happy on June 06, 2018, 05:05:06 PM

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และ แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ ภูมิใจเสนอ

ผลงานความร่วมมือกับ ลีเจนดารี่ พิคเจอร์ส / เพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ เอนเตอร์เทนเมนต์

JURASSIC WORLD: FALLEN KINGDOM

คริส แพร็ตต์
ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด
เรฟ สปอลล์
จัสติซ สมิธ
แดนีลล่า พิเนด้า
เจมส์ ครอมเวลล์
โทบี้ โจนส์
เท็ด เลวิน
บีดี หว่อง
อิซาเบลล่า เซอร์ม่อน
เจอรัลดีน แชปลิน
และ
เจฟฟ์ โกลด์บลัม

ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
สตีเว่น สปีลเบิร์ก
โคลิน เทรวอร์โรว์

อำนวยการสร้างโดย
แฟรงก์ มาร์แชลล์, P.G.A.
แพทริค โครว์ลี่ย์
เบเลน อาเทียนซ่า, P.G.A.

สร้างจากตัวละครที่สร้างสรรค์โดย
ไมเคิล ไครชตัน

เขียนบทโดย
เดอเร็ก คอนโนลลี่ และโคลิน เทรวอร์โรว์

กำกับโดย เจเอ บาโจน่า

ชื่อภาพยนตร์:    JURASSIC WORLD: FALLEN KINGDOM
ชื่อไทย:           จูราสสิค เวิลด์:อาณาจักรล่มสลาย
วันที่เข้าฉาย:     7 มิถุนายน 2562
จัดจำหน่าย:      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


2 นักแสดงนำทักทายแฟน ๆ ชาวไทย
https://www.youtube.com/watch?v=IELEJ3BKnxU


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=IELEJ3BKnxU" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=IELEJ3BKnxU</a>

ตัวอย่างภาพยนตร์
https://www.youtube.com/watch?v=hD_zoGiyBTE


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=hD_zoGiyBTE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=hD_zoGiyBTE</a>

สัมภาษณ์นักแสดงนำ
https://www.youtube.com/watch?v=pDivXwCMIIQ&t=121s


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pDivXwCMIIQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pDivXwCMIIQ</a>




เบื้องหลังงานสร้าง

เป็นเวลานานถึงสามปีแล้ว นับแต่ที่สวนสนุกและรีสอร์ทสุดหรู จูราสสิค เวิลด์ โดนไดโนเสาร์ที่หลุดออกมาจากที่คุมขัง ทำลายจนพินาศ บัดนี้ เกาะอีสลานูบลาร์ถูกมนุษย์ทอดทิ้ง ขณะที่ไดโนเสาร์ที่รอดชีวิต ต้องเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองอยู่ในป่า

เมื่อภูเขาไฟยักษ์บนเกาะเริ่มส่งเสียงคำราม โอเว่น (คริส แพร็ตต์) และแคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด) ต้องช่วยกันรณรงค์เพื่อช่วยไดโนเสาร์ที่ยังเหลือรอดอยู่ให้พ้นจากเหตุภัยพิบัติที่อาจทำให้เหล่าไดโนเสาร์สูญพันธุ์ โอเว่นอยากตามหาบลู แร็ปเตอร์จ่าฝูงที่ยังคงหายตัวไปในป่า ขณะที่ แคลร์ มีความนับถือต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จนตอนนี้เธอถือว่ามันคือภารกิจที่ต้องช่วยพวกมัน พวกเขามาถึงเกาะที่แสนอันตรายขณะลาวาเริ่มกระจายพุ่งไปทั่ว แต่แล้ว การเดินทางของพวกเขากลับเผยให้เห็นถึงแผนสมคบคิดที่อาจเปลี่ยนโลกใบนี้ให้กลายเป็นแดนอันตรายในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์

ด้วยความมหัศจรรย์ การผจญภัย และความตื่นเต้นที่ผสานไปพร้อมกับการเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ชุดที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้จะทำให้คนดูได้พบกับการกลับมาของเหล่าตัวละครและเหล่าไดโนเสาร์ที่พวกเขาชื่นชอบ รวมถึงไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่ทั้งให้แรงบันดาลใจและสร้างความน่าสะพรึงยิ่งกว่าที่เคยมีมา 

ขอต้อนรับสู่ Jurassic World: Fallen Kingdom 

แพร็ตต์และฮาวเวิร์ด กลับมารับบทนำ โดยร่วมงานกับทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารชุดเดิมอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก และโคลิน เทรวอร์โรว์ จากฝีมือการกำกับของ เจเอ บาโจน่า  (The Impossible, The Orphanage), Jurassic World: Fallen Kingdom เขียนบทโดย เทรวอร์โรว์ ผู้กำกับของภาพยนตร์ Jurassic World และเดอเร็ก คอนโนลลี่ ร่วมเขียนบทด้วย ผู้อำนวยการสร้าง แฟรงก์ มาร์แชลล์ และแพทริค โครว์ลี่ย์ จับมือร่วมงานกับสปีลเบิร์กและเทรวอร์โรว์ นำทีมผู้สร้างสรรค์ให้กับผลงานอันสุดตระการตาเรื่องนี้ เบเลน อาเทียนซ่า เข้าร่วมทีมในฐานะผู้อำนวยการสร้าง

ที่เข้ามาร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ เจมส์ ครอมเวลล์ (Babe) ในบท เบนจามิน ล็อควู้ด มหาเศรษฐีนักลงทุนที่เคยเป็นหุ้นส่วนของ ดร. จอห์น แฮมมอนด์ เมื่อตอนที่สร้างจูราสสิค พาร์ค, จัสติซ สมิธ (The Get Down) รับบท แฟรงกลิน เว็บบ์ มือแฮ็คเกอร์ของแคลร์ในกลุ่มปกป้องไดโนเสาร์ ผู้รู้สึกสบายใจกับการนั่งทำงานอยู่ที่บ้านมากกว่าจะออกมาเป็นขาลุย, แดนีลล่า พิเนด้า  (The Detour) รับบทดร.เซีย ร็อดริเกซ สัตวแพทย์สัตว์โบราณคนเก่งที่ความเชี่ยวชาญของเธอไม่เคยผ่านการทดสอบกับไดโนเสาร์ตัวเป็นๆ มาก่อน, เรฟ สปอลล์ (Prometheus) รับบท อีไล มิลล์ส มือขวาของล็อควู้ดที่เรียกตัว แคลร์และโอเว่น ให้มาช่วยนำไดโนเสาร์ไปศูนย์อนุรักษ์ส่วนตัว, เท็ด เลวิน (Shutter Island) รับบท วีทลี่ย์ ทหารรับจ้างสุดโหดที่มิลล์สให้เป็นผู้นำปฏิบัติการที่เกาะอีสลานูบลาร์, โทบี้ โจนส์ (Captain America series) รับบทเอฟเวอร์ซอลล์ ที่มิลล์สดึงตัวมาเพื่อให้ดูแลปฏิบัติการที่คฤหาสน์ของล็อควู้ดหลังภารกิจช่วยเหลือ, เจอรัลดีน แชปลิน (A Monster Calls) รับบท ไอริส แม่บ้านที่คอยดูแลคฤหาสน์ล็อควู้ด และยังเป็นผู้เก็บงำความลับของครอบครัวนี้ และอิซาเบลล่า เซอร์มอน ผู้ประเดิมงานแสดงชิ้นแรกด้วยการรับบทเป็นหลานสาวที่มองโลกในแง่ดีของล็อควู้ด เมซี่ เด็กหญิงวัย 10 ขวบที่ใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มาทั้งชีวิต

สองนักแสดง บีดี หว่อง และเจฟฟ์ โกลด์บลัม กลับมารับบทเดิมของพวกเขา ในบท ดร.เฮนรี่ วู และดร.เอียน มัลคอล์ม โดย วู ก็คือนักพันธุศาสตร์โลภมากที่เคยทำงานกับอินเจน และยังคงพยายามสร้างชื่อเสียงในแวดวงวิทยาศาสตร์ สำหรับบทบาทของเขา นักคณิตศาสตร์ท่าทางเพี้ยนๆ อย่างมัลคอล์ม เขาเคยทำนายถึงชะตากรรมของ จูราสสิค พาร์ค ของแฮมมอนด์ เอาไว้เมื่อเกือบ 25 ปีก่อน และการนำเสนอทฤษฎีความยุ่งเหยิงของเขา และการทำนายถึงคนที่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิด จะได้รับการพิสูจน์ว่ามันเป็นจริง โดยเฉพาะเมื่อโอเว่นและแคลร์ค้นพบเกมที่อันตรายที่สุด

บาโจน่าได้รวบรวมกองทัพทีมงานฝีมือดี ซึ่งนำทีมโดยผู้กำกับภาพ ออสการ์ ฟอร่า (A Monster Calls, The Orphanage), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ แอนดี้ นิโคลสัน (Gravity, Captain America: The First Avenger), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดอน ดิฟเฟอร์ (Ex Machina, Imitation Game), ซูเปอร์ไวเซอร์ที่สร้างสรรค์เอฟเฟ็กต์ไดโนเสาร์ เจ้าของรางวัลออสการ์ นีล สแคนแลน (Star Wars Episode VII: The Force Awakens, Rogue One: A Star Wars Story) และผู้แต่งดนตรีประกอบเจ้าของรางวัลออสการ์ ไมเคิล จิแอ็คชิโน่ (Up, Jurassic World) ดนตรีที่เป็นงานธีมของ Jurassic Park เป็นฝีมือของเจ้าของ 5 รางวัลออสการ์ จอห์น วิลเลี่ยมส์ (ภาพยนตร์ชุด Star Wars, ภาพยนตร์ชุด Harry Potter)

Jurassic World: Fallen Kingdom ถ่ายทำกันในสหราชอาณาจักร และหมู่เกาะฮาวาย


เบื้องหลังงานสร้าง

ลาก่อน อีสลา นูบลาร์:
Fallen Kingdom ถือกำเนิด

มันอาจดูเหมือนยากที่จะเชื่อ แต่เมื่อตอนที่ทีมผู้สร้างที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Jurassic World เริ่มต้นงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขายังไม่รู้เลยว่าภารกิจแห่งรักที่พวกเขาทำครั้งนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในห้าภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล สำหรับ Jurassic World ผู้กำกับ โคลิน เทรวอร์โรว์ ซึ่งร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์ภาคที่แล้ว และยังกลับมาทำหน้าที่ผู้ร่วมเขียนบท และบัดนี้ ยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับ Jurassic World: Fallen Kingdom ด้วยนั้น การนำภาพยนตร์ชุดที่เคยทำให้เขาประทับใจตั้งแต่สมัยเด็ก มาสร้างใหม่ เขาได้จินตนาการเอาไว้ให้เป็นภาพยนตร์ไตรภาค เทรวอร์โรว์พร้อมด้วยผู้ร่วมเขียนบท เดอเร็ก คอนโนลลี่ รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้นำเอาเรื่องราวของ ไมเคิล ไครชตัน และผลงานการสร้างสรรค์ระดับโลกของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก มาสรรค์สร้างสู่ระดับใหม่ที่คาดไม่ถึงและเต็มไปด้วยอันตราย

