช คงมาลัย) - สตรีผู้ยึดมั่นในความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษอันยิ่งใหญ่ เธอถูกหล่อหลอมในกรอบจารีตประเพณีอันละเอียดประณีตบรรจงแห่งกุลสตรีสยามอย่างสมบูรณ์แบบ แม่วาดงามทั้งกาย วาจา และใจ สมกับคำว่า “ผู้ดี” ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ในส่วนลึกของเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณแห่งความเป็นสตรีเพศ เธอมีความปรารถนาอันซ่อนเร้นและบูชา “รักแท้” เยี่ยงมนุษย์ปุถุชน แต่ด้วยความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ทำให้ชีวิตของเธอต้องพบกับความทรมานอย่างแสนสาหัสที่ไม่สามารถที่จะแสดงออกและปริปากได้แม้แต่คำเดียว
          “จริงๆ ตั๊กก็ดูผลงานของหม่อมน้อยมาหลายเรื่อง และก็อยากร่วมงานกับหม่อมมากๆ ทุกตัวละครในหนังของหม่อมจะมีเรื่องราว เป็นหนังไทยพีเรียดย้อนยุคที่น่าสนใจ ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกที่หม่อมติดต่อให้เข้าไปคุยก็แซวตั๊กก่อนเลยว่า เราเคยเห็นในข่าวเธอดูแรงๆ นะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็อยากให้ตั๊กเปลี่ยนลุคไปจากเรื่องที่ผ่านๆ มา จะให้เล่นบท ‘น้าวาด’ ซึ่งจะเป็นหญิงไทยที่เรียบร้อยมาก จะไม่ค่อยมีอิสระเท่าไรนัก จะเป็นผู้หญิงที่ยอม ไม่มีปากเสียง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ แต่เป็นวิธีที่นิ่มนวลไม่รุนแรง คาแร็คเตอร์นี้จะไม่แต่งตัวเลย แล้วพอไปอยู่กับคุณบุญเลื่องเราก็จะกลายเป็นแม่บ้านไปเลย
          บทนี้ก็ยากเลยค่ะ มันต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่าง มันนิ่งก็จริง แต่สายตาจะแสดงออก หม่อมจะไม่ได้ให้เล่นท่าทางมาก แต่จะให้ออกทางหน้าทางสายตา แล้วก็เป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว ชอบร้องไห้ ดีใจก็ร้อง เสียใจก็ร้อง จริงๆ ตั๊กจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ร้องเฉพาะเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่พอมาเรื่องนี้เราต้องร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่ได้ร้องนิดเดียวนะ ร้องทั้งวันเลย เพราะมันถ่ายต่อเนื่อง บางครั้งก็ต้องรอหน่อย เราก็กดดันเหมือนกัน หม่อมก็จะพูดเล่น ‘อ่ะ ทุกคนเงียบ รอตั๊กร้องไห้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอตั๊กร้องไห้อย่างเดียว’ (หัวเราะ)
          ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกันนี้ ตั๊กก็รู้ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีดุกันบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ ก็ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งก็ทำให้การทำงานมันเป็นไปด้วยดี หม่อมจะบอกว่า การที่เราจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้ เราเองต้องมีวินัย ถ้าเราไม่มีวินัย เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้มันก็ยาก”

          “ถ้าคุณวาดเคยรักใครสักคน รักอย่างดื่มด่ำเป็นครั้งแรกในชีวิตสาว แต่ไม่มีโอกาสได้ร่วมชีวิตกับเค้าเลย คุณวาดจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ดิชั้นมาอยู่ที่นี่”
          คุณบุญเลื่อง (รฐา โพธิ์งาม) - สตรีม่ายผู้เลอโฉมผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยวิญญาณแห่งเสรีภาพ หล่อนถูกหล่อหลอมในดินแดนแห่งมนุษยชนและศิลปะชั้นสูง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นทุกหยาดหยดแห่งลมหายใจและสายเลือดจึงไร้ซึ่งกฎเกณฑ์และกรอบประเพณีแห่งสยามประเทศ
          หล่อนรักทุกชีวิตรอบข้าง โลกของหล่อนจึงสดใสงดงามเต็มไปด้วยความสุนทรียภาพอันไร้ขอบเขตและถูกถ่ายทอดออกมาอย่างประณีตบรรจง ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียน การดนตรี หรือการขับร้อง แม้กระทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และทุกอากัปกิริยาในทุกวิถีแห่งอารมณ์ และนั่นเองที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในกับดักแห่งกิเลสและตัณหา
          “ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก
          สำหรับบทอีโรติกกับโอ้ หญิงจะมองให้เป็นตัวละครค่ะ เวลาเล่นก็จะคิดถึงเหตุและผลของตัวละครตลอด และคุณบุญเลื่องเองก็จะมองเรื่องบนเตียงเป็นเรื่องที่รองจากความรักอยู่แล้ว เค้ามองว่าเป็นแค่ความต้องการที่มนุษย์ทุกคนต้องมี รวมๆ แล้วการแสดงในเรื่องนี้ก็จะยากทั้งหมดเลยค่ะ ต่างกันที่ยากมากยากน้อยค่ะ
          ตัวละครมีความกลมมีมิติของตัวละครมากขึ้น คือเราไม่ได้ถูกนำเสนอไปในทางที่ว่า คุณบุญเลื่องมาแล้วเป็นเรื่องของความเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว หรือว่าจันที่จะดีในช่วงแรก และเหตุผลที่เขาจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางชีวิต ตัวละครทุกตัวแม้กระทั่งคุณหลวงเอง มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่าด้วยเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่มันหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็กจนโตต่างหากที่มันทำให้เราตัดสินใจในแต่ละช่วงชีวิตให้เป็นยังไง ดังนั้นเนี่ยทุกคนจะให้มากกว่าที่คนดูจะคิดว่าโอ้โหจันดาราจะโป๊แค่ไหน หญิงบอกได้เลยว่า โอเคมันต้องมีเรื่องอีโรติกอย่างที่บอกกัน แต่ว่าในความสวยงามของฉากเหล่านี้นั้น มันได้เล่าถึงความต้องการของมนุษย์ในแต่ละมุมของแต่ละตัวละคร ดังนั้นเวลาเข้าไปดูเนี่ยอยากให้ดูแล้วคิดตาม และสุดท้ายคุณจะได้อะไรจากหนังเรื่องนี้เยอะมากๆ ค่ะ”

          “แก้วจะฟังทุกเรื่องที่คุณแม่สอน ยกเว้นเรื่องไอ้จัน คุณแม่ก็ดีแต่เข้าข้างมัน ไอ้จันมันทำอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปหมด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะคุณแม่รักมัน คุณแม่รักไอ้จันมากกว่าลูกในไส้ของตัวเอง”
          คุณแก้ว (โช นิชิโนะ) - วิไลเลข วิสนันท์ หรือ คุณแก้ว เป็นสตรีที่ตกอยู่ในชะตากรรมอันโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว การเกิดมาเป็นธิดาสาวคนเดียวในตระกูลและเป็นที่รักยิ่งของบิดาผู้มีทั้งอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง ทำให้เธอยึดมั่นใน “อัตตา” แห่งตนและถอดนิสัยมาจาก “หลวงวิสนันท์เดชา” ผู้บิดาราวกับพิมพ์เดียวกันไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องกามราคะ จะได้นิสัย “แม่วาด” ผู้เป็นมารดาบ้างก็ในเรื่องความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มองดูเผินๆ เธอเป็นสตรีที่ถือตัวเย่อหยิ่ง ชอบดูถูกคนและให้ร้ายคนอื่นเต็มไปด้วยความริษยาแม้แต่เงาของตัวเอง หากเธอได้รักชอบใครก็จะลุ่มหลงทุ่มเทโดยไม่คำนึงถึงถึงเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
          “ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกอย่าง ‘จันดารา’ ก็รู้สึกงงๆ ว่าติดต่อมาได้ยังไง ดิฉันจะทำได้เหรอ เพราะเป็นคนญี่ปุ่น พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แล้วจะพูดบทได้ยังไง แต่ว่าพอพูดคุยกันและได้เห็นบทแล้วเนี่ย รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะว่าบท ‘แก้ว’ เป็นบทที่ใหญ่และสำคัญมากต่อเรื่อง แต่ก็รู้สึกกดดันและตื่นเต้นว่าจะทำได้หรือเปล่า ที่ยากที่สุดก็คือบทพูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยทำเลยในชีวิต พอมีเวลาว่างก็จะหัดซ้อมฝึกพูดตลอดเวลาเลยค่ะจากแผ่นซีดีบ้าง จากล่ามบ้าง และจากนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ก่อนถ่ายทำก็กลัวมากๆ ค่ะ แต่พอถ่ายเสร็จแล้ว ทุกคนแฮปปี้ ปรบมือกันก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
          เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทยและญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจและก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:08:17 PM
          ได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงของทุกคนที่รับส่งอารมณ์กันได้ดี ภาพสวยมากๆ รวมถึงเนื้อหาที่สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ ผู้ชมสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้”

          “จัน ฉันเองก็เข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่ใครก็ตามในโลกนี้จะทำใจได้ง่ายๆ ถ้าได้พบกับชะตากรรมในชีวิตเยี่ยงเธอ ซึ่งอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความเข้มแข็ง และความอดทนที่จะพาเราฝ่ามรสุมชีวิตในครั้งนี้ไปได้อย่างรอดปลอดภัย”
          ไฮซินธ์ (สาวิกา ไชยเดช) - สาวน้อยวัย 16 จากหัวเมืองทางภาคใต้ผู้เป็นนางในดวงใจของจัน ดาราตั้งแต่แรกพบประสบหน้า เธอมีร่างสูงระหง ดวงหน้างามคมขำราวกับเทพธิดาและมีอะไรในดวงหน้านั้นคล้ายมารดาของเขาเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาโศกแต่รอยยิ้มอันสดใสของเธอก็ทำให้โลกทั้งใบพลอยมีความสุขไปกับเธอด้วย ไฮซินธ์และจันเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำที่โรงเรียนครูสาลี่ และสานสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ก่อนเหตุการณ์ร้ายจะทำให้ทั้งคู่พรากจากกันโดยไม่ทันตั้งตัว
          “เรื่องนี้กี้ได้แสดงสองบทเลยค่ะ บทแรกก็จะเป็น ‘ดารา’ เป็นผู้หญิงที่สวยสง่า มีฐานะดี เข้าใจความรู้สึกของทุกคน เป็นคนมีจิตใจดีเหมือนกับจัน ดารา เพราะว่าเค้าเป็นแม่ลูกกัน จิตใจของเค้าที่ไม่คิดอะไรกับคนอื่นมันส่งไปถึงตัวจัน ส่วนอีกบทคือ ‘ไฮซินธ์’ เป็นนักเรียนอิสลาม จะเป็นความรู้สึกของเด็กใสๆ ที่จะเป็นรักแรกของจันค่ะ ทั้งสองตัวละครนี้ก็จะมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงและเป็นผู้หญิงที่เป็นปมในใจของจันอยู่ตลอดมาค่ะ
          สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่มีอารมณ์หลากหลายของมนุษย์มากทั้งความรัก ความใคร่ ความแค้น ถ้าลองมาดูเรื่องนี้มันจะมีอะไรมากมายให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์มันไม่มีความแน่นอนเลยค่ะ กี้ถือว่าได้รับโอกาสที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตการแสดงค่ะ รู้สึกดีใจมาก ก็คิดว่าครั้งหนึ่งเราอยากร่วมงานกับหม่อมน้อย แล้ววันนี้ฝันก็เป็นจริง พอเราได้มาเล่นจริงๆ เราก็ได้อะไรมากมายจากหม่อม นอกเหนือไปจากการแสดงแล้วหม่อมยังมีแง่มุมการใช้ชีวิตให้เราได้เรียนรู้อีกด้วย กี้รู้สึกปลาบปลื้มและโชคดีที่ได้เล่นเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”

“จันดารา” ในเชิงจิตวิเคราะห์
          ซิกมันด์ ฟรอยด์ (SIGMUND FREUD) ปรมาจารย์แห่งจิตรวิทยาชาวเยอรมันได้กล่าวว่า ในทุกๆ “การกระทำ” ของมนุษย์ล้วนแล้วแต่มี “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) แฝงไว้ใน “จิตใต้สำนึก” เสมอ เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมี “ปมทางจิต” ที่เรียกว่า “ปมอิดิพุส” (OEDIPUS COMPLEX) ซ่อนอยู่ภายใต้จิตใจอันบอบบาง ซึ่งจะปรากฏออกมาในรูปของบิดามักจะรักลูกสาว มารดามักจะรักลูกชาย และในทางกลับกัน ลูกสาวมักจะรักบิดา และลูกชายมักจะรักมารดา เป็นต้น อันเป็นรากฐานของ “ความรัก” ในระดับต่อๆ มาในวัยของมนุษย์ เช่น ชายหนุ่มมักจะนิยมชมชอบผู้หญิงที่มีความเหมือนมารดา และหญิงสาวมักจะนิยมชมชอบชายที่มีนิสัยคล้ายกับบิดา ซึ่งพื้นฐานของแนวคิดทางจิตวิเคราะห์เหล่านี้ล้วนปรากฏเด่นชัดใน “ตัวละคร” ซึ่งขาดความอบอุ่นทั้งจากบิดาและมารดา เขาจึงแสวงหา “ความรัก” และ “ความอบอุ่น” ดังกล่าวจนชั่วชีวิต แต่ก็ล้มเหลวที่จะได้พบเจอ
          ส่วน “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) นั้นก็มิได้หมายถึงพฤติกรรมในเชิงสังวาสเพียงอย่างเดียว หากครอบคลุมและผสมผสานไปกับ “ความรักอันบริสุทธิ์” (PURE LOVE) อย่างแยกออกจากกันไม่ได้ และเป็น “แรงผลักดัน” ที่มีพลังอันมหาศาลเป็นตัวที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นไปในด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม
          อาทิเช่น เมื่อมนุษย์มีความรักอันแรงกล้าก็จะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคนที่เรารักยิ่ง ไม่ว่าจะออกมารูปของการขยันทำมาหากินเพื่อให้คนที่เรารักได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย หรือลักขโมยและฉ้อโกงทรัพย์เพื่อให้คนที่รักมีความสุขได้อีกเช่นกัน และยิ่งเพื่อความมั่นคงของครอบครัวและวงศ์ตระกูลแล้ว พลังอันมหาศาลแห่ง “แรงผลักดันทางเพศ” (SEX DRIVE) จะก่อให้เกิดผลกรรมอันยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็น “กุศลกรรม” หรือ “อกุศลกรรม” อันบันดาลได้ทั้ง “ความเจริญรุ่งเรือง” และ “ความหายนะ” อันใหญ่หลวงในครอบครัวซึ่งแผ่ไปถึงสังคมรอบข้าง
          ภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา” นี้จึงเป็นภาพสะท้อนของผลกรรมของมนุษย์ผู้ไร้เดียงสาที่ถูกสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแสวงหา “อำนาจ” ทั้งใน “สมบัติ” และ “กามคุณ” หล่อหลอมจนจิตใจเต็มไปด้วย “กิเลส” และ “ตัณหาราคะ” อันก่อให้เกิด “เปลวไฟแห่งความแค้น” ที่เผาผลาญชีวิตรอบข้างและตนเองให้มอดไหม้จนกลายเป็นธุลี

เกร็ดภาพยนตร์
          1) ภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” (2555) ดัดแปลงจากนวนิยายสุดคลาสสิก “เรื่องของจัน ดารา” ของนักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม” (ประมูล อุณหธูป) (2463-2530) ตีพิมพ์ เป็นตอนๆ ครั้งแรกใน “สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์” (2507-2509)
          2) ต่อมาได้พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกโดย “สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น” (2509) และหลังจากนั้นตลอดเกือบ 50 ปีที่ผ่านมาก็ถูกพิมพ์รวมเล่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 13 โดย “สำนักพิมพ์มติชน” (เม.ย. 2555)
          3) สู่การเขียนบทและตีความใหม่สุดเข้มข้นโดยผู้กำกับฯ ฝีมือละเมียด “หม่อมน้อย - ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” เป็นผลงานลำดับที่ 11 ถัดจากภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอย่าง เพลิงพิศวาส (2527), ช่างมันฉันไม่แคร์ (2529), ฉันผู้ชายนะยะ (2530), นางนวล (2530), เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532), ความรักไม่มีชื่อ (2533), มหัศจรรย์แห่งรัก (2538), อันดากับฟ้าใส (2540), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553), อุโมงค์ผาเมือง (2554)
          4) “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยใน พ.ศ. นี้ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 3 ถัดจาก 2 ครั้งแรก คือ
          - ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2520) สร้างโดย เทพกรภาพยนตร์ / อำนวยการสร้างโดย กิติมา เศรษฐภักดี / กำกับโดย รัตน์ เศรษฐภักดี / เขียนบทโดย ส. อาสนจินดา / กำกับภาพโดย อดุลย์ เศรษฐภักดี / นำแสดงโดย สมบูรณ์ สุขีนัย (จัน), อรัญญา นามวงศ์ (บุญเลื่อง), ศิริขวัญ นันทศิริ (แก้ว), ภิญโญ ปานนุ้ย (เคน) เข้าฉายเมื่อ 11 มี.ค. 2520 ที่โรงเพชรรามา และโรงเพชรเอ็มไพร์
          - ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2544) สร้างโดย ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ / กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร / เขียนบทโดย ศิรภัค เผ่าบุญเกิด, นนทรีย์ นิมิบุตร / นำแสดงโดย สันติสุข พรหมศิริ (คุณหลวง), สุวินิต ปัญจมะวัต-เอกรัตน์ สารสุข (จัน), วิภาวี เจริญปุระ (น้าวาด), คริสตี้ ชุง (บุญเลื่อง), ภัทรวรินทร์ ทิมกุล (แก้ว), เคน (ครรชิต ถ้ำทอง) เข้าฉายเมื่อ 28 ก.ย. 2544
          5) “จันดารา” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยจะถูกสร้างเป็นสองภาค คือ “จันดารา ปฐมบท” (พร้อมฉาย 6 ก.ย.) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (กำลังถ่ายทำ) เพื่อความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาและสาระบันเทิงอย่างเต็มอิ่ม
          6) พลิกบทบาทประชันฝีมือด้วยทีมนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยไม่ว่าจะเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ (จัน ดารา), ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต (เคน กระทิงทอง), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ (หลวงวิสนันท์เดชา), บงกช คงมาลัย (น้าวาด), รฐา โพธิ์งาม (คุณบุญเลื่อง), โช นิชิโนะ (คุณแก้ว), สาวิกา ไชยเดช (ดารา / ไฮซินธ์), รัดเกล้า อามระดิษ (คุณท้าวพิจิตรรักษา), ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (ขจร) ร่วมด้วยนักแสดงสมทบและรับเชิญอีกมากมายที่จะมาเพิ่มสีสันให้กับภาพยนตร์โดยเฉพาะ
          7) “จันดารา” เซ็ตฉากถ่ายทำอย่างงดงามในทุกๆ โลเกชั่นไม่ว่าจะเป็น บ้านสังคหวังตาล บ้านโป่ง จ.ราชบุรี / หอวัฒนธรรมไทยวน (ไท-ยวน) อำเภอเสาไห้ สระบุรี / โฮมพุเตย, น้ำตกเจ็ดสาวน้อย จ.กาญจนบุรี / ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5, ถนนราชดำเนิน หน้าวังปารุสกวัน, สถานีดับเพลิงบางรัก, ตึกพัสดุการรถไฟ, หัวลำโพง กรุงเทพมหานคร
          8) รวมพลคนเบื้องหลังมืออาชีพทุกๆ ด้านที่จะมาสร้างสรรค์ให้ “จันดารา” เวอร์ชั่นนี้ตระการตาเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบงานสร้างสุดวิจิตรในทุกฉากโดย “พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” (อุโมงค์ผาเมือง), การกำกับภาพสุดงดงามในทุกเฟรมภาพของ “พนม พรมชาติ” (ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ), งานออกแบบเครื่องแต่งกายสุดประณีตของ “อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์” (ซีอุย, ต้มยำกุ้ง, Me, Myself ขอให้รักจงเจริญ), การเมคอัพสุดบรรจงในทุกคาแร็คเตอร์โดย “มนตรี วัดละเอียด” (สุริโยไท, โหมโรง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) และดนตรีประกอบสุดตรึงใจโดย “ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์” (นางนาก, จัน ดารา-2544, โอเคเบตง, โหมโรง, เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก, ก้านกล้วย, ปืนใหญ่จอมสลัด, อุโมงค์ผาเมือง, คน-โลก-จิต ฯลฯ)
          9) “เพลงเมื่อไหร่จะให้พบ” ประพันธ์คำร้องโดย “แก้ว อัจริยะกุล” / ทำนองโดย “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” / ต้นฉบับขับร้องโดย “มัณฑนา โมรากุล” ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2552 โดยภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2555 นี้ จะขับร้องโดย “รฐา โพธิ์งาม” และ “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” สองนักแสดงในเรื่องนี้อย่างแสนไพเราะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:09:11 PM
“หญิง รฐา” โชว์บทเพลงอมตะ ฉากงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับ “คุณบุญเลื่อง” ใน “จันดารา ปฐมบท”







         เปิดฉากใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรีในการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกสำหรับ “หญิง-รฐา โพธิ์งาม” กับฉากโชว์ลีลาร้องเพลงและเต้นรำอย่างสุดฝีมือในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปฐมบท” โดยขับร้องเพลงรักอมตะ “เมื่อไหร่จะให้พบ” จากการประพันธ์ของบรมครูแห่งวงการเพลง “ครูแก้ว อัจฉริยะกุล” (คำร้อง) และ “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” (ทำนอง) อันเป็นฉากงานเลี้ยงต้อนรับ “คุณบุญเลื่อง” ในฐานะนายหญิงคนใหม่แห่งบ้านวิสนันท์ ซึ่งรวมนักแสดงนำอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น มาริโอ้ เมาเร่อ (จัน ดารา), ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต (เคน กระทิงทอง), บงกช คงมาลัย (น้าวาด), ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ (หลวงวิสนันท์เดชา), ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (คุณขจร) และนักแสดงสาวจากญี่ปุ่น โช นิชิโนะ (คุณแก้ว)

          ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” พูดถึงอีกหนึ่งฉากใหญ่นี้ว่า “ฉากงานเลี้ยงนี้นับเป็นอีกหนึ่งฉากใหญ่และสำคัญของเรื่อง ซึ่ง ‘หลวงวิสนันท์เดชา’ จัดงานต้อนรับ ‘คุณบุญเลื่อง’ เศรษฐีนีม่ายคนรักเก่าที่เพิ่งได้พบกันที่เมืองสิงคโปร์หลังจากที่จากกันไปนานถึง 20 ปี และได้ตัดสินใจที่จะกลับมาร่วมชีวิตกันอย่างถาวรในฐานะภรรยาเอก ซึ่งสร้างความปวดร้าวให้แก่ ‘แม่วาด’ ภรรยาเก่า และบุตรชาย ‘จัน ดารา’ เพราะการมาในครั้งนี้คุณบุญเลื่องได้พาบุตรชายนักเรียนนายร้อย ‘คุณขจร’ ซึ่งกำลังก่อเกิดความรักกับ ‘คุณแก้ว’ มาพำนักอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย

          ในฉากนี้หญิงต้องแสดงความสามารถในการร้องเพลงและเต้นรำในลีลาอันนำสมัยในยุคนั้นสมกับเป็นสตรีไฮโซผู้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมานาน ซึ่งหญิงได้ใช้เวลาฝึกซ้อมการแสดง ร้อง และเต้นรำร่วมกับศักราชนานถึง 1 เดือนก่อนการถ่ายทำ ซึ่งผลออกมาน่าพอใจสมศักดิ์ศรีนักแสดงที่เคยผ่านเวทีละครมิวสิคเคิล ‘ฟ้าจรดทราย’ มาแล้ว ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของเหล่านักแสดงนำและสมทบทั้งไทยและต่างประเทศจริงๆ ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งฉากที่จะสร้างสีสันและน่าจดจำทั้งบทเพลงและการแสดงได้อย่างแน่นอน”

          เตรียมพบอีกหนึ่งฉากใหญ่ที่จะมาสร้างสีสันแปลกใหม่ให้กับ “จันดารา ปฐมบท” เวอร์ชั่นหม่อมน้อยโดยเฉพาะ 6กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 08, 2012, 04:11:02 PM
“หม่อมน้อย” ประกาศสร้าง “จันดารา” เป็น 2 ภาค “ปฐมบท-ปัจฉิมบท” เพื่อเนื้อหาสาระและบันเทิงสมบูรณ์แบบ











          ด้วยรายละเอียดเนื้อหาที่เข้มข้นของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา” จนไม่สามารถตัดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งออกไปได้ ทำให้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ตัดสินใจสร้างผลงานเรื่องล่าสุดนี้เป็น 2 ภาค คือ “จันดารา ปฐมบท” (พร้อมฉาย 6 ก.ย.) และ “จันดารา ปัจฉิมบท” (อยู่ระหว่างการสร้าง) เพื่อรักษาอรรถรสของเนื้อหาและสาระบันเทิงอย่างสมบูรณ์แบบ

หม่อมน้อยเผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีรายละเอียดเนื้อหาและตัวละครมากมายที่มีความสำคัญเท่าๆ กันหมด เพราะฉะนั้นการที่เราจะตัดเนื้อเรื่องหรือตัวละครตัวใดหนึ่งออกมันยาก เพราะทุกตัวละครมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและสะท้อนนิสัยซึ่งกันและกัน เรื่องมันจึงยาวมาก มีเหตุการณ์พลิกผันไปมาตลอด คือตัวละครจันดาราเป็นตัวเดินเรื่องก็จริง แต่ตัวอื่นๆ รอบข้างก็มีปูมหลังและเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน พล็อตมันจะพลิกผันไปมาตลอด เรียกว่าเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ได้เลย เพราะว่าเล่าเรื่องผ่านสี่ยุคสมัย แต่ละสมัยก็มีรายละเอียดทางด้านอารมณ์ เหตุผล และความสนุกเกี่ยวเนื่องกันจึงไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกได้ มันก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเป็นสองภาค ภาคหนึ่งคือ ‘ปฐมบท’ คือวัยเด็กตั้งแต่จันดาราเกิดจนถึงวัยสิบเจ็ด และภาคสองคือ ‘ปัจฉิมบท’ วัยผู้ใหญ่ตั้งแต่ยี่สิบจนถึงสี่สิบ-ห้าสิบ โดยจะยังคงเนื้อหาสาระและความบันเทิงอย่างเต็มอิ่มเอาไว้ทั้งสองภาค ไม่ได้มีการยืดเพื่อให้เป็นสอง ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ยังไงผมก็จะรักษาสาระและความสนุกของเรื่องเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ถ้าได้ชมภาพยนตร์ก็จะเข้าใจดีว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งภาคแรกปิดกล้องเรียบร้อบแล้ว ส่วนภาคสองกำลังอยู่ระหว่างการสร้างครับ”

          “จันดารา ปฐมบท” นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ, ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, บงกช คงมาลัย, สาวิกา ไชยเดช, รฐา โพธิ์งาม, โช นิชิโนะ, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ฯลฯ พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 15, 2012, 03:42:43 PM
“หม่อมน้อย” ระดมทีมนักแสดงรับเชิญ สร้างสีสันคับจอใน “จันดารา ปฐมบท”





           นอกจากทีมนักแสดงหลักที่เห็นหน้าค่าตากันไปแล้วในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา ปฐมบท” แค่นั้นยังไม่พอผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ก็ยังเพิ่มสีสันให้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ด้วยการระดมทีมนักแสดงรับเชิญมากฝีมือมาขึ้นจอประชันการแสดงกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น...

          “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” รับบทเป็น “พ่อ” ของไฮซินธ์ (สาวิกา ไชยเดช) ชายชนชั้นกรรมาชีพผู้รักลูกสาวประดุจแก้วตาดวงใจ
          “เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” รับบท “ร้อยตำรวจเอกเรืองยศ” นายตำรวจหนุ่มตงฉินผู้ดำเนินคดีข่มขืนและฆาตกรรมอันเป็นปมปริศนา
          “ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” รับบท “คุณขจร” สุภาพบุรุษนักเรียนนายร้อย บุตรชายคนเดียวของคุณบุญเลื่อง (รฐา โพธิ์งาม)
          “รัดเกล้า อามระดิษ” รับบท “คุณท้าวพิจิตรรักษา” สตรีชราผู้ทรงอำนาจแห่งตระกูลพิจิตรวานิช
          “ผศ. เกริกเกียรติ พันธุ์พิพัฒน์” รับบท “เสด็จพระองค์ชาย” พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ทรงถูกจับเป็นเชลยในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
          “ชุดาภา จันทเขตต์” รับบท “แม่พุ่ม” หัวหน้าคนครัวแห่งบ้านพิจิตรวานิช มารดาของ เคน กระทิงทอง (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) ผู้จงรักภักดีต่อจันดารา (มาริโอ้ เมาเร่อ)
          “ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล” รับบท “ส้มจุก” บ่าวลักเพศผู้ประจบสอพลอเป็นที่หนึ่ง
          และขอแนะนำ “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” หนุ่ม Cleo ปี 2008 ผู้อ่านข่าวภาคภาษาอังกฤษ FM107 รับบท “จอม เวียงชัย” ชายคนรักของแม่วาด (บงกช คงมาลัย) ผู้สร้างโศกนาฏกรรมรักสามเส้าอันน่ารันทดใจ

          พบกับบทบาทอันเข้มข้นของเหล่านักแสดงรับเชิญเกียรติยศทั้ง 8 คนได้ใน “จันดารา ปฐมบท” พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:31:22 PM
บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ “จันดารา ปฐมบท-ปัจฉิมบท”





          บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ผู้กำกับภาพยนตร์ “จันดารา ปฐมบท-ปัจฉิมบท” ตีแผ่โศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์

