happy on July 15, 2018, 08:09:09 PM
พาราเมาท์ พิคเจอร์ส และสกายแดนซ์
ภูมิใจเสนอ
ผลงานสร้างโดยทอม ครูซ/แบ๊ด โรบอท
ทอม ครูซ
MISSION: IMPOSSIBLE – FALLOUT


ผู้ควบคุมงานสร้าง: เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์ก, ดอน เกรนเจอร์
อำนวยการสร้างโดย: ทอม ครูซ, คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์, เจค ไมเออร์ส, เจ.เจ. อับรามส์
สร้างจากซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างโดยบรูซ เกลเลอร์
เขียนบทและกำกับโดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์

นักแสดง: ทอม ครูซ, เฮนรี คาวิล, วิง รามส์, ไซมอน เพ็กก์, รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน, ฌอน แฮร์ริส, แองเจลา บาสเซ็ทท์, วาเนสซา เคอร์บี้,เวส เบนท์ลีย์, เฟรเดอริค ชมิดท์ ร่วมด้วยมิเชลล์ โมนาแกน และอเล็ค บัลด์วิน

ชื่อไทย:      มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล-ฟอลล์เอ้าท์
วันที่เข้าฉาย:      26 กรกฏาคม 2561
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=r5nsj8lVTok" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=r5nsj8lVTok</a>

ข้อมูลงานสร้าง

ความปรารถนาดีที่สุดมักจะกลับมาตามหลอกหลอนคุณเสมอ ใน Mission: Impossible – Fallout อีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) และทีมไอเอ็มเอฟของเขา (อเล็ค บัลด์วิน, ไซมอน เพ็กก์, วิง รามส์) รวมถึงพันธมิตรหน้าตาคุ้นเคย (รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน, มิเชลล์ โมนาแกน) ต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาหลังจากที่ภารกิจเกิดความผิดพลาดขึ้นมา นอกจากนี้ เฮนรี คาวิล, แองเจลา บาสเซ็ทท์และวาเนสซา เคอร์บี้ยังร่วมทีมนักแสดงของเรื่องนี้ โดยที่ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับอีกครั้งหนึ่ง

Mission: Impossible – Fallout นำแสดงโดยทอม ครูซ, เฮนรี คาวิล, วิง รามส์, ไซมอน เพ็กก์, รีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน, ฌอน แฮร์ริส, แองเจลา บาสเซ็ทท์, วาเนสซา เคอร์บี้, มิเชลล์ โมนาแกน, เฟรเดอริค ชมิดท์และอเล็ค บัลด์วิน ผู้กำกับภาพคือร็อบ ฮาร์ดี้ ผู้ออกแบบงานสร้างคือปีเตอร์ เวนแฮม ภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดยเอ็ดดี้ แฮมิลตัน ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์คือเว้ด อีสต์วู้ด ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์คือนีล คอร์บูลด์และซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์คือโจดี้ จอห์นสัน ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคือเจฟฟรีย์ เคอร์แลนด์ ดนตรีโดยลอร์น บัลเฟ
พาราเมาท์ พิคเจอร์ส และสกายแดนซ์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยทอม ครูซ/แบ๊ด โรบอท Mission: Impossible – Fallout

ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์ก, ดอน เกรนเจอร์ ผู้อำนวยการสร้างได้แก่ ทอม ครูซ, คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์, เจค ไมเออร์สและเจ.เจ. อับรามส์ สร้างจากซีรีส์โทรทัศน์ที่สร้างโดยบรูซ เกลเลอร์ เขียนบทและกำกับโดยคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์





เกี่ยวกับงานสร้าง

การเดินทางของอีธาน ฮันท์

ตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ผ่านมา ทอม ครูซได้อำนวยการสร้าง นำแสดงและแสดงฉากสตันท์ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดในแฟรนไชส์ Mission: Impossible ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมระดับโลกที่กวาดรายได้ไปกว่า 2.8 พันล้านเหรียญทั่วโลก ทำให้มันเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์ และบัดนี้ เขาได้กลับมารับบท อีธาน ฮันท์ หัวหน้าทีมอิมพอสซิเบิล มิชชัน ฟอร์ซ (ไอเอ็มเอฟ) อีกเป็นครั้งที่หก

ครูซกล่าวว่า Mission: Impossible – Fallout เป็นบทสรุปของภาพยนตร์หลายภาคที่ผ่านมาของแฟรนไชส์นี้ “คุณจะได้เห็นตัวละครต่างๆ ที่ถูกนำกลับมาและเส้นเรื่องต่างๆ ที่ถูกนำมาสู่บทสรุปครับ” เขากล่าว “ในตอนเริ่มต้นเรื่อง หนังสือเรื่อง The Odyssey ถูกเลือกมาด้วยเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงมากๆ การเดินทางที่ อีธาน ฮันท์ ตัวละครของผมและทีมของเขาต้องเจอเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ที่ได้แรงบันดาลใจและสะท้อนถึงเรื่องราวนั้น มันเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ และมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องทางอารมณ์มากมายสำหรับตัวละครครับ”

มือเขียนบทและผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกตว่า ครูซ ผู้เริ่มต้นแฟรนไชส์นี้ในปี 1996 มีความเข้าใจที่ไม่มีใครเทียบเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์  Mission: Impossible ประสบความสำเร็จ “ทอมเป็นผู้รักษาเปลวเพลิงเอาไว้ เขาเป็นคนทำหนังตามสัญชาตญาณที่อารมณ์อ่อนไหวมากๆ เขารู้จักอีธาน ฮันท์และเขาก็รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ด้วยสัญชาตญาณครับ”

แม็คควอร์รีย์เชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แฟรนไชส์นี้ยังคงได้รับความนิยมคือความปรารถนาที่ไม่เคยจืดจางของครูซในการทำให้แต่ละภาคมีความตื่นเต้นและเข้มข้นกว่าภาคที่แล้ว “มันไม่เคยหยุดนิ่งครับ” ผู้กำกับ ผู้ได้กำกับ Mission: Impossible – Rogue Nation ในปี 2015 กล่าว “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันไม่เคยลืมผู้ชม ไม่ว่ายังไง ทอมก็เป็นผู้ให้ความบันเทิง ทุกสิ่งที่เขาทำในหนังคือการพาคุณไปยังที่ต่างๆ ที่คุณไม่เคยไป การแสดงให้คุณเห็นในสิ่งที่คุณไม่เคยเห็น และพาคุณไปสู่ประสบการณ์ต่างๆ ร่วมกับเขาครับ”

สำหรับ Mission: Impossible – Fallout แม็คควอร์รีย์กระตือร้นในการล้วงลึกเข้าไปในแง่มุมมที่มืดหม่นและมีความเป็นมนุษย์มากกว่าของตัวละครเอกของเรื่อง “อีธานมีความลึกลับนิดๆ เสมอครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “ครั้งนี้ ผมอยากจะล้วงเข้าไปในหัวของเขามากขึ้นและสัมผัสถึงความผูกพันที่เขามีต่อคนอื่นๆ ชื่อเรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงการระเบิดนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลลัพธ์ที่ตรงข้ามกับความปรารถนาดีทั้งหมดของอีธานด้วย เขาเดินเข้าไปในสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม และเขาก็ต้องผ่านมันไปให้ได้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองถูกบงการอยู่ก็ตาม”

หัวใจสำคัญของเรื่องราวนี้คือการตัดสินใจที่เจ็บปวดของฮันท์ ที่ตามมาหลอกหลอนเขา ไมเออร์สอธิบายว่า “ในตอนแรก เราพบว่าอีธานกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาได้ทำผิดพลาด และเขาก็เจอกับเรื่องต่างๆ ในอดีต ที่มีผลกระทบทางอารมณ์ เขาต้องตัดสินใจว่า เขาจะช่วยเพื่อนและครอบครัว หรือจะช่วยคนเป็นล้านๆ คนจากอำนาจทำลายล้างที่เขากำลังต่อสู้อยู่ เขาจะต้องทำการล้วงลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของตัวเองครับ”

ครูซสวมบทตัวละครตัวนี้ในแบบที่นักแสดงแอ็กชันน้อยคนนักจะทำ ผู้อำนวยการสร้างเจค ไมเออร์สกล่าวเสริม “ทอมไม่เพียงแต่ใส่ดรามาที่ยอดเยี่ยมเข้าไปในบทนี้เท่านั้น แต่เขายังมีทักษะทางกายภาพที่จะทำในสิ่งต่างๆ ที่นักแสดงคนอื่นทำไม่ได้ด้วย ทั้งด้วยการฝึกฝนและความกล้าหาญ ผมคิดว่าคุณสามารถแบ่งแยกแฟรนไชส์แอ็กชันอื่นๆ ส่วนใหญ่จากดาราของเรื่องได้ แต่ถ้าไมมีทอม ก็ไม่มีอีธาน ฮันท์ครับ อย่างน้อยก็ไม่ใช่อีธาน ฮันท์ที่ผู้ชมทั่วโลกให้การยอมรับแบบนี้”


ผู้กำกับหวนคืน

ตามคำขอของครูซ แม็คควอร์รีย์กลายเป็นผู้กำกับคนแรกที่ได้กลับมากำกับ Mission: Impossible เป็นครั้งที่สอง “หนึ่งในองค์ประกอบที่เป็นสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้คือการมีผู้กำกับแตกต่างกันไปในแต่ละภาค” แม็คควอร์รีย์อธิบาย “ตอนที่ทอมขอให้ผมกลับมากำกับภาคนี้ ผมก็บอกว่าผมจะทำภายใต้เงื่อนไขที่ผมจะสามารถรักษาจิตวิญญาณของธรรมเนียมนั้นไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงภาษาภาพวิชวลจากภาคที่แล้ว ผมอยากให้คนที่ดู Rogue Nation และ Fallout รู้สึกเหมือนมีคนสองคนกำกับมันน่ะครับ”

นั่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้สำหรับครูซ ผู้มีความชื่นชมต่อความสามารถของแม็คควอร์รีย์ในฐานะผู้กำกับเนื่องจากทั้งคู่ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์ปี 2012 เรื่อง Jack Reacher “ผมชอบการได้ทำงานร่วมกับแม็คคิวครับ” ครูซกล่าว “เขามีความสามารถมาก เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงสไตล์วิชวลเพื่อให้ดูเหมือนว่าคนอื่นเป็นคนกำกับ และเขาก็ทำสำเร็จ แต่มันก็ยังคงมีความคิดอ่านด้านการเล่าเรื่องที่เด่นชัดในแบบของเขา ผมชอบความแข็งกร้าวของหนังเรื่องนี้และตัวละครในเรื่อง เราทุ่มเทกันเต็มที่ ผมอดใจรอให้ผู้ชมได้ดูหนังเรื่องนี้ไม่ไหวเลยครับ”

ระหว่างการร่วมงานกันในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ทั้งสามเรื่อง แม็คควอร์รีย์และครูซได้พัฒนาสายสัมพันธ์ส่วนตัวและหน้าที่การงานที่ใกล้ชิด “พวกเขามีวิธีการสื่อสารทางลัดที่ยอดเยี่ยมครับ” ไมเออร์สตั้งข้อสังเกต “แม็คควอร์รีย์เป็นคนที่ทอมไว้ใจและรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วย พวกเขาสองคนมักทำงานในสิ่งต่างๆ และเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เสมอ ซึ่งทำให้การอำนวยการสร้างยากขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็ทำให้หนังดีขึ้นเยอะครับ”