เมื่อการออกทัวร์แถลงข่าวทั่วโลกจบลง และปล่อยให้คนดูเฉลิมฉลองต่อความสำเร็จระดับที่เป็นปรากฏการณ์ครั้งนี้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มกลับไปทำงานอีกครั้ง “ประมาณสองอาทิตย์หลังจาก Jurassic World เปิดตัวฉาย ผมใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส กับครอบครัวผม และต้องขับรถกลับไปบ้านของเราในเวอร์มอนต์” เทรวอร์โรว์เล่า “ผมถามเดอเร็กว่าเขาจะนั่งรถไปกับผมไหม เราจะได้ใช้เวลาระหว่างเดินทางข้ามฝั่งประเทศพูดคุยกันว่าเรื่องนี้จะเดินหน้าไปทางไหนได้บ้าง ผมมีไอเดียพื้นๆ ที่ผมอยากนำเสนอกับเขา ในที่ที่เราสามารถที่จะคิดอย่างอิสระ และรู้สึกแปลกกับสิ่งที่อนาคตจะเป็นไปได้”

ด้วยความเชื่อมั่นจากความสำเร็จอย่างมหาศาลของภาพยนตร์เรื่องนี้ และความเชื่อมั่นของสปีลเบิร์กในการเล่าเรื่องของพวกเขา ทั้งคู่จึงออกเดินทางเพื่อพูดคุยกันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับอดีตผู้ฝึกแร็ปเตอร์อย่าง โอเว่น, ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการอย่าง แคลร์ และไดโนเสาร์หลายพันตัวที่เดินไปมาอยู่บนเกาะ และที่บินอยู่เหนือเกาะอีสลา นูบลาร์ “สตีเว่นบอกเราว่า ‘ลองเล่าถึงสิ่งที่คุณคิดว่าน่าจะเป็นไปได้หน่อยซิ คุณคิดว่าตัวละครเหล่านี้ควรจะเดินทางไปไหน และเราควรพาพวกเขาไปในทิศทางไหน’” เทรวอร์โรว์เล่า “ดังนั้นเราก็เลยขับรถไปเวอร์มอนต์ และในระหว่างทาง เราก็คิดเรื่องที่กลายมาเป็น Fallen Kingdom ขึ้นมาครับ” 

ในขณะที่ Jurassic World นำเสนอสวนสนุกที่ดูจะมีอนาคต และนำพาไปสู่ชีวิตที่น่าสยดสยอง เทรวอร์โรว์รู้ดีว่าเรื่องราวบทต่อไป สามารถเล่นกับธีมที่มันเลวร้ายได้มากขึ้น นักเล่าเรื่องที่สร้างชื่อด้วยผลงานอย่าง Safety Not Guaranteed รู้สึกอยากรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ขัดแย้งจะเป็นอย่างไร “ไดโนเสาร์พวกนี้เคยอยู่ในโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน บัดนี้ พวกมันอยู่ในที่ที่แปลกหน้าสำหรับพวกมันอย่างแท้จริง” เทรวอร์โรว์เล่า “ผมคิดว่ามีอยู่วิธีหนึ่งที่เราสามารถเล่าเรื่องราวที่เป็นมุมมองของมนุษย์ได้ คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณถูกนำมาสู่โลกที่ไม่ใช่โลกของคุณ เพียงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับคนอื่น นั่นคือสิ่งที่เรายังไม่เคยนำเสนอกันมาก่อน และมันก็คือสิ่งที่เรารู้ดีว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะได้ประโยชน์ได้”

ขณะที่มือเขียนบททั้งสองออกแบบองก์ที่ 2 ของเรื่อง พวกเขาก็เริ่มวางแผลว่าจะพาคนดูไปยังจุดไหน ด้วยความโลภของนักลงทุนที่พยายามเล่นบทพระเจ้า กับแขกที่มาเยือนสวนสนุกแห่งนี้ที่พากันทุ่มเงินทอง จูราสสิคเวิลด์จึงถูกทำลายลงอย่างสิ้นซาก ทีมเขียนบทรู้ดีว่ายังมีพื้นที่นอกเกาะที่พวกเขาสามารถนำเสนอได้ โดยพวกเขาได้หว่านเมล็ดพันธุ์เอาไว้มานานหลายปีแล้ว “ผลของการทำลายล้างนั้นเป็นอย่างไร แล้วก้าวต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร” เทรวอร์โรว์ตั้งคำถาม “โชคดีที่มีเงื่อนงำมากมายที่เราได้วางเอาไว้ในภาพยนตร์ภาคที่แล้ว ทั้งในส่วนของแผนที่และในเว็บไซต์ ในหลายจุดที่คนดูอาจไม่ได้มองหาคำใบ้เกี่ยวกับภาพยนตร์สองเรื่องต่อไป มีข้อมูลที่ถูกฝังเอาไว้ในทุกเรื่องเลยครับ”

มีตัวละครเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดกับเทรวอร์โรว์มากเท่า แคลร์ เดียริ่ง และโอเว่น เกรดี้ อดีตคู่รักที่ดูเหมือนโชคชะตากำหนดให้ต้องใกล้ชิดและบ่นว่ากันตลอด เทรวอร์โรว์ได้พูดถึงพัฒนาการของสองตัวละครเอกคู่นี้ว่า “เราคิดเยอะมากว่าในช่วงสองสามปีต่อมา แคลร์จะเป็นยังไง และเธอรู้สึกผิด เสียใจ และต้องรับผิดชอบอย่างไร ซึ่งเธอพยายามกระทำเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดนั้น แคลร์รู้ดีว่ากำลังจะมีหายนะทางธรรมชาติเกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งทำให้เกิดคำถามต่อคนทั้งโลกว่า ‘เราควรจะปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ตาย หรือเราควรจะช่วยพวกมันดี’ เธอคือคนที่รู้สึกว่าเธอต้องรับผิดชอบในการช่วยเหลือไดโนเสาร์พวกนี้มากที่สุด”

“ในอีกด้านหนึ่ง เราก็มี โอเว่น ผู้รับผิดชอบในการพิสูจน์ว่าพวกแร็ปเตอร์สามารถเชื่อฟังคำสั่งได้ เขารู้ดีว่าพวกมันมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ในแบบเดียวกับที่สัตว์เคยถูกใช้ในการทำสงครามในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา” เทรวอร์โรว์กล่าวต่อ “นั่นก็คือการเปิดกล่องของแพนโดร่า เรามีตัวละครสองตัวนี้ที่เป็นเหมือนพ่อและแม่ของโลกใหม่ใบนี้ พวกเขาคือพ่อแม่ของหายนะทางชีวภาพที่ถูกสร้างขึ้นอย่างช้าๆ โดย จอห์น แฮมมอนด์ สำหรับเราแล้ว เป็นเรื่องสำคัญมากครับที่จะต้องหาวิธีที่จะใส่แฮมมอนด์ลงไปในเรื่องนี้ และเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน รวมไปถึงยังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวประวัติศาสตร์ที่ จูราสสิค พาร์ค เริ่มต้นขึ้นอีกด้วยครับ”

ไดโนเสาร์ถือเป็นตัวละครมากพอๆ กับแคลร์และโอเว่น และคงไม่มีหลักฐานใดจะชัดเจนเท่ากับ บลู เวโลซีแร็ปเตอร์ที่มีความผูกพันกับโอเว่นมาตั้งแต่ยังอยู่ในช่วงฟักไข่ หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดกับ เอ็คโค่ พี่น้องในคอกเดียวกัน จนทำให้บลูมีรอยแผลเป็นที่ปาก บลูกลายเป็นจ่าฝูง เมื่อโอเว่นแสร้งทำเป็นบาดเจ็บระหว่างการฝึก บลูแสดงความสงสารโอเว่น แต่บลูก็มีทั้งด้านที่ดุร้ายและด้านที่อ่อนโยน น่าเศร้าที่หลังจากยุคจูราสสิคเวิลด์แล้ว บลูกลายเป็นแร็ปเตอร์ตัวสุดท้าย

สำหรับทีมเขียนบท เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องนำแร็ปเตอร์ตัวนี้กลับมา เพราะทุกคนต่างรู้สึกผูกพันกับบลู ระดับในการเล่าเรื่องนี้ถือเป็นคุณสมบัติที่พิเศษมากในสายตาของสปีลเบิร์ก “บลูกลายเป็นตัวละครที่เราประทับใจครับ” สปีลเบิร์กบอก “ในภาพยนตร์ภาคแรก จอห์น แฮมมอนด์อยากอยู่ใกล้ๆ เวลาที่มีไดโนเสาร์ถือกำเนิดขึ้นทุกตัว เพราะเขาอยากให้ไดโนเสาร์เหล่านี้จำเขาได้ ในกรณีนี้ คนดูก็จำบลูได้ ทำให้บลูกลายเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งที่เราห่วงใยที่จะใส่ลงไปในภาพยนตร์ภาคที่ 2 นี้ครับ”

เป็นเรื่องสำคัญต่อการเล่าเรื่องที่จะต้องเปิดเรื่องราวของภาพยนตร์ชุดนี้ และแนะนำให้รู้จักกับไดโนเสาร์กลุ่มใหม่จากหลายยุคด้วยกัน ตั้งแต่บารีโอนิกซ์ และคาร์โนทอรัส จนถึงสไตกิโมล็อค ทีมเขียนบนได้ใส่ไดโนเสาร์ที่มีสีสันมากขึ้นลงไปใน Fallen Kingdom มากกว่าภาพยนตร์ทุกภาคก่อนหน้านี้ ราวกับนั่นจะยังไม่เพียงพอ พวกเขายังจินตนาการไดโนเสาร์ที่ถูกปรับแต่งพันธุกรรมที่รู้จักในชื่อ อินโดแร็ปเตอร์  โดยผสมดีเอ็นเอของเวโลซีแร็ปเตอร์, อินโดมินัสเร็กซ์ และใครจะรู้ว่ามีอะไรอีกที่ดร.วูจับผสมใส่เข้าไป ไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้น่ากลัวเพราะขนาดของมัน แต่เป็นเพราะความเฉลียวฉลาด ความเร็ว และความสามารถที่จะทำตามคำสั่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอินโดแร็ปเตอร์คืออาวุธที่สมบูรณ์แบบ