          แรงบันดาลใจ-ที่มาที่ไปของภาพยนตร์
          “เรื่องของจันดารา” มันเป็นวรรณกรรมคลาสสิกโดย “คุณประมูล อุณหธูป“ ที่ใช้นามปากกาว่า “อุษณา เพลิงธรรม” ซึ่งเรื่องนี้เป็นนวนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของท่าน คุณประมูลเนี่ยแต่เดิมท่านเป็นนักแปล ท่านแปลวรรณกรรมของฝรั่ง นวนิยายดีๆ ของฝรั่ง งานเขียนของท่านจะเป็นเรื่องสั้นซะส่วนใหญ่ ที่สำคัญคืองานเขียนของท่านที่โดดเด่นมากคือการใช้ภาษาที่งดงามมาก โดยเฉพาะจันดาราก็จะเป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกของท่าน และก็เป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของท่านด้วยซ้ำไป เพราะท่านเขียนแค่เรื่องเดียว จากนั้นก็จะเขียนเป็นเรื่องสั้น
ทีนี้จัน ดาราในแง่ของวรรณกรรมถือว่าเป็นการใช้ภาษาที่งดงามที่สุดและพูดถึงเรื่องการสังวาส การใช้ภาษาที่อีโรติกที่งามมาก ซึ่งคนรุ่นใหม่จะอ่านไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป คือสมัยก่อนเนี่ยจะไม่มีนักประพันธ์ที่เขียนเรื่องการสังวาสเลย นวนิยายก็จะเป็นแบบพระเอกนางเอกผู้ร้าย ไม่ก็สี่แผ่นดิน หรือเป็นชั่วฟ้าดินสลายไปเลย เค้าก็จะข้ามฉากที่เป็นอีโรติกไป คุณประมูลเป็นคนแรกที่พูดถึงฉากอีโรติก แต่ว่าท่านใช้ภาษาที่สวยงามมากไม่พูดกันอย่างโจ๋งครึ่ม ตรงไปตรงมา ซึ่งท่านเป็นคนแรกในวรรณกรรมไทยพูดถึงฉากสังวาสเหล่านี้ แต่นั่นไม่ใช่จุดเด่นจุดเดียวในวรรณกรรมเรื่องนี้ จุดเด่นใหญที่สุดที่เป็นจุดสำคัญที่โดดเด่นกว่านิยายเรื่องอื่นก็คือ การสร้างตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเอกอย่าง “จันดารา” ท่านจะใช้จิตวิเคราะห์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ บรมครูทางจิตวิทยาของโลกมาสร้างตัวละครในเรื่องนี้ เป็นเรื่องไซโคโลจี้ เป็นเรื่องของจิตวิทยาซึ่งเป็นจุดเด่นที่วรรณกรรมไทยไม่เคยมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่เรียกว่าอิดิพุส คอมเพล็กซ์ (OEDIPUS COMPLEX) ปมอิดิพุสของฟรอยด์ที่พูดว่าลูกชายมักจะรักแม่ ลูกสาวมักจะรักพ่อ หรือพ่อมักจะรักลูกสาว แม่มักจะรักลูกชาย เป็นต้น อันนี้เป็นจุดที่ก่อให้เกิด พฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งท่านก็พูดว่าจริงๆ แล้วเนี่ย เซ็กส์ไดร์ฟ (Sex Drive) แรงขับทางเพศ เนี่ยจะก่อให้เกิดพฤติกรรมของมนุษย์ในทางบวกและทางลบ
          ทีนี้ในเรื่องท่านก็แสดงให้เห็นว่าไอ้ทางลบเนี่ยมันคืออะไร ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์เราจริงๆ แล้วจะทำอะไรก็ตามมันมีแรงผลักดันทางเพศหรือผลักดันทางความรักแฝงอยู่ เพียงแต่ว่ามันจะออกมาในแง่บวกหรือแง่ลบมันก็เท่านั้นเอง เช่น ง่ายๆ พ่อแต่งงานกับแม่ รักแม่มาก รักเมียมาก ก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้เมียมีความสุข เมื่อมีลูกก็ต้องทำมาหากิน อยากให้ลูกเมียมีความสุข นี่ก็เป็นแรงผลักดัน ที่พูดไปมันก็เป็นแรงผลักดันทางเพศเหมือนกัน
          หรือผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่งมากๆ แต่จนก็อยากจะทำทุกอย่างให้ตัวเองรวยขึ้นมา เพื่อจะได้เอาผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าของ เป็นต้น อันนี้ยกตัวอย่างเป็นแรงผลักดันในด้านดี
          ในด้านลบก็มี เช่น ถ้ารักผู้หญิงคนนี้แล้วไม่ได้ก็เกิดการฆ่า หรือเวลาที่เรารักครอบครัว รักเมียรักลูก แต่เราจนหรืออาจจะไม่จนหรืออยากให้ลูกเมียสบาย ก็อาจจะมีการโกงกินเกิดขึ้น การโกงก็มีหลายระดับ โกงระดับง่ายๆ โกงระดับพื้นฐาน และมันก็ไปโกงระดับประเทศมันก็เป็นเช่นนั้น ที่เกิดจากความรักในลูกเมีย รักในวงศ์ตระกูล รักในครอบครัวเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามันมาจากเซ็กส์ไดร์ฟนี่เอง          
          วรรณกรรมเรื่องนี้พูดแบบนี้ แล้วก็แสดงให้เห็นว่าเซ็กส์ไดร์ฟที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมมนุษย์ในทางลบคืออะไร เพราะฉะนั้นตัวละครของจันดาราพูดได้ว่ามันเป็นโศกนาฏกรรม เป็นการสอนคนดูให้เห็นว่า อย่าประพฤติอย่างจันดาราเลยมันไม่มีประโยชน์อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ไม่ได้พูดเรื่องเซ็กส์อย่างเดียว จริงๆ อันที่แฝงอยู่ในแรงผลักดันเนี่ย ผลของการที่มันออกมาจากเซ็กส์ไดร์ฟ ออกมาเป็นความต้องการอำนาจ ความต้องการรวย ความต้องการวัตถุ เป็นเรื่องของอำนาจและการเมือง การเมืองในที่นี้คือการเมืองในบ้าน ในครอบครัว ต้องการอำนาจในครอบครัว เดี๋ยวนี้ในครอบครัวที่รวย เช่น ครอบครัวพิจิตรวานิชในเรื่องนี้ร่ำรวยมหาศาลมาก แล้วคุณหลวงก็เข้าไปเป็นเขยเพื่อต้องการอำนาจ ก็เลยใช้เรื่องเซ็กส์นี้เป็นการได้มาซึ่งอำนาจ ซึ่งในสังคมยุคเมื่อ 90-100 ปีก่อนเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ชัดว่าผู้รากมากดี คนร่ำรวย เจ้าขุนมูลนายจะมีเมียเยอะมีลูกเยอะนั่นแสดงให้เห็นถึงอำนาจ คือการมีอำนาจ การมีเกียรติ คนรวยจะเป็นเช่นนั้นเพราะเป็นลักษณะของสังคมไทย
          ส่วนผู้หญิงในเรื่องนี้ก็ใช้เซ็กส์เป็นการต่อรองอำนาจเช่นกัน เช่น ตัวละครที่ต้องการจะทะเยอทะยาน ตัวละครที่อยากอัพตัวเองจากคนใช้มาเป็นเมียท่านเจ้าขุนมูลนายก็ใช้เรื่องเพศนี้เป็นเครื่องต่อรองอย่างน้าวาดที่ต้องการจะปกป้องชีวิตของจัน ก็ต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อไม่ให้คุณหลวงทำร้ายจัน เป็นต้น
          เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดไปในแง่การเลือกเรื่องนี้มาทำเนี่ย เพราะมันเกิดมุมมองใหม่เกิดขึ้น ไม่ได้มองเป็นหนังอีโรติก แต่เป็นหนังอัตชีวิตประวัติของจันดาราซะด้วยซ้ำไป ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่จันดาราเกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 (ปี 2458) จนถึงปัจจุบัน ดำเนินเรื่องถึง 4 รัชกาล คือจะเป็นมหากาพย์เลยทีเดียว มันเป็นการเล่าชีวิตของคนๆ หนึ่งตั้งแต่เกิดจนใกล้จะตายแล้วว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง โดยมีประวัติศาสตร์ของประเทศเป็นแบ็คกราวด์ การเปลี่ยนแปลงการเมืองของประเทศมันมีอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการเปรียบเทียบกันระหว่างการเมืองระดับประเทศกับการเมืองในบ้าน แล้วก็การใช้เรื่องเพศในจุดประสงค์ต่างๆ กัน ตัวละครสำคัญใช้เรื่องเพศเพื่อเป็นการต่อรองทางการเมือง การได้มาซึ่งอำนาจ ตัวละครบางตัวมองเรื่องเพศเป็นกีฬาเป็นเรื่องสนุกเอ็นจอย ตัวละครบางตัวอย่างจันดารามองเรื่องเพศเป็นการแก้แค้น ตัวละครบางตัวใช้เรื่องเพศแสดงออกถึงความรัก เพราะฉะนั้นมันพูดถึงเรื่องเพศในมุมมองต่างๆ กัน ฉากอีโรติกในเรื่องนี้มันมีหลากหลายความหมายและมีมากกว่าเวอร์ชั่นเดิมที่พูดถึงเรื่องเพศโดยตรงด้วยซ้ำไป และที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นมันพูดถึงเรื่อง “กรรม” ใครทำอะไรประพฤติอย่างไรก็จะได้ผลกรรมอย่างนั้นซึ่งเป็นแก่นแท้ของบทประพันธ์นี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่มีวรรณกรรมเรื่องไหนที่สะท้อนภาพชีวิตแม้กระทั่งสังคมปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้ใกล้เคียงเท่าเรื่องนี้
          เนื้อหาสะท้อนสังคมในปัจจุบัน
          แม้เรื่องดำเนินมาเกือบร้อยปี แต่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ จริงๆ แล้วก็ตัวคุณประมูลเองเนี่ยท่านก็พยายามสะท้อนให้เห็นความเป็นมนุษย์จริงๆ สะท้อนให้เห็นหายนะของตัวละครที่เต็มไปด้วยความแค้น ซึ่งเราเห็นว่ามนุษย์เวลามีความแค้นเกิดขั้นเนี่ย พฤติกรรมของมนุษย์จะทำลายล้างอะไรก็ได้ไม่ว่าจะมนุษย์ยุคใดก็ตาม เมื่อโดนหักหลังก็เกิดความแค้นและสามารถทำลายได้หมดไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัวหรือระดับประเทศก็ตาม เราต้องการแสดงให้เห็นว่า ความแค้นมันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย มันกลับทำให้เกิดความหายนะแก่คนรอบข้างและตัวเอง คือสังคมเปลี่ยนไปทันสมัยขึ้นมากมาย แต่มนุษย์ก็ยังมีกิเลสอยู่ ที่เรียกว่าความแค้นและการอยากแก้แค้น
          และพื้นฐานของความแค้น การแก้แค้นมันคืออะไร มันคือการยึดตัวตนนั่นเอง การรักศักดิ์ศรีของตัวเองและวงศ์ตระกูลตัวเองนั่นเอง เป็นการยึดมั่นถือมั่นที่เอาเข้าจริงโดยแท้ตอนจบเนี่ยก็นำไปสู่ความไร้สาระ ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ แค้นไปก็เท่านั้น เป็นมนุษย์ประเดี๋ยวก็ตาย มันพูดถึงมนุษย์จริงๆ พูดถึงการเกิดแก่เจ็บตาย สังสารวัฏของมนุษย์และสัจธรรมจริงๆ ในชีวิตมนุษย์ ซึ่งตัวผู้ประพันธ์ต้องการที่สะท้อนตรงนี้ซ่อนไว้ในนวนิยายเชิงกามศาสตร์ ซึ่งจริงๆ แล้วภายใต้นั้นเต็มไปด้วยการเมือง เต็มไปด้วยชีวิตมนุษย์ เต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ ซึ่งงดงามมากสำหรับนิยายที่ท่านเขียน อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ การใช้ภาษาที่สวยมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงออกมาสวยงามมากๆ เต็มไปด้วยศิลปะ โดยเฉพาะในฉากอีโรติกทั้งหมด มันต้องทำความเข้าใจก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์อีโรติก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์อัตชีวประวิติของตัวละครที่ชื่อว่าจัน ดารา ยาวตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งจบที่แสดงให้เห็นว่าจันดาราเนี่ยพบกับชะตาชีวิตอย่างไรบ้าง ในแต่ละสถานการณ์เนี่ยเขาโดนหล่อหลอมยังไงตั้งแต่เขาเกิดมาจนกระทั่งอายุเก้าสิบ
          อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้ประพันธ์ได้นำเสนอออกมาสวยงามมาก จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็ก มนุษย์เราเกิดมาสะอาดหมด เพียงแต่การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อมที่ปรุงแต่งในจิตเด็กเป็นไปในทางบวกหรือลบ ซึ่งจริงๆ ก็คือพ่อแม่นี้เองเป็นคนที่เลี้ยง ในหนังพูดถึงตรงนี้ โชคร้ายที่ตัวละครอย่างจัน ดาราหรือคุณแก้วล้วนไปเห็นตัวอย่างไม่ดีจากคุณหลวงที่เป็นพ่อตั้งแต่เด็กเป็นต้นมา มันก็เลยทำให้เกิดการจดจำแล้วก็กำหนดพฤติกรรมที่เหมือนกัน ซึ่งเป็นผลร้ายต่อเขาเมื่อเขาโต ไม่ว่าเรื่องกามารมณ์หรือการใช้อารมณ์ทะเลาะเบาะแว้งกันในบ้านอะไรทำนองนั้น ตบตีกันในบ้าน แสวงหาอำนาจกันในบ้าน เด็กจะจำและเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เปรียบเทียบได้กับเด็กอยู่บ้านแล้วพ่อแม่อาจจะดี แต่ตัวอย่างไม่ดีอาจเกิดจากในโทรทัศน์ ความรุนแรงของละคร, ภาพยนตร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่มีผลต่อเด็ก แต่บังเอิญในเรื่องนี้มันยังไม่มีสื่อต่างๆ มันก็เห็นผ่านของจริงที่เด็กมองเห็น มันเป็นสิ่งที่เราเลือกทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เราเห็นคุณค่าของวรรณกรรมเรื่องนี้สมควรนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งก็จริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็มีหลากหลายอารมณ์มาก จริงๆ แล้วตัวคุณประมูลเองก็มีอารมณ์ขันเสียดสีอยู่ในนั้น เราก็นำเอาอารมณ์ขันเหล่านั้นออกมา มีความน่ารัก ความเสียดสี มันมีความตลกด้วย แล้วมันมีอารมณ์ลึกลับ มีการค้นหา เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเรื่องนี้ทำตามบทประพันธ์ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ เพราะเราดัดแปลงมาเพื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่มีหลากรส มันดูง่ายขึ้น แล้วก็ไม่เครียด ไม่ซีเรียสนักหนา มันมีอารมณ์ขันแฝงอยู่ในนั้นด้วยมากมาย มันก็เหมือนมาดูประวัติชีวิตคนในอดีต ซึ่งมีสีสันหลากหลายมาก มันไม่ใช่เรื่องกามารมณ์ มันมีเรื่องการเมือง ความรักระหว่างหนุ่มสาวอย่างบริสุทธิ์ก็มีและไม่บริสุทธิ์ก็มี อย่างในฉากรักต่างๆ ก็มีการเปรียบเทียบกัน ความรักในแบบต่างๆ เป็นยังไง หรือว่าอีโรติกในแบบต่างๆ เป็นยังไง มันมีตื่นเต้น มีบู๊ด้วย มีตลกด้วย มันมีแทบทุกรสเลย
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:32:08 PM
          ถ้าจะพูดไปเราตั้งใจจะทำเรื่องนี้ให้เหมือนกับภาพเขียนฝาผนังในวัด ในยุคที่ยังไม่มีสื่อที่ทันสมัยอย่างในปัจจุบัน ภาพเขียนฝาผนังในวัดเนี่ยก็เปรียบเสมือนภาพยนตร์นะ คนไปวัดก็จะไปดูวิถีชีวิต จริงๆ แล้วฉากอีโรติกอีกมากมายบนฝาผนังในวัดมีไว้เพื่อให้คนดูแล้วรู้ว่านี่คือชีวิต แล้วก็รู้จักปลง แล้วก็อยู่ในความงาม เพราะฉะนั้นภาพที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ก็จะเหมือนภาพเขียนบนฝาผนังในวัดสมัยโบราณ ซึ่งมีถึงพริกถึงขิงมาก หลายเพศหลายพันธุ์มากนะในภาพเขียนฝาผนัง พูดถึงประวัติก็มี สะท้อนชีวิตชาวบ้านธรรมดาก็มี หรือเรื่องอีโรติกนี่ชัดเจนมาก มีทั้งเพศเดียวกันก็มี ต่างเพศก็มี กับสัตว์ก็มี ซึ่งถ้าเราลองศึกษาดู เราก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นภาพยนตร์ แต่ว่าออกมาในความงามที่อยู่ในวัด สังเกตได้ง่ายๆ ว่านางฟ้าของเราเนี่ยจะเปลือยอกนู้ดทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะ จุดประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงออกมาเป็นเช่นนั้นเหมือนกับดูภาพเขียนฝาผนังบนวัด ซึ่งสะท้อนธรรมะของเราหมายถึงธรรมชาติของมนุษย์ ให้ดูแล้วรู้จักปลงว่านี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ ให้ดูแล้วกลับไปรู้จักปรับปรุงตัวเอง จริงๆ แล้วตัวละครหลายๆ ตัวเนี่ยมันก็มีอยู่ในตัวเราทุกคนเนี่ยแหละจะมีข้อบกพร่องในตัวมนุษย์ทุกๆ คนในทุกยุคทุกสมัยเหมือนกัน ดูแล้วก็รู้จักชำระล้าง แล้วดูว่าตัวละครตัวไหนเหมือนตัวเองเหมือนเราบ้างแล้วก็ปรับปรุงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ให้รู้จุดประสงค์ในการเลือกวรรณกรรมเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์
          นำเสนอเป็นสี่ยุคสี่สมัย
          มันเป็นการเพิ่มแน่ๆ เพราะว่ามันเป็นบทดัดแปลงจริงๆ คือว่าครูประมูล อุณหธูปเขียนเรื่องนี้เป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ก็เหมือนเราอ่านอันนี้อีกครั้งเราประทับใจอย่างไร มันก็ออกมาเป็นภาษาภาพยนตร์ที่ต่างกัน ยังไงก็มีการปรึกษากับคุณศิเรมอรลูกสาวผู้ประพันธ์แล้วว่าจะมีการดัดแปลงแบบนี้ มุมมองใหม่เกิดขึ้นแต่เราก็ยังรักษาแก่นแท้ความตั้งใจเดิมของวรรณกรรมเอาไว้ แล้วก็สร้างตัวละครใหม่ขึ้นมาด้วย จริงๆ มันก็คือการเพิ่มสีสัน เพราะความสมบูรณ์มากที่สุดของศิลปะการประพันธ์ก็แบบหนึ่ง ศิลปะภาพยนตร์ก็อีกแบบหนึ่ง การอ่านกับการดูไม่เหมือนกัน แต่เพราะจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้ทำลายบทประพันธ์เลย ก็ทำจากพื้นฐานบทประพันธ์อันนั้นแหละ แต่ทำให้มีสีสันสำหรับคนไทย เรื่องนี้ตั้งใจทำให้คนไทยดูนะไม่ใช่คิดจะทำให้ฝรั่งดู เพราะว่าเราเป็นคนไทย เราไม่ได้จะไปประกวดเมืองนอกเมืองนาอะไร
          ขั้นตอนเขียนบทใช้เวลานานมากน้อยแค่ไหน
          เวลาเขียนบทไม่นาน แต่เวลาคิดนาน คิดเป็นปี ก็คงเหมือนกับหนังทุกเรื่องที่เราคิดมานานแล้ว มันต้องคิดหลายปี เพราะจริงๆ แล้วพอถึงเวลาเขียนไม่นานเลย แต่เวลาคิดนานคิดเป็นปี เพราะว่าอ่านหลายครั้งหลายหนมาก เด็กรุ่นใหม่ที่อ่านหนังสือเล่มนี้ยากมันเป็นเพราะการใช้ภาษาที่โบราณมากกว่าสิ่งใดๆ บนโลกนี้ และก็เป็นภาษาที่เปรียบเปรยมาก แต่ก็แปลกที่ยิ่งอ่านยิ่งได้อะไรใหม่ๆ ในเนื้อหาที่ท่านผู้ประพันธ์ได้ซ่อนเอาไว้ในนั้น คือถ้ามองแต่เปลือกๆ มันก็คือนิยายประโลมโลก พูดถึงกามารมณ์ในแง่เปลือกๆ มันก็สนุกโลดโผนโจนทะยานมาก มีฉากลึกลับมากมายก่ายกอง ถ้ามองลึกไปกว่านั้นเนี่ยจะเจอสิ่งดีๆ ในนั้นคือ เจอธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งอ่านยิ่งเข้าใจอะไรมากขึ้น ถ้าอ่านหนแรกมันจะได้แต่ผิวๆ มันก็เป็นเรื่องกามารมณ์ จริงๆ วรรณกรรมดีๆ ต้องอ่านหลายครั้ง อ่านแล้วจะได้อะไรใหม่เสมอ อะไรดีๆ เหมือนหนังดีๆ ก็ดูได้หลายครั้ง
          ด้วยความอัจริยะของท่านผู้ประพันธ์ที่เปิดช่องให้เราได้ตีความได้มาก ที่ไม่ได้ให้เล่าคิดตามท่านอย่างเดียว แต่เปิดช่องให้เราคิดเองด้วย ดังนั้นในแง่การดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ก็จะทำได้ง่ายขึ้น เราก้เอาแก่นหรือสาระของเรื่องมาขยายความดัดแปลงให้เหมาะสมในทางภาพยนตร์ เพราะศิลปะภาพยนตร์กับวรรณกรรมมันก็คนละแบบกัน ซึ่งท่านจะใช้ภาษาที่ไพเราะมาก และเป็นภาษาโบราณด้วย เป็นพรรณนาโวหารที่มีความงามอยู่ในนั้น เราก็เอาความงามทางภาษามาแปลงเป็นความงามของภาพแทน และในแง่ความเด่นที่สุดอีกจุดหนึ่งของท่านก็คือ การที่ใช้หลักจิตวิทยาของซิกมันด์ ฟรอยด์มาสร้างตัวละครให้มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปมออดิปุสคอมเพล็กซ์อย่างที่บอกไป เป็นปมที่ท่านเอามาสร้างเป็นตัวละครที่มีชีวิตจิตใจได้อย่างสมจริงในเรื่องหรือพล็อตที่คนไทยจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ มีการหักมุม มีการแย่งชิงอำนาจกัน แย่งทรัพย์สินมรดกกัน คล้ายๆ ละครโทรทัศน์เลยนะ นี่คือความโดดเด่นของเรื่องจันดารา ที่นอกเหนือไปจากฉากอีโรติกที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้นมาเมื่อยุคสมัย 2507 ที่ยังไม่เคยมีใครเขียนเรื่องทำนองนี้ก็เลยเป็นที่ฮือฮากันมากในเชิงวรรณกรรมสังวาส พูดเป็นภาษาง่ายๆก็คือเป็นเรื่องโป๊ แล้วเราก็จะตื่นเต้นกับบทอัศจรรย์บทสังวาสเกิดขึ้นมากมาย แต่ว่าความเป็นอัจริยะของท่านเนี่ย ได้ซ่อนปรัชญาทางพุทธเอาไว้ แล้วก็ตีแผ่จิตมนุษย์ออกมาในงานวรรณกรรมของท่าน ซึ่งเราว่ายุคสมัยนี้ใกล้เคียงในเรื่องทีเดียวนะ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ เราว่าในยุคสมัยนี้แหละที่น่าจะได้ชมภาพสะท้อนของเราเองในเรื่องนี้ ของตัวเราเอง ของสังคมที่เรากำลังเผชิญอยู่
          การคัดเลือกนักแสดงและบทบาทแต่ละคาแร็คเตอร์
          ในแง่ของการเลือกตัวละครก็ต้องเลือกอย่างเหมาะสมจริงๆ เท่านั้นนะ เราเลือกนานจนวินาทีสุดท้าย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครที่เดินเรื่องตลอดก็คือตัว “จันดารา” ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องชีวิตของเขาเองทั้งหมด โดยในภาพยนตร์ครั้งนี้มีการดัดแปลงให้จัน ดารามีชีวิตยาวขึ้นกว่าในบทประพันธ์ โดยในวรรณกรรมจะเล่าเรื่องถึงอายุ 40 แต่ในหนังเราจะเล่าไปถึงอายุ 80-90 คือจะเล่าตั้งแต่จันดาราเกิดขึ้นบนโลกนี้จนอายุถึง 90 ปี เรื่องก็จะดำเนินผ่านเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของเขา ซึ่งก็คล้ายๆ กับอัตชีวประวัติ ถึงเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นมหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม
          ตัวจันดาราอาจจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปิน มีความเป็นศิลปินสูงมาก เป็นคนอ่อนไหวมาก เป็นคนที่สามารถจดจำรายละเอียดของตัวเองและคนอื่นได้เป็นอย่างดี เรื่องส่วนใหญ่จะดำเนินตอนที่เขาอายุ 17 จนถึงเกือบอายุ 40 เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเลือกคนที่มีหน้าตากลางๆ ที่สามารถเล่นเป็นคนอายุ 17 จนถึง 30-40 ได้ การเลือกนักแสดงมันก็ต้องน่าเชื่อ แก่ไปก็เล่นเป็นเด็กไม่ได้ เด็กไปก็เล่นแก่ไม่ได้ ตัว “มาริโอ้” ด้วยวัยเค้าจริงๆ เนี่ยก็จะกลางๆ ที่สุด และด้วยฝีมือทางการแสดงของเขาหลังจากที่ร่วมงานกันมาใน อุโมงค์ผาเมืองเนี่ย เราก็ได้เห็นศักยภาพทางการแสดงและคิดว่ามาริโอ้จะสวมบทบาทเป็นจันดาร ได้อย่างลึกซึ้ง ตอนออดิชั่นให้มาริโอ้แต่งเป็นอะไรเค้าก็จะมีเสน่ห์เป็นคนนั้นซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของนักแสดงมากๆ เค้าก็คงจะเหมาะที่สุดแล้ว คราวนี้เรามองจัน ดาราเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ และข้อสำคัญก็คือ สภาพแวดล้อมรอบข้างนี่แหละที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของเขาต้องเปลี่ยนไปกลายเป็นดาร์กขึ้น หม่นขึ้นๆ จนกลายเป็นดำสนิท ด้วยสภาพจิตใจและหน้าตาของเค้าก็ทำให้สามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว
          ส่วนตัวละคร “เคน กระทิงทอง” ซึ่งสร้างขึ้นมาให้ละเอียดขึ้นจากหนังสือเนี่ย เป็นตัวละครที่เติบโตมาพร้อมๆ กับจัน ถ้าจันเป็นสีดำเคนก็เป็นสีขาว ถ้าเคนเป็นสีขาวจันก็เป็นสีดำ เป็นบุคลิกตรงข้ามกันมาก เคนกระทิงทองจะเป็นคนที่แมนๆ แข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากทั้งสิ้น เอ็นจอยกับชีวิตในทุกวินาทีที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ เป็นคนมองโลกในแง่ความเป็นจริง การที่เลือก “นิว ชัยพล” เพราะเขามีลักษณะภายนอกที่เหมือนเคน กระทิงทองมาก ด้วยรูปร่างหน้าตาและความแข็งแกร่งที่ดูเป็นนักสู้ เป็นนักเลงนิดๆ และมีความทะเล้นอยู่ในตัว ในแง่แอ็คติ้งเนี่ยนิวเรียนกับเรามาตั้งสี่ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาสามารถทำความเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญที่สุดคือนิวกับโอ้เขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เวลาเล่นด้วยกันเขาจะมีเคมีที่เข้ากันได้ดีมาก มันไม่ใช่แค่เพื่อนอย่างเดียวนะ มันเป็นทั้งนายกับบ่าว มีความซื่อสัตย์ ความไว้ใจซึ่งกันและกัน คู่นี้พอเล่นด้วยกันแล้วดูน่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
          ทั้งคู่เป็นลูกศิษย์เราเรารู้ว่าจะใช้งานเขาได้ยังไง ก็เริ่มซ้อมมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทั้งคู่จะมาซ้อมมาเข้าคลาสด้วยเพื่อให้เข้าถึงตัวละครซึ่งเป็นที่น่าพอใจมา ซึ่งก็เลือกไม่ผิดทั้งคู่ และเขาก็มีเคมีที่เค้ารู้จักกันตั้งแต่เด็กมันเลยทำให้เขาสามารถเป็นตัวเดินเรื่องสองตัวที่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์จนกระทั่งจบ
          ตัวละครตัวอื่นก็เลือกจากเหมาะสมแท้ๆ ซึ่งก็ยากที่เราจะปฏิเสธบทอีโรติกหรือบทล่อแหลม มันปฏิเสธไม่ได้ที่จะมี เราต้องเลือกคนที่เข้าใจศิลปะของการแสดงจริงๆ ที่จะรู้ว่ามันจำเป็นต้องเปลือยด้วยมีเหตุและผล ไม่ใช่ว่าจงใจจะเปลือย ต้องเลือกคนที่มีสามารถและเหมาะสมด้วย เข้าใจศิลปะของการแสดงด้วย ซึ่งนักแสดงทุกคนก็เข้าใจและเต็มที่กับการแสดงเรื่องนี้กันทุกคน
          บท “คุณหลวงวิสนันท์เดชา” เป็นบทที่เหมือนกระจกส่องสะท้อนกับจันดารา ที่ทำให้แม่ต้องตายหลังจากคลอดเขา ก็เลยก่อเกิดความเคียดแค้นที่มาใส่กับตัวเด็ก โดยที่จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลที่เป็นปริศนาซ่อนอยู่ เป็นบทที่เล่นค่อนข้างยาก เพราะฉะนั้นบทนี้ต้องใช้คนที่มีฝีมือมาก สำหรับผมคิดว่า “เจี๊ยบ ศักราช” เนี่ย มีบุคลิกภายนอกมีความเป็นผู้ชายไทยเหมือนที่ตั๊ก บงกชมีความเป็นผู้หญิงไทย และประกอบฝีมือการแสดงที่เล่นได้แนบเนียนและลึกซึ้งเหมือนตัวละคร ก็เลยคิดว่าศักราชจะสวมบทบาทนี้ได้ดี ซึ่งเขาก็ทำได้อย่างดีมากๆ เลยทีเดียว
“ตั๊ก บงกช” ก็เลือกจากลักษณะภายนอกเหมือนกัน คือตัว “น้าวาด” เนี่ยสวยแบบนางในวรรณคดี เป็นหญิงไทยโบราณและมีความเป็นแม่สูงด้วยลักษณะภายนอก มีหน้าอกที่ใหญ่ มีไหล่ที่ใหญ่ แล้วมีความอบอุ่น และตั๊กเขามีความสวยอย่างคนไทยมากยิ่งพอใส่สไบแต่งเป็นไทยขึ้นมาก็ตรงกับที่คิดไว้เลย ที่สำคัญเขาต้องเล่นตั้งแต่สาวจนกระทั่งอายุ 40-50 ซึ่งตั๊กก็ทุ่มเทกับการซ้อมมากจนเข้าถึงตัวน้าวาดได้อย่างน่าประทับใจ ตอนแรกเรียกมาดูตัวเพราะไม่เคยทำงานด้วย แล้วมาออดิชั่นเขาเป็นคนเดียวที่ใกล้เคียงกับบทนี้มาก เข้าใจด้วยว่าที่มันจะต้องมีเลิฟซีนและยินยอมพร้อมใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความยากสำหรับตั๊กเนี่ย พอเล่นบทตอนสาวน้อยมากแค่สิบเปอร์เซ็นต์ในเรื่อง นอกนั้นก็เล่นเป็นน้า ซึ่งเป็นน้าของจันที่เรียบร้อยมาก เป็นกุลสตรี เก็บความลับทั้งหมดเอาไว้ในตัว ปิดปากไม่แพร่งพรายใดๆ จะเล่นยากมากเพราะส่วนใหญ่จะเล่นเป็นคนสูงอายุเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ซึ่งก็ทำได้ดีมากและตั้งอกตั้งใจมาก เพราะเป็นบทของตัวละครที่สำคัญมากที่เก็บความลับในชีวิตของจัน ดาราเอาไว้ ชาติกำเนิดของจันดาราแท้ๆ คืออะไร น้าวาดเป็นคนที่เก็บเรื่อง เป็นคนที่ล่วงรู้ แล้วก็บทน้าวาดเนี่ยเป็นบทที่ส่งมาเพื่อปกป้องจันดาราจากภัยที่จะเกิดจากคุณหลวง ทีต้องการยึดสมบัติของครอบครัวพิจิตรวานิชซึ่งจันดาราเป็นทายาทที่เหลือคนเดียว เพราะฉะนั้นน้าวาดจะถูกส่งตัวมาเพื่อปกป้องชีวิตจัน ดารา ซึ่งเล่นยากมาก เขาต้องเล่นไม่ให้คุณหลวงรู้ด้วยว่าเขามา จริงๆ แล้วมันคือสายลับ ซึ่งเขาก็ต้องยอมและเสียตัวให้คุณหลวงเพื่อจะรักษาชีวิตจันดาราตั้งแต่เด็กๆ บทนี้เป็นบทที่เล่นค่อนข้างซับซ้อนมากแล้วตอนจบของเรื่องเนี่ยเค้าเลี้ยงจันดารามาจนโต แล้วจันดารามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เด็กที่ใสสะอาด เป็นเด็กที่กลับมาเพื่อจะแก้แค้นและก็ได้มีการกระทำที่รุนแรงขึ้นจนน้าวาดทนไม่ได้เลย
          คาแร็คเตอร์ของ “คุณบุญเลื่อง” ก็จริงๆ แล้วเป็นตัวละครที่เราแคสติ้งไว้หลายคนทีเดียว เพราะเป็นบทที่ถูกตีความใหม่ให้เป็นศิลปินแม่ม่ายชาวภูเก็ตแต่ไปโตที่ประเทศฝรั่งเศสและก็มีสังคมเป็นชาวต่างประเทศ จะเป็นฝรั่งมาก เพราะฉะนั้นบทของคุณบุญเลื่องเลยมีสีสันต่างจากตัวละครผู้หญิงในเรื่องซึ่งเป็นคนไทย คุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้จะรักการแต่งตัวมาก จะแฟชั่นจ๋ามาก และก็เป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักวาดรูป ร้องเพลงเก่ง เปียโนเก่ง เต้นรำเก่ง มันก็มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่ต้องเลือกคนที่เหมาะจริงๆ เพราะฉะนั้นในการเลือก “หญิง รฐา” มารับบทนี้ก็จะเหมาะที่สุด และก็ด้วยวัยจริงๆ เขาอายุไม่ค่อยเยอะ แต่ว่าหญิงสามารถ่ายทอดบทบาทของหญิงวัยสี่สิบได้อย่างเหลือเชื่อ
          ส่วน “พิ้งกี้” ต้องเล่นเป็นสองคาแร็คเตอร์ หนึ่งคือ “ไฮซินธ์” บทระบุไปเลยว่าเป็นผู้หญิงมุสลิมและสวยมาก เราเห็นว่าไฮซินธ์เนี้ยเป็นนางในดวงใจของจัน ดาราตั้งแต่เขาเจอกันที่โรงเรียน มันเป็นความรักบริสุทธิ์มากๆ รักมากโดยไม่มีกามารมณ์มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นแรงบันดาลใจให้จันมีชีวิตอยู่ เป็นเหมือนกับวิหารทางใจของจัน เพราะที่บ้านเนี่ยเต็มไปด้วยกามารมณ์ เต็มไปด้วยการชิงอำนาจ มีแต่ทะเลาะเบาะแว้ง มันแย่จากในบ้าน แต่ว่าไฮซินธ์มันเหมือนที่พักทางใจของจัน ก็เลยเห็นว่าพิงกี้เนี้ยเหมาะที่สุดที่จะมารับบทนี้ ก็เลยเชิญมาออดิชั่นและฝีมือการแสดงเขาสูงมากทีเดียวถึงขั้นระดับอินเตอร์ก็ว่าได้ ก็เลยมีความรู้สึกว่าบทไฮซินธ์อย่างเดียวมันจะง่ายไปหรือเปล่าสำหรับเขา ก็เลยเพิ่มบทให้เขาอีกบทนั่นคือบท “ดารา” แม่ของจันที่เสียชีวิตหลังจากคลอดจันออกมา บทของดาราก็เป็นบทที่สำคัญมาก ในนวนิยายพูดไว้ว่า ผู้หญิงสองคนที่จันรักอย่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นมันเลยมีความเหมือนกันอยู่ในแง่ของตัวละคร คือเราพยายามคิดว่าทำไมจันดาราถึงรักไฮซินธ์อย่างบริสุทธิ์มันต้องมีความเป็นอะไรเหมือนแม่อยู่ก็เลยให้คนๆ เดียวกันเล่น ซึ่งจริงๆ ก็เป็นคนละคาแร็คเตอร์เลย ซึ่งเขาก็เล่นได้ดีและแตกต่างมาก
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 17, 2012, 03:33:07 PM
          บท “คุณแก้ว” เนี่ยพูดได้ว่าเป็นบทที่แรงที่สุดในเรื่องนี้นะครับ คือเธอมีจิตใจที่เปราะบางทีเดียว คือมีปมของการที่แม่ไม่รัก ตัวเองก็รักพ่อมากและก็ได้รับอิทธิพลความคิดความอ่านจากพ่อไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อใส่หัวตั้งแต่เด็กว่าให้เกลียดจันและก็ถ่ายทอดเลือดของพ่อมาเยอะ คือเป็นคนที่เจ้าอำนาจบาตรใหญ่มาก และก็มีความวิปริตทางจิตค่อนข้างสูง เป็นผู้หญิงที่รุนแรงมากทางด้านอารมณ์ เพราะฉะนั้นมันยากมากสำหรับนักแสดงไทยที่จะถ่ายทอดตรงนี้ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฉากอีโรติกซึ่งค่อนข้างสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ก็เลยคิดว่านักแสดงไทยคงไม่กล้าเล่นแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจใช้นักแสดงญี่ปุ่น “โช นิชิโนะ” ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากและท้าทายสำหรับเธอมากที่จะเล่นเป็นคนไทย ซึ่งแต่เดิมเราบอกว่าพูดญี่ปุ่นก็ได้และเดี๋ยวให้คนอื่นมาพากย์ทับ แต่แกกลับบอกว่าแกอยากจะพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนที่มาพากย์แทนแกจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นคนที่มีสปิริตและทุ่มเทในการซ้อมมากแม้จะเป็นช่วงเวลาที่น้อยนิดที่เราเจอกัน เราก็ขอชื่นชมในสปิริต ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพระดับสากลจริงๆ คือถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักแสดง AV แต่ว่าบ้านเขาถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติมากและดาราญี่ปุ่นหลายๆ คนก็เกิดจากเอวีทั้งนั้น แต่ว่าโชก็สามารถเล่นได้ทุกอย่างเป็นมือโปรจริงๆ และเขาเองก็พยายามที่จะเรียนรู้ความเป็นคนไทยอย่างมาก และเราก็โชคดีมากที่ได้ “นัท มีเรีย” ที่ไม่ใช่แค่มาให้เสียงเท่านั้น แต่ต้องถือว่านัทก็เหมือนแสดงเป็นคุณแก้วเลย เข้าใจบทเท่าๆ กับที่โชเข้าใจ ต้องใส่วิญญาณของคุณแก้วเข้าไปในภาพของโช ซึ่งสำหรับนัทเองก็เป็นบทที่ยากสำหรับเขามาก จริงๆ แล้วเหมือนเล่นสองคนนะครับบทนี้ แสดงโดยโช มิชิโนะและนัท มีเรีย ซึ่งนัทก็สามารถถ่ายทอดได้เหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน แต่พูดภาษาไทยได้ชัดกว่าเท่านั้นเอง
          ส่วนบทของ “คุณท้าวพิจิตรรักษา” แสดงโดย “รัดเกล้า อามระดิษ” ก็จะเป็นบทที่เราได้มีการดัดแปลงขึ้นมา เพราะในบทประพันธ์จะเป็นคุณตา เราคิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงมากกว่าก็เลยดัดแปลงเป็นคุณท้าวยาย ซึ่งเป็นคุณป้าของดารา พิจิตรวานิชแม่ของจัน เป็นผู้อาวุโสมากที่สุดในบ้านพิจิตรวานิช ซึ่งจริงๆแล้วตัวละครตัวนี้แหละเป็นตัวละครที่สร้างปมปัญหาต่างๆ ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งในบทบาทสำคัญนี้จะหนัก ต้องใช้นักแสดงที่เล่นได้อย่างมีพลัง ซึ่งรัดเกล้าเป็นนักแสดงคุณภาพที่พิสูจน์ฝีมือแล้วจาก “อุโมงค์ผาเมือง” นะครับ ซึ่งถ่ายทอดบทผู้หญิงแก่ที่หลงอำนาจและก็ตัดสินใจบางอย่างผิดๆ ไปและก่อให้เกิดความหายนะต่อคนรอบข้างได้อย่างน่าสะพรึงกลัวทีเดียว
          โปรดักชั่นงานสร้าง
          ความยากมันอยู่ที่บ้านพิจิตรวานิชหรือบ้านวิสนันท์ที่ดำเนินเรื่องแปดสิบเปอร์เซนต์ เพราะฉะนั้นจะต้องเลือกบ้านที่เหมาะสมที่สุด และเป็นเรื่องของชนชั้นสูง เนื้อเรื่องทั้งหมดเนี่ยเป็นเรื่องชนชั้นสูง ไม่ใช่เรื่องของคนชั้นกลาง เป็นคนระดับสูงระดับศักดินา เพราะฉะนั้นในการเลือกบ้านมันก็จะยากเลยทีเดียว ในด้านอาร์ตไดเร็คชั่น ในแง่โลเกชั่นตัวบ้าน ตัวฉากเสื้อผ้า เครื่องประกอบฉาก มันต้องสะท้อนชีวิตคนชั้นสูง ในสังคมของคนชนชั้นสูงในที่นี้คือในยุคเดิมของคนมีการศึกษาด้วย ต้องมีชาติตระกูล มีการศึกษาซึ่งไม่ควรที่จะทำอะไรที่มันเป็นตัณหา ราคะ กิเลสหรืออะไรที่ไม่ดี มันก็จะยากในการเลือกโลเกชั่นมาก เสื้อผ้าก็จะยากเพราะว่าคอสตูมเรื่องนี้เป็นถึงสี่รัชกาล เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าก็จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพราะทำไปแล้วมันเหนื่อยมากงานมันละเอียดมาก เพราะว่างานละเอียดมากที่สุดเท่าที่เคยทำมา อย่างใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็แค่พีเรียดเดียว “อุโมงค์ผาเมือง” ก็พีเรียดเดียวแท้ๆ เลย แต่เรื่องนี้มันต้องสี่สมัยเลย เนื่องจากดำเนินเรื่องตั้งแต่จันดาราเกิดตั้งแต่รัชกาลที่ 6 (พ.ศ.2457) จนถึงปัจจุบันเนี่ย เพราะฉะนั้น ในแง่ฉาก เครื่องประกอบฉาก การแต่งกายมันเป็นไปตามยุคสมัย แม้กระทั่งทรงผม เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายต้องศึกษาอย่างละเอียดและทำงานกันหนักมาก และเรื่องส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในบ้านพิจิตรวานิชก็จะต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ไปตามเสื้อผ้าและแบบผม มันยากมาก ยากกว่าที่คิดมากๆ มันเป็นเรื่องของรายละเอียดทุกเรื่อง แม้กระทั่งในแง่การแสดง ตัวละครต้องเปลี่ยนอายุ นิสัยก็เปลี่ยนไปด้วยเพราะฉะนั้นคนเล่นจะเล่นยากมาก เปลี่ยนไปตามวัย เปลี่ยนไปตามความคิด จริงๆ แล้วเนี่ยการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจของประเทศก็มีผลต่อตัวละครอีก เขาต้องเข้าใจว่ายุคนั้นนะประเทศมีอะไรอยู่ มีสงครามโลกอยู่หรือเปล่า มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองด้วย มีสงครามโลกครั้งที่สองด้วย มีสงครามกลางเมืองด้วย คนเล่นก็ต้องเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก
          เราก็ได้โปรดักชั่นดีไซเนอร์มืออาชีพระดับอินเตอร์อย่าง “คุณแป๊ะ-พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” ที่เคยร่วมงานกันจากอุโมงค์ผาเมือง ได้ “คุณโจ้-อธิษฐ์ ฐิรกิตสัฒน์” จากร้าน Surface มาเป็นผู้ดีไซน์เสื้อผ้า และก็ได้ “อาจารย์มนตรี วัดละเอียด” มาควบคุมการแต่งหน้าและทรงผม ทุกคนจะทำงานกันหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแต่งหน้าเนี่ยก็ต้องเปลี่ยนไปตามวัย 4 สมัย 4 รัชกาล ต้องแต่งหน้าให้มาริโอ้และนิวซึ่งยังเด็กๆ ยี่สิบกว่าเองให้เป็นคนอายุเจ็ดสิบกว่า ก็เป็นงานที่หนักที่สุดเท่าที่เคยทำมา และก็มีฉากใหญ่ที่ท้าทายในการถ่ายทำมาก เช่น การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ต้องจำลองภาพสมัยยุครัชกาลที่ 7, มีฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 มีฉากเครื่องบินมาถล่มกรุงเทพฯ และก็มีฉากงานเลี้ยงต่างๆ มากมาย อันนี้ก็ต้องศึกษาเยอะและก็เป็นงานที่ใหญ่มากเกินกว่าที่คิด
          ทางด้านโลเกชั่นหลัก เราถ่ายอยู่ที่บ้านบ้านสังคหวังตาลของหลวงสิทธิเทพการ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และก็มีบางส่วนที่ไปถ่ายทำที่สระบุรี, กาญจนบุรี และก็ที่กรุงเทพฯ การหาโลเกชั่น Outdoor นั้นยากมาก มีการเปลี่ยนแปลงมาก เพราะฉะนั้นการทำงานจะยากตรงที่ว่าตรงไหนที่จะต้องหลบไอ้สิ่งทันสมัยต่างๆ ซึ่งบางครั้งก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย เพราะว่ามันยากตรงที่แต่ละยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปมากด้วย
          ส่วนด้านดนตรีประกอบเนี่ย เราก็ได้ “คุณชาติชาย พงศ์ประภาพันธ์” ซึ่งก็ร่วมงานกันมาเมื่อตอนอุโมงค์ผาเมือง มาทำเพลงประกอบด้วยความอลังการมาก คือเนื่องจากเรื่องดำเนินใน 4 ยุค 4 สมัย ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศมากมาย มีการชิงอำนาจกันในบ้าน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอำนาจในประเทศจนถึงระดับโลก เพราะฉะนั้นดนตรีประกอบจึงสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมาซึ่งมีทั้งความยิ่งใหญ่ ความเจ็บปวด ความรัก ความเศร้า มีการแก้แค้นอยู่ในนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะอันน่าสะเทือนอารมณ์ของมนุษย์ แต่ก็มีฉากที่เป็นสีสันความสนุกของเรื่องอย่างฉากร้องเพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” ในงานเลี้ยง ซึ่งขับร้องโดยหญิง รฐา โพธิ์งามกับศักราช ฤกษ์ธำรงค์ ซึ่งแต่งคำร้องโดย “แก้ว อัจริยะกุล” และแต่งทำนองโดย “หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์” ซึ่งเป็นเพลงฮิตในยุคนั้นมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
          ฉากอีโรติกเป็นเรื่องสำคัญ แต่มีเรื่องสำคัญกว่า...ที่มิอาจมองข้าม
          คือโดยแท้แล้วเนี่ย ถ้ามองในลักษณะผิวเผิน อ่านวรรณกรรมเรื่องนี้โดยผิวเผิน ความเด่นมันจะอยู่ที่การกล้านำฉากอีโรติกหรือฉากสังวาสมาเขียนเป็นวรรณกรรม แต่ว่าในหนังสือท่านใช้ภาษาที่เพราะมากเหลือเกิน แต่ว่าโดยแท้แล้ว ผมมีความรู้สึกว่าถ้าข้ามฉากเหล่านี้ไป กลับพบสิ่งที่สำคัญกว่าคือสาเหตุการกระทำของมนุษย์ สาเหตุของการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ไม่ว่ามีพฤติกรรมด้านบวกหรือลบนั่นเอง สาเหตุนั้นก็เป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เด่นของจันดารากลับกลายการสร้างตัวละครอย่างเหมือนมนุษย์มาก โดยยึดหลักของซิกมันด์ ฟรอยด์ คือการสร้างตัวละครที่มีปมอิดิปุสและเซ็กส์ไดร์ฟ คือแรงขับดันทางเพศ ซึ่งไม่ได้สื่อถึงเรื่องกามารมณ์อย่างเดียว เป็นตัวกำหนดที่ทำให้เรามีพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าบวกหรือลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครจันดาราเนี่ย ครูประมูล อุณหธูปได้สร้างสรรค์ตัวละครอย่างน่าสนใจมาก คือเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย และก็บังเอิญบ่าวในบ้านนั้นก็ไม่มีใครมีน้ำนมเลย ก็โดนเลี้ยงโดยนมผง ซึ่งคนที่กินนมผงได้ก็คือลูกเศรษฐีเท่านั้น มันทำให้เขาไม่เคยได้สัมผัสกับกับทรวงอกของแม่เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นความที่เขาอยากได้ความอบอุ่นจากของผู้หญิง ซึ่งในที่นี้เนี่ยไม่ใช่ว่าเห็นทรวงอกของผู้หญิงแล้วมีความรู้สึกทางเพศอันนั้นไม่ใช่ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสเลย เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้เนี่ยจะมีฉากที่มีหน้าอกมากมาย เป็นสัญลักษณ์ของแม่นั้นเอง ที่นี้ในความเป็นจริงเนี่ยธรรมชาติสร้างหน้าอกผู้หญิงมาเพื่ออะไร หรือไม่ใช่แค่ผู้หญิงนะ สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหลายเนี่ยมันก็เพื่อเลี้ยงทารก เลี้ยงมนุษย์ให้มีชีวิตนั่นเอง
          ผมคิดว่าในประเด็นนี้ ท่านพูดถึงทรวงอกผู้หญิงอย่างลึกซึ้ง มากกว่าที่จะเป็นในเชิงกามารณ์ อาจจะเป็นเพราะเราชินกับภาพยนตร์ที่มีฉากอีโรติกเหล่านี้ ทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวูด, ญี่ปุ่น, เกาหลีหรืออะไรก็ตามมันทำให้เราชินว่าหน้าอกของผู้หญิงเป็นสื่อทางกามารณ์ การเข้าถึงแก่นแท้จริงๆ คือทำความเข้าใจว่าหน้าอกของผู้หญิงมีไว้เพื่ออะไร หรือว่าจะพูดถึงอวัยวะสืบพันธุ์มีไว้เพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาไว้ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง
          จริงๆ มันเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์นะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาเล่น Just for Fun มันไม่ใช่เรื่องสนุก การมีเพศสัมพันธ์แท้ๆ เนี่ย คือการเกิดมนุษย์ก่อให้เกิดชีวิต อันนี้เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้เกิดมาเป็นคนเหมือนเราท่านทุกวันนี้
          แต่ทีนี้เรากลับไปมองเรื่องนี้ผ่านสื่อที่เป็นภาพยนตร์หรือบทในเชิงเซ็กส์เนี่ย มันเลยทำให้เรากลายเป็นคิดในเชิงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสนุก หรือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น โดยแท้แล้วมันมีความหมายมาก อย่างที่บอกเรื่องนี้จะพูดถึงฉากเหล่านี้อย่างมีความหมายมาก บางคนใช้เรื่องเซ็กส์หรือเรื่องเพศเนี่ยเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อการแสวงหาอำนาจ บางคนใช้ในการต่อรอง บางคนใช้เพื่อสนุก บางคนใช้เพื่อแสดงความรัก หรือว่าบางคนทำไปเพื่อต้องการมีทายาท คือฉากอีโรติกเรื่องนี้เราหนีไม่ได้เลย มีมากมายทีเดียวอันนี้ต้องยอมรับโดยความเป็นจริง แต่ละฉากเนี่ยนำเสนอออกมาอย่างมีความหมายต่างกัน เพื่อให้เห็นว่าเราจะมองฉากเหล่านี้เป็นเพียงมุมเร้าใจตัณหาราคะอย่างเดียวนั้นมันคือการมองโลกในแง่เดียว ให้มองอีกหลายๆ มุม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรื่องนี้พูดถึงเนี่ย คือความเป็นมนุษย์มากกว่า ความเป็นคนมากกว่า และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์มีสัญชาตญาณในการแสวงหาอำนาจมากและรักตัวเองมาก และก็เมื่อมีอำนาจแล้วก็ไม่อยากสูญเสียไป และก็ใช้อำนาจไปในเชิงทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ แล้วท้ายที่สุดแล้วเนี่ยก็จะพบกับความจุดจบหรือหายนะอย่างในเรื่อง ซึ่งอันนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่าฉากอีโรติกมากมายนัก
          สร้างเป็นสองภาค (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) เพื่อความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาและสาระบันเทิง
          ภาพยนตร์เรื่องนี้มีรายละเอียดเนื้อหาและตัวละครมากมายที่มีความสำคัญเท่าๆ กันหมด เพราะฉะนั้นการที่เราจะตัดเนื้อเรื่องหรือตัวละครตัวใดหนึ่งออกมันยาก เพราะทุกตัวละครมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและสะท้อนนิสัยซึ่งกันและกัน เรื่องมันจึงยาวมาก มีเหตุการณ์พลิกผันไปมาตลอด คือตัวละครจันดาราเป็นตัวเดินเรื่องก็จริง แต่ตัวอื่นๆ รอบข้างก็มีปูมหลังและเรื่องราวของตัวเองเช่นกัน พล็อตมันจะพลิกผันไปมาตลอด เรียกว่าเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ได้เลย เพราะว่าเล่าเรื่องผ่านสี่ยุคสมัย แต่ละสมัยก็มีรายละเอียดทางด้านอารมณ์ เหตุผล และความสนุกเกี่ยวเนื่องกันจึงไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกได้ มันก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเป็นสองภาค ภาคหนึ่งคือ “ปฐมบท” คือวัยเด็กตั้งแต่จันดาราเกิดจนถึงวัยสิบเจ็ด และภาคสองคือ “ปัจฉิมบท” วัยผู้ใหญ่ตั้งแต่ยี่สิบจนถึงสี่สิบ-ห้าสิบ โดยจะยังคงเนื้อหาสาระและความบันเทิงอย่างเต็มอิ่มเอาไว้ทั้งสองภาค ไม่ได้มีการยืดเพื่อให้เป็นสอง ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ยังไงผมก็จะรักษาสาระและความสนุกของเรื่องเอาไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ถ้าได้ชมภาพยนตร์ก็จะเข้าใจดีว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งภาคแรกปิดกล้องเรียบร้อบแล้วพร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ ส่วนภาคสองกำลังอยู่ระหว่างการสร้างครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:30:48 PM
บทสัมภาษณ์ “มาริโอ้ เมาเร่อ” กับการพลิกบทบาทครั้งสำคัญอันคาดไม่ถึง ในภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา”