สมกับชื่อเสียงของเขา แม็คควอร์รีย์ เจ้าของรางวัลออสการ์จากบทภาพยนตร์เรื่อง The Usual Suspects ยังคงปรับเปลี่ยนเรื่องราวหลายครั้งแม้แต่ระหว่างการถ่ายทำ “คริสทำให้บทหนังเรื่องนี้มีชีวิตชีวาครับ” เฮนรี คาวิล นักแสดงหนุ่มกล่าว “เขาเป็นมือเขียนบทที่เก่งมากๆ และฉลาดๆ ในเรื่องของตัวละคร เขาฉลาดมากในการนำตัวละครเหล่านั้นไปอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ ที่พวกเขาจะรอดชีวิตได้ด้วยการเติบโต ปรับตัวหรือพัฒนาขึ้น ในฐานะนักแสดง ผมค่อนข้างจะชื่นชอบเรื่องนั้นเพราะคุณจะเคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับมนุษย์เราในชีวิตจริงนี่ล่ะครับ”

นักแสดงหญิง รีเบ็กก้า เฟอร์กูสันกล่าวเห็นพ้องด้วย “มันเป็นวิธีถ่ายทำแบบใหม่สำหรับฉันค่ะ ฉันชอบมันเพราะมันทำให้คุณตื่นตัวอยู่เสมอ คุณก็แค่ต้องปลอยวางและคอยควบคุมตัวละครของคุณเองค่ะ”
« Last Edit: July 15, 2018, 08:50:47 PM by happy »

happy on July 15, 2018, 08:23:37 PM



ทีมไอเอ็มเอฟ

หัวใจสำคัญของ Mission: Impossible แต่ละภาคคือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นสายลับที่รักกันแน่นแฟ้น ซึ่งเป็นสมาชิกของทีมไอเอ็มเอฟ ที่นำทีมโดยอีธาน ฮันท์ ตัวละครของครูซ

“สมาชิกของทีมนี้มีการผ่านมาและผ่านไป แต่มันก็มีแกนกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ” เฟอร์กูสันตั้งข้อสังเกต “คุณจะมีซูเปอร์สตาร์ มีตัวตลก มีคนพิลึก มีคนสวย มีองค์ประกอบสารพัดรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชิ้นส่วนความบันเทิงเหลือเชื่อ ซึ่งก็คือ Mission: Impossible ค่ะ”

เสน่ห์และความมีชีวิตชีวาของนักแสดงแต่ละคนที่รับบทเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เหล่านี้พิเศษสุด ครูซกล่าวว่า “ช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบในหนังเรื่องนี้คือตอนที่คุณได้นักแสดงดีๆ มาทำงานของพวกเขา แม็คคิวกับผมทำงานกันอย่างหนักมากเพื่อให้เป็นแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่เรารักเกี่ยวกับหนังและการเล่าเรื่องครับ”

วิง รามส์ รับบท ลูเธอร์ สติคเกล ตั้งแต่ Mission: Impossible ภาคแรกในปี 1996 “แม็คควอร์รีย์พูดถึงบทของผมว่าเป็น ‘จิตวิญญาณของเรื่อง’” นักแสดงรางวัลลูกโลกทองคำเล่า “ตอนแรก ผมไม่รู้หรอกว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นความนึกคิดบางอย่างที่ผมส่งต่อไปให้กับอีธาน ในหนังเรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการทะเลาะกันระหว่างพวกเขา มันเกิดขึ้นบางครั้งกับคนที่แคร์กันและกัน ผมคิดว่า มันทำให้ลูเธอร์มีความเป็นมนุษย์และคุณก็จะได้เห็นนิสัยอื่นๆ ของเขามากขึ้นด้วย นอกจากนั้น มันยังมีฉากที่ทรงพลังกับอิลซา ที่คุณจะรู้สึกถึงความรักที่ลูเธอร์มีต่ออีธานครับ”

ตามที่ครูซอธิบาย ตอนแรก ลูเธอร์น่าจะตายไปตั้งแต่ภาคแรก “ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น” เขากล่าว “ไม่เพียงแต่เพราะวิงเก่งเหลือเกิน แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างอีธานและลูเธอร์ด้วยครับ มีบางสิ่งเกี่ยวกับการที่เขารับบทนี้ ที่น่าติดตามเหลือเกิน และผมก็คิดว่าคุณจะมองเห็นเรื่องนั้นผ่านทางภาคที่ผ่านๆ มา ในภาคนี้ วิงมีการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมครับ”

เบนจี้ ดันน์ หนึ่งในตัวละครที่เป็นที่รักที่สุดใน Mission: Impossible สามภาคล่าสุด รับบทโดยนักแสดง นักแสดงตลกและผู้กำกับ ไซมอน เพ็กก์ “หนังพวกนี้มักพยายามก้าวแซงผู้ชมไปเสมอครับ” เพ็กก์กล่าว “พวกมันเต็มไปด้วยปริศนา การหักหลังและการตีสองหน้า แต่มันก็มักจะมีความเบาสมองใส่เข้ามาด้วย คุณจะตึงเครียดแบบนั้นสองชั่วโมงโดยไม่มีการพักไม่ได้หรอกครับ เป็นเรื่องดีที่เราจะได้ผ่อนคลายและหัวเราะชั่วครู่หนึ่ง และหลายครั้งก็เป็นตอนที่เบนจี้เข้ามาครับ”

เบนจี้เริ่มต้นจากการเป็นนักวิเคราะห์ระบบในห้องแล็บของไอเอ็มเอฟก่อนที่จะได้ลิ้มรสการผจญภัยในตอนที่เขาถูกเลือกให้มาช่วยเหลืออีธานแบบทางไกลใน Mission: Impossible III “ใน Ghost Protocol เราเจอเขาอยู่ภาคสนามเป็นครั้งแรก และใน Rogue Nation เขาก็ประสบความสำเร็จมากขึ้นและเคยชินกับไอเดียในการได้เป็นสายลับ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้มองทุกอย่างจริงจังไปหมดเหมือนเดิมก็ตาม” เพ็กก์กล่าว “ผมรู้สึกดีที่ได้เล่นตัวละครตัวหนึ่งนานขนาดนี้และได้เห็นเขาพัฒนาจากการเป็นเจ้าหน้าที่แล็บ ทั้งหน้าตาและนิสัย ผมหน้าตาแบบนั้นจริงๆ น่ะแหละในภาคสาม ไปสู่การเป็นเจ้าหน้าที่สายลับที่ฟิตและมีความสามารถมากขึ้น และมีทักษะที่น่าประทับใจด้วยครับ” ครูซกล่าวว่าเขาตื่นเต้นที่บทบาทของเพ็กก์ในภาพยนตร์เหล่านี้ได้ถูกขยายออกไปนับตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมทีมเมื่อกว่าสิบปีที่ผ่านมา “เจ.เจ.อับรามส์กับผมได้เห็นเขาใน Shaun of the Dead และคิดว่าเขาเยี่ยมมาก เขาเข้ามาและแสดงใน M:I3 วันหรือสองวัน แล้วดูความก้าวหน้าของตัวละครของเขาตั้งแต่นั้นมาสิครับ”

ผู้ที่ปรากฏตัวในแฟรนไชส์นี้เป็นครั้งที่สองคืออเล็ค บัลด์วิน ในบทอลัน ฮันลีย์ อดีตผู้อำนวยการซีไอเอ ผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลกลุ่มไอเอ็มเอฟ “เราต้องให้เขากลับมาครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “คนมักจะถามผมว่าใครเป็นคนที่ตลกที่สุดในกองถ่าย การร่วมงานกับทุกคนเป็นเรื่องสนุกมาก แต่ไม่มีใครตลกเท่าอเล็ค บัลด์วินอีกแล้ว การร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งครับ”


สาวๆ ใน MISSION

Mission: Impossible – Fallout นำเสนอตัวละครหญิงทรงพลังสี่คน ที่รับบทโดยนักแสดงหญิงสี่คนที่น่ายำเกรง นอกจากมิเชลล์ โมนาแกนที่กลับมาแล้ว ทีมนักแสดงของเรื่องยังรวมถึงรีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน, แองเจลา บาสเซ็ทท์และวาเนสซา เคอร์บี้อีกด้วย “เราโชคดีที่มีหญิงแกร่งสี่คนในหนังเรื่องนี้” แม็คควอร์รีย์กล่าว “เราตั้งใจที่จะใส่ความเป็นผู้หญิงเข้าไปในหนังเรื่องนี้ให้มากขึ้นและทำให้ตัวละครพวกนี้มีอัตลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยการสร้างบทบาทที่แข็งแกร่งและสมจริงขึ้นมา”

ในตอนเริ่มต้นของการร่วมงานกับครูซแต่ละครั้ง แม็คควอร์รีย์จะตั้งคำถาม “ผมถามเขาว่า ‘คุณอยากได้อะไรจากเรื่องราวนี้ สิ่งหนึ่งที่คุณอยากจะทำคืออะไร’ ครั้งนี้ทอมตอบว่า ‘ผมอยากจะขมวดปมเรื่องจูเลีย คนยังถามผมเรื่องจูเลียอยู่เลย’ เราก็เลยเริ่มต้นจากจุดนั้นครับ”

ตามที่แฟนๆ ของแฟรนไชส์นี้รู้ จูเลียเป็นภรรยาของอีธาน ที่รับบทโดยมิเชลล์ โมนาแกน ตัวละครตัวนี้ถูกแนะนำไว้ใน Mission: Impossible III และดูเหมือนจะเสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนั้นและ Mission: Impossible – Ghost Protocol เธอได้ปรากฏตัวสั้นๆ ใน Ghost Protocol เมื่อความจริงปรากฏว่ามีการจัดฉากการตายของเธอเพื่อคุ้มครองเธอจากกองกำลังที่หมายจะตามล่าอีธาน

“ด้วยความที่หนังเรื่องนี้เป็นบทสรุปของ Missions ทุกภาค เราก็เลยคุยกันเรื่องอารมณ์เยอะหน่อย และมันก็จะไม่มีอารมณ์แบบนั้นถ้าไม่นำตัวจูเลียกลับมาครับ” ครูซกล่าว”มันมีแนวคิดโรแมนติกของความโหยหาที่เราเล่นกับมัน ผลงานของมิเชลล์พิเศษสุดเลย และเธอก็เป็นคนที่วิเศษสุดด้วยครับ”

โมนาแกนทั้งแปลกใจและยินดีที่ได้รู้ว่าตัวละครของเธอจะกลับมาใน Mission: Impossible – Fallout “ฉันไม่รู้เลยว่ามีการวางแผนให้จูเลียกลับมาและฉันก็ตื่นเต้นมากๆ” เธอเล่า “ตัวละครตัวนี้วิเศษสุดและเรื่องราวความรักของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่แฟนๆ ยึดติดกับมัน อีธานปล่อยเธอไปเพื่อคุ้มครองให้เธอปลอดภัย พ้นจากอันตราย สำหรับฉัน นั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักขั้นสูงสุด ในเรื่องราวนี้ คุณจะได้เห็นพวกเขากลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมากๆ ค่ะ”

