FB on August 30, 2012, 08:26:05 AM
          การปรับลุคแปลงโฉมในเรื่องนี้
          เองนี้ปรับลุคเยอะมากค่ะเพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ส่วนใหญ่ละครก็จะไม่ค่อยได้ปรับอะไรเยอะอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นหนังต้องจริงมากๆ ขั้นแรกโดนย้อมผมสีดำก่อนเลย ซึ่งย้อมกันกลางกองถ่ายเลย เพราะว่าตอนแรกหญิงย้อมไปแล้วนะเป็นสีน้ำตาลเข้มพอเข้าไปในกล้องมันแดง ก็เลยถูกย้อมกลางกองเลย และก็กันคิ้วให้เล็ก คือหญิงต้องเล่นตั้งแต่ยุคสองศูนย์ สามศูนย์ สี่ศูนย์ ห้าศูนย์ ดังนั้นเนียแต่ละยุคแต่ละสมัยต้องบอกว่าแฟชั่นมันเปลี่ยนไป เรื่องนี้เราจะได้เห็นแฟชั่นของแต่ละยุคของแต่ละสมัยด้วย คิ้วก็เล็กแบบเล็กมากค่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกเขียนเล็กมากเหมือนเส้นปากกาเส้นดียว แต่ก็เก๋ดีนะ หญิงมีความรู้สึกว่าใหม่สำหรับตัวเราและก็พอได้แต่งอะไรแบบนี้ ชีวิตจริงเราคงไม่มีโอกาสได้แต่งค่ะ และก็หม่อมก็จะบอกว่าเนี่ยพอก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ ทุกอย่างมันบิ๊วให้เรารู้สึกว่าเราได้เดินก้าวเข้ามาในอีกยุคหนึ่งแล้ว เราต้องรู้สึกตั้งแต่แต่งหน้าแล้วทำผมเลย มันก็สนุกดี บวกกับแรกๆหญิงเอ๊ะทำไมพี่เขารองพื้นหน้าหญิงข้าวขาว แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะถามนะ ก็เลยเปิดหนังสือเรฟเฟอเรนต์ที่พี่ขวดเอามาให้ดูทุกเช้า เออทำไมสมัยนั้นหน้าเขาข้าวขาว เขาก็บอกว่าคือสมัยนั้น ทางเอเชียยังไม่มีการแต่งหน้า ไอ้รองพื้นเนี่ยมันมาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งมันก็จะเป็นรองพื้นผิวฝรั่งก็จะไม่ใช่รองพื้นของเรา แต่ด้วยคุณบุญเลื่องเขารักศิลปะไง เขามองการแต่งตัว แม้กระทั่งแต่งหน้าก็เป็นศิลปะ เขาก็คือผู้หญิงที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง ดังนั้นยุคนั้นคุณบุญเลื่องก็จะแต่งหน้าด้วยรองพื้นผิดเบอร์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็จะเป็นความน่ารักของคุณบุญเลื่องเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบแต่งตัวมากๆ ชอบมาก ชอบเสื้อผ้า ชอบแฟชั่น ถ้าได้เห็นในภาพยนตร์ก็จะรู้แบบว่าเสื้อผ้าสวยมาก

          อินกับบทบาทนี้มากน้อยแค่ไหน
          อินนะ หญิงค่อนข้างอินเยอะเลย ถ้ามองในมุมของเป็นอาร์ติส ต้องอินอยู่แล้วเพราะเราต้องเป็นเขาอยู่สองสามเดือน และหญิงเป็นคนที่เวลาหญิงเล่นตัวละครตัวไหนหญิงอยากเข้าใจเขาจริงๆ นั่นเป็นเหตุผลทำไมหญิงต้องถามหม่อมว่าทำไมคุณบุญเลื่องถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมคุณบุญเลื่องก็รู้อยู่ว่าเขาคิดไม่ดีทำไมถึงยังปล่อยให้เข้ามาในชีวิต คืออะไรอย่างนี้ คือเราก็จะถามอย่างมีเหตุผลและหม่อมก็จะมีคำตอบให้เราตลอด เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ถ้าพูดง่ายๆ ว่าถ้าเขาบวชชีได้เขาบวชไปแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ถึงขึ้นที่จะละโลกค่ะ คือเขาเป็นเหมือนผู้หญิงที่แบบนึกออกไหมว่า เป็นคนไม่คิดอะไรเลย ดังนั้นใครจะเข้ามาหาผลประโยชน์ เขาไม่คิดอะไร เอาไปเลย เอาไปเถอะ ซึ่งเอาจริงๆ มันคือสรตะคือนิพพาน คือเราไม่เอาอะไร คือเราเสียสละทุกสิ่งได้ แต่เขายึดมั่นอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก เขาทำทุกอย่างเพื่อความรักสำหรับคุณบุญเลื่องนะคะ ดังนั้นเขามีห่วงอยู่เรื่องหนึ่งคือความรัก ห่วงอื่นตามมาคือพอเขามาอยู่ในฐานะภรรยาคุณหลวงปุ๊บ พอเห็นจันเป็นลูกก็มีบ่วงล่ะ ฉันจะต้องส่งเด็กผู้ชายคนนี้ให้มีอนาคตที่ดี คือเขาจะเป็นคนที่คิดดี แต่ว่าเขาก็จะเป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ในยุคนี้ อาจจะมีนะอาจจะมีคุณยายใครสักคน ลองหันกลับไปถามคุณยายดูว่าในตอนที่อายุสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมาเชื่อไหมว่ามีผู้หญิงแบบนี้จริงในโลก ถ้าถามยุคนี้หญิงว่ายาก เป็นไปไม่ได้เลยว่าที่จะมีผูหญิงแบบคุณบุญเลื่องที่เป็นผู้หญิงที่โอเพ่นมากขนาดนี้ และก็ฟรี และก็รักศิลปะ ซึ่งหายากในยุคนี้

          การร่วมงานกับหม่อมน้อย
          ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับหม่อม และหม่อมก็สอนเราเยอะค่ะ เป็นคนที่จริงใจกับกับการทำงานและก็มองมากกว่าแค่งาน อย่างที่หญิงบอกคือบางครั้งเราถูกสอนเรื่องการแสดงเราต้องเล่นยังไง เราต้องเล่นใหญ่เล่นเล็ก แต่พอมาอยู่กับหม่อม หม่อมบอกว่า To Do คือทำอย่างเข้าใจ เราไม่จำเป็นว่าต้องใหญ่หรือเล็ก คือถ้าเราเข้าใจในตัวละครจะมากหรือน้อยไม่มีอะไรผิด หม่อมพูดอย่างนี้เสมอ มีครั้งหนึ่งหม่อมบอกว่าได้อีกนะหญิง เยอะกว่านี้ได้อีก หญิงกลัวเยอะเกินไป หม่อมก็เลยบอกว่ามันไม่มีอะไรมากไปหรือน้อยไป ถ้าเราเข้าใจว่าตัวละครคืออะไร ดังนั้นเราก็จะเข้าใจตัวละครมากขึ้น พยายามคิดเยอะๆ ถ้าเราเป็นตัวละครจะมากไปหรือน้อยไปยังไง มันไม่มีอะไรถูกหรือไม่มีอะไรผิด แต่ว่าอย่างซีนอารมณ์หรืออะไรอย่างนี้ค่ะก็หม่อมก็จะสอนบ้าง ก็อย่างที่หญิงบอกคือโชคดีที่ได้มีโอกาสที่รู้จักและได้ทำงานกับหม่อม การแสดงมันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ก็จริงค่ะ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพรแสวงความตั้งใจจริง แล้วหม่อมสอนให้หญิงให้มองอาชีพนี้ไม่ใช่เป็นแค่อาชีพ คือหม่อมสอนให้หญิงรักที่จะเป็นนักแสดง เพราะว่าเรารักสิ่งนี้แล้วเราไม่ได้มองเป็นแค่งาน หม่อมจะสอนให้ถูกเชิดให้อยู่บนหัวเรา ดังนั้นก็ต้องเคารพงานเคารพทุกตัวบทละครที่เราได้รับมา สมมติเราได้บทมาเนี่ยเราต้องเคารพเขาแล้ว เราต้องเป็นเขา เราต้องทำให้ดี คือเหมือนเรารับอีกชีวิตหนึ่งอีกคนหนึ่งมา ถึงแม้ว่าเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาข้างๆ เราแต่เราต้องดูแล คือเราต้องเคารพเขา คือหม่อมไม่ได้สอนว่ามันเป็นงานที่ได้เงิน แต่มันเป็นงานที่เราได้อะไรมากกว่าแค่เงิน มากกว่าแค่ประสบการณ์ หลังๆ หญิงก็เลยรู้สึกว่ามันคือการเป็นอย่างที่บอกเป็นนักแสดงเป็นได้ แต่เป็นนักแสดงที่ดีมันเป็นยาก คือตอนนี้หญิงก็ยังไม่เป็นหรอก ก็ต้องเรียนรู้ไปอีกเยอะ
          คุณแม่ของหญิงเองก็เคยร่วมงานกับหม่อม ตอนที่ทราบว่าได้เล่นก็มาบอกแม่ว่า หญิงได้เล่นนะ แม่ก็น้ำตาร่วง ร้องไห้ กอดแล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่เคยทำงานกับหม่อมสมัยคุณแม่แบบมีหญิงแล้ว หม่อมก็เล่าให้หญิงฟังว่าชอบเอาดาราตลกมาเล่นหนังชีวิต ซึ่งทุกคนก็มองว่าจะเล่นได้เหรอ ก็เพราะตลกมาทั้งชีวิต แต่แม่เล่นได้ หม่อมก็เล่าให้ฟังว่ามีครั้งหนึ่งเป็นซีนที่คุณแม่ต้องร้องไห้เท่าไร ก็ร้องไม่ได้ซักที แม่ก็เลยสะกิดหม่อมบอกว่าหม่อมพูดคำหนึ่งให้น้อยหน่อย หม่อมก็ถามว่าคำไหน แม่บอกคำว่าหญิง พอหม่อมกระซิบว่าหญิง แม่น้ำตาร่วงเลย หม่อมก็หาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน เอาวิธีนั้นมาใช้กับหญิงเหมือนกัน ก็รู้สึกว่ามันมีน้อยคนค่ะที่จะเข้าถึง หม่อมเป็นคนหนึ่งที่มองทะลุกำแพงมาและก็เห็นอะไรในตัวหญิง และหญิงก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่สิ่งที่ดีที่ได้มาทำงานสายบันเทิงและก็ได้เจอผู้กำกับที่มองคนทะลุขนาดนี้

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ “มาริโอ้” ตอนแรกที่หญิงเจอนี่ หญิงเจอที่บ้านหม่อมนะคะ ก็โห...เด็กมากเราเห็นเขาจากงานละครเราไม่คิดว่าเขาจะเด็กมาก คือมองแล้วเหมือนสิบหกสิบเจ็ด คือมันก็มีซีนที่เป็นตอนเด็กเลยเรามั่นใจว่าโอ้ทำได้แน่นอน คือด้วยหน้าเขาด้วยเขาเป็นผู้ชายที่หล่อ เออเรารู้สึกว่าน้องผ่าน แต่พอเราอ่านบทไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอซีนที่โหดมากๆ เราก็แบบเป็นห่วง เพราะว่าน้องเองสำหรับหญิงก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับตัวเค้ามากค่ะ แต่พอถึงเวลาที่ถ่ายจริงๆ เขาเล่นได้ดี หญิงยังพูดกับหม่อมเลยว่า โอ้โห โอ้ตั้งใจมากและก็ทุ่มเทมาก และโอ้โตขึ้นในมุมของการแสดง คือหญิงเชื่อว่าเรื่องของการแสดงมันเป็นเรื่องอย่างที่หญิงบอกเรื่องพรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีพรแสวงและความตั้งใจ ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้น้องเติบโตมาในระดับที่หญิงที่รู้สึกว่าแบบน้องไปได้อีกไกล และก็โชคดีที่น้องได้มาเจอหม่อม เพราะหม่อมก็เป็นคนที่สร้างนักแสดงที่ดีๆ ระดับประเทศไทยไว้เยอะ หญิงมองว่าโอ้ก็เป็นหนึ่งในนั้นในอนาคต เพราะว่าตอนนี้สำหรับ “จันดารา” เขาทำได้ดี ส่วนเวลาหลังกล้องนั้นโอ้ก็จะเป็นเด็กที่เด็กจริงๆ อย่างที่หญิงเห็นก็คือเขาก็ยังจะชอบรถ ชอบเกม ชอบสเก๊ตบอร์ด ซึ่งมันค่อนข้างที่จะแตกต่างจากตัวละครเยอะมาก ดังนั้นเราก็ทึ่งในความสามารถเขา เพราะว่าพอถึงเวลาหน้ากล้องปุ๊บ เขาสามารถเป็นจันดาราได้เลยจริงๆ แต่พอหลังกล้องเขาก็จะมาละ พี่หญิงเล่นเกมนี้ยัง พี่หญิงฟังเพลงนี้ยัง ฮิพฮ็อพอะไรอย่างนี้ เป็นเด็กฮิพฮ็อพจริงๆ ที่ไม่ฟังเพลงป๊อบ ไม่ฟังเพลงเลดี้ กาก้า คือมันจะมีพวกผู้ชายบางประเภทที่ฟังได้ทุกแนวทุกอย่าง แต่โอ้เป็นผู้ชายที่ฟังแต่ฮิพฮ็อพอารมณ์นั้นไปเลย
