Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - happy

Pages: [1] 2 3 ... 2265
1
“อานน” เฉือนเพลย์ออฟ คว้าแชมป์ “เอสเอที-ไทยแลนด์ วันเดย์ ทัวร์” สนาม 5


อานน ว่องวานิช

31 พฤษภาคม 2566 – อานน ว่องวานิช เฉือนเพลย์ออฟชนะ สรัลพร เกตุสุวรรณ์ คว้าแชมป์เอสเอที-ไทยแลนด์ วันเดย์ ทัวร์ สนามที่ 5 ณ สนามเดอะ วินเทจ คลับ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังทั้งคู่จบ 18 หลุมด้วยสกอร์เท่ากันที่ 6 อันเดอร์พาร์ 66 โดยอานนคว้าแชมป์สมัยที่สองพร้อมเงินรางวัล 30,000 บาท ส่วนสรัลพร รับเงินรางวัลอันดับสองไป 15,000 บาท


การกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมกับ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย และ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) จัดการแข่งขันกอล์ฟ เอสเอที-ไทยแลนด์ วันเดย์ ทัวร์ 2023 (SAT-THAILAND ONE DAY TOUR 2023) ชิงชัย 8 รายการ รวมเป็นเงินรางวัลให้ช่วงชิง 2.5 ล้านบาท แข่งขัน ณ สนามเดอะ วินเทจ คลับ จังหวัดสมุทรปราการ โดยแชมป์ทำเงินรางวัลสะสมสูงสุดของทัวร์ยังได้รับเงินรางวัลโบนัสพร้อมสิทธิลงเล่นใน รายการไทยแลนด์ ดีเวลลอปเมนท์ ทัวร์ และรางวัลพิเศษอื่นๆ


การแข่งขันเอสเอที-ไทยแลนด์ วันเดย์ ทัวร์ สนามที่ 5 จัดขึ้น ณ สนามเดอะ วินเทจ คลับ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักกอล์ฟสนใจเข้าร่วมแข่งขัน 119 คน รวมถึงโปรกอล์ฟฝีมือดีของไทย อาทิ รัฐธีร์ ศิริธนากุลศักดิ์, ภันกร อุทัยพัฒน์, อานน ว่องวานิช, ปรัตถกร สูยะศรี รวมถึง สุรัช ทศวิชิต และ กฤติพงศ์ กำลังคลี่ สองนักกอล์ฟสมัครเล่นทีมชาติไทย


ผลการแข่งขันปรากฏว่า อานน ว่องวานิช และสรัลพร เกตุสุวรรณ์ หวด 18 หลุมเข้ามาเท่ากันที่สกอร์ 6 อันเดอร์พาร์ 66 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการเพลย์ออฟ โดยโปรแบงค์-อานน ว่องวานิช เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้พร้อมรับเงินรางวัล 30,000 บาท ส่วนสรัลพร รับเงินรางวัลอันดับสองไป 15,000 บาท ขณะที่ ปรัตถกร สูยะศรี แชมป์สนาม 4 จบอันดับ 3 ด้วยสกอร์ 5 อันเดอร์พาร์ 67 รับเงินรางวัล 10,000 บาท


สรัลพร เกตุสุวรรณ์

สำหรับรูปแบบการแข่งขันรายการ เอสเอที-ไทยแลนด์ วันเดย์ ทัวร์ 2023 เป็นการแข่งขันแบบสโตรคเพลย์ 1 วัน ภายใต้ระเบียบ ข้อบังคับ กฎ กติกา และเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการแข่งขันตามที่สมาคมกีฬากอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทยกำหนด โดยรับสมัครนักกอล์ฟเข้าแข่งขันรายการละไม่เกิน 120 คน ซึ่งนักกอล์ฟอาชีพที่จบในอันดับ 1-40 จะได้รับเงินรางวัล ทั้งนี้แชมป์แต่ละรายการยังได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันรายการ THAILAND DEVELOPMENT TOUR (TDT) ขณะที่นักกอล์ฟที่ทำเงินรางวัลสะสมอันดับที่ 1 และ 2 (ภายหลังจากทำการแข่งขันครบทั้ง 8 รายการ) จะได้สิทธิลงเล่นใน SAT-THAILAND DEVELOPMENT TOUR เป็นเวลา 1 ปี นอกจากนี้ยังมีเงินโบนัสพิเศษอีก 50,000 บาท สำหรับนักกอล์ฟที่ทำเงินรางวัลสะสมสูงสุดของทัวร์


นักกอล์ฟที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครแข่งขันได้ที่ โทร. 061-936-4939, 081-058-8158, ไลน์ไอดี @satonedaytour หรือเว็บไซต์​ www.satonedaytour.com และ Facebook: SAT - THAILAND ONE DAY TOUR

2
ไมเนอร์ฯ ร่วมกับแอกซ่าและล็อคตั้น จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและ
การออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ


               บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย บริษัท ล็อคตั้น วัฒนา อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดกิจกรรม “Group Exercise @ Minor” เพื่อส่งเสริมให้พนักงานจากไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลฯ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ‍กิจกรรมนี้นำโดย “นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร” หรือ “เทรนเนอร์มิกกี้” ที่มาร่วมสอนเทคนิคการออกกำลังกายที่เหมาะสม และความสำคัญของการออกกำลังกายเพื่อร่างกายที่แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มีโอกาสพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ และการเรียนรู้ถึงแนวทางปฏิบัติที่ดี เพื่อรักษาสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ อาคารเดอะปาร์ค กรุงเทพฯ

###

เกี่ยวกับบริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นสมาชิกของกลุ่มแอกซ่า ก่อตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2541 มีผลิตภัณฑ์และบริการประกันภัยที่ครอบคลุมทั้งประกันภัยรายบุคคลและประกันภัยรายบริษัท แอกซ่าประเทศไทยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ และมีสาขา 13 แห่งกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย

เกี่ยวกับกลุ่มแอกซ่า
กลุ่มแอกซ่า ผู้นำระดับโลกในด้านการประกันภัยและการจัดการทรัพย์สิน โดยมีพนักงานกว่า 145,000 คน มุ่งมั่นที่จะให้บริการแก่ลูกค้ากว่า 93 ล้านรายทั่วโลก ใน 51 ประเทศ ในปี 2565 กลุ่มแอกซ่ามีรายได้รวมอยู่ที่ 102.3 พันล้านยูโร กำไรสุทธิ 7.3 พันล้าน  ยูโร และมีสินทรัพย์ทั้งหมด 933 พันล้านยูโร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565

3
มายเฮลท์ กรุ๊ป ชู บริการทางการแพทย์ 4 ระบบ
ผ่านแอปพลิเคชันสุขภาพ myHealthFirst


                บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ MHG ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลชั้นนำหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ การก่อตั้งบริษัทเกิดจากแนวคิดและความตั้งใจของคุณหมอและวิศวกร ที่ได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชันสุขภาพ เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถดูแลสุขภาพได้ทุกที่ มีประวัติสุขภาพติดตัว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาได้อย่างรวดเร็วและรักษาได้อย่างทันท่วงที บริษัทยังได้พัฒนาต่อยอดการบริการต่าง ๆ จนใน ปัจจุบัน MHG มีการพัฒนางาน 4 ส่วนหลักคือ ประกอบด้วย