อดีตเจ้าหน้าที่เอ็มไอซิกส์ อิลซา ฟอสต์ ตัวละครของรีเบ็กก้า เฟอร์กูสัน มีชื่อแรกเหมือนกับอิลซา ลุนด์ ตัวละครของอิงกริด เบิร์กแมนใน Casablanca ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงความคล้ายคลึงกันที่แม็คควอร์รีย์เห็นระหว่างรีเบ็กก้า เฟอร์กูสันและนักแสดงหญิงแห่งยุคทองของฮอลลีวูด ตามคำบอกเล่าของครูซ “รีเบ็กก้าเหลือเชื่อเลยครับ เธอมีเสน่ห์และมีความคล่องตัวสูงมากๆ เธอมีชีวิตชีวาในแบบที่เปล่งประกายบนหน้าจอจริงๆ”

ด้วยเป้าหมายของตัวเองและแนวทางพิเศษในการเป็นสายลับทำให้อิลซาขัดแย้งกับทีมไอเอ็มเอฟในช่วงแรกๆ “ส่วนมากแล้ว เธอทำงานเพื่อตัวเองและเพื่อทำสิ่งที่เธอต้องการให้สำเร็จค่ะ” นักแสดงหญิงชาวสวีดิช ผู้ซึ่งผลงานภาพยนตร์ล่าสุดรวมถึง The Greatest Showman, The Snowman และ The Girl on the Train กล่าว “เราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายและเจตนารมณ์ที่แตกต่างกันไปในหนังเรื่องนี้ บางครั้ง พวกเขาก็มีปฏิสัมพันธ์กันและบางครั้ง เราก็ขัดขวางกันเอง ซึ่งมันก่อให้เกิดช่วงจังหวะที่เข้มข้นค่ะ”

เฟอร์กูสันและไซมอน เพ็กก์ ผู้กลายเป็นเพื่อนกันใน Rogue Nation สานต่อการพูดคุยโต้ตอบของพวกเขาในกองถ่ายได้ทันที “รีเบ็กก้าเป็นนักแสดงหญิงคนเก่ง ที่รับบทตัวละครยอดเยี่ยม” เพ็กก์กล่าว “ผมชอบความจริงที่ว่าอิลซาต่อกรกับอีธานได้อย่างสมน้ำสมเนื้อทั้งทางร่างกายและความคิด และเธอก็ไม่ได้คอยได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้เห็นตัวละครหญิงเก่งปรากฏตัวในหนังบ้าง มันไม่ได้เกิดขึ้นนานเกินไปแล้วครับ”

วาเนสซา เคอร์บี้ ผู้โด่งดังจากบทเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต น้องสาวผู้แค้นเคืองของราชินีอลิซาเบธในซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง “The Crown” รับบทอลานา หรือไวท์ วิโดว์ “อลานาเป็นตัวละครลึกลับ ผู้เข้ามาในชีวิตของอีธานในรูปแบบของคนที่ตรงข้ามกับผู้หญิงทุกคนเท่าที่เขาเคยเจอมาจนถึงตอนนี้” นักแสดงหญิงกล่าว “เธอเป็นตัวแทนของชีวิตอีกแบบหนึ่ง ชีวิตที่เขาอาจจะมีกับคนแบบเธอ ที่เข้าใจสถานะของเขา เธอเป็นความเย้ายวน ไม่ใช่แค่ในด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นด้านอารมณ์และจิตใจด้วยค่ะ”

แม็คควอร์รีย์กล่าวว่า ไวท์ วิโดว์เป็นปริศนา “เธอดูเหมือนจะเป็นคนใจบุญที่บริหารงานองค์กรการกุศล แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็นนักค้าอาวุธและโบรกเกอร์ระหว่างผู้ก่อการร้ายและนายทุน เธอดูเหมือนจะมีความสุขกับการได้ไปพัวพันกับพวกตัวร้ายพวกนี้ แต่คุณก็ไว้ใจคุณไม่ได้หรอกครับ”

แองเจลา บาสเซ็ทท์ รับบท เอริก้า สโลน ผู้เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเอ แทนที่อลัน ฮันลีย์ (ที่ตอนนี้เป็นหัวหน้าของไอเอ็มเอฟ) ที่รับบทโดยอเล็ค บัลด์วิน และได้นำทัศนคติที่แตกต่างออกไปมากๆ มาสู่หน้าที่นี้ “สโลนทั้งไร้ปรานีและแข็งกร้าว” แม็คควอร์รีย์กล่าว “เธอทนพวกไอเอ็มเอฟและเกมของพวกเขาไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ท่าทีของเธอก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเกลียดชัง ผมสนุกมากที่ได้ร่วมงานกับแองเจลา เธอนำสิ่งที่พิเศษสุดมากๆ มาสู่หนังเรื่องนี้ครับ”

นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และเอ็มมี “ถ่ายทอดความเฉลียวฉลาด อำนาจและความน่าเชื่อถือครับ” ครูซกล่าว “ผมชื่นชอบตัวละครที่แม็คคิวเขียนให้กับเธอและแองเจลาก็ตีบทแตกเลย ตอนที่เธออยู่บนหน้าจอ เธอน่าเกรงขามมากๆ และเธอก็เป็นผู้หญิงที่วิเศษสุดจริงๆ”

happy on July 15, 2018, 08:40:45 PM



เดอะ แฮมเมอร์

Mission: Impossible – Fallout ได้แนะนำออกัสต์ วอล์คเกอร์ เจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่รับบทโดยเฮนรี คาวิล ผู้ที่สโลน ผู้อำนวยการซีไอเอ ส่งมาประกบเขา “ในเรื่องของเรา เขาเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “มันมีความขัดแย้งอย่างมากระหว่างเขาและอีธาน ซึ่งร้อนระอุขึ้นมาระหว่างเหตุการณ์ในเรื่องครับ”

วอล์คเกอร์ มือสังหารตัวเอ้ของซีไอเอ ก็มีวัตถุประสงค์ลับๆ ในใจของตัวเองเช่นกัน คาวิลกล่าวว่า “เขาเป็นตัวเก็บกวาด เขากำจัดคนที่คุณไม่สามารถจับตัวได้ แต่นอกเหนือจากนั้น เขาเป็นคนที่ไม่เชื่อในกฎระเบียบ เขาเชื่อว่าระเบียบโลกเก่าจะต้องถูกลบล้างเพื่อให้เผ่าพันธุ์ต่างๆ ดำรงอยู่ต่อไป และเพื่อให้พวกเราไปถึงยูโทเปีย เขาเล่นเกมในการเป็นสายลับในฐานะส่วนหนึ่งของซีไอเอ พร้อมๆ ไปกับการเริ่มต้นสงครามที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ด้วยครับ”

ครูซกล่าวชื่นชมการแสดงบทนี้ของพระเอกจาก Man of Steel อย่างมาก “เขาทรงพลังมากๆ เขาคล่องแคล่ว มีเสน่ห์และโดดเด่นบนหน้าจอ คนจะเห็นได้ว่าเขาไม่ออมมือเลย แม็คคิวเขียนบทพิเศษให้กับเขา เขาเป็นตัวร้ายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ครับ”

บทนี้ทำให้คาวิลต้องทนต่อสถานการณ์ที่น่าอึดอัดสุดๆ หลายครั้งระหว่างการถ่ายทำ ตามที่แม็คควอร์รีย์กล่าวว่า “เขาเจอกับงานหนักในการต้องอยู่ในสถานที่ที่หนาวเยือกแข็ง น่ากลัวทุกรูปแบบโดยสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดน้อยมากๆ” ผู้กำกับกล่าว “ตั้งแต่การอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ที่เดินทางด้วยความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยความสูง 7,000 ฟุตเหนือธารน้ำแข็งในฤดูหนาวของนิวซีแลนด์ไปจนถึงการห้อยตัวอยู่บนหน้าผาที่สูง 2,000 ฟุตในนอร์เวย์ เขามองโลกในแง่ดีเสมอและมีความกระตือรือร้นเสมอ เฮนรีเป็นสุภาพบุรุษและเป็นนักแสดงที่วิเศษสุดครับ การร่วมงานกับเขาเป็นความสุขจริงๆ และเขาก็มีอารมณ์ขันยอดเยี่ยมอีกด้วย”


พวกนอกกฎหมาย

ฌอน แฮร์ริส กลับมารับบท โซโลมอน เลน วายร้ายจากโร้ค เนชัน ผู้ต้องการจะแก้แค้นสิ่งที่อีธานได้ทำไว้กับเขาในภาคที่แล้ว “เลนโทษอีธานที่ทำลายทุกอย่างที่เขาสร้างขึ้นมา” ผู้กำกับกล่าว “เขามองว่าอีธาน ไม่ใช่ตัวเอง ที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงและมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เขาเห็นเรื่องนั้น สิ่งที่เริ่มต้นเป็นภารกิจที่ง่ายดายมากๆ ในการไปตามหาพลูโตเนียมที่หายไปกลับกลายเป็นกับดักที่เลนวางเอาไว้ครับ”

นอกจากนี้ แฮร์ริสยังต้องทนต่อประสบการณ์เข้มข้นมากมายระหว่างการถ่ายทำ “มันไม่มีอะไรที่เตรียมพร้อมสำหรับการถูกมัดติดกับรถบีเอ็มดับบลิว สวมชุดสำหรับพวกคนไข้ที่ป่วยทางจิต แล้วถูกขับพาไปตามท้องถนนต่างๆ ของกรุงปารีสโดยทอม ครูซ ด้วยความเร็ว 100 ไมล์ต่อชั่วโมง” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ตอนที่คุณได้ดูฉากนี้ มันจะตลกทีเดียวเพราะเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครเอาไว้ตลอดการขับรถที่บ้าคลั่งนี้ เลนเป็นตัวละครที่มีโฟกัสอย่างเหลือเชื่อ เขาปราศจากความกลัว ดังนั้น คุณจะได้เห็นฌอนที่แทบไม่ปรากฏอารมณ์เลย มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากแต่เขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมครับ”

อีกตอนหนึ่งในเรื่อง เลนถูกเคลื่อนย้ายไปบนหลังรถบรรทุก ที่ถูกกระแทกตกลไปในแม่น้ำแซน “มีผนังน้ำที่ดูเหมือนเป็นตัวละครตัวหนึ่งผุดขึ้นมาปะทะกับเขา” แม็คควอร์รีย์อธิบาย “เราแช่รถบรรทุกนั้นในน้ำแล้วทำให้มันกลิ้ง แต่เรารักษาตำแหน่งของกล้องไว้เหมือนเดิม ซึ่งทำให้ตำแหน่งของน้ำดูพิลึกมากๆ ฌอนบอกผมว่าเขากลั้นหายใจได้ 45 วินาที แต่พอเขาต้องห้อยหัว เขาก็ต้องปล่อยลมผ่านจมูกของเขา จาก 45 วินาที เลยกลายเป็นว่าเขากลั้นหายใจไม่ได้เลย เขาอาจต้องแสดงฉากนี้ประมาณ 10 หรือ 12 ครั้งกว่าที่เราจะได้ช็อตที่พอเหมาะพอเจาะครับ”