          “พี่เจี๊ยบ ศักราช” ก็เป็นผู้ชายที่น่ารักมาก เป็นผู้ชายที่มีความน่ารักในตัวเอง แต่ว่าในมุมหนึ่งของการทำงานพี่เจี๊ยบเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก สอนหญิงเยอะในเรื่องของอารมณ์ ในเรื่องของการทำงานกับคน
          นอกจากสอนเรื่องการเป็นตัวละครแล้ว ก็ยังสอนทีมงาน ความน่ารักของพี่เจี๊ยบที่มีต่อทีมงานทุกๆ คนเลย มันทำให้เขาเป็นผู้ชายที่เวลาอยู่ในกองทุกคนก็อยากเข้ามาเล่นด้วย มีมุกตลกมีอะไรตลอดเวลา อย่างเวลาที่เข้าฉากสามีภรรยาด้วยกันเนี่ย หญิงรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นสามีเราในมุมเวลาเราพูดกัน คือตัวหญิงเองก็ยังไม่เคยแต่งงานไม่รู้หรอกว่าการใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาเป็นยังไง แต่ว่าทุกครั้งที่เรานั่งข้างๆ พี่เจี๊ยบในฐานะที่เราเป็นคุณบุญเลื่องและเขาเป็นคุณหลวงเนี่ย หญิงสัมผัสได้ถึงการเป็นสามีภรรยาและเรารักกัน ซึ่งคนรักกันบางทีมันไม่ต้องพูดกันเยอะ อย่างบางซีนที่เราพูดว่า “คุณหลวงลองส่งจันไปเรียนเมืองนอกสิคะ” แล้วเขาแบบ “อืม” แค่อืมแต่เรารู้ได้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ คือเขารักเรามาก พอที่จะลืมอดีตที่เขาเกลียดเด็กคนนี้ยังไง แต่พอผู้หญิงคนนี้พูดปุ๊บ เขารักเรามากพอที่จะยอมเปลี่ยนความคิด คือเรารู้สึกได้ว่าแบบ อืมพี่เจี๊ยบเก่ง แล้วความเก่งของเขามันช่วยเราในเรื่องของแอ็คติ้งได้เยอะค่ะ
          ตอนแรกที่บอกว่ามี “ตั๊ก” เล่นด้วย หญิงก็โอ้โห เคยได้ยินข่าวเขามาบ้าง แรงก็แรง เอ๊ะเราจะยังไง เราจะทำงานด้วยกันได้ไหม เพราะหญิงเองถ้าถามหญิงว่าหญิงเป็นคนแรงไหม หญิงไม่ใช่คนแรง แต่ว่าหญิงก็จะมีมุมของหญิงอยู่ เราก็แบบตั๊กยังไง เพราะว่าเรารู้มาว่าตั๊กก็แรงนะ (หัวเราะ) แต่พอมาเจอตัวจริงหญิงโชคดีมาก เพราะว่ามีอยู่วันหนึ่งเราพักและเราก็นั่งคุยกันเรื่องชีวิตเรื่องอะไรอย่างนี้ ตั๊กเป็นนักแสดงคนหนึ่งในกองที่หญิงรู้สึกว่าหญิงคุยได้ทุกเรื่อง ด้วยวัยที่เขาอายุน้อยกว่าหญิงไม่มาก ก็มานั่งคุยกันเรื่องชีวิต เรื่องการเดินทางในสายอาชีพ ชีวิตที่ผ่านมาเราเจออะไรบ้าง โชคดีที่เราทั้งคู่เป็นคนที่ยอมรับในความจริง มันมีขึ้นและลง ตั๊กเองเป็นหนึ่งในนั้นที่คุยกับหญิงเรื่องนี้ ตั๊กก็พูดมาคำหนึ่งว่าเรามีบุญแล้วแหละเพราะว่ามันน้อยคนนะที่ได้เกิดมาแล้วจะได้รู้สูงต่ำคืออะไร ดีชั่วคืออะไรในวัยยี่สิบสามสิบ บางคนเนี่ยมารู้ก็ตอนที่จะลงโลงแล้ว เออหญิงโชคดีนะที่ได้รู้จักกับบงกช คงมาลัย มีคำหนึ่งที่หญิงพูดกับตัวเองตลอดว่า ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรราบรื่นอย่างที่ทุกคนรู้เรื่องชีวิตหญิงนะคะ พอโตมาในระดับหนึ่งแล้วมาเจอตั๊กพูดคำนี้ เออมันเป็นเรื่องจริง เพราะเรารู้เร็วเราคงมีบุญ และหลังจากนี้เราก็คงจะรู้ว่าควรจะทำยังไง เราคงมีสติในการใช้ชีวิต พอตั๊กพูดคำนี้ หญิงเออไม่เสียดายเลยที่แบบครั้งหนึ่งเราเคยเหนื่อยขนาดไหน แต่วันนี้เราเหนื่อยเหมือนกันนะ แต่รู้สึกว่าคนที่ไม่มีโอกาสที่ได้นั่งคุยกับเขาก็จะมองว่าเขาเป็นคนที่แบบ โอ้โหผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงแรง ทำไมถึงเล่นแต่บทแรงๆ เขาเป็นนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่งที่หญิงรู้สึกว่าหญิงดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา ได้เล่นหนังกับเขา หญิงบอกกับเขาเลยนะว่าตั๊กเป็นผู้หญิงที่มีโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิต หญิงเชื่อว่าแบบถ้าเขาโตขึ้นกว่านี้ให้อีกสักสิบปี หญิงเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีความสามารถมาก และก็เป็นคนที่น่าจับตาอีกคนเช่นกัน หญิงว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น และก็ในมุมของการทำงาน ตั๊กก็จะเป็นโปรเฟสชั่นนอล จะนิ่ง คือทำงานแบบงานคืองาน เล่นคือเล่นจริงๆ แต่ถ้ามองในมุมผู้หญิงคนหนึ่งอย่างวัยสักยี่สิบเจ็ดก็เป็นเด็กที่อยากมีความรัก
          เด็กที่แบบอยากมีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต เขาก็จะมีมุมหลายมุมที่นั่งคุยกับหญิง ชอบคนนั้น ชอบคนนี้ อยากมีความรักอย่างนี้ อย่างนั้น ก็เป็นน้องคนหนึ่งที่เรานั่งคุยแล้วรู้สึกว่าถ้าเป็นเรื่องของชีวิตของธรรมะเขาจะเป็นผู้ใหญ่มาก แต่พอเป็นเรื่องความรักปุ๊บ หญิงเชื่อว่าเรื่องความรักมันทำให้คนเราเด็ก ก็ดีค่ะ หญิงดีใจที่ได้มาทำงานกับเขา เพราะว่าจากที่เราเคยมองเขาไว้เป็นภาพหนึ่ง พอเราได้มารู้จักเขาจริงๆ เป็นอีกภาพหนึ่ง นี่แหละคือเหตุผลที่คนเราบางทีมองแต่ภายนอกไม่ได้