แน่นอนว่าคงจะไม่ใช่ภาพยนตร์ Jurassic แน่ถ้าปราศจากดาราดาวเด่นอย่าง ทีเร็กซ์ “ทีเร็กซ์ก็กลับมาเช่นกันครับ” เทรวอร์โรว์บอก “เราติดตามตัวละครตัวเดิมนี้ตั้งแต่ต้น มันยังเป็นทีเร็กซ์ตัวเดิมใน Jurassic Park และใน Jurassic World มันคือตัวละครที่โด่งดัง ไม่ใช่เพราะมันคือทีเร็กซ์ แต่เป็นเพราะมันคือทีเร็กซ์ตัวนี้เท่านั้นครับ”
« Last Edit: June 06, 2018, 05:14:46 PM by happy »

happy on June 06, 2018, 05:17:41 PM



งานกุมบังเหียน:
บาโจน่า เข้าร่วมทีม Jurassic

เมื่อถึงเวลาต้องก้าวไปสู่บทต่อไปของเรื่องราวไตรภาคนี้ ทางทีมผู้อำนวยการสร้างหันไปหาผู้กำกับชาวสเปนที่ได้รับคำชมอย่าง ฮวน แอนโตนิโอ “เจเอ” บาโจน่า เพื่อให้เขาเข้ามาร่วมการเดินทางในครั้งนี้ด้วย บาโจน่าซึ่งมีชื่อเสียงในการสร้างผลงานที่มีความเป็นส่วนตัวและความน่าประทับใจในการเล่าเรื่อง รู้สึกกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทีมสร้างภาพยนตร์ที่น่าจะเป็นงานที่ท้าทายที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา เราเริ่มต้นเมื่อบาโจน่าย้อนเล่าถึงความทรงจำที่เขามีต่อภาพยนตร์เอพิคเรื่องหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น “เช่นเดียวกับคนมากมายในรุ่นเดียวกับผม มีความรู้สึกมหัศจรรย์มากครับเมื่อตอนที่ผมได้ดูหนังเรื่อง Jurassic Park มันมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกติดใจกับไดโนเสาร์ที่อาศัยอยู่บนโลกของเราเมื่อหลายล้านปีก่อน และไอเดียในการนำพวกมันกลับมาจากการสูญพันธุ์ ก็น่าทึ่งมาก มันเป็นไอเดียที่ทั้งมีลูกเล่นและฉลาดมากสำหรับภาพยนตร์ชุด ครั้งแรกที่ผมได้เห็นไดโนเสาร์แบคิโอซอรัสบนจอ ผมรู้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้หมดครับ”

และคงยากมากที่จะปฏิเสธชายคนที่ชื่อของเขาบ่งบอกถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ประจำซัมเมอร์ และยังมีความเชื่อมโยงกับความทรงจำเกี่ยวกับภาพยนตร์มากมาย บาโจน่าย้อนเล่าถึงวันดีๆ วันหนึ่งโดยเฉพาะ “สตีเว่น สปีลเบิร์กคือคนที่ให้โอกาสกับผมครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำงานกับเขา ผมชื่นชมเขามากเลยครับ การที่ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Impossible, The Orphanage และ A Monster Calls การที่ได้รับโอกาสให้กำกับภาพยนตร์ผจญภัยสักเรื่องหนึ่ง มันให้ความรู้สึกสนุกสนานมากสำหรับผม และจังหวะเวลาก็ลงตัวที่สุดเลยครับ”

บาโจน่ารู้สึกดีใจที่ เทรวอร์โรว์ ผู้มีความรักในทุกอย่างที่เป็น Jurassic ยินดีที่จะร่วมงานกับเขาในการนำเรื่องราวบทใหม่มาขึ้นจอ “โคลินนำเสนอเรื่องนี้ในตอนที่สองของภาพยนตร์ไตรภาค และทำให้ผมตื่นเต้นมากเลยครับ" ผู้กำกับบาโจน่าบอก “นับแต่วันนั้น เราก็ทำงานร่วมกันเพื่อรวมทุกอย่างเข้ากับจินตนาการของผม ผมชอบเล่นกับงานเขย่าขวัญเพื่อดึงดูดใจคนดู ผมชอบความตึงเครียด และการทำให้คนดูได้สัมผัสกับประสบการณ์ทั้งหมดครับ”

บาโจน่าที่เป็นคนถ่อมเนื้อถ่อมตัว ยินดีตอบรับโอกาสที่จะร่วมงานกันในครั้งนี้ “ตอนที่ผมเข้ามาทำงาน ผมรู้ว่าผมจะต้องดูแลลูกของสตีเว่นและโคลิน ในฐานะผู้กำกับ ผมสามารถใส่อะไรมากมายลงไปในเรื่องนี้ ต่อพลังและต่อโทนของเรื่อง อย่างไรก็ดี ผมทราบดีว่าภาพยนตร์ Jurassic เป็นที่รักของคนหลายล้านคน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผมจะต้องทำงานกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังนำประสบการณ์ใหม่อันน่าตื่นเต้นมาให้คนดู ขณะเดียวกันก็รักษาจิตวิญญาณของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้เอาไว้ครับ”

บาโจน่ากล่าวว่าจินตนาการของเขาในวัยหนุ่ม ถูกจุดประกายขึ้นโดยความเป็นอัจฉริยะของ ดร.ไครชตัน “สิ่งที่ผมรักในหนังสือของ ไมเคิล ไครชตัน เสมอมา ก็คือนอกจากมันทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับการผจญภัยอันยิ่งใหญ่แล้ว หนังสือพวกนี้ยังทำให้คุณคิดถึงผลสะท้อนของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้วยครับ มันไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไปแล้ว ความเป็นจริงของความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมในทันที เมื่อ 25 ปีก่อน การโต้แย้งกันเกี่ยวกับข้อจำกัดทางศีลธรรมของวิทยาศาสตร์ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ทุกวันนี้มันคือข่าวรายวัน โคลินกับเดอเร็กรู้ดีว่าพวกเราจำต้องพูดถึงเรื่องนี้ และมันทำให้ภาพยนตร์ของเรามีประเด็นที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ปัจจุบันครับ”

บาโจน่าและเทรวอร์โรว์ทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดตลอดงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งคู่ต่างเปิดใจที่จะให้ไอเดียของพวกเขาผ่านการทดสอบ และทดสอบซ้ำโดยเพื่อนผู้กำกับด้วยกัน “มันเป็นสถานการณ์ที่โดดเด่นมาก และผมก็รู้สึกภูมิใจกับวิธีที่เจเอและผมสามารถทำงานร่วมกันได้ครับ” เทรวอร์โรว์ให้ความเห็น “การจะมีผู้กำกับสองคนมาอยู่ด้วยกันได้นั้น และยังพยายามที่จะยอมรับในไอเดียของอีกฝ่าย ส่งผลให้เกิดงานที่พิเศษมากจริงๆ ครับ เจเอกับผมมีความแตกต่างกันมาก แต่ผมเชื่อว่าผลลัพธ์ของสิ่งที่เราทำนั้นมีความโดดเด่นจริงๆ ครับ เขามีความรู้สึกต่อองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำให้ภาพยนตร์ Jurassic ประสบความสำเร็จ เขาใส่จิตวิญญาณลงไปในภาพยนตร์ของเขา และความรู้สึกของครอบครัว แต่ครอบครัวก็ต้องผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดด้วยกันครับ”

สปีลเบิร์กพอใจที่บาโจน่าสามารถประสานเอกลักษณ์ของเขาลงไปในจักรวาลที่มีสไตล์อันโดดเด่นเฉพาะตัวอยู่แล้ว “สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์ชุด Jurassic มีเหมือนกันก็คือ พวกมันถูกสร้างโดยผู้สร้างที่รักงานสร้างภาพยนตร์ครับ” สปีลเบิร์กกล่าว “ฮวน แอนโตนิโอได้สร้างงานที่น่าทึ่งผ่านงานศิลปะของเขา เพื่อจะทำให้ Fallen Kingdom ดูคล้ายกับภาพยนตร์ภาคแรกที่ผมกำกับเอาไว้ และเหมือนภาพยนตร์ตอนสุดท้ายที่โคลินกำกับ แต่ยังคงทำให้มันเป็นผลงานของเขาเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เพราะเขาคือผู้กำกับตัวจริงที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง เขาพบวิธีที่ไม่ต้องเปลี่ยนโทนหรืออารมณ์ หรือสไตล์ของ Jurassic Park แต่ยังเป็นวิธีที่ทำให้ให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นงาน Jurassic World ของเขาเอง เราโชคดีมากที่เขานำสไตล์ของเขามาสู่ภาพยนตร์ชุดของเรา”

สำหรับ แฟรงก์ มาร์แชลล์ ที่หวนกลับมาทำหน้าที่อำนวยการสร้าง เสน่ห์ของการร่วมมือกันครั้งนี้ก็คือการไม่ต้องคิดอะไรมากเลย “โคลินกับเดอเร็กได้นำเอาองค์ประกอบที่เราคุ้นเคยอยู่แล้วมา และผลักดันมันไปสู่ระดับใหม่ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีงานสร้างระดับใหญ่มหาศาล เราเริ่มต้นกันที่ตัวสวนสนุก ในสภาพแวดล้อมที่กว้างใหญ่ไพศาลที่มีภูเขาไฟ รวมไปถึงฉากใต้น้ำ และภายในฉากหลบหนีต่างๆ จนถึงตอนนี้ มนุษย์และไดโนเสาร์แยกขาดจากกัน ใน Fallen Kingdom เราจะได้เห็นปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เรานำ บลู กลับมา, รวมถึงโมซาซอรัส, ทีเร็กซ์ และไดโนเสาร์อื่นๆ ที่คุณจะต้องจำได้ และไดโนเสาร์ใหม่ๆ ที่คุณยังไม่เคยเห็นมาก่อนครับ”