                1. Smart hospital system สำหรับโรงพยาบาลที่มีระบบ HIS (Hospital Information Systems) หรือ ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ทางบริษัทมีระบบ Patient portal ซึ่งประกอบด้วยระบบเปิดประวัติออนไลน์ ระบบนัด ระบบคิว ระบบตรวจสุขภาพและรายงานผลผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้คนไข้สามารถเข้าถึงบริการจากโรงพยาบาลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

                2. Telemedicine ระบบแพทย์ทางไกลผ่าน Video call ซึ่งสามารถใช้ผ่าน application หรือ Web based มีระบบการอัดวิดีโอ ระบบ chat เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานและมีมาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดของ HIPAA

                3. NCDs monitoring platform ระบบติดตามสถานะสุขภาพของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยสามารถวัดค่าสุขภาพและส่งข้อมูลของตัวเองได้รายวันผ่านเครื่องแท็บเล็ตที่มีการรับค่าอัตโนมัติจากอุปกรณ์วัดค่าสุขภาพต่าง ๆ เช่น เครื่องความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ, เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว, เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย, เครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด และเครื่องชั่งน้ำหนัก หรือบันทึกข้อมูลสุขภาพผ่าน Application myHealthFirst ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งข้อมูลสุขภาพที่บันทึกจะส่งไปแสดงในระบบหลังบ้าน (myHealthWorld) สำหรับให้ทีมแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล เฝ้าสังเกตและติดตามข้อมูลสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ไปยังผู้ป่วยและทีมดูแล เมื่อค่าสุขภาพมีความผิดปกติ และยังสามารถพูดคุยปรึกษาแพทย์แบบวิดีโอคอล ผ่านชุดอุปกรณ์ (แท็บเล็ต) หรือ Application myHealthFirst ได้

                4. Corporate Wellness checkup system ส่วนที่บริษัทร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ออกให้บริการตรวจสุขภาพในโรงงาน-นิคมอุตสาหกรรม ผ่าน program myHealthMob สามารถรายงานผลจัดพิมพ์สมบูรณ์แบบอย่างรวดเร็วผ่านระบบ web application myHealthWorld และโมบาย แอปพลิเคชัน myHealthFirst ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ Big Data – ดูแลสุขภาพพนักงานผ่านระบบ myHealthPeek


                บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เป็นสตาร์ทอัพที่สามารถสร้างรายได้เติบโตจากธุรกิจจนเป็นที่สนใจของ VC หลายราย และยังมีโอกาสก้าวไปกับองค์กรชั้นนำโดยบริษัทสามารถ raise fund series A จาก Nexter Ventures บริษัทในเครือของ SCG นอกจากนี้ บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ยังได้รับความไว้วางใจและเสียงตอบรับเป็นอย่างดี เมื่อร่วมงานไปกับหน่วยงานทั้งระดับประเทศและต่างประเทศ ได้แก่


1.​ ร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และ SCG DoCare ให้บริการระบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 IoMT Home isolation
2.​ ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง IoMT Care Connect โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต
3.​ ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และธนาคารกสิกรไทย จัดทำระบบดูแลผู้ป่วย โรงพยาบาลสนาม COVID-19 IoMT myHealthCare
4.​ ร่วมกับภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดทำแอปพลิเคชั่น
5.​ ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม. มหิดล
6.​ ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สถาบันพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย


Reference Site

โรงพยาบาลที่ใช้บริการจากทางบริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ปจำกัด มีดังนี้

1.​ เครือโรงพยาบาล BDMS กรุ๊ป 6
2.​ เครือโรงพยาบาลธนบุรี เฮลท์แคร์
3.​ โรงพยาบาลเชียงใหม่ใกล้หมอ
4.​ ราชวิทยาจุฬาภรณ์
5.​ RSU Healthcare
6.​ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
7.​ เทศบาลเมืองแสนสุข
8​ โรงพยาบาลยะลา


Contact Point

Wed site: https://tokyo.myhealthgroup.net/

Page: https://www.facebook.com/myhealthfirstofficial

TikTok: https://vt.tiktok.com/ZSdh1E5J7/


###

Application: myHealthFirst

Tel: 099-319-1171

Address: บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด (สำนักงานใหญ่) 42 ถ.จันทร์นิเวศน์ 3 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90110

4
ไทยยูเนี่ยนเยี่ยมชมโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM


กรุงเทพฯ – 31 พฤษภาคม 2566 - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นำโดยนายธนโชติ บุญมีโชติ กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจกุ้ง  และนางศันสนีย์ แกทเทนบี้ เดวี่ส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธรรมชาติซีฟู้ด รีเทล จำกัด เยี่ยมชมโครงการ “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ศูนย์กลางการค้าส่งครบวงจรด้านอาหาร พร้อมหารือความร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยมีนายวันชัย วิริยะวัฒนา Head of Wholesale Business Strategy & Leasing ,นายสันติ สิโนทก Sales and Leasing Manager - Wholesale Sales and Leasing Wholesale และทีมงาน ให้การต้อนรับ ณ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM



Thai Union Visits “AEC Food Wholesale Pratunam” Project


Bangkok – 31 May 2023 - Mr. Thanachote Boonmechote, Managing Director (BU Shrimp), Thai Union Group PCL, and the executive team visited the “AEC Food Wholesale Pratunam” project by Asset World Corp Public Company Limited, which aims to bring together the public sector and Thailand’s food industry leaders to promote the country as a regional food wholesale hub. The project, which operates under the concept of “Integrated Wholesale Platform,” was launched recently to connect food wholesalers worldwide with buyers across the ASEAN Economic Community (AEC). Thai Union was welcomed by Mr.Wanchai Wiriyawattana, Head of Wholesale Business Strategy & Leasing at AWC, and Mr.Santi Sinothonk, Senior Sales and Leasing Manager, AWC.