          “พี่ภูมิ” (ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เล่นเป็นลูกชาย แต่อายุมากกว่าหญิงนะ แต่ต้องมาเล่นเป็นลูก หญิงก็ถามว่าพี่ณัฏฐ์เป็นไงรู้ไงบ้าง รู้สึกดีเพราะว่าหญิงแก่กว่าพี่ พี่ณัฏฐ์ก็เคยเจอกันบ้างนะคะ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ร่วมงานกัน ด้วยความที่เขาครอบครัวเขาเป็นชาติทหารมา หญิงก็รู้สึกว่าเขามีความเป็นทหารอยู่ในตัว เพราะในเรื่องเขาก็รับบทเป็นทหารด้วย สมาร์ทและก็มีความฉลาดในตัวเองด้วยบุคลิก ส่วนเรื่องขี้เล่นก็เป็นผู้ชายที่แบบขี้เล่น เพราะเขาเติบโตมาด้วยสังคมฝรั่งนิดนึง ดังนั้นเวลาอยู่กับเขาเนี่ยก็ต้องไวนิดนึง นิสัยก็จะเป็นคนที่ทำอะไรฉึบฉับ ขี้เล่น พูดเล่น ได้เจอกันแค่ไม่กี่คิว และจะได้เจอในซีนใหญ่ๆ ตลอด ก็เป็นผู้ชายที่ขำดี ไม่เครียดดี

FB on August 30, 2012, 08:26:31 AM
          กับ “โชจัง” หญิงรู้สึกว่าลืมไปเลยว่าเขาเคยถ่ายอะไรมา คือเขาเป็นผู้หญิงที่มีคลาส เวลาเขาเล่นเขามีคลาส แต่วิถีการเล่นก็จะเป็นแบบคนญี่ปุ่น บางทีเราก็จะมาอำกันในกอง แต่ความตั้งใจเขามีมากจริงๆ คือหม่อมบอกกับหญิงตลอดว่าอยากให้พูดภาษาญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เพราะว่าเราเอามาพากย์เอาก็ได้ แต่ว่าเขาก็มีความรับผิดชอบในตัวเอง ถ้าพากย์แล้วปากมันไม่ตรงเขาก็ดูไม่จริง เขาก็พยายามที่จะพูดภาษาไทยซึ่งเขาทำได้ดีนะ มันก็จะมีบ้างคนเราให้เราไปเล่นหนังญี่ปุ่นเราคงพูดไม่ได้เหมือนกันแบบเขาหรอกจริงไหม แต่ที่หญิงรู้สึกชอบเขา คือตัวโชเป็นคนที่ไลฟลี่ค่ะ เวลาเราแต่งตัว หรือเวลาที่เราทำอะไร ด้วยคนญี่ปุ่นเขาจะชอบเรื่องการแต่งตัวมาก เขาก็จะมานั่งมองแล้วก็บอกยูบิวตี้ฟูล เขาน่ารักอ่ะ ก็จะสอนภาษาญี่ปุ่น เขาเหมือนคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่น เวลาเราเห็นเราก็ยิ้มแล้ว มีแอ็คติ้งที่น่ารักๆ ทำอะไรแบบเร็วตลอดเวลา หันดุ๊กดิ๊กๆ แต่เวลาเขาทำงานเขาซีเรียส มีซีนสุดท้ายที่เขาต้องฉะกับหญิงตรงๆ วันนั้นหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นอีกคนเลย เขาจะนิ่ง เพราะในซีนเขาจะนิ่งและทะเลาะกับหญิง เพราะซีนก่อนหน้าเขาจะมาเป็นผู้หญิง เป็นลูกเราแบบรักเรา เพราะเราชอบแต่งตัว เขาก็จะมาขอคำแนะนำจากเรา แต่ซีนนั้นคือเป็นซีนที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนแม้กระทั่งตอนที่แบบอยู่ในห้องแต่งตัว อยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ คือเขาจะมีสติกับการทำงานมากๆ และหญิงรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เราอยากให้มีโอกาสได้เห็นงานเขามากกว่านี้ เพราะหญิงรู้สึกว่าเขามีความน่ารักและก็เป็นผู้หญิงที่สวยแล้วก็แบบมีความรับผิดชอบสูงมาก

          ปัญหาหรืออุปสรรคในการแสดง
          จริงๆ หญิงก็พยายามมองทุกอย่างให้มันอุปสรรคหมดนะ เพราะหญิงรู้สึกว่ายิ่งมีอุปสรรคแล้วเราทำความเข้าใจกับมัน แล้วเราผ่านมันไปได้จะทำให้เราโตขึ้น คราวนี้อุปสรรคหลักๆ ถ้ามองในมุมรวมๆ เนี่ยคือหนึ่งมันเป็นงานแสดงชิ้นใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต ดังนั้นเนี่ยความคาดหวังอย่างหนึ่งเลยเป็นอุปสรรคสำหรับตัวหญิง แต่ในความเป็นอุปสรรคมันก็เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วย สองคือก่อนหน้านี้หญิงเคยถ่ายหนังแต่ว่าเป็นหนังต่างชาติ (Only God Forgives) และก็เรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องแรก ดังนั้นมันมีความใหม่ในความรู้สึกแรกกับการทำงานเหมือนกัน ฉันจะทำให้ดีได้ไหม คือมันจะมีสองอัน คือหญิงจะไม่มีปัญหากับคนอื่น อุปสรรคของหญิง หญิงจะไม่เคยเอาคนอื่นมาในชีวิตของหญิง อุปสรรคมันเกิดจากตัวหญิงทั้งนั้น เวลาหญิงทำอะไรหญิงจริงจังมาก ไม่ว่าจะกับงานหรืออะไรทุกอย่าง ร้องเพลง เล่นละคร คือทุกอย่างอุปสรรคคือตัวหญิงเอง คือหญิงเองจะค่อนข้างต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่มันดีเคยมีคนสอนหญิงว่า ไอ้การที่เราต่อสู้ตลอดเวลาเนี่ยแหละ มันจะทำให้เราพัฒนา เวลาเราล้มหรือเวลาเราพลาด เราจะรู้ได้เต็มที่ว่าทุกอย่างมันเกิดจากตัวเราทั้งนั้น คือถ้าเรามองคนอื่นเป็นอุปสรรคเนี่ยมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น หญิงก็จะมองอุปสรรคเป็นตัวหญิงตลอด ร้อนเหรอเราคิดเองว่าร้อน คนอื่นร้อนเขาก็เล่นได้นี่ คือมันก็จะเป็นเรื่องนั้น อุปสรรคด้านอื่นๆ มันก็เกิดจากตัวหญิงนั่นแหละ หญิงจะทำให้หม่อมโอเคไหม หญิงทำให้หม่อมแฮปปี้หรือยัง หญิงทำได้ดีเท่าที่หญิงคิดไว้หรือเปล่า หรือว่าเล่นแล้วส่งไปถึงโอ้ไหม เล่นแล้วส่งไปถึงตั๊กหรือเปล่า พี่เจี๊ยบโอเคหรือยัง ทั้งหมดมันคือตัวเรา คือเหมือนถ้าเราส่งถึงเขา เขาส่งถึงเรา มันก็จะมีการรับส่งที่ดี แต่บางซีนเราจะรู้สึกได้ดีว่าส่งไปแล้วมันตกอยู่ตรงนี้ เอาใหม่หนูยังทำไม่ดีเอาใหม่ คือหญิงโชคดีตรงที่หญิงไม่ใช่คนที่แบบขี้เกียจ แม้กระทั่งร้องเพลง เสียงอย่างนี้ไม่ชอบเอาใหม่ ไม่เอา เอาใหม่ เอาจนเรามีเผื่อไว้ดีกว่าขาด หญิงคิดอย่างนี้ตลอด

