happy on November 19, 2017, 10:29:38 PM
แพทย์รามาฯ ชี้สาวออฟฟิตเสี่ยงเป็นโรคช้ำรั่ว
โรคใกล้ตัวกวนใจที่รักษาได้

แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดีเตือน...สาวออฟฟิตเสี่ยงเป็นโรคภาวะโรคปัสสาวะบีบตัวไวเกินหรือโรคช้ำรั่ว Overactive Bladder (OAB) พบมากขึ้นถึงกว่า 21.3% ด้วยไลฟ์สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนไปมีความเร่งด่วน การจราจรที่ติดขัด ทำให้ไม่มีเวลาที่จะเข้าห้องน้ำ หรือต้องอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือการที่มีปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงและเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนได้ จึงได้จัดงาน Check in OAB ชีวิตดี เมื่อโอเอบีรักษาได้ เจาะลึก รู้จริง เข้าใจเรื่องโรค OAB ในวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2560 เวลา 13.00 - 16.30 น. ณ บริเวณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 7 เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


                   ศ.นพ.วชิร คชการ หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบภาวะโรคปัสสาวะบีบตัวไวเกิน Overactive Bladder (OAB) หรือที่เรียกว่าโรคช้ำรั่ว เป็นอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มมากขึ้นถึง 21.3% โดยส่วนใหญ่จะพบโรคนี้กับผู้สูงอายุที่มากขึ้น มากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และสตรีเคยมีประวัติคลอดบุตรหลายคน แต่ปัจจุบันพบในผู้หญิงวัยทำงานอายุ 30- 40 ปี เพิ่มมากขึ้น ด้วยไลฟ์สไตล์ และยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เพราะมีการแข่งขันสูง มีการทำงานต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงหลาย ไหนจะออกนอกสถานที่ ไหนจะต้องเผชิญกับภาวะรถติด ใช้เวลาบนท้องถนนนานเป็นพิเศษ ตามวิถีของคนเมือง บ้างไม่มีเวลาที่จะเข้าห้องน้ำ หรือต้องอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน อาจประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือการที่มีปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจ


                   สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะที่มีส่วนในการควบคุมการปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ระบบหูรูด กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน ระบบประสาทที่ควบคุมการกลั้นและขับปัสสาวะ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น การดื่มน้ำน้อย กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการบีบตัวผิดปกติ จนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากนั้นคนที่เคยผ่าตัดมดลูกมาก่อนอาจมีการเสื่อมของหูรูด และการหย่อนยานของผนังช่องคลอดรวมทั้งบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะปิดไม่สนิทจึงเกิดอาการปัสสาวะรั่วออกมา และในวัยสูงอายุ และประจำเดือนหมดแล้วฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลง ทำให้เยื่อบุในท่อปัสสาวะขาดความยืดหยุ่นระบบการปิดกั้นของท่อปัสสาวะลดลง ทำให้ปัสสาวะรั่วซึมได้เช่นกัน และรวมถึง การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

                   อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ปัญหาของโรคนี้คือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตนเองเป็น เพราะมักจะเข้าใจผิดไปเองว่า อาการปัสสาวะบ่อยนั้นเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงไม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล ทำให้อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้เป็นปัญหาในการเข้าสังคม หรือเป็นปัญหาทางสุขภาพและอนามัย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นช้ำรั่วหรือไม่






                   วิธีสังเกตอาการที่เสี่ยงต่อภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

                   1.อาการปวดราด คือปวดปัสสาวะรุนแรงจนเล็ดราดออกมา ไม่สามารถรอไปเข้าห้องน้ำได้ทัน ลักษณะสำคัญของโรคนี้คือ จะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยมากกว่า 8 ครั้งขึ้นไปต่อวัน

                   2. ปัสสาวะเล็ดจากการไอ จาม หรือหัวเราะ อาการลักษณะนี้มักพบในผู้หญิงที่เริ่มมีอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวมาก เคยมีประวัติคลอดบุตรหลายคนไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีธรรมชาติ หรือผ่าตัด เคยมีการผ่าตัดบริเวณรอบท่อปัสสาวะ หรือเคยรับการฉายรังสีรักษาบริเวณนั้นมาก่อน

                   3. ปัสสาวะราด คือเมื่อปวด ปัสสาวะก็ไหลออกมาเลย โดยไม่สามารถกลั้นได้

                   โรคช้ำรั่ว ไม่ใช่โรคร้ายที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต แต่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อสุขภาพจิต และการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความมั่นใจที่จะเข้าสังคม ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงได้

                   ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือน่าอับอาย เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้หาย หรือทำให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้ซึ่งการรักษามีหลายวิธี ทั้งการกินยารักษา การใช้ฮอร์โมนทดแทน การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการขมิบช่องคลอด หรือแม้แต่การผ่าตัด อย่างไรก็ตาม นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วย เช่น การลดน้ำหนัก อย่าให้ท้องผูก งดสูบบุหรี่ งดดื่มกาแฟ โซดา น้ำอัดลม เนื่องจากมีสารกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายบ่อยนอกจากนี้การสวมใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ก็จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติซึ่ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