มาร์แชลล์พอใจอย่างมากที่บาโจน่านำความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นในภาพยนตร์ชุดนี้มาใส่ลงไปด้วย “เจเอมีจินตนาการทางภาพที่ดีมาก ซึ่งเขาได้สร้างโลกที่แสนมหัศจรรย์ และตัวละครที่มีความกระชับ มันไม่ใช่แค่เรื่องเกี่ยวกับไดโนเสาร์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวละคร เขาได้นำเอาวิสัยทัศน์ และความตื่นเต้นมาใส่ตัวละครเหล่านี้เมื่อพวกเขาได้ผ่าน Jurassic World”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดาราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภาพยนตร์ Jurassic ทุกภาคก็คือเหล่าไดโนเสาร์ที่น่าตื่นตา เป็นผลิตผลของเหล่าศิลปินชั้นแนวหน้าที่ทำงานในแวดวงหุ่นบังคับและงานวิชวลเอฟเฟ็กต์ “เราหาคนที่มีประสบการณ์มาทำงานกับเจเอ เป็นคนที่เคยผ่านงานสร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มาแล้ว” มาร์แชลล์บอก “ไอแอลเอ็มทำงานอย่างใกล้ชิดกับเขา พวกเขาผลักดันขอบเขตของเทคโนโลยีออกไป มันน่าตื่นเต้นที่ได้มาเห็นของเล่นใหม่ๆ ที่พวกเรามีในกล่องเครื่องมือ เพื่อสร้างฉากต่างๆ ที่มีไดโนเสาร์ เรายังมี นีล สแคนแลน ซึ่งจินตนาการไดโนเสาร์สุดยอดเหล่านี้ขึ้นมาตลอดหลายปีมานี้ และสร้างหุ่นบังคับของเรา แฟนๆ จะได้สนุกกับการที่เราใช้ไดโนเสาร์ของจริง และสำหรับนักแสดง มันดีสำหรับพวกเขาที่ได้แสดงกับไดโนเสาร์จริงๆ ครับ”

แพทริค โครว์ลี่ย์ ซึ่งกลับมาร่วมงานกับมาร์แชลล์ เพื่ออำนวยการสร้างภาพยนตร์ภาคใหม่นี้ ได้พูดถึงรากฐานที่แข็งแกร่ง และการใส่ใจที่สร้างประโยชน์ให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ “องค์ประกอบสำคัญที่เรามีในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องนี้ ก็คือความเกี่ยวข้องของโคลิน เทรวอร์โรว์ และสตีเว่น สปีลเบิร์ก สตีเว่นเป็นปรมาจารย์ ผมต้องทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้น ได้สะท้อนความตั้งใจแรกเริ่ม และยังมีธีมต่างๆ ที่เขาได้สร้างขึ้นเมื่อนานมาแล้ว โคลิน, สตีเว่น และตอนนี้ก็คือเจเอ เข้าใจถึงความรับผิดชอบในการสร้างความตึงเครียดและอันตราย ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ที่คนดูไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งสถานที่ ไดโนเสาร์ที่ยังไม่เคยขึ้นจอมาก่อน และประสบการณ์ใหม่เอี่ยมเลยครับ”

โครว์ลี่ย์เอ่ยชมว่าผู้กำกับบาโจน่าได้ช่วยเพิ่มพลังให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ในแบบที่ทุกคนต้องการ “The Impossible คือประสบการณ์ที่พวกเรารู้สึกว่าทำให้ เจเอ เป็นตัวเลือกที่มีค่าที่จะมาสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ เรารู้ดีว่าเขาสามารถรับมือกับงานสร้างที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้ เขาเคยได้ทุนสร้างน้อย แต่ความเชี่ยวชาญของเขาคือการสร้างความตึงเครียดและการดึงเอาความรู้สึกแบบเดียวกันใส่ลงไปในภาพยนตร์ Jurassic ซึ่ง โคลิน ได้นำมาสู่ Jurassic World”

สำหรับโครว์ลี่ย์ ภาพยนตร์ Jurassic จะไม่มีทางสมบูรณ์ได้ถ้าปราศจากไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ๆ และมันยังเป็นแหล่งกำเนิดความภาคภูมิใจที่ทีมงานจะเอาชนะตัวเอง โดยไม่ทำให้การเล่าเรื่องอ่อนด้อยลง “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณจะเห็นไดโนเสาร์มากกว่าที่คุณเคยเห็นมาก่อนครับ” ผู้อำนวยการสร้างโครว์ลี่ย์บอก “คุณจะได้เห็นไดโนเสาร์อย่างใกล้ชิดขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากๆ ครับ ซึ่งเกี่ยวพันกับงานแอ็กชั่นที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เราใช้เวลามากมายกับบลู ซึ่งคือหัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ เรายังมีไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า อินโดแร็ปเตอร์ ซึ่งเป็นผลงานการปรับแต่งพันธุกรรมของ ดร. วู มันฉลาดมาก และยังมีร่างกายที่สามารถเคลื่อนไหวราวกับกิ้งก่า มันสามารถเข้าไปยังที่ต่างๆ ที่ไดโนเสาร์ตัวอื่นใหญ่เกินกว่าจะเข้าไปได้ มันร้ายกาจมากจริงๆ ครับ”

ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์นี้คือสิ่งที่สร้างความพอใจให้กับสปีลเบิร์กโดยเฉพาะ เขาหัวเราะ เมื่อกล่าวว่า “นี่คือภาพยนตร์ Jurassic ตอนแรกที่ผมสามารถพูดได้เลยว่าเรามีอสูรกายแล้วครับ อินโดแร็ปเตอร์คือไดโนเสาร์ แต่มันก็คืออสูรร้ายจริงๆ ทำให้ Fallen Kingdom กลายเป็นงานไฮบริดระหว่างภาพยนตร์เกี่ยวกับไดโนเสาร์ และภาพยนตร์อสูรกาย”

สำหรับหน้าที่ของเธอ ผู้อำนวยการสร้างเบเลน อาเทียนซ่า ซึ่งถือว่าเป็นมือขวาของบาโจน่า รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มาร่วมกลุ่มผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีประสบการณ์โชกโชน ในการเดินทางที่ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 25 ปี เมื่อพูดคุยถึงประสบการณ์ในการทำงานกับภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World: Fallen Kingdom ทัศนคติของเธอสะท้อนความรู้สึกมหัศจรรย์ในวัยเด็กของ บาโจน่า “มันให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะมันเตือนให้เรานึกถึงวัยเด็กของเราค่ะ” อาเทียนซ่าบอก “ความมหัศจรรย์ของไดโนเสาร์ การผจญภัย ป่า เรื่องราวลึกลับ งานแอ็กชั่น และความตื่นเต้นเขย่าขวัญ มันน่าทึ่งมากค่ะ” พลังงานนั้นเหมือนแพร่กระจายไปทั่วทั้งกองถ่าย “นับแต่วินาทีแรกที่เราเริ่มต้นทำงานกับโปรเจ็กต์นี้ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่เราจะคั้นทุกวินาทีที่เราทำได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ และนำส่งไปให้คนดูค่ะ”

อาเทียนซ่า ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องของ บาโจน่า มีจิตวิญญาณที่คล้ายคลึงกันในการเล่าเรื่องราวที่ตรึงใจ เธอได้พูดถึงกระบวนการทำงานนี้ว่า “จินตนาการเริ่มต้นขึ้นด้วยการวางเฟรมภาพของฉาก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชอตภาพ และการทำงานที่ต้องทำกันล่วงหน้านานหลายเดือนค่ะ มีการอ่านบท การตีโจทย์ชอตต่างๆ การเคลื่อนกล้องทั้งหมด ความเร็ว และเวลาที่คุณใช้กับตัวละครแต่ละตัว ในวันนั้น จะมีข้อมูลจากนักแสดงและทีมงานคนอื่นๆ เราเปิดรับความคิดเห็นเสมอ เมื่อคุณรู้ว่าฉากนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร จากนั้น มันก็คือการทำให้ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ”

เมื่อพูดถึงสไตล์ที่ บาโจน่า ใช้มานานหลายปี อาเทียนซ่ากล่าวว่า บาโจน่าเป็นทั้งคนทำงานที่มีวินัย และเป็นนักเล่าเรื่องที่มีความซุกซน “เขามักลองค้นหาสิ่งที่มันพิเศษจริงๆ ค่ะ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมถึงได้มีฉากที่มีสีสันอยู่ในภาพยนตร์ของเขาทุกเรื่อง ซึ่งคุณจะไม่รู้เลยว่าคุณจะได้เจออะไรต่อไป เขาต้องการสามหรือสี่จังหวะจากทุกชอต มันมีความซับซ้อนมาก เหมือนการออกแบบเทคนิค ซึ่งเป็นสัญชาตญาณในตัวเขา ขณะเดียวกัน เขาก็คือศิลปินที่ทุ่มเทอย่างมาก ถือเป็นความเพลิดเพลินทีเดียวที่ได้เห็นเขาทำงานค่ะ”

happy on June 06, 2018, 05:20:57 PM



ตัวเลือกที่รอดชีวิต:
ตัวละครสุดโปรดกลับคืนจอ

แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคิดถึงการกลับมาของ Jurassic World โดยไม่มีคู่แคลร์กับโอเว่น “ทุกคนชอบคู่นี้มากครับ” บาโจน่าบอก “การแสดงที่มีเคมีเข้ากันระหว่างไบรซ์กับคริส ทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดคลาสสิก เราต้องย้อนกลับไปที่ตรงนั้น คริสได้สร้างตัวละครที่น่าทึ่งขึ้นมา เขาทำให้โอเว่นมีเสน่ห์และมีอารมณ์ขัน เขายังมีความแข็งแกร่งภายในที่ตรงไปตรงมา ซึ่งสื่อสารถึงคนดูว่าเขามักทำเรื่องที่ถูกต้องเสมอ”

แพร็ตต์เล่าถึงสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์ชุดนี้ยังคงสร้างความผูกพันกับคนดูได้ “ความสำเร็จของ Jurassic World เริ่มต้นด้วยความสำเร็จของ Jurassic Park ภาพยนตร์ภาคแรกนั้นเป็นที่รักอย่างมาก มันเข้าถึงจินตนาการของคนรุ่นนั้น และโลกก็หิวโหยที่จะได้เห็นเรื่องราวนี้ในเวอร์ชั่นใหม่ครับ เป็นเรื่องที่มาพร้อมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งถูกสร้างขึ้นในแวดวงงานสร้างภาพยนตร์นับแต่ปี 1993”

การทำงานกับบาโจน่าถือเป็นประสบการณ์ที่เป็นรางวัลสำหรับแพร็ตต์ “เจเอคือคนที่ชอบหนังอย่างมากครับ” แพร็ตต์บอก “เขาชอบหนังที่มีความสุดกู่ และเขาก็ใส่ลักษณะเช่นนั้นใส่ลงไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขากำลังเล่น ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ตรงนั้น แต่เป็นสิ่งที่อาจอยู่หัวมุมถนน ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ จินตนาการ และความตื่นเต้นเขย่าขวัญครับ เจเอคือปรมาจารย์จริงๆ”

มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในโลก Jurassic ที่สามารถเข้าใจถึงความโหดร้ายของการต้องใช้ร่างกายในภาพยนตร์เหล่านี้อย่างหนัก ดังนั้น แพร็ตต์จึงดีใจอย่างมากที่เขามีโอกาสได้กลับมาร่วมงานกับฮาวเวิร์ดอีกครั้ง “ผมร่วมทีมกับไบรซ์ ซึ่งเป็นคนที่มีหลักในการทำงานที่สุดยอดมากครับ เธอทุ่มเทให้กับทุกก้าวของขั้นตอนการทำงาน เมื่อผสมเข้ากับจินตนาการของคนดู เราอยู่ในมือของคนเก่งและมีสิ่งที่เราต้องการเพื่อทำให้มันกลายเป็นการผจญภัยในแบบ Jurassic ที่ดีที่สุดครับ”