          ฉากอีโรติกที่ทุกคนจับตามอง
          อาจจะเป็นเพราะหญิงไม่ค่อยซีเรียสกับเรื่องนี้นะ นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ลงทุนเล่นที่ค่อนข้างอีโรติกมากๆ แม้ในเรื่องของการเปิดหรือปิด แต่สิ่งหนึ่งเลยที่เราคิด คือก่อนที่หญิงจะเดินก้าวเข้ามาในวันแคสติ้ง เพราะว่าเราคิดไว้แล้ว ถ้าเราได้เนี่ยเราจะทำได้ขนาดไหน คือเราต้องคิดไว้แล้ว ไม่ใช่ว่าวันที่พอคุณเข้ามาแคสปุ๊บแล้วคุณถึงจะบอกว่าคุณไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ ฉันมีข้อแม้อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าสิ่งนั้นมันจะทำให้การทำงานกับคนอื่นไม่สมูธ หญิงพูดได้เลยว่าวันที่หญิงก้าวเข้ามาแล้วหญิงเต็มที่ และหม่อมก็พูดกับหญิงตลอดว่าไม่ต้องห่วงหม่อมดูได้ คือเดี๋ยวตรงนั้นจะตัดออก คือเวลาหญิงมันก็มีบ้างค่ะที่จะหลุดในกล้องบ้าง บางเทคอาจจะไม่ได้ใช้หรืออะไรอย่างนี้เราก็มานั่งคุยกัน เพราะหญิงรู้สึกว่าถ้ายิ่งไปปิดกั้นตัวละคร มันก็จะทำให้ความจริงของตัวละครมันไม่ออกมา หญิงเชื่อว่าการตัดต่อหรือแม้แต่กระทั่งแสงหรือภาพมันช่วยเราได้ตลอดเวลา ดังนั้นหญิงเล่นจะรู้มุมกล้องนะแต่พยายามคิดว่าไม่มีกล้อง เพราะว่าชีวิตคนเรามันไม่มีกล้อง คือชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้มีอยู่อย่างนี้ มันก็เป็นงานล่ะ คือพยายามคิดว่าไม่มีกล้อง เพราะว่าถ้าคิดว่ามีกล้องมันคือการแสดง หญิงก็จะคิดว่าไม่มีกล้องมันคือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้ามันหลุดหรือว่ามันอะไรที่คนกลัวๆ กัน หญิงเชื่อว่าทีมงานก็คงไม่ปล่อยให้หลุดออกมาไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเรามีคนที่เซฟให้เราอยู่แล้ว เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ดังนั้นอย่ามาถามหญิงเลยว่าลิมิตหญิงมีแค่ไหนบอกได้เลยว่าหญิงไม่มีลิมิตการทำงานไม่ว่าจะงานชิ้นไหนก็ตาม เพราะหญิงเชื่อและหญิงก็ไว้ใจ คือถ้าเขาไว้ใจให้เรามาเล่นบทนี้ เราต้องไว้ใจเขาที่เขาจะนำเสนอไปในรูปแบบไหนขายในมุมไหน ดังนั้นหม่อมจะบอกตลอดว่าถ้าเกิดหญิงรู้สึกไม่สบายใจหญิงเข้ามาดูได้เลยห้องตัดต่อ อันไหนหญิงให้อันไหนหญิงไม่ให้ ซึ่งมันก็ค่อนข้างแฟร์กับตัวเรากับการทำงานและตัวผู้กำกับเอง
          ถ้าถามถึงตัวอีโรติกนะค่ะ หญิงถามว่าคนเราเกิดมามีความต้องการ เอาตั้งแต่คลอดออกมาเลย การโดนแม่กอดมันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง การที่เราดูดนมจากแม่มันก็คือสัมผัสอย่างหนึ่ง คนเรามันอยู่ไม่ได้หรอกค่ะ คือทุกอย่างมันเป็น Body Language หมด มันคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราโตมากพอที่เรารู้สึกรักใครสักคนหรือว่ามีความรักไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน มีอยู่แล้วความใกล้ชิดและเรื่องเซ็กส์มันก็เป็นเรื่องที่ตามมา ดังนั้นถ้าเรามองภาพยนตร์เลยข้ามจุดนั้นไป หญิงถือว่าคนที่มองข้ามจุดนี้ไป เขามองชีวิตมากกว่า นั้นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมคนสองคนถึงแต่งงานกัน เพราะว่ามันมองข้ามเรื่องเซ็กส์ไป มันคือการอยากใช้ชีวิตคู่กันแล้ว และคู่กันเพื่อที่จะมีบุตร เพื่อที่จะมอบความรักในรูปแบบอื่น คือหญิงรู้สึกว่าถ้าเรามองแบบนี้ เราจะดูหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่า เฮ้ย...ซีนนี้เอ๊กซ์ ซีนนี้โป๊ คือหญิงอยากให้มองมันเกินกว่านั้นค่ะ เพราะว่าถ้ามองเกินกว่านั้นได้แล้ว เราดูหนังเรื่องนี้แล้วเราจะได้อะไรอีกมาก ถึงขั้นที่เราสอนลูกในอนาคตได้