5
แม็คโคร ลุยจัดงาน “แม็คโคร โฮเรก้า ภูมิภาค โรดโชว์”
เสริมแกร่งองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร 5 ภูมิภาค ทั่วประเทศ


                แม็คโคร เดินหน้าลุยจัดงาน เสริมแกร่งสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร กับงาน​ “แม็คโคร โฮเรก้า ภูมิภาค โรดโชว์” ภายใต้คอนเซ็ปต์​ “Global To Local วิถีโลก...สู่ท้องถิ่น” จัดหนัก จัดใหญ่ กับ 4 สุดยอดกิจกรรมเพื่อผู้ประกอบการ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ 1.World Chef Workshop ชมเวิร์คช็อปกับเชฟระดับโลก เชฟวิลแมน ลีออง ที่จะมาเวิร์คช็อป เสริมองค์ความรู้แบบวิถีคนครัวระดับโลกสู่เสริมแกร่งให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ​ 2.PRO-CHEF Cooking Class​ เรียนรู้การทำอาหารจากเชฟชื่อดัง เชฟอ๊อตโต้ ประภาศน์ ปาณะวีระ ที่จะมาสอนทำอาหารเมนูสุดปัง เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจอาหารได้แบบง่ายๆ​ 3.Makro HoReCa Challenge 2023 ร่วมเป็นกำลังใจผู้เข้าแข่งขันกับเวทีการแข่งขันที่เฟ้นหาตัวแทนสุดยอดเชฟจากทุกภูมิภาค สู่การแข่งขันในระดับประเทศ พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันเวทีระดับนานาชาติ ทั้งรุ่นเยาวชน และรุ่นมืออาชีพ กับการแข่งขันที่ผู้เข้าแข่งขันจะได้ลุ้นไปกับวัตถุดิบปริศนา (Makro Mystery Box) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Global To Local วิถีโลก...สู่ท้องถิ่น” สรรค์สร้างเมนูจากวัตถุดิบ แนวคิด และเทรนด์อาหาร Global สู่ Local ที่นำเอาเอกลักษณ์ของไทยมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และ 4.Makro HoReCa Fair​ ร่วม ชม ชิม ช็อป วัตถุดิบอาหารจากทั่วโลกมากกว่า 300 รายการ

                ติดตามกิจกรรมงาน “แม็คโคร โฮเรก้า ภูมิภาค โรดโชว์” ได้ที่ ภาคกลาง วันที่ 13-17 มิถุนายน ณ แม็คโคร สาขาแจ้งวัฒนะ, ภาคตะวันออก วันที่ 20-24 มิถุนายน ณ แม็คโคร สาขาพัทยา, ภาคอีสาน วันที่ 4-8 กรกฎาคม ณ แม็คโคร สาขาขอนแก่น, ภาคเหนือ วันที่ 11-15 กรกฎาคม ณ แม็คโคร สาขาเชียงใหม่, ภาคใต้ วันที่ 18-22 กรกฎาคม ณ แม็คโคร สาขาหาดใหญ่ และพบกับการแข่งขัน Makro HoReCa Challenge 2023  รอบชิงแชมป์ประเทศไทยในงาน Makro HoReCa 2023 ครั้งที่ 16 วันที่ 16-19 พฤศจิกายน 2566 ณ อิมแพค เมืองทองธานี

6
BMW Europa Motor จัดแคมเปญพิเศษฉลองครบรอบ 40 ปี
แจกจริง สุดยิ่งใหญ่ ทองคำ 40 บาท มูลค่ากว่า 1.2 ล้าน!!!


                บริษัท ยุโรปา มอเตอร์  จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย และศูนย์บริการมาตรฐานอย่างเป็นทางการ จัดงานมอบรางวัลให้กับลูกค้าผู้โชคดี จากแคมเปญพิเศษฉลองครบรอบ 40 ปี “40th Years BMW Europa Motor The Passion Drive Us Forward” แจกจริง ทองคำหนักรวม 40 บาท มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่จองและออกรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู ทุกรุ่น ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2566 โดย​ คุณโมนิกา พิพัฒน์อนันต์กุล (ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด) Sales and Marketing Director ร่วมด้วย คุณประภาภร ขจร (ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย) Sales General manager และคุณรวงทิพย์ เรืองเนตร (ผู้จัดการฝ่ายขายอาวุโส) Senior sales Manager เป็นผู้ทำการจับรางวัล โดยผู้โชคดีได้รับทองคำ 1 บาท จำนวน 40 ท่าน รวมมูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท ท่ามกลางสักขีพยาน (เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566) และยังได้จัดพิธีรับมอบรางวัลเพื่อแสดงความยินดีแก่ ลูกค้าทั้ง 40 ท่าน ณ โชว์รูม Europa Motor สาขาพระราม2 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา




                คุณโมนิกา พิพัฒน์อนันต์กุล Sales and Marketing Director กล่าวว่า “ ปีนี้ยุโรปา มอเตอร์ของเราฉลองครบรอบ 40 ปี เราจึงจัดทำแคมเปญพิเศษเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าทุกท่าน ที่ได้เลือกให้ ยุโรปา มอเตอร์ ดูแลคุณลูกค้าไปตลอดเส้นทางการขับขี่รถ BMW คันนี้ของคุณ เราสัญญาว่าจะดูแลลูกค้าทุกท่านด้วยใจและให้คุณได้อุ่นใจทุกครั้งที่อยู่กับครอบครัวยุโรปา มอเตอร์ค่ะ ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้โชคดีทุกท่านที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ตลอดทั้งปีนี้ยังมีแคมเปญและกิจกรรมพิเศษของยุโรปา มอเตอร์อีกมากมาย อยากให้คุณลูกค้าติดตามนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ”




สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายขาย ยุโรปา มอเตอร์  4 สาขา

- สาขาจรัญสนิทวงศ์ โทร.0-2864-0077
- สาขาพระราม2 โทร.0-2848-1111
- สาขาราชพฤกษ์ โทร.0-2408-2266
- สาขาตลิ่งชัน (โชว์รูม BMW Premium Selection) โทร.0-2458-2266

หรือติดต่อได้ผ่านช่องทาง Online
Line Official : @bmweuropamotor / Facebook page >
https://www.facebook.com/EuropaMotor
Instagram : @bmw.europamotor / Tiktok : BMW_EuropaMotor


















7
พาณิชย์–DITP คิกออฟ Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก เดินหน้ายกระดับผู้ประกอบการปั้นแบรนด์สินค้าไทยผงาดในตลาดโลก


               กระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) เปิดตัวโครงการ “Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก” ติวเข้มผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าในต่างประเทศ ผ่านเวทีเสวนา 4 ครั้ง วิเคราะห์เจาะลึกถึง 4 หัวข้อ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 คิกออฟครั้งที่ 1 หัวข้อ “การสร้างแบรนด์สินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ” ระดมกูรูบ่มเพาะองค์ความรู้ แชร์กลยุทธ์ปั้นแบรนด์ไทยอย่างไรให้ปัง! ในเวทีระดับโลก

               30 พฤษภาคม 2566 – สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดงานเสวนา “Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก” ครั้งที่ 1 หัวข้อ​ “การสร้างแบรนด์ สินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ” โดยได้รับเกียรติจาก นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์​ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานเปิดงาน และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งผู้ประกอบการและสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ ห้องสัมมนา 4 Auditorium Room สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดออนไลน์ผ่านระบบ Zoom และ Facebook live สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่


               นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์​ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศได้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือสถาบัน NEA ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จึงได้ดำเนินโครงการ​ “Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก” เพื่อสร้างองค์ความรู้แนวโน้มทางการค้าของโลกยุคใหม่แก่ผู้ประกอบการไทย ให้สามารถปรับตัวได้ตรงกับความต้องการของตลาด และเพิ่มโอกาสในการส่งออกมากขึ้น  ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ทำให้แนวโน้มธุรกิจทั้งในประเทศและระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไป และรองรับความท้าทายของผู้ประกอบการไทยในการเร่งปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้ทันต่อกระแสเมกะเทรนด์ รวมถึงการพัฒนาและขยายช่องทางการค้า การเพิ่มโอกาสการส่งออกจากการสร้างแบรนด์สินค้าให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ ผ่านการจัดเสวนาให้ความรู้ผู้ประกอบการไทยในรูปแบบ Hybrid Seminar ทั้งในระบบ Online และ Onsite รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่​เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566

               สำหรับงานเสวนา​ “Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก” ครั้งที่ 1​ หัวข้อ​ “การสร้างแบรนด์สินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ” ที่จัดขึ้นในวันนี้ (30 พฤษภาคม 2566) เป็นการวิเคราะห์เจาะลึกการสร้างแบรนด์ไทยให้โดดเด่นและสอดรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ โดยประเด็นเสวนาที่น่าสนใจ ได้แก่ การสร้างแบรนด์สินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ การพัฒนาแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ในตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาแฟชั่นแบรนด์ไทยในตลาดต่างประเทศ โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน มาร่วมวิเคราะห์เจาะลึก พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเคล็ดลับให้ผู้ประกอบการไทยในการเจาะตลาดการค้าในต่างประเทศ




               “สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มุ่งมั่นยกระดับผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ด้วยการเร่งปรับตัว ปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้ทันกระแสเมกะเทรนด์ โดยมุ่งเน้นสร้างองค์ความรู้ เตรียมความพร้อม และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศในยุคการค้าใหม่ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างแบรนด์ที่มีอัตลักษณ์และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ และผลักดันแบรนด์สินค้าไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก โดยตั้งเป้าว่าจะมีผู้ประกอบการ SMEs และผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ Moving forward รวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 800 ราย” นายภูสิต กล่าว

               สำหรับการจัดงานเสวนา “Moving forward : ส่งออกไทย ก้าวทันโลก” อีก 3 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 2 หัวข้อ “การส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในตลาดต่างประเทศ” ในวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 เป็นต้นไป ณ ห้องสัมมนา 4 Auditorium Room สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าทั้งแบบ Onsite เพื่อรับของที่ระลึกสุดพรีเมียมจากโครงการฯ และแบบร่วมงานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting ได้ที่ https://bit.ly/3Hz4E3G

               ครั้งที่ 3 หัวข้อ “โอกาสการพัฒนาสินค้า Future Food เพื่อเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ” ในวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 เป็นต้นไป ณ โรงแรมวินทรี ซิตี้ รีสอร์ท จ.เชียงใหม่ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าทั้งแบบ Onsite เพื่อรับของที่ระลึกสุดพรีเมียมจากโครงการฯ และแบบร่วมงานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting ได้ที่ https://bit.ly/3BvfrIT

               ครั้งที่ 4 หัวข้อ “กลยุทธ์การทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ในต่างประเทศ” ในวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 08.00 เป็นต้นไป ณ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ จ.พระนครศรีอยุธยา ลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าทั้งแบบ Onsite เพื่อรับของที่ระลึกสุดพรีเมียมจากโครงการฯ และแบบร่วมงานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting ได้ที่ https://bit.ly/3BzkeZQ

               ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมอบรมฟรี! ได้ตั้งแต่วันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 095-923-0638

8
แอ็กซอลตา ให้ความรู้ด้านเทคนิค เพิ่มประสิทธิภาพแก่อุตสาหกรรมซ่อมสีรถยนต์
สู่มาตรฐานระดับโลก




                บริษัท แอ็กซอลตา โค้ทติ้ง ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำสีพ่นรถยนต์ระดับโลก ร่วมสนับสนุนออกบูธงานสัมมนาร่วมกับ บริษัท เอส.ดี.เอส. รีฟินิชซ์ จำกัด โดยมี คุณสมชาย องอาจเอกะวรรณะ เป็นประธานเปิดการจัดงาน ในหัวข้อ “งานสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชาวอู่ซ่อมสีและศูนย์บริการ เพื่อเพิ่มพูนรายได้และประสิทธิภาพในงานซ่อมสีและตัวถังและงานดูแลรถยนต์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเทคนิคความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านสีพ่นรถยนต์ตามมาตรฐานระดับโลก ผ่านผลิตภัณฑ์แบรนด์ เนสัน (nason) ซึ่งมีให้บริการภายในศูนย์ผสมสีรถยนต์อัตโนมัติ Axalta Intelligence (AI) Color System ให้ความเหมือนสีเดิมถึง 90-95% ตอบโจทย์ตลาดกลุ่มสีเบอร์ เติมเต็มการทำงานของช่างผสมสี ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากศูนย์ผสมสีรถยนต์ ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายสีพ่นซ่อมรถยนต์ทั่วประเทศ งานสัมมนาจัดขึ้น ณ โรงแรม ดิ เอมเพรส เชียงใหม่

9
คอหนังเตรียมฮา!! เต็มอิ่มกับความสนุกคูณสาม
หนังไตรภาค "สมศรี  422 อาร์" ที่ทรูโฟร์ยู ช่อง 24


                 ทรูโฟร์ยู ช่อง 24 เตรียมฉายภาพยนตร์ในดวงใจของใครหลายคนกับหนังไตรภาค​ "สมศรี  422 อาร์" มาให้ชมกันทีเดียว 3 ภาครวด กับการแสดงของดาราคู่ขวัญในตำนานอย่าง “หนุ่ม สันติสุข” รับบทเป็น​ “กริช” “แหม่ม จินตหรา” รับบทเป็น​ “หุ่นยนต์สมศรี” และ​ "ต่าย-สายธาร" กับบทบาทหุ่นยนต์สมพรตัวน้องของสมศรีที่หน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นฝาแฝด  อีกทั้งยังเป็นผลงานผู้กำกับคนเก่ง “ณรงค์ จารุจินดา” ที่จัดเต็มแต่งแต้มสีสันความฮาสุดป่วนของหุ่นยนต์อัจฉริยะ และนักประดิษฐ์หัวใสมาให้ชมอย่างเต็มอิ่มในวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายนนี้ ห้ามพลาด