 

          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          “จัน” จะเป็นคนค่อนข้างที่จะเรียบร้อยและเก็บความรู้สึกครับ เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียชีวิตไปเลยครับ เป็นคนที่จมอยู่กับความผิดของตัวเอง เพราะถูกคุณหลวง-พ่อของจันเองทำร้ายมาโดย เพราะอาฆาตแค้นที่ทำให้แม่ต้องตาย แต่ตัวจันเองเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เรียนหนังสือเก่ง จันเป็นคนที่มองอะไรสวยไปหมด เป็นคนที่มีความเป็นศิลปินค่อนข้างสูง เป็นอาร์ติสชอบวาดรูปด้วย เป็นคนที่มองอะไรแล้วสวยกว่าคนอื่นไปหมด โดยรวมแล้วชีวิตของจันพูดได้ว่ายิ่งกว่าละครครับ เพราะว่าชีวิตผ่านอะไรมาเยอะมากตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งโตไปจนแก่ มีเหตุการณ์ในชีวิตให้พลิกผันอยู่ตลอด จันจะมีเพื่อนซี้ที่เป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนนั่นคือเคน กระทิงทอง ก็จะไปไหนมาไหนด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอครับ
          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้แสดงนำในเรื่องนี้
          ครั้งแรกที่โอ้ได้รู้ว่าหม่อมทำเรื่องนี้ โอ้ก็เชื่อมั่นและรู้ว่าหม่อมมีแง่มุมต่างๆ ที่ต้องการจะนำเสนออยู่แล้ว มันเป็นบทที่ท้าทายฝีมือการแสดงของเรา คือไม่ต้องคิดเยอะเลยครับ หม่อมเสนอมาโอ้ก็รับเล่นเลย จากเรื่องที่แล้วเนี่ยมันคนละด้านกันเลย เรื่อง ‘จันดารา’ นี้จะเป็นมนุษย์จริงๆ มีทั้งด้านดีและร้าย มีหลากหลายอารมณ์ที่ต้องแสดงและเป็นตัวดำเนินเรื่องไปตลอด ต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่เลย ตัวละครของโอ้จะต้องเจออะไรที่แตกต่างไปตามช่วงอายุ มุมมองความคิด และเหตุผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุ ก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราอายุเท่านี้จะได้เล่นบทบาทที่มันท้าทายความสามารถขนาดนี้ และยากมากที่จะได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ ทำให้โอ้ต้องหมั่นฝึกฝนและเข้าคลาสกับหม่อมอย่างหนักมาก นี่เป็นบทที่ดีมากจริงๆ ครับ
          การเตรียมตัวก่อนการแสดงและการเข้าถึงบทบาทนี้
          การเตรียมตัวก่อนการแสดงเรื่องนี้ก็เหมือนที่โอ้ได้เคยทำงานกับหม่อมคือต้องมีการอ่านบทก่อนและก็ซ้อมการแสดง มีการ Read Through และก็เล่นกันจริงๆ กับทีมนักแสดงด้วย มันเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุด เพราะมันทำให้เรามั่นใจและก็หาคาแร็คเตอร์ง่ายขึ้นด้วยครับ เพราะเราได้เล่นกับคาแร็คเตอร์ตัวละครอื่นๆ ด้วย เราจะได้รู้ว่ารับส่งกันยังไงด้วยครับ ทำให้ตอนที่เราไปถ่ายจริงมันลื่นไหลมากเพราะเราจำบทได้หมดแล้ว
          วิธีการเข้าถึงบทบาทของโอ้นะครับ ก็พยายามอ่านบทเยอะๆ และก็คิดภาพตามไปด้วยครับ ทุกครั้งที่เข้าฉากโอ้จะคิดถึงเรื่องราวสิ่งที่อยู่ในใจของจันครับ ว่าจันเนี่ยผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง เค้าเป็นคนยังไง เค้าคิดอะไร คือจันจะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บทุกอย่างครับ เห็นอะไร ผ่านอะไร เป็นคนที่มีความจำดีมากๆ ต่อให้แก่แล้วก็ยังจำเรื่องได้แบบแม่นมาก เหมือนถ่ายภาพเอาไว้เลยครับ เป็นคนที่จำได้ทุกเรื่องราว คำพูดจะจำได้ทุกไดอะล็อคของคนที่โตมากับเค้า คนที่อยู่มากับเค้า จันจะเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะว่าถึงพ่อจะเลี้ยงมาแต่ไม่ได้เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด พ่อจะทำร้ายจันตลอดเวลา ทำให้จันเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว และคนที่เลี้ยงจันจริงๆ ก็คือน้าวาดกับแม่พุ่ม-แม่ของเคนครับ จันเป็นคนที่ละเอียดอ่อน เพราะว่ามีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด
          การดำเนินเรื่องของจันดารา
          สำหรับเนื้อเรื่องโดยย่อนะครับก็เริ่มต้นจากเมื่อจันเกิดมา พอคลอดออกมาแม่ก็เสียชีวิตทันที ทำให้คุณหลวง-พ่อของจันเกลียดชังและอาฆาตเขามาก แต่จันจะรักพ่อสุดหัวใจและก็เทิดทูนบูชาคุณพ่อมากๆ แล้วก็กลัวพ่อมากๆ เพราะว่าพ่อเลี้ยงดูจันแบบค่อนข้างโหด ถูกทำร้ายอยู่ตลอด ถูกเรียกว่า “จัญไร” มาตลอด คือชีวิตจันค่อนข้างหนักมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาชีวิตค่อนข้างรันทดเลยครับ จันจะมีเพื่อนที่สนิทที่สุดคนเดียวก็คือ “เคน กระทิงทอง” ลูกคนครัวที่เป็นคนที่ไกวเปลให้จันตั้งแต่เด็ก คือโตมาด้วยกัน แต่จริงๆ แล้ว เคนเป็นบ่าวของจัน แต่สองคนนี้รักกันเป็นเหมือนพี่น้องเลย สิ่งที่ทำให้จันมีความสุขที่สุดก็คือการที่ได้อยู่กับเคน, น้าวาด กับแม่พุ่มที่คอยเลี้ยงดูจันมาตั้งแต่เด็ก รวมถึง “ไฮซินธ์” ที่เป็นรักแรกของเขาที่ทำให้จันพอมีความสุขได้โดยไม่ต้องไปนึกถึงความเกลียดชังของพ่อและ “คุณแก้ว” ลูกคุณหลวงกับน้าวาดที่เสียคนเพราะพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เป็นจุดพลิกผัน คือมี “คุณบุญเลื่อง” ย้ายเข้ามาในบ้านครับ ทำให้จันรู้สึกแปลกๆ ต่อเสน่ห์ของสมาชิกใหม่ แต่ยังไม่ทันได้สานสัมพันธ์ ก่อนเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นในบ้าน ทำให้ชีวิตของจันเปลี่ยนแปลงไปจนต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่เมืองพิจิตรครับ หลังจากนั้นครับ จันก็ประสบเหตุอะไรอีกมากมายครับในชีวิตจัน ก็ต้องไปติดตามกันในหนังครับ
          การปรับเปลี่ยนลุคในเรื่องนี้
          ในเรื่องนี้ โอ้ก็ต้องเปลี่ยนลุคอยู่ตลอดเวลาครับ อย่างที่โอ้บอกคือมันมีหลายช่วงอายุหลายวัยมากต้องเล่นตั้งแต่ยี่สิบถึงแปดสอบ มันเป็นอายุที่เปลี่ยนแปลงมากๆ ครับตั้งแต่เด็กยันแก่ก็คือเมคอัพต้องละเอียดมาก เสียเวลาไปกับเมคอัพค่อนข้างเยอะ อากาศก็ร้อนมากด้วยครับ ตอนถ่ายฉากแก่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่งหน้าทีก็เกือบสี่ชั่วโมงครับ คือแต่งจนหลับไปแล้วตื่นมาแล้วหลับไปอีกจนเมื่อยเลย (หัวเราะ) อุปสรรคอีกอย่างของการแต่งหน้าก็คืออากาศร้อน เพราะว่าบ้านเราร้อน และหลังๆ เราไปคาบกับหน้าฝนด้วยครับ นอกจากจะกลัวแดดร้อนแล้วยังกลัวฝนตกอีก

          การแต่งหน้ามันจะสามช่วง ช่วงแรกตอนที่จันยังเด็กยังเรียนหนังสืออยู่เป็นใสๆ ปกติผมจะเรียบๆ ชุดราชปะแตนเหมือนนักเรียน ตอนโตขึ้นมาจันก็จะเป็นช่วงวัยกลางคนคือจันจะไว้หนวด สมัยนั้นคนไทยก็ไว้หนวดกันหมดเลยและก็ใส่สูทแต่งตัวเนี้ยบและก็ผิวอาจจะเข้มขึ้นนิดนึง และก็มาตอนแก่ตอนนั้นจันจะแก่ที่สุดแล้วมาหมดเลยครับเป็นรอยดำรอยจุดอะไร และก็ฟันก็ดำเพราะจันเป็นคนที่สูบบุหรี่ และก็แต่ว่ายังแต่งตัวดีอยู่ เป็นคนแก่ที่ยังแต่งตัวดีครับ ถ้าเห็นก็จะรู้ว่าไม่ได้เป็นคนปล่อยตัวเอง เรื่องการแต่งตัวไม่ทิ้งครับ ผมจะขาว ตาก็จะเปลี่ยนสีไปตามธรรมชาติของอายุ
          ความยากง่ายในการแสดงเรื่องนี้
          ในการรับบท “จัน” สำหรับโอ้มันยากมากครับ ต้องรับบทตั้งแต่อายุตั้งแต่สิบเจ็ดสิบแปดจนถึงแปดเก้าสิบ แต่ละช่วงเค้าก็ผ่านเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเราจะขาดไม่ได้เลยที่จะต้องคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านครับ และอีกอย่างก็คือด้วยความที่เป็นหนังพีเรียดย้อนยุคด้วย มันก็จะมีภาษามีคำพูดที่ไม่เข้าปากเราครับ เพราะว่าเราย้อนไปเป็นร้อยปีเลย สิ่งที่ยากสุดก็คือเรื่องการแสดงเลยครับ อย่างวันแรกไปหาหม่อมและหม่อมบอกว่าจะให้เล่นเรื่องนี้ โอ้รู้สึกว่าจะไหวมั้ยเนี่ย ผมว่ามันคงยากมากๆ แน่ แต่ว่าหม่อมเชื่อในตัวผมครับ ผมเห็นว่าอาจารย์เชื่อในตัวเรา เราก็ต้องทำได้ ก็แต่ละวันตอนไปถ่ายก็เหมือนค่อยๆ ยกภูเขาออกจากอกไปเรื่อยๆ ครับ แต่ละซีนมันยาก บางทีมันเป็นซีนใหญ่และมันโฟกัสอยู่ที่เรา
          มันก็เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนครับ เพราะจันเป็นคนที่รู้สึกละเอียดอ่อนทางอารมณ์ เป็นศิลปิน เพราะว่าจันโตมากับน้าวาด มีผู้หญิงเลี้ยงมาตลอด เพราะว่าจันขาดความอบอุ่นจากแม่ ตั้งแต่เกิดมาแม่ก็เสียแล้ว จันเป็นคาแร็คเตอร์ที่ผมรู้สึกว่ายากมาก ด้วยเรื่องความเซ้นซิทีฟ ทั้งเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต แล้วพอเอาจันมาเทียบกับชีวิตจริงๆ โอ้รู้สึกว่ามันรู้สึกเหมือนไปอีกโลกนึงเลยครับ แต่ว่าโชคดีที่นักแสดงทุกๆ คนช่วยเราด้วย สถานการณ์ การแต่งกาย การที่เราซ้อมบทมาก่อนหน้านี้อย่างหนักมาก ก็ทำให้เราเชื่อไปอีกขั้นหนึ่ง สำหรับโอ้มันยากมากที่สุดตั้งแต่เคยแสดงมาเลยครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:33:43 PM
          ฉากประทับใจ         
          ฉากที่ประทับใจมีหลายฉากเลยครับ อย่างฉากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นะครับ ก็เป็นฉากที่ใหญ่มาก ยกกองไปถ่ายที่หน้าพระที่นั่งพระอนันตสมาคม ก็คือวันนั้นเอ็กซ์ตร้าเยอะมากครับ และก็ต้องมีรถทหารวิ่งไปมา เพราผมก็ตื่นเต้นมากๆ เพราะผมชอบมากที่มีรถโบราณ รถทหาร และก็มีทหารแบบต้องแต่งย้อนยุคกันหมดทุกคน ผมก็แบบเหมือนเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ และฉากหลังเป็นพระที่นั่งอนันต์ฯ ด้วยก็สวยมากๆ ครับ ก็เป็นฉากเปิดตัวซึ่งจะง่ายก็ไม่ง่ายเพราะร้อนมาก ผมก็ขอชมพี่ๆ เอ็กซ์ตร้ามากคือเต็มที่มากๆ สุดยอดจริงๆ ครับ วันนั้นพอถ่ายฉากเปิดตัวเสร็จเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ ก็ยากครับ เพราะอากาศร้อนมาก ผมก็เลยต้องไปซื้อเฉาก๋วยมากินคลายร้อน (หัวเราะ) ฉากนี้เป็นฉากสำคัญที่เราได้เจอกับ “ไฮซินธ์” เป็นครั้งแรกด้วย ก็เหมือนตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็นเลย เพราะว่าเป็นคนที่น่ารักและหน้าเหมือนแม่ของเราที่เราไม่เคยพบหน้าแม่จริงๆ เลย จันก็เห็นเขาหกล้มเพราะวันนั้นก็วุ่นวายไปหมด คนก็วิ่งชนกันหกล้ม จันก็ช่วยไฮซินธ์เอาผ้าเช็ดหน้าผูกขาให้ ก็เป็นฉากที่สวยงามและน่าประทับใจมากๆ ครับ มันเป็นที่ที่เราขับรถผ่านทุกวัน แต่เราไม่เคยมองว่า ถ้าถ่ายหนังจะออกมาสวยแบบนี้ครับ
          อีกฉากหนึ่งที่ผมว่าเป็นฉากที่น่ารักดีของเพื่อนสนิทสองคนที่พูดทะลึ่งทะเล้นกันได้ ฉากนี้เป็นฉากที่บ่งบอกคาแร็คเตอร์ของ “เคน กระทิงทอง” ก็คือเป็นคนที่อเรียกกว่าหมกมุ่นเรื่องเพศค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะว่าเป็นเหมือนครูที่สอนจันว่าต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำอย่างนี้ คือจันก็เป็นคนที่ค่อนข้างเป็นเด็กที่เนิร์ด แต่จริงๆ ในใจก็อยากแต่ไม่กล้าทำและก็กลัวไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง เคนก็เลยสอนว่าต้องทำอย่างนี้ ฉากนั้นเป็นฉากที่คุณจันเปิดซิงครับ ผมชอบฉากนั้นมากต่อให้มันเป็นฉากที่คำพูดอาจจะทะลึ่งตึงตังไปหน่อย แต่ว่าด้วยคาแร็คเตอร์ของเคนกับจันเนี่ยมันก็เลยออกมาไม่ลามก ต้องบอกก่อนว่าฉากนั้นนิวที่เล่นเป็นเคนต้องพูดไดอะล็อคยาวมากครับ ก็ช่วยกันส่งอารมณ์กัน พอออกมาดูมอนิเตอร์ก็ชอบกันครับ ด้วยความที่ได้ซ้อมกันมาหลายครั้งด้วย ก็เล่นได้ค่อนข้างลื่นไหลเลยครับ
          สำหรับฉากถูน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” เวอร์ชั่นที่ผ่านมานะครับ เป็นซีนที่ทุกคนจับตารอดู ซึ่งโอ้เคยดูเวอร์ชั่นที่แล้วนะครับ รู้สึกว่าของเขาดีมากๆ ก็ชอบครับ โอ้ก็อยากให้เปิดใจดูครับว่า จันดาราในแบบของหม่อมจะไม่เหมือนกันเลยครับ ซีนถูน้ำแข็งจะแปลกตาออกไปเลย คือหม่อมบรีฟผมว่า ลึกๆ แล้วจันไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนขี้อายและเป็นคนกลัวเรื่องที่จะต้องแตะตัวผู้หญิงครับ ซึ่งในฉากนี้ก็คือคุณบุญเลื่องให้จันมาถูหลังให้ครับ และหลังจากนั้นจันก็มีเผลอตัวไป แต่ว่าสิ่งที่จันรู้สึกกับคุณบุญเลื่องคือเป็นความรู้สึกของแม่ครับ เพราะไม่เคยรู้สึกถึงสัมผัสของแม่เลย ความรู้สึกอบอุ่นของแม่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนครับ
          ฉากอีโรติกที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
          สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “จันดารา” นะครับ ก็อย่างที่ทุกคนก็รู้จักจันดารา มันต้องมีเรื่องของอีโรติก ต้องมีเรื่องของเลิฟซีน แต่ว่าโอ้อ่านบทเรื่องนี้หลายรอบและก็ได้เล่นเอง โอ้รู้สึกว่าทุกซีนมันมีเหตุผลของมัน ถ้าไม่มีเลิฟซีนอันนั้นเรื่องก็จะไม่ต่อ จะไม่ทำให้ตัวละครต้องเจอเรื่องราวต่อๆ มา จริงๆ มันก็เหมือนกับชีวิตคนทุกคนที่ต้องมี แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นแค่เลิฟซีนหรือให้คนมาเมคเลิฟกันเฉยๆ ผมว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น อาจเป็นความใคร่ตัณหาราคะ เป็นความรักระหว่างแม่กับลูก รักระหว่างสามีภรรยา รักในเชิงชู้สาว ซึ่งมันทำให้เรื่องราวดำเนินต่อไปแล้วผมรู้สึกว่าแต่ละซีนมันขาดไม่ได้ มันทำให้สนุกและมีรสชาติที่พอพูดถึงจันดาราแล้วต้องนึกถึงครับ
          การร่วมงานกับทีมนักแสดงในเรื่อง
          การร่วมงานกับนักแสดงในเรื่องนี้ จะแท็คทีมกันเป็นอย่างดีเลยครับ เพราะได้ซ้อมบทกันกับหม่อมมาโดยตลอด พอได้เข้าฉากด้วยกันจริงๆ ก็ค่อนข้างราบรื่นเลยครับ
          อย่าง “นิว” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) โอ้ก็เคยร่วมงานกับนิวมาแล้วใน “อุโมงค์ผาเมือง” เราก็เจอกันที่บ้านของหม่อมประจำอยู่แล้ว อายุก็ไล่เลี่ยกันก็คุยกันง่าย สนิทกันเร็วเลยครับ มีอะไรก็จะรับส่งกันตลอด เพราะเป็นคู่ซี้กันอยู่แล้ว ตัวจริงก็ซี้ ในเรื่องก็ซี้กันไปอีกครับ จริงๆ นิวอายุน้อยกว่าผมแต่ตัวใหญ่กว่าผมอีกครับ นิวเล่นเป็นพี่โอ้ตลอด เพราะว่าตัวใหญ่และก็หุ่นดีมาก นิวจะฟิตซ้อมมาเต็มที่ทุกวัน เพราะว่าต้องมีเรื่องแอ็คชั่น ในบทเป็นคนที่สู้เก่ง เป็นคนที่ปกป้องจันและก็เลี้ยงจันมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งนิวก็จะมีอาหารหลักของเขามากองทุกครั้งก็จะมีปลา ไก่ ไข่ นิวกินแบบนี้มาตลอดสามเดือน ผมก็อู้หูสุดยอด เพราะว่าคือต้องนับถือคนที่เขาหุ่นร่างกายดี เพราะเขาดูแลตัวเองดีมาก ผมก็แอบกินไก่กับไข่บ้างเผื่อจะหุ่นดี (หัวเราะ) นิวก็เป็นคนตั้งใจครับ เป็นคนที่อดทนมาก เพราะรู้สึกว่าเล่นกับนิวสนุกและเหมือนทุกเทคไม่เหมือนกันครับ ได้อะไรใหม่ๆ ตลอด และก็คอยเตือนกันแนะนำกันแบบเราพูดผิดไป บางทีนิวเป็นคนจำแม่นมาก คราวนี้บทเขาก็ยาวด้วย แต่ก็ไม่ค่อยมีพลาดเลย ส่วนตัวเป็นคนนิสัยดีจริงๆ ครับ
          “พี่ตั๊ก บงกช” นี่ก็เป็นเรื่องแรกนะครับที่ร่วมงานกับพี่ตั๊ก เค้าเป็นคนน่ารัก เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวจริงๆ คือพี่ตั๊กจะร้องไห้เก่งมากๆ พี่เค้าทุ่มเทกับงานมากๆ แล้วสำหรับพี่ตั๊กในบท “น้าวาด” ทำให้โอ้รักน้าวาดแบบลึกซึ้งขึ้นไปอีก พี่ตั๊กจะส่งอารมณ์มาให้เราได้เป็นอย่างดีเลยครับ ผมจำได้ว่าเป็นซีนหนึ่งจันต้องหันไปหาน้าวาด หันไปแล้วพี่ตั๊กที่อยู่นอกเฟรมกำลังอยู่ในบทบาทจริงๆ กล้องจะเห็นแค่โอ้กับพี่เจี๊ยบ แต่พี่ตั๊กเค้าต้องรีแอ็คให้โอ้ใช่ไหมครับ พอผมหันไปพี่ตั๊กก็ส่งอารมณ์กลับมา แบบแค่นิดเดียวแต่ก็มีพลังมาก ก็ต้องขอบคุณพี่ตั๊กที่ส่งอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจริงๆ ครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:34:14 PM
          “พี่หญิง” ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานเหมือนกัน แล้วผมก็รู้สึกว่าพี่หญิงทุ่มเทกับงานนี้มาก เรื่องนี้พี่หญิงแบบว่าเซ็กซี่มากๆ ก็ต้องมีฉากเลิฟซีนกันด้วยซึ่งเยอะเหมือนกัน ผมก็ขอโทษพี่หญิงทุกครั้ง ผมก็เกรงใจพี่หญิงด้วย มันก็เป็นงานซึ่งผมต้องบอกว่าพี่หญิงคือทุ่มเทเต็มที่จริงๆ เขาเป็นมืออาชีพที่ต่อให้กี่เทคพี่หญิงก็ไม่เคยทำไม่พอใจ พี่หญิงก็บอกสบายมาก มันคืองานของเรา พี่หญิงเขาก็ทำเต็มที่ทุกครั้งครับ
          “พี่พิ้งกี้” เรื่องนี้เล่นเป็นสองบทบาท แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และก็ผมชอบทุกครั้งที่ผมได้เข้าฉากร่วมกัน พี่พิ้งกี้แต่งเป็น “ไฮซินธ์” ก็สวยน่ารักสมวัย แต่งเป็น “ดารา” ก็สวยมาก
          สำหรับบท “คุณแก้ว” นะครับก็แสดงโดย “พี่โชจัง” เป็นนักแสดงญี่ปุ่นครับ ผมรู้สึกว่าพี่โชจังมีความพยายามสูงมากแล้วก็ตั้งใจกับงานหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ เพราะว่าพี่เค้าพูดภาษาไทยไม่ได้และต้องมารับบทหนักขนาดนี้ แล้วก็เป็นบทที่สำคัญมากๆ ในเรื่อง พี่เค้าจะตั้งใจมากๆ คือเรียนภาษาไทยแบบเต็มที่มากๆ เลยครับ เห็นถึงความพยายามของพี่เค้ามากๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถึงพี่เค้าไม่เคยพูดภาษาไทยมาก่อนแต่เราสามารถสื่อสารกันได้ง่ายๆ เลยครับ
          “พี่เจี๊ยบ ศักราช” แสดงเป็น “คุณหลวง” พี่เจี๊ยบก็ส่งอารมณ์ให้ผมสุดยอดเหมือนกันครับ ในเรื่องพี่เจี๊ยยบต้องอาละวาดบ่อยมากครับ บางวันพี่เจี๊ยบก็เสียงหายครับ ผมก็สงสารพี่เจี๊ยบเหมือนกัน ผมก็รู้สึกว่าพี่เจี๊ยบคือนักแสดงที่มืออาชีพจริงๆ ครับ
          สำหรับ “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” นะครับ จะรับบทเป็น “คุณท้าวยาย” นะครับ แกแสดงได้แบบเป็นสุดยอดของนักแสดงมาก ทั้งเรื่องของโทนเสียงที่ใช้เป็นคุณท้าวยาย ผมรู้สึกว่ามันทำให้จันกลายเป็นเด็กที่ต้องเชื่อฟังทุกอย่างครับ เหมือนต้องเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณท้าวยายบอก ซึ่งขนลุกครับเวลาแสดงด้วยกันครับ
          การร่วมงานกับหม่อมน้อยอีกครั้งหนึ่ง
          การร่วมงานกับหม่อมครั้งนี้เป็นแบบเต็มที่จริงๆ ครับ อย่าง “อุโมงค์ฯ” ว่าเยอะแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็เต็มที่เลย ทุกคิวต้องมีจันเข้าฉาก ก็ต้องขอขอบคุณหม่อมครับสำหรับทุกอย่าง ที่หม่อมให้โอกาสสอนผมตั้งแต่ผมมาเรียนกับหม่อมด้วย หม่อมเปรียบเสมือนอาจารย์ เหมือนพ่อคนหนึ่งเลยครับ ซึ่งจริงๆ ผมบอกหม่อมตลอดว่าผมคงไม่ไหวครับ แต่หม่อมบอกว่าเชื่อในตัวผมและหม่อมบอกว่ามันเป็นบทที่โอ้ทำได้และท้าทายความสามารถโอ้ โอ้จะไม่ได้รับบทแบบนี้อีก ผมก็เห็นด้วยว่ามันหาบทดีๆ แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ โอ้ก็เชื่ออาจารย์ครับ ก็รุ้สึกภูมิใจกับหนังเรื่องนี้ที่ผมได้ลองเล่นคาแร็คเตอร์หลายๆ แบบ หลายช่วงอายุ จริงๆ มันก็ทำให้เราเครียดมากในตอนแรก แต่พอเห็นผลงานที่ออกมามันก็หายเหนื่อยเลยครับ ทุกคนแบบไม่เหนื่อยเลย แค่เห็นผลงานก็รู้สึกดีใจชื่นใจ ผมรู้สึกเป็นเกียรติ และก็ขอบคุณหม่อมที่ให้เล่นบทนี้ครับ
          ความน่าสนใจโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้         
          สำหรับความน่าสนใจของเรื่องนี้ ด้านเนื้อหาสาระมันมีหลายแง่มุมมากๆ ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมของครอบครัว แง่มุมของเพื่อน มันเหมือนมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในเรื่องนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการที่ทำให้คนอื่นทุกข์ ทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเรา ถ้าเราให้ความรักกับคนอื่นความรักก็จะกลับมาถึงเรา เราคิดยังไง ทำอะไรกับคนอื่น ถ้าเราคิดไม่ดีมันก็จะได้ไม่ดี ถ้าคิดดีมันก็จะได้ดีครับ ผมว่าเรื่องนี้มันสะท้อนหลายแง่มุมมากๆ จากประพันธ์ที่เขียนได้อย่างลึกซึ้ง พอหม่อมดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ก็ยังคงรักษาสาระต่างๆ ไว้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มความบันเทิงให้ดูกันง่ายๆ เข้าใจได้ไม่ยากครับ เป็นการนำเรื่องตัวละคร เรื่องเซ็กส์มาสะท้อนความเป็นจริงของสังคมได้อย่างลงตัว
          อีกอย่างที่เด่นมากๆ ก็คือเรื่องฝีมือการแสดงที่เข้มข้นของทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า โปรดักชั่นงานสร้างทั้งฉาก, เสื้อผ้า, หน้าผมที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะต้องย้อนยุคไปไกลมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าแค่มาดูโปรดักชั่น ดูนักแสดงก็คุ้มแล้ว แต่นี่ยังมีเนื้อหาที่เข้มข้นอีกต่างหาก ผมว่ายิ่งดูสนุกมากขึ้นแน่นอน รวมถึงข้อคิดที่มีอยู่ตลอดเรื่อง ไม่ว่าจะฉากเลิฟซีนหรือไม่เลิฟซีนมันก็มีข้อคิดสอนคนดูอยู่ในนั้นเยอะเลยครับ
โอ้ก็คาดหวังว่าคนดูจะมาดูหนังดีๆ ที่พวกเราตั้งใจทำออกไป หนังเรื่องนี้มีข้อคิดเยอะ แล้วผมรู้สึกว่ามันมีธรรมะสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์เรื่องนี้ แล้วก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นนี้และรุ่นหลังที่ได้ชมนะครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:51:12 PM
“หม่อมน้อย” ปลื้ม “โช นิชิโนะ” สปิริตแรง เต็มที่กับการแสดง เป็นตัวอย่างที่ดีให้นักแสดงไทยใน “จันดารา”





          ได้มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรกกับนักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น “โช นิชิโนะ” (Sho Nishino) ในภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรมเรื่อง “จันดารา” ก็ทำให้ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ออกอาการปลื้มในความสามารถและสปิริตแรงกล้าในการรับบท “คุณแก้ว” หญิงสาวผู้มีอารมณ์ซับซ้อนในพฤติกรรมทางเพศเกินหยั่ง รวมถึงความมีวินัยทางการแสดงอย่างสูง ซึ่งถือเป็นแบบอย่างให้กับนักแสดงคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี หม่อมน้อยได้เผยถึงเรื่องนี้ว่า

          “บท ‘คุณแก้ว’ เนี่ยพูดได้ว่าเป็นบทที่แรงที่สุดในเรื่องนี้นะครับ คือเธอมีจิตใจที่เปราะบางที่แม่ไม่รัก และก็มีความวิปริตทางจิตค่อนข้างสูง เป็นผู้หญิงที่รุนแรงมากทางด้านอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของฉากอีโรติกซึ่งค่อนข้างสำคัญมากสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นมันยากมากสำหรับนักแสดงไทยที่จะถ่ายทอดตรงนี้ออกมา พอเราได้ ‘โช นิชิโนะ’ มาแสดงและร่วมงานกันเป็นครั้งแรกก็ถือว่าลงตัวดีมากทั้งในเรื่องความสามารถระดับมืออาชีพ ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าเป็นบทที่ยากและท้าทายสำหรับเธอมากที่จะเล่นเป็นคนไทย ซึ่งแต่เดิมเราบอกว่าพูดญี่ปุ่นก็ได้และเดี๋ยวให้คนอื่นมาพากย์ทับ แต่เธอบอกว่าอยากจะพูดเป็นภาษาไทยแล้วคนที่มาพากย์แทนจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นคนที่มีสปิริตแรงกล้าในการแสดงในทุกๆ ฉากอย่างเต็มที่และทุ่มเทในการซ้อมมาก ซึ่งด้านวินัยไม่ต้องพูดถึงเลยเขามีวินัยในหน้าที่สูงมาก ตรงเวลา งานเป็นงาน เล่นเป็นเล่น ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีกับทุกๆ คนที่ได้ร่วมงานในครั้งนี้มากทีเดียว”

          พบการแสดงอันน่าจับตามองของ “โช นิชิโนะ” ได้ในเรื่อง “จันดารา ปฐมบท” 6 ก.ย.นี้ และ “จันดารา ปัจฉิมบท” ไม่นานเกินรอ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 24, 2012, 04:58:43 PM
MV: เมื่อไหร่จะให้พบ ประกอบภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ปฐมบท

MV.เมื่อไหร่จะให้พบ
ประกอบภาพยนตร์เรื่อง จันดารา ปฐมบท

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=g3kcKwf0r0E" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=g3kcKwf0r0E</a>

เพลง : เมื่อไหร่จะให้พบ
เพลงประกอบภาพยนตร์ : จันดารา ปฐมบท
คำร้อง : แก้ว อัจฉริยะกุล
ทำนอง : หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์
ขับร้อง : รฐา โพธิ์งาม และ ศักราช ฤกษ์ธำรงค์


จากวรรณกรรมเชิงสังวาสสุดล้ำของนักประพันธ์ชั้นครู “อุษณา เพลิงธรรม”
สู่มหากาพย์ภาพยนตร์สุดละเมียดของผู้กำกับมากฝีมือ “ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”
 
จันดารา ปฐมบท
 
โศกนาฏกรรมแห่งการจองเวร หายนะแห่งกรรมตัณหา
สะท้อนใจวิปริตของมนุษย์

จันดารา ปฐมบท
6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:18:18 AM
ด่วน!!! ผ่านเซ็นเซอร์ฉลุย “จันดารา ปฐมบท” ประทับเรตติ้ง “น18+”

       



จันดารา ปฐมบท Spot 30 วิ
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=HRKNOlePgGk" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=HRKNOlePgGk</a>

          ด้วยเนื้อหาและเนื้อหนังที่สะท้อนผ่านฉากอีโรติกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าจะรอดพ้นกรรไกรกองเซ็นเซอร์ได้หรือไม่นั้น ล่าสุด ภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา ปฐมบท” ผลงานกำกับของ “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ก็สามารถผ่านการพิจารณาตรวจสอบจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ประทับเรต “น18+” (ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป) ซึ่งยังคงแง่มุมความเป็นศิลปะและสาระบันเทิงตามที่ผู้กำกับฯ ต้องการนำเสนอทุกประการ

          หม่อมน้อยเผยถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า

          “ผ่านแล้ว เพิ่งผ่านเซ็นเซอร์สดๆ ร้อนๆ เลยครับ ทำให้ผมรู้สึกคลายกังวลเป็นอย่างมาก เพราะก่อนที่จะได้รับการพิจารณาจากกองเซ็นเซอร์ก็ยังเป็นห่วงว่า หลายฉากสำคัญอาจถูกพิจารณาให้ตัดทอนลง ทำให้เสียดายว่าคนไทยอาจจะพลาดโอกาสได้รับสาระผ่านฉากอีโรติกที่งดงาม เพราะทั้งนักแสดงและทีมงานทุกฝ่ายมีความตั้งใจที่จะนำเสนอความวิจิตรบรรจงออกมาบนจอภาพยนตร์อย่างเต็มหัวใจ ก็ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการเซ็นเซอร์ที่เล็งเห็นจุดประสงค์และความตั้งใจจริงในการนำเสนอผลงานศิลปะของพวกเราทุกคน”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้พิสูจน์คุณภาพสุดเข้มข้นที่ไม่ควรพลาดแบบเต็มๆ ตาในโรงภาพยนตร์ 6 กันยายนนี้
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:24:09 AM
บทสัมภาษณ์ “หญิง รฐา โพธิ์งาม” ในบท “คุณบุญเลื่อง” ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ จากภาพยนตร์มหากาพย์โศกนาฏกรรม “จันดารา”



          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          “คุณบุญเลื่อง” ในครั้งนี้เนี่ย เราจะนำเสนอในเรื่องของการที่เป็นผู้หญิงอยู่ต่างประเทศ ก็คือครอบครัวเนี่ยเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจ และตัวคุณบุญเลื่องก็ถูกส่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ และก็ที่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก ดังนั้นการตีความในครั้งนี้ก็จะเป็นค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงหัวทันสมัย และก็ค่อนข้างที่จะรักศิลปะไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวาดภาพ ในเรื่องของการฟังเพลงร้องเพลง หรือว่าแม้แต่กระทั่งมองความงามของสรีระมนุษย์เนี่ยก็จะมองเป็นเรื่องของศิลปะส่วนใหญ่ค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าหม่อมน้อยเลือกให้แสดงบทนี้
          ตอนแรกที่หญิงรู้ว่าได้รับบทนี้ก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่หม่อมน้อยเชื่อมั่นว่าเราแสดงได้ แต่ก็ตื่นเต้นและกังวลด้วยเพราะเป็นหนังไทยเรื่องแรกในชีวิตก็ได้รับบทใหญ่นี้เลย หญิงฝันมาตลอดว่าอยากเล่นพีเรียด พอรู้ว่าได้เล่นก็ดีใจมาก บอกตัวเองว่าจะพยายามทำให้ดี จะไม่ปิดกั้นตัวละคร และจะทำให้เต็มที่ในทุกๆ ฉาก แต่ด้วยตัวบทที่ค่อนข้างแรงบวกกับอีโรติกนะคะ ตอนแรกที่ทราบก็ยังหาคำตอบอยู่ว่าจะเป็นคุณบุญเลื่องยังไงในรูปแบบไหน จนกระทั่งได้มาเวิร์คช้อปกับทางหม่อมน้อยก็เริ่มเข้าใจตัวละครมากขึ้น และก็ได้มองตัวละครตัวนี้ผ่านตัวเองในมุมของที่เราเป็นศิลปินอยู่แล้วค่ะ แต่ก็จะบวกในเรื่องของความอีโรติกเข้าไปด้วย คือบางเรื่องที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องถามหม่อมให้แน่ใจให้เข้าใจมากขึ้นค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำ
          แรกๆ เลยเราก็มีการอ่านบทก่อนนะคะ แล้วก็หม่อมก็จะถามว่าคิดว่าคุณบุญเลื่องในความคิดหญิงเป็นยังไง ต้องบอกว่าครั้งแรกที่เข้าไปหาหม่อม ก็คือเราอาจจะถูกคนพูดมาเยอะค่ะว่าเรายังอายุไม่น่าจะถึง เราก็เลยเข้าไปแบบอายุมากเลย พูดแบบอายุมากและช้าๆ เพราะว่าเราถูกความคิดรอบด้านทำให้รู้สึกว่าเรายังอายุน้อยเกินไปที่จะเป็นคุณบุญเลื่อง แต่พอสักพักนึงเหมือนเราหากันอยู่สักพักใหญ่ๆ มีอยู่วันหนึ่งหม่อมก็เลยถามหญิงตรงๆ ว่าทำไมถึงแบบเล่นช้า หญิงก็เลยตอบตามความเข้าใจของหญิง ณ ตอนนั้น อายุมากก็คงช้ามีความเป็นผู้ใหญ่ พอมีความเป็นผู้ใหญ่ปุ๊บทุกอย่างในชีวิตมันต้องอยู่ในจังหวะที่ช้า มันต้องนิ่งๆ แต่หม่อมก็บอกว่า จริงๆ คุณบุญเลื่องเป็นผู้หญิงที่เรียนจบเมืองนอก แบบจบอาร์ตมา หญิงลองจินตนาการดูว่าผู้หญิงที่เขาเป็นฝรั่งเนี่ยเขาแก่หรือเปล่า ไม่แก่ มาดอนน่าไม่แก่ต่อให้ห้าสิบไปแล้ว โอเค...หน้าตาอาจจะแก่ แต่ในตัวเขาอินเนอร์เขายังไม่แก่ ไม่ต้องถึงขั้นฝรั่งผู้หญิงในโลกทุกคนไม่มีใครอยากแก่ ดังนั้นไม่มีใครที่อยากให้เดินเข้ามาแล้วบอกว่าฉันแก่ หม่อมก็เลยให้หญิงปรับความเข้าใจใหม่ คือด้วยเสื้อผ้า หน้าผม มันจะช่วยให้หญิงดูอายุมากเอง แต่ว่าให้หญิงปรับเลย ให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย ก็เล่นเป็นคุณบุญเลื่องในความคิดของเราที่น่าจะเป็น ก็เลยลืมเรื่องอายุไปเลย ตั้งแต่วันนั้นก็เปลี่ยนความคิดเป็นคุณบุญเลื่องในแบบที่เราเข้าใจ ก็คือคุณบุญเลื่องที่จบในวัยต่างประเทศ ชีวิตอยู่กับฝรั่งซะส่วนใหญ่ เก่งในด้านธุรกิจ ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างคล่อง แล้วก็ไม่ช้า เป็นคนฉลาดและก็มีบุคลิกที่ดี มีความภูมิฐานค่ะ

          การดำเนินเรื่องของตัวคุณบุญเลื่อง
          ค่ะ ก็สำหรับตัวละครคุณบุญเลื่องนะคะ ซีนแรกที่จะได้เห็นตัวละครตัวนี้ก็จะเป็นซีนที่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์แล้ว ด้วยภูมิหลังที่คุณบุญเลื่องเป็นคนรักคนแรกเลยของคุณหลวง และก็มีเหตุที่ทำให้ห่างหายจากกันไป และต่างคนก็ต่างถูกคลุมถุงชนทั้งสองฝั่ง เรื่องราวดำเนินไปจนวันหนึ่งเป็นม่ายทั้งคู่ ก็เลยกลับมาเจอกันและก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านวิสนันท์ในฐานะคล้ายๆ กับคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้าน คุณบุญเลื่องทราบตลอดว่าคุณหลวงเนี่ยมีลูกชายชื่อ จันดารา แต่ว่าถูกเลี้ยงดูเหมือนทาสมากกว่าลูก พอเราได้ไปเห็นกับตาแล้วเนี่ย เราถึงเห็นถึงความมหัศจรรย์ของเด็กคนนี้ ในเรื่องของความเก่ง ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษาอังกฤษ เรื่องของการวาดภาพ ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นการได้มีโอกาสส่งเด็กไปเรียนต่างประเทศเนี่ย มันเป็นเรื่องที่เป็นอนาคตที่เด็กทุกคนในยุคนั้นก็อยากที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ พูดง่ายๆ ว่าเราก็อยากมาเป็นแม่เขานั่นแหละ และก็อยากส่งเสริมให้เด็กคนนี้ได้มีอนาคตที่ดี ก็เลยพยายามที่จะทำให้คุณหลวงกับจันเนี่ยเข้ากันให้ได้ และเราเชื่อว่าการมาของเราจะทำให้บ้านหลังนี้เปลี่ยนแปลงไป คือก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไร พอเราเข้ามาปุ๊บเราก็พยายามที่จะทำให้ทั้งบ้านมีความสุขผ่านตัวเรา เพราะตัวเรามีความสุขมาก คุณบุญเลื่องเป็นคนที่มีแต่ให้กับคนอื่น เพราะรู้สึกว่ามีความเชื่อแบบฝรั่งค่ะ เป็นคนที่แบบมีแต่ให้ๆ และจะได้รับสิ่งดีกลับมา ซึ่งสุดท้ายแล้วเนี่ยการที่คุณบุญเลื่องเป็นคนที่ให้มากจนเกินไป เขาก็เลยต้องประสบเรื่องราวที่เขาต้องทุกข์เองทั้งหมดทั้งมวล เขาก็รู้สึกว่ามันคือประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต คือเขาก็มองเหนือมนุษย์ที่จะคิดได้ หลักๆ หญิงว่าเขาน่าจะเชื่อในเรื่องของกรรม ในเรื่องของบาปบุญด้วยซ้ำ