          หนังเรื่องนี้อาจจะอยู่กับเราอีกห้าปีสิบปีในความคิดหรือว่าตลอดชีวิต วันหนึ่งเมื่อคุณได้แต่งงานกับผู้ชายที่คุณรักมาก คุณอาจจะกลับมาเห็น “จันดารา” เราจะรู้สึกว่าอ้อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง การที่เราได้กอดลูกมันคือความรู้สึกนี้นี่เอง การที่ลูกดูดนมเราหรือว่าการที่ลูกดื่มนมจากเต้าเรา มันคืออย่างนี้นี่เอง คือการดูหนังมันต้องมองให้มากกว่าเป็นภาพค่ะ คือต้องคิดตาม ทีนี้เนื้อหนังมังสาเรื่อง “จันดารา” ทุกคนก็จะเฝ้าฝันรอดูความสวยงาม เรื่องของฉากอีโรติก ฉากเลิฟซีนต่างๆ แต่ว่าในแต่ละเลิฟซีนต่างๆ มันมีที่มาและที่ไป ถ้ามีโอกาสหญิงอยากให้เข้าไปดู หญิงอยากให้ลองดูให้มันลึกจริงๆ แล้วไม่แน่หรอกว่าวันหนึ่งคุณอาจจะกลับมานั่งคิดวันที่คุณอายุสี่สิบห้าสิบหกสิบไปแล้ว ในวันที่เซ็กส์ไม่ใช่เรื่องสำคัญในชีวิตแล้ว แล้ววันนั้นคุณจะหันกลับมาดู “จันดารา” ในเวอร์ชั่นนี้แล้วคุณจะเข้าใจว่าชีวิตมันก็แค่นี้จริงๆ
          อย่าง “ฉากถูน้ำแข็ง” ที่เป็นภาพจำจากครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้มันถูกตีความให้มีเหตุและผลในการใช้ หลังจากซีนนี้แล้วเหตุและผลที่ตามมาของตัวละครของจันดารากับคุณบุญเลื่องจะทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเนี่ยมันเกิดจากอะไร และมันถูกเปลี่ยนแปลงไปเพราะอะไรในอนาคต ก็เป็นฉากที่สำคัญไม่ใช่ว่าเป็นฉากสำคัญที่ถูน้ำแข็ง แต่มันเป็นฉากที่สำคัญในมุมตัวละคร ความสัมพันธ์ที่คุณบุญเลื่องมีให้จัน ณ วันนั้นมันคืออะไร แล้วหลังจากวันนั้นวันที่จันกลับมา ความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันเปลี่ยนไปเพราะอะไร มันค่อนข้างลึกซึ้งและยาก และเมื่อยากในเรื่องของอารมณ์แล้ว ยากในเรื่องของแสง ยากในเรื่องของภาพ เพราะว่าอาร์ตไดเร็คชั่นต่างๆ มันสวยมาก หยดน้ำที่อยากให้หยด ดีเทลมันเยอะอ่ะ เยอะจนเราไม่ได้คิดเรื่องอื่น หญิงก็พยายามบิดแล้วบิดอีกมันต้องมีโคสอัพไง โอ๊ย...หญิงเอาใหม่ไม่สวยบิดอีก บิดหามุมที่สวยที่สุด มันก็สนุกดีแต่ก็ออกมาสวยงามค่ะ ออกมาได้แบบน่าพอใจเลย

          ฉากร้องเพลงแสดงตัวตนอีกด้านของคุณบุญเลื่องเวอร์ชั่นนี้
          ฉากนี้ก็เป็นฉากงานเลี้ยงต้อนรับคุณบุญเลื่อง ซึ่งในฉากนั้นก็จะต้องร้องเพลง ซึ่งหม่อมบอกว่าเป็นเพลงในสมัยรัชกาลที่เจ็ด ซึ่งตัวหญิงพอได้ฟังเพลงก็ชอบและหญิงก็ยังมีอยู่ในไอโฟนเลย ชื่อเพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” คือตอนแรกเนี่ยหม่อมบอกให้หญิงร้องคนเดียว หญิงก็ไม่มีปัญหาหญิงเป็นนักร้องอยู่แล้ว ก็ปรับวิธีการร้องให้มันเก่าขึ้นและก็เป็นลูกกรุงมากขึ้น พอไปๆ มาๆ พอช่วงที่ซ้อมปุ๊บมันจะต้องมีซีนที่ซ้อมเต้นกับคุณหลวง หม่อมก็เลยให้พี่เจี๊ยบร้องด้วยดีกว่า ก็เลยไปอัดเสียง แต่ก็แยกกันอัดคนละวัน พอพี่เจี๊ยบมาถึงก็แบบโอ๊ย พี่ร้องไม่ดีเลยน้องหญิง แต่เขาร้องเพราะมาก เขาร้องแล้วแบบเหมือนคนยุคนั้นอ่ะ เสียงเขามีความทุ้มและก็มีเสน่ห์ และก็แบบน่ารักอ่ะ เสียงเพราะ แล้วพอเข้าฉากนั้นด้วยกันจริงๆ อย่างที่หญิงบอกไง ว่ามันทำให้รู้สึกว่าเราเป็นสามีภรรยากันจริงๆ เป็นรักครั้งแรกของเราจริงๆ ดังนั้นเนี่ยที่ถ่ายเรารู้สึกว่ามันมีแต่ความสุข เพราะว่าซีนนั้นเป็นซีนที่ทุกอย่างมีความสุข คือแบบทุกคนมาต้อนรับเรา เราได้อยู่กับคนที่เรารักมากที่สุด รอมาตั้งกี่สิบปีกว่าจะได้มาเจอกัน และด้วยเนื้อเพลงที่ร้องว่า “เมื่อไหร่เธอจะเจอฉันได้ อีกเมื่อไรที่จะได้พบกัน” ตอนนี้เราได้เจอกันแล้ว มันค่อนข้างลื่นไหลสำหรับตัวหญิงไม่ค่อยมีปัญหาเพราะว่าเต้นได้ร้องได้เพราะว่าเราเป็นนักร้อง แต่พี่เจี๊ยบก็จะแบบเต้นมันต้องยังไงอ่ะ หมุนยังไง เพราะว่าเราต้องขึ้นลงพอดีเป๊ะไง บางทีถ่ายซีนใหญ่มันพลาดไม่ได้ ก็สนุกดีค่ะฉากนี้

          ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
          ถ้าเรียกว่าหญิงเป็นผู้ชมคนหนึ่งที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดูเนี่ย ข้อหนึ่งคือตัวบทประพันธ์เรียกได้ว่าหนังสือเล่มนี้ มันเป็นหนังสือที่ถูกถ่ายทอดกันออกมาหลายช่วงอายุคนแล้ว และก็เป็นเรื่องที่ว่าคนอ่านเยอะมาก ด้วยเนื้อเรื่องมีความแข็งแรงอยู่แล้ว บวกกับสอง หม่อมน้อยเป็นผู้กำกับที่งานแต่ละชิ้นของหม่อมน้อยก็เป็นงานศิลปะชิ้นเอกพูดได้เลย แล้วก็พอมาเจอกับบทที่พร้อม ผู้กำกับที่พร้อม หญิงเชื่อว่าภาพที่ออกมามันจะมีความสมดุลในเรื่องของบทที่เข้มข้น บวกกับแอ็คติ้ง คาแร็คเตอร์ตัวละครที่เข้มข้น เพราะว่าสองสิ่งมาเจอกันหญิงเชื่อว่าไม่น่าพลาดสำหรับเรื่องนี้ และอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่แค่ว่าใครเป็นเล่นเป็นอะไร ใครจะเล่นดีแค่ไหน ใครจะเล่นไม่ดียังไง คือหญิงอยากให้มองว่า “จันดารา” เป็นเรื่องที่เราเข้าไปดูแล้วเราจะเข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งชีวิตต้องการอะไร ชีวิตต้องเจออะไรบ้าง ต่อสู้กับอะไร และเมื่อต่อสู้กับอะไร ความต้องการมันทำให้เรามีความอยาก มีความโลภที่จะได้มาก