                 เริ่มกันด้วย​ “สมศรี 422 อาร์” ออกอากาศเวลา 19.00 น. คุณเต๋อ (ชลประคัล จันทร์เรือง) นักประดิษฐ์ ได้พบกับความเป็นอัจริยะของตนเอง เมื่อเขาได้สร้างหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ทำงานได้สารพัด โดยตั้งชื่อให้เธอว่า​ “สมศรี 422 อาร์” (แหม่ม จินตหรา) จนมาอยู่วันหนึงอุดมกับอี๊ด สองผัวเมียจอมเผือกที่ชอบวุ่นวายกับเรื่องชาวบ้าน ก็แอบคิดสงสัยสมศรีว่าเธอต้องเป็นหุ่นยนต์ จึงหลอกสมศรีเข้าไปอยู่ในตู้โทรศัพท์ และใช้กระบองไฟฟ้าจี้เพื่อทดสอบความจริง ต่อด้วยความฮายกกำลังสองกับภาคต่อ​ “สมศรีโปรแกรมบีปี 2 ขวบ” ออกอากาศเวลา 21.30 น.สมศรีโดนอุดมและอิ๊ดเพื่อนบ้านหลอกไปให้ด็อกเตอร์เบิ้ม ซึ่งเป็นคู่แค้นกับอาจารย์เต๋อผู้สร้างเธอ เพื่อนำเธอไปจำลองโครงสร้างหุ่นยนต์ กฤษชายหนุ่มผู้หลงรักสมศรีเห็นเหตุการณ์ จึงตามครอบครัวอาจารย์เต๋อมาช่วยสมศรี ตบท้ายความสนุกกับภาค 3 สมศรีโปรแกรมดีปีนี้มีน้อง ออกอากาศเวลา 23.30 น. เมื่องานประกวดเทพีช้างใกล้เข้ามาทุกที คุณตาอยากเอาชนะการประกวดสักครั้ง จึงเกิดไอเดียขอยืมตัวสมศรีมาช่วยงานและส่งประกวดเทพีช้าง ด้วยความรักความผูกพันที่ครอบครัวมีต่อสมศรี จึงสร้างหุ่นตัวใหม่ขึ้นมาชื่อสมพร คุณตาจึงส่งสมพรเข้าแข่งขันแทน จนเรื่องถึงหูเสี่ยประชิด จึงได้ว่าจ้างนักเลงมาตีหัวสมพร สมศรีจึงอาสาลงแข่งซะเอง เพื่อแก้แค้นให้น้องสาว






10
วช. หนุนทีมวิจัย ม.อ. พัฒนาศักยภาพการกักเก็บข้อมูลคาร์บอน ของป่าชายเลนและหญ้าทะเลตามธรรมชาติและปลูกบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน


สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้การสนับสนุนทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) และมหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) ร่วมกับ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในการประเมินศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน และจัดกิจกรรมสร้างจิตสำนึกให้แก่ชุมชน สร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนและพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์ ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนพร้อมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดเครือข่ายอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งอย่างยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม นำมาซึ่งองค์ความรู้และบทความทางวิชาการเรื่องศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลของพื้นที่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งอันดามัน ในการสร้างนักวิจัยชุมชนสร้างผลกระทบในวงกว้างในการสร้างการมีส่วนร่วมและจิตสำนึกในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยบรรเทาและชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวง อว. เป็นกลไกสำคัญของรัฐในการขับเคลื่อนให้การสนับสนุนงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์คิดค้นหรือนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน รวมถึงการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการกักเก็บคาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue Carbon) จากระบบนิเวศป่าชายเลนและหญ้าทะเลนั้น มีบทบาทสำคัญในการชะลอและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศหญ้าทะเลและป่าชายเลนจะทำให้ความสามารถนี้ลดลง ซึ่งแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและฟื้นฟูบริการของระบบนิเวศชายฝั่งได้นั้น คือ การจัดการ การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งอย่างยั่งยืน สำหรับกระบวนการในการผลิตหรือการกักเก็บคาร์บอนในป่าชายเลนและหญ้าทะเลนั้น เกิดจากการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมาสะสมในตัวพืชและดิน ทำให้ป่าชายเลนและหญ้าทะเลเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ชายฝั่ง มีความสามารถในการสะสมคาร์บอนมากกว่าระบบนิเวศบนบกถึง 10 เท่า (Hilmi et al., 2021)


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พลชาติ โชติการ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการประเมินการสะสมคาร์บอนในหญ้าทะเลหรือป่าชายเลนที่ได้รับการฟื้นฟู และการศึกษาจำนวนมากยังขาดค่าประมาณการกักเก็บคาร์บอนที่แม่นยำ งานวิจัยนี้จึงมีการเก็บข้อมูลการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ รวมถึงที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งจังหวัดระนองมีเนื้อที่ป่าชายเลนจำนวน 103,493.42 ไร่ และจังหวัดตรังที่มีพื้นที่หญ้าทะเลมีพื้นที่หญ้าทะเลรวม 33,066.48 ไร่ ทำให้พื้นที่ทั้ง 2 มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนในระดับสูงมาก การกักเก็บคาร์บอนในป่าชายเลนและหญ้าทะเลโดยทั่วไป สูงถึง 495.85 และ 244.75 เมกกะกรัมคาร์บอนต่อไร่ ตามลำดับ (Aye et al., 2023) ทางทีมวิจัยยังมีการจัดกิจกรรม Capacity Building ของนักเรียนในชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง สร้างความเข้มแข็งของชุมชน รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ในการดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน นอกจากนี้ทางทีมวิจัยยังได้มีการพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงคาร์บอนร่วมกับเทคนิคการรับรู้ระยะไกล (Remote Sensing) เพื่อที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดเครือข่ายอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อมชายฝั่งอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม งานวิจัยชิ้นนี้จะนำมาซึ่งองค์ความรู้ทางวิชาการเรื่องศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของป่าชายเลนและหญ้าทะเลธรรมชาติที่ได้รับการฟื้นฟู


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พลชาติ กล่าวต่อว่า ประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากองค์ความรู้ทางวิชาการที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมนักวิจัยในระดับนานาชาติแล้ว ยังมีการสร้างการมีส่วนร่วมและจิตสำนึกในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น เพื่อลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสในการสร้างมูลค่าในตลาดคาร์บอน (Carbon Market) และเป็นเครื่องมือในการพัฒนา Blue Economy ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยจะมีการนำผลงานวิจัยมาต่อยอด เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านการกักเก็บคาร์บอนสีน้ำเงินการฟื้นฟูระบบนิเวศและการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงวิธีการประเมินการกักเก็บคาร์บอนโดยใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล ภูมิสารสนเทศและปัญญาประดิษฐ์














11
Infinix เตรียมเปิดตัว HOT 30 Series เกมมิ่งโฟนรุ่นเริ่มต้นพร้อมชาร์จเร็ว 33W 
คุ้มค่าที่สุดในเรทราคาไม่เกิน 5,000 บาท เริ่มขาย 3 เมษายนนี้!