          ความยากง่ายในการรับบทนี้
          ถามว่ายากก็ยากมากค่ะ เพราะว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกและก็ได้มีโอกาสที่ทำงานกับหม่อมซึ่งเก่งมากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต เพราะว่าก่อนที่จะถ่ายทำ ได้เข้าไปเรียนกับหม่อมซึ่งยังไม่เคยได้เรียนการแสดงแบบนี้ที่ไหน รู้สึกรักอาชีพนี้ขึ้นค่ะ เพราะหญิงรู้สึกว่าหม่อมไม่ได้สอนหญิงแค่แสดง หม่อมสอนให้หญิงเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นพอความคิดเราถูกใส่สิ่งที่ดีเข้าไป พอเรารู้สึกว่าเราจะเข้าไปในฉาก หญิงก็จะถามทีมงานตลอดว่า บางครั้งที่เราสับสนในบทเราก็จะถามหม่อมว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องเขาทำอะไร เขาเป็นนักธุรกิจ หญิงถึงขั้นคิดว่าครอบครัวคุณบุญเลื่องคงไม่มีเวลาอยู่กับคุณบุญเลื่องมากหรอกนะ พ่อแม่เป็นนักธุรกิจไง ชีวิตก็เลยฟรีมากไง นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าคุณบุญเลื่องอยากทำอะไรก็ทำ รักศิลปะ เขาอาจจะเป็นผู้หญิงที่เปรี้ยวมากก็ได้ในตะวันตก คืออาจจะเป็นคนเอเชียคนหนึ่งที่เปรี้ยวมากๆ ในช่วงวัยรุ่น เขาถึงไม่มีกรอบในชีวิต เขาเหมือนมองชีวิตเป็นอิสระไปซะทุกอย่าง เนี่ยตีความกันถึงขนาดนี้ ทั้งที่ในเรื่องราวไม่มีส่วนที่จะเล่าถึงครอบครัวคุณบุญเลื่องเลย รู้แค่ว่าเป็นครอบครัวนักธุรกิจแค่นั้นเอง
          หญิงก็เลยรู้สึกว่าให้อะไรเราเยอะ แล้วงานหลังๆ ที่เริ่มเรียนกับหม่อมมา หญิงก็จะคิดอย่างนี้ตลอดว่าตัวละครตัวนี้มีที่มายังไง ถ้ามองไปถึงพ่อแม่เขาจะเป็นยังไง ความยากของมันก็คือพอเราคิดเยอะปุ๊บ บางครั้งมันเยอะซะจนเหมือนเราจะเสนอออกมาในรูปแบบไหนดี แต่ว่าหม่อมจะคอยบอกตลอดว่าได้อีกหรือว่าน้อยเกินไป หรือบางทีเราจะสังเกตได้จากสีหน้าและอารมณ์ของหม่อมเองว่าเทคนี้ยังๆ อย่างนี้ คือเราก็พยายามมองว่าการทำงานสำหรับในกองถ่ายเรื่องนี้นะคะ มันเป็นเรื่องของการทำงานของคนในกลุ่มที่แบบน่ารักมาก เพราะว่าเราจะสามารถเห็นได้เลยว่าเหมือนหม่อมอยากได้อะไรเพิ่มเราก็จะถามเลยว่าหญิงโอเคหรือยัง หม่อมอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ หรือว่าต้องการให้เป็นแบบไหน หญิงตีความอย่างนี้ถูกหรือเปล่า เพราะว่าการตีความของตัวละครบางคนแค่ความโกรธมันก็ไม่เท่ากันแหละ ดังนั้นหญิงถึงยึดหลักว่าหญิงเอามุมมองของผู้กำกับเป็นหลัก และหญิงเอาของเราไปเสริม และบางทีถ้าเล่นเป็นเรามากไป บางทีด้วยตัวละครทั้งเรื่องมันจะมีความแตกต่างกันจนมันไม่กลมกลืนกัน เราก็รู้สึกว่ามันยากที่จุดนั้นเพราะตัวละครเรื่องนี้เยอะมาก แต่ละคนก็รับผิดชอบในตัวละครสูง เพราะว่าต้องเล่นตั้งแต่เด็กจนโตของหญิงเองก็วัยกลางคนถึงแก่ จนแบบว่าเรียกได้ว่าแต่ละคนถือแค่คาแร็คเตอร์ตัวเองทำความเข้าใจก็ยากแล้ว แต่ความโชคดีของตัวละครทุกตัวคือเวลาเล่นด้วยกันแล้วเรารู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัว แม้กระทั่งหญิงกับพี่เจี๊ยบเองเล่นก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นสามีเราจริงๆ สายตาที่เขามอง คำพูดเขา คือมันค่อนข้างลื่นไหลในเรื่องของหน้ากล้องค่ะ แต่ว่ามันก็จะยากในเรื่องของความตีความนั่นแหละของแต่ละคน เพราะว่าหม่อมบอกตลอดว่ามันเป็นละครซ้อนละคร อย่างบางซีนเราเสียใจแต่เราต้องเก็บไว้ และก็ต้องเก็บแบบให้คนดูรู้ว่าเราเก็บอย่างนี้มันก็ยากค่ะ
          เวอร์ชั่นนี้ตัวละครมีความกลมมีมิติมากขึ้น คือเราไม่ได้ถูกนำเสนอไปในทางที่ว่าคุณบุญเลื่องมาแล้วเป็นเรื่องของความเซ็กซี่เพียงอย่างเดียว หรือว่าถึงจันมาแล้ว โอ้โห จันเขาจะเลว แต่จันมาแล้วเขามีเหตุผลที่จะดีในช่วงแรก และเหตุผลที่เขาจะรุนแรงขึ้นในช่วงกลางชีวิต ตัวละครทุกตัวแม้กระทั่งคุณหลวงเอง ถ้าเราเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเราจะรู้ว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ว่าด้วยเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งที่มันหล่อหลอมเรามาตั้งแต่เด็กจนโตต่างหาก ที่มันทำให้เราเนี่ยตัดสินใจอะไรในช่วงแต่ละชีวิตเป็นยังไง ดังนั้นทุกตัวละครจะให้มากกว่าที่คนดูจะบอก อู้หูจันดาราจะโป๊แค่ไหน จะอีโรติกแค่ไหน หญิงบอกได้เลยว่าโอเคมันต้องมีเรื่องอย่างที่บอกกัน แต่ว่าในความสวยงามของอีโรติกนั้น มันได้เล่าถึงความต้องการของมนุษย์ในแต่ละมุมของแต่ละตัวละคร ดังนั้นเวลาเข้าไปดูเนี่ยอยากให้คนดูคิดตาม และสุดท้ายคุณจะได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้เยอะมากๆ ค่ะ

          บทนี้มีความเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง
          ถ้าถามถึงอายุคุณบุญเลื่องกับของหญิงแตกต่างกันมากนะคะ ณ ตอนที่ถ่ายหญิงไม่เคยถูกบรีฟว่าหญิงต้องแก่กว่านี้หรือว่าหญิงอ่อนเกินไป หญิงไม่เคยได้ยินคำนี้จากกองถ่ายเลยนะคะ แต่สิ่งหนึ่งที่มันค่อนข้างขัดเจนคืออย่างบางทีซีนที่เราต้องอยู่ในวัยที่เป็นผู้หญิงสูงวัยต้องมีสัมพันธ์เชิงลักษณะแม่ลูก บางทีเรายังไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น แต่ว่าหญิงใช้วิธีจากการจำเอาเวลาที่แม่มองเรา เวลาที่เราเห็นคุณพ่อคุณแม่เด็กๆ มาหาแล้วเขาจะมีวิธีพูดยังไง ก็ใช้วิธีนั้น ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของอายุบวกกับ จริงๆ คนอาจจะรู้สึกกับหญิงอายุน้อยกว่าคุณบุญเลื่องเยอะแต่ถ้าคนที่เคยตามหญิงมาหรือว่าเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์หญิง หญิงว่าเขาน่าจะค่อนข้างมองเห็นว่าหญิงโตกว่าวัยตัวเองด้วยครอบครัวหญิงที่หญิงเจอมามันทำให้หญิงค่อนข้างโตกว่าผู้หญิงอายุสามสิบ หญิงมีความรู้สึกว่ามันค่อนข้างก้ำกึ่งกัน แล้วด้วยความที่คุณบุญเลื่องตามความคิดของเรา เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงที่แก่ เขาชอบศิลปะ เขาชอบอาร์ติส เขาชอบแต่งตัว ดังนั้นเนี่ยเขาก็จะดูแลตัวเองและก็จะไม่ใช่ผู้หญิงที่สี่สิบแล้วแก่เลย คือเขาจะเป็นสี่สิบที่เปรี้ยวมากยังมีฟอร์มที่เป็นผู้หญิงนักธุรกิจที่เก่ง ดังนั้นหญิงมองเรื่องอายุว่าที่หม่อมบอกค่ะว่าให้ลืมเรื่องอายุไปได้เลย และก็เล่นเป็นเรา
          ส่วนที่ใกล้เคียงหรือเหมือนเลยก็อย่างซีนร้องเพลงและเล่นดนตรีก็ค่อนข้างง่ายสำหรับตัวหญิง เพราะว่าเราจะไม่เคอะเขินเวลามูฟ ในการเต้น ในการส่งสายตา การมองและยิ้มให้ มันเป็นวิธีการของเอ็นเตอร์เทนเนอร์ค่ะ คือเราต้องการให้คนทั้งหมดสนุกกับเรา ทุกคนก็จะมองมาทางเรา และเราก็จะรู้สึกว่ามันก็คือวิถีของนักร้องนั่นแหละที่เวลาร้องเพลงแล้วอยากให้ทุกคนสนุก ดังนั้นตรงนี้มันค่อนข้างง่ายสำหรับหญิง แต่ในมุมมองของการเป็นนักวาดภาพ คือหญิงไม่ใช่เป็นคนวาดภาพเก่งแต่ว่าจะเป็นคนชอบดู ชอบดูงานศิลปะ ชอบอะไรอย่างนี้ บางทีมันอาจจะช่วยได้บ้าง แต่ว่าทั้งนั้นหญิงว่ามันก็คล้ายๆ หญิงคือถ้าคุณบุญเลื่องร้อยเปอร์เซ็นต์ ชีวิตของคุณบุญเลื่องถ้ามองในมุมศิลปะ หญิงว่าคล้ายกันประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์
          คือถามตัวหญิง คุณบุญเลื่องอาจจะมองข้ามความเป็นมนุษย์ คือคุณบุญเลื่องมองทุกอย่างเป็นสิ่งที่สวยงาม คือเขาเป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากๆ สำหรับตัวหญิง หญิงเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นขาวและดำ คืออาจจะเป็นเพราะว่าหญิงเป็นคนโตกว่าวัย เจอเรื่องมาเยอะ ดังนั้นเนี่ยกว่าเราจะตัดสินใจอะไรบางทีสักอย่างหนึ่งหรือว่ากว่าจะเดินเข้าไปรู้จักใครสักคนหนึ่งต้องใช้เวลา แต่คุณบุญเลื่องจะเป็นโอเพ่นมากใครจะเดินเข้ามาเดินเข้ามาเลยจ้ะ คือเป็นคนแบบฉันโอเพ่นนะ ไนซ์กับทุกคน ซึ่งหญิงก็มีนะแต่ว่าแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ อีกห้าสิบเปอร์เซนต์จะเป็นคนที่ค่อนข้างคิดเยอะๆหน่อย ดังนั้นเนี่ยถ้าถามว่าสุดท้ายแล้วด้วยความที่เขาเป็นโอเพ่นมาก ไอ้ความโอเพ่นนั่นแหละเป็นสิ่งที่คนเข้ามาทำร้ายเขาได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งตรงนั้นหญิงจะมีแค่ห้าสิบเปอร์เซนต์ที่ป้องกันตรงนั้นไว้ ถ้ามองว่าในตัวละครที่ชอบเรื่องศิลปะ ในมุมของตัวละครที่มองคนแบบมองคนลึกค่ะ อย่างเวลาที่มองจันดาราเนี่ยเขาจะรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดีที่มีปมและเขาจะรู้สึกว่าเขาจะให้โอกาสคน แต่สำหรับหญิง หญิงก็จะเป็นคนอย่างนี้เหมือนกัน เวลาหญิงมองคนหญิงก็จะไม่ได้มองว่าคนนี้เป็นคนไม่ดีไปเลย หรือต่อให้เขาทำไม่ดีกับหญิง หญิงก็จะไม่มองว่าเขาเป็นคนไม่ดี หญิงจะมองว่าเขามีเหตุผลที่ทำไม่ดี แต่เหตุผลนั้นมากพอที่เราจะให้โอกาสเขาไหม หรือให้โอกาสนะแต่พอหยุดอยู่แค่นี้ เรามีระยะห่างกัน คือหญิงจะเป็นคนแบบนี้ ดังนั้นอาจจะเหมือนกันในมุมของอารต์ติสค่ะ แต่ว่าการใช้ชีวิตหรือการมองคน หญิงเชื่อว่าทุกคนก็ไม่ได้มองคนโอเพ่นทั้งหมด เพราะว่าส่วนหนึ่งยุคและสมัยมันทำให้ต้องป้องกันตัวเองจากหลายๆ อย่าง และหญิงก็คงเหมือนคนวัยที่ยี่สิบเก้าสามสิบที่จะแบบมองคนที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือว่าทำธุรกิจด้วยกันอย่างนี้ค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:26:05 AM
          การปรับลุคแปลงโฉมในเรื่องนี้
          เองนี้ปรับลุคเยอะมากค่ะเพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ส่วนใหญ่ละครก็จะไม่ค่อยได้ปรับอะไรเยอะอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นหนังต้องจริงมากๆ ขั้นแรกโดนย้อมผมสีดำก่อนเลย ซึ่งย้อมกันกลางกองถ่ายเลย เพราะว่าตอนแรกหญิงย้อมไปแล้วนะเป็นสีน้ำตาลเข้มพอเข้าไปในกล้องมันแดง ก็เลยถูกย้อมกลางกองเลย และก็กันคิ้วให้เล็ก คือหญิงต้องเล่นตั้งแต่ยุคสองศูนย์ สามศูนย์ สี่ศูนย์ ห้าศูนย์ ดังนั้นเนียแต่ละยุคแต่ละสมัยต้องบอกว่าแฟชั่นมันเปลี่ยนไป เรื่องนี้เราจะได้เห็นแฟชั่นของแต่ละยุคของแต่ละสมัยด้วย คิ้วก็เล็กแบบเล็กมากค่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกเขียนเล็กมากเหมือนเส้นปากกาเส้นดียว แต่ก็เก๋ดีนะ หญิงมีความรู้สึกว่าใหม่สำหรับตัวเราและก็พอได้แต่งอะไรแบบนี้ ชีวิตจริงเราคงไม่มีโอกาสได้แต่งค่ะ และก็หม่อมก็จะบอกว่าเนี่ยพอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ทุกอย่างมันบิ๊วให้เรารู้สึกว่าเราได้เดินก้าวเข้ามาในอีกยุคหนึ่งแล้ว เราต้องรู้สึกตั้งแต่แต่งหน้าแล้วทำผมเลย มันก็สนุกดี บวกกับแรกๆหญิงเอ๊ะทำไมพี่เขารองพื้นหน้าหญิงข้าวขาว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามนะ ก็เลยเปิดหนังสือเรฟเฟอเรนต์ที่พี่ขวดเอามาให้ดูทุกเช้า เออทำไมสมัยนั้นหน้าเขาข้าวขาว เขาก็บอกว่าคือสมัยนั้น ทางเอเชียยังไม่มีการแต่งหน้า ไอ้รองพื้นเนี่ยมันมาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งมันก็จะเป็นรองพื้นผิวฝรั่งก็จะไม่ใช่รองพื้นของเรา แต่ด้วยคุณบุญเลื่องเขารักศิลปะไง เขามองการแต่งตัว แม้กระทั่งแต่งหน้าก็เป็นศิลปะ เขาก็คือผู้หญิงที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง ดังนั้นยุคนั้นคุณบุญเลื่องก็จะแต่งหน้าด้วยรองพื้นผิดเบอร์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็จะเป็นความน่ารักของคุณบุญเลื่องเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมากๆ ชอบมาก ชอบเสื้อผ้า ชอบแฟชั่น ถ้าได้เห็นในภาพยนตร์ก็จะรู้แบบว่าเสื้อผ้าสวยมาก

          อินกับบทบาทนี้มากน้อยแค่ไหน
          อินนะ หญิงค่อนข้างอินเยอะเลย ถ้ามองในมุมของเป็นอาร์ติส ต้องอินอยู่แล้วเพราะเราต้องเป็นเขาอยู่สองสามเดือน และหญิงเป็นคนที่เวลาหญิงเล่นตัวละครตัวไหนหญิงอยากเข้าใจเขาจริงๆ นั่นเป็นเหตุผลทำไมหญิงต้องถามหม่อมว่าทำไมคุณบุญเลื่องถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมคุณบุญเลื่องก็รู้อยู่ว่าเขาคิดไม่ดีทำไมถึงยังปล่อยให้เข้ามาในชีวิต คืออะไรอย่างนี้ คือเราก็จะถามอย่างมีเหตุผลและหม่อมก็จะมีคำตอบให้เราตลอด เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ถ้าพูดง่ายๆ ว่าถ้าเขาบวชชีได้เขาบวชไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ถึงขึ้นที่จะละโลกค่ะ คือเขาเป็นเหมือนผู้หญิงที่แบบนึกออกไหมว่า เป็นคนไม่คิดอะไรเลย ดังนั้นใครจะเข้ามาหาผลประโยชน์ เขาไม่คิดอะไร เอาไปเลย เอาไปเถอะ ซึ่งเอาจริงๆ มันคือสรตะคือนิพพาน คือเราไม่เอาอะไร คือเราเสียสละทุกสิ่งได้ แต่เขายึดมั่นอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก เขาทำทุกอย่างเพื่อความรักสำหรับคุณบุญเลื่องนะคะ ดังนั้นเขามีห่วงอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก ห่วงอื่นตามมาคือพอเขามาอยู่ในฐานะภรรยาคุณหลวงปุ๊บ พอเห็นจันเป็นลูกก็มีบ่วงล่ะ ฉันจะต้องส่งเด็กผู้ชายคนนี้ให้มีอนาคตที่ดี คือเขาจะเป็นคนที่คิดดี แต่ว่าเขาก็จะเป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ในยุคนี้ อาจจะมีนะอาจจะมีคุณยายใครสักคน ลองหันกลับไปถามคุณยายดูว่าในตอนที่อายุสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมาเชื่อไหมว่ามีผู้หญิงแบบนี้จริงในโลก ถ้าถามยุคนี้หญิงว่ายาก เป็นไปไม่ได้เลยว่าที่จะมีผูหญิงแบบคุณบุญเลื่องที่เป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากขนาดนี้ และก็ฟรี และก็รักศิลปะ ซึ่งหายากในยุคนี้

          การร่วมงานกับหม่อมน้อย
          ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับหม่อม และหม่อมก็สอนเราเยอะค่ะ เป็นคนที่จริงใจกับกับการทำงานและก็มองมากกว่าแค่งาน อย่างที่หญิงบอกคือบางครั้งเราถูกสอนเรื่องการแสดงเราต้องเล่นยังไง เราต้องเล่นใหญ่เล่นเล็ก แต่พอมาอยู่กับหม่อม หม่อมบอกว่า To Do คือทำอย่างเข้าใจ เราไม่จำเป็นว่าต้องใหญ่หรือเล็ก คือถ้าเราเข้าใจในตัวละครจะมากหรือน้อยไม่มีอะไรผิด หม่อมพูดอย่างนี้เสมอ มีครั้งหนึ่งหม่อมบอกว่าได้อีกนะหญิง เยอะกว่านี้ได้อีก หญิงกลัวเยอะเกินไป หม่อมก็เลยบอกว่ามันไม่มีอะไรมากไปหรือน้อยไป ถ้าเราเข้าใจว่าตัวละครคืออะไร ดังนั้นเราก็จะเข้าใจตัวละครมากขึ้น พยายามคิดเยอะๆ ถ้าเราเป็นตัวละครจะมากไปหรือน้อยไปยังไง มันไม่มีอะไรถูกหรือไม่มีอะไรผิด แต่ว่าอย่างซีนอารมณ์หรืออะไรอย่างนี้ค่ะก็หม่อมก็จะสอนบ้าง ก็อย่างที่หญิงบอกคือโชคดีที่ได้มีโอกาสที่รู้จักและได้ทำงานกับหม่อม การแสดงมันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ก็จริงค่ะ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพรแสวงความตั้งใจจริง แล้วหม่อมสอนให้หญิงให้มองอาชีพนี้ไม่ใช่เป็นแค่อาชีพ คือหม่อมสอนให้หญิงรักที่จะเป็นนักแสดง เพราะว่าเรารักสิ่งนี้แล้วเราไม่ได้มองเป็นแค่งาน หม่อมจะสอนให้ถูกเชิดให้อยู่บนหัวเรา ดังนั้นก็ต้องเคารพงานเคารพทุกตัวบทละครที่เราได้รับมา สมมติเราได้บทมาเนี่ยเราต้องเคารพเขาแล้ว เราต้องเป็นเขา เราต้องทำให้ดี คือเหมือนเรารับอีกชีวิตหนึ่งอีกคนหนึ่งมา ถึงแม้ว่าเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาข้างๆ เราแต่เราต้องดูแล คือเราต้องเคารพเขา คือหม่อมไม่ได้สอนว่ามันเป็นงานที่ได้เงิน แต่มันเป็นงานที่เราได้อะไรมากกว่าแค่เงิน มากกว่าแค่ประสบการณ์ หลังๆ หญิงก็เลยรู้สึกว่ามันคือการเป็นอย่างที่บอกเป็นนักแสดงเป็นได้ แต่เป็นนักแสดงที่ดีมันเป็นยาก คือตอนนี้หญิงก็ยังไม่เป็นหรอก ก็ต้องเรียนรู้ไปอีกเยอะ
          คุณแม่ของหญิงเองก็เคยร่วมงานกับหม่อม ตอนที่ทราบว่าได้เล่นก็มาบอกแม่ว่า หญิงได้เล่นนะ แม่ก็น้ำตาร่วง ร้องไห้ กอดแล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่เคยทำงานกับหม่อมสมัยคุณแม่แบบมีหญิงแล้ว หม่อมก็เล่าให้หญิงฟังว่าชอบเอาดาราตลกมาเล่นหนังชีวิต ซึ่งทุกคนก็มองว่าจะเล่นได้เหรอ ก็เพราะตลกมาทั้งชีวิต แต่แม่เล่นได้ หม่อมก็เล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งเป็นซีนที่คุณแม่ต้องร้องไห้เท่าไร ก็ร้องไม่ได้ซักที แม่ก็เลยสะกิดหม่อมบอกว่าหม่อมพูดคำหนึ่งให้น้อยหน่อย หม่อมก็ถามว่าคำไหน แม่บอกคำว่าหญิง พอหม่อมกระซิบว่าหญิง แม่น้ำตาร่วงเลย หม่อมก็หาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน เอาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน ก็รู้สึกว่ามันมีน้อยคนค่ะที่จะเข้าถึง หม่อมเป็นคนหนึ่งที่มองทะลุกำแพงมาและก็เห็นอะไรในตัวหญิง และหญิงก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สิ่งที่ดีที่ได้มาทำงานสายบันเทิงและก็ได้เจอผู้กำกับที่มองคนทะลุขนาดนี้

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ “มาริโอ้” ตอนแรกที่หญิงเจอนี่ หญิงเจอที่บ้านหม่อมนะคะ ก็โห...เด็กมากเราเห็นเขาจากงานละครเราไม่คิดว่าเขาจะเด็กมาก คือมองแล้วเหมือนสิบหกสิบเจ็ด คือมันก็มีซีนที่เป็นตอนเด็กเลยเรามั่นใจว่าโอ้ทำได้แน่นอน คือด้วยหน้าเขาด้วยเขาเป็นผู้ชายที่หล่อ เออเรารู้สึกว่าน้องผ่าน แต่พอเราอ่านบทไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอซีนที่โหดมากๆ เราก็แบบเป็นห่วง เพราะว่าน้องเองสำหรับหญิงก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับตัวเค้ามากค่ะ แต่พอถึงเวลาที่ถ่ายจริงๆ เขาเล่นได้ดี หญิงยังพูดกับหม่อมเลยว่า โอ้โห โอ้ตั้งใจมากและก็ทุ่มเทมาก และโอ้โตขึ้นในมุมของการแสดง คือหญิงเชื่อว่าเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องอย่างที่หญิงบอกเรื่องพรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีพรแสวงและความตั้งใจ ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้น้องเติบโตมาในระดับที่หญิงที่รู้สึกว่าแบบน้องไปได้อีกไกล และก็โชคดีที่น้องได้มาเจอหม่อม เพราะหม่อมก็เป็นคนที่สร้างนักแสดงที่ดีๆ ระดับประเทศไทยไว้เยอะ หญิงมองว่าโอ้ก็เป็นหนึ่งในนั้นในอนาคต เพราะว่าตอนนี้สำหรับ “จันดารา” เขาทำได้ดี ส่วนเวลาหลังกล้องนั้นโอ้ก็จะเป็นเด็กที่เด็กจริงๆ อย่างที่หญิงเห็นก็คือเขาก็ยังจะชอบรถ ชอบเกม ชอบสเก๊ตบอร์ด ซึ่งมันค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวละครเยอะมาก ดังนั้นเราก็ทึ่งในความสามารถเขา เพราะว่าพอถึงเวลาหน้ากล้องปุ๊บ เขาสามารถเป็นจันดาราได้เลยจริงๆ แต่พอหลังกล้องเขาก็จะมาละ พี่หญิงเล่นเกมนี้ยัง พี่หญิงฟังเพลงนี้ยัง ฮิพฮ็อพอะไรอย่างนี้ เป็นเด็กฮิพฮ็อพจริงๆ ที่ไม่ฟังเพลงป๊อบ ไม่ฟังเพลงเลดี้ กาก้า คือมันจะมีพวกผู้ชายบางประเภทที่ฟังได้ทุกแนวทุกอย่าง แต่โอ้เป็นผู้ชายที่ฟังแต่ฮิพฮ็อพอารมณ์นั้นไปเลย
          “พี่เจี๊ยบ ศักราช” ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมาก เป็นผู้ชายที่มีความน่ารักในตัวเอง แต่ว่าในมุมหนึ่งของการทำงานพี่เจี๊ยบเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก สอนหญิงเยอะในเรื่องของอารมณ์ ในเรื่องของการทำงานกับคน
          นอกจากสอนเรื่องการเป็นตัวละครแล้ว ก็ยังสอนทีมงาน ความน่ารักของพี่เจี๊ยบที่มีต่อทีมงานทุกๆ คนเลย มันทำให้เขาเป็นผู้ชายที่เวลาอยู่ในกองทุกคนก็อยากเข้ามาเล่นด้วย มีมุกตลกมีอะไรตลอดเวลา อย่างเวลาที่เข้าฉากสามีภรรยาด้วยกันเนี่ย หญิงรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นสามีเราในมุมเวลาเราพูดกัน คือตัวหญิงเองก็ยังไม่เคยแต่งงานไม่รู้หรอกว่าการใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาเป็นยังไง แต่ว่าทุกครั้งที่เรานั่งข้างๆ พี่เจี๊ยบในฐานะที่เราเป็นคุณบุญเลื่องและเขาเป็นคุณหลวงเนี่ย หญิงสัมผัสได้ถึงการเป็นสามีภรรยาและเรารักกัน ซึ่งคนรักกันบางทีมันไม่ต้องพูดกันเยอะ อย่างบางซีนที่เราพูดว่า “คุณหลวงลองส่งจันไปเรียนเมืองนอกสิคะ” แล้วเขาแบบ “อืม” แค่อืมแต่เรารู้ได้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ คือเขารักเรามาก พอที่จะลืมอดีตที่เขาเกลียดเด็กคนนี้ยังไง แต่พอผู้หญิงคนนี้พูดปุ๊บ เขารักเรามากพอที่จะยอมเปลี่ยนความคิด คือเรารู้สึกได้ว่าแบบ อืมพี่เจี๊ยบเก่ง แล้วความเก่งของเขามันช่วยเราในเรื่องของแอ็คติ้งได้เยอะค่ะ
          ตอนแรกที่บอกว่ามี “ตั๊ก” เล่นด้วย หญิงก็โอ้โห เคยได้ยินข่าวเขามาบ้าง แรงก็แรง เอ๊ะเราจะยังไง เราจะทำงานด้วยกันได้ไหม เพราะหญิงเองถ้าถามหญิงว่าหญิงเป็นคนแรงไหม หญิงไม่ใช่คนแรง แต่ว่าหญิงก็จะมีมุมของหญิงอยู่ เราก็แบบตั๊กยังไง เพราะว่าเรารู้มาว่าตั๊กก็แรงนะ (หัวเราะ) แต่พอมาเจอตัวจริงหญิงโชคดีมาก เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเราพักและเราก็นั่งคุยกันเรื่องชีวิตเรื่องอะไรอย่างนี้ ตั๊กเป็นนักแสดงคนหนึ่งในกองที่หญิงรู้สึกว่าหญิงคุยได้ทุกเรื่อง ด้วยวัยที่เขาอายุน้อยกว่าหญิงไม่มาก ก็มานั่งคุยกันเรื่องชีวิต เรื่องการเดินทางในสายอาชีพ ชีวิตที่ผ่านมาเราเจออะไรบ้าง โชคดีที่เราทั้งคู่เป็นคนที่ยอมรับในความจริง มันมีขึ้นและลง ตั๊กเองเป็นหนึ่งในนั้นที่คุยกับหญิงเรื่องนี้ ตั๊กก็พูดมาคำหนึ่งว่าเรามีบุญแล้วแหละเพราะว่ามันน้อยคนนะที่ได้เกิดมาแล้วจะได้รู้สูงต่ำคืออะไร ดีชั่วคืออะไรในวัยยี่สิบสามสิบ บางคนเนี่ยมารู้ก็ตอนที่จะลงโลงแล้ว เออหญิงโชคดีนะที่ได้รู้จักกับบงกช คงมาลัย มีคำหนึ่งที่หญิงพูดกับตัวเองตลอดว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรราบรื่นอย่างที่ทุกคนรู้เรื่องชีวิตหญิงนะคะ พอโตมาในระดับหนึ่งแล้วมาเจอตั๊กพูดคำนี้ เออมันเป็นเรื่องจริง เพราะเรารู้เร็วเราคงมีบุญ และหลังจากนี้เราก็คงจะรู้ว่าควรจะทำยังไง เราคงมีสติในการใช้ชีวิต พอตั๊กพูดคำนี้ หญิงเออไม่เสียดายเลยที่แบบครั้งหนึ่งเราเคยเหนื่อยขนาดไหน แต่วันนี้เราเหนื่อยเหมือนกันนะ แต่รู้สึกว่าคนที่ไม่มีโอกาสที่ได้นั่งคุยกับเขาก็จะมองว่าเขาเป็นคนที่แบบ โอ้โหผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงแรง ทำไมถึงเล่นแต่บทแรงๆ เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่งที่หญิงรู้สึกว่าหญิงดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา ได้เล่นหนังกับเขา หญิงบอกกับเขาเลยนะว่าตั๊กเป็นผู้หญิงที่มีโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิต หญิงเชื่อว่าแบบถ้าเขาโตขึ้นกว่านี้ให้อีกสักสิบปี หญิงเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมาก และก็เป็นคนที่น่าจับตาอีกคนเช่นกัน หญิงว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น และก็ในมุมของการทำงาน ตั๊กก็จะเป็นโปรเฟสชั่นนอล จะนิ่ง คือทำงานแบบงานคืองาน เล่นคือเล่นจริงๆ แต่ถ้ามองในมุมผู้หญิงคนหนึ่งอย่างวัยสักยี่สิบเจ็ดก็เป็นเด็กที่อยากมีความรัก
          เด็กที่แบบอยากมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต เขาก็จะมีมุมหลายมุมที่นั่งคุยกับหญิง ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากมีความรักอย่างนี้ อย่างนั้น ก็เป็นน้องคนหนึ่งที่เรานั่งคุยแล้วรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่องของชีวิตของธรรมะเขาจะเป็นผู้ใหญ่มาก แต่พอเป็นเรื่องความรักปุ๊บ หญิงเชื่อว่าเรื่องความรักมันทำให้คนเราเด็ก ก็ดีค่ะ หญิงดีใจที่ได้มาทำงานกับเขา เพราะว่าจากที่เราเคยมองเขาไว้เป็นภาพหนึ่ง พอเราได้มารู้จักเขาจริงๆ เป็นอีกภาพหนึ่ง นี่แหละคือเหตุผลที่คนเราบางทีมองแต่ภายนอกไม่ได้
          “พี่ภูมิ” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เล่นเป็นลูกชาย แต่อายุมากกว่าหญิงนะ แต่ต้องมาเล่นเป็นลูก หญิงก็ถามว่าพี่ณัฏฐ์เป็นไงรู้ไงบ้าง รู้สึกดีเพราะว่าหญิงแก่กว่าพี่ พี่ณัฏฐ์ก็เคยเจอกันบ้างนะคะ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกัน ด้วยความที่เขาครอบครัวเขาเป็นชาติทหารมา หญิงก็รู้สึกว่าเขามีความเป็นทหารอยู่ในตัว เพราะในเรื่องเขาก็รับบทเป็นทหารด้วย สมาร์ทและก็มีความฉลาดในตัวเองด้วยบุคลิก ส่วนเรื่องขี้เล่นก็เป็นผู้ชายที่แบบขี้เล่น เพราะเขาเติบโตมาด้วยสังคมฝรั่งนิดนึง ดังนั้นเวลาอยู่กับเขาเนี่ยก็ต้องไวนิดนึง นิสัยก็จะเป็นคนที่ทำอะไรฉึบฉับ ขี้เล่น พูดเล่น ได้เจอกันแค่ไม่กี่คิว และจะได้เจอในซีนใหญ่ๆ ตลอด ก็เป็นผู้ชายที่ขำดี ไม่เครียดดี
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on August 30, 2012, 08:26:31 AM
          กับ “โชจัง” หญิงรู้สึกว่าลืมไปเลยว่าเขาเคยถ่ายอะไรมา คือเขาเป็นผู้หญิงที่มีคลาส เวลาเขาเล่นเขามีคลาส แต่วิถีการเล่นก็จะเป็นแบบคนญี่ปุ่น บางทีเราก็จะมาอำกันในกอง แต่ความตั้งใจเขามีมากจริงๆ คือหม่อมบอกกับหญิงตลอดว่าอยากให้พูดภาษาญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเอามาพากย์เอาก็ได้ แต่ว่าเขาก็มีความรับผิดชอบในตัวเอง ถ้าพากย์แล้วปากมันไม่ตรงเขาก็ดูไม่จริง เขาก็พยายามที่จะพูดภาษาไทยซึ่งเขาทำได้ดีนะ มันก็จะมีบ้างคนเราให้เราไปเล่นหนังญี่ปุ่นเราคงพูดไม่ได้เหมือนกันแบบเขาหรอกจริงไหม แต่ที่หญิงรู้สึกชอบเขา คือตัวโชเป็นคนที่ไลฟลี่ค่ะ เวลาเราแต่งตัว หรือเวลาที่เราทำอะไร ด้วยคนญี่ปุ่นเขาจะชอบเรื่องการแต่งตัวมาก เขาก็จะมานั่งมองแล้วก็บอกยูบิวตี้ฟูล เขาน่ารักอ่ะ ก็จะสอนภาษาญี่ปุ่น เขาเหมือนคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นเราก็ยิ้มแล้ว มีแอ็คติ้งที่น่ารักๆ ทำอะไรแบบเร็วตลอดเวลา หันดุ๊กดิ๊กๆ แต่เวลาเขาทำงานเขาซีเรียส มีซีนสุดท้ายที่เขาต้องฉะกับหญิงตรงๆ วันนั้นหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นอีกคนเลย เขาจะนิ่ง เพราะในซีนเขาจะนิ่งและทะเลาะกับหญิง เพราะซีนก่อนหน้าเขาจะมาเป็นผู้หญิง เป็นลูกเราแบบรักเรา เพราะเราชอบแต่งตัว เขาก็จะมาขอคำแนะนำจากเรา แต่ซีนนั้นคือเป็นซีนที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนแม้กระทั่งตอนที่แบบอยู่ในห้องแต่งตัว อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ คือเขาจะมีสติกับการทำงานมากๆ และหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เราอยากให้มีโอกาสได้เห็นงานเขามากกว่านี้ เพราะหญิงรู้สึกว่าเขามีความน่ารักและก็เป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็แบบมีความรับผิดชอบสูงมาก

          ปัญหาหรืออุปสรรคในการแสดง
          จริงๆ หญิงก็พยายามมองทุกอย่างให้มันอุปสรรคหมดนะ เพราะหญิงรู้สึกว่ายิ่งมีอุปสรรคแล้วเราทำความเข้าใจกับมัน แล้วเราผ่านมันไปได้จะทำให้เราโตขึ้น คราวนี้อุปสรรคหลักๆ ถ้ามองในมุมรวมๆ เนี่ยคือหนึ่งมันเป็นงานแสดงชิ้นใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต ดังนั้นเนี่ยความคาดหวังอย่างหนึ่งเลยเป็นอุปสรรคสำหรับตัวหญิง แต่ในความเป็นอุปสรรคมันก็เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วย สองคือก่อนหน้านี้หญิงเคยถ่ายหนังแต่ว่าเป็นหนังต่างชาติ (Only God Forgives) และก็เรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องแรก ดังนั้นมันมีความใหม่ในความรู้สึกแรกกับการทำงานเหมือนกัน ฉันจะทำให้ดีได้ไหม คือมันจะมีสองอัน คือหญิงจะไม่มีปัญหากับคนอื่น อุปสรรคของหญิง หญิงจะไม่เคยเอาคนอื่นมาในชีวิตของหญิง อุปสรรคมันเกิดจากตัวหญิงทั้งนั้น เวลาหญิงทำอะไรหญิงจริงจังมาก ไม่ว่าจะกับงานหรืออะไรทุกอย่าง ร้องเพลง เล่นละคร คือทุกอย่างอุปสรรคคือตัวหญิงเอง คือหญิงเองจะค่อนข้างต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่มันดีเคยมีคนสอนหญิงว่า ไอ้การที่เราต่อสู้ตลอดเวลาเนี่ยแหละ มันจะทำให้เราพัฒนา เวลาเราล้มหรือเวลาเราพลาด เราจะรู้ได้เต็มที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากตัวเราทั้งนั้น คือถ้าเรามองคนอื่นเป็นอุปสรรคเนี่ยมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น หญิงก็จะมองอุปสรรคเป็นตัวหญิงตลอด ร้อนเหรอเราคิดเองว่าร้อน คนอื่นร้อนเขาก็เล่นได้นี่ คือมันก็จะเป็นเรื่องนั้น อุปสรรคด้านอื่นๆ มันก็เกิดจากตัวหญิงนั่นแหละ หญิงจะทำให้หม่อมโอเคไหม หญิงทำให้หม่อมแฮปปี้หรือยัง หญิงทำได้ดีเท่าที่หญิงคิดไว้หรือเปล่า หรือว่าเล่นแล้วส่งไปถึงโอ้ไหม เล่นแล้วส่งไปถึงตั๊กหรือเปล่า พี่เจี๊ยบโอเคหรือยัง ทั้งหมดมันคือตัวเรา คือเหมือนถ้าเราส่งถึงเขา เขาส่งถึงเรา มันก็จะมีการรับส่งที่ดี แต่บางซีนเราจะรู้สึกได้ดีว่าส่งไปแล้วมันตกอยู่ตรงนี้ เอาใหม่หนูยังทำไม่ดีเอาใหม่ คือหญิงโชคดีตรงที่หญิงไม่ใช่คนที่แบบขี้เกียจ แม้กระทั่งร้องเพลง เสียงอย่างนี้ไม่ชอบเอาใหม่ ไม่เอา เอาใหม่ เอาจนเรามีเผื่อไว้ดีกว่าขาด หญิงคิดอย่างนี้ตลอด