มีแต่มากขึ้นๆๆจนไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว จนสุดท้ายอย่างที่หญิงบอกไง กว่าที่เราจะรู้ว่าชีวิตจะต้องเจออะไรบ้าง สุดท้ายบางคนมาคิดได้เอาตอนจะลงโลงแล้ว ทั้งหมดมันก็แค่นี้เองชีวิต ชีวิตเราก็แค่นี้ ถ้าคุณดูเรื่องนี้แล้วคุณอาจจะไม่ต้องรอจนถึงแปดสิบกว่าที่คุณจะคิดได้ว่าชีวิตมันคืออะไร ดังนั้นวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ก็ทำ เราทำอะไรได้ จากที่เราเคยไม่ชอบใครสักคน เคยเกลียดใครสักคน คิดว่าชาตินี้ฉันจะไม่หันกลับไปมองละ ชาตินี้ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมาเผาผีกัน มันอาจจะเป็นแค่ทิฐิหนึ่งของชีวิต เพราะว่าชีวิตเรามันมีอะไรอีกเยอะให้ทำ แค่เวลาจะรักกันก็น้อยแล้วค่ะ อย่าเสียเวลาไปนั่งเกลียดกัน ทะเลาะกันเลย มันไม่มีประโยชน์ ดังนั้นมันอาจจะทำให้คุณได้อะไรมากกับเรื่องนี้นะคะ และก็อย่าไปคิดว่าดูเพื่อที่จะรู้ว่าใครจะโป๊ที่สุด เอ๊ะ...คนนี้โป๊ออกมาแล้วจะเป็นยังไงหรือสวยยังไง คุณกลับไปบ้านคุณก็เห็นของคุณทุกวัน คือถ้ามอง ถ้าถามในตัวหญิงนะคุณอาบน้ำคุณก็เห็นของคุณเอง มันก็คือชีวิตคนค่ะ มันคือเนื้อหนังมังสา คุณอาจจะได้เห็นของเขาแบบโอเคอยู่ในจอที่ใหญ่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็แค่นั้นแหละ มันก็คือภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หรือว่าดีวีดีเอาไปดูที่บ้านได้บ้างบางครั้ง แต่มันก็คือช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องดูแลมันไม่ใช่แค่ตัวเรา แต่ต้องดูแลใจเราด้วย ถ้าเข้าไปโดยที่คิดว่าโป๊ยังไง ออกมาสิ่งที่ได้ก็จะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ว่าหนังเรื่องนี้มันจะให้อะไรกับเรา และมองข้ามผ่านเรื่องพวกนี้คุณก็จะออกมากับสิ่งที่คุณไม่คาดคิดว่าคุณจะได้จากหนังเรื่องนี้
          จริงๆ ก็ไม่ค่อยกล้าคาดหวัง ก็หวังว่าถ้าคนอื่นมองว่าดีก็ต้องขอบคุณค่ะ หญิงเชื่อว่ามันก็ไม่มีดีที่สุดและหญิงก็จะน้อมรับทุกคำติชม หนังเรื่องนี้การทำงานกับหม่อมน้อยและก็ทุกๆ คนในทีมมันทำให้หญิงรักการแสดงกันมากขึ้น ทำให้หญิงรู้สึกว่าเป็นนักแสดงที่ดี ดังนั้นคำว่านักแสดงที่ดีของหญิงก็คือมันคือคำตอบจากผู้ชมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคำตอบที่ดีหรือไม่ดีมันคือคำตอบสำหรับตัวหญิง แล้วต่อให้มันดีแล้วแปลว่าหญิงจะย่ำอยู่กับที่ หญิงก็ต้องทำให้มันดีขึ้น แล้วถ้าไม่ดีล่ะไม่ดีตรงไหน ดังนั้นวอนขอความเมตตาจากผู้ชมทุกคนช่วยหน่อย เพราะว่ามันก็เป็นการสอบครั้งแรกของชีวิตหญิง ยังไงก็ถ้าได้เอฟก็ต้องบอกหญิง ถ้าได้เอก็ต้องบอกหญิงด้วย เพราะว่าหญิงตั้งใจจริงๆ กับการเป็นนักแสดงที่ดี ก็ยังไงก็ฝากไว้ด้วยค่ะภาพยนตร์เรื่องแรกของหญิง “จันดารา” ค่ะ

FB on September 01, 2012, 12:57:49 PM
บทสัมภาษณ์ “ตั๊ก-บงกช คงมาลัย พลิกคาแร็คเตอร์แปลกใหม่ใน “จันดารา”



          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้ตั๊กรับบทเป็น “น้าวาด” ค่ะ ก็จะเป็นกุลสตรีไทย ถูกเลี้ยงดูมาแบบคนไทยเลี้ยงดูและก็ฝึกฝนให้เป็นกุลสตรีไทยร้อยมาลัย เป็นญาติห่างๆ กับพี่ดารา แม่ของจัน จนเมื่อพี่ดาราคลอดจันแล้วเสียชีวิต เราก็เลยเสียสละชีวิตเลี้ยงดูจันมาตั้งแต่เด็ก เราก็ต้องคอยปกป้องทั้งจันดารา และสมบัติของบ้านเราด้วย ถึงขนาดเสียสละชีวิต ความฝัน ความรักของเรา จำยอมเป็นเมียของคุณหลวงที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านตอนนั้น เพื่อเวลาที่เราพูดอะไรจะได้ฟังเรามากขึ้น เราก็สามารถปกป้องจันได้ในระดับหนึ่งค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้แสดงเรื่องนี้
          จริงๆ ตั๊กก็ดูผลงานของหม่อมน้อยมาหลายเรื่อง และก็อยากร่วมงานกับหม่อมมากๆ ทุกตัวละครในหนังของหม่อมจะมีเรื่องราว เป็นหนังไทยพีเรียดย้อนยุคที่น่าสนใจ ดูสนุก ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกที่หม่อมติดต่อให้เข้าไปคุยก็แซวตั๊กก่อนเลยว่า เราเคยเห็นในข่าวเธอดูแรงๆ นะ (หัวเราะ) เรื่องนี้ก็อยากให้ตั๊กเปลี่ยนลุคไปจากเรื่องที่ผ่านๆ มา จะให้เล่นบท “น้าวาด” ซึ่งจะเป็นหญิงไทยที่เรียบร้อยมาก จะไม่ค่อยมีอิสระเท่าไรนัก จะเป็นผู้หญิงที่ยอม ไม่มีปากเสียง ทำทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ไว้ แต่เป็นวิธีที่นิ่มนวลไม่รุนแรง คาแร็คเตอร์นี้จะไม่แต่งตัวเลย แล้วพอไปอยู่กับคุณบุญเลื่องเราก็จะกลายเป็นแม่บ้านไปเลย