พิเศษ! ผนึกกำลัง Free Fire มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่เหนือกว่า และจัดเซอร์ไพรส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย


               23 มีนาคม 2566, กรุงเทพฯ – อินฟินิกซ์ (Infinix) แบรนด์สมาร์ตโฟนระดับโลกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เตรียมมอบประสบการณ์การเล่นเกมบนมือถือที่เหนือระดับ ด้วยการเปิดตัวเกมมิ่งโฟนรุ่นเริ่มต้นซีรีส์ใหม่ Infinix HOT 30 Series ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก ภายใต้สโลแกนคอนเซ็ปต์ “Booyah Now! - หนึ่งเดียว เพื่อชัยชนะ” สมาร์ตโฟนสำหรับเล่นเกมและความบันเทิงเต็มรูปแบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายเป็นแบรนด์เดียวที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วสูงสุด 33W และให้แรมเยอะที่สุดในเรทราคา 5,000 บาท ตลอดจนยกระดับทุกการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยหน้าจอไฮเปอร์วิชั่นเกมมิ่งพร้อมรีเฟรชเรทลื่นไหล 90Hz หน้าจอขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว ผสานพลังกับโปรเซสเซอร์สายเกม MediaTek Helio G88 เพื่อรองรับการใช้งานสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งเดียวที่มาพร้อม RAM 8GB และสามารถผสาน RAM ได้สูงสุดถึง 16GB และพิเศษสุดกับการผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำอย่าง Free Fire ร่วมกันครีเอทลิมิเต็ดอิดิชันบ็อกซ์เซ็ต พร้อมมอบไอเทมทั้งในเกมและนอกเกมมากมายเพื่อเอาใจเหล่าสาวกคอเกมตัวจริง


               Infinix HOT 30 Series มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ HOT 30 รุ่น 128+8, HOT 30i รุ่น 128+4 และ รุ่น 128+8 ซึ่งเป็นซีรีส์ที่มาพร้อมการดีไซน์ด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ใช้วัสดุเกรดพรีเมียม โดยยังคงเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานที่ชื่นชอบการเล่นเกม ซึ่งรุ่นท็อปอย่าง HOT 30 ได้มอบประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่าด้วยหน่วยพื้นที่ความจำแบบจัดเต็ม โดยมีหัวใจการทำงานเป็นชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio G88 หน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว และอัตราการรีเฟรชที่ 90Hz ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีระบบชาร์จไว 33W ที่ช่วยยกระดับการใช้งานได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานตลอดทั้งวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานการออกแบบที่มีคุณภาพและคุ้มค่ามากที่สุด


               พลาดไม่ได้! เตรียมพบกับมือถือเกมมิ่งใหม่ล่าสุด Infinix HOT 30 Series พร้อมเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม 2566 ด้วยราคาสุดคุ้มไม่เกิน 5,000 บาท พร้อมของแถมสุดลิมิเต็ดมากมาย วางจำหน่ายแบบออนไลน์บน Shopee, Lazada และ Infinix TikTok Shop เริ่มขายวันแรกตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2566 เป็นต้นไป


               ผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.infinixmobility.com/th หรือดูรายละเอียดและติดตามกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก Infinix Mobile Thailand

###

เกี่ยวกับอินฟินิกซ์

อินฟินิกซ์ โมไบล์ (Infinix Mobile) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ออกแบบ ผลิต และทำการตลาดโทรศัพท์มือถือให้ขยายตัวทั่วโลกภายใต้แบรนด์ อินฟินิกซ์ (Infinix) โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยผสานเข้ากับมือถืออย่างพิถีพิถัน นำเสนอสไตล์ที่โดดเด่น เด็มเปี่ยมไปด้วยพลังและประสิทธิภาพ เป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเป็นที่ต้องการของผู้ใช้งานในทุกย่างก้าว ด้วยแนวคิดที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์อย่าง “THE FUTURE IS NOW” พร้อมกับแสดงตัวตนให้โลกได้เห็นว่าอินฟินิกซ์มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ตลอดจนรูปลักษณ์ที่เฉียบและมีสไตล์สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่อยากตกเทรนด์

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีการจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2563 อินฟินิกซ์ (Infinix) ได้ขยายตัวถึง 160% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน​ และมีแผนใหญ่ที่จะสร้างมือถือระดับเรือธงที่มีดีไซน์ที่โดดเด่นและข้อเสนอที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.infinixmobility.com

12
"คาดแชมป์" พล.อ.ต.มังกร เสมารัตน์ เลขาธิการสมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ ให้เกียรติขึ้นคาดเข็มขัดแชมป์


               "คาดแชมป์" พล.อ.ต.มังกร เสมารัตน์ เลขาธิการสมาคมกีฬามวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ ให้เกียรติขึ้นคาดเข็มขัดแชมป์ให้กับ นิค เพาเวอร์เฮาส์ภูเก็ต นักชกจากอิตาลี หลังเอาชนะ แจ็ค ซินบีมวยไทย นักชกจากอังกฤษ ในรุ่น154 ปอนด์ อย่างสุดมันส์ ที่เวทีมวยซินบีบ๊อกซิ่งสเตเดี้ยม จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา

13
DITP ดันส่งออกกล้วยไทย ดึงผู้นำเข้าญี่ปุ่นเข้าร่วมเจรจาการค้า
ในงาน THAIFEX – Anuga ASIA 2023 ตั้งเป้าให้ได้เต็มโควตาไม่มีภาษี


กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP เดินหน้าต่อยอดนโยบายตลาดนำการผลิต เปิดโต๊ะเจรจาธุรกิจสำหรับผู้ส่งออกกล้วยไทยและผู้นำเข้าญี่ปุ่น สร้างโอกาสการซื้อขายทั้งรูปแบบกล้วยสดและแปรรูป ในงาน THAIFEX – Anuga ASIA 2023 สร้างความสำเร็จให้สามารถเกิดยอดซื้อขายทะลุ 1,000 ล้านบาท ภายใน 1 ปี


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์​ กล่าวว่า ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นนิยมบริโภคกล้วยหอมและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยเป็นอย่างมาก เพราะเห็นว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง อีกทั้งยังมีราคาที่เข้าถึงได้และสามารถนำไปใช้แปรรูปเป็นขนมได้อีกมากมาย โดยในแต่ละปีจะมีการนำเข้ากล้วยหอมถึงกว่าปีละ 1 ล้านตัน ทั้งนี้ ญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกกล้วยสดอันดับที่สองของไทยรองจากจีน ซึ่งจากการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศญี่ปุ่นในปี 2550 ได้เกิดความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ญี่ปุ่นให้สิทธิพิเศษในการยกเว้นภาษีนำเข้ากล้วยหอมจากประเทศไทย เป็นโควตาส่งออกจำนวน 8,000 ตัน อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2561 – 2565 ไทยยังส่งออกกล้วยไปญี่ปุ่นเฉลี่ยปีละ 2,400 ตันเท่านั้น ทำให้ยังเหลือโควตาสำหรับส่งออกกล้วยไปญี่ปุ่นได้อีกมาก จึงเห็นถึงโอกาสในขยายตลาดและได้สั่งการให้เดินหน้าการผลักดันการส่งออกกล้วยไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นอย่างเต็มที่


ตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” และ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ปี 2566 ของกระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการผลไม้ทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งรวมถึงส่งเสริมการยกระดับการส่งออกสินค้าของไทยผ่านการทำโครงการและกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อเร่งขยายตลาดเป้าหมายในการส่งออก จึงให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศผลักดันการส่งออกและเพิ่มสัดส่วนทางการตลาดสินค้าผลไม้ และสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องไปยังตลาดที่มีศักยภาพ