แคลร์และโอเว่นใช้ชีวิตแยกจากกัน แต่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกด้วยเป้าหมายที่มีร่วมกัน ขณะที่เธอทำให้มันเป็นภารกิจที่จะปกป้องและช่วยชีวิตไดโนเสาร์ทุกตัว เธอรู้ดีว่าสิ่งที่จะทำให้โอเว่นยอมกลับไปที่เกาะแห่งนั้นก็คือโอกาสที่จะช่วยบลู เวโลซีแร็ปเตอร์ที่เขามีความผูกพันอย่างใกล้ชิดที่สุด “มีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างแคลร์และโอเว่นซึ่งหนังไม่ได้พูดถึง แต่พวกเขาผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดด้วยกันมาที่จูราสสิคเวิลด์ และแต่ละคนต่างรับมือกับเรื่องนั้นต่างกันไป” แพร็ตต์บอก “โอเว่นเชื่อว่าไม่มีทางที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ คุณต้องเดินหน้าและใช้ชีวิตของคุณต่อไป การฝังตัวเองเอาไว้กับความรู้สึกผิดอย่างที่ แคลร์ ทำ คือสิ่งที่ผิด สำหรับโอเว่นที่เพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาผ่านมาด้วยกันก็กลายเป็นข้อเสียเช่นกัน ดังนั้นเธอกับเขาจึงต้องการกันและกัน คุณจะเห็นตัวละครสองตัวนี้ดึงดูดเข้าหาอีกฝ่าย และพวกเขาถูกชะตากำหนดให้ต้องมาอยู่ด้วยกัน แต่สภาพแวดล้อมไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น”

บทบาทของแพร็ตต์ทำให้เขาต้องแสดงฉากสตั๊นต์เยอะมาก และยังมีการถ่ายทำตอนกลางคืนที่ทำให้เขาต้องเขียวช้ำไปหมดตัว จนเขานอนหลับเหมือนสลบ “ภาคนี้จะต้องใช้แรงมากกว่าภาคแรกครับ” แพร็ตต์บอก “มีงานสตั๊นต์เยอะมาก ผมต้องกลิ้งตัวตกจากท้ายรถบรรทุก ต้องดำน้ำ ต้องวิ่งลงเขา และแสดงฉากสตั๊นต์ใต้น้ำ เรายังมีฉากต่อสู้ฉากใหญ่ เหมือนมีองค์ประกอบของความเป็นพระเอกนักบู๊อยู่ ซึ่งเคยถูกใช้ในภาพยนตร์ภาคแรก และในภาคนี้มันมากขึ้นสี่เท่าเลยครับ”
แพร็ตต์ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับบทที่ต้องใช้แรงเยอะแบบนี้ เขาเล่าให้เราฟังถึงฉากสตั๊นต์ฉากโปรดของเขา เมื่อโอเว่นวิ่งไล่ตามแคลร์และแฟรงกลินที่อยู่ในไจโรสเปียร์ ซึ่งกลิ้งตกจากเกาะอีสล่านูบลาร์ จมลงไปในทะเล เมื่อโอเว่นดำลงไปช่วยพวกเขา เขาต้องใช้การฝึกทางทหารทั้งหมดที่เคยฝึกมา รวมถึงสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดเพื่อให้ตัวเองรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ 

ฉากที่ว่านี้ถ่ายทำกันในแท้งก์ใต้น้ำที่ไพน์วู้ดสตูดิโอส์อยู่นานห้าวัน แพร็ตต์อธิบายว่า “ผมชอบฉากใต้น้ำทั้งหมดเลยครับ แนวคิดในการสร้างสรรค์ก็คือการถ่ายทำในหนึ่งชอต โดยมุ่งเน้นไปที่การทำให้เหมือนเราอยู่ในไจโรสเปียร์และมองออกมาข้างนอก เราไม่เคยได้ภาพจากมุมมองนั้นเลยครับ และเจ้าลูกแก้วนี้กำลังจมลงไปในทะเล แคลร์และแฟรงกลิน กำลังจะจมน้ำตาย และโอเว่นต้องว่ายดำลงไปเพื่อช่วยพวกเขาออกมา แต่มันไม่ได้ผล โอเว่นต้องลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ จากนั้นก็ดำกลับลงมาอีก ทั้งหมดนี้ต้องถ่ายทำกันด้วยหลายองค์ประกอบด้วยกัน มันเหมือนการต่อจิ๊กซอว์แบบหนึ่งพันชิ้น ผมชอบกระบวนการถ่ายทำทีละชิ้น และได้เห็นสิ่งนี้ถูกปะติดปะต่อเข้าด้วยกันครับ”

ในบท โอเว่น แพร็ตต์ต้องโดนฝูงเวโลซิแร็ปเตอร์ไล่ตามผ่านป่า และเอาชีวิตรอดจากคมเขี้ยวของไดโนเสาร์สายพันธุ์อื่นๆ บนเกาะมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีอะไรที่เตรียมโอเว่นให้ต้องมาเจอกับไดโนเสาร์ตัวใหม่ที่ดร.วู สร้างขึ้นมา นั่นก็คืออินโดแร็ปเตอร์ ไดโนเสาร์ที่มีอันตรายที่สุดเท่าที่เคยเดินอยู่บนโลกนี้ “อินโดแร็ปเตอร์เปิดเรื่อง และให้เงื่อนงำถึงอนาคตของภาพยนตร์แฟรนไชส์ Jurassic นี้ คุณจะรู้สึกได้ว่าอินโดแร็ปเตอร์คือเป้าหมายสุดท้ายสำหรับอินเจน พวกเขาได้พัฒนาเพื่อออกแบบความเฉลียวฉลาดและการจดจำแบบนี้ให้กับแร็ปเตอร์มานานหลายปี อินโดแร็ปเตอร์ ซึ่งเป็นพัฒนาการล่าสุด สามารถกันกระสุนได้ มันโจมตีตามคำสั่ง มันถูกออกแบบมาให้เป็นอาวุธในการทำสงคราม และเราก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ามันอันตรายแค่ไหน โอกาสที่ไดโนเสาร์สายพันธุ์นี้จะตกไปอยู่ในมือคนร้ายมันช่างน่ากลัวจริงๆ ครับ”

ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด กลับมารับบท แคลร์ เดียริ่ง ตัวละครที่ก็เหมือนกับโอเว่น เธอเปลี่ยนไปเพราะเหตุการณ์หายนะเมื่อสามปีก่อน “ใน Jurassic World แคลร์มีความชัดเจนค่ะ” ฮาวเวิร์ดให้ความเห็นไว้ “คุณเห็นว่าภายนอกเธอเป็นยังไง แต่คุณไม่รู้ว่าภายในใจเธอเป็นยังไง ในตอนจบของภาพยนตร์ภาคแรก คุณรู้ว่าจริงๆ แล้วคนๆ นี้เป็นยังไง และมองเห็นชัดเจนว่าเธอเป็นใคร”

ขณะที่โอเว่นกลับไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แคลร์กลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน เธอตั้งกลุ่มปกป้องไดโนเสาร์ (ดีพีจี) โดยมีภารกิจเพื่อช่วยไดโนเสาร์ที่ยังคงเหลืออยู่ในอีสลา นูบลาร์ “เธอยังคงรับมือกับความจริงที่ว่าเธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น” ฮาวเวิร์ดกล่าวต่อ “เธอเคยทำผิดพลาดไปซึ่งเธอไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ เพราะเธอก็คือส่วนหนึ่งของการสร้าง อินโดมินัสเร็กซ์ ขึ้นมา บัดนี้ โลกคือสถานที่ที่เปลี่ยนไปเพราะการกระทำของเธอ เธอได้เปิดกล่องแพนโดร่า เธอไม่เคยปิดมันได้ สิ่งที่แคลร์อยากทำก็คือการมายืนอยู่ในด้านที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ มันคือความตั้งใจและภารกิจของเธอค่ะ”

ฮาวเวิร์ดอยากให้ตัวละครของเธอมีคุณสมบัติหลากหลายระดับที่หายไปในตัวละครผู้หญิงในภาพยนตร์แอ็กชั่น  “ปกติพวกเธอคือผู้หญิงที่กำลังเป็นทุกข์ หรือเป็นฮีโร่หญิงสุดแกร่ง แต่ยังไม่มีตัวละครที่อยู่ตรงกลาง สิ่งที่ฉันชอบมากในตัวแคลร์ ก็คือ คุณอาจไม่ได้ชอบเธอตลอดเวลา แต่คุณสามารถอินไปกับเธอได้ คุณเข้าใจเธอ และเชื่อในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตัวเธอ การได้มาแสดงเป็นผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ ขณะที่ในหลายๆ ครั้งก็ดูงุ่มง่ามและมั่นใจในตัวเอง มันน่าตื่นเต้นเพราะนั่นแหละคือมนุษย์ปุถุชนค่ะ”

ฮาวเวิร์ดเองก็ไม่ต่างจากเทรวอร์โรว์และบาโจน่า เธอเน้นย้ำว่าเรื่องราวนี้มีความสำคัญกับเธออย่างมาก เธอตัดสินใจแทนตัวละครของเธอโดยอิงจากเรื่องราวหลายเรื่องของไครชตัน “ฉันอ่านนิยายของ ไมเคิล ไครชตัน เยอะมากค่ะ มีหลากหลายธีมที่อยู่ในงานเขียนทุกเรื่องของเขา เช่นเดียวกับนักเขียนเรื่องไซไฟที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนอื่นๆ เขากำลังเตรียมเราให้พร้อมรับอนาคต เขากำลังเตรียมอารมณ์ของเรา เพื่อให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องโดยอิงจากความเป็นมนุษย์ของเรา นี่คือคำถามที่แคลร์กำลังเผชิญอยู่ ใช่การตัดสินใจที่มีมนุษยธรรมหรือไม่ที่จะช่วยไดโนเสาร์ หรือมันจะดีกว่าไหมที่จะปล่อยให้ธรรมชาติดำเนินไป และปล่อยให้ไดโนเสาร์โดนทำลาย”