          ฉากอีโรติกที่ทุกคนจับตามอง
          อาจจะเป็นเพราะหญิงไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องนี้นะ นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ลงทุนเล่นที่ค่อนข้างอีโรติกมากๆ แม้ในเรื่องของการเปิดหรือปิด แต่สิ่งหนึ่งเลยที่เราคิด คือก่อนที่หญิงจะเดินก้าวเข้ามาในวันแคสติ้ง เพราะว่าเราคิดไว้แล้ว ถ้าเราได้เนี่ยเราจะทำได้ขนาดไหน คือเราต้องคิดไว้แล้ว ไม่ใช่ว่าวันที่พอคุณเข้ามาแคสปุ๊บแล้วคุณถึงจะบอกว่าคุณไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ ฉันมีข้อแม้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งนั้นมันจะทำให้การทำงานกับคนอื่นไม่สมูธ หญิงพูดได้เลยว่าวันที่หญิงก้าวเข้ามาแล้วหญิงเต็มที่ และหม่อมก็พูดกับหญิงตลอดว่าไม่ต้องห่วงหม่อมดูได้ คือเดี๋ยวตรงนั้นจะตัดออก คือเวลาหญิงมันก็มีบ้างค่ะที่จะหลุดในกล้องบ้าง บางเทคอาจจะไม่ได้ใช้หรืออะไรอย่างนี้เราก็มานั่งคุยกัน เพราะหญิงรู้สึกว่าถ้ายิ่งไปปิดกั้นตัวละคร มันก็จะทำให้ความจริงของตัวละครมันไม่ออกมา หญิงเชื่อว่าการตัดต่อหรือแม้แต่กระทั่งแสงหรือภาพมันช่วยเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นหญิงเล่นจะรู้มุมกล้องนะแต่พยายามคิดว่าไม่มีกล้อง เพราะว่าชีวิตคนเรามันไม่มีกล้อง คือชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้มีอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นงานล่ะ คือพยายามคิดว่าไม่มีกล้อง เพราะว่าถ้าคิดว่ามีกล้องมันคือการแสดง หญิงก็จะคิดว่าไม่มีกล้องมันคือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้ามันหลุดหรือว่ามันอะไรที่คนกลัวๆ กัน หญิงเชื่อว่าทีมงานก็คงไม่ปล่อยให้หลุดออกมาไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเรามีคนที่เซฟให้เราอยู่แล้ว เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดังนั้นอย่ามาถามหญิงเลยว่าลิมิตหญิงมีแค่ไหนบอกได้เลยว่าหญิงไม่มีลิมิตการทำงานไม่ว่าจะงานชิ้นไหนก็ตาม เพราะหญิงเชื่อและหญิงก็ไว้ใจ คือถ้าเขาไว้ใจให้เรามาเล่นบทนี้ เราต้องไว้ใจเขาที่เขาจะนำเสนอไปในรูปแบบไหนขายในมุมไหน ดังนั้นหม่อมจะบอกตลอดว่าถ้าเกิดหญิงรู้สึกไม่สบายใจหญิงเข้ามาดูได้เลยห้องตัดต่อ อันไหนหญิงให้อันไหนหญิงไม่ให้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างแฟร์กับตัวเรากับการทำงานและตัวผู้กำกับเอง
          ถ้าถามถึงตัวอีโรติกนะค่ะ หญิงถามว่าคนเราเกิดมามีความต้องการ เอาตั้งแต่คลอดออกมาเลย การโดนแม่กอดมันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง การที่เราดูดนมจากแม่มันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง คนเรามันอยู่ไม่ได้หรอกค่ะ คือทุกอย่างมันเป็น Body Language หมด มันคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราโตมากพอที่เรารู้สึกรักใครสักคนหรือว่ามีความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน มีอยู่แล้วความใกล้ชิดและเรื่องเซ็กส์มันก็เป็นเรื่องที่ตามมา ดังนั้นถ้าเรามองภาพยนตร์เลยข้ามจุดนั้นไป หญิงถือว่าคนที่มองข้ามจุดนี้ไป เขามองชีวิตมากกว่า นั้นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมคนสองคนถึงแต่งงานกัน เพราะว่ามันมองข้ามเรื่องเซ็กส์ไป มันคือการอยากใช้ชีวิตคู่กันแล้ว และคู่กันเพื่อที่จะมีบุตร เพื่อที่จะมอบความรักในรูปแบบอื่น คือหญิงรู้สึกว่าถ้าเรามองแบบนี้ เราจะดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่า เฮ้ย...ซีนนี้เอ๊กซ์ ซีนนี้โป๊ คือหญิงอยากให้มองมันเกินกว่านั้นค่ะ เพราะว่าถ้ามองเกินกว่านั้นได้แล้ว เราดูหนังเรื่องนี้แล้วเราจะได้อะไรอีกมาก ถึงขั้นที่เราสอนลูกในอนาคตได้
          หนังเรื่องนี้อาจจะอยู่กับเราอีกห้าปีสิบปีในความคิดหรือว่าตลอดชีวิต วันหนึ่งเมื่อคุณได้แต่งงานกับผู้ชายที่คุณรักมาก คุณอาจจะกลับมาเห็น “จันดารา” เราจะรู้สึกว่าอ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง การที่เราได้กอดลูกมันคือความรู้สึกนี้นี่เอง การที่ลูกดูดนมเราหรือว่าการที่ลูกดื่มนมจากเต้าเรา มันคืออย่างนี้นี่เอง คือการดูหนังมันต้องมองให้มากกว่าเป็นภาพค่ะ คือต้องคิดตาม ทีนี้เนื้อหนังมังสาเรื่อง “จันดารา” ทุกคนก็จะเฝ้าฝันรอดูความสวยงาม เรื่องของฉากอีโรติก ฉากเลิฟซีนต่างๆ แต่ว่าในแต่ละเลิฟซีนต่างๆ มันมีที่มาและที่ไป ถ้ามีโอกาสหญิงอยากให้เข้าไปดู หญิงอยากให้ลองดูให้มันลึกจริงๆ แล้วไม่แน่หรอกว่าวันหนึ่งคุณอาจจะกลับมานั่งคิดวันที่คุณอายุสี่สิบห้าสิบหกสิบไปแล้ว ในวันที่เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในชีวิตแล้ว แล้ววันนั้นคุณจะหันกลับมาดู “จันดารา” ในเวอร์ชั่นนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าชีวิตมันก็แค่นี้จริงๆ
          อย่าง “ฉากถูน้ำแข็ง” ที่เป็นภาพจำจากครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกตีความให้มีเหตุและผลในการใช้ หลังจากซีนนี้แล้วเหตุและผลที่ตามมาของตัวละครของจันดารากับคุณบุญเลื่องจะทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเนี่ยมันเกิดจากอะไร และมันถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะอะไรในอนาคต ก็เป็นฉากที่สำคัญไม่ใช่ว่าเป็นฉากสำคัญที่ถูน้ำแข็ง แต่มันเป็นฉากที่สำคัญในมุมตัวละคร ความสัมพันธ์ที่คุณบุญเลื่องมีให้จัน ณ วันนั้นมันคืออะไร แล้วหลังจากวันนั้นวันที่จันกลับมา ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันเปลี่ยนไปเพราะอะไร มันค่อนข้างลึกซึ้งและยาก และเมื่อยากในเรื่องของอารมณ์แล้ว ยากในเรื่องของแสง ยากในเรื่องของภาพ เพราะว่าอาร์ตไดเร็คชั่นต่างๆ มันสวยมาก หยดน้ำที่อยากให้หยด ดีเทลมันเยอะอ่ะ เยอะจนเราไม่ได้คิดเรื่องอื่น หญิงก็พยายามบิดแล้วบิดอีกมันต้องมีโคสอัพไง โอ๊ย...หญิงเอาใหม่ไม่สวยบิดอีก บิดหามุมที่สวยที่สุด มันก็สนุกดีแต่ก็ออกมาสวยงามค่ะ ออกมาได้แบบน่าพอใจเลย

          ฉากร้องเพลงแสดงตัวตนอีกด้านของคุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้
          ฉากนี้ก็เป็นฉากงานเลี้ยงต้อนรับคุณบุญเลื่อง ซึ่งในฉากนั้นก็จะต้องร้องเพลง ซึ่งหม่อมบอกว่าเป็นเพลงในสมัยรัชกาลที่เจ็ด ซึ่งตัวหญิงพอได้ฟังเพลงก็ชอบและหญิงก็ยังมีอยู่ในไอโฟนเลย ชื่อเพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” คือตอนแรกเนี่ยหม่อมบอกให้หญิงร้องคนเดียว หญิงก็ไม่มีปัญหาหญิงเป็นนักร้องอยู่แล้ว ก็ปรับวิธีการร้องให้มันเก่าขึ้นและก็เป็นลูกกรุงมากขึ้น พอไปๆ มาๆ พอช่วงที่ซ้อมปุ๊บมันจะต้องมีซีนที่ซ้อมเต้นกับคุณหลวง หม่อมก็เลยให้พี่เจี๊ยบร้องด้วยดีกว่า ก็เลยไปอัดเสียง แต่ก็แยกกันอัดคนละวัน พอพี่เจี๊ยบมาถึงก็แบบโอ๊ย พี่ร้องไม่ดีเลยน้องหญิง แต่เขาร้องเพราะมาก เขาร้องแล้วแบบเหมือนคนยุคนั้นอ่ะ เสียงเขามีความทุ้มและก็มีเสน่ห์ และก็แบบน่ารักอ่ะ เสียงเพราะ แล้วพอเข้าฉากนั้นด้วยกันจริงๆ อย่างที่หญิงบอกไง ว่ามันทำให้รู้สึกว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เป็นรักครั้งแรกของเราจริงๆ ดังนั้นเนี่ยที่ถ่ายเรารู้สึกว่ามันมีแต่ความสุข เพราะว่าซีนนั้นเป็นซีนที่ทุกอย่างมีความสุข คือแบบทุกคนมาต้อนรับเรา เราได้อยู่กับคนที่เรารักมากที่สุด รอมาตั้งกี่สิบปีกว่าจะได้มาเจอกัน และด้วยเนื้อเพลงที่ร้องว่า “เมื่อไหร่เธอจะเจอฉันได้ อีกเมื่อไรที่จะได้พบกัน” ตอนนี้เราได้เจอกันแล้ว มันค่อนข้างลื่นไหลสำหรับตัวหญิงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าเต้นได้ร้องได้เพราะว่าเราเป็นนักร้อง แต่พี่เจี๊ยบก็จะแบบเต้นมันต้องยังไงอ่ะ หมุนยังไง เพราะว่าเราต้องขึ้นลงพอดีเป๊ะไง บางทีถ่ายซีนใหญ่มันพลาดไม่ได้ ก็สนุกดีค่ะฉากนี้

          ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
          ถ้าเรียกว่าหญิงเป็นผู้ชมคนหนึ่งที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูเนี่ย ข้อหนึ่งคือตัวบทประพันธ์เรียกได้ว่าหนังสือเล่มนี้ มันเป็นหนังสือที่ถูกถ่ายทอดกันออกมาหลายช่วงอายุคนแล้ว และก็เป็นเรื่องที่ว่าคนอ่านเยอะมาก ด้วยเนื้อเรื่องมีความแข็งแรงอยู่แล้ว บวกกับสอง หม่อมน้อยเป็นผู้กำกับที่งานแต่ละชิ้นของหม่อมน้อยก็เป็นงานศิลปะชิ้นเอกพูดได้เลย แล้วก็พอมาเจอกับบทที่พร้อม ผู้กำกับที่พร้อม หญิงเชื่อว่าภาพที่ออกมามันจะมีความสมดุลในเรื่องของบทที่เข้มข้น บวกกับแอ็คติ้ง คาแร็คเตอร์ตัวละครที่เข้มข้น เพราะว่าสองสิ่งมาเจอกันหญิงเชื่อว่าไม่น่าพลาดสำหรับเรื่องนี้ และอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่แค่ว่าใครเป็นเล่นเป็นอะไร ใครจะเล่นดีแค่ไหน ใครจะเล่นไม่ดียังไง คือหญิงอยากให้มองว่า “จันดารา” เป็นเรื่องที่เราเข้าไปดูแล้วเราจะเข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งชีวิตต้องการอะไร ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง ต่อสู้กับอะไร และเมื่อต่อสู้กับอะไร ความต้องการมันทำให้เรามีความอยาก มีความโลภที่จะได้มาก มีแต่มากขึ้นๆๆจนไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว จนสุดท้ายอย่างที่หญิงบอกไง กว่าที่เราจะรู้ว่าชีวิตจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายบางคนมาคิดได้เอาตอนจะลงโลงแล้ว ทั้งหมดมันก็แค่นี้เองชีวิต ชีวิตเราก็แค่นี้ ถ้าคุณดูเรื่องนี้แล้วคุณอาจจะไม่ต้องรอจนถึงแปดสิบกว่าที่คุณจะคิดได้ว่าชีวิตมันคืออะไร ดังนั้นวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ก็ทำ เราทำอะไรได้ จากที่เราเคยไม่ชอบใครสักคน เคยเกลียดใครสักคน คิดว่าชาตินี้ฉันจะไม่หันกลับไปมองละ ชาตินี้ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมาเผาผีกัน มันอาจจะเป็นแค่ทิฐิหนึ่งของชีวิต เพราะว่าชีวิตเรามันมีอะไรอีกเยอะให้ทำ แค่เวลาจะรักกันก็น้อยแล้วค่ะ อย่าเสียเวลาไปนั่งเกลียดกัน ทะเลาะกันเลย มันไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมันอาจจะทำให้คุณได้อะไรมากกับเรื่องนี้นะคะ และก็อย่าไปคิดว่าดูเพื่อที่จะรู้ว่าใครจะโป๊ที่สุด เอ๊ะ...คนนี้โป๊ออกมาแล้วจะเป็นยังไงหรือสวยยังไง คุณกลับไปบ้านคุณก็เห็นของคุณทุกวัน คือถ้ามอง ถ้าถามในตัวหญิงนะคุณอาบน้ำคุณก็เห็นของคุณเอง มันก็คือชีวิตคนค่ะ มันคือเนื้อหนังมังสา คุณอาจจะได้เห็นของเขาแบบโอเคอยู่ในจอที่ใหญ่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่นั้นแหละ มันก็คือภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หรือว่าดีวีดีเอาไปดูที่บ้านได้บ้างบางครั้ง แต่มันก็คือช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องดูแลมันไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่ต้องดูแลใจเราด้วย ถ้าเข้าไปโดยที่คิดว่าโป๊ยังไง ออกมาสิ่งที่ได้ก็จะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ว่าหนังเรื่องนี้มันจะให้อะไรกับเรา และมองข้ามผ่านเรื่องพวกนี้คุณก็จะออกมากับสิ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าคุณจะได้จากหนังเรื่องนี้
          จริงๆ ก็ไม่ค่อยกล้าคาดหวัง ก็หวังว่าถ้าคนอื่นมองว่าดีก็ต้องขอบคุณค่ะ หญิงเชื่อว่ามันก็ไม่มีดีที่สุดและหญิงก็จะน้อมรับทุกคำติชม หนังเรื่องนี้การทำงานกับหม่อมน้อยและก็ทุกๆ คนในทีมมันทำให้หญิงรักการแสดงกันมากขึ้น ทำให้หญิงรู้สึกว่าเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นคำว่านักแสดงที่ดีของหญิงก็คือมันคือคำตอบจากผู้ชมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคำตอบที่ดีหรือไม่ดีมันคือคำตอบสำหรับตัวหญิง แล้วต่อให้มันดีแล้วแปลว่าหญิงจะย่ำอยู่กับที่ หญิงก็ต้องทำให้มันดีขึ้น แล้วถ้าไม่ดีล่ะไม่ดีตรงไหน ดังนั้นวอนขอความเมตตาจากผู้ชมทุกคนช่วยหน่อย เพราะว่ามันก็เป็นการสอบครั้งแรกของชีวิตหญิง ยังไงก็ถ้าได้เอฟก็ต้องบอกหญิง ถ้าได้เอก็ต้องบอกหญิงด้วย เพราะว่าหญิงตั้งใจจริงๆ กับการเป็นนักแสดงที่ดี ก็ยังไงก็ฝากไว้ด้วยค่ะภาพยนตร์เรื่องแรกของหญิง “จันดารา” ค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 01, 2012, 12:57:49 PM
บทสัมภาษณ์ “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย พลิกคาแร็คเตอร์แปลกใหม่ใน “จันดารา”



          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้ตั๊กรับบทเป็น “น้าวาด” ค่ะ ก็จะเป็นกุลสตรีไทย ถูกเลี้ยงดูมาแบบคนไทยเลี้ยงดูและก็ฝึกฝนให้เป็นกุลสตรีไทยร้อยมาลัย เป็นญาติห่างๆ กับพี่ดารา แม่ของจัน จนเมื่อพี่ดาราคลอดจันแล้วเสียชีวิต เราก็เลยเสียสละชีวิตเลี้ยงดูจันมาตั้งแต่เด็ก เราก็ต้องคอยปกป้องทั้งจันดารา และสมบัติของบ้านเราด้วย ถึงขนาดเสียสละชีวิต ความฝัน ความรักของเรา จำยอมเป็นเมียของคุณหลวงที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านตอนนั้น เพื่อเวลาที่เราพูดอะไรจะได้ฟังเรามากขึ้น เราก็สามารถปกป้องจันได้ในระดับหนึ่งค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้แสดงเรื่องนี้
          จริงๆ ตั๊กก็ดูผลงานของหม่อมน้อยมาหลายเรื่อง และก็อยากร่วมงานกับหม่อมมากๆ ทุกตัวละครในหนังของหม่อมจะมีเรื่องราว เป็นหนังไทยพีเรียดย้อนยุคที่น่าสนใจ ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกที่หม่อมติดต่อให้เข้าไปคุยก็แซวตั๊กก่อนเลยว่า เราเคยเห็นในข่าวเธอดูแรงๆ นะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็อยากให้ตั๊กเปลี่ยนลุคไปจากเรื่องที่ผ่านๆ มา จะให้เล่นบท “น้าวาด” ซึ่งจะเป็นหญิงไทยที่เรียบร้อยมาก จะไม่ค่อยมีอิสระเท่าไรนัก จะเป็นผู้หญิงที่ยอม ไม่มีปากเสียง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ แต่เป็นวิธีที่นิ่มนวลไม่รุนแรง คาแร็คเตอร์นี้จะไม่แต่งตัวเลย แล้วพอไปอยู่กับคุณบุญเลื่องเราก็จะกลายเป็นแม่บ้านไปเลย
          ตอนแรกพอหม่อมบอกว่าให้เขามาคุยเรื่อง “จันดารา” ตั๊กก็ยังคิดอยู่ว่าหรือเราจะได้บทแรงๆ พอเข้าไปถึงปุ๊บ หม่อมก็บอกว่าอยากให้ลองเข้ามาแคสเบทน้าวาดดู ตั๊กก็เลยงงว่า อ้าวทำไมหม่อมถึงอยากให้เราเล่นบทน้าวาด แต่ก็ยังไม่กล้าถามหม่อม จนพอแคสติ้งเสร็จปุ๊บ พอมีโอกาสเราก็เลยถามว่า หม่อมคะ คาแร็คเตอร์อย่างตั๊กนี่เป็นน้าวาดได้ใช่ไหมคะ ไม่มั่นใจตัวเองซักเท่าไหร่ หม่อมบอกว่าได้สิ ทำได้อยู่แล้ว ก็อยากให้ตั๊กเข้ามาเรียนเรื่อยๆ และก็มาฟังเราอธิบาย ตั๊กก็จะทำได้เอง หม่อมเขาอยากเห็นตั๊กแบบหวานๆ ไทยๆ ดูบ้างค่ะ ตั๊กไม่แน่ใจว่าหม่อมอาจจะมองคนละมุมกับผู้กำกับคนอื่น หม่อมอาจจะมองในมุมเหมือนถ้าสังเกตดีๆ ภาพในภาพยนตร์จะเหมือนภาพวาดทุกภาพเลย ท่านก็คงมีจินตนาการของท่านว่าแบบไหนอะไรอย่างนี้ค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำ
          ตั๊กก็จะเข้าไปเรียนกับหม่อมอย่างเต็มที่นะคะ หม่อมจะสอนตั้งแต่ให้เรารู้จักตัวเอง และก็ค่อยทำให้รู้จักตัวแสดง บทเราได้เป็นใครเราก็ตีความเพราะว่าในเรื่องรับบทเป็นกุลสตรีไทย เลี้ยงดูมาแบบไหน ใครเป็นคนเลี้ยงดูมา คุณท้าวยายเป็นคนยังไง จะต้องเป็นระเบียบทุกอย่าง ลักษณะของแม่วาดจะเป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ และก็คนที่มีระเบียบ ถูกเลี้ยงมาเป็นกุลสตรีมากๆ แม้กระทั่งการนั่ง การเยื้องย่างร่างกายของตัวเอง หรือคาแร็คเตอร์การแต่งตัว สิ่งที่ชอบแม้กระทั่งตุ้มหูแหวนอย่างนี้ ก็จะชอบแบบไทย ชอบเรียบๆ ค่ะ วิธีการปรับเสียง การพูด น้ำเสียง การแสดงออกทางอารมณ์ก็คือจะออกมาตีความกันหมดเลย แม่วาดเวลาที่โกรธจะอารมณ์ไหน แต่ไม่ใช่อารมณ์โกรธโมโหร้าย โกรธแบบเข้าใจ เข้าใจปุ๊บและปรับความรู้สึกได้ก็จะเหมือนมีเหตุผลแล้วก็นิ่ง เหมือนทำความเข้าใจทีละขั้นๆ ของความรู้สึกเลยค่ะ ซึ่งมันช่วยเรื่องการแสดงหน้ากองได้มากเลยค่ะ เพราะว่าพอเราได้เรียนไปปุ๊บเนี่ย เราจะรู้จุดมุ่งหมายของเราละ โดยที่หม่อมอาจจะไม่ค่อยมีเวลามาบอกเราเหมือนตอนที่ซ้อมเพราะต้องทำอย่างอื่นด้วย เราก็จะรู้ว่าก่อนที่จะออกกองแล้วว่าเราต้องไปทำอะไรบ้าง
          อีกอย่างหนึ่งหม่อมก็อยากให้ตั๊กคุมความรู้สึกและคาแร็คเตอร์ของแม่วาดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแต่งหน้า เปลี่ยนชุด คือค่อยๆ เป็นน้าวาดตั้งแต่นั้นเลย ระหว่างนั้นคุมความเป็นน้าวาดเอาไว้กว่าจะถ่ายเสร็จ ซึมซับไปเรื่อยๆ พอเวลาอยู่ในกอง เอ๊ะ ทำไมตั๊กไม่พูดเลย ดูเป็นกุสตรีไทยมาก เปลี่ยนเป็นหรือเปล่า เปล่าเลย (หัวเราะ) เรากำลังคุมความรู้สึกความเป็นน้าวาดอยู่อะไรอย่างนี้ค่ะ
          ตั๊กว่ามันก็เป็นลุคอีกแบบหนึ่ง ตั๊กก็ถามหม่อมว่า หม่อมคะถ้าตั๊กปรับไปเรื่อยๆ ตั๊กจะติดหรือเปล่า บางทีเราติดคาแร็คเตอร์ตัวละครมาเป็นตัวเรา มันมีไงคะ หม่อมก็พูดเล่นว่า เป็นน้าวาดก็ดีนะ เงียบๆ ดี
          การซ้อมบท ทุกคนต้องมาซ้อมพร้อมๆ กัน ก็เริ่มจากอ่านบทก่อน ใช้อินเนอร์จากข้างใน อ่านบทไปเรื่อยๆ จนจบบทค่ะถึงเริ่มจำบทกัน พอเริ่มจำบทปุ๊บก็มาเล่นแอ็คติ้ง และหม่อมก็จะมาดูและกำกับว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเริ่มแรกเลยคือตีความคาแร็คเตอร์ตัวเองและให้เป็นการบ้านกลับไปคิดว่าเราต้องค้นหาอะไรจากคาแร็คเตอร์ที่ต้องเล่นเป็นเขาค่ะ

          เป็นคาแร็คเตอร์ที่ไม่เคยแสดงมาก่อนเลย
          ไม่เคยค่ะ จริงๆ ก็ยากมากเลยนะค่ะ อย่างตั๊กเคยเล่นเป็นผู้หญิงสมัยบางระจันก็ไม่เรียบร้อยขนาดนี้ ก็เป็นชาวบ้าน เล่นขุนแผนเป็นพิมก็ไม่เรียบร้อยขนาดนี้ อันนี้คือเป็นผู้หญิงในวังและก็เป็นกุลสตรีที่แบบเหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนเลี้ยง แกะสลักเป็น ร้อยมาลัยเป็น ทำขนมเป็นอะไรอย่างนี้ ก็ยากมากเลยเหมือนเป็นเชื้อสายผู้ดี ตั๊กก็ไม่เคยได้บทแบบนี้ หม่อมก็บอกว่าให้ตั๊กฝึกตัวเองตั้งแต่คิดให้เหมือนกับตัวที่เราแสดง คิดอย่างที่เขาคิดแล้วเวลาเล่นเราจะเล่นได้เหมือนเขาเลย เราก็เริ่มคิดอย่างคาแร็คเตอร์ อย่างพอเจอเรื่องครอบครัวทำไมเขาต้องบังคับให้เราแต่งงานกับคุณหลวง เราก็คิดว่าเป็นการตอบแทนของผู้ใหญ่ ซึ่งแล้วเราจะคิดในแบบที่ไม่ใช่ก็ได้เพราะเราไม่ได้รักคุณหลวง แต่คิดในด้านผู้หญิงไทยสมัยก่อนการจะพูด จะบอก จะเถียงกับผู้ใหญ่ค่อนข้างยาก ก็เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร แต่จริงๆ แล้วทำความเข้าใจในตัวเหตุและผลที่ตัวละครเจอค่ะ ก็จะเริ่มเข้าใจเขาไปเองว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

          ความยากง่ายในการรับบทนี้
          บทนี้ก็ยากเลยค่ะ มันต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่าง มันนิ่งก็จริง แต่สายตาจะแสดงออก หม่อมจะไม่ได้ให้เล่นท่าทางมาก แต่จะให้ออกทางหน้าทางสายตา แล้วก็เป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว ชอบร้องไห้ ดีใจก็ร้อง เสียใจก็ร้อง จริงๆ ตั๊กจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ร้องเฉพาะเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่พอมาเรื่องนี้เราต้องร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่ได้ร้องนิดเดียวนะ ร้องทั้งวันเลย เพราะมันถ่ายต่อเนื่อง บางครั้งก็ต้องรอ เราก็กดดันเหมือนกัน หม่อมก็จะพูดเล่น “อ่ะ ทุกคนเงียบ รอตั๊กร้องไห้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอตั๊กร้องไห้อย่างเดียว” (หัวเราะ) ตอนเล่นเป็นคนแก่วัยกลางคนก็ยากมากค่ะ เพราะว่าบอดี้ร่างกายเรามันก็ต่างอยู่แล้ว สาวจะต้องเป็นอย่างนี้นะ สาวก็มีแรงที่จะพยุงตัวเอง แต่พออายุมากขึ้นเราก็ต้องแบบผมหงอก น้ำเสียงจะเปลี่ยน คาแร็คเตอร์จะเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ เหมือนแบบเราก็ต้องทำการบ้านตั้งแต่เขายังสาวจนมีอายุ ก็ยากเหมือนกัน

          คาแร็คเตอร์นี้เหมือนหรือต่างจากตัวเองอย่างไรบ้าง
          ต่างกันมากเหมือนกันค่ะ ความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็ต่างกันอยู่แล้วค่ะ ไม่เหมือนกันเลย ทั้งด้านของความคิด กรอบประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ต่างกันสิ้นเชิง คือผู้หญิงสมัยก่อนจะมีความเป็นอยู่ในด้านของแบบคือการเกิดมาเป็นบุญคุณแล้ว เป็นบุญคุณของทั้งผู้ให้เกิดทั้งผู้เลี้ยงดู เพราะฉะนั้นไม่มีอิสระเลย จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงผู้ใหญ่ แต่สมัยนี้ตั๊กอยากจะไปดูหนังไปทำอะไรบ้าง ไปกินข้าว คุยโทรศัพท์นัดกัน เราก็ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องมาสนใจเกี่ยวกับดอกไม้มากซักเท่าไร ไม่ต้องสนใจเกี่ยวกับขนมจะจัดยังไงให้สวยงาม เพราะเราซื้อมาเราก็เทเลย (หัวเราะ) แต่สมัยก่อนคือเราต้องค่อยๆ จัดทีละชิ้น ค่อยๆ วาง หม่อมจะบอกว่าตั๊กจับขนมเบาๆ หน่อยขนมแบนหมดแล้ว หม่อมให้ตั๊กเรียงขนมทองหยิบทองหยอดค่ะ หม่อมก็บอกแบนหมดแล้ว จับเบาๆ กว่านี้ เคยกินแต่ลูกกวาดช็อคโกแลตจับแรงๆได้ไงคะ พอมาเป็นทองหยิบหรือขนมมะพร้าวแก้ว พอจับปุ๊บแตก หม่อมก็จะว่า ตั๊กแตกแล้วไม่มีแล้วนะหาไม่แล้วนะเย็นแล้วนะจะไปตลาดได้ยังไง ตั๊กก็ยังนั่งคิดว่าผู้หญิงสมัยก่อนเป็นผู้หญิงที่สวยงามเนอะ แม้กระทั่งการที่จะกินอะไรแต่ละทีจะต้องเรียงให้สวยงามก่อน แกะสลักก็แกะให้ทั้งลูก ก่อนเอามาแบ่งแกะทีละชิ้นๆ แล้วถึงจะให้เอาไปให้สามีทาน
          ตอนแรกตั๊กก็พยายามที่จะทำความเข้าใจและก็ฝึกหัด คือตั๊กเข้าใจว่าผู้หญิงสมัยก่อนมีความประณีตมาก แต่การกระทำ ตั๊กฝึกยากมาก เพราะว่าตั๊กไม่เคยทำไงคะ ตั๊กไม่เคยทำแบบนี้ เพราะมันขัดกับความเป็นตัวเรามาก ตั๊กก็พยายามคิดว่าเขาเป็นคนแบบนี้นะ แต่เป็นเราอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่างร้อยมาลัยอย่างนี้ค่ะ พอร้อยไปพูดไปเนี่ยเข็มทิ่มมือ อุ๊ย...คัทละ เลือดออก ซึ่งหม่อมบอกว่าถ้าเข็มทิ่มมือนี้คือแบบไม่ดีเลยนะคะ คนสมัยก่อนถือมากถ้าเลือดออกนี้ถือว่าเป็นลางไม่ดี แต่เราแค่ถือว่าเราร้อยไม่ได้ ทิ่มไปปุ๊บ อุ๊ยเลือดออกหยุดถ่าย พอร้อยไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่เป็นพวงมาลัย หม่อมก็บอกว่าไม่ได้ต้องเป็นพวงด้วยและต้องทำให้ดูเป็นธรรมชาติต้องดูให้เป็นเหมือนเราทำทุกวันด้วยค่ะ ตั๊กก็ต้องฝึกค่ะ ก็ฝึกร้อย แต่ว่าร้อยแต่ละครั้งมันก็ไม่เหมือนกันซักครั้ง ต่างกันทุกครั้ง และต้องมีสมาธิ ระดับสายตาของเราต้องดูให้ขาดว่าตรงไม่ตรงค่ะ คือเราจะแบบมั่วไม่ได้ค่ะ เป็นเรื่องที่แบบผู้หญิงสมัยก่อนเขาร้อยเอาไปถวายพระ เอาไปใส่บาตร เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสมัยนั้นจะทำให้ไม่สวยไม่ได้ค่ะ มันเรื่องใหญ่อ่ะ พอตั๊กฝึกไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทำได้ค่ะ

          การร่วมงานกับหม่อมน้อยเป็นยังไงบ้าง
          ตั๊กได้ยินมาว่าหม่อมเป็นคนเจ้าระเบียบ และก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และก็หม่อมดุมากคือได้ยินมาอย่างนั้น แต่ว่าดุในที่นี้คือดุในเรื่องการเรียน เข้มงวดในเรื่องเรียน คือตั๊กชอบผลงานหม่อมอยู่แล้ว ตั๊กก็อยากจะเข้ามาเรียนกับหม่อม จะดุก็ไม่ได้คิดมากอะไร ถือเป็นการสอนไป ก็ดีใจที่มีโอกาสร่วมงานกับหม่อม เข้ามาจริงๆ หม่อมก็ไม่ได้ดุตั๊กเลย หม่อมก็เห็นเราเป็นนักเรียนคนหนึ่งค่ะ มีแต่เราอยากจะให้หม่อมเขาเอาเราเป็นลูกศิษย์มากกว่า มีอะไรท่านจะได้พูดให้เราฟังได้ แต่พอจริงๆ หม่อมก็สอนตั๊กทุกเรื่องเลย แม้กระทั่งการดำเนินชีวิตของเรา ภาพลักษณ์ของเราค่ะ หม่อมก็สอนหม่อมก็ไม่ได้ทิ้งเลย สอนทุกอย่าง แม้กระทั่งว่ามือเราด้านหน่อยไม่ได้ทาครีม พอหม่อมแบบเดี๋ยวแม่วาดจะต้องมาจับไหล่ของจันดารา พอหม่อมดูนิ้วตั๊กแล้วหม่อมก็บอกว่าทาครีมบ้างนะ ว่างๆ ตั๊กก็ลองทาครีมดูสิทามือทาเท้าทาอะไรดู หม่อมก็แกล้งพูดเป็นนัยๆ ว่าเท้าด้านแล้วนะมือด้านแล้วนะ (หัวเราะ)
          ตั๊กก็รู้ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีดุกันบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ ก็ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งก็ทำให้การทำงานมันเป็นไปด้วยดี หม่อมจะบอกว่า การที่เราจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้ เราเองต้องมีวินัย ถ้าเราไม่มีวินัย เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้มันก็ยาก
          ประยุกต์วิธีการทำงานแบบหม่อมมาใช้กับงานของตัวเองมากน้อยแค่ไหน เรื่องของระเบียบวินัย เรื่องของวิธีการคิดค่ะ แม้กระทั่งการศรัทธาที่จะทำอะไรซักอย่างหนึ่ง แต่ก่อนตั๊กมีความคิดว่า ตั๊กทำอะไรเพื่อหน้าที่ใช่ไหมคะ แต่พอตั๊กได้มาเรียนกับหม่อมเนี่ย ตั๊กเห็นหม่อมทำงานไม่ได้เป็นเพราะหน้าที่เลย ทำเพราะหม่อมรักที่จะทำจริงๆ แล้วก็มีความสุขที่จะทำ ทำให้งานทุกอย่างที่ออกมาให้ดูมีชีวิตชีวา ดูไม่เหมือนเป็นงานแข็งๆ ค่ะ ก็เลยเอามาใช้ในงานของตัวเองคือ เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเรามีความสุขแค่ไหนที่จะทำงาน แล้วเราอยากทำไหม คือด้วยความที่ตั๊กรักภาพยนตร์อยู่แล้ว เราทำยังไงให้ดูมีความสุข และตัวอย่างที่ดีคือหม่อมจะทำงานในแบบเตรียมตัวมาก่อนค่ะ และก็ทำการบ้านมาก่อน ตั๊กก็ใช้เหมือนกับหม่อม คือทำการบ้านและตีความบทให้กับนักแสดงอื่นๆ และก็หม่อมจะใจเย็น ก็เหมือนกับได้หม่อมเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ เหมือนกันค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 01, 2012, 12:59:46 PM
          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ “มาริโอ้” นะคะ ตั๊กแรกๆ เห็นก็เป็นเหมือนเด็กฮิพฮ็อพอะไรอย่างนี้ ก็ยังคิดว่าเอ๊ะ...น้องเขาจะเล่นกับเรา แล้วเขาจะเข้าใจความรู้สึกของน้าสาวยุคนั้นไหม หม่อมก็ทำให้เขาเข้าใจได้ และเขาก็หัวไวมาก เพราะเขาฟังที่หม่อมอธิบายและสอน และก็เอากลับไปทำการบ้าน ทุกครั้งที่ถ่ายเขาจะส่งอารมณ์ให้ตั๊กได้ดีมากด้วยซ้ำ เพราะว่าจริงๆ แล้วส่วนใหญ่เนี่ยตั๊กจะเล่นดราม่าร้องไห้ทั้งเรื่อง น้าวาดจะร้องไห้บ่อยมากและก็จะเป็นคนที่คอยปกป้องจัน แล้วมาริโอ้เขาส่งบทให้ตั๊กร้องไห้ทุกครั้งเลย ตั๊กยังเคยคิดเลยว่าโอ้โหแล้วคนอื่นไม่ได้ร้องเลยเราร้องอยู่คนเดียวร้องยากแน่เลย แต่ว่าจริงๆ แล้วมาริโอ้เขาช่วยตั๊กร้องด้วย และเขาก็พยายามบิ๊วตั๊กแบบเหมือนรับส่งกันค่ะ ซึ่งเขาก็น่ารักมากเลยค่ะ
ตอนแรกคิดว่าตั๊กจะต้องทำความเข้าใจกับจันดารา แต่จริงๆ แล้วเหมือนโอ้เขาไปทำความเข้าใจในส่วนของเขามา แล้วเขาเล่นกับเราโดยที่เราไม่ต้องทำความเข้าใจเขาเลยค่ะ พอเราเห็นหน้าเขาเราก็เห็นเป็นจันดาราได้เลย เหมือนจันดารามากคือเขาติวเข้มมากค่ะ การพูดจาของเขาหรือพอเวลาเขาถูกทำร้ายเขาร้องไห้ เขาจะพูดแบบน้าวาดครับแล้วจะให้ผมไปอยู่ที่ไหน อันนั้นดูน่าสงสารมากเลย ร้องไห้แบบร้องไห้ตาบวม เราก็ร้องไห้ได้ไม่ยากเลย
          “พี่เจี๊ยบ” จะร่วมงานกันครั้งแรก พี่เขาก็จะสอนในเรื่องของการทำงานของหม่อมว่า หม่อมชอบแบบนี้นะ การมาสายไม่ดี อยากให้มาเร็วกว่านี้ คือเขาจะคอยบอกเราว่าถ้าเราตั้งใจทำนะ พอไปถึงหน้าเซ็ตนะ... คือเขาเป็นนักแสดงรุ่นพี่ใช่ไหมคะ จะคอยบอกว่าให้เราทำตรงนี้นะ แล้วจะง่ายขึ้นค่ะ เขาก็จะเป็นคนคอยแนะนำ ตั๊กกับพี่เจี๊ยบเนี่ยเราจะเริ่มเล่นกันตั้งแต่ต้นจนจบเลย จะอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ทั้งๆ ที่ในเรื่องเป็นคนที่ไม่ได้รักกันเลย แต่ว่าอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ทนอยู่กันสองคนแบบแย่งชิงอำนาจ แต่จะเป็นการแย่งชิงแบบนุ่มนวล พี่เจี๊ยบเขาเป็นนักแสดงที่เล่นได้ดีอยู่แล้ว และเป็นคนตั้งใจทำการบ้านมาก ทุกครั้งที่ไปซ้อมจะเห็นพี่เจี๊ยบมาก่อนใคร เขามาก่อนคนแรกเลยนะค่ะ ซึ่งแบบเขาเป็นนักแสดงรุ่นพี่ที่ดีอยู่แล้วค่ะ และก็เล่นได้ดีมากอยู่แล้ว
          กับ “หญิง” ที่เป็นคุณบุญเลื่อง ก็แบบคาแร็คเตอร์ตะวันตกกับความเป็นกุลสตรีไทยต้องมานั่งคุยกัน ครั้งแรกที่เล่นกับหญิงก็รู้สึกเขาก็เป็นคาแร็คเตอร์ได้ดีค่ะคือเป็นคุณบุญเลื่อง ซึ่งเราไม่เคยเห็นแบบนี้เลย ยังแซวเขาอยู่เลยว่าลุคนี้ดูสวยดีนะ ดูเปลี่ยนไปไม่เคยเห็นหญิงในลุคนี้แบบแปลกตาไปดี และก็มีความเป็นฝรั่งนิดนึงค่ะ ด้วยความที่เขาพูดจาเป็นผู้หญิงมั่นใจอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ดูเป็นคุณบุญเลื่องมากขึ้น จนเราต้องดร็อปตัวเองให้เป็นกุลสตรีไทยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะว่าไม่งั้นมันกลับกลายจะเป็นเหมือนกัน เพราะเหมือนจะเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว นอกจอก็อายุก็ไม่ได้ต่างกัน กลายเป็นว่าเราต้องบีบตัวเองให้เป็นกุลสตรีไทยมาก แต่กับคุณบุญเลื่องหญิงเขาดูไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก มีพูดภาษาอังกฤษพูดได้ เล่นเปียโนได้ ร้องเพลงเขาก็ร้องได้อยู่แล้ว กลับกลายเป็นเราเองที่ต้องเป็นกุลสตรีให้มากกว่านี้มันก็ยากค่ะ
          น้าวาดจะคิดว่าคุณบุญเลื่องมา จะมาเหมือนยึดอำนาจ มาคอยดูแลคุณหลวง และทรัพย์สมบัติด้วย แต่จริงๆ แล้วคุณบุญเลื่องเขามาดี เขาไม่ได้มาร้าย เขาก็บอกไป จริงๆ แล้วสองคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเรื่องรักแรก คุณบุญเลื่องบอกว่าเขาไม่ได้มาเพื่อจะเอาอะไร คุณวาดเคยเจอรักครั้งแรกไหม เขาก็รักกับคุณหลวงครั้งแรกอย่างนั้นเขาอยากอยู่กับคนรักครั้งแรกของเขาเท่านั้นเอง ซึ่งมันไปโดนใจน้าวาดเรื่องแฟนคนแรกของน้าวาดก็เลยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มาจากคนละฝั่งเลย เขามาจากตะวันตกเลย เรามาจากไทยมากเลย แต่มันเป็นความรู้สึกรักครั้งแรกเหมือนกันและไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน แต่เขาโชคดีที่เขายังได้อยู่กับคุณหลวง แต่เรายังไม่เคยได้อยู่กับคนรักของเราเลย นั่นก็เลยทำให้ผู้หญิงสองคนนี้สนิทและเชื่อใจกันมากขึ้น
           “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” ก็น่ากลัวจริงๆ ค่ะ เวลาเล่นก็ตีจริงๆ ด้วย คือตั๊กเล่นเป็นน้าวาดใช่ไหมคะ เหมือนลูกสาวของคุณท้าวพิจิตรรักษา (คุณท้าวยาย) ที่พี่ต๊งเหน่งเล่นเลย และก็จะโดนทำโทษบ่อยมาก คุณท้าวยายจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ดุ และก็ชอบสอน ไม่ถูกใจก็จะว่า จะด่า จะเฆี่ยนตี และก็บางทีเราไม่ได้ทำอะไรผิดคุณท้าวก็ตีได้ คือแบบท่านก็มีเหตุผลของท่าน พอพี่เค้าแต่งเป็นคุณท้าวยายปุ๊บใส่ผมสีขาว เริ่มทำย่นๆ ปุ๊บ เราก็จะเริ่มกลัวคุณท้าวยายจริงๆ เพราะว่าพี่ต๊งเหน่งสวมคาแร็คเตอร์ได้ดีมาก เหมือนคุณท้าวยายมาก แม้กระทั่งที่เรารอจะเข้าฉากพี่ต๊งเหน่งก็ไม่สะบัดความเป็นคุณท้าวยายออกไป เขาจะคงคาแร็คเตอร์คุณท้าวอยู่ วิธีการกินข้าวของพี่ต๊งเหน่งก็จะเป็นคุณท้าวยายนอกจอค่ะ จนทำให้เราเห็นว่าพี่เขาอินจริงๆนะเนี่ย อินมากๆ มีฉากหนึ่งที่คุณท้าวยายจะต้องตีน้าวาดใช่ไหมคะ พี่ต๊งเหน่งก็บอกว่าทนหน่อยนะเพราะว่าตีมันต้องตีจริง ตั๊กจะไม่เจ็บหรอก เราเป็นนักแสดงรู้ว่าการเจ็บจริงมันทำให้ความรู้สึกออกมาแต่เป็นแนวเจ็บจริงนี่ก็ไม่ไหว เพราะว่าใช้ไม้เท้าตีปี้กๆ และก็คัท พอคัทและก็ยังไม่ได้ พี่ขอโทษนะพี่จะพยายามไม่ให้โดนแต่ไม่ได้เลย เพราะว่ากล้องอยู่ตรงนี้เลยไงคะ จะต้องเห็นเลยว่าไม้จะต้องโดนกับเนื้อตั๊ก พอคัทเสร็จฉากนี้แนวขึ้นเต็มเลยค่ะ เป็นลอนใหญ่ๆ ทุกคนก็แซวว่าน้าวาดเด็กแนวเป็นลอนใหญ่ๆ แดงๆ แต่มันก็ดีอย่างหนึ่งคือเวลาที่เราจะต้องเล่นฉากที่ใครจะต้องเจ็บ เรากลัวเขาเจ็บไง เราก็จะไม่กล้าเล่นอย่างตบหน้าหรือดึงอะไรเราก็จะไม่กล้าใช่ไหมคะ อย่างแบบเจ็บหน่อยนะมันต้องจริง พอเราได้นักแสดงมาเล่นกับเราสมจริง และทำให้เราแบบมีความรู้สึกได้ประสบการณ์ในแบบดีๆ มากขึ้น พี่ต๊งเหน่งก็เป็นเหมือนครูอาจารย์น่ารักดีค่ะ
          กับ “โชจัง” ตั๊กจะขำทุกครั้งที่เขาพูด ตั๊กพยายามบอกหม่อมว่า หม่อมคะให้เขาพูดญี่ปุ่นไปเลยดีไหมค่ะ ไม่ได้หรอกมันจะพากย์ยากมาก เพราะว่าโชเป็นคนที่ตั้งใจมาก คนญี่ปุ่นเนี่ยยอมรับว่าเขาเป็นคนมีวินัยสูง ทุกครั้งที่เขาจะเล่น ทุกครั้งที่เขามา เขาไม่ได้เอาเวลาที่เขาพักไปเล่นหรือไปพักเลยนะ เขาท่องบทอย่างเดียวอะไรอย่างนี้ ก็ตั้งใจมาก แล้วเขาเทคน้อยมากเลยนะคะ และเขาก็เล่นได้ดีมาก เขามีวินัยสูงมาก คือเขาพยายามเป็นคุณแก้วได้จริงๆ ซึ่งอู้หูแม้กระทั่งการเล่นเลิฟซีนของเขาดูเป็นวินัยดูเป็นงานมาก คือเขามาปุ๊บเขาเงียบอย่างเดียว เขาตั้งใจจะเข้าฉาก พอเขาถอดปุ๊บเขาเล่นปั๊บ ดูเป็นการทำงานไม่ได้ดูโป๊ดูอะไรเลย เพราะว่าเป็นงานของเขาจริงๆ แล้วโชเนี่ยปกติจะเห็นเป็นคุณแก้วแรงๆ ใช่ไหมคะ แต่ตัวจริงดูเป็นคนเรียบร้อยมาก และก็ชอบอะไรหวานๆ กระโปรงลายดอกไม้สีชมพูผิดกับที่เล่นเลย แต่คราวนี้มามีปัญหากับคนที่ร่วมเล่นด้วยทุกคนจะขำหมด เพราะว่าเขามีไดอาล็อคอย่าง ไอ้จัญไร มึงออกไป อะไรอย่างนี้ พูดแบบ มึงไสหัวออกไปจากบ้านนี้ไอ้จัญไร แล้วมันเป็นฉากอารมณ์ทุกคนร้องไห้หมด พอคุณแก้วบอกไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ไอ้จัญไร ทุกคนหัวเราะหมดเลย คัท หัวเราะทำไม หม่อมเลยบอกว่าให้เราฟังแต่เซ้นส์เขาอย่าไปจับคำพูดเขามาก ทุกคนก็พยายามก็ยาก จนมาริโอ้บอกว่าพี่ตั๊ก เห็นไหมผมไม่ไหวแล้วจนหัวเราะออกมา แต่ตั๊กก็เข้าใจแหละว่ามันยากจริงๆ การพูดภาษาไทยยากนะคะ ทำได้เท่านี้ก็โอเคแล้วเก่งมากๆ แหม ถ้าเราไปพูดภาษาญี่ปุ่นของเขาก็ต้องขำกันบ้าง แต่เขาก็ทำออกมาได้ดีมากค่ะ แอ็คติ้งเขาก็เลิศมากเลยนะ เก่งมากค่ะ เล่นวาบหวิวก็ได้ เล่นดราม่าก็ถึง ดูแบบเป็นนักแสดงหญิงที่เก่งมากคนหนึ่งเลยค่ะ
 