สำหรับแผนการเร่งการส่งออกกล้วยไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นนั้น​ นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว​ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับว่า “หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้กล้วยไทยสามารถส่งเข้าไปแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นได้น้อยแม้ว่าจะไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าก็ตาม คือการแข่งขันอย่างรุนแรงจากประเทศฟิลิปปินส์ที่เป็นเจ้าตลาด ซึ่งในปัจจุบันถือครองตลาดอยู่ถึงร้อยละ 76 หรือประมาณ 3 ใน 4 ของตลาดกล้วยในญี่ปุ่นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนี้ทางประเทศฟิลิปปินส์เพิ่งประกาศขึ้นราคากล้วยหอมในประเทศญี่ปุ่นด้วยเหตุผลทางด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งฟิลิปปินส์ยังประสบปัญหาโรคระบาดในกล้วยซึ่งส่งผลกระทบต่อด้านปริมาณการผลิตด้วย จึงเป็นโอกาสอันดีที่กล้วยไทยจะเข้าไปช่วงชิงตลาด


โดยในกิจกรรมครั้งนี้ ทางสำนักงานได้นำทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ อาทิ Gyomu Super ซึ่งมีสาขากว่า 1,050 สาขา และ Beisia ซึ่งมีสาขากว่า 130 สาขาทั่วญี่ปุ่น เดินทางมาพบปะเจรจาการค้ากับผู้ส่งออกและกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอม ผู้ผลิตกล้วยแปรรูป และได้เชิญผู้ประกอบการกล้วย GI ของไทยที่ได้รับการรับรองจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเจรจาการค้าและเกิดการทดลองชิมสินค้า ซึ่งในส่วนตัวมีความเชื่อว่ากล้วยจากประเทศไทยมีรสชาติที่อร่อยกว่าของประเทศคู่แข่ง อีกทั้งผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปจากประเทศไทยมีความหลากหลายและมีนวัตกรรมที่น่าสนใจ และยังอาจช่วยสร้างโอกาสให้สินค้าเกษตรจากภูมิภาคของไทยให้สามารถเปิดตลาดส่งออกสู่ประเทศญี่ปุ่นได้ต่อไปด้วย จึงได้จัดกิจกรรมพบปะเจรจาจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกกล้วยสดและผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปของไทย หรือ Thailand – Japan Banana Business Matching 2023 ขึ้น”


“กิจกรรมมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมจำนวน 87 ราย แบ่งเป็น ผู้ส่งออกชาวไทย จำนวน 23 บริษัท
38 ราย ผู้นำเข้าชาวญี่ปุ่น จำนวน 8 บริษัท 38 ราย และผู้สังเกตการณ์ จำนวน 11 ราย โดยสินค้าที่ความนิยมสูงสุด ได้แก่ กล้วยสด รองลงมาคือกล้วยทอดและกล้วยอบ นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าประเทศญี่ปุ่น อาทิ กล้วยตาก แป้งกล้วย ผงกล้วยดิบ กล้วยเคลือบ พาสต้ากล้วย โปรตีนผงกล้วย เครื่องดื่มกล้วย และน้ำส้มสายชูจากกล้วย เป็นต้น ความสำเร็จจากกิจกรรมครั้งนี้ทำให้เกิดยอดซื้อขายทันที ประมาณ 690.05 ล้านบาท และคาดว่าภายในระยะเวลา 1 ปี อีกประมาณ 380.50 ล้านบาท รวมยอดการซื้อขายทั้งหมดจากกิจกรรมกว่า 1,000 ล้านบาท และกิจกรรมนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยได้พบปะกับผู้นำเข้าญี่ปุ่นโดยตรง ได้นำเสนอสินค้าแปรรูปจากกล้วยที่นับวันจะยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น”


นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่งออกไทยที่ได้เข้าร่วมงานต่างแสดงความคิดเห็นว่า กิจกรรมครั้งนี้ทำให้มีโอกาสได้พบปะและแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น ซึ่งถือเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต สามารถติดตามความคืบหน้ากิจกรรมได้ที่ www.ditp.go.th หรือสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางสายด่วน 1169

14
“Just Drink” ภารกิจใหญ่ของ Coway
ที่มุ่งส่งมอบสุขภาพดี กับเครื่องกรองน้ำ ที่มาพร้อมการบริการสุดจริงใจ

ดันบริการ Subscription เครื่องฟอกอากาศผนึกกำลังเครื่องกรองน้ำดื่ม
พร้อมรุกตลาดไทยเต็มสูบมั่นใจยอดขายทะลุเป้า


กรุงเทพฯ 30 พฤษภาคม 2566 - COWAY (โคเวย์) แบรนด์เครื่องกรองน้ำและเครื่องฟอกอากาศอันดับ 1 จากประเทศเกาหลีใต้ ประกาศแผนกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง 2566 มุ่งสร้างคุณค่าทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพตามปรัชญา Best Life Solution Company พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าในประเทศไทย เตรียมอัดกิจกรรมการตลาดผ่าน อินฟลูเอนเซอร์แบบเต็มสูบ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับกลุ่มสินค้าเครื่องกรองน้ำดื่มผ่านแคมเปญ Just Drink โดยคาดว่าจะเน้นกลุ่มธุรกิจเครื่องฟอกอากาศด้วยบริการ Subscription มากขึ้น เพื่อช่วยคนไทยตั้งรับมลภาวะฝุ่น PM2.5 ระลอกใหม่ช่วงปลายปีที่คาดว่าจะยิ่งทวีความรุนแรงและระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น


นายปาร์ค ชุนยง กรรมการผู้จัดการ โคเวย์ ประเทศไทย กล่าวว่า “แม้การแข่งขันในตลาดเครื่องกรองน้ำในไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของเอเชียจะมีความดุเดือดอย่างมาก แต่ Coway ยังสามารถทำยอดขายนิวไฮเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะเราสามารถก้าวสู่อันดับ 1 ของทุกพื้นที่ในประเทศไทยได้ในไม่ช้า เห็นได้จากความสำเร็จในไตรมาส 1 จากยอดขายเครื่องฟอกอากาศเกินเป้าที่ตั้งไว้กว่า 200% และยังสามารถขยายบูธให้บริการจนครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศโดยโตขึ้นถึง 23% แสดงถึงศักยภาพของแบรนด์ในการตอบสนองความต้องการและนำเสนอบริการที่จริงใจแก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการเพิ่มจำนวน Health Planner (ผู้ให้คำปรึกษาและวางแผนสุขภาพ) รวมถึงสมาชิกครอบครัว Coway ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน และขยายฐานการดำเนินงานขององค์กรสู่การเป็นแบรนด์ด้านสุขภาพอย่างยั่งยืนและครอง Top of mind ของลูกค้าชาวไทย”