ไม่มีอะไรเหมือนของจริง

แม้ว่าแม็คควอร์รีย์จะจงใจสร้างลุคที่โดดเด่นให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการรักษาค่านิยมหลักของแฟรนไชส์แอ็กชันที่โด่งดังนี้เอาไว้ “Mission: Impossible เป็นเรื่องของสตันท์จริงๆ แอ็กชันจริงๆ และโลเกชันจริงๆ ที่มีการใช้กรีนสกรีนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เขากล่าว “ทอมพร้อมและเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเท่าที่เราสามารถคิดขึ้นมาได้ คุณก็เลยต้งหาวิธีที่จะวางกล้องไปในที่ที่คุณจะเห็นได้ว่าดาราของคุณกำลังแสดงสตันท์พวกนี้อยู่จริงๆ ดังนั้น ทุกอย่างก็เลยถูกออกแบบมาให้ทอมเป็นศูนย์กลางของแอ็กชันครับ”

ภาพยนตร์  Mission: Impossible ทุกภาคจะมีครูซมาแสดงสตันท์ท้ามฤตยูที่ตราตรึงใจ ใน Mission: Impossible – Ghost Protocol สตันท์ที่ว่าคือการปีนตึกเบิร์จ คาลิฟาในดูไบ ซึ่งเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ใน Mission: Impossible – Rogue Nation มันเป็นการเกาะประตูเครื่องบินขนส่งทางทหารแอร์บัส เอ400เอ็ม แอตลาสตอนที่เครื่องกำลังขึ้น

สำหรับ Mission: Impossible – Fallout ครูซและแม็คควอร์รีย์ได้ยกระดับความตื่นเต้นขึ้นไปอีกด้วยการคิดสตันท์ที่ลืมไม่ลงหลายต่อหลายครั้ง ที่เชื่อแน่ว่าจะทำให้ผู้ชมต้องลืมหายใจ “ทอมใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการเตรียมพร้อมสำหรับหนังเรื่องนี้” แม็คควอร์รีย์กล่าว “มีการคาดเดามากมายว่าสตันท์ที่ว่าจะเป็นอะไร ผมต้องไขความกระจ่างว่าเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับซีเควนซ์ที่เต็มไปด้วยสตันท์ ในซีเควนซ์นี้มีอันตรายมากกว่าที่ผมเคยเห็นมาซะอีก ทอมตกอยู่ในอันตรายเสมอครับ”

แม้ว่าสตันท์พวกนี้จะลุ้นระทึกและเหลือเชื่อมากแค่ไหน แต่พวกมันก็ไม่ได้ก้าวไปสู่ขอบเขตของซูเปอร์ฮีโรที่ไม่สมจริง ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และผู้กำกับยูนิทที่สอง เว้ด อีสต์วู้ดกล่าว “นี่ไม่ใช่พวกหนังการ์ตูนที่มีคนเหาะจากหลังคารถ ด้วยความสูง 600 ฟุตแล้วก็ร่อนลงพื้น เราสร้างแอ็กชันที่ยังคงให้ความสมจริงอยู่ ผมคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชมเข้าถึงตัวละครของเขาในหนังพวกนี้ อีธาน ฮันท์เป็นมนุษย์ เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไร เขาไม่ได้เลือกทำมันด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเสมอไป แต่เขาทุ่มเททุกอย่างให้กับมัน เราก็เลยต้องสร้างแอ็กชันและสตันท์ที่สามารถทำให้ผู้ชมประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้พวกเขาหัวเราะได้และน่าเชื่ออีกด้วยครับ”


ภารกิจ: ระดับโลก

เช่นเดียวกับภาคก่อนๆ Mission: Impossible – Fallout พาทีมไอเอ็มเอฟเดินทางรอบโลกไปตามสถานที่ที่มีทิวทัศน์น่าทึ่ง “หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของแฟรนไชส์ Mission คือมันเป็นเหมือนบันทึกการเดินทาง” ผู้อำนวยการสร้างไมเออร์สกล่าว “Mission ภาคแรกขึ้นชื่อว่าถ่ายทำในสาธารณรัฐเช็กและสถานที่อื่นๆ ในยุโรป มันทำให้ผู้ชมอเมริกันได้รู้จักไอเดียที่ว่าพวกเขาสามารถเดินทางไปกับตัวละครเหล่านี้ ในแบบที่พวกเขาไม่น่าจะทำเองได้ ในตอนที่เรื่องราวเดินไปข้างหน้า พวกมันก็เริ่มกลายเป็นการเดินทางหลากวัฒนธรรมที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมทั่วโลกครับ”

แม็คควอร์รีย์ตระหนักอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการเลือกโลเกชันถ่ายทำที่น่าตื่นตาตื่นใจระหว่างที่เขากำกับ Mission: Impossible – Rogue Nation “ผมเริ่มหมกมุ่นกับมัน” เขากล่าว “ผมรบเร้าทีมงานผมให้หาโลเกชันที่สร้างความลึกซึ้ง สเกล และสโคปให้กับหนังเรื่องนี้ครับ”

ผู้ที่เป็นผู้นำในการเดินทางตามหาสถานที่ถ่ายทำใหมๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือผู้ออกแบบงานสร้าง ปีเตอร์ เวนแฮมและหัวหน้าผู้จัดการฝ่ายโลเกชัน เบน พลิทซ์ สิ่งหนึ่งที่เวนแฮมได้ทำตอนที่เขาเข้าทำงานโปรเจ็กต์นี้คือการปักหมุดโลเกชันทั้งหมดที่เคยถูกใช้ใน Mission: Impossible ที่ผ่านๆ มาบนแผนที่โลก “เราไม่อยากจะทำอะไรซ้ำซ้อนครับ” เขาอธิบาย “เราอยากให้เรื่องราวนี้ไปสู่ดินแดนที่เราไม่เคยย่างกรายไปมาก่อน”

พลิทซ์กล่าวว่า แม็คควอร์รีย์เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะสำหรับเรื่องสถานที่ถ่ายทำที่น่าตื่นเต้น “มุมมองของเขาก็คือ ‘หาโลเกชันเจ๋งๆ ให้ผม แล้วผมจะเขียนฉากสำหรับมันเอง’ น่ะครับ”

การถ่ายทำหลักของ Mission: Impossible – Fallout เริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม ปี 2017 ในกรุงปารีส “ผมกับทอมต่างก็รักปารีสและเราก็อยากจะทำในสิ่งที่นำเสนอเมืองแห่งนี้” แม็คควอร์รีย์กล่าว “เราได้ดูหนังสั้นเรื่อง Rendezvous ที่เป็นการไล่ล่ากันทั่วเมืองนานแปดนาที ที่ถ่ายทำจากมุมมองกันชนของรถซิ่ง เราอยากจะแสดงความเคารพต่อหนังสั้นเรื่องนั้น ซึ่งได้วิ่งผ่านสถานที่สำคัญทั้งหมดในปารีส และเราก็โชคดีมากๆ ที่เมืองนั้นยอมให้เราทำแบบนั้นครับ”

 ครูซยังมองว่ามันเป็นโอกาสในการได้แสดงความเคารพต่อธรรมเนียมของภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในนครหลวงของฝรั่งเศส “ผมได้ดูหนังเยี่ยมๆ หลายเรื่องที่ถ่ายทำในปารีส มันเป็นเมืองของหนังครับ” เขากล่าว “มันน่าทึ่งมากที่มีโอกาสได้เฉลิมฉลองเรื่องนั้น ที่ได้ทำงานที่นั่น และได้ทำให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำไปกับสภาพแวดล้อมนั้นน่ะครับ”

เวนแฮมกล่าวว่า อย่างไรก็ดี ทีมผู้สร้างมุ่งมั่นกับการนำเสนอนครแห่งแสงในแบบที่ไม่เคยมีการนำเสนอมาก่อนหน้านี้ วิธีหนึ่งที่พวกเขาทำก็คือการถ่ายทำจากท้องฟ้า “เราได้ทหารมาเกี่ยวข้องด้วยและสามารถใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ทำให้เราได้สโคปภาพทางอากาศที่วิเศษสุด ที่แสดงภาพปารีสในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนจากทางอากาศ เพราะไม่ค่อยมีใครได้รับอนุญาตครับ”


อาร์กเดอทรียงฟ์, แกรนด์ โอเปราและทุกหนทุกแห่งระหว่างนั้น

ซีเควนซ์สตันท์ใหญ่ซีเควนซ์แรกเกิดขึ้นในกรุงปารีส ที่ซึ่งอีธาน ฮันท์เป็นศูนย์กลางของการไล่ล่าไฮสปีดที่เกี่ยวข้องกับรถมอเตอร์ไซค์ รถคลาสสิก 1986 BMW M5 และรถบรรทุกหุ้มเกราะ การถ่ายทำทำให้ต้องมีการปิดสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดหลายแห่งในใจกลางเมืองปารีสเป็นระยะเวลาสั้นๆ รวมถึงอาร์กเดอทรียงฟ์และอเวนิว เดอ โลเปรา ที่ทอดยาวไปสู่ตัวแกรนด์ โอเปราเอง

“กรุงปารีสวิเศษสุดครับ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “พวกเขาได้มอบการควบคุมอาร์กเดอทรียงฟ์กับเรา ภายใต้ความเข้าใจที่ว่าเราสามารถควบคุมมันได้สองชั่วโมงในเช้าวันอาทิตย์ตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น มันทำให้เรามีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีที่จะทำทุกอย่าง ดังนั้น ทีมงานฝ่ายกล้องทุกคนก็จะต้องกะจังหวะเวลาอย่างพอดีเป๊ะเพื่อที่กล้องตัวหนึ่งจะได้ถ่ายทำต่อจากที่กล้องอีกตัวหนึ่งเหลือเอาไว้น่ะครับ”

ครูซเล่าว่า มันมีอุปสรรคอย่างหนึ่งเกิดขึ้น “กลไกรักษาความปลอดภัยของมอเตอร์ไซค์ผมเกิดอาการติดขัดขึ้นมาและเราก็กำลังเสียเวลา แม็คคิวมาหาผมถามว่าผมอยากจะทำอะไร ผมก็สตาร์ทเครื่องและบอกว่า ‘เพื่อนยาก เราต้องถ่ายทำนะ คุณตั้งกล้องไว้ตรงนั้น แล้วผมก็จะเลี้ยวหักมุมมาตรงนี้ด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่มอเตอร์ไซค์คันนี้จะทำได้’ แล้วเราก็ให้แสงมันครับ”

เว้ด อีสต์วู้ด ผู้มีผลงานกว่าเจ็ดสิบเรื่องในฐานะนักแสดงสตันท์และผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ ยอมรับว่าเขารู้สึกกังวลกับช็อตนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับรถ 70 คันที่สตันท์แมนจะต้องขับเลี่ยงครูซที่ขี่มอเตอร์ไซค์ท่ามกลางรถยนต์หนาแน่นด้วยความเร็วสูง โดยไม่สวมหมวกกันน็อค “แต่หัวคุณกระแทกผิดที่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ มันถึงตายได้เลยนะครับ” อีสต์วู้ดกล่าว “มันเป็นข้อกังวลอย่างใหญ่หลวง แต่มันก็มีเหตุผลของมันในหนัง สิ่งสำคัญก็เลยเป็นเรื่องของการจัดฉากทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมก็เลยโล่งอกมากตอนที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