ฮาวเวิร์ดรู้สึกกระตือรือร้นที่ผู้กำกับของเธอมีความรักในประเด็นเหล่านี้ไม่ต่างจากเธอ “เจเอเป็นผู้กำกับที่สุดยอดมากค่ะ และเป็นอัจฉริยะเมื่อถึงเวลาต้องทำให้ผู้คนหวาดกลัว เขาเข้าใจความตื่นเต้นเขย่าขวัญ โดยเฉพาะกับพวกไดโนเสาร์และสัตว์ประหลาดต่างๆ บ่อยครั้ง สิ่งที่น่ากลัวก็คือตอนที่คุณไม่เห็นตัวอสูรกายจนกระทั่งนาทีสุดท้าย อสูรกายที่ถูกเปิดตัวในจังหวะที่เหมาะเจาะจะตามหลอกหลอนคุณไปตลอดชีวิต แต่คุณจะชอบมันค่ะ เขาเป็นคนบ้าหนัง และเป็นคนที่มีคนชมว่ามีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์การเล่าเรื่อง เขาคือส่วนหนึ่งของทีมผู้กำลังสร้างบทใหม่ให้กับเรื่องนี้ด้วยกันค่ะ”

ถึงแม้ฮาวเวิร์ดจะแสดงภาพยนตร์มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ความสามารถของผู้กำกับบาโจน่าที่สร้างความประหลาดใจให้กับเธอตลอดการถ่ายทำ ทำให้เธอประทับใจอย่างมาก “มีอยู่สองอย่างที่เจเอทำในกองถ่ายที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลยค่ะ เราถ่ายทำหลายฉากโดยไม่มีบทพูดเลย และเขาจะเล่นดนตรี ซึ่งเป็นการบอกทุกสิ่งทุกอย่าง เราเดินต่างไป และมีพฤติกรรมต่างไป เขายังมีเสียงซาวน์เอฟเฟ็กต์ไดโนเสาร์ด้วย จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังมาจากไหนก็ไม่รู้ มันทำให้เราหวาดกลัว และแสดงปฏิกิริยาออกมา เขาใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อทำให้เราก้าวเข้าสู่โลกของเขา เพื่อให้เราทุกคนรู้สึกตรงกัน ทุกส่วนประสานกลมกลืนเข้ากันหมดค่ะ”

บาโจน่าไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ปรับตัวเข้ากับความจริงที่ว่างานสร้างภาพยนตร์จะต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อฮาวเวิร์ดกลับมาร่วมงานกับแพร็ตต์ เธอพูดถึงสัญชาตญาณที่แสนกระตือรือร้นของเขา “คริสรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สนุกที่สุดที่เกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์ Jurassic เวลาที่เราแสดงฉากหนึ่งด้วยกัน และฉันเห็นคริสขยับตัว ฉันพูดว่า ‘ทุกคน สัมผัสแมงมุมของคริสกำลังทำงานแล้ว’ เขารู้ดีว่าเขาอยากถูกมองยังไง  เรารู้สึกเหมือนเด็กตอนที่เราอยู่ในฉากของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ คุณจะไม่ได้สัมผัสความสนุกเลยจนกว่าคุณจะได้แสดงกับ คริส แพร็ตต์ ในภาพยนตร์ Jurassic ค่ะ”

เช่นเดียวกับแพร็ตต์ เพื่อนร่วมจอ ฮาวเวิร์ดเล่าถึงความน่ากลัวของอินโดแร็ปเตอร์ “เรารู้กฎในเรื่องที่ว่าคุณจะเอาชีวิตรอดจากไดโนเสาร์ได้ยังไง แต่อินโดแร็ปเตอร์เป็นอสูรกายที่มนุษย์สร้างขึ้น” ฮาวเวิร์ดบอก “สิ่งที่น่ากลัวในตัวอสูรกายตัวนี้ก็คือ เราไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร ถ้าคุณยืนอยู่นิ่งๆ ทีเร็กซ์จะมองไม่เห็นคุณ และมีโอกาสที่คุณจะหนีได้ แต่ไดโนเสาร์ตัวนี้คือตัวเปลี่ยนเกมจริงๆ ดร.วูได้สร้างอาวุธที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ แต่นี่คือจุดหักมุม คุณคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์ Jurassic คือการเผชิญหน้ากับไดโนเสาร์ สิ่งที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ มันมีสิ่งที่ร้ายกาจกว่าและชั่วร้ายกว่า บางสิ่งที่กระหายเลือดและอำมหิต นั่นก็คือมนุษย์ค่ะ”

โดยธรรมชาติแล้ว สไตล์ที่ชอบโต้แย้งของแคลร์จากภาพยนตร์ภาคที่แล้ว เปลี่ยนไปพร้อมกับมุมมองใหม่ที่มีต่อโลก “ทรงผมและชุดสูทไร้ที่ติสีขาวจากภาพยนตร์ภาคที่แล้ว บ่งบอกว่าแคลร์เป็นคนอย่างไร” ฮาวเวิร์ดสรุป “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉันอยากแสดงให้เห็นทันทีเลยว่าเธอแตกต่างออกไปแล้ว แคลร์เป็นผู้หญิงฉลาด อ่อนไหว ซึ่งเตรียมตัวมาดี” เธอหัวเราะ “ตอนนี้ฉันใส่บู้ทส์ และฉันก็มีความสุขกับเรื่องนั้นค่ะ”

ที่มาร่วมแสดงกับฮาวเวิร์ดและแพร็ตต์ ก็คือสองนักแสดงที่เคยมีส่วนในครอบครัว Jurassic มาตั้งแต่วันแรก บีดี หว่อง กลับมารับบท ดร. เฮนรี่ วู ผู้สร้างไดโนเสาร์จอมทำลายล้างที่รู้จักกันในชื่อ อินโดมินัสเร็กซ์ หลังจากมันกินพี่น้องตัวเดียวที่มีไปแล้ว อินโดมินัสเร็กซ์ที่การปรับแต่งพันธุกรรมถูกเก็บไว้เป็นความลับ มาถึงจุดที่เติบโตจนทำลายจูราสสิคเวิลด์ หว่องได้อธิบายถึงสถานะปัจจุบันของตัวละครของเขาว่า ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากการลงทุนของมาสรานี่ล้มเหลว “ดร.วูถูกอัปเปหิเพราะการทำงานที่ไร้จรรยาบรรณ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดอีกต่อไป แต่เขายังคงมีความรู้เหมือนเดิม แต่เขาสิ้นหวังมากขึ้น และไม่มีระบบกลไกแบบเดิมอยู่ในมืออีก เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป และมือของเขาเหมือนถูกมัดเอาไว้”

อย่างไรก็ดี ที่ไหนมีนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งและบ้า ย่อมต้องมีนักลงทุนเสมอ วูกำลังทำงานกับไดโนเสาร์ปรับแต่งพันธุกรรมตัวใหม่ ซึ่งน่ากลัวและฉลาดกว่าทีเร็กซ์ หรืออินโดมินัสเร็กซ์ “ดร.วูมักจะสร้างไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ๆ เสมอครับ” หว่องหัวเราะ “ถึงแม้ผมจะบอกว่าความตั้งใจของเขาไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลย แต่เขาก็ทำเป็นหลับหูหลับตาไปหลายอย่างเพื่องานทางด้านเทคโนโลยีที่เขากำลังผลักดันอยู่ แต่เขาก็ยังห่วงที่จะสร้างไดโนเสาร์ที่จะต้องควบคุมได้ การโต้แย้งที่มีมานานอย่างนั้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน และมันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ ก็มีอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยครับ”

ห้องแล็บลับของดร.วู ถูกเผยให้เห็นในภาพยนตร์ตอนนี้ และหว่องก็พอใจกับงานออกแบบฉากนี้มาก “ฉากนี้เป็นการยกระดับไอเดียเกี่ยวกับห้องแล็บของดร.วูไปสู่อีกระดับหนึ่งครับ ห้องที่เราเคยเห็นในตอนจบของ Jurassic World เมื่อเทียบกับปฏิบัติการที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ในห้องแล็บใต้ดินขนาดมหึมา ในอาชีพนักแสดงของผม มันคือหนังเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้ผมได้ทำงานกับฉากแบบนี้ มันเต็มไปด้วยรายละเอียด ความสมจริง และบ่งบอกว่ามีการใช้งบไปมหาศาลมากครับ”

อินโดมินัส เร็กซ์ คือจุดเริ่มต้นของการนำยีนจากไดโนเสาร์ที่มีอยู่แล้ว นำไปโคลนนิ่ง และผสมข้ามสายพันธุ์กับไดโนเสาร์สายพันธุ์อื่น “อินโดแร็ปเตอร์เป็นมหาวายร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ” หว่องบอก “ในฐานะผู้สร้าง วูเองก็รู้สึกขัดแย้งในใจเช่นกัน เพราะในความคิดเขา อินโดแร็ปเตอร์ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาอยากพัฒนาต่อจนมันสมบูรณ์แบบ ขณะที่คนอื่นๆ แค่ต้องการอินโดแร็ปเตอร์ไปใช้ประโยชน์ เพราะมันดูเหมือนใช้งานได้ดีแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย”

เจฟฟ์ โกลด์บลัม กลับมารับบท ดร.เอียน มัลคอล์ม ตัวละครที่อยู่มาตั้งแต่ภาพยนตร์ Jurassic Park  “นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ว ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ยังชี้ประเด็นปัญหาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบันที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์” โกลด์บลัมบอก “ตัวละครของผมมักจะพูดขัดแย้งออกมา เขาไม่ชอบไอเดียที่สัตว์ถูกนำมาใช้เพื่อความบันเทิงหรือเพื่อหาเงิน ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผู้ร้ายเป็นพวกนายทุนที่มีความโลภ และมีความโง่ นั่นคือสองเรื่องที่ เอียน มัลคอล์ม ชอบมากครับ”

หลังจากหายนะที่เกิดขึ้นกับสวนสนุก ภูเขาไฟบนเกาะก็มีทีท่าว่าจะกวาดล้างประชากรไดโนเสาร์ที่ยังเหลืออยู่บนเกาะอีสลา นูบลาร์ “มีการโต้แย้งเกิดขึ้น และมัลคอล์มได้นำเรื่องนี้เสนอต่อวอชิงตัน ดีซี โดยเขาได้กล่าวนำเสนอถึงปัญหานี้ต่อกรรมาธิการสภา เขาเชื่อว่าเราเข้าไปก้าวก่ายและเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ และเราก็ทำด้วยเหตุผลที่ไม่ดี ไดโนเสาร์ยังคงเป็นไอเดียที่ไม่ดี และตราบใดที่ภูเขาไฟจะกวาดล้างพวกมัน เราก็ควรจะปล่อยให้เป็นไป ถ้าเราพยายามที่จะย้ายมัน มันก็จะลงเอยด้วยหายนะ”