“สำหรับทิศทางการทำงานช่วงครึ่งปีหลัง เรามุ่งสนับสนุน Well-being Life ให้กับคนไทย รวมถึงความคุ้มค่า (Value) พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ (Experiences) ผ่านนวัตกรรมสินค้าประสิทธิภาพสูง ควบคู่กับการส่งเสริมบริการ Subscription เครื่องกรองน้ำและเครื่องฟอกอากาศให้มากขึ้น ผ่านการจัดโปรโมชันและกิจกรรมส่งเสริมการตลาดโดยกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์และการบอกเล่าเรื่องการใช้งานจริงจากลูกค้าของโคเวย์ (KOC)” และเราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ได้ไว้วางใจให้เราดูแลเสมอมา นายปาร์ค กล่าว


Coway มอบนวัตกรรมตอบโจทย์สุขภาพในยุคมลภาวะสูง

ในช่วงครึ่งปีหลัง Coway มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพเหนือกว่า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องของสุขภาพและต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง และสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อยๆ Coway มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพ และคงสถานะแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอันดับ 1 ในเมืองไทยต่อไป พร้อมเสริมทัพการดำเนินงานด้วยการอัปเกรดบริการของทีมงาน CODY ให้มีคุณภาพและครอบคลุมมากที่สุด เพื่อมอบบริการหลังการขายอย่างครบวงจรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย


สำหรับกลุ่มเครื่องฟอกอากาศในไทย Coway มั่นใจว่าธุรกิจกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีจากการที่ต้อง Restock สินค้ากันอย่างถล่มทลายในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ แบรนด์ยังชูจุดแข็งของโมเดล Subscription เครื่องฟอกอากาศเจ้าแรกเจ้าเดียวในไทย ซึ่งนำเสนอในราคาที่คุ้มค่า ทำให้ลูกค้าประทับใจและบอกต่อเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน


กระแสตอบรับดีเกินคาด เผยดันอินฟลูเอนเซอร์ผู้ใช้งานเสริมความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค

แนวคิดพื้นฐานของการเปิดแคมเปญการตลาดของ Coway จะคำนึงถึงความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสำคัญ (Customer-centric) จนเป็นที่มาของแคมเปญ Just Drink จริงดิ? เมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้ดึงอินฟลูเอนเซอร์หลายท่าน รวมถึงครอบครัวคนดังอย่างบ้าน “บีมD2B - กวี ตันจรารักษ์” พร้อมกับโชว์สุดพิเศษของน้องธีร์-น้องพีร์ มาร่วมสร้างปรากฏการณ์ความน่ารักจนเกิดเป็นกระแส Talk of The Town มาแล้ว


สำหรับ 6 เดือนต่อจากนี้ Coway ยังมีแผนการจัดแคมเปญและโปรโมชันส่งเสริมการขายในทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ยึดแผนการสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากการใช้บรรดาเหล่า KOLs ชื่อดัง บริษัทฯ ยังเสริมการใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing โดยให้อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นลูกค้าตัวจริงมาบอกเล่าประสบการณ์และบริการที่ดี เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง


“บริษัทฯ จะมุ่งมั่นทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้น สามารถผลิตน้ำดื่มที่สะอาด ถูกสุขอนามัย และมอบอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์แก่ทุกคนในบ้านได้อย่างคุ้มค่า รวมทั้งการยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้มีความสะดวกสบายและรูปลักษณ์ที่สวยงามทันสมัย ผ่านการใช้เอาเทคโนโลยีและดีไซน์ใหม่ ๆ เพื่อให้แบรนด์ Coway กลายเป็นวัฒนธรรมการดื่มน้ำและอากาศบริสุทธิ์ในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างกลมกลืน และสามารถครองใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ด้านสุขภาพอันดับ 1 ของเมืองไทยอย่างแท้จริง หลังครองตำแหน่งเจ้าตลาดมาแล้วทั้งในเกาหลีใต้และมาเลเซีย” นายปาร์ค ชุนยง กล่าวปิดท้าย


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมและอัปเดตข่าวสารจาก Coway ได้ที่เว็บไซต์www.coway.co.th หรือเฟซบุ๊ก​ https://www.facebook.com/CowayThailandOfficial

###

เกี่ยวกับ Coway Co., Ltd.

Coway แบรนด์ที่รู้จักในฐานะ  Best Life Solution Company จากประเทศเกาหลีใต้ เป็นผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์บริการในรูปแบบ ‘Subscribe’ ที่มาพร้อมบริการหลังการขายที่เรียกว่า ‘Coway Care’ ในฐานะที่เป็นแบรนด์ที่ให้ความใส่ใจในทุกด้านในชีวิต ภายใต้วิสัยทัศน์  ‘Best Life Solution Company ที่มุ่งมั่นมอบน้ำสะอาดและอากาศบริสุทธิ์  ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัยทั้งด้านการผลิตและดีไซน์เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ในปัจจุบัน Coway ตั้งอยู่ในหลายประเทศ อาทิ เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา, จีน, มาเลเซีย, อินโดนีเชีย, เวียดนาม และไทย เป็นต้น สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.coway.co.th หรือโทร.1421

15
เอช เซม สนับสนุนการศึกษา และพัฒนานวัตกรรมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
ม.ราชมงคลกรุงเทพ


                จากภาพ​ คุณมัญชรี สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด (คน 2 จากขวา) ถ่ายภาพร่วมกับอาจารย์ และนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ผู้ได้รับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เอช เซม คันต้นแบบ (Prototype) ไปศึกษาและพัฒนาจนสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในประเภทสถาบันการศึกษา และรางวัล Architecture ในโครงการแข่งขันรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อธุรกิจครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และยังเป็นการเตรียมความพร้อมด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับยานพาหนะพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานพาหนะพลังงานไฟฟ้าในอนาคต

###

เกี่ยวกับ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด

บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด (H SEM Motor Co., Ltd.) บริษัทในเครือ ฮั้วเฮงหลี กรุ๊ป ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า รถกอล์ฟไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถสามล้อเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ภายใต้ชื่อ “เอช เซม” เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งในกลุ่มเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการใช้ระบบขนส่งที่มีความคล่องตัว ประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม ในราคาที่จับต้องได้ ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.hsemmotor.com/ หรือ www.facebook.com/hsemmotor.sev  และ www.facebook.com/hsemmotor.stc

เกี่ยวกับ บริษัท เอช เซม เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด

บริษัท เอช เซม เทรดดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (H SEM Trading Corporation Co.,Ltd.) บริษัทในเครือ ฮั้วเฮงหลี กรุ๊ป เป็นบริษัทรับผิดชอบดูแลการจัดจำหน่าย แต่งตั้งดีลเลอร์ และกำหนดกลยุทธ์การตลาดให้กับสินค้าของ เอช เซม ทั้งในประเทศไทยและประเทศในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ CLMV ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่เวบไซต์ https://www.hsemmotor.com/ หรือแฟนเพจ www.facebook.com/hsemmotor.sev และ www.facebook.com/hsemmotor.stc

Pages: [1] 2 3 ... 2265