          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้
          เรื่องของการเล่นฉากเลิฟซีนในเรื่องนี้ ตั๊กก็ดูแบบอย่างจากโชจังบ้างค่ะ โชจะเป็นคนที่เขาคิดอย่างตัวแสดงคิดค่ะ ความรู้สึกอย่างคนปกติจะถามว่าเล่นฉากเลิฟซีนเนี่ยเราไม่คิดอะไรหรอ ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอระหว่างที่เล่น เป็นไปได้เหรอ ซึ่งมันเป็นไปได้ เพราะว่าวิธีที่คิดอย่างนักแสดงคิดต้องคิดอีกชั้นหนึ่ง การเข้าถึงการที่จะเป็นนักแสดงได้ การที่เล่นเลิฟซีนได้ เราจะคิดอย่างตัวเองไม่ได้ ถ้าเราคิดอย่างตัวเอง เราเล่นไม่ได้และเราเป็นนักแสดงไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับคนปกติแล้วมันจะเกิดคำถามมากมายขึ้น เขาเล่นกันยังงั้นจริงหรอ เขารักกันจริงๆ หรือเปล่า เขามีอะไรกันจริงๆ หรือเปล่า หลังจากถ่ายเสร็จแล้วคิดอะไรกันจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งความคิดของนักแสดงที่เล่นเลิฟซีนต้องมีความคิดที่สูงกว่าปกติค่ะ คือมองเข้าไปที่จิตวิญญาณของมนุษย์และมองเป็นเรื่องธรรมะค่ะ มองมันเป็นงานอ่ะ การร่วมเพศแบบรัก หลง แบบถูกข่มขืน แบบเป็นการจำยอม หรือแบบรักบริสุทธิ์ เราต้องคิดให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โชจังเนี่ยจะมีเลิฟซีนแบบเร่าร้อนด้วยความที่เป็นคุณแก้ว คุณแก้วจะเป็นคนแรงๆ ก็จะมีเลิฟซีนแบบฮาร์ดคอร์หน่อยๆ ก็จะเป็นอะไรที่ดูแบบเอ๊กซ์ๆ ค่ะ ซึ่งถามว่าเขาเป็นคนยังงั้นไหม ไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเลย แต่เขาเล่นเป็นอย่างนั้นเพราะเขาคิดอย่างตัวแสดงคิด เขาเป็นคุณแก้วตอนที่เขาเล่น หม่อมบอกว่าถ้าตั๊กคิดได้อย่างนี้ตั๊กจะไม่รู้สึกเปลืองตัว เพราะมันเป็นตัวละครเล่น มันไม่ใช่เรา คือมองให้มันเป็นงานอ่ะ ถ้าทำได้มันก็จะไม่ถูกครหา เพราะว่ามนุษย์เราทุกคนแค่คิด ความรู้สึกก็ออก การกระทำก็ออก เขาก็จะดูออกว่าการกระทำนี้เป็นยังไง แต่ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างที่เราเล่น เขาก็ดูออกเพราะว่าคนเราดูไม่ยาก หม่อมเขาก็บอก คือมันเป็นจิตวิทยาหน่อยหลายชั้น และเขาเป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่เขามองเรื่องนี้เป็นของธรรมชาติ เขาบอกหม่อมว่าพอคัทไม่ต้องเอาผ้ามาห่มเขาก็ได้ เพราะว่าเดี๋ยวก็ต้องถ่ายแล้วจะเอามาห่มทำไม เดี๋ยวก็มาเอาออกใหม่จัดผมใหม่อีก หม่อมก็บอกไม่ได้เมืองไทยทำไม่ได้ ต้องห่ม พอคัทปุ๊บต้องห่ม ไม่ห่มทุกคนทำงานกันไม่ได้เลย (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าตอนที่เขาอยู่ที่ญี่ปุ่นเนี่ยเขาไม่ต้องห่มเลย เขามองว่ามันเป็นเรื่องงาน เขาก็ตั้งใจงานกันให้เสร็จคืออยู่ที่มุมมองมากกว่าค่ะ

          อย่างของตั๊ก เมื่อเรารู้ว่าน้าวาดเป็นยังไง คิดยังไง มันก็ทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น เพราะมันทำให้เราไม่สับสนค่ะ อย่างตอนที่เล่นเลิฟซันกับจอมเนี่ยก็จะเป็นแบบคู่รักดูดดื่ม ซึ่งจะแตกต่างจากเลิฟซีนกับคุณหลวงมาก น้าวาดกับจอมจะไม่ต้องอายอะไรเลย มีความบริสุทธิ์ใจ แต่กับคุณหลวงเนี่ยมันจะมีการต่อรองกันก่อนที่จะร่วมรักกัน ตกลงกันก่อนนะว่าถ้าเรายอมเป็นเมียของคุณหลวงแล้วคุณหลวงจะไม่ทำร้ายจันแค่นั้นเอง เหมือนการเมืองนิดๆ แต่ใช้เรื่องเซ็กส์เป็นอาวุธ ก็คือเป็นเรื่องของการเจรจา ก็คือการที่มีอะไรกับคุณหลวงเพราะเขาชอบเรื่องแบบนี้ ก็ใช้เซ็กส์เป็นเรื่องเจรจาต่อรองกันไป แต่มีเซ็กส์กับจอมเพราะเป็นความรักบริสุทธิ์ ใช้เซ็กส์ในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ แต่กับคุณหลวงเป็นเรื่องของการต่อรอง พอโชจังเขามาเล่นเราก็เลยรู้สึกว่า โชเป็นนักแสดงที่เขาคิดและทำออกมาอย่างมีวินัย บางฉากที่เขาต้องเลิฟซีนหรือโป๊เปลือยทำให้เราเห็นเขาเป็นตัวอย่างว่า เราไม่จำเป็นต้องอายก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากก็ได้ จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของการแสดงของนักแสดงทุกคนที่จะต้องทำ เขาก็เป็นแบบอย่างให้เราได้ดี
 
          ความน่าสนใจของเรื่องนี้
          จริงๆ แล้วก็ด้วยบทประพันธ์เรื่องนี้ที่มันสื่อไปในทางนั้น มันก็แค่เปลือกค่ะ ในทางมนุษย์จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของความสัมพันธ์ หม่อมเคยบอกว่าลองสังเกตดีๆ นะว่าวัฒนธรรมไทยเนี่ย ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะถูกเขียนลงไปในผนังตามวัดต่างๆ ความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในทุกๆ วันนี้ จนมาเป็นภาพวาดต่างๆ ให้คนเห็น และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ค่ะ เกิดมามีความสัมพันธ์ กำเนิดลูกอีกคน ก็เป็นวัฏจักรค่ะ มันเป็นธรรมะมาก เป็นกรรม เป็นเผ่าพันธุ์ คือมันเป็นการกระทำร่วมกัน เรามองไปในเชิงธรรมะ เราก็จะมองเห็นในเรื่องของธรรมชาติ แล้วตั๊กก็มองว่าเรื่องของ “จันดารา” เนี่ย เขาเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นเรื่องของมนุษย์เรา การมีเพศสัมพันธ์กันหรือการร่วมรักกัน มันทำให้รู้จักมนุษย์กันมากขึ้นค่ะ ก็แก่นแท้ของมนุษย์เราก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็มีแต่เรื่องพวกนี้ มีเรื่องของผลประโยชน์ มีเรื่องของทรัพย์สิน การแย่งชิง ใช้เซ็กส์มาเป็นเครื่องต่อรอง อย่างเรื่องของน้าวาด น้าวาดใช้เซ็กส์กับคุณหลวงเป็นเรื่องของการต่อรอง คุณหลวงใช้เซ็กส์กับบ่าวไพร่ต่างๆ เป็นเรื่องของการแสดงอำนาจ คุณบุญเลื่องมาจากเมืองนอกใช้เซ็กส์กับคุณหลวงเป็นเรื่องของความรัก น้าวาดใช้เซ็กส์กับจอมเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของการมีคำมั่นสัญญา คือมันทำให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ ทำให้เรามองเห็นถึงความเป็นธรรมชาติ พอเราเห็นปุ๊บเราก็ปลงค่ะ เพราะหม่อมพูดให้ได้เห็นถึงแก่นแท้ของเซ็กส์จริงๆ การดูเรื่องจันดาราไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าโป๊เลย เพราะว่าด้วยความที่หม่อมเจตนาทำออกมาให้เห็นถึงแก่นแท้ของมนุษย์ค่ะ มนุษย์เราก็แค่นี้แหละทำออกมายังไงก็ได้ยังงั้น ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนทำให้ตั๊กนึกถึงธรรมะจริงๆ เลยค่ะ และเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตั๊กรู้สึกว่าโป๊เลย เพราะตั๊กไม่รู้สึก เพราะผลในการกระทำค่ะ ตัวแสดงมีเหตุและผลในการกระทำค่ะ
          นอกจากนั้น “จันดารา” ก็มีเรื่องของความโลภของมนุษย์ด้วย สะท้อนให้เห็นสังคมไทยตอนนี้ด้วยว่าเราแย่งกันไปชิงกันมา สุดท้ายแล้วทำให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ ทำให้เราทะเลาะกันฆ่าฟันกัน สุดท้ายแล้วเราก็เอาไปไม่ได้ แล้วเราจะทำไปเพื่ออะไร ทำไมไม่เห็นคุณค่าตั้งแต่ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ จุดนี้จะเป็นสาระที่จะได้จากหนังไปเต็มๆ นอกจากเรื่องความบันเทิงของหนังที่ดูสนุก โปรดักชั่นพิถีพิถันทั้งงานสร้างฉาก เสื้อผ้า หน้าผม ส่วนเรื่องของฉากเซ็กส์เป็นแค่เรื่องที่ฉาบไว้เป็นผิวหน้าแค่นั้นเอง บางคนอาจจะมองจันดาราว่าโป๊อะไรอย่างนี้ จริงๆ แล้วถ้าสังเกตดูดีๆ แล้วเนี่ยจะได้สาระอย่างที่ตั๊กบอกไปด้วยแน่ๆ ค่ะ
          ตั๊กเชื่อว่าเดี๋ยวนี้คนดูหนังแล้วเอาไปคิดต่อกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังรักอาโนเนะ หนังแอ็คชั่นก็ตาม ทุกคนให้ความสำคัญกับสาระในหนัง ตั๊กเชื่อว่าคนที่ได้ดู “จันดารา” เขาจะต้องเข้าใจในเจตนาของหม่อมที่ต้องการให้เขารู้อะไรมากมายกว่าฉากโป๊ ได้เรื่องของความสนุก ได้เรื่องของการใช้ชีวิต และก็การเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูงที่อยู่บนโลกใบนี้ได้แค่ไหนถึงจะรอดพ้นบ่วงกรรม ดูเรื่องนี้แล้ว ตั๊กว่าทุกคนจะต้องได้ดูงานศิลปะชิ้นเอกที่สวยงามมาก และผ่อนคลายความรู้สึกเครียดๆ ได้เลยค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 08:59:37 AM
บทสัมภาษณ์ “โช นิชิโนะ” (Sho Nishino) นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น รับบทสาววิปริตสุดแรง ครั้งแรกในหนังไทยเรื่อง “จันดารา”



          แนะนำตัว-ผลงานที่ผ่านมา
          สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ “โช นิชิโนะ” มาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ ผลงานที่ผ่านมาก็เคยเป็นนักร้องในวง “เอบิซึ มัสซึคัทส์” (Ebisu Muscats) นอกจากนั้นเป็นนักแสดงด้วย เล่นละครเวทีด้วย แล้วก็หนัง ทีวี เกมโชว์ต่างๆ และในครั้งนี้ได้รับบทเป็น “คุณแก้ว” ในหนัง “จันดารา” ที่เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกด้วยค่ะ

          เคยดูหนังไทยมาก่อนมั้ย
          หนังไทยเคยดู “ต้มยำกุ้ง” เพราะว่าดิฉันเคยเล่นหนังแอ็คชั่นที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นผู้กำกับชอบดูหนังเรื่องนี้มากๆ ผู้กำกับก็เอามาให้ดู แล้วก็ดูได้แป๊ปเดียวก็ตกใจมากว่าฝีมือดีขนาดนี้เลย ก็เลยรีบไปเช่าหนังเรื่องนี้แล้วก็ไปดูที่บ้านค่ะ ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ คุณภาพสูงค่ะ พูดถึงเรื่องเมืองไทยเนี่ยนะคะชอบอาหารไทยมากเลยค่ะ มากๆ เลยค่ะ ก็กลัวว่าน้ำหนักจะขึ้นช่วงที่อยู่เมืองไทย ตอนที่มาเมืองไทยก็ได้ไปที่ภูเก็ต หรือว่าใกล้ๆ ค่ะ แต่พอคราวนี้ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ตึกเยอะมาก คนเยอะมาก ห้างสวยมาก ของเยอะมาก แล้วก็ช้อปปิ้งสนุกมากค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องนี้
          ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกอย่าง ‘จันดารา’ ก็รู้สึกงงๆ ว่าติดต่อมาได้ยังไง ดิฉันจะทำได้เหรอ เพราะเป็นคนญี่ปุ่น พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แล้วจะพูดบทได้ยังไง แต่ว่าพอพูดคุยกันและได้เห็นบทแล้วเนี่ย รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะว่าบท ‘แก้ว’ ในเรื่องจัน ดารานี้เป็นบทที่ใหญ่และสำคัญมากต่อเรื่อง แต่ก็รู้สึกกดดันและตื่นเต้นว่าจะทำได้หรือเปล่า สามารถพูดบทภาษาไทยได้มั้ย แล้วการแสดงของดิฉันเนี่ยจะทำให้ผู้ชมแฮปปี้ได้ไหม ก่อนที่จะบินมาไทยเนี่ยนอนไม่หลับเลยค่ะ แต่พอมาถึงกองถ่ายได้พูดคุยรายละเอียดกับหม่อมน้อย ได้ฝึกหัดภาษาไทย ซักซ้อมอ่านบทและการแสดงกับคนอื่นๆ รวมถึงเห็นการทำงานแบบมืออาชีพแล้วก็รู้สึกไม่ต้องกลัวแล้ว เล่นได้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการแสดง
          ที่ยากที่สุดก็คือบทพูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยทำเลยในชีวิต พอมีเวลาว่างก็จะหัดซ้อมฝึกพูดตลอดเวลาเลยค่ะจากแผ่นซีดีบ้าง จากล่ามบ้าง และจากนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ก่อนถ่ายทำก็กลัวมากๆ ค่ะ แต่พอถ่ายเสร็จแล้ว ทุกคนแฮปปี้ ปรบมือกันก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
พูดถึงเรื่องการแสดงนะคะ จริงๆ แล้วเนี่ย พออ่านบทแล้วดิฉันก็คิดเอาเองก่อนว่าตัวคุณแก้วเป็นแบบไหน นิสัยยังไง อิมเมจเป็นแบบไหน ก็จะมีอิมเมจของแก้วเองไว้ในใจ และพอเข้าไปพบหม่อมน้อยผู้กำกับก็จะเป็นคนสอนดิฉันว่า คาแร็คเตอร์และบทบาทของแก้วนี่จะเป็นยังไง ต้องแสดงแบบไหน ซึ่งอันนี้เป็นส่วนที่ช่วยในเรื่องการแสดงได้มากที่สุดเลยค่ะ

          คาแร็คเตอร์-บทบาท
          ตอนแรกดิฉันคิดว่า “คุณแก้ว” เป็นคนไม่ดีเลย เป็นคนใจร้ายมาก นิสัยไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเนี่ยคุณแก้วจะเป็นคนฉลาดมาก เข้าใจทุกอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเขาในบ้านหลังนั้น แม้จะเป็นคนมั่นใจตัวเองมากแต่จริงๆ จะกลัวมาก รู้ว่าคุณหลวงพ่อของตัวเองรักลูกมาก แต่ก็ไม่สามารถปรึกษาทุกเรื่องกับคุณหลวงได้ ทำให้คุณแก้วรู้สึกไม่มีใครสามารถที่จะปรึกษาหรือกอดได้ ทำให้เธอเหงามาก (โชร้องไห้ขณะสัมภาษณ์) ที่ร้องไห้เมื่อกี้นี้เพราะนึกถึงชีวิตในปัจจุบันว่ามีความสุขแค่ไหน ในสมัยนั้นในเรื่อง “จันดารา” เนี่ย คุณแก้วเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากที่สุดเลยค่ะ ต้องเก็บกดอารมณ์ทุกอย่าง จนตอนหลังก็ต้องระเบิดออกมากลายเป็นคนผิดปกติไปในที่สุด ดิฉันคิดว่าโชคดีที่เกิดมาในยุคนี้ ดิฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมากในชีวิตจริงค่ะ

          คาแร็คเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงยังไงบ้าง
          คุณแก้ว กับ โชจัง นะคะ แตกต่างกันมากเลยค่ะ อย่างเวลาที่คุณแก้วโมโหหรือไม่แฮปปี้เนี่ย ทำให้เค้าโกรธมากๆ จนทำร้ายคนอื่นได้เลย แต่ตัวโชไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ว่าเข้าใจว่าความโกรธของแก้วนั้นมาจากความมั่นใจของแก้วเอง แต่ว่านิสัยของดิฉันนะคะ ถ้ามีอะไรที่ไม่พอใจ จะพูดกันก่อน เข้าใจกันก่อน แล้วก็หยุดปัญหาค่ะ ไม่มีการทำร้ายกันค่ะ
          แต่มีข้อหนึ่งที่เห็นด้วยกับคุณแก้ว คือคุณแก้วกำลังหาความรัก หาคนที่รักเค้าจริง อันนี้ไม่น่าเป็นเค้าคนเดียว น่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับตัวดิฉันและคนทั้งโลกเลยค่ะ

          เรื่องภาษาถือเป็นอุปสรรคมากน้อยแค่ไหนในการแสดง
          เรื่องภาษาค่อนข้างเป็นอุปสรรคมากเลยค่ะ ลำบากมากเลยค่ะ โดยเฉพาะสามวันแรกหลังจากที่มาเมืองไทย เพราะพูดอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้เลยด้วยค่ะ แต่หลังจากนั้นได้ฝึกพูดภาษาไทย ก็ทำให้มีความมั่นใจ เข้าใจพอจะสื่อสารได้มากขึ้นค่ะ แต่ยังไงก็ต้องมีล่ามช่วยอยู่ค่ะ

          มีวิธีเข้าถึงบทบาทนี้อย่างไรบ้าง เพราะบทนี้มีหลากหลายอารมณ์มาก
          ก่อนเข้าฉากก็จะมีการทำความเข้าใจในบทบาท และการแสดงกับหม่อมน้อยอย่างที่บอก พออยู่หน้าเซ็ตแล้วดิฉันก็จะเป็นแก้วเลยค่ะ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลย จะเริ่มต้นจากการวางท่าทาง ทั้งท่านั่ง ท่ายืนทุกอย่างต้องเป็นแก้ว และต้องรู้อยู่เสมอว่าแก้วมีนิสัยอย่างไร เป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก เป็นคนรวย ชีวิตไม่ลำบากเลย พอเข้าถึงบทบาทนี้แล้วตอนอยู่หน้าเซ็ตก็จะเป็นแก้วอย่างเดียว ห้ามเป็นคนอื่นเลยค่ะ ซึ่งดิฉันจะเป็นคนที่มีสมาธิสูงอยู่แล้ว เวลาอยู่หน้าเซ็ตก็จะเปิดสวิทช์เป็นแก้วปุ๊บ พอแสดงจบแล้วเนี่ยก็จะกลับเป็นตัวเองที่ร่าเริงสนุกๆ ทีมงานอาจจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นยังไง สามารถเปลี่ยนได้ขนาดนั้น (หัวเราะ)

          ฉากไหนที่รู้สึกว่ายากมากๆ
          มันจะซีนที่รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนะคะ เป็นซีนที่คุณหลวง, คุณขจร และคุณแก้วทานอาหารเช้าด้วยกันนะคะ จะมีช็อตหนึ่งที่คุณแก้วจะขอคุณหลวงติดรถยนต์ไปด้วย แล้วก็ออกไปกับคุณขจรนะคะ บทตรงนี้เนี่ยยาวมากและดิฉันก็ลืมค่ะและบทคนอื่นเค้าก็ยาวเหมือนกัน แล้วก็พยายามใช้สมาธิที่จะเป็นคุณแก้วมากๆ แต่ดิฉันก็ไม่สามารถที่พูดตามบท ไม่สามารถเล่นได้ อากาศร้อนมากด้วย แล้วก็มีผึ้งมันตกลงมาในแก้วน้ำด้วย ก็รู้สึกกลัว สมาธิเลยไม่มีเลย แต่ก็พยายามเรียนรู้ และเข้าใจก่อนว่าบทที่จะพูดต้องร่าเริง ต้องขอพ่อว่าจะไปด้วยกัน ก็พยายามทำให้สมาธิกลับมาแล้วก็ทำให้ได้ค่ะ

          ฉากร้องไห้หรือกรีดร้อง มีวิธีเข้าถึงฉากเหล่านี้ยังไง
          โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดว่าต้องใช้วีธิแบบไหนหรือยังไงเลยค่ะ เพราะว่าพออยู่หน้าเซ็ตแล้วเนี่ยก็จะเป็นตัวละครคุณแก้วตามธรรมชาติเลย รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น สถานการณ์เป็นยังไง พอเข้าถึงบทบาทแล้วน้ำตาก็จะไหลออกมาเองตามบทเหมือนสั่งให้ไหลได้เองค่ะ

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          ตอนแรกค่ะ ”มาริโอ้” จะเป็นคนที่เงียบมากเลยค่ะ แต่หน้าตาดีมากเลยค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยพูดค่ะ ดิฉันก็เลยรู้สึกเหมือนจะไม่ควรที่จะไปคุยกันหรือเป็นเพื่อนหรือเปล่า แต่มีอยู่วันหนึ่งได้ทานข้าวด้วยกัน แล้วมาริโอ้ชอบไปญี่ปุ่นแล้วก็ทำตลกแบบญี่ปุ่นให้ดู ทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ จริงๆ คนนี้ก็เป็นคนตลกดีนะ แล้วหลังจากนั้นก็ได้คุยกันก็ทำให้รู้สึกว่ามาริโอ้เป็นคนมีเสน่ห์ น่ารักมากค่ะ แล้วก็วันที่มาที่เมืองไทย ก็รู้ว่ามาริโอ้เป็นซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย อันนี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กลัวว่า ตัวเองจะสามารถเล่นบท “คุณแก้ว” ได้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็รับส่งอารมณ์ร่วมกันได้เป็นอย่างดีค่ะ
          “ตั๊ก บงกช” เนี่ยเป็นคนที่รักแม่มาก แล้วดิฉันก็เห็นว่าแม่มาที่กองถ่ายตลอด ครั้งแรกที่เจอกันนะคะก็ประทับใจที่ว่า ตั๊กเป็นคนที่สวยมาก แล้วตั๊กก็ต้องเล่นเป็นแม่ของแก้ว ก็เลยแฮปปี้มากเลยค่ะ ที่มีแม่สวยมากขนาดนี้ (หัวเราะ) ตั๊กก็เหมือนตัวดิฉันนะคะที่มีสมาธิสูงมากเลยค่ะ เวลาตั๊กอยู่หน้ากล้องแล้วเนี่ยก็จะเป็น “แม่วาด” เลย เป็นคนละคนไม่ใช่ตั๊กเลยค่ะ อันนี้เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก และรู้สึกว่าตั๊กเป็นนักแสดงที่ดีมากค่ะ
          “หญิง รฐา” เหมาะกับบท “คุณบุญเลื่อง” มากที่สุดเลย ดิฉันคิดอย่างนั้นนะคะ แต่ตัวจริงเป็นคนที่ยังเด็กมาก และก็เหมือนเด็กฝรั่งค่ะ ลักษณะเหมือนฝรั่ง แฮปปี้ตลอดเวลา เวลาที่รอถ่ายก็จะฟังเพลงบ้าง ร่าเริงมากเลย แล้วก็จะมีซีนหนึ่งที่เป็นปาร์ตี้ค่ะ ก็จะเห็นคุณบุญเลื่องอยู่บนเวที ซึ่งหญิงเหมาะมากเลยค่ะ และเป็นคนเดียวที่จะสามารถแสดงเป็นคุณบุญเลื่องจริงๆ ค่ะ
          บท “คุณหลวง” ที่ “พี่เจี๊ยบ ศักราช” แสดงจะรักคุณแก้วที่เป็นลูกสาวมากๆ นะคะ ตัวจริงพี่เจี๊ยบก็จะชอบและค่อนข้างสนิทกับดิฉันเหมือนกัน เวลาเจอกันทุกครั้งเนี่ยก็เป็นเหมือนพ่อลูกกันจริงๆ แม้พูดกันคนละภาษากันแต่ก็เข้าใจกันได้ วันไหนที่เจอพี่เจี๊ยบเนี่ย จะแฮปปี้มากๆ แล้วก็เรียกเค้าว่า “คุณพ่อๆ” แล้วก็เข้าไปพูดคุยกับพี่เจี๊ยบเลยค่ะ
          “นิว ชัยพล” อันนี้ขอออกความคิดเห็นส่วนตัวได้ไหมคะ สำหรับนิวน่ารักมากค่ะ (ยิ้มเขิน) ชอบมากเลยค่ะ หล่อมาก น่ารัก วันไหนที่นิวเข้ามากองถ่ายนะคะ จะแฮปปี้มากเลยค่ะ น่ารักมาก นิวเนี่ยเป็นคนขยันด้วยค่ะ แล้วก็ใจดี นิสัยดีมาก หน้าตาก็ดี และแสดงเก่งมากเลย บางคนหน้าตาดีแต่แสดงไม่ค่อยดี แต่ว่านิวไม่เหมือนกันค่ะ หน้าตาดีแล้วก็เป็นนักแสดงที่ดีมากเลยค่ะ
          “ณัฏฐ์” เป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครนะคะ ทีมงานนักแสดงเฟรนด์ลี่ดีมากเลยค่ะ ดีมากกับทุกคน ณัฏฐ์ก็รู้ว่าดิฉันพูดอังกฤษก็ไม่ได้ พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ว่าก็พยายามใช้ภาษาอังกฤษคำที่ง่ายๆ เพื่อที่จะใช้สื่อสารกับดิฉันนะคะ ก็เลยรู้สึกแฮปปี้เวลาอยู่กับเขาด้วยนะคะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือ ในเรื่องคุณแก้วกับคุณขจรเนี่ยรักกัน พอเราสนิทกันก็เลยทำให้สามารถเล่นเป็นคุณแก้วได้ง่ายขึ้น เพราะว่าเขาทำให้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกัน ก็เลยช่วยรับส่งอารมณ์ได้ดีเช่นกันค่ะ

ฉากเลิฟซีน
          เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทยและญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจและก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ

การร่วมงานกับผู้กำกับชั้นครู
          ก่อนที่จะมาเมืองไทยเนี่ยนะคะ ใครๆ ก็บอกค่ะว่า “หม่อมน้อย” เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากในเมืองไทยนะคะ ตอนแรกเนี่ยก็ยังไม่รู้เลยค่ะ เพราะว่ายังไม่เคยดูผลงานของหม่อมน้อยเลยนะคะ แต่พอเจอกันแล้วเนี่ยเข้าใจเลย เข้าใจทันทีเลยว่าทำไมหม่อมน้อยสร้างหนังที่ดีมากในเมืองไทยเลยค่ะ ตอนแรกๆ ที่ดูบทเนี่ยก็ไม่เข้าใจเพราะบทเป็นภาษาไทยหมด แล้วก็แปลมาเป็นภาษาญี่ปุ่น บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าอารมณ์ประมาณไหน เล่นยังไง แต่ว่าทุกซีนนะคะก่อนที่จะถ่ายจริง หม่อมน้อยก็จะมาอธิบายละเอียดมากเลยนะคะให้ฟังว่า คุณแก้วอารมณ์แบบไหนในซีนนี้ อันนี้ช่วยได้เยอะมากเลยค่ะ
          หม่อมน้อยไม่ดุเลยค่ะ แถมยังใจดีจะตาย เพราะทุกครั้งที่ถ่ายนะคะ หม่อมน้อยก็จะบอกว่าดีใจมาก แฮปปี้กับการแสดงของดิฉันมากเลย แล้วก็ชมมากเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนมาชมดิฉันมากขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยเจอมุมโมโหหรือมุมโกรธของหม่อมเลย ก็รู้สึกแฮปปี้ตลอด
          แล้วก็อีกอย่าง เวลาหม่อมน้อยมาที่กองถ่ายนะคะจะถามทุกคนเลยค่ะว่า ดิฉันสบายดีมั้ย ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย เหมือนเป็นห่วงดิฉันมากค่ะ ตอนที่โดนว่าเพราะไม่สามารถพูดบทได้ ล่ามก็ไม่ได้แปลให้ดิฉันฟัง เพราะกลัวว่าดิฉันจะไม่มีสมาธิ หลังจากนั้นหลายวัน ล่ามก็ค่อยมาบอกดิฉันค่ะว่า เออ...วันนั้นเนี่ยหม่อมว่าดิฉัน เพราะว่าจำบทไม่ได้ (หัวเราะ) แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเองค่ะ

          ความน่าสนใจโดยรวม
          ได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงของทุกคนที่รับส่งอารมณ์กันได้ดี ภาพสวยมากๆ รวมถึงเนื้อหาที่สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ ผู้ชมสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับคนไทยที่ได้เห็นดิฉันในภาพยนตร์ไทยนะคะ ก็หวังว่าจะได้เล่นอีกในเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือทีวีโชว์ต่างๆ เนี่ยนะคะ แล้วก็เป็นนักร้องเหมือนกันนะคะ ก็อยากให้แฟนๆ คนไทยมาดูผลงานของดิฉัน หวังว่าในอนาคตนะคะจะได้มาแสดงที่เมืองไทยมากขึ้นค่ะ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:00:21 AM
“จันดารา ปฐมบท” แนะนำดาวรุ่งดวงใหม่น่าจับตา “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์”



 
 
          นอกเหนือจากนักแสดงรับเชิญชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, ชุดาภา จันทเขตต์, ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล” แล้ว เพื่อความยิ่งใหญ่และเข้มข้นของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา ปฐมบท” ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ขอแนะนำนักแสดงดาวรุ่งดวงใหม่น่าจับตามอง “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” หนุ่ม Cleo ปี 2008 ผู้อ่านข่าวภาคภาษาอังกฤษ FM107 มารับบท “จอม เวียงชัย” ชายคนรักของ “แม่วาด” (บงกช คงมาลัย) อีกหนึ่งตัวละครสำคัญซึ่งสร้างปมปริศนาแห่งรักสามเส้าระหว่างแม่วาด และ “ดารา” (สาวิกา ไชยเดช)

          หม่อมน้อยเผยว่า  “อเล็กซ์เป็นลูกศิษย์เมื่อครั้งที่ผมสอนที่มหาวิทยาลัยมหิดล (อินเตอร์) เขาเคยแสดงละครเรื่อง Of Mice and Men ร่วมกับชาคริต แย้มนาม และเจสัน ยัง ในคอร์ส TV Drama Production เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และได้ฉายแววนักแสดงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นเมื่อผมหานักแสดงที่จะมารับบทสำคัญเป็น ‘จอม เวียงชัย’ ที่มีลักษณะเป็นลูกครึ่ง และมีความเป็นสุภาพบุรุษแบบชายชาตรีในสมัยรัชกาลที่ 6 อเล็กซ์จึงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด พอได้มาแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ๆ ก็สามารถที่จะแสดงได้อย่างเข้าขากันและดูลงตัวมากๆ ถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองได้เลยทั้งรูปร่างหน้าตาและฝีไม้ลายมือทางการแสดงอันเป็นธรรมชาติมากอีกด้วย”

          รอพบกับดาวรุ่งดวงใหม่ “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” ใน “จันดารา ปฐมบท” 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:01:04 AM
“หม่อมน้อย” การันตี “มาริโอ้ เมาเร่อ” สุดยอดฝีมือแห่งปี ใน จันดารา ปฐมบท


 
          “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) และครูผู้สอนการแสดงแก่ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ยืนยันถึงพัฒนาการในฝีมือการแสดงของพระเอกหนุ่มเข้าขั้นระดับนักแสดงอินเตอร์ เพราะสามารถเข้าถึงบทบาทการแสดงได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกคอเมดี้น่ารักในละครกำลังฮิต “รักเกิดในตลาดสด” และบทชีวิตดราม่าแบบสุดๆ ที่กำลังถูกจับตามองในภาพยนตร์ฟอร์มดี “จันดารา”

          หม่อมน้อยกล่าวว่า

          “ปีนี้คงเป็นปีทองแห่งความสำเร็จในชีวิตการแสดงของมาริโอ้อย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่มาริโอ้ได้รับการฝึกฝนศิลปะการแสดงจากผมนานถึง 4 ปีเต็มด้วยความมานะ ขยัน และอดทน ทำให้ฝีมือการแสดงของเขาพัฒนาเข้าขั้นระดับอินเตอร์จะเห็นได้จากมาริโอ้มีผลงานภาพยนตร์ต่างประเทศจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะผลงานละครโทรทัศน์เรื่อง ‘รักเกิดในตลาดสด’ กับบท ‘ต๋อง’ ซึ่งกำลังเป็นที่ประทับใจของผู้ชมทั้งประเทศจนเป็นที่น่ายินดี ผมเชื่อเหลือเกินว่าบท ‘จันดารา’ ในฝีมือการแสดงของมาริโอ้ในครั้งนี้จะเป็นบทบาทที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชมอย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะเป็นบทที่มาริโอ้ได้แสดงความสามารถในการแสดงได้หลากหลายมิติ มีทั้งความใสบริสุทธิ์ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ความเคียดแค้นชิงชัง หรือแม้แต่ตัณหาราคะอันเกิดจากปมที่ซ่อนลึกอยู่ภายในจิตใจ ซึ่งมาริโอ้สามารถแสดงออกมาได้อย่างลึกซึ้งกินใจในจอภาพยนตร์ จนอาจพูดได้ว่า เขาตีบทได้อย่างแตกฉานสมกับการก้าวขึ้นมาสู่การเป็นยอดฝีมือนักแสดงเจ้าบทบาทแห่งวงการบันเทิง”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้พิสูจน์ฝีมือการแสดงแบบสุดพลังของ “มาริโอ้ เมาเร่อ” 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:08:46 AM
“หม่อมน้อย” โชว์แฟชั่นย้อนยุค หรูหรา สุดอลังการ ใน “จันดารา”









                         นอกเหนือจากเนื้อหาและทีมนักแสดงที่กำลังได้รับการกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้แล้ว ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) ก็ยังมีงานสร้างสุดละเมียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่เห็นกันอย่างชัดเจน ซึ่งงานนี้ “มนตรี วัดละเอียด” เมคอัพอาร์ทติสชั้นครู (สุริโยไท, โหมโรง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) และ “อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์” แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง (คู่กรรม, ซีอุย, ต้มยำกุ้ง, Me, Myself ขอให้รักจงเจริญ) มาร่วมกันสร้างสรรค์แฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมย้อนยุคนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปัจจุบันได้อย่างอลังการงานสร้างสมกับความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมทั้งสองภาคเรื่องนี้

          หม่อมน้อยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
          “เนื่องจากเรื่อง ‘จันดารา’ นี้มีการดำเนินเรื่องอย่างยาวนานถึง 4 รัชกาล ดังนั้นงานออกแบบเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าทำผมจึงมีความสำคัญในการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยตามท้องเรื่อง ซึ่งต้องอาศัยการค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างพิถีพิถันเพื่อความสมจริง ซึ่งเราโชคดีที่ได้ผู้ชำนาญการพิเศษชั้นครูอย่าง อ.ขวด-มนตรี วัดละเอียด และคุณโจ้ อธิษฐ์ มาเป็นผู้แต่งหน้า-ออกแบบทรงผมและการแต่งกายในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะงดงามและสวยจริงตามยุคสมัยด้วย”

          มนตรี วัดละเอียด เผยว่า
          “ภาพรวมของเรื่องนี้ เราทำหนังเสมือนจริง ก็พยายามอ้างอิงให้มันใกล้เคียงกับความจริง แต่ก็ไม่ใช่สารคดีซะเลยทีเดียว เรื่องนี้มีตัวละครค่อนข้างจะเยอะ งานค่อนข้างจะมาก ช่วงเวลาของนักแสดงในเรื่องมันจะมีตั้งแต่เด็กจนแก่ พอมีเรื่องวัยช่วงอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็จะมีเรื่องแฟชั่นตามยุคสมัยที่จะต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ก็พยายามอ้างอิงให้ใกล้เคียงกับยุค แต่ว่ายังมีความเป็นตัวละครอยู่ เวลาทำงานก็ต้องคุยกับผู้กำกับก่อนว่าผู้กำกับมองภาพเป็นยังไงแล้วต้องการอะไร หม่อมน้อยจะบรีฟเยอะมาก เหตุเกิดขึ้นเมื่อไรถึงปีไหนแล้วมันก็มีภาพเทียบว่าย้อนอะไรไปถึงอะไร ก็ให้เน้นเรื่องของเวลา เรื่องของวัย ตรงแฟชั่นก็จะตีความกันหลายๆ แบบ หลายๆ คน ก็จะมีตัวคุณบุญเลื่องที่บ่งบอกความเป็นแฟชั่นมากที่สุด มันก็เป็นการทำงานที่ร่วมกันหลายๆ ฝ่าย ตรงฝ่ายหน้าผมนี้ก็จะทำงานร่วมกับฝ่ายเสื้อผ้าไปตลอดเรื่อง ในส่วนของเมคอัพก็มีการแต่งหน้าหลายแบบทั้งสวยงามตามปกติ แล้วก็จะมีการแต่งแก่มากในส่วนของจันดารา และเคน กระทิงทองที่จะเป็นส่วนค่อนข้างยาก และอุปสรรคก็คือเรื่องของอากาศร้อนเกินกว่าจะทำงานกัน มันก็จะมีผลต่อกาว เครื่องสำอาง และอื่นๆ อีกมากที่จะต้องดูแลกันมากขึ้น ก็พยายามปรับหาวิธีมาใช้ให้ได้ผลดีที่สุดครับ”

          อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ พูดถึงเครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ว่า
          “เรื่องนี้รีเสิร์ชเยอะมาก ปกติผมก็เป็นคนอ่านหนังสือพวกประวัติศาสตร์อยู่แล้ว สนใจในเรื่องของเสื้อผ้าของไทยอยู่แล้ว ก็จะค้นคว้าจากหนังสือที่มีอยู่เหล่านี้ แล้วก็ทางอินเตอร์เน็ตด้วย ก็เป็นการรีเสิร์ชที่สนุกเพราะเป็นสิ่งที่เราสนใจ เราชอบอยู่แล้ว ได้ข้อมูลเยอะมาก บวกกับหม่อมบรีฟรายละเอียดมาเยอะมาก เพราะหม่อมจะมีภาพในหัวอยู่แล้วว่าจะให้ออกมาอย่างไร แล้วเราก็ไปทำงานในส่วนของเราออกมา แล้วก็นำมาเสนอหม่อมให้เป็นไปในทางเดียวกัน เราก็จะเอา Reference หลายๆ อย่างมาผสมกันให้ลงตัว แต่ไม่ได้ทำตามทั้งร้อยเปอร์เซนต์ เราต้องดูคาแร็คเตอร์ตัวละครเป็นหลักด้วยว่าทำไมเขาถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ก็เอามาปรับให้ลงตัว วัตถุดิบที่เอามาตัดเย็บก็จะหาจากหลายๆ จังหวัด บางอย่างก็สั่งทำ ก็จะเลือกวัตุดิบที่มีหรือใกล้คียงสมัยนั้น แพทเทิร์นของเสื้อผ้าสมัยก่อนก็จะแตกต่างจากสมัยนี้ ก็ต้องตัดเย็บใหม่เกือบทุกชุด การตีความแต่ละช่วงอายุของจันดาราก็ทำให้คอสตูมที่ใส่เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรับเอาวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา การเปลี่ยนแปลงบุคลิกของตัวละครผสมความเป็นไทยด้วย โทนสีก็จะทำให้กลมกลืนไปในแต่ละตัวละครและปูมหลัง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงเป๊ะๆ ว่า คนนี้ต้องโทนสีนี้ เอาความเหมาะสมเป็นหลักมากกว่า เราทำงานร่วมกันกับทีมเมคอัพเป็นหลัก ก็เป็นการทำงานที่มีความสุข เพราะต่างคนก็ตั้งใจทำกันอย่างเต็มที่ให้ออกมาได้ดั่งใจต้องการ ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำงานอย่างมีความสุข ผลงานก็จะออกมาดี และส่งผลไปถึงคนดูที่จะได้รับงานที่มีคุณภาพตามไปด้วยอย่างเต็มที่ ก็อยากให้มาชมผลงานคุณภาพนี้กันครับ”

          เตรียมพบกับแฟชั่นสุดอลังการได้ใน “จันดารา ปฐมบท” พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ และ “จันดารา ปัจฉิมบท” เร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:13:40 AM
บทสัมภาษณ์ “นิว – ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” พร้อมแจ้งเกิด ประกบคู่มาริโอ้ ใน “จันดารา”





          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้ผมรับบทแป็น “เคน กระทิงทอง” ครับ นิสัยบุคลิกส่วนตัวแล้วจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ และก็จะชอบแต่เรื่องมีความสุข เป็นคนที่ไม่คิดมาก เป็นคนที่จะรับแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็จะพยายามไม่รับ พยายามเริ่มใหม่ในสิ่งที่ดี พยายามที่จะคิดในแง่บวกอย่างเดียว เป็นคนที่ยิ้มง่าย เวลาเจอเรื่องร้ายๆ แม้จะเป็นตอนที่เจออะไรที่อันตรายหรือเจอโจรก็จะยิ้มตลอด ก็คือเราจะรู้ว่าเรามีฝีมือทางด้านแอ็คชั่นต่อยมวย ก็คือจะเห็นจากฉากเปิดตัวเคนด้วยฉากต่อยมวย ก็จะปูเลยว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ต่อยมวยเก่งและก็เจอคู่ต่อสู้ที่เก่งขนาดไหนเราสู้ได้แน่นอน เป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย
          เคน กระทิงทองจะเป็นลูกของ “แม่พุ่ม” (ชุดาภา จันทเขตต์) หัวหน้าแม่ครัวในบ้านของคุณหลวง คือเราจะโตกว่าคุณจันประมาณหนึ่งปี และพอคุณจันเกิดมาเนี่ยแม่ก็ตายพ่อก็ไม่รัก และก็ไม่มีใครอยู่กับคุณจันเลย ก็มีแต่ “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) แม่พุ่มแม่ของเคน และก็ตัวเคนเองที่คอยดูแลเลี้ยงดูคุณจันตั้งแต่ขวบหนึ่งเลย ก็จะไกวเปลให้คุณจัน จะดูแลคุณจันมาตลอดจนถึงตอนโตไปจนแก่ก็อยู่กับคุณจันมาตลอดเวลาเลยครับ จะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งพี่ชาย ทั้งบอดี้การ์ดคอยดูแลคุณจันตลอด เคนจะเป็นคนที่ตรงข้ามกับคุณจันโดยสิ้นเชิงเลย ก็จะเป็นคู่หูกัน คุณจันก็อาจจะเหมือนพวกที่ใช้สมอง เคนก็จะเป็นคนที่ใช้กำลัง คือแตกต่างกันสุดขั้วทางด้านนี้ครับ

          ความยากง่ายของบทนี้
          ความยากง่ายก็คือ เราต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่และก็เป็นหนึ่งในคนที่ดำเนินเรื่องทั้งเรื่อง ความยากมันยากมากอยู่แล้วยิ่งต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มันต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเพิ่มมากขึ้นเยอะ แต่ว่าตอนที่เป็นวัยรุ่นอาจจะง่ายหน่อยเพราะว่าเราเคยผ่านมาแล้วในช่วงวัย 17-18 จนมาถึง 22 ในชีวิตจริงคือเราเคยผ่านมาแล้ว แต่มันก็ยากตรงที่คนสมัยก่อนกับคนสมัยปัจจุบัน การดำเนินชีวิตทั่วไป ชีวิตแต่งงานมีลูก ชีวิตวัยทำงานเนี่ยมันแตกต่างกัน บางทีคนสมัยก่อนอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียน แบบเคนเป็นคนรับใช้ในบ้านก็ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ชีวิตมันแตกต่างกัน ต้องทำงานตั้งแต่เด็กก็ไม่มีโอกาสที่จะไปเรียน อย่างที่แต่งงานมีลูกเร็ว เราก็ต้องศึกษาตรงนั้นว่าคนสมัยก่อนทำไมเขาถึงทำแบบนี้ คิดอย่างไร ก็คือจะมีหม่อมน้อยคอยบรีฟเรื่องแบ็คกราวด์อยู่เสมอ และก็พอมาถึงช่วงวัยทำงานบริษัทก็จะโตกว่าชีวิตจริงหน่อยนึง เราก็ต้องดูว่าคนที่เขาไปทำงานเขามีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นยังไง และก็ต้องคุมทั้งบริษัทด้วย แต่พอถึงตอนแก่ก็ถึงจุดที่ยากที่สุดคือจะห่างจากชีวิตของเราไปอีกนานเลย เพราะว่าเราเองก็เพิ่งจะอายุ 22 ยังไม่ถึงครึ่งชีวิตของมนุษย์เลย ก็ต้องศึกษาค่อนข้างเยอะ และผมก็ดูตัวอย่างจากคุณปู่วัยประมาณ 80 ต้นๆ ว่าคุณปู่มีลักษณะยังไง การเดิน การพูดคุย หรือว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันคืออะไร แต่ว่าหม่อมจะบอกว่าเคนจะแตกต่างจากคนแก่คนอื่นนิดนึงก็คือเคนจะเป็นคนที่ค่อนข้างสุขภาพดีทั้งกายและใจไม่เหมือนคนอายุ 90 แต่จะเหมือนคนอายุ 60-70 เท่านั้น

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำเรื่องนี้
          เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมค่อนข้างได้รับการเตรียมตัวค่อนข้างนานเป็นพิเศษ และก็จริงจัง และก็ทุ่มกับมันเกินร้อยเลย คือผมได้มีโอกาสเรียนคลาสแอ็คติ้งกับหม่อมเป็นประจำอยู่แล้วครับ พอหม่อมปิดกล้องเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ที่ผมเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ หม่อมก็เริ่มทำ “จันดารา” เลย เพราะเป็นเรื่องที่หม่อมอยากจะทำมานานแล้ว และหม่อมก็ถามว่า นิวสนใจเล่นมั้ย ผมก็บอกว่าผมไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่านะว่าเป็นอย่างไร ผมรู้แค่เมื่อก่อนว่าเป็นหนังดังมากในอดีต เคยได้ยินแต่ไม่เคยชมครับ หม่อมบอกไม่เป็นไรไม่ต้องกลัว เพราะว่าเวอร์ชั่นนี้หม่อมอ่านหนังสือแล้วเขียนบทใหม่อยู่แล้ว และช่วงเวลาที่หม่อมเขียนบทเนี่ย ก็ให้เราเข้าไปอ่านบทดู เขียนไปได้เท่าไรก็ลองอ่านดู ลองอ่านบทดูถึงตัวละครคาแร็คเตอร์ว่าเราเหมาะสมไหม และพอเราอ่านไปได้สักพักหนึ่ง หม่อมว่านิวก็เหมาะสมน่าเล่น เล่นได้ และพอหม่อมเขียนบทเสร็จแล้วเนี่ยก็เรียกเราเข้าไปอ่านดูและซ้อมกับบทจริงๆ เลยว่าคาแร็คเตอร์จะเป็นยังไง ฉากนี้ควรจะเป็นยังไง คิดยังไง บางทีก็มีมาริโอ้เข้ามาซ้อมด้วย มาซ้อมกับเป็นคู่ มีพี่เจี๊ยบ ศักราช มีนักแสดงหลายๆ คนเข้ามาลองเทสต์บทดูและก็อ่านบทดู ทำให้การแสดงในเวลาจริงมันเร็วขึ้นและก็ง่ายขึ้นเยอะ เพราะก่อนที่จะถ่ายทำเรามีเวลาในการซ้อมก่อนประมาณ 5-6 เดือนได้ รวมถึงผมได้เข้าไปเรียนคิวบู๊กับทีมพี่พันนา เพราะหม่อมบอกว่าจะมีคิวบู๊ด้วยประมาณ 2-3 คิว มีคิวชกมวย คิวไปช่วยคุณจันอะไรอย่างนี้ ก็เข้าไปซ้อมคิวก่อนเพื่อที่จะได้สมบูรณ์ที่สุดออกมาสวยที่สุด เพราะเราไม่เคยเล่นคิวบู๊อย่างจริงๆ จังๆ และอันนี้เป็นคิวบู๊ที่จริงจังมากครับ ก็ไปซ้อมกับพี่พันนาเลย รวมถึงในการฟิตหุ่น เพราะว่าในคาแร็คเตอร์ของเคน กระทิงทอง เป็นผู้ชายในบ้านที่เป็นคนสมัยก่อน เป็นคนใช้ในสมัยก่อนเขาไม่ใส่เสื้อผ้า คือจะใส่นุ่งเตี่ยวหรือผ้าตัวเดียวทุกวัน ทั้งวันที่อยู่ที่บ้านคือเราจะไม่ใส่เสื้อเลย ยกเว้นเวลาที่เราออกไปข้างนอก ออกไปตลาด ออกไปซื้อของ เรื่องหุ่นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสำคัญมาก และก็จะเทรนเข้าคอร์สฟิตเนสก่อนการถ่ายทำจริงจังเลยประมาณ 3-4 เดือน ก่อนถ่ายทำ ผมมีทั้งการเข้าคอร์สฟิตเนสโดยพี่ที่เป็นทีมชาติทางด้านฟิตเนสเลย ไปเข้าคอร์สกับเขาเลย มีทั้งการเล่นอย่างถูกต้อง เล่นสม่ำเสมอ แบ่งส่วนในการเล่นอย่างถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างถูกต้องรวมถึงการคุมอาหารด้วยครับ คือเขาจะมีการคุมอาหารให้ทานแบบเป็นช่วงเวลา และก็ในปริมาณที่เหมาะสมที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการของนักฟิตเนสโดยเฉพาะ

          การแปลงโฉมให้เป็นตัวละครในเรื่องนี้
          พูดถึงการเมคอัพและทรงผมนะครับ ก็คือในตอนที่เป็นวัยรุ่นก็คือที่เราเปิดตัวประมาณสัก 16-17 ก็จะเป็นเมคอัพที่บางหน่อยแต่เนียน และก็จะมีการเติมแผลอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็นพวกที่ค่อนข้างจะต่อยตีกับคนอื่นบ่อย ส่วนทรงผมเป็นทรงที่ง่ายๆ ที่ผมชอบมาก ตอนวันรุ่นจะเป็นทรงแบบเซอร์ๆ หน่อย ก็ใช้เจลหรือแว็กซ์เสยขึ้นตกๆ ลงมาสองข้างแล้วก็ฉีดน้ำให้เปียกๆ หน่อยอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนเป็นทรงนักกีฬาในสมัยก่อน แต่ว่าจะเป็นแฉกสองข้างลงมา ก็จะเป็นภาพที่ย้อนยุคกลับไปใช้เวลาในการเซ็ตที่น้อยมาก คือผมชอบมากตรงนี้ พอโตขึ้นมาแล้วก็จะมีจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนเมคอัพด้วย ก็คือช่วงที่เราเริ่มจะแต่งงาน และช่วงที่เราทำงานบริษัท โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรียบร้อยมากขึ้น ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะมีเปลี่ยนรองพื้นเปลี่ยนเมคอัพด้วย เปลี่ยนสีของเมคอัพด้วย คือจะโตยิ่งขึ้นจะมีการเติมรอยบนหน้าผากหรือตามที่ต่างๆ ถ้าคนสังเกตจะเห็นได้ชัด รวมถึงทรงผมที่เปลี่ยนไปอีกทรงหนึ่ง เป็นทรงเป๋หนึ่งข้าง เป๋ข้างเดียวก็จะเรียบและก็เรียบร้อยครับ จะเห็นได้ชัดว่าเคนจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พอมาถึงช่วงวัยชราวัยแก่อะไรอย่างนี้ก็มีการเมคอัพนานพอสมควรเลย วันแรกที่ถ่ายวัยชราเลยเนี่ยก็จะมีนัดไปตั้งแต่เช้าเลย ไปเมคอัพแต่งหน้าทำผมก่อนเลย วันนั้นแต่งหน้าทำผมไปประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ทั้งผมและมาริโอ้นะครับ คือคนแก่เนี่ยรายละเอียดบนใบหน้ามันค่อนข้างละเอียดอ่อนและเยอะมาก ก็จะมีรอยย่น รอยกระ รอยหลายๆ อย่างที่ผ่านมาในชีวิต รวมถึงผมขาวและก็ใส่วิก การเชื่อมวิกเข้ากับหน้าเรา หลายๆ อย่างเลยรวมไปถึงคอและมือด้วย ถ้าสังเกตดีๆ มือก็จะเมคอัพด้วยเหมือนกัน มือก็กลายเป็นแบบมือย่น มือเหี่ยวแบบคนแก่เลย การเมคอัพผมพูดได้เลยว่าพี่ขวด (มนตรี วัดละเอียด) ทำรีเสิร์ชมาละเอียดมากจนแต่งออกมาได้สมบทบาทดีมากครับ

          บทนี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง
          ส่วนเหมือนของบทเคน กระทิงทองกับตัวนิวเอง อาจจะเป็นตอนแรกที่ใกล้เคียงกัน เป็นวัยที่เล่นมากที่สุดของเรื่องนี้ คือวัย 18-20 ต้นๆ ก็จะตรงกับชีวิตจริงที่ผมอายุประมาณ 22 เฉลี่ยแล้วคนประมาณนี้วัยใกล้เคียงกัน รวมถึงเคนเป็นคนขี้เล่น ทะเล้น และก็เหมือนชอบแกล้งเพื่อน ส่วนตัวผมก็เป็นคนที่ชอบแกล้งเพื่อน เวลาอยู่กับเพื่อนเนี่ยจะเป็นคนค่อนข้างพูดเยอะและก็จะแกล้งเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ก็จะเหมือนเคนที่ชอบแกล้งคุณจันอยู่ตลอดเวลาครับ และก็เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน กีฬาที่เคนชอบก็จะเป็นต่อยมวย ผมก็จะชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน แล้วเคนก็ชอบไปเที่ยวเล่นใกล้ๆ บริเวณบ้าน ชอบสำรวจบ้านตามซอกมุมต่างๆ ตามตลาดครับ คือเคนจะชอบเดินเที่ยวไปเรื่อย เพราะในเรื่องเนี่ยเคนเป็นคุมแถวนั้นก็ว่าได้เพราะว่าต่อยมวยเก่งก็จะคุมอยู่แถวนั้น เหมือนกับผมตรงที่ชอบเดินทางไปไหนหลายๆ ที่ชอบสำรวจในเรื่องต่างๆ แต่ที่บ้านผมอาจจะไม่ได้เป็นคนคุมเท่านั้นเอง ก็จะแตกต่างกันตรงนั้น
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:14:06 AM
          และก็เรื่องที่แตกต่างมากที่สุดก็คือ เรื่องผู้หญิงของเคนเนี่ยจะมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ คือเคนจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายๆ ด้านและก็หลายๆ คน และก็จะเหมือนใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่สนอะไรเท่าไหร่ เป็นคนไม่คิดมาก โดยส่วนจะแตกต่างจากผมตรงที่เป็นคนที่คิดมากและก็จะไม่ค่อยปล่อยวางกับเรื่องต่างๆ จะชอบเก็บเอามาคิดโดยเฉพาะเรื่องในอดีต ชอบเก็บมาคิดอยู่คนเดียวเสมอ ทำให้ตรงนี้เป็นสิ่งที่หม่อมท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผมเป็นแบบนี้ก่อนที่จะเล่นอยู่แล้ว ก่อนเข้าคลาสเนี่ยก็จะให้ผมสงบสติและก็อยู่กับปัจจุบัน และก็พยายามตัดสิ่งในอดีตให้ได้เวลาที่อยู่ในคลาสนะครับ พอเข้ามาถ่ายจริง หม่อมก็จะให้ใช้เทคนิคในห้องนั้นมาใช้ในตอนถ่ายจริง ตัดสิ่งในอดีตออกไปและก็อยู่ปัจจุบันให้มากที่สุด ก็คือเคนจะอยู่กับปัจจุบันมากและก็มองโลกในแง่ดีอย่างเดียวเลย และก็ยิ้มแย้มกับทุกๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

          อุปสรรคปัญหาในการแสดง
          อุปสรรคตอนถ่ายค่อนข้างที่จะะน้อยมากจนเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ว่าได้สำหรับ เคน กระทิงทองในวัยหนุ่ม แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นชัดๆ ก็มีเหมือนกันครับปัญหาค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน อันแรกปัญหาที่เกิดกับตัวผมอันดับแรกเลยคือเป็นคิวบู๊เป็นคิวเปิดตัวต่อยมวย ก็คือตอนที่ไปซ้อมกับพี่พันนากับทีมสตั๊นต์แล้วเนี่ย ก่อนถ่ายทำจริงเรามีการซ้อมกันก่อนก็คือตามคิวเป๊ะๆ แต่พอเข้าไปถ่ายจริงในบ่ายวันนั้นเนี้ย มันเกิดอาการอะไรไม่รู้ที่ผมค่อนข้างที่จะงงตัวเองเหมือนกันคือ ลืมคิวว่าจะเตะก่อนหรือต่อยก่อนหรือะไรก่อน เราเบลอด้วยหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ก็คือกล้องมาอยู่ตรงหน้าเรา แดดแรงมากวันนั้น เสียงคนเชียร์กระหึ่มมาก และเราไม่สามารถตัดได้ในสิ่งที่หม่อมเคยสอนในทุกๆ ฉาก คือตัดออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ เรากลับไปคิดว่าทุกคนก็หวังไว้กับเราเยอะในฉากบู๊ หม่อมคาดกับเราไว้เยอะ ทุกอย่างเหมือนประดังเข้ามาในเวลาเดียวกันทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป คิวบู๊กลายเป็นว่า ตึ้ง มืดแปดด้าน เราก็แบบยกการ์ดขึ้นมากางแล้วแบบพี่เขาก็แบบทำไมไม่เข้ามาวะ ทำไมไม่เข้าไป พี่ก็จะเข้ามาแหย่ๆ และก็ส่งซิกว่าต่อยๆ เราก็จะแบบหืมอะไรๆ เราก็แบบอะไรวะ งง สุดท้ายก็คัท โอ๊ยขอโทษครับๆ บอกไปว่าผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับลืมบทหมดเลย ถ่ายมาตั้งหลายวันแต่ตายคิวที่เราชอบด้วย เรื่องคิวบู๊เวลาที่เราไปเรียนว่าเราชอบมาก ทีมพี่พันนาคิดท่าออกมาให้เราสวยมาก เราก็ทำได้ แต่พอเวลาถ่ายทำไมเราลืมทำไมเราทำไม่ได้ เราก็แบบเอาไงดีวะ ไม่ได้ๆ มันต้องได้ดิ เราก็ขอเวลาพักทำสมาธิก่อนคนเดียว และเราคิดแบบตอนที่ถ่ายฉากอื่นๆ ที่หม่อมให้เราคิดว่าเราเป็นเคน กระทิงทองอยู่แล้ว บทเราก็ซ้อมมาแล้วก่อนถ่ายทำตั้งห้าหกเดือนมันอยู่ในสมองเราแล้ว ลืมทุกอย่างให้หมดเลย อยู่กับปัจจุบัน เริ่มถ่าย ห้า สี่ สาม สองปุ๊บเริ่มเป็นเคน ลืมทุกอย่าง คิวบู๊เราซ้อมมานานแล้ว บททุกอย่างเราก็ผ่านมาแล้ว ลืมให้หมด ลืมคิวบู๊เลย เอาเว้ย คิวบู๊ลืมไป ต่อยอะไรไม่สนล่ะ ลืมให้หมด ห้า สี่ สาม สองปุ๊บๆ ไปเองหมดเลย สุดท้ายออกมาได้ดีกว่าตอนที่เราไปกังวลเยอะมาก คือออกมาตามที่ซ้อมไว้เลย ตามที่วางไว้เลยคือทุกอย่างได้ตามที่หม่อมหวังไว้ ตามที่ส่งเราไปซ้อมและก็ตอนซ้อมก่อนหน้าถ่ายทำเนี่ยเราทำได้ พอมาถ่ายคิวเทคนี้เราก็ทำได้เหมือนที่เราซ้อม เพราะว่าเราสามารถใช้เทคนิคใช้การอยู่กับปัจจุบันที่หม่อมสอนมาเนี่ยมาอยู่กับฉากนี้ได้ นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดแล้วในเรื่องนี้ที่ผมเคยเจอมาตั้งแต่ถ่ายทำครับผม
          อีกปัญหาหนึ่งก็อาจจะเป็นปัญหาที่เล็กลงมากหน่อย ก็คือปัญหาตอนวัยชรา แต่ปัญหาเทคนิคอะไรอย่างนี้ก็จะเป็นแบบเดียวกันคือ เรากังวลกับตัวเองว่าเราต้องไปเล่นเป็นคนแก่อายุแปดสิบเก้าสิบเราจะทำได้เหรอ แต่พอได้ซ้อมก่อนถ่ายทำ ซ้อมเฉพาะคิวคนแก่โดยเฉพาะเลยว่าจะเป็นงี้ๆเพิ่มวิธีคิดเข้าไปอีก เพิ่มวิธีการแสดงออกมาเป็นการใส่วิธีคิดแบบคนแก่เข้าไป ก็ลองคิดดูและก็ลองแชร์ความคิดดูที่เราดูจากคุณปู่ของเราเนี่ย แชร์ลงไปในตัวละครตัวนี้ รวมถึงเราเอาจากคุณตามาด้วย เพราะคุณตาเราก็อายุประมาณแปดสิบแล้ว แต่คุณตาเรายังแข็งแรงอยู่ ยังขับรถสปอร์ตไปที่ต่างๆ อยู่เลย ท่านยังแข็งแรงอยู่ และก็เล่าให้หม่อมฟัง หม่อมก็บอกว่าเนี่ยแหละเคนเป็นแบบนี้แหละ ถึงแม้ว่าอายุจะแก่แล้ว แต่จิตใจยังเด็กอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ สภาพจิตใจยังดีอยู่ครับ คือจะใช้เทคนิคจากคุณตาคุณปู่ผสมกัน เวลาถ่ายทำก็ใช้เทคนิคเดิมจากคิวบู๊กับทุกๆ ตอนคือลืมให้หมด ทุกอย่างอยู่ในหัวเราหมดแล้ว มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ

          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้
          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้ผมขอพูดในส่วนที่เป็นของผมเองนะครับ ในส่วนของนักแสดงคนอื่นผมไม่ได้เข้าไปดู ไม่เข้าไปยุ่ง คือไม่เข้าไปดูเลย ผมก็จะนอนเวลาเขาถ่ายกันผมไม่อยากดู ส่วนของผมแล้วเนี่ย ผมก็จะมีฉากอีโรติกของผมหลักๆ ก็จะมีกับผู้หญิงสามคนด้วยกันครับ ก็จะมีสายสร้อย สายสร้อยก็เหมือนคู่ขาเลยล่ะ เป็นคู่ขาเลยในเรื่องก็จะมีฉากกับสายสร้อยประมาณสองสามฉาก เหมือนเหตุการณ์มันดำเนินไป ก็คือฉากอีโรติกของหม่อมเนี่ยทุกเรื่องก็คือมันจะมีเหตุผลของมัน เราไม่ได้ต้องการที่จะมาขายอีโรติกซีนหรือว่าขายหนังที่เป็นแบบนี้ เป็นการสอนมากกว่า เพราะหม่อมบอกว่าการที่กิจกรรมเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ทำไมมนุษย์ต้องทำแบบนี้ หม่อมสอนตลอดว่าเป็นกิจกรรม สิ่งที่มนุษย์ทำแล้วเกิดเราขึ้นมาไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีสิ่งที่แย่ แต่บางคนมองมันว่าแย่ ผมอยากให้ลองคิดตรงนี้ดูว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันที่ทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ในเรื่องมีฉากนี้ขึ้นมาปุ๊บก็จะมีคุณแก้วมาเห็น ก็จะเกิดเหตุการณ์ต่อไปขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณแก้วมาเห็นแบบนี้ปุ๊บ คุณแก้วซึ่งเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเลย ยังเด็กอยู่และมาเห็นเรื่องแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับแก รวมถึงคุณจันก็เป็นผู้ชายบริสุทธิ์เหมือนกันมาเห็นเราสังวาสกับสายสร้อย จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณจัน มันก็ทำให้ชีวิตของตัวละครอีกตัวที่เข้ามาเห็นมาพัวพันเข้ามาเกี่ยวข้องเนี่ยเปลี่ยนไป หรือว่ามีอะไรเข้ามาเพิ่มมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่ตามเหตุการณ์ที่หม่อมเขียนขึ้นมาอีก
          ถ้าถามว่าของผมเยอะไหม ก็ไม่เยอะเท่าไรนะ ถ้ามองไปตามเรื่องนะครับ ผมว่าลองดูก่อนเวลาที่คุณดูหนังจบทั้งเรื่องแล้วเนี่ย ฉากพวกเนี่ยมันแรงไปไหม มันเยอะไปไหมค่อยตัดสินหลังจากที่คุณดูหนังจบก่อน อย่าเพิ่งไปตีความหรือคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ ใจเย็นๆ และก็คอยไปชมในโรงภาพยนตร์ดีกว่า

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ ”มาริโอ้” เนี่ย ต้องบอกก่อนเลยผมกับมาริโอ้ค่อนข้างที่จะสนิทกันประมาณหนึ่ง เพราะเรารู้จักกันมาหลายปีมาก ตั้งแต่วัยรุ่นวัยทรงผมสกินเฮดเหมือนกัน ตอนนั้นเคยไว้ผมสกินเฮดเหมือนกัน และก็แคสโฆษณาก็เจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว ก็จะเจอกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็จะคุยกับโอ้มาตลอด เหมือนเวลาบางทีโอ้ก็มาคนเดียวเวลาไปแคส ผมก็ไปแคสคนเดียวเหมือนกัน เวลาเจอกันเราก็นั่งแบบนั่งรอคิวนั่งรอเรียกเบอร์เข้าไปแคส ก็นั่งรอ โอ้ก็นั่งรอเหมือนกัน เราก็พอเจอหน้าไอ้นี้กันบ่อยๆ มันมาคนเดียวตลอด ก็เริ่มแบบคุยกันเริ่มรู้จักกันจากตรงนั้น ก็เริ่มจากตรงนั้นก็ทำให้พูดคุยกันมาพอสมควร เริ่มมาสนิทกันจริงก็คือตอนเล่น “อุโมงค์ผาเมือง” ก็เจอกันที่บ้านหม่อม เราก็ย้อนพูดคุยกันถึงตอนที่แคสโฆษณาด้วยกัน ทำให้นึกย้อนกลับไปเห็นว่าทำให้มีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้น และยิ่งตอนไปถ่ายอุโมงค์ฯ และเรามีโอกาสซ้อมกับมาริโอ้ด้วย เราเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ ก็จะมีการซ้อมกันตลอดเวลาและก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นอย่างนี้ ทำให้การถ่ายทำในเรื่องนี้ที่เราเข้าฉากกับมาริโอ้ส่วนใหญ่นั้น เก้าสิบเปอร์เซนต์ของผมเนี่ยคือเข้ากับมาริโอ้เลย ตั้งแต่ถ่ายทำมาทุกคิวเนี่ยถ้าจำไม่ผิดนะครับคิวสองคิวที่ผมไม่เจอหน้าโอ้ นอกนั้นคือเจอกันทุกวันเจอกันตลอดเวลาเลย ก็จะถ่ายด้วยกันตลอด ความสนิทกันก่อนหน้าที่จะถ่ายทำเนี่ย มันช่วยให้ในหนังดูกลมกลืนและก็สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เพราะว่าในเรื่องเราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันครับ ตรงนั้นก็คือเป็นสิ่งที่โชคดี
กับพี่ชุ (ชุดาภา จันทเขตต์) เนี่ย เราก็ค่อนข้างที่จะสนิทกับพี่ชุในระดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าเรื่องที่แล้วเราก็เล่นเป็นลูกพี่ชุเหมือนกันใน “อุโมงค์ผาเมือง” ก็จะมีการพูดคุยกันตลอด รวมถึงที่บ้านหม่อมเราก็จะเจอกับพี่ชุค่อนข้างบ่อย พี่ชุก็จะเข้ามาหาหม่อมค่อนข้างบ่อยก็จะมีการพูดคุยกัน พี่ชุก็จะมีการสอนอะไรเราตลอดเวลา เพราะพี่ชุก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีคุณภาพของเมืองไทยคนหนึ่งเลยในระดับต้นๆ แกก็จะสอนผมตลอดเวลาว่า การที่เราเป็นนักแสดงทั้งการวางตัว การใช้ชีวิต แกก็จะสอนผมตลอดเวลาเลย พอเรามาเล่นเป็นแม่ลูกกันเนี่ย อย่างที่บอกคือพี่ชุสอนผมในหลายๆ เรื่อง มันก็เหมือนแม่สอนลูก เราก็จะใช้ตรงนั้นเป็นเทคนิคเวลาเล่นก็นึกถึงคำสอนของพี่ชุ ก็คือจะสนิทกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
          กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นพี่เจี๊ยบ, พี่ตั๊ก, พี่หญิง เราก็จะเจอกันที่บ้านหม่อม ในสามคนนี้เราจะสนิทกับพี่เจี๊ยบที่สุดเพราะว่าหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ชายเหมือนกัน ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน คือจะคุยกันเรื่องกีฬาเรื่องเล่นบาส เพราะว่าพี่เจี๊ยบจะเป็นคนที่เล่นกีฬาเหมือนกัน มีเทคนิคหรือจะสอนอะไร พี่เจี๊ยบก็จะสอนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการใช้ชีวิตก็คือ พี่เจี๊ยบก็มีประสบการณ์ด้านบันเทิงค่อนข้างสูง แกก็จะสอนผมอยู่ตลอดเวลา
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 05, 2012, 09:14:31 AM
          พอมาเจอพี่ตั๊ก กับพี่หญิงก็คือสองคนนี้คือจะรู้จักพร้อมๆ ไล่เลี่ยกัน พี่ตั๊กอาจจะก่อนนิดหน่อย แต่ก็จะสนิทสนมในระดับประมาณใกล้ๆ เคียงกัน จะเจอกันที่บ้านหม่อม มีการซ้อมการพูดคุยกัน และก็เหมือนเราใช้เทคนิคนี้ได้ ก็คือเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างโดยส่วนตัวจะเป็นคนที่ค่อนข้างกลัวที่จะเข้าไปคุยกับผู้หญิงจะค่อนข้างมีระยะห่าง แต่พอคุยกันไปเรื่อยๆ เนี่ยมันจะเริ่มสนิทสนมกันขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าเวลาที่ถ่ายทำ “จันดารา” เนี่ย ผมกลับใช้เทคนิคตรงที่ยังไม่ค่อยสนิทกัน ยังเป็นเพิ่งเริ่มรู้จักกัน ผมจะเอาเทคนิคตรงนี้มาใช้ที่ไม่ค่อยจะกล้าที่จะเข้าไป ค่อนข้างที่จะมีระยะห่างตรงนั้น เพราะว่าในเรื่องเนี่ยผมเป็นคนรับใช้ พี่ตั๊กก็เหมือนเป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน พี่หญิงก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน จะใช้เป็นเทคนิคตรงนั้นมาช่วย เราใช้ความเกรงใจ ใช้ระยะห่างตรงนั้นมาเป็นเทคนิคที่เล่นในบ้านครับ
อีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ โชจังที่เป็นนักแสดงจากญี่ปุ่นครับ ก็ตอนแรกก็คิดว่าเราจะไปคุยกับเขารู้เรื่องเหรอ หรือว่าเขาจะมาคุยกับเราหรอ เขาเหมือนคุยกันคนละภาษา และเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่โชเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากจริงๆ และก็จะจะชวนคุยอยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านล่ามก็แล้วแต่ เขาจะคอยคุยคอยเล่นอะไรกับผมตลอดเวลา จะมีอะไรมาแกล้ง แกจะชอบพูดบอกว่าผมหน้าตาเหมือนนักร้องที่ญี่ปุ่น แกก็จะชอบเอารูปมาให้ดูว่าเหมือนไหมๆ เหมือนใช่ไหมๆ ก็จะหาอะไรแบบนี้มาเล่นมาพูดคุยด้วยตลอดเวลา ทำให้เราสนิทกันค่อนข้างมาก โดยที่ภาษาหรือว่าอะไรเนี่ยไม่เป็นอุปสรรคเลย อย่างที่บอกว่าแกเป็นคนที่เฟรนด์ลี่และนิสัยดีมาก อยู่ด้วยแล้วแบบยิ้มตลอดเวลา เพราะแกจะชวนคุยเรื่องตลก ชวนคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้ เรื่องว่าเคยไปญี่ปุ่นไหม เคยอะไรไหมตลอดเวลา อยากให้ไปอะไรอย่างนี้ครับ พอได้ทำงานร่วมด้วยแล้วรู้สึกดีมากและก็เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงญี่ปุ่นนักแสดงต่างประเทศอะไรอย่างนี้ มาพูดคุยกับเรามาสนิทสนมกับเราด้วยก็ยิ่งเป็นเกียรติกับผมมากยิ่งขึ้น

          กรทำงานร่วมกับหม่อมน้อยเป็นอย่างไรบ้าง
          การร่วมงานกับหม่อมก็ดีครับคือ หม่อมเวลาที่ทำงานร่วมงานด้วยกับสอนจะแตกต่างกันพอสมควรครับ แต่เราก็จะมีประสบการณ์มาแล้วแหละจากเรื่องอุโมงค์ผาเมือง ที่เคยร่วมงานกับหม่อมมา ถึงแม้ว่าจะประมาณสี่ห้าฉากแต่ว่าทั้งเรื่องผมก็จะไปอยู่ด้วยกับกองทั้งเรื่องเลย คือเราจะเห็นอยู่แล้วล่ะว่าการทำงานของหม่อม และก็ช่วงเวลาที่หม่อมทำงานเนี่ยจะเป็นยังไง จะดูตรงนั้นแล้วเราไม่ไปกวน เหมือนมีระยะห่างอีกแบบหนึ่งตอนที่เรียนแอ็คติ้ง จากตอนที่เรียนแอ็คติ้งจากบ้านหม่อมก็จะเรามีอะไรเราก็สามารถพูดคุยได้ตลอดเวลา แต่พอเวลาทำงานจริงเนี่ย เราต้องดูช่วงเวลาด้วยว่าเวลาไหนเหมาะ เวลาไหนไม่เหมาะ เพราะว่าบางทีหม่อมอาจจะบรีฟทีมงานอยู่ อาจจะบรีฟนักแสดงคนอื่นอยู่ เราก็ต้องรอคิวรอคอยจังหวะครับ ส่วนตัวผมแล้วอย่างที่บอกคือเราได้เรียนแอ๊คติ้งจากหม่อมมาเป็นปีที่สี่แล้ว เราก็รู้นิสัยแกค่อนข้างมาก และก็ก่อนหน้าที่จะถ่ายทำก็มีการซ้อมค่อนข้างเยอะ ทำให้ปัญหาของการถ่ายทำเนี่ยน้อย เวลาหม่อมถ่ายทำก็จะบรีฟค่อนข้างน้อย เพราะว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าในฉากนี้ความต้องการของเคนเป็นอะไร ต้องการอะไร ฉากนี้จะสื่อออกมายังไงเรารู้อยู่แล้ว บางทีถ้าเกิดเราเล่นออกมาแล้วมันไม่เหมาะสม มันน้อยเกินไป มันมากเกินไป หม่อมก็จะเข้ามาบรีฟว่า เพิ่มความต้องการอันนี้อีกหน่อยนะหรือว่ามันมากเกินไปลดลงหน่อย คือเราจะใช้เทคนิคแค่นี้พูดคุยกับหม่อมในเวลาถ่ายทำ และก็เวลาถ่ายทำเสร็จก็จะมานั่งพูดคุยกันถึงสิ่งที่ถ่ายซีนวันนั้นว่าเป็นยังไง พอใจระดับไหน ควรจะแก้ตรงไหนบ้าง เราก็จะมาพูดคุยหลังจากเลิกกองวันนั้นมากกว่า

          ฉากประทับใจ
          ฉากที่ผมชอบที่สุดและก็อินมากที่สุดก็คือเป็นฉากเดียวกันเลย คือเป็นฉากที่ผมคุยเรื่องผู้ชายกับคุณจัน คือเคนจะคุยเรื่องเหมือนเป็นเรื่องการเปิดซิง การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงกับคุณจัน และคุณจันจะไม่เคย เราก็จะพูด ยุ แหย่ แกล้งให้เขาอยากลอง ให้เขาไปลองดู คือเป็นซีนนั้นที่ค่อนข้างยาวด้วย ฉากนั้นบทประมาณห้าหน้าที่ผมต้องพูดคนเดียว แต่ว่าโชคดีคือการซ้อมฉากนี้พูดได้เลยว่าเป็นฉากที่ผมซ้อมมากที่สุด และก็ตั้งใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เวลาว่างวันไหนเนี่ยเราจะเข้าไปซ้อม หม่อมก็จะเน้นฉากนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าหนึ่งเลยคือบทยาวมากห้าหน้า ตอนแรกกลัวมาก คนบ้าอะไรจำบทห้าหน้าได้วะ พูดคนเดียวด้วย บางทีมาริโอ้ก็ตอบนะครับว่า “เหรอ”, “จะเป็นอย่างนั้นจริงหรอ”, “และใครมันจะยอมล่ะ” คือเป็นประโยคนิดๆ แต่เราเนี่ยสี่ห้าประโยค โอ้ ตายๆ ขอบทกลับไปท่องได้ไหมครับหม่อม ผมจะไปท่องจะพยายามท่องเลย หม่อมบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้องกลับไปท่อง เชื่อหม่อม ซ้อมบ่อยๆ เดี๋ยวมันเข้าหัวเองและก็จะเป็นธรรมชาติมากกว่า เราก็เชื่อหม่อม เวลาถึงบ้านหม่อมซ้อม เดินเอามือปิดประตูออกจากหม่อม ปิดประตูรถ ลืมไปเลยว่าเราซ้อมอะไรมา ลืมบทนั้นไปเลย ไอ้ห้าหน้านั้นลืมไปให้หมด กลับเข้าบ้านหม่อมซ้อมใหม่ ออกจากบ้านลืม ทำอย่างนี้เป็นเวลาตั้งแต่ซ้อมตอนแรกยันก่อนเปิดกล้อง ซ้อมบทนี้เรียกได้ว่าบ่อยมาก ตั้งใจมากและก็กดดันมาก และก็เรียกได้ว่าทุกอย่างเนี่ยทุ่มกับฉากนี้สุดๆ เลย อยากให้มันออกมาดีที่สุดครับ และเวลาพอถ่ายทำจริงๆ เนี่ยใช้เวลาถ่ายทำแป๊ปเดียว ตอนแรกคิดจะนาน แต่ห้าหน้าแป๊บเดียวเสร็จคืนนั้น แบบสี่ห้าทุ่มเลิกละ เพราะว่าถ่ายเร็วมาก ด้วยความที่เราซ้อมมาก่อนค่อนข้างเยอะ และก็ตั้งใจมาก แต่ว่าพอเวลาถ่ายทำจริงเนี่ย เราก็ใช้เทคนิคเดิมที่หม่อมสอนให้ลืมให้หมด ลืมบทไปเลย ห้าหน้าก็ลืมมันให้หมด ห้า สี่ สาม สอง แอ็คชั่น เราก็พลิ้วตามของเราไปเลย ตอนซ้อมในห้องคือเราปรับมาแล้วค่อนข้างเยอะ การบล็อคกิ้งต่างๆ ความคิดของเราที่จะพูดถึงคำๆ นี้ พูดถึงฉากๆ นี้ พูดถึงประโยคนี้ เราได้ไตร่ตรองและคิดมาแล้ว พอถ่ายทำจริงมันก็ราบรื่นแป๊บเดียวเสร็จ เป็นฉากที่ประทับใจมากและตั้งใจมากอยากให้ลองชมฉากนี้มากๆ เลยครับ