พูดถึงการร่วมงานกับเทรวอร์โรว์และบาโจน่า โกลด์บลัมมีแต่คำชมให้ “ระหว่างที่ผมแสดงบทนี้ ผมเกิดไอเดียและโทรหาโคลิน เราแลกเปลี่ยนไอเดียกันอยู่นานชั่วโมงครึ่ง เจเอเป็นคนน่ารักและไว้ใจได้ เขาเป็นคนจริงจัง ไม่ใช่แค่เรื่องการทำหนังดีๆ เท่านั้น แต่ยังเรื่องปัญหาการใช้วิทยาศาสตร์ไปในทางที่ผิด และการกระทำผิดจรรยาบรรณโดยผ่านตัวละครของผม”

ผู้กำกับบาโจน่าเองก็ตื่นเต้นที่ได้สองนักแสดงชายมาร่วมทีมนักแสดงด้วย “ดีมากที่ได้ตัวพวกเขาทั้งคู่มาซึ่งเราชอบมาก มันน่าตื่นเต้นที่ได้ดึงนักแสดงหน้าเดิมๆ กลับมาครับ” บาโจน่าให้ความเห็น “เรามีดร.วูที่กลับมา และก็ดีมากที่ได้เจฟฟ์กลับมาแสดงเป็น เอียน มัลคอล์ม อีกครั้ง ในความคิดของผม เขาคือหนึ่งในตัวละครที่มีความสามารถที่สุดในภาพยนตร์ชุดนี้ และการได้เขามาแสดงบทในภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็สุดยอดมากครับ”

“ผมรู้ดีว่าผมต้องการ เอียน มัลคอล์ม ในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเป็นคนที่น่าจะมีสิทธิ์ที่จะพูดว่า ‘ดูนี่ซิ ฉันบอกแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นแน่ๆ’ มากที่สุด” เทรวอร์โรว์กล่าวเสริม “ผมอยากแน่ใจว่าเขาจะเป็นตัวเปิดและปิดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ ดังนั้น เขาสามารถกำหนดไอเดียทั้งหมดที่เราจะสำรวจได้ มันน่าตื่นเต้นมากครับ เพราะบทพูดที่ เอียน มัลคอล์ม พูดในการร้องเรียนต่อสภานั้น เอามาจากนิยายของ ไมเคิล ไครชตัน เลยครับ”

happy on June 06, 2018, 05:23:37 PM

ขอต้อนรับสู่ Jurassic World:
ผู้เป็นตำนานและตัวละครหน้าใหม่

เพื่อให้ตัวละครที่ เทรวอร์โรว์และคอนโนลลี่จินตนาการเอาไว้มีความสมบูรณ์ ทางทีมผู้สร้างได้เลือกนักแสดงนานาชาติ ที่จะเป็นตัวแทนของผู้เล่นทั้งสองด้าน รวมไปถึงนักแสดงที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าวงการ สำหรับบาโจน่า สิ่งหนึ่งที่เขาคาดหวังจากนักแสดงก็คือความรักในภาพยนตร์ชุดนี้

นักแสดงผู้เป็นตำนาน เจมส์ ครอมเวลล์ รับบทเซอร์เบนจามิน ล็อควู้ด อดีตหุ้นส่วนธุรกิจของ จอห์น แฮมมอนด์ เขาได้แนะนำสถานะของตัวละครของเขาในภาพยนตร์ภาคล่าสุดนี้ว่า “ล็อควู้ดและแฮมมอนด์เป็นหุ้นส่วนและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเขาได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีที่นำไดโนเสาร์เหล่านี้ให้ฟื้นคืนกับจากการสูญพันธุ์ แฮมมอนด์และล็อควู้ดแยกย้ายจากกัน ซึ่งถือว่าน่าเสียดายมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็คือวิธีที่ผมพยายามที่จะแก้ไขด้วยการทำสิ่งที่เขาคงอยากให้เกิดขึ้นกับไดโนเสาร์เหล่านี้ครับ”

ครอมเวลล์ที่เป็นผู้สนับสนุนสิทธิของสัตว์มานาน รู้สึกกระตือรือร้นกับเรื่องราวที่เทรวอร์โรว์และคอนโนลลี่อยากเล่า เขากล่าวว่า “การแย่งชิงชีวิตของคนอื่นเพื่อเป้าหมายของตนเอง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ถือเป็นปัญหาสำคัญ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินคุณค่าของชีวิตนั้น สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนมีราคา และนั่นคือเรื่องที่น่าเสียดาย พวกเราควรจะเป็นผู้พิทักษ์ คอยดูแลสัตว์เหล่านี้ที่จำต้องได้รับการดูแล และปล่อยพวกที่ควรจะอยู่ตามลำพังโดยไม่จำต้องได้รับการดูแล” ครอมเวลล์หยุดพูดไปชั่วขณะ “แน่นอน เราฝืนกฎนั้นนับแต่โฮโมเซเปียนคนแรกยืดตัวยืนตรง”

เรฟ สปอลล์ รับบท อีไล มิลล์ส ผู้ดูแลควบคุมคฤหาสน์ล็อควู้ด เขาคือผู้ชายที่มีเป้าหมายจะหาที่ปลอดภัยให้กับไดโนเสาร์ได้ใช้ชีวิต สำหรับมิลล์ส ประวัติและเสน่ห์ของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ไม่เคยจางหายไปไหน “ผมไม่เคยพบคนที่ไม่ชอบ Jurassic Park เลยครับ มันยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบ ความเรียบง่ายของผิวน้ำที่สั่นสะเทือนคืองานสร้างระดับปรมาจารย์จริงๆ นั่นมันก่อนที่พวกเราจะมีพลังดิจิตอลในการสร้างอสูรกายได้ทุกรูปแบบ สร้างระเบิด และฉากใหญ่ๆ ได้ การได้คนอย่างเจเอมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็วิเศษมากครับ เพราะเขาคือเจ้าแห่งงานเขย่าขวัญ การมีทั้งสององค์ประกอบนี้ สไตล์การสร้างภาพยนตร์เขย่าขวัญที่ดูคลาสสิกของเจเอ กับงานดิจิตอลแอนิเมชั่นที่มีให้ใช้ได้ในปัจจุบัน คือโอกาสที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ครับ”

ใน Fallen Kingdom ตัวละครของสปอลล์ได้กระทำการตัดสินใจที่น่าสงสัย “เจเอและผมได้คุยกันเยอะมากเกี่ยวกับความทะเยอทะยาน ความโลภ และความต้องการจะมีอำนาจ ทั้งหมดนี้มันเผาผลาญได้มากขนาดไหน และมันคือเครื่องยนต์ขนาดใหญ่” สปอลล์กล่าว “ความทะเยอทะยานคืออารมณ์ที่ทรงพลัง คุณอาจโดนมันครอบงำ และลงเอยด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อจะประสบความสำเร็จ ตัวละครตัวนี้เชื่อว่าเขากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาได้รับความไว้วางใจให้บริหารทรัพย์สินของล็อควู้ดไปสู่อนาคต และทำให้มันรอดอยู่ได้หลังจากเขาตายไปแล้ว มิลล์สรู้สึกว่าเขากำลังทำสิ่งที่เขาได้รับคำสั่งให้ทำอยู่”

นักแสดงหน้าใหม่ อิซาเบลล่า เซอร์ม่อน รับบท เมซี่ หลานสาวของมหาเศรษฐี ผู้อำนวยการสร้างโครว์ลี่ย์ เล่าให้ฟังเกี่ยวกับจุดที่เธออยู่ในโลกนี้ “มักจะดีเสมอกับการมองดูเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านสายตาของเด็ก ซึ่งยังไม่รู้มากนักว่าไดโนเสาร์คืออะไร หรือผู้ใหญ่กำลังทำอะไรกันอยู่ เราสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา โดยเธอเต็มไปด้วยความลับ เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบขวบที่รับบทแสดงโดย อิซาเบลล่า เราได้สัมภาษณ์เด็กผู้หญิงมากถึง 2,500 คน และเราเลือกเธอ เธอมีความโดดเด่น ฉลาดเป็นกรด และน่าหวงแหน”
นักแสดงสาวน้อยอธิบายให้เราเข้าใจถึงจุดที่เราได้พบตัวละครของเธอ และไดโนเสาร์ที่มุ่งมั่นที่จะต้องจับเธอให้ได้ “อินโดแร็ปเตอร์เป็นไดโนเสาร์ที่ฉลาดและน่ากลัวมากค่ะ” เซอร์ม่อนบอก “มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นอาวุธ แต่มันกลับควบคุมไม่ได้ ในฉากหนึ่ง หนูกำลังวิ่งหนี แล้วหนูก็ถอยไปที่ทางเดิน และรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในหัว มันคือกรงเล็บของอินโดแร็ปเตอร์ การถ่ายทำฉากนั้นมันยากในทีแรก เพราะหนูยังไม่รู้ว่ามีอะไรไล่ตามหลังมา แต่มันน่ากลัวมากค่ะ ความคิดที่ว่ามีกรงเล็บอันใหญ่นั่งรอหนูอยู่ มันยากจะทำเป็นไม่สนใจจริงๆ ค่ะ”

ตัวละครของเซอร์ม่อนเกี่ยวข้องกับฉากแอ็กชั่นที่ใหญ่ที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อแคลร์และโอเว่นพยายามจะช่วยเธอ “มีฉากสตั๊นต์ฉากใหญ่ที่เมซี่สไลด์ตัวลงมาตามหลังคากระจกขนาดใหญ่ค่ะ” เซอร์มอนเล่า “มันยากที่จะเริ่มต้นนะคะ แต่พอเราได้ลองทิ้งตัวลงมาครั้งแรก ซึ่งมันสนุกมาก ตอนนี้มันเลยดูสุดยอดไปเลยค่ะ!”