                   ศ.นพ.วชิร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันปัญหาทีทำให้ผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นส่วนหนึ่งคือ ผู้ป่วยมีอาการแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี  ทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี คุณภาพชีวิต ทั้งความเป็นอยู่ การทำงานแย่ลง สูญเสียความมั่นใจ และสิ้นเปลืองกับการซื้อผ้าอ้อม ทางโรงพยาบาลรามาธิบดีจึงได้จัดงานเสวนา Check in OAB ชีวิตดี เมื่อโอเอบีรักษาได้ เจาะลึก รู้จริง เข้าใจเรื่องโรค OAB โดยมีนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลรามาธิดีมาให้ความรู้ และ Check List กลุ่มเสี่ยงที่จะมีโอกาสเป็น และเปิดประสบการณ์ตรงเตรียมพร้อมรับมือกับ OAB จากดารารับเชิญสุดพิเศษคุณตุ๊ก ดวงตาตุงคะมณี และ คุณคัดกิ่งรักส์ คิคคิคสะระณัง (เมจิ) พร้อมพบกับกิจกรรมดนตรี “สุขาอยู่หนใด” จากศิลปิน เบล สุพล ในวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2560 เวลา 13.00-16.30 น. ณ บริเวณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 7 เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สนใจติดต่อสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันนี้ – 18 พฤศจิกายน 2560 โทร. 083-291-1188 ระหว่างเวลา 10.00–18.00 น. หรือลงทะเบียนผ่านอีเมล์ OABThai@gmail.com  หรือ https://goo.gl/hxEtGB




ศ.นพ.วชิร คชการ หัวหน้าสาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี










ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder หรือ OAB) หรือเรียกว่า “ โรคช้ำรั่ว”

                   สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักพบมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินเป็นกลุ่มอาการของระบบทางเดินปัสสาวะ ที่มีอาการทั่วไปอยู่ 4 ลักษณะ คุณอาจมีอาการอย่างน้อยหนึ่งลักษณะ ดังอธิบายไว้ด้านล่างเป็นประจำทุกวัน หรืออาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ไม่แน่นอน

▪ปัสสาวะรีบเร่ง: เป็นความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างฉับพลันและรุนแรง จนไม่สามารถรอได้ (คนปกติจะสามารถกลั้นปัสสาวะและชะลอการขับปัสสาวะได้)

▪ปัสสาวะบ่อย: การที่ต้องปัสสาวะที่บ่อยกว่าปกติ คือ มากกว่า 8 ครั้งต่อวัน (24 ชั่วโมง)

▪กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ / เล็ดราด: อาจมีการเล็ดราดของปัสสาวะร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ โดยการเล็ดราดนี้ไม่สามารถควบคุมได้ จากความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน

▪ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน: การตื่นขึ้นมาเพื่อไปปัสสาวะตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในช่วงกลางคืน

ผลกระทบของภาวะโอเอบี (OAB)

                   แม้ว่า OAB จะไม่ใช่โรคที่คุกคามถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายด้าน ทั้งด้านกิจวัตรที่บ้านและความสัมพันธ์ในครอบครัว สุขภาพกายและจิตใจ สังคม รวมถึงการประกอบอาชีพ หากไม่ได้รับการรักษา อาการเริ่มต้นที่เป็นเพียงแค่ก่อความรำคาญ อาจเลวร้ายลงจนส่งผลกระทบที่รุนแรงได้

                   คนที่มีภาวะ OAB มักมีข้อจำกัดในการดำเนินชีวิต โดยมักจะวนเวียนอยู่บริเวณห้องน้ำ วางแผนประจำวันเรื่องการเข้าห้องน้ำ และรู้สึกเสี่ยงเกินไปที่จะออกจากบ้านไปทำธุระหรือออกกำลังกาย เพราะกังวลกับการต้องหาห้องน้ำให้ทันเวลา ภาวะ OAB ยังอาจทำให้การทำงานลำบากขึ้น การตื่นนอนในตอนกลางคืนบ่อย ๆ ทำให้ประสิทธิผลของการทำงานลดลง

ผลกระทบทางอารมณ์

                   คุณอาจเคยรู้สึกวิตกกังวล กระอักกระอ่วน ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เนื่องจากการรบกวนชีวิตประจำวันจาก OAB หรือพยายามซ่อนเร้นอาการไว้ ทำให้อยากหลบเลี่ยงการเข้าสังคม รวมถึงเพื่อนฝูงและครอบครัว ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสสำคัญในชีวิต ผู้ที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของ OAB อาจกลัวว่าคนอื่นจะได้กลิ่นของปัสสาวะหรือกังวลว่าจะปัสสาวะเลอะเสื้อผ้า