ในตอนหนึ่งของการไล่ล่า อีธานขับรถซีดานวินเทจ BMW M5 ไปตามบันไดหิน คำสั่งที่อีสต์วู้ดให้ไปกับครูซคือหมุนรถ 180 องศา และหักพวงมาลัยใน 10 องศาสุดท้าย เหยียบคลัทช์ แล้วก็ผลักเกียร์ไปเกียร์แรกตอนที่รถเหินเวหา “ทีมสตันท์และนักแข่งรถอาชีพจะฝึกฝนการทำแบบนั้นมาทั้งชีวิต แล้วกับอะไรที่เฉพาะเจาะจงแบบนั้น คุณแทบจะไม่ได้มัน 100% ทุกครั้งหรอกครับ” อีสต์วู้ดอธิบาย “ทอมแสดงไปสี่เทค และสามครั้งก็เพอร์เฟ็กต์เลย”

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ อีธานและวอล์คเกอร์กระโดดร่มจากเครื่องบินทหาร C-17 โกลบมาสเตอร์ จากความสูง 25,000 ฟุต และร่วงลงบนด้านบนของตึกกระจก ก่อนจะรู้ตัวว่ามันไม่มีทางลง อีธานก็เลยต้องคลานไปยังสายไฟแรงสูง ตัดมันให้ขาดแล้วใช้ให้มันแกว่งกลับไปคว้าตัววอล์คเกอร์ ก่อนจะไต่ลงมาสู่พื้นดิน

นั่นเป็นสตันท์แรกในการถ่ายทำเรื่องนี้ของคาวิล “ผมจำได้ว่าตัวเองคิดว่า มันจะต้องสนุกมากแน่ๆ มันจะต้องเจ๋งแน่ๆ” เขาเล่า “คุณไม่รู้หรอกครับว่าตึกนั้นสูงขนาดไหนจนกว่าคุณจะไปยืนอยู่ตรงด้านล่างของตึก แล้วถูกยกตัวขึ้นมาจนถึงยอดตึกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายทำน่ะครับ”


ยินดีต้อนรับสู่นิวซีแลนด์

จุดหมายต่อไปของทีมงานคือควีนส์ทาวน์บนเกาะใต้ที่งดงามของนิวซีแลนด์ ที่ซึ่งทีมงานและนักแสดงไปเยือนในเดือนมิถุนายน ปี 2017 เพื่อถ่ายทำซีเควนซ์เฮลิคอปเตอร์ที่ระทึกชวนหัวใจหยุดเต้นของเรื่อง “เกาะใต้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนามากมาย ที่จะเข้าถึงได้ทางเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น” ผู้อำนวยการสร้างไมเออร์สกล่าวอธิบาย “มันเต็มไปด้วยพาหนะทางอากาศและนักบินมากประสบการณ์เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทางเฮลิคอปเตอร์ที่นี่ค่อนข้างจะใหญ่โตครับ” มันเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวในซีกโลกใต้และเวลาช่วงกลางวันก็สั้นมากๆ ดังนั้น การทำงานกับกลไกบนเฮลิคอปเตอร์และการขนส่งทีมงานจากแคมป์หลักไปยังโลเกชันต่างๆ ก็เริ่มต้นก่อนตะวันขึ้นเสียอีก

โลเกชันนิวซีแลนด์แห่งแรกคือในรีส วัลลีย์ ใกล้กับเกลนอร์ชี ที่ห่างจากควีนส์ทาวน์ด้วยการขับรถไปชั่วโมงครึ่ง ผู้ออกแบบงานสร้างเวนแฮมได้สร้างฉากค่ายแพทย์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่รวมถึงส่วนหนึ่งของหมู่บ้านแคชมิรีขึ้นมา อีธานและทีมไอเอ็มเอฟได้สะกดรอยเลนไปถึงหมู่บ้านเพื่อตามหาพลูโตเนียม พอพวกเขาไปถึงที่ค่าย อีธานก็ต้องตกใจเมื่อได้พบจูเลียและอีริค สามีใหม่ของเธอ ทำงานเป็นหมอที่นั่นเพื่อปิดกั้นการระบาดของโรคฝีดาษ

หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นของการถ่ายทำวันแรก เผ่าเมารีท้องถิ่นที่นำโดยหัวหน้าเผ่าเดวิด ฮิกกินส์ได้ทำพิธี “โพว์ฮิรี”ซึ่งเป็นพิธีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ รามส์เล่าว่า คนในเผ่า นักแสดงและทีมงานได้รวมตัวกันตรงด้านหน้าฉากหมู่บ้านแคชมิรีในตอนที่หัวหน้าเผ่าได้อัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษของเขามา “ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในแอฟริกา” นักแสดงหนุ่มกล่าว “การที่พวกเขายอมให้เราใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาช่วยเสริมองค์ประกอบอีกแบบหนึ่งในกับเรื่องครับ”

พิธีนี้เป็นหนึ่งในแง่มุมที่น่าจดจำที่สุดของการถ่ายทำสำหรับโมนาแกน “มันเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เธอกล่าว “หลังจากนั้น พวกเขาก็มอบหินศักดิ์สิทธิ์ที่สวยงามพวกนี้ให้กับเรา ซึ่งฉันเก็บรักษาไว้ในที่ที่ปลอดภัยมากๆ ค่ะ”


แขวนอยู่บนเส้นด้าย

ซีเควนซ์สตันท์ซีเควนซ์แรกที่ถ่ายทำในนิวซีแลนด์ถูกเรียกว่า “เชือกราว” ซึ่งเกี่ยวกับการที่ครูซไต่เชือกที่ห้อยลงจากเฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่ที่ความสูงระดับ 2,000 ฟุต ก่อนที่จะปล่อยตัวร่วงลงมา 40 ฟุตบนส่วนเก็บสัมภาระที่ปลายเชือกและกระเด้งตัวต่อจากนั้น

“มันน่ากลัวทีเดียวครับ” ไมเออร์สกล่าว “เหมือนกับทอมได้กระโดดบันจี้จัมป์จากเฮลิคอปเตอร์เลย สิ่งที่เสี่ยงมากที่สุดคือการที่ตัวเขาอาจจะไปพันอยู่กับเชือก เราก็เลยต้องสร้างระบบป้องกันเรื่องนั้น แต่ก็ยังคอยรักษาให้ทอมอยู่ภายใต้สายรัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัย เราให้นักบินมากประสบการณ์เกี่ยวกับเชือกราว คอยรับผิดชอบเรื่องความเปลี่ยนแปลงของลม ตอนที่เขาปีนขึ้นไปถึงฐานของเฮลิคอปเตอร์ เขาก็ยังมีแอ็กชันต้องแสดงต่อ เราได้ถ่ายทำซีเควนซ์นั้นมากกว่าที่เราคิดว่าเราจะทำได้เสียอีกครับ”

คาวิลเล่าว่าเขาได้ดูสตันท์ฉากนี้จากจุดปลอดภัยที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน “การได้เห็นทอมปีนเชือกเส้นนั้นแล้วร่วงลงมาเป็นอะไรที่น่าทึ่งทีเดียวครับ สิ่งที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้มีเพียงเฮลิคออปเตอร์ลำนั้น ถ้าเกิดลมกระโชกแรงหรือเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ทีมงานชุดนี้เคยเห็นสตันท์มามากมาย แต่ตอนที่เขาปล่อยตัวร่วงลงมา ทีมงานก็สะดุ้งเฮือกเลย และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการครับ”

ครูซกล่าวว่า สตันท์ฉากนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบและวางแผนนานสองปี “มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่สุดโต่งที่สุดที่เราได้ทำในหนังเรื่องนี้ แต่คุณจะทำอะไรแบบนี้บนกรีนสกรีนไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่องทางเทคนิคมากๆ คุณต้องคำนวณว่าเฮลิคอปเตอร์สามารถรับน้ำหนักได้มากเท่าไหร่ คุณจะตั้งกล้องไว้ที่ไหนได้บ้าง และมุมกล้องจะเป็นยังไง จะต้องมีการตรวจสอบกลไกทุกอย่าง ชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ต่างที่หลุดออกมาและกระทบกับใบพัดเป็นปัญหาจริงๆ ครับ มันต้องอาศัยฝีมือการบินที่ยอดเยี่ยมของนักบินและการติดตั้งกลไกของทีมสตันท์ ที่ทำงานอย่างเหลือเชื่อ”

นอกจากนี้ ซีเควนซ์นี้ยังต้องอาศัยการเตรียมพร้อมทางร่างกายอย่างหนักสำหรับครูซด้วย “ผมฝึกฝนสำหรับซีเควนซ์นี้มานานเลยล่ะครับ” เขากล่าว “การปีนเป็นเรื่องยากมากๆ มันยากมากที่จะหายใจให้ทันเพราะด้านบนมีอ็อกซิเจนน้อยกว่าด้วยแรงดันอากาศที่ต่ำภายใต้มอเตอร์ มันหนาวสุดๆ และผมก็ต้องสวมกลไกที่สกัดกั้นการหมุนเวียนของเลือด ซึ่งทำให้ขาผมชาไปหมด จากนั้น ผมก็ต้องไถลตัวลงไป 40 ฟุต ซึ่งคุณไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ผมปล่อยตัวเป็นอิสระห่างจากกล้องไปเรื่อย และมันก็มีจุดหนึ่งที่คุณจะต้องปล่อยมือ ในครั้งแรก มือผมเหมือนกับล็อคเลยล่ะครับ เหมือนกับว่าผมปล่อยเชือกไม่ได้เลย”

พอเขาปล่อยมือแล้ว ครูซก็ต้องพยายามควบคุมท่าทางของตัวเองระหว่างที่เขาร่วงลงไป “ผมอยากจะร่วงลงไปในท่านอนหงายก่อนจะกลิ้งตัวไปน่ะครับ” เขากล่าว “ผมรู้ว่ามันจะต้องมีแรงกระแทก และมันก็ทำให้ผมจุกเลย ถ้าไหล่ผมกระแทกแรงไปหรือถ้าผมเอาหัวลง มันคงไม่ดีแน่ครับ”

สตันท์ครั้งนี้ท้าทายกว่าการห้อยตัวอยู่นอกเครื่องบินที่กำลังเหินฟ้าอย่างที่เขาทำใน Mission: Impossible – Rogue Nation เสียอีก “เครื่องบิน A400 เป็นสตันท์ที่อันตรายครับ” ไมเออร์สกล่าว “แต่เขาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ซึ่งมันไม่ได้เสี่ยงพอๆ กับการทำงานกับเฮลิคอปเตอร์ กับลม กับดินฟ้าอากาศและเฮลิคอปเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่กำลังบินอยู่ในเวลาเดียวกันหรอกครับ”