ฮาวเวิร์ดยอมรับว่าเธอสนุกมากกับการได้ทำงานร่วมกับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเซอร์มอน “เวลาที่ฉันได้ทำงานกับเด็ก โดยเฉพาะเด็กอย่างอิซซี่ ซึ่งมีความสามารถสูงมาก ฉันรู้ดีว่าเธอจะต้องแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา เพราะเธอไม่รู้วิธีที่จะเป็นอย่างอื่นได้ อิซซี่ไม่ได้มีลูกเล่นแย่ๆหรือนิสัยแย่ๆ ฉันพยายามขโมยซีนจากเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเธอเก่งมากค่ะ”

จัสติซ สมิธ ซึ่งรับบทเป็น แฟรงกลิน เจ้าแห่งคอมพิวเตอร์ดีพีจี พูดถึงความหมายของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ที่มีต่อตัวเขาขณะที่เขาเติบโต “ภาพยนตร์ Jurassic Park ภาคแรกเลยออกฉายในปีที่ผมเกิดครับ ผมจำได้ว่าผมได้นั่งดูหนังทุกเรื่องกับครอบครัวในทุกครั้งที่เราออกเดินทาง เราจะมีดีวีดีในรถตู้ และเราก็จะนั่งดูหนังด้วยกันตามลำดับทุกเรื่อง ผมจำได้ว่าผมชอบมาก เพราะผมชอบหนังสยองขวัญและหนังทริลเลอร์ พวกมันเหมือนกระแทกถูกจุดจริงๆ ครับ”

ในฐานะอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์ที่ทำงานให้กับกลุ่มปกป้องไดโนเสาร์ของแคลร์ แฟรงกลินคิดว่าเขาสามารถทำความดีได้ ขณะที่ยังพักอยู่ในบ้านที่แสนสบายของเขาเอง “เมื่อ แคลร์ จะไปอีสลา นูบลาร์ เพื่อกระทำภารกิจปกป้องไดโนเสาร์จากภูเขาไฟระเบิด ผมต้องไปด้วย เพราะจะต้องมีการกู้ระบบเครื่องติดตามภายในสวนสนุก” สมิธอธิบาย “เขาไม่อยากไปที่นั่น และการต้องแสดงความวิตกกังวลนั้นออกมาก็สนุกดีครับ ตลอดเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าจะเผชิญหน้ากับความตายและความทุกข์ทรมานซ้ำๆ อย่างไร”

เมื่อเรื่องราวเริ่มจริงจัง แต่ก็ยังมีเวลาแห่งความสนุกในกองถ่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องโดนไดโนเสาร์แบรีออนิกไล่ล่าไปตามบันได “เจเอคิดว่ามันน่าจะเป็นไอเดียที่ดีที่จะป่วนผมสักสองสามรอบ” สมิธหัวเราะ “เพื่อให้ได้ปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติ เขาจะทำเสียงทีเร็กซ์คำรามให้ดังออกมาทางลำโพงเพื่อทำให้ผมตกใจระหว่างเทกครับ จากนั้น ระหว่างที่ภูเขาไฟปะทุ จะมีการติดบางอย่างเข้ากับเก้าอี้ และทำให้มันเขย่าสั่นไหว ซึ่งทำให้ผมตกใจกลัวแทบแย่เหมือนกัน มันดีสำหรับตัวละครของผม เพราะผมจะคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาครับ เจเอคิดว่ามันสนุกมากเลยครับ”

แดนีลล่า พิเนด้า ต้องทำการค้นคว้าเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าตัวละครของเธอ ดร.เซีย ร็อดริเกซ อดีตนาวิกโยธินและสัตวแพทย์สัตว์โบราณ จะทำตัวอย่างไรในโลกใหม่ที่แสนกล้าหาญใบนี้ “สัตวแพทย์สัตว์โบราณถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ค่ะ” เธออธิบาย “ฉันได้พูดคุยรายละเอียดกับสัตวแพทย์ที่รักษาสุนัขของฉันเกี่ยวกับการใช้เข็มฉีดยา และอื่นๆ นอกจากนี้ เรายังมีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่ในกองถ่ายด้วย คนหนึ่งเชี่ยวชาญเรื่องจระเข้ป่า และอีกคนเป็นสัตวแพทย์ที่ปรึกษาซึ่งจะเก่งมากกับพวกสัตว์เลื้อยคลาน ตัวอย่างเช่น พวกสัตว์เลื้อยคลานจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่สุดยอดมาก เพราะพวกมันเป็นสัตว์โบราณ คุณไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออะไรเลย คุณสามารถเย็บหนังมันสดๆได้! ทุกรายละเอียดที่ฉันหาได้ระหว่างทาง ช่วยทำให้ตัวละครของฉันมีสีสันมากค่ะ”

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เซียจะทำให้คนดูนึกถึง ดร. เอลลี่ แซ็ทท์เลอร์ ซึ่งเคยใช้ฝีมือด้านนักพฤกษศาสตร์พืชโบราณเพื่อช่วยไทเซราทอปที่ล้มป่วยใน Jurassic Park มาแล้ว หนึ่งในฉากที่กล้าหาญของเซีย ในภาพยนตร์ภาคนี้ก็คือตอนที่บลูได้รับบาดเจ็บ และทุกคนต้องหวังพึ่งเธอเพื่อช่วยชีวิตเวโลซิแร็ปเตอร์ตัวนี้ พิเนด้าเล่าถึงวันที่ถ่ายทำว่า “คืนก่อนนั้นฉันนอนไม่หลับเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะมันเป็นฉากใหญ่สำหรับตัวละครของฉันเท่านั้น แต่งานนี้ทุกอย่างมันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก เพราะไดโนเสาร์ที่ฉันจะต้องแสดงท่ารักษาให้นั้นเป็นหุ่นบังคับค่ะ มันดูเหมือนจริงมาก จนเหมือนฉันกำลังผ่าตัดสัตว์จริงๆ อยู่เลยค่ะ”

นักแสดงสาวพูดไม่ต่างจากเพื่อนนักแสดงของเธอ เมื่อถึงเวลาต้องเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้กำกับ “เจเอรู้ดีเลยว่าเขาต้องการอะไร การทำงานกับเขาคือความน่าพึงพอใจค่ะ” พิเนด้าบอก “เขามีเทคนิค แต่ขณะเดียวกัน เขาก็คือศิลปินและทำทุกอย่างด้วยความรักและความจริง ขณะที่ฉันผ่าตัดบลูอยู่นั้น เขาจะเปิดเพลงดีๆ และบอกฉันให้ช้าๆ ใช้เวลาให้เต็มที่ บ่อยครั้งที่ผู้กำกับมักจะบอกให้คุณเร่ง ทำให้เร็ว แต่กับเจเอแล้ว มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลยค่ะ”
มูลนิธีล็อควู้ดก่อตั้งมาเพื่อช่วยสงวนไดโนเสาร์ โดยมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยไดโนเสาร์เอาไว้ให้มากที่สุด และนำมันใส่เรือเพื่อขนไปยังที่อาศัยบนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วพวกมันน่าจะปลอดภัยดี เพราะไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่ข้องเกี่ยวกับมนุษย์ ถึงแม้ล็อควู้ดจะเชื่อว่าทุกอย่างน่าจะส่งผลที่ดี แต่ในไม่ช้าก็เห็นว่าเขาคิดผิด

โทบี้ โจนส์ เข้ามาร่วมทีมนักแสดงด้วยการรับบท เอฟเวอร์ซอลล์จอมบงการ ผู้มองไดโนเสาร์มหึมาเหล่านี้เป็นแค่สินค้า “มันปลอดภัยครับที่จะบอกว่าตัวละครของผมสนใจแต่เรื่องเงินและผลกำไรที่ได้จากการเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์รุ่นใหม่” โจนส์บอก “ในทางหนึ่ง เขาก็เหมือนกับพวกลักลอบค้าอาวุธนั่นแหละ เขามองเห็นถึงกำไรในการขายไดโนเสาร์ไปเป็นอาวุธ เขาสนใจแต่สิ่งที่เขากำลังขายเท่านั้น และสนใจแค่ว่ามันจะทำกำไรให้กับเขาได้หรือไม่” โจนส์ยอมรับว่าตัวละรที่น่าสงสัยในเรื่องศีลธรรมคือตัวละครที่เขาสนุกที่สุดในการมอบชีวิตให้ “ผมสนุกกับการแสดงเป็นคนแบบนั้นครับ”

มีหลายฉากที่เกี่ยวข้องกับเอฟเวอร์ซอลล์ ที่ถ่ายทำกันในฉากขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นที่ไพน์วู้ด สตูดิโอ ในประเทศอังกฤษ โจนส์เล่าถึงความความยิ่งใหญ่และรายละเอียดของฉากนั้นว่า “มันพิเศษจริงๆ ครับ ทั้งการดูแลและความใส่ใจ ซึ่งมีต่องานแต่ละชิ้น รวมไปถึงเสื้อผ้า การแต่งหน้า วิกผม ทุกสิ่งทุกอย่าง คุณรู้เลยว่าพวกเขาใส่ใจในทุกรายละเอียดในภาพยนตร์ที่อัดแน่นไปด้วยฉากแอ็กชั่นและเดินเรื่องรวดเร็ว ตอนที่คุณเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ล็อควู้ด ที่มีการแสดงซากไดโนเสาร์ มันเหมือนกับเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติเลยครับ”

ตัวละครที่คอยดูแลใส่ใจในชีวิตของเมซี่ ก็คือ ไอริส พี่เลี้ยงของเธอ รับบทแสดงโดยนักแสดงหญิงที่ได้รับคำชมอย่าง เจอรัลดีน แชปลิน ไอริสคอยดูแลทั้งเมซี่และล็อควู้ด ตามที่แชปลินบอก “เธอรักเมซี่ค่ะ และยินดีจะตายแทนเธอได้” แชปลินร่วมแสดงในภาพยนตร์ของบาโจน่าทุกเรื่อง และได้เล่าถึงประวัติมิตรภาพของพวกเขา “หลายปีก่อน เจเอเห็นฉันในรายการทีวีรายการหนึ่ง แล้วเขาก็ขอให้ฉันมาแสดงหนังของเขาค่ะ ฉันได้อ่านบทหนัง และฉันบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้หายใจเข้าออกเป็นหนัง หนังเรื่องดังกล่าวกลายเป็นหนังฮิต ดังนั้น ในหนังเรื่องต่อไปของเขา เขาก็ให้ฉันไปร่วมการถ่ายทำในประเทศไทย และเขาก็เขียนบทที่งดงามมากที่สุดให้กับฉัน จากนั้นก็ใน A Monster Calls ก็เหมือนกันค่ะ เขาให้บทเล็กๆ กับฉันในหนังทุกเรื่อง เขาคิดว่าฉันคือของนำโชคให้กับเขาค่ะ”

นักแสดงหญิง ยังพูดถึงการเป็นลูกสาวของ ชาร์ลี แชปลิน ซึ่งทำให้เธอได้เริ่มต้นเข้าทำงานในวงการบันเทิง เธอยังพูดถึงหลักในการทำงานของเธอ และความรักที่เธอมีต่อคนอื่นๆ ด้วย “พ่อของฉันคือชาร์ลี แชปลินค่ะ พ่อไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด และคืออัจฉริยะเหนือใครในวงการภาพยนตร์เท่านั้น แต่พ่อยังเป็นที่รักที่สุดด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ค่ะ ตอนที่ฉันเข้าวงการครั้งแรก ทุกคนต่างอยากให้ฉันได้บทดีๆ เล่น เพราะว่าพ่อของฉันคือฮีโร่ของพวกเขา ฉันได้รับการปฏิบัติราวกับฉันเป็นหลานสาว เป็นหลานสาวของพวกเขา พวกเขาช่วยฉัน ซึ่งต้องขอบคุณความรักที่พวกเขามีต่อพ่อของฉัน ทำให้ก้าวแรกที่ฉันเข้าวงการนี้เป็นเรื่องง่ายมากค่ะ”