          ความน่าสนใจและความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้
          ความน่าสนใจและโดดเด่นผมว่าหลายจุดมากนะครับ อย่างแรกเลยคือตัวละครที่ผม และมาริโอ้เล่นตั้งแต่เด็กยันแก่ นั่นก็เป็นจุดน่าสนใจว่านักแสดงอย่างเราจะทำได้ไหมเป็นการท้าทายที่สูงมาก สูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ บทนี้เป็นบทที่ยากที่สุดเท่าที่เคยรับมาเลยก็ว่าได้ มันท้าทายมากและก็น่าสนใจมาก รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีช่วงระหว่างระอายุมากนักเท่าผม สิบเจ็ดยันเก้าสิบหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อดำเนินเรื่องผ่านไปแล้วเนี่ย อย่างพี่ตั๊ก พี่หญิง พี่เจี๊ยบ และคนอื่นๆ ช่วงเวลามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อาจจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นหกสิบปีเหมือนผม แต่ว่าสิบปีเนี่ยคนเรามันก็มีการเปลี่ยนเหมือนกัน ทำให้คาแร็คเตอร์ของตัวละครแต่ตัวละตัวมันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมาก และก็แต่ละช่วงเวลามันก็แตกต่างกันไปอีก ทำให้คาราคเตอร์ของตัวละครนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากตลอดเวลา อยากให้ลองชมตรงนี้ว่ามันแตกต่างกันยังไง มันพลิกกันยังไง อยากให้ติดตามจุดที่น่าสนใจจุดนี้
          อีกจุดหนึ่งก็คือไม่พูดก็ไม่ได้คุณโชที่เป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่มาเล่นด้วยครับ ก็คือการที่เราจะสื่อสารมันค่อนข้างยากอยู่แล้ว ตอนแรกหม่อมบอกว่าให้พูดภาษาญี่ปุ่นก็ได้เดี๋ยวไปพากย์ทับเอา แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะท่องภาษาไทยมา พูดเป็นคำภาษาไทยแต่ว่าอาจจะไม่ชัด แต่พอเวลาพากย์แล้วเนี่ยปากมันตรงเขาบอกว่าจะเนียนกว่า มันจะสวยกว่า งานมันจะออกมาดีกว่า ซึ่งเขาทุ่มเทกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก มันเป็นจุดที่ผมว่าเป็นตัวอย่างนักแสดงเลยก็ว่าได้ที่มีความตั้งใจที่จะเล่นหนังหรือว่าอาจจะไม่ใช่เป็นตัวอย่างของนักแสดงอย่างเดียว เป็นตัวอย่างของคนทำงาน เป็นบทเรียนของทุกๆ คนว่า อะไรที่เรามีความตั้งใจหรืออยากจะทำมันแล้วเนี่ยไม่ว่าอะไรเราก็ทำได้ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจและก็ใส่ใจกับมันจริงๆ นั้นก็เป็นจุดที่น่าสนใจที่สอนเราอยู่ตลอดเวลาที่ทำหนังเรื่องนี้ครับ
          และอีกอันก็คือเรื่องฉาก ผมบอกได้เลยว่าตอนแรกเลยเนี่ย ที่ผมไปถ่ายทำที่บ้านไก่คู่ ที่ราชบุรีเนี่ย ก็บ้านสมัยก่อนปกติ หลังใหญ่ๆ มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ มีมุมห้องเป็นแบบสมัยก่อนมีห้องหลายๆ ห้อง ห้องน้ำก็สมัยก่อน ตามความคิดผมว่าก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าบ้านอื่น แต่พอเวลาผ่านกล้องแล้วเนี่ย เฮ้ย...ทำไมมันสวยจัง ทำไมมันสวยขึ้น มันเป็นบ้านสมัยก่อนแต่มันมีความทันสมัย ผมอยากให้ไปดูว่ามันเป็นบ้านหลังนี้มันถ่ายละครก็หลายเรื่อง ถ่ายหนังก็หลายเรื่องแล้วเนี่ย แต่เวลาผมดูผ่านกล้องแล้วเนี่ย ผมลืมเรื่องอื่นไปเลย ผมว่ามุมที่หม่อมเลือกมันค่อนข้างจะแหวกแนวแตกต่างจากละครและก็หนังเรื่องอื่นๆ ที่เคยมาถ่ายทำ มันทำให้บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านของคุณหลวงวิสนันท์จริงๆ ในเรื่องเลย เพราะว่าไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนและก็สวยงามมาก รวมถึงพร็อพต่างๆ ที่เข้ามาแต่งเติมเสริมแต่งในเรื่องนี้สร้างขึ้นมาใหม่ การทาสีบ้านใหม่หรือว่าพร็อพเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยก่อนที่เป็นของกระจุกกระจิกมาใส่ล้วนแต่งเติมให้ฉากนั้นดูอลังการมากยิ่งขึ้น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากอีกจุดหนึ่ง
          ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องเลยเนี่ย มีคนมาถามผมว่าหนังเรื่องนี้ประเภทไหน จะว่าเป็นอีโรติก มั้ยมันก็เป็น เป็นดราม่ามั้ยมันก็เป็น มีแอ็คชั่นก็มี คอเมดี้ก็มี มันพูดไม่ถูกเลยว่าเป็นหนังประเภทไหนกันแน่ ผมว่ามันมีอะไรหลายๆ เข้ามาผสมกันในเรื่องเดียวกัน และเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมาก และก็ในบทที่หม่อมเขียน เป็นการตีความของหม่อม ความน่าสนใจของมันอีกอันหนึ่งก็คือ เรื่องมันดำเนินไปเรื่อยๆ ในส่วนของการแก้แค้น คุณหลวงต้องการจะแก้แค้นครอบครัวนี้ก็เลยทำแบบนี้ พอเกิดปัญหากับคุณหลวงก็โดนแก้แค้นคืน เป็นการเอาคืนกันแบบเขาเรียกว่าเป็นการรับกรรมก็ได้แบบทันใจ แบบยังไม่ทันตายเลยชาตินี้เราต้องรับกรรมที่เราทำมาแล้ว เป็นหนังที่สะท้อนชีวิตของมนุษย์มากที่ทำให้เราเข้าไปส่องกระจกก่อนดูว่าเราเป็นแบบนี้หรือเปล่า เรามีจิตไม่ดีคิดแบบนี้หรือเปล่า ส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นการสอนที่ตัวอย่างของในความไม่ดีออกมาให้คนเห็น ซึ่งตรงเนี่ยเป็นสิ่งที่เอากลับไปคิด เอากลับไปพิจารณาดูแล้วไม่ทำมัน ไม่ใช่ออกมาในหนังแล้วอยากให้ทำ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาในหนังแล้วอยากให้กลับไปคิดและไม่ทำว่าอันนี้คือตัวอย่างที่ไม่ดีนะ คุณอย่าแก้แค้น การจองเวร การจองล้างจองผลาญกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเนี่ย มันทำให้คนที่ถูกจองเวรจองกรรมต่อกันเนี่ย เขาก็ไม่มีความสุขหรอก เราที่ไปจองเวรจองกรรมเขา เราเองก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน และทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วเนี่ยพอดูหนังจบแล้วเราจะเห็นว่า สุดท้ายแล้วคนที่เป็นแบบนั้นเนี่ยก็ไม่เหลืออะไร ก็เหลือแต่ตัวคนเดียวที่โดดเดี่ยวและก็รอความตายไปวันๆ แตกต่างจากอีกคนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดี มีลูก มีหลาน มีคนรัก ทำงานสุขภาพแข็งแรง สภาพจิตใจดี พอแก่ตัวไปก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รักคอยดูแล มีความสุข จนวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีความสุขอยู่ต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง

          ความคาดหวังในหนังเรื่องนี้
          คาดหวังอะไรมั้ยมันก็ต้องมีบ้างนะครับเรื่องนี้ แต่ว่าหม่อมก็บอกเหมือนกันว่าอย่าพยายามคาดหวังอะไรมาก เพราะว่าถ้าเราคาดหวังมากมันก็จะเสียใจมาก แต่ว่าถามแล้วว่าปกติมนุษย์เนี่ยมันก็ต้องคาดหวังอยู่แล้วล่ะ เพราะว่ามันเป็นหนังเรื่องแรกเต็มๆ ตัวของเราด้วย และก็เราค่อนข้างตั้งใจ และก็ซ้อมกับมันมากเป็นพิเศษ และก็อย่างที่บอกว่าการเตรียมตัวเราเตรียมตัวเยอะมากก่อนหน้าห้าเดือนที่จะเปิดกล้องทั้งซ้อมบท ทั้งคิวบู๊ ฟิตเนส ทั้งคุมอาหารทุกอย่าง คือเราลงกับมันเกินร้อยมากๆ ก็อยากให้มันออกมาดีที่สุดและพอถ่ายออกมาแล้วเนี่ยได้ตามที่เราและหม่อมคิดไว้พอสมควร หลังจากนั้นเราได้มาคุยกับหม่อมครับ หม่อมก็พอใจในระดับหนึ่ง ผมว่าความคาดหวังของผมมันก็ถือว่าผ่านไปในระดับหนึ่งแล้ว เพราะว่าถ้าหม่อมบอกว่าผมสามารถเป็นเคน กระทิงทองได้แล้วเนี่ย ผมสามารถเข้าไปเป็นตัวละครคาแร็คเตอร์ตัวนี้ได้ ก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ไปก้าวหนึ่งแล้วแค่นี้ผมก็ภูมิใจมากแล้วที่ได้เล่นเรื่องนี้และก็ทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ เป็นเคน กระทิงทองที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 07, 2012, 03:32:05 PM
“หม่อมน้อย” จัดเต็มฉากอีโรติก “จันดารา” เกจินู้ด ยืนยันเลิฟซีนไม่อนาจาร



          ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมากว่าฉากอีโรติกหรือเลิฟซีนในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) จะออกมาเป็นอย่างไร และจะมีล้นจอจนกลบประเด็นหลักที่เป็นเนื้อแท้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปหรือไม่ ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” พร้อมด้วยเกจินู้ด “นิวัติ กองเพียร” ก็ได้ออกมาพูดถึงและยืนยันถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า ฉากเลิฟซีนมันเป็นส่วนสำคัญสำคัญส่วนหนึ่งของเรื่อง มันต้องมีแน่ๆ แต่ทุกฉากที่ออกมาล้วนแล้วแต่มีความหมายและเจตนารมณ์ในการนำเสนอที่งดงามเป็นศิลปะและไม่อนาจารแต่อย่างใด

          (หม่อมน้อย) “ฉากเหล่านี้ต้องมีแน่ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญต่อเรื่องราวและบ่งบอกลักษณะนิสัยตัวละคร และมีผลกระทบต่อตัวละครมาก และทุกฉากเลิฟซีนเหล่านี้จะมีความหมายหมด คือเรื่องนี้จะมีฉากอีโรติกมากมายจริงๆ มากกว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ ด้วยซ้ำ และก็แฝงความหมายที่ไม่เหมือนกันเลย แต่ละฉากมีจุดประสงค์ของมัน บางฉากเพื่อการแก้แค้น บางฉากเพื่อจะต่อรองทางการเมือง บางฉากทำเพื่อความสนุก บางฉากทำเพื่อความรักอะไรทำนองนี้ จะบอกว่าโป๊ก็โป๊จริงๆ แต่ผมก็ตั้งใจถ่ายทอดความงามด้านวรรณศิลป์ในหนังสือให้ออกมาเป็นความงามของหนังในทุกๆ องค์ประกอบของหนัง และนักแสดงในฉากอีโรติกนี้ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่จริงๆ เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเป็นศิลปะที่สุดและเหมือนจริงที่สุด เราต้องการทำหนังคลาสสิก เป็นศิลปะ เราไม่ต้องการทำหนังยั่วยุทางกามารมณ์ แม้จะพูดถึงเรื่องกามารมณ์เยอะมากก็ตาม แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นกระจกสะท้อนให้คนที่ได้ชมแล้วบางทีอาจจะเห็นตัวเองในหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วมันพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์เราดีๆ นี่เอง”

          (นิวัติ) “คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้เลยครับ โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่จะถ่ายทอดไปสู่สังคมไทย หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ปอกเปลือกสังคมไทยอย่างแท้จริง ผมเห็นธรรมชาติเนื้อแท้ของมนุษย์ที่ถูกถอดออกมาได้อย่างดีมาก ถอดออกมาด้วยความงาม ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือแค่ความสามารถเท่านั้น ผมว่าเป็นหนังไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย ผมดูแล้วผมรู้สึกได้ถึงทุกอย่างที่อยู่ในนั้น มันทำให้ผมนิ่งได้ หนังเอาผมอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ พอดูจบผมบอกหม่อมเลยว่า ฉากสังวาสทั้งหมดในหนังไม่ได้ทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศเลย เพราะอะไร อย่าเพิ่งงงนะครับ เพราะหนังอะไรก็แล้วแต่ที่มีฉากประเภทนี้แล้วทำให้คนดูรู้สึกทางเพศมันก็คือหนังอนาจาร แต่กับเรื่องนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ผมเห็นแต่ความสวยงามในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้อย่างนี้แล้ว คนก็จะเข้าใจกันได้ว่าธรรมชาติของการสังวาสมันคือความงดงาม เรื่องนี้มันจะมีการสังวาสในทุกรูปแบบเพื่อจะให้เราได้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้สื่อออกมาให้เป็นความอนาจารแต่อย่างใด”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมเผยจุดเริ่มต้นแห่งฉากอีโรติกที่มาพร้อมเนื้อหาสาระ 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 07, 2012, 03:33:47 PM
“จันดารา ปฐมบท” เปิดรอบปฐมทัศน์โลกสุดยิ่งใหญ่ กองทัพสื่อมวลชน-คนบันเทิงแห่ชมแน่นขนัด








    
           ในที่สุด “จันดารา ปฐมบท” ภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ที่มีผู้ชมรอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ก็ได้ฤกษ์เปิดรอบปฐมทัศน์โลก (World Gala Premiere) สุดยิ่งใหญ่ไปแล้วเมื่อค่ำคืนวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชน, คนบันเทิง และแขกรับเชิญผู้ทรงเกียรติหลากหลายแขนงที่มาร่วมชมกันอย่างคึกคักจนโรงกว้างขวางดูแคบไปถนัดตา

          เริ่มเปิดงานด้วยการเดินพรมแดงสุดตระการตาของเหล่านักแสดง นักร้อง คนบันเทิงที่มาร่วมให้กำลังใจในภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น สินจัย เปล่งพานิช, ถกลเกียรติ วีรวรรณ, นพพล โกมารชุน, ปรียานุช ปานประดับ, ธีรภัทร์ สัจจกุล, อรุโณชา ภาณุพันธุ์, แอฟ-ทักษอร เตชะณรงค์, เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร, อรนภา กฤษฎี, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, สมศักดิ์ ชลาชล, โดม-ปกรณ์ ลัม, พรชิตา ณ สงขลา, แบงค์-ปรีติ บารมีอนันต์, เบน-ชลาทิศ ตันติวุฒิ, คิว วงฟลัวร์-สุวีระ บุญรอด, มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์, พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร, เจี๊ยบ-โสภิตนภา ชุ่มภาณี, ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์, สน-ยุกต์ ส่งไพศาล, วิว-วรรณรท สนธิไชย, ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล, ดารณีนุช โพธิปิติ รวมถึง แก๊ง The Star-อาร์, แก้ม, สิงโต, กัน, ตูมตาม, โดม, แกรนด์, โตโน่, ซิลวี่, กวาง, แอมป์, แกงส้ม, ฮั่น, แคน, ฮัท, เฟรม, สต๊อป ฯลฯ

ต่อด้วยการเปิดตัวสุดยอดทีมนักแสดงนำจันดาราด้วยการเดินพรมแดงทีละคู่สู่เวทีใหญ่ คือ รัดเกล้า อามระดิษ-ปิยะ เศวตพิกุล, สาวิกา ไชยเดช-ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, บงกช คงมาลัย-อเล็กซ์ ทวีศักดิ์ ธนานันท์, รฐา โพธิ์งาม-ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, โช นิชิโนะ-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, มาริโอ้ เมาเร่อ-ศิเรมอร อุณหธูป (ทายาทคุณประมูล อุณหธูป เจ้าของบทประพันธ์) และปิดขบวนด้วยผู้กำกับชั้นครู ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

          จากนั้นจึงเป็นการเปิดแชมเปญเฉลิมฉลองโดยประธานในพิธี หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร, แขกผู้มีเกียรติ, ผู้กำกับ, นักแสดง และทีมงานภาพยนตร์ ก่อนที่จะถ่ายภาพรวมเป็นที่ระลึกร่วมกัน

          ปิดงานด้วยการโชว์เพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” โดย หญิง รฐา ที่แสนไพเราะเป็นการส่งท้ายงานอย่างน่าประทับใจ

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมปลดเปลื้องเปลือกของมนุษย์ด้วยวิปริตแห่งกรรมตัณหา 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:48:39 PM
“ตั๊ก บงกช” สุดปลื้ม ทุกเสียงชื่นชม “สุดยอดการแสดงแห่งปี” ใน “จันดารา ปฐมบท”



          หลังจาก “จันดารา ปฐมบท” ออกฉายไม่ทันไรก็เรียกกระแสชื่นชมจากคนดูถึงความสนุกและคุณภาพของหนังในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันในการแสดงสุดท้าทายของนักแสดงสาวมากฝีมือ “ตั๊ก บงกช คงมาลัย” ในบท “น้าวาด” ผู้เลี้ยงดูจัน ดาราซึ่งกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิดว่าเป็น “สุดยอดการแสดงแห่งปี” เลยทีเดียว

          สาวตั๊กได้พูดถึงเสียงตอบรับในครั้งนี้ว่า
          “ดีใจมากค่ะที่ส่วนใหญ่ชอบการแสดงของตั๊กในเรื่องนี้ มันเหมือนเป็นกำลังใจให้ตั๊กที่จะทำงานชิ้นต่อๆ ไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พูดไปแล้วบทนี้เป็นบทที่ยากนะคะเพราะต้องเก็บรายละเอียดของตัวละครอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันเราก็แสดงออกมามากไม่ได้ ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ส่วนที่หลายคนสงสัยกันว่าทำไมตั๊กถึงกล้าแสดงบทที่ต้องโชว์สรีระมากขนาดนี้ ตั๊กบอกได้เลยว่าตั๊กเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวหม่อมน้อยว่าไม่ทำให้ภาพออกมาดูไม่ดีแน่ๆ เราต้องมองข้ามจุดนั้นไปให้ได้ อีกอย่างตั๊กเป็นนักแสดงก็ต้องทุ่มเทและเต็มที่กับมัน เราต้องคิดและเป็นตัวละครตัวนี้ให้ได้จริงๆ ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้พิสูจน์ตัวของมันเองแล้ว

          ตั๊กต้องขอขอบคุณหม่อมน้อยที่เชื่อในตัวตั๊กและมอบบทที่ดีบทนี้มาให้แสดง ทำให้ตั๊กกลับมายืนบนสายการแสดงนี้อย่างมั่นใจอีกครั้ง ขอบคุณทีมงานและเพื่อนนักแสดงที่ร่วมกันสร้างทุกตัวละครให้ออกมามีสีสัน ขอบคุณทุกกำลังใจจากแฟนๆ ที่เข้าใจในจุดยืนทางการแสดงของตั๊ก ทำให้ตั๊กมีพลังที่จะก้าวเดินและสร้างผลงานที่ดีต่อไป ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้ผู้ชมพิสูจน์ทุกคุณภาพแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 14, 2012, 03:49:42 PM
กระแสบวกทะลัก!!! “จันดารา ปฐมบท” หลากหลายเสียงคนดังชื่นชมคุณภาพ หนังดูสนุก ครบรส ได้แง่คิด ห้ามพลาด


 
          เหล่าคนบันเทิงที่เพิ่งได้ชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา ปฐมบท” ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ กับรอบปฐมทัศน์โลก (World Gala Premiere) ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันถึงคุณภาพคับจอในทุกๆ องค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ “ดูสนุก ครบรส ได้แง่คิด งานสร้างตระการตา สุดยอดการแสดงและการกำกับ” ถือเป็นภาพยนตร์แห่งปีที่ไม่ควรพลาดในการชม

          (นก สินจัย) “เป็นหนังที่สวยงามน่าติดตามชมมากเลยค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าพี่น้อยจะตีความหรือขยายเรื่องไปทางไหน แต่พอมาดูแล้วพาเราให้ติดตามได้โดยไม่อยากให้จบเลย นกยังไม่พูดถึงตัวจันดาราดีกว่าเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรอีกเยอะในภาคต่อไป ส่วนภาคนี้นกชอบน้าวาด นกว่าตั๊กทำได้ดี มีความเป็นธรรมชาติ ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็ดีเช่นกันค่ะ นกว่าคนเราต่างก็มีรายละเอียดในจิตใจนะคะ คือหนังมันทำให้เห็นว่าที่มาที่ไปของคน การเลี้ยงดู สายเลือดมันก็มีผลต่อการเติบโต เราก็สงสัยว่าทำไมต้องพูดถึงเรื่องเซ็กส์มันมีอะไรนักหนา แต่พอเรามาดูแล้วก็เข้าใจ ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของปมอะไรบางอย่างในจิตใจที่มันนำไปสู่การเอาออกมาในรูปแบบหนึ่ง ก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ ทำไมจันดาราถึงต้องพูดถึงเรื่องเซ็กส์ ตอนเด็กๆ เคยอ่านหนังสือก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดแต่เรื่องเซ็กส์ มันสำคัญหรือต้องพูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ พอมาดูหนังของพี่น้อยก็รู้สึกว่ามันขยายละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปมากขึ้น พอดูจบก็อยากดูภาคสองต่อเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปค่ะ”

          (บอย ถกลเกียรติ) “ดูแล้วสงสารชะตาชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งมากๆ ครับ การแสดงของทีมนักแสดงทำได้ดีมากๆ นะครับ มาริโอ้และนิว ชัยพลแสดงกันเก่งมากๆ และสิบนาทีสุดท้ายนี่ตรึงเราอยู่จริงๆ ครับ แล้วก็อยากดูตอนต่อไปแล้วครับว่าชะตาชีวิตของเขาจะไปเจออะไรอีก”

          (เอกชัย เอื้อครองธรรม) “รู้สึกประทับใจหนังมากครับ ประทับใจความสมบูรณ์แบบในองค์ประกอบหนัง มีความอลังการของอารมณ์ ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้หม่อมก็โชว์ให้เราเห็นว่ามีอารมณ์ขัน มีความสนุกสนาน ดูแล้วลื่นไหล แต่ก็ยังมีที่มาที่ไปของดราม่า ภาพนู้ดก็มีองค์ประกอบทางศิลป์ที่สวยงาม รู้สึกคุ้มครับ มาริโอ้เล่นน้อยแต่มีความลึกนะครับ เป็นหนังที่ทั้งสะเทือนใจ ตลก สนุก ฉากเซ็กส์ มีครบทุกรสจริงๆ ผมว่ามันหายากนะครับที่จะมีหนังไทยซักเรื่องที่ครบองค์ประกอบของการทำภาพยนตร์อย่างนี้ เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ”

          (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) “หนังที่มีอีโรติกผสมเข้ามาอย่างกลมกลืนอย่างนี้เนี่ย ไม่มีมานานแล้ว การแสดงของนักแสดงทุกคนมัดใจแล้วทำให้เราคล้อยตาม กระทบความรู้สึกมากๆ หม่อมน้อยมีสไตล์การกำกับที่ชัดเจนอยู่แล้ว มีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากฉบับที่ผ่านมาแน่นอนอยู่แล้ว และเนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้ามาก็เต็มอิ่มจริงๆ ชอบการแสดงของมาริโอ้มากๆ มันกระทบใจเรามากๆ เลย”

          (ก้องเกียรติ โขมศิริ) “ดูจบแล้วก็ชอบเลยครับ ผมว่าหม่อมแตกฉานและชัดเจนในการตั้งคำถาม คือจริงๆ ผมอยากให้มาดูเองเลยว่าหนังมันเป็นยังไง อันดับแรกเลยคุณจะรู้ว่ากามกิเลสคืออะไรอย่างชัดเจน ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ขายโป๊หรือเปล่า แต่พอดูจบแล้วจะรู้เลยว่ามันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ ผมว่ามันเป็นหนังอีโรติกที่เราไม่ได้เห็นกันมานานในประเทศนี้นะครับ ผมว่าหม่อมทำได้งามมากๆ ครับ มองข้ามเรื่องเซ็กส์ไป เรื่องนี้มันพูดถึงมนูษย์ กิเลสของคนอย่างชัดเจน พูดไปแล้วภาพโป๊ทั้งหลายแหล่มันก็เป็นแค่หน้าวัด แต่เนื้อหาจริงๆ ของมันอยู่ในอุโบสถ ผมว่าตั๊กเล่นดี ผมรู้สึกว่าภาคนี้มันเป็นภาคของจันกับน้าวาด มันเป็นความอบอุ่นเดียว สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกดีมากๆ เลยก็คือ เราเคยสงสัยว่าคนเราจะทำเลิฟซีนที่จะเหนือกว่าเซ็กส์ไปสู่ความรู้สึกของแม่ได้อย่างไร ซึ่งหม่อมทำได้ ก็อยากให้มาดูกันครับ”

          (วราพรรณ หงุ่ยตระกูล) “นักแสดงทุกคนเล่นดีหมดเลย ภาคแรกนี้สามารถปูพื้นตัวละครให้เห็นปมของทุกคนได้อย่างดี เฉลี่ยบทบาทได้ดี ถ้าตั้งใจทำอีโรติกได้งดงามขนาดนี้บนแผ่นฟิล์มก็ทำเถอะค่ะ หม่อมน้อยทำได้งามมาก ศิลปะในการเห็นเรือนร่างคนเป็นยังไง เรื่องนี้ไม่ธรรมดาค่ะ มันมีที่มาที่ไป ไม่ช่อยู่ดีๆ จะโป๊จะเปลือยท่าเดียวค่ะ”

          (อ้วน รีเทิร์น) “หนังเอามุมมืดของมนุษย์มาตีแผ่ได้เป็นศิลปะมากที่สุด ภาพสวย ดูแล้วเหมือนเราเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นเลย พี่ชอบและอินกับบทน้าวาดมากที่สุด ไม่คิดว่าตั๊ก บงกช จะแสดงได้ดีขนาดนี้ หลายคนคิดว่ามีแต่เรื่องเซ็กส์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์จริงๆ ต่างหาก”

          (แจ๊บ เพ็ญเพ็ชร) “ตัวละครจันของหม่อมจะน่าสงสารมากและเราเอาใจช่วยมากที่สุด อีกตัวคือตัวเคน ก็ช่วยลดความเคร่งเครียดลงไปได้เยอะ เป็นหนังกลมกล่อม หลายรสชาติที่ดูสนุกเลยครับ อีโรติกเป็นภาพที่นำเสนอแต่ลึกลงไปแล้วมีนมีอะไรที่สอนเราเยอะแยะเลย ดูไม่ยากเลยครับ”

          (โดม ปกรณ์ ลัม) “เรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในพฤติกรรมของมนุษย์เลยนะครับ แต่ที่เราได้ไปเต็มๆ เลยคืออรรถรสความสนุกของภาพยนตร์ที่เข้มข้นมากนะครับ ผมชอบคาแร็คเตอร์ จัน ของมาริโอ้มากๆ ผมว่าเขาได้พัฒนาฝีมือการแสดงไปอีกขั้นหนึ่งจริงๆ ครับ มีชั้นเชิง วิธีการวางอารมณ์ของตัวละคร การพัฒนาอารมณ์ของตัวละครอย่างแยบยล รู้สึกชื่นชมโอ้มากครับ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนะครับ ถ้าคุณมองแค่ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเรื่องของเพศคุณก็จะได้แค่นั้น แต่ถ้าคุณมองให้ลึกลงไปกว่านั้นมันตีแผ่พฤติกรรมด้านมืดของจิตใจของคน มันจะสะท้อนถึงตัวคุณเองด้วยว่า จริงๆ แล้วคุณมีด้านมืดอย่างนั้นอยู่บ้างหรือเปล่านะครับ มันเป็นหนังที่เหมือนกับกระจกที่สะท้อนถึงความเป็นตัวเองนะครับ”

          (ตูมตาม เดอะสตาร์7) “หนังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่อยู่กับว่าเราจะงัดมันมาออกมาใช้อย่างไร เรื่องราวของคนกับเซ็กส์มันใช้ได้กับหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องการเมือง เรื่องภายในบ้าน เซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สามารถนำไปสู่จุดต่างๆ ได้ หนังเรื่องนี้มันสอนเราทุกอย่าง มันมีเหตุผลมารองรับการกระทำต่างๆ เรื่องอีโรติกไม่น่าจะเป็นประเด็นหลัก แต่มันน่าจะเป็นเรื่องการเข้าใจถึงการเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง มันทำให้เราย้อนกลับมาดูตัวเองได้ว่าชีวิตของเราจริงๆ คืออะไรกันแน่”

          (มอส ปฏิภาณ) “จันดาราของหม่อมน้อยเป็นหนังที่ครบรสมากครับ เป็นอีโรติกที่คลาสสิกครับ เรื่องเข้มข้นตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งช่วงท้ายนี่ผมลุ้นไม่ให้มีเรื่องเกิดกับมาริโอ้เลยครับ และผมก็ชอบการแสดงของหญิงในบทคุณบุญเลื่องมากนะครับ เล่นได้สมบทบาทดีครับ”

          (แฟรงค์ ภคชนก์) “ผมชอบความละเมียดละไมของหนังที่ถ่ายทอดถ้อยคำและวลีอันไพเราะออกมาเป็นภาพอันสวยงามได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องอีโรติก แต่มันเป็นศิลปะที่ละเมียดละไมมากครับ มาริโอ้เล่นได้ดีมากในบทจัน ดาราครับ นิว ชัยพลก็เล่นได้ดีมากเช่นกันครับ มีทั้งความน่ารัก ความตลก ทำให้เราหัวเราะได้ ตัวละครทุกตัวก็แสดงได้ดีแทบทั้งนั้นเลยครับ ทั้งคุณบุญเลื่องที่เป็นผู้หญิงที่มีสีสัน น้าวาดซึ่งเป็นผู้หญิงไทยที่วางตัวเองได้น่าเกรงขามและเอาอยู่ น้าวาดนี่รักเลยครับ”

          (สน ยุกต์) “หนังหม่อมน้อยที่ทำมาผมไม่ผิดหวังเลย เรื่องนี้ผมก็ชอบมากๆ เลย ดูสนุกมาก นักแสดงก็เล่นกันดีทุกคนเลย คาแร็คเตอร์ที่ชอบเป็นพิเศษคือ ตัวเคน กระทิงทองของนิวที่ใสๆ กวนๆ ครับ คือผมเป็นเพื่อนกับนิวนะฮะ ผมก็เลยรู้ว่า ตัวจริงนิวไม่ได้เป็นอย่างในเรื่องเลย แต่พอแสดงปุ๊บเขาก็เล่นได้พลิ้วมากๆ เลย ทุกองค์ประกอบในหนังหม่อมน้อยจะละเอียดและพิถีพิถันในงานสร้าง เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นครับ”

          (เบนซ์ พรชิตา) “เรื่องนี้ในเวอร์ชั่นหม่อมน้อยจะละเอียดมาก ที่บอกว่าต้องแบ่งเป็น 2 ภาค เบนซ์เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องแบ่ง เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจในตัวละครมากขึ้น และต้องบอกเลยว่า หม่อมน้อยทำได้ละเอียดมาก ทุกตัวละครมีปมในการกระทำทั้งหมดว่ามันเกิดจากอะไร ซึ่งเบนซ์ดูแล้วชอบมาก ประทับใจมาก เป็นหนังอีกเรื่องที่น่าจะถูกใจหลายๆ คนเลยค่ะ ชอบคาแร็คเตอร์ของโอ้กับนิวมาก นิสัยต่างกันแต่มาเป็นเพื่อนรักกัน เบนซ์ว่ามันเป็นคาแร็คเตอร์ที่คนดูจะต้องจดจำ ต้องชอบเค้า เพราะมีเสน่ห์มากค่ะ ที่หม่อมเคยสัมภาษณ์ว่าเด็ดทุกฉาก ใช่เลยค่ะ มันเด็ดทุกฉากจริงๆ ค่ะ”

          (แอฟ ทักษอร) “ก็เป็นหนังระดับคุณภาพของผู้กำกับระดับอาจารย์ของเมืองไทยอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึง แอฟชอบตัวละครของมาริโอ้และตั๊ก บงกชค่ะ โดยเฉพาะตั๊กทำออกมาได้ดีมาก สามารถถ่ายอดอารมณ์ความรักออกมาได้ในหลายรูปแบบอย่างน่าประทับใจจริงๆ ค่ะ แอฟรู้สึกได้ถึงความรักแท้ๆ ของน้าวาดที่มีต่อตัวจันแม้จะไม่ใช่แม่จริงๆ แต่เค้าก็พร้อมจะปกป้องดูแลอยู่ตลอดเวลา”

          (จิระนันท์ พิตรปรีชา) “ประทับใจกับการถ่ายทอดวรรณกรรมให้ออกมาเป็นภาพบนจอได้อย่างชนิดที่ว่า อาจจะไม่ทัดเทียมกับในหนังสือที่ให้ผู้อ่านจินตนาการได้ แต่ในเรื่องนี้ก็พยายามที่จะเปิดเผยตรงนั้นและซ่อนเร้นให้เราค้นหา เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ดีค่ะ แล้วที่ประทับใจมากคือดนตรีประกอบค่ะ เรื่องนี้สมูธมากค่ะ เรื่องนี้ดูแล้วจะรู้สึกก้ำกึ่งนะคะระหว่างด้านดีกับด้านมืดของมนุษย์ เพราะว่าเรามักจะนึกถึงวรรณกรรมเรื่องนี้ในด้านตีแผ่ให้เห็นตัณหาราคะของมนุษย์ แต่ในหนังแสดงให้เห็นว่าคนยังไงก็เป็นคนไม่ว่าจะคนดีหรือคนร้ายมันก็มีจุดอ่อนที่ตรงนี้ด้วยกันทั้งนั้น”

          (สุประวัติ ปัทมสูต) “หลังจากดูหนังของหม่อมน้อยซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ดูฟรี แต่เคยบอกกับเขาว่า ไม่ต้องห่วง ยังไงก็พร้อมที่จะเสียตังค์ดูอย่างเต็มใจ และเรื่องนี้ยืนยันว่าดูแล้วไม่เสียดายตังค์ครับ”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้ผู้ชมพิสูจน์คุณภาพเต็มๆ ตาแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on September 22, 2012, 01:20:52 AM
“นิว ชัยพล” แจ้งเกิดเต็มตัว ใน “จันดารา ปฐมบท” “เสี่ยเจียง” พร้อมดันเต็มที่


 
           แจ้งเกิดอย่างสมศักดิ์ศรีกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่น่าจับตามองทันทีเมื่อภาพยนตร์ “จันดารา ปฐมบท” ออกฉายไปได้เพียงไม่นาน สำหรับ “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” ในบท “เคน กระทิงทอง” เพื่อนรักของจันดารา ด้วยความน่ารักทะเล้นแต่จริงใจและซื่อสัตย์ ทั้งยังแสดงความสามารถในการแสดงบทดราม่าและแอ็คชั่นได้อย่างเข้าถึงบทบาทเป็นที่ประทับใจ สร้างกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย ซึ่ง “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” บอสใหญ่แห่งค่ายสหมงคลฟิล์มก็ได้เตรียมภาพยนตร์เรื่องใหม่ให้เขารับบทนำอีกหลายเรื่องต่อจาก “จันดารา” ทั้งสองภาคนี้ด้วย

          “นิว ชัยพล” กล่าวถึงกระแสตอบรับในครั้งนี้ว่า
          “ผมรู้สึกตื้นตันและดีใจในกระแสตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างมากครับ ไม่เคยคาดหวังถึงขนาดนี้เลย เพราะคิดว่าทำหน้าที่ของผมเองอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะได้รับคำชมจากพี่บอย ถกลเกียรติที่ให้โอกาสผมมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้ผมภูมิใจและมีกำลังใจที่จะเสนอผลงานดีๆ ออกมาในอนาคต ผมต้องขอบคุณมาริโอ้ที่ส่งอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ผมแสดงได้อย่างลึกซึ้ง และขอขอบคุณพี่ๆ นักข่าวและแฟนหนังทุกคนที่สนับสนุนและชื่นชอบในผลงานการแสดงของผมในเรื่องนี้ครับ อย่าลืมติดตามภาคปัจฉิมบทกันต่อเร็วๆ นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

          อย่าพลาดบทบาทอันน่ารัก ทะเล้น และยียวนของ “ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” ใน “จันดารา ปฐมบท” ในโรงภาพยนตร์
Title: Re: ภาพยนตร์เรื่อง “จัน ดารา” 6 กันยายน 2555
Post by: FB on November 27, 2012, 04:10:14 PM
“จัน ดารา ปฐมบท” เดินสายฉายทั่วเอเชีย “มาริโอ้-นิว-โช” โปรโมทที่ไต้หวัน หม่อมน้อยยัน “จันดารา ปัจฉิมบท” พร้อมฉายรับตรุษจีน ก.พ. ปีหน้า




 
          หลัง จากได้เรียกเสียงฮือฮาและชื่นชมในบ้านเกิดกันไปแล้ว ล่าสุด “จันดารา ปฐมบท” อีกหนึ่งผลงานคุณภาพของ “ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ก็กำลังเดินสายฉายทั่วเอเชียทั้งสิงคโปร์ (ฉายแล้วเมื่อ ต.ค.ที่ผ่านมา), ฮ่องกง (29 พ.ย.), ไต้หวัน (30 พ.ย.), และอีกหลายประเทศที่ซื้อไปฉายแล้วอย่างเกาหลีใต้ และ ฟิลิปปินส์

          โดย งานนี้ทีมนักแสดงนำอย่าง “มาริโอ้ เมาเร่อ”, “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” และ “โช นิชิโนะ” ได้มีโอกาสเดินทางไปที่กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เมื่อวันที่ 12-14 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อร่วมโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ท่ามกลางการต้อนรับจากทีมงาน และแฟนหนังอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็นการแถลงข่าวครั้งใหญ่ที่โรงแรม Miramar Garden Hotel, สัมภาษณ์สื่อมวลชนทุกแขนง, ถ่ายแบบนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ และการพบปะแฟนคลับ พร้อมฉายหนังรอบพิเศษ Meet & Greet เป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์ Showtime Cinemas ซึ่งบัตรได้ถูกขาย Sold Out เต็มทุกที่นั่ง (300 ที่นั่ง) กันเลยทีเดียว

          หนุ่มมาริโอ้ เป็นตัวแทนออกมาเผยว่า

          “นี่ เป็นครั้งแรกที่มาไต้หวันเลยครับ ดีใจที่แฟนๆ ให้การต้อนรับอย่างดีมากตั้งแต่สนามบินกันเลย พอลงจากเครื่องออกมา โอ้โห แฟนๆ ชาวไต้หวันมารอรับที่สนามบินกันเยอะมากครับ พอมาถึงเราก็ได้ไปร่วมงานแถลงข่าวหนัง, ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไต้หวันทั้งทีวี, นิตยสาร, อินเตอร์เน็ต เรียกว่าทุกสื่อให้ความสนใจเรื่องจันดารากันเยอะมากเลยครับ แล้วก็มีไปถ่ายแบบแฟชั่น รวมถึงได้ไปเดินเที่ยวที่ตลาด Night Market ของที่นี่ ได้ชิมอาหารพื้นเมือง ได้เล่นเกมต่างๆ เหมือนงานวัดบ้านเราอะไรอย่างนี้ครับ และก็ยังมีฉายหนังรอบพิเศษสำหรับแฟนคลับที่นี่ด้วยครับ ซึ่งโอ้ได้ยินว่าตั๋วหนัง 300 ที่นั่งถูกขายหมดเร็วมากๆ ด้วยครับ ทั้งโอ้, นิว และก็โชจังก็ดีใจมากที่แฟนๆ ชาวไต้หวันให้ความสนใจกันเยอะขนาดนี้ ก็ต้องขอขอบคุณแฟนๆ และทีมงานที่ดูแลพวกเรากันเป็นอย่างดีครับ ส่วนแฟนๆ ชาวไทยโอ้ก็ยังไม่ลืมครับ ยังมี ‘จันดารา ปัจฉิมบท’ ภาคจบของหนังรอฉายอยู่ต้นปีหน้าครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ ขอบคุณครับ”

          สำหรับ แฟนหนังชาวไทยที่ถามไถ่ถึง “จันดารา ปัจฉิมบท” ภาคต่ออันเป็นบทสรุปยิ่งใหญ่ในชะตากรรมชีวิตของทุกตัวละครที่ต่างก็มีจุด พลิกผันอันมิอาจคาดเดาได้ “หม่อมน้อย” ผู้กำกับก็ได้แย้มว่า กำลังอยู่ในช่วงตัดต่อและทำโพสต์โปรดักชั่นกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อให้เป็น โปรแกรมใหญ่ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า อดใจรอกันอีกนิด ได้ชมกันอย่างแน่นอน