กายกรรมเหินเวหา

อีกหนึ่งในซีเควนซ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายของเรื่องคือการไล่ล่าทางเฮลิคอปเตอร์ที่พลุ่งพล่านไปด้วยอะดรีนาลินท่ามกลางหุบเขาคดเคี้ยวของเทือกเขาเซาเธิร์น แอลป์ในนิวซีแลนด์ ครูซผ่านการฝึกบินอย่างเข้มข้นที่เริ่มต้นขึ้นในเท็กซัสกับทิม แม็คอดัมส์ หัวหน้านักบินของแอร์บัส เฮลิคอปเตอร์ บริษัทที่จัดหาเฮลิคอปเตอร์ให้กับการไล่ล่าครั้งนี้ เขาได้ร่วมงานกับนักบินกายกรรมเหินเวหาในอังกฤษ เพื่อเรียนรู้การบินสตันท์ตามที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการ หลังจากนั้น แม็คอดัมส์ก็ติดตามครูซไปนิวซีแลนด์และได้ร่วมงานกับเขาในทุกช็อต

“ผมเป็นครูสอนบินมา 35 ปีและมีนักเรียนไม่กี่คนหรอกครับที่มีความทุ่มเทและสมาธิในการทำให้ทุกอย่างถูกต้องเป๊ะๆ ในระดับเดียวกับเขา” แม็คอดัมส์กล่าว “ผมจำได้ว่าตอนที่สอนเขาให้ลอยตัว ถ้าผมบอกเขาว่า ‘ดีทีเดียว’ เขาจะบอกว่า ‘มันต้องดีกว่านี้อีก’ เขาจะฝึกอีกเป็นชั่วโมงๆ เลย มีตอนหนึ่งที่ผมถามเขาว่า ‘คุณโอเครึเปล่า’ เขามองกลับมาที่ผมแล้วตอบว่า ‘ผมสนุกกว่าที่ผมเคยสนุกมาในชีวิตอีก’ นะครับ”

ในนิวซีแลนด์ ครูซยังได้ฝึกฝนกับไซมอน สเปนเซอร์-โบเออร์ หนึ่งในครูสอนบินที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของโลก “ทอมชำนาญด้านการบินต่ำครับ” สเปนเซอร์-โบเออร์กล่าว” เขาชอบมัน และเขาก็รอบคอบมากๆ และเข้าใจถึงอันตรายที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่เรียนรู้ไวอย่างน่าทึ่ง ทันทีที่มีคนแสดงอะไรให้เขาดู เขาก็จะจับประเด็นได้ทันทีครับ”

ครูซได้บังคับเครื่อง Airbus H125 (ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในชื่อ AS350) รุ่นล่าสุด ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดี่ยวสมรรถนะสูง ซึ่งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมักใช้กัน ครูซตื่นเต้นที่ได้บังคับเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ ซึ่งมีค็อกพิทกระจกและแผงบังคับที่เป็นดิจิตอลทั้งหมด “พวกเขาเรียกมันว่ากระรอกครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “มันเป็นเฮลิคอปเตอร์ชั้นเยี่ยมสุดเซ็กซี ที่มีแรงอย่างที่เราต้องการและมันก็ดูร้ายไม่หยอกด้วย”

ในซีเควนซ์การไล่ล่า วอล์คเกอร์ ตัวละครของคาวิล ได้ขับเฮลิคอปเตอร์ Airbus BK17 ซึ่งจริงๆ แล้วขับโดยมาร์ค วูลฟ์ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานทางอากาศของการถ่ายทำด้วยเช่นกัน

“มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของผม และผมก็ทำงานนี้มา 48 ปีในหนังหลายร้อยเรื่องแล้ว” วูลฟ์กล่าว “มันเป็นซีเควน์ยาวที่ดำเนินไปในโลเกชันต่างๆ มากมาย ซึ่งทุกแห่งมีอันตรายทั้งนั้น มีเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินไปรอบๆ เราเคลื่อนย้ายคนทั้งกองด้วยเฮลิคอปเตอร์ 13 ลำ เข้าออกหุบเขาในระยะเวลาหลายวัน ดังนั้น มันก็เลยต้องอาศัยการวางแผนที่ละเอียดละออและมีความเสี่ยงมากมายที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยงครับ”

แม็คควอร์รีย์กล่าวติดตลกว่า เขานึกถึงแง่มุมไหนของซีเควนซ์กลางอากาศที่ไม่อันตรายไม่ออกเลย “ในกรณีของทอม เขาต้องทำงานสามอย่าง เขาเป็นนักบิน เป็นช่างกล้องและเป็นนักแสดงด้วย มันยากอย่างเหลือเชื่อเลย นอกเหนือจากนั้น เรายังต้องบินผ่านพื้นที่แคบๆ ที่มีสภาพลมที่คาดเดาไม่ได้ด้วย”

ด้วยความที่พอทีมงานเข้าไปถึงโลเกชันนั้นแล้ว การสื่อสารจะเป็นไปด้วยความยากลำบาก การถ่ายทำในหุบเขาแต่ละวันจึงเริ่มต้นด้วยการสรุปงานให้กับนักบินในช่วงเช้าที่ค่ายหลัก “เราจะยืนล้อมวงกันพร้อมด้วยเฮลิคอปเตอร์ของเล่นและสาธิตให้ดูว่าเฮลิคอปเตอร์จะต้องทำอะไรบ้าง” แม็คควอร์รีย์กล่าว

ซีเควนซ์กลางอากาศนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด ไมเออร์สกล่าว “นักบินที่บินผ่านหุบเขาพวกนี้เป็นนักบินท้องถิ่น ที่บินบริเวณนี้มาหลายปีแล้ว และมีไม่กี่คนหรอกครับที่สามารถบินต่ำไปถึงผิวน้ำและรับมือกับแม่น้ำที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดได้ ทอมถูกฝึกมาให้บินแบบนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นมากๆ และเขาก็ต้องบินด้วยตัวเอง สตันท์ส่วนใหญ่ที่เราทำกับทอมในอดีตจะมีการติดตั้งกลไกรักษาความปลอดภัยไว้ในนั้นด้วย เช่นสายเกลียวหรืออะไรทำนองนั้นที่จะช่วยรั้งตัวเขาไว้ในนาทีสุดท้าย อย่างตอนที่เขาปีนขึ้นตึกเบิร์จ คาลิฟาหรือด้านข้างของเครื่องบิน A400 ซีเควนซ์นี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทอม ถ้าเขาบังคับพลาดแม้ซักนิดเดียว ทุกอย่างก็จบเห่ มันสั่นประสาทมากๆ ครับ และทุกครั้งที่พวกเขากลับมา ผมก็จะถอนหายใจโล่งอกเลยล่ะ”

ซีเควนซ์ไล่ล่ากันนี้ลงเอยที่มิลฟอร์ด ซาวน์ในฉากที่ท้าทายเป็นพิเศษ ซึ่งวอล์คเกอร์เริ่มยิงใส่อีธาน ผู้ต้องหลบหลีกด้วยท่าที่เรียกว่า วิงโอเวอร์ หลังจากนั้น เฮลิคอปเตอร์ก็บินโฉบต่ำเหนือทะเลสาบก่อนที่จะบินม้วนเข้าไปในน้ำตก

“การบินม้วนเป็นเรื่องที่ยากอย่างเหลือเชื่อครับ” แม็คควอร์รีย์ตั้งข้อสังเกต “ผมบินกับทอมและครูฝึกของเขา ที่สาธิตให้ดูครั้งหนึ่ง เขามีประสบการณ์มาทั้งชีวิต ผมจินตนาการไม่ได้เลยว่าทอมจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้ ผมเฝ้าดูเป็นระยะเวลาสามหรือสี่วันตอนที่ทอมขยับจากการบินม้วนได้แค่รอบเดียวไปเป็นการบินม้วนได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวทีเดียว จากมุมมองของเราที่มองมันจากกล้อง คุณจะไม่เห็นความลึกของภาพ ทำให้การบินม้วนแต่ละครั้งดูเหมือนเขาจะชนเลยล่ะครับ”
« Last Edit: July 15, 2018, 08:47:13 PM by happy »

happy on July 15, 2018, 08:40:57 PM
ทุกก้าวย่างมีความหมาย

หลังจากสตันท์ท้ามฤตยูที่ครูซได้แสดงในนิวซีแลนด์ ก็ไม่มีใครคาดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพวกเขากลับมายังอังกฤษในเดือนสิงหาคม ปี 2017 เพื่อถ่ายทำการไล่ล่าบนหลังคาที่เมื่อเปรียบเทียบแล้วค่อนข้างจะเรียบง่าย เดิมที ซีเควนซ์นี้ ที่ถ่ายทำตามโลเกชันหลายแห่งในลอนดอน ซึ่งรวมถึงวิหารเซนต์ปอล, สถานีแบล็คไฟรอาร์สและพิพิธภัณฑ์เทท โมเดิร์น เป็นฉากแอ็กชันเล็กๆ ที่เชื่อมสององก์เข้าด้วยกัน แต่อย่างที่เรื่องมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ในการถ่ายทำ Mission: Impossible ซีเควนซ์นี้ก็ได้ขยายออกทั้งในเรื่องขนาดและความซับซ้อน ระหว่างการถ่ายทำส่วนหนึ่งของการไล่ล่านี้เองที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป

“ทอมแสดงสตันท์นี้ได้แบบเป๊ะๆ แต่เขาก็รู้ทันทีเลยว่าข้อเท้าเขาหักซะแล้ว” แม็คควอร์รีย์กล่าว “มีกล้องสี่ตัว และตัวหนึ่งก็หันไปทางเขาตรงๆ เขาก็เลยลุกขึ้นแล้ววิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อให้พ้นจากกล้อง ก่อนที่เขาจะล้มทรุดลงไปน่ะครับ”

ครูซกล่าวว่า เขาทุ่มสุดตัวตอนกระโดดเพราะเขาอยากให้ผู้ชมรู้สึกถึงความสิ้นหวังของฮันท์ในตอนที่เขาตัดสินใจเสี่ยงทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “แรงกระแทกมันรุนแรงมากเลยครับ และผมก็โดนกระแทกที่ซี่โครง ผมยื่นเท้าออกไปชั่วครู่เพื่อพยายามลดแรงกระแทกลง ทันทีที่ผมกระแทกกับกำแพง ผมก็รู้สึกเหมือนว่า ‘ให้ตายเถอะ’ ผมรู้ว่าผมจะต้องเดินหน้าต่อไปเพราะนี่เป็นเทคสำคัญ ผมก็ทำได้แค่วิ่งผ่านกล้องไปน่ะครับ”

หลังจากนั้น แม็คควอร์รีย์ก็ไปตรวจดูอาการของครูซ “เขายกขาขึ้นแล้วบอกว่า ‘ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันหัก’ ผมจำได้ว่าบอกออกไปว่า ‘มันก็มีข้อดีอยู่นะ เพียงแต่เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรเท่านั้นเอง’ ผมผ่านการผจญภัยและเรื่องผิดพลาดกับทอมมาเยอะแยะจนรู้ว่าหายนะคือโอกาสของความเป็นเลิศครับ”