ผลกระทบทางร่างกาย

                   ผู้ที่มีภาวะ OAB อาจเกิดการหกล้ม และส่งผลให้กระดูกหักจากการรีบไปเข้าห้องน้ำกลางดึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งหากต้องทำการผ่าตัดเพื่อรักษากระดูกหักในผู้สูงอายุ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางการแพทย์อื่นได้ นอกจากนี้อาจเกิดผื่นผิวหนัง และการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้ เนื่องจากมีการเปียกปัสสาวะบ่อยโดยบังเอิญ และการทำความสะอาดที่มากเกินไปด้วยน้ำและสบู่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะโอเอบี (OAB)

▪อายุที่มากขึ้น

เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบมากที่สุด มากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ได้รับผลกระทบจาก OAB ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความเสื่อมของกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า OAB เป็นเรื่องปกติหรือไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่ออายุมากขึ้น

▪นิสัยการบริโภคอาหาร

การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีสารที่ระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะในปริมาณมาก เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ และอาหารมีเครื่องเทศมาก รวมทั้ง การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทาให้อาการ OAB ในบางคนแย่ลง

▪การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร

มีรายงานว่าหญิงตั้งครรภ์มักมีอาการของ OAB ชั่วคราว อาจพบการเล็ดราดของปัสสาวะได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของอายุครรภ์ และการคลอดทางช่องคลอดอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการ OAB ได้

▪วัยหมดประจำเดือน

อาการช่องคลอดแห้งที่เกิดขึ้นในวัยหมดประจำเดือนอาจระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ และส่งผลต่อการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ และนำไปสู่การปวดปัสสาวะรีบเร่งและบ่อยได้

▪ภาวะทางการแพทย์

ภาวะทางการแพทย์หรือโรคบางชนิด เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis; MS) การบาดเจ็บของไขสันหลัง หรือ การได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากหรืออุ้งเชิงกรานมาก่อน อาจลดคุณภาพของการควบคุมกระเพาะปัสสาวะจากสมอง ส่งผลให้เกิดการเล็ดราดของปัสสาวะได้

▪ การใช้ยา

ยาบางชนิด อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงเกี่ยวกับการปวดปัสสาวะอย่างฉับพลันหรือปวดปัสสาวะบ่อย เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาอาการซึมเศร้า ยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ

ทางเลือกในการรักษา OAB

การปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต

▪ควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตรต่อวัน
▪ดื่มน้ำให้น้อยลงทั้งก่อนและระหว่างการเดินทางที่ใช้เวลานาน
▪ ดื่มน้ำให้น้อยลงในตอนเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงการปัสสาวะในตอนกลางคืน
▪ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากจะเพิ่มการผลิตปัสสาวะและระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ
▪ การลดสารให้ความหวานเทียม อาหารรสเผ็ด ผลไม้และน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวในอาหาร อาจช่วยให้อาการ OAB ดีขึ้น เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ
▪รักษาระดับน้ำหนักตัวให้เหมาะสม การลดน้ำหนักตัว อาจทาให้อาการปัสสาวะเล็ดราดทุเลาได้


การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอาจอ่อนแอลงตามอายุ การขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่เรียกว่า การบริหารแบบคีเจล "Kegel" สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดกลับมาแข็งแรงขึ้น แต่ต้องฝึกอย่างถูกวิธีเท่านั้น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้

การใช้ยารักษา OAB

หลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว หากอาการของคุณยังไม่ดีขึ้น ในปัจจุบันก็มียาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการของ OAB หลายตัว อย่างไรก็ตาม คุณอาจพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้เช่นกัน เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น ปัสสาวะคั่งหรือปัสสาวะไม่ออก ดังนั้น คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด

หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาด้วยยา ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาของคุณได้ ยังมีทางเลือกอื่นๆ ได้แก่

-   การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน (botulinum toxin) หรือโบท็อกซ์ ปริมาณต่ำเข้ากระเพาะปัสสาวะซึ่งจะช่วยหยุดการบีบตัวที่มากเกินไปของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะโดยค่อย ๆ ทาให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง
-   การกระตุ้นประสาท โดยฝังเครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกาย เพื่อควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
-   การผ่าตัด มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความสามารถในการกักเก็บปัสสาวะและลดแรงบีบในกระเพาะปัสสาวะ โดยการรักษาด้วยวิธีนี้จะถูกเลือกใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง


เมื่อคุณเข้าใจดีขึ้นเกี่ยวกับภาวะโอเอบี (OAB) และการรักษาแล้ว หากคุณมีอาการที่บ่งบอกถึงภาวะ OABคุณควรรีบปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดรักษา และเชื่อมั่นว่าอาการของคุณจะดีขึ้น !
« Last Edit: November 20, 2017, 03:45:20 PM by happy »