การสแกนเอ็มอาร์ไอเผยว่า กระดูกข้อเท้าของครูซ ที่อยู่ส่วนล่างของข้อเท้า เหนือกระดูกส้นเท้า แตกเป็นเสี่ยง “มันเป็นอาการบาดเจ็บรุนแรงครับ” นักแสดงหนุ่มกล่าว “ตอนแรก หมอคิดว่าจะต้องใช้เวลารักษานานเก้าเดือน ผมทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อที่จะกลับไปได้ด้วยการทำกายภาพบำบัดและฝึกร่างกายประมาณ 10-12 ชั่วโมงต่อวัน และเราก็เริ่มถ่ายทำอีกครั้งในหกสัปดาห์ ใน 10 สัปดาห์ ผมสามารถเริ่มวิ่งได้อีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วพอ 12 สัปดาห์ ผมก็วิ่งระยะสั้นได้ ผมใช้เวลาสองวันในการวิ่งบนหลังคาสถานีรถไฟแบล็คไฟรอาร์ส และหลังจากนั้น ผมก็เดินไม่ได้ไปสามวันครับ”

โชคดีที่ภาพยนตร์ถ่ายทำไปได้ประมาณหนึ่งแล้วใตอนที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น ทำให้แม็คควอร์รีย์สามารถเริ่มงานลำดับภาพได้ “พอผมเริ่มงาน ผมก็สามารถประเมินหนังเรื่องนี้ได้ในแบบที่ผมไม่สามารถทำได้ถ้าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบนี้” ผู้กำกับกล่าว “มันทำให้ผมมีโอกาสได้รีไรท์เรื่องราวบางส่วนและเขียนบทหนังเรื่องนี้จนจบ เมื่อมองระยะยาวแล้ว มันก็เป็นประโยชน์ต่อหนังเรื่องนี้ครับ”


รอดมาได้หวุดหวิด

ในตอนจบของการไล่ล่ากันทางอากาศ เฮลิคอปเตอร์ของฮันท์และวอล์คเกอร์ได้ประสานงากันและร่วงลงไปบนยอดเขา มันเป็นฉากสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างสองตัวละครหลัก แม็คควอร์รีย์ต้องการให้ฉากนี้เกิดขึ้นที่ขอบเหวที่สูงชัน แต่แม้ว่าในนิวซีแลนด์จะมีภูเขามากแค่ไหน แต่ทีมโลเกชันก็ไม่สามารถหาสิ่งที่ผู้กำกับต้องการเจอที่นั่น

หลังจากการค้นหาทั่วโลก พวกเขาก็ตัดสินใจเลือกพรีเคสโตลเลน (พัลพิท ร็อค) ในนอร์เวย์ ซึ่งเป็นที่ราบสูงเล็กๆ ที่มีหน้าผาสูงชัน ที่ลาดลงไปสู่ฟยอร์ดจากความสูงเกือบ 2,000 ฟุต แม้ว่าจุดนี้จะเป็นโลเกชันที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับฉากต่อสู้ มันก็เป็นสถานที่ถ่ายทำที่ท้าทายมากๆ อย่างแรกเลยคือมันมีสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดโต่ง ด้วยลมพายุ หิมะ ฝนและแสงอาทิตย์ ซึ่งบางครั้ง ทุกอย่างนี้ก็เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ครั้งที่สองที่ทีมงานขึ้นไปสำรวจสถานที่ ลมแรงมากจนพวกเขาต้องคลานเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพัดตกจากหน้าผา และอากาศก็มีแต่จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน สถานการณ์ที่ท้าทายเหล่านี้ทำให้ครูซไม่มีเวลาที่จะทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปในตอนที่เขากลับมากองถ่ายอีกครั้งหลังจากพักฟื้นแล้ว

“ทอมกับเฮนรีขึ้นไปบนนั้นท่ามกลางอากาศหนาวเย็นบนพื้นที่ที่อันตรายมากๆ” แม็คควอร์รีย์กล่าว “ในตอนนั้น กระดูกเท้าทอมยังแตกอยู่ เขาก็เลยรู้สึกลำบากมากๆ” ทีมงานเจออุปสรรคจากสภาพอากาศ มีตอนหนึ่ง มันกลายเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าพวกเขาจะสามารถถ่ายทำให้เสร็จก่อนหน้าที่ฤดูหนาวจะมาเยือนได้รึเปล่า พวกเขาทำได้ แต่ประมาณ 15 นาทีหลังจากที่เฮลิคอปเตอร์ขนส่งทีมงานลำสุดท้ายบินขึ้นไป พายุหิมะก็ฝังโลเกชันทั้งหมด ทั้งอุปกรณ์และของทุกอย่าง ไว้ใต้หิมะ เครื่องมือบางอย่างต้องถูกทิ้งไว้จนกว่าพวกเขาจะไปเก็บมันกลับมาได้ในฤดูใบไม้ผลิปีถัดไป


การกระโดดร่มฮาโล

การโดดสูงเปิดต่ำ หรือฮาโล เป็นเทคนิคการกระโดดร่มพิเศษ ที่หน่วยทหารพิเศษใช้เพื่อแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ของศัตรู ในการถ่ายทำ Mission: Impossible – Fallout ครูซกลายเป็นนักแสดงคนแรกในภาพยนตร์ที่ได้กระโดดออกจากเครื่องโบอิ้ง C-17 Globemaster III จากความสูง 25,000 ฟุต เดิมที สตันท์นี้ถูกกำหนดให้ถ่ายทำที่ราฟ บริซ นอร์ตัน ฐานทัพอากาศที่อยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 75 ไมล์ ฉากภายนอกและภายในบางฉากถูกถ่ายทำที่นั่น แต่ความล่าช้าที่เกิดจากอุบัติเหตุของครูซทำให้การถ่ายทำถูกเลื่อนไปเป็นฤดูหนาวในอังกฤษ ทำให้เขาไม่สามารถฝึกฝนได้จนจบ

“ผมต้องการการฝึกดิ่งพสุธาแบบเข้มข้นเพราะซีเควนซ์นี้ต้องอาศัยเทคนิคสูงมากๆ และบอกตามตรงว่ามันอันตรายมากๆ ด้วย” ครูซกล่าว

การฝึกฝนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นที่ลีฟส์เดน สตูดิโอส์ในอังกฤษ ที่ซึ่งนีล คอร์บูลด์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ ได้ดูแลการสร้างอุโมงค์ลมแนวตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก “เราได้ออกแบบมันกับแอโรโดรมในลัตเวียครับ” เขากล่าว “พวกเขาทำงานได้อย่างน่าทึ่ง เราใช้เวลาออกแบบหกสัปดาห์และใช้เวลาสร้างห้าเดือนครับ”

คอร์บูลด์กล่าวว่า อุโมงค์ลมปกติสำหรับการฝึกกระโดดร่มจะใช้มอเตอร์ 800 กิโลวัตต์หนึ่งตัว ซึ่งจะสร้างลมที่พัดด้วยความเร็ว 130 ไมล์ต่อชั่วโมง อุโมงค์ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการถ่ายทำมีมอเตอร์สี่ตัว ที่หมุนด้วยเครื่องผลิตไฟฟ้าสี่เมกะวัตต์ และการดีไซน์ใบพัดแบบใหม่ ที่ทำให้มันสามารถยกคนได้มากถึงสี่คนไปถึงระดับความสูงมากกว่า 60 ฟุต

หลังจากการถ่ายทำหลักสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2018 หน่วยกระโดดร่มก็ได้เดินทางสู่อาบู ดาบี้ เพื่อเริ่มฝึกกับครูซ ผู้ต้องกระโดดให้สำเร็จอย่างน้อย 100 ครั้งก่อนที่การถ่ายทำซีเควนซ์ฮาโลจะเริ่มต้นขึ้นได้ นอกเหนือจากนั้น ครูซและวอล์คเกอร์ยังต้องฝึกการใช้อ็อกซิเจนในการบินที่ระดับความสูง

“สิ่งที่เสี่ยงที่สุดของการอยู่ที่ระดับความสูง 25,000 ฟุตคือภาวะขาดอ็อกซิเจนครับ” อัลลัน เฮวิตต์ อดีตนักแสดงของทีมเรด เดวิลส์ (ทีมแสดงของหน่วยพลร่มของกองทัพอังกฤษ) ผู้รวมทีมพลร่มเพื่อร่วมงานกับครูซในซีเควนซ์นี้ กล่าว “คุณจะรู้สึกเคลิ้มสุขนิดๆ แต่แล้วสมองคุณก็จะหยุดทำงาน คุณจะต้องมีนักกระโดดร่มคุ้มกันอยู่รอบๆ เพื่อที่ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทอมเกิดภาวะขาดอ็อกซิเจน เราจะรับรู้ได้และหยุดถ่ายทำ ในตอนที่คุณเกิดภาวะขาดอ็อกซิเจน คุณจะไม่รู้ตัวหรอกครับ คุณจะคิดว่าตัวคุณเองทำได้ดี มันก็เลยเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมากๆ”

อีกหนึ่งสมาชิกคนสำคัญของทีมคือดร.แอนนา ฮิคส์ แพทย์ทหารทางอากาศ ผู้สนใจในเรื่องการกระโดดร่มเป็นพิเศษและผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางอากาศของสมาคมการบินพลเรือนทั่วไปของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (จีซีเอเอ) เธอมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้แน่ใจว่าทีมงานและนักแสดงมีสภาพร่างกายพร้อมรับสภาพของการบินในระดับความสูงได้รวมถึงคอยสังเกตพวกเขาระหว่างการบินและการกระโดดร่มกับทีมงานในฐานะพลร่มคุ้มกันด้วย

ทูโฟร์54 บริษัทโปรดักชันในอาบู ดาบี้ ที่บริหารงานโดยท่านผู้หญิงมัรยัม อัลม์เฮรี ได้ทำข้อตกลงกับกองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์เพื่อให้ได้เข้าถึงเครื่องบิน C-17 Globemaster และเครื่องบินใบพัด DHC-6 Twin Otter ของสายการบินไวกิ้ง แอร์ ที่ถูกใช้สำหรับการฝึกซ้อม

“โชคดีที่กองทัพสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์รู้ว่าเรากำลังพยายามทำอะไรและอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมันด้วย” ครูซกล่าว “พวกเขาที่นั่นรักหนังและผมก็ซาบซึ้งพวกเขามาก เราไม่รู้หรอกว่าเราจะทำมันยังไงจนกระทั่งเราได้แตะพื้นที่อาบู ดาบี้และเริ่มซ้อมกัน ถ้าพวกเขาไม่ก้าวเข้ามาช่วยเหลือเราล่ะก็ เราคงจะถ่ายทำซีเควนซ์นี้ไม่ได้แน่ๆ”

สตันท์นี้นำมาซึ่งความท้าทายอีกอย่างหนึ่งที่มีผลลัพธ์ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ด้วยระดับความสูง 25,000 ฟุต ครูซและคาวิลจำเป็นต้องสวมหมวกอ็อกซิเจน แต่หมวกตามมาตรฐานจะปิดหน้า ดังนั้น หมวกของ “ตัวเอก” จะต้องถูกพัฒนาและสร้างขึ้นมาโดยแผนกอุปกรณ์ประกอบฉากร่วมกับเฮวิตต์

“คุณต้องการอุปกรณ์อ็อกซิเจนพิเศษ และคนกลุ่มเดียวที่มีมันก็คือพวกทหารครับ” ผู้เชี่ยวชาญด้านการกระโดดร่มกล่าว “อุปกรณ์ของพวกเขาถูกออกแบบมาให้รักษาชีวิตของคุณจนกระทั่งคุณมาถึงระดับความสูงที่ปลอดภัย มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำอะไรเลยในการปล่อยตัวร่วงลงมา เราก็เลยต้องดัดแปลงอุปกรณ์อ็อกซิเจนทั้งหมด พวกเขาอยากได้หมวกเปิดหน้าที่สามารถขึ้นไปถึงระดับความสูง 25,000 ฟุต ซึ่งไม่เคยมีการทำมาก่อน เราก็เลยต้องเริ่มต้นจากศูนย์และหาวิธีทำมันขึ้นมาครับ”

เฮวิตต์ได้ร่วมงานกับหัวหน้าช่างทำโมเดล โทบี้ เชียร์สและช่างทำโมเดลการออกแบบ CAD แดน รัตเตอร์เพื่อสร้างอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมา “เราสร้างหมวกนี้ขึ้นมาจากเรซินแข็งที่ปรินท์ออกมาเป็นสามมิติ” เชียร์สกล่าวอธิบาย “แต่มันไม่แข็งแรงพอ เราก็เลยขึ้นรูปโลหะด้วยวิธีไฟฟ้าเคมี โดยใช้ทองแดง ซึ่งทำให้พวกมันมีความแข็งแรงพอสมควร แล้วค่อยทาสีดำทับลงไป หนึ่งในส่วนที่ยากที่สุดของการออกแบบคือไฟแอลอีดีที่ถูกติดไว้รอบใบหน้าของนักแสดงเพื่อให้แสงพวกเขา หลอดไฟจะเคลือบไปด้วยซิลิโคนเพื่อที่จะไม่เกิดความเสี่ยงของการเกิดประกายไฟจากอ็อกซิเจนในกรณีที่หลอดไฟดับไปน่ะครับ”

ตารางการฝึกสำหรับการกระโดดฮาโลเข้มงวดมาก ตลอดทั้งวัน ครูซได้กระโดดจากเครื่องบิน Twin Otter สี่ถึงห้าครั้ง และหลังจากอาหารกลางวัน ก็กระโดดจากเครื่อง C-17 อีกสามครั้ง นักกระโดดร่มส่วนใหญ่จะฝึกเข้มแบบนั้นไม่เกินสองสัปดาห์โดยไม่พัก แต่จนกว่าการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้น ครูซก็ฝึกแบบนี้นานกว่าสี่สัปดาห์แล้ว

“ผมคิดว่า ผมฟิตพอ ผมจะกระโดดวันละ 10-15 ครั้ง แล้วเราก็จะชำนาญเรื่องนี้” นักแสดงหนุ่มกล่าว “แต่พอเราเริ่มทำงานกัน ผมก็คิดว่า เหอ! สิ่งที่เรากำลังทำมันหนักมากสำหรับเราทุกคนครับ”

ในฉากนั้น ฮันท์กระโดดออกจากเครื่อง C-17 เพื่อช่วยวอล์คเกอร์ ผู้กระโดดออกจากเครื่องบิน ก่อนจะถูกสายฟ้าฟาดจนหมดสติไป ความพยายามในการช่วยเหลือเขาเกี่ยวข้องกับกายกรรมเหินเวหาที่ซับซ้อนหลายท่าที่แม้แต่นักกระโดดร่มมากประสบการณ์ยังคิดว่าเป็นเรื่องท้าทาย นอกเหนือจากนั้น แม็คควอร์รีย์และครูซยังต้องการให้ฉากนี้เกิดขึ้นในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน หมายความว่าในแต่ละวัน พวกเขามีโอกาสถ่ายทำเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับอีกหนึ่งความท้าทายที่เป็นไปไม่ได้

“มันเป็นการกระโดดร่มที่ซับซ้อนมากๆ เมื่อคุณต้องช่วยเหลือคนที่ร่วงลงมาแบบอิสระ” เฮวิตต์กล่าว “ครูสอนการร่วงลงมาแบบอิสระต้องกระโดดกว่าพันครั้งกว่าจะทำได้ และประมาณ 70% ของคนที่พยายามเข้ารับการทดสอบในระดับครูฝึกก็ทำพลาด ทอมกระโดดเพียงแค่ 100 ครั้งในการกระโดดอย่างสมบูรณ์แบบครับ”

หนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับครูซคือการออกจากเครื่องบิน C-17 “มันเป็นเครื่องบินลำใหญ่ที่บินด้วยความเร็ว 160 ไมล์ต่อชั่วโมง” เฮวิตต์กล่าว “พอคุณก้าวลงมา ข้างใต้นั้นจะเต็มไปด้วยความปั่นป่วนของอากาศ คุณจะต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ซึ่งเป็นแรงปะทะกับร่างกายที่ค่อนข้างจะแรงทีเดียว แล้วคุณก็ต้องใช้กระแสอากาศนั้นในการช่วยให้คุณร่อนลงไปหาเป้าหมาย ทอมร่วงลงไปอิสระด้วยความเร็วประมาณ 160 ไมล์ต่อชั่วโมงและพอเขาไปถึงตัววอล์คเกอร์ เขาก็ต้องติดเบรก ซึ่งมันเป็นงานที่ต้องอาศัยความชำนาญมากๆ ครับ”

เคร็ก โอ’ ไบรอัน ช่างกล้องทางอากาศมากประสบการณ์ ถูกนำตัวมาถ่ายทำซีเควนซ์นี้ โอ’ ไบรอันมีประสบการณ์การกระโดดกว่า 23,000 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นในฐานะช่างกล้อง ในการบันทึกภาพช็อตนี้ เขาซ้อมท่าการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดรอบคอบกับครูซ

“สิ่งที่เคร็กทำเป็นเรื่องเหลือเชื่อครับ” ครูซกล่าว “เขาไม่เคยถ่ายทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่เขาก็เป็นศิลปิน คุณต้องการช่างกล้องที่ไม่เพียงแต่เข้าใจช็อตนั้นๆ แต่เขายังเข้าใจเรื่องราวด้วย เขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมครับ”

นอกเหนือจากความซับซ้อนในการออกแบบท่ากระโดดแล้ว โอ’ ไบรอันยังต้องติดกล้องเรด เว็พพอนพร้อมเลนส์ IMAX ไว้ที่หมวกของเขาอีกด้วย ไม่เพียงแต่มันจะหนักมากเท่านั้น (ประมาณ 20 ปอนด์) แต่เขายังต้องจับโฟกัสของกล้องโดยที่ไม่สามารถมองผ่านช่องมองภาพได้อีกด้วย อุปกรณ์ชิ้นนี้ถูกออกแบบมาร่วมกับบริษัทผลิตเลนส์ พานาวิชัน ซึ่งทำให้โอ’ ไบรอัน สามารถจับโฟกัสได้ระหว่างที่เขาถ่ายทำครูซใกล้ๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนโฟกัสโดยอัตโนมัติด้วยการวัดระยะห่างระหว่างที่เขาลอยไกลออกไป เลนส์ IMAX ไม่เคยถูกใช้ในการปล่อยตัวอิสระมาก่อน

“ผมอยากให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น” ครูซกล่าว “ทันทีที่ผมออกจากเครื่อง C-17 ผมก็กระโดดลังกาหลัง ซึ่งค่อนข้างจะรุนแรงทีเดียว ระหว่างที่ผมกระโดดนั้น ผมจะต้องมองหาให้ได้ว่าเคร็กอยู่ตรงไหน เพื่อที่ผมจะได้ลอยไปหาเขาได้ ในแต่ละเทค คุณไม่แน่ใจหรอกว่าคุณจะถ่ายอะไรได้บ้าง มันไม่เหมือนกับการที่คุณใช้กล้องปกติในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ แต่มันเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้และผมคิดว่าซีเควนซ์นี้ก็สื่อสารเรื่องนั้นออกมาครับ”

ในแต่ละวัน ครูซจะซ้อมกระโดดประมาณ 4-6 ครั้ง จากนั้น ก่อนหน้าที่พระอาทิตย์จะตก ในตอนที่แสงใช้การได้ แม็คควอร์รีย์ก็จะถ่ายทำการกระโดดครั้งสุดท้ายของวัน “เรามีเวลาสามนาทีในการถ่ายทำช็อตนั้น” ผู้กำกับกล่าว “และถ้าเราถ่ายทำไม่สำเร็จ เราก็รู้ว่าเราจะต้องกลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น ความตึงเครียดก็เลยจะก่อตัวขึ้นในระหว่างวัน นอกเหนือจากการเป็นงานสตันท์ที่น่าทึ่งแล้ว ทอมยังช่วยช่างกล้อง และแน่นอนว่าระหว่างนั้น เขาก็ยังแสดงไปพร้อมๆ กันอีกด้วย”

หลังจากช็อตนั้น ทีมงานก็จะรวมตัวกันในรถตู้วิดีโอเพื่อดูว่าฉากนั้นใช้การได้รึเปล่า “ทีมงานทุกคนรอดูว่าเราถ่ายทำได้รึเปล่า” ครูซกล่าว “มีหลายวันที่เราทำไม่ได้ ผมก็จะพาทุกคนมาดูฟุตเตจเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงใช้การไม่ได้และสิ่งไหนที่เราต้องทำให้แตกต่างออกไปน่ะครับ”

ซีเควนซ์นั้นถูกแยกออกเป็นสามส่วน และแต่ละส่วนก็ต้องอาศัยการฝึกฝนเข้มข้น การวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบและการฝึกฝนและการถ่ายทำนานหลายวัน “เราคิดว่าส่วนแรกจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พอเราไปถึงตอนที่สอง การกระโดดครั้งแรกก็ดูง่ายไปเลย” ครูซกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในที่สุด เราก็ทำส่วนที่สองสำเร็จ และทุกคนก็ตื่นเต้นกันมาก แต่ส่วนที่สามก็โหดไม่แพ้กัน เราต้องหาวิธีที่ทำให้มันเข้าคู่กับส่วนที่สอง ในตอนที่ผมตะครุบตัววอล์คเกอร์ได้ ผมพยายามจะจับตัวเขาไว้ และแรงหนีศูนย์กลางก็เกือบจะดึงแขนผมหลุดจากเบ้าเลย เส้นเอ็นที่แขนของผมและไหล่ของผมถูกดึงจนตึงสุดๆ เคร็ก ช่างกล้องของเรา ก็เจอกับเรื่องนั้นเหมือนกัน”

“หลังจากที่แม็คคิว, เจคและผมมองดูเทคสุดท้ายของส่วนที่สาม เราก็เรียกทีมงานมารวมตัวกันแล้วเปิดมันให้พวกเขาดู” ครูวกล่าวเสริม “มันเหมือนเราทุกคนตัดสินใจร่วมกันว่า นั่นคือการปิดกล้อง หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว! ทุกคนตื่นเต้นกันมากและภูมิใจกับสิ่งที่เราทำสำเร็จจริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดและเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่าผมเสพติดการสร้างหนัง มันเป็นความรู้สึกตอนที่คุณได้ร่วมงานกับคนที่มีพรสวรรค์มากๆ ในทุกแผนก ที่รักหนังและอยากจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ชม ในตอนที่ช่วงเวลาแบบนั้นเกิดขึ้น มันก็เป็นความรู้สึกที่น่าทึ่งและเป็นความรู้สึกที่คุณจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ครับ”