          ตอนแรกพอหม่อมบอกว่าให้เขามาคุยเรื่อง “จันดารา” ตั๊กก็ยังคิดอยู่ว่าหรือเราจะได้บทแรงๆ พอเข้าไปถึงปุ๊บ หม่อมก็บอกว่าอยากให้ลองเข้ามาแคสเบทน้าวาดดู ตั๊กก็เลยงงว่า อ้าวทำไมหม่อมถึงอยากให้เราเล่นบทน้าวาด แต่ก็ยังไม่กล้าถามหม่อม จนพอแคสติ้งเสร็จปุ๊บ พอมีโอกาสเราก็เลยถามว่า หม่อมคะ คาแร็คเตอร์อย่างตั๊กนี่เป็นน้าวาดได้ใช่ไหมคะ ไม่มั่นใจตัวเองซักเท่าไหร่ หม่อมบอกว่าได้สิ ทำได้อยู่แล้ว ก็อยากให้ตั๊กเข้ามาเรียนเรื่อยๆ และก็มาฟังเราอธิบาย ตั๊กก็จะทำได้เอง หม่อมเขาอยากเห็นตั๊กแบบหวานๆ ไทยๆ ดูบ้างค่ะ ตั๊กไม่แน่ใจว่าหม่อมอาจจะมองคนละมุมกับผู้กำกับคนอื่น หม่อมอาจจะมองในมุมเหมือนถ้าสังเกตดีๆ ภาพในภาพยนตร์จะเหมือนภาพวาดทุกภาพเลย ท่านก็คงมีจินตนาการของท่านว่าแบบไหนอะไรอย่างนี้ค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำ
          ตั๊กก็จะเข้าไปเรียนกับหม่อมอย่างเต็มที่นะคะ หม่อมจะสอนตั้งแต่ให้เรารู้จักตัวเอง และก็ค่อยทำให้รู้จักตัวแสดง บทเราได้เป็นใครเราก็ตีความเพราะว่าในเรื่องรับบทเป็นกุลสตรีไทย เลี้ยงดูมาแบบไหน ใครเป็นคนเลี้ยงดูมา คุณท้าวยายเป็นคนยังไง จะต้องเป็นระเบียบทุกอย่าง ลักษณะของแม่วาดจะเป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ และก็คนที่มีระเบียบ ถูกเลี้ยงมาเป็นกุลสตรีมากๆ แม้กระทั่งการนั่ง การเยื้องย่างร่างกายของตัวเอง หรือคาแร็คเตอร์การแต่งตัว สิ่งที่ชอบแม้กระทั่งตุ้มหูแหวนอย่างนี้ ก็จะชอบแบบไทย ชอบเรียบๆ ค่ะ วิธีการปรับเสียง การพูด น้ำเสียง การแสดงออกทางอารมณ์ก็คือจะออกมาตีความกันหมดเลย แม่วาดเวลาที่โกรธจะอารมณ์ไหน แต่ไม่ใช่อารมณ์โกรธโมโหร้าย โกรธแบบเข้าใจ เข้าใจปุ๊บและปรับความรู้สึกได้ก็จะเหมือนมีเหตุผลแล้วก็นิ่ง เหมือนทำความเข้าใจทีละขั้นๆ ของความรู้สึกเลยค่ะ ซึ่งมันช่วยเรื่องการแสดงหน้ากองได้มากเลยค่ะ เพราะว่าพอเราได้เรียนไปปุ๊บเนี่ย เราจะรู้จุดมุ่งหมายของเราละ โดยที่หม่อมอาจจะไม่ค่อยมีเวลามาบอกเราเหมือนตอนที่ซ้อมเพราะต้องทำอย่างอื่นด้วย เราก็จะรู้ว่าก่อนที่จะออกกองแล้วว่าเราต้องไปทำอะไรบ้าง
          อีกอย่างหนึ่งหม่อมก็อยากให้ตั๊กคุมความรู้สึกและคาแร็คเตอร์ของแม่วาดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแต่งหน้า เปลี่ยนชุด คือค่อยๆ เป็นน้าวาดตั้งแต่นั้นเลย ระหว่างนั้นคุมความเป็นน้าวาดเอาไว้กว่าจะถ่ายเสร็จ ซึมซับไปเรื่อยๆ พอเวลาอยู่ในกอง เอ๊ะ ทำไมตั๊กไม่พูดเลย ดูเป็นกุสตรีไทยมาก เปลี่ยนเป็นหรือเปล่า เปล่าเลย (หัวเราะ) เรากำลังคุมความรู้สึกความเป็นน้าวาดอยู่อะไรอย่างนี้ค่ะ
          ตั๊กว่ามันก็เป็นลุคอีกแบบหนึ่ง ตั๊กก็ถามหม่อมว่า หม่อมคะถ้าตั๊กปรับไปเรื่อยๆ ตั๊กจะติดหรือเปล่า บางทีเราติดคาแร็คเตอร์ตัวละครมาเป็นตัวเรา มันมีไงคะ หม่อมก็พูดเล่นว่า เป็นน้าวาดก็ดีนะ เงียบๆ ดี
          การซ้อมบท ทุกคนต้องมาซ้อมพร้อมๆ กัน ก็เริ่มจากอ่านบทก่อน ใช้อินเนอร์จากข้างใน อ่านบทไปเรื่อยๆ จนจบบทค่ะถึงเริ่มจำบทกัน พอเริ่มจำบทปุ๊บก็มาเล่นแอ็คติ้ง และหม่อมก็จะมาดูและกำกับว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วเริ่มแรกเลยคือตีความคาแร็คเตอร์ตัวเองและให้เป็นการบ้านกลับไปคิดว่าเราต้องค้นหาอะไรจากคาแร็คเตอร์ที่ต้องเล่นเป็นเขาค่ะ

          เป็นคาแร็คเตอร์ที่ไม่เคยแสดงมาก่อนเลย
          ไม่เคยค่ะ จริงๆ ก็ยากมากเลยนะค่ะ อย่างตั๊กเคยเล่นเป็นผู้หญิงสมัยบางระจันก็ไม่เรียบร้อยขนาดนี้ ก็เป็นชาวบ้าน เล่นขุนแผนเป็นพิมก็ไม่เรียบร้อยขนาดนี้ อันนี้คือเป็นผู้หญิงในวังและก็เป็นกุลสตรีที่แบบเหมือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับคนเลี้ยง แกะสลักเป็น ร้อยมาลัยเป็น ทำขนมเป็นอะไรอย่างนี้ ก็ยากมากเลยเหมือนเป็นเชื้อสายผู้ดี ตั๊กก็ไม่เคยได้บทแบบนี้ หม่อมก็บอกว่าให้ตั๊กฝึกตัวเองตั้งแต่คิดให้เหมือนกับตัวที่เราแสดง คิดอย่างที่เขาคิดแล้วเวลาเล่นเราจะเล่นได้เหมือนเขาเลย เราก็เริ่มคิดอย่างคาแร็คเตอร์ อย่างพอเจอเรื่องครอบครัวทำไมเขาต้องบังคับให้เราแต่งงานกับคุณหลวง เราก็คิดว่าเป็นการตอบแทนของผู้ใหญ่ ซึ่งแล้วเราจะคิดในแบบที่ไม่ใช่ก็ได้เพราะเราไม่ได้รักคุณหลวง แต่คิดในด้านผู้หญิงไทยสมัยก่อนการจะพูด จะบอก จะเถียงกับผู้ใหญ่ค่อนข้างยาก ก็เป็นเรื่องใหญ่พอสมควร แต่จริงๆ แล้วทำความเข้าใจในตัวเหตุและผลที่ตัวละครเจอค่ะ ก็จะเริ่มเข้าใจเขาไปเองว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

          ความยากง่ายในการรับบทนี้
          บทนี้ก็ยากเลยค่ะ มันต้องเก็บอารมณ์ทุกอย่าง มันนิ่งก็จริง แต่สายตาจะแสดงออก หม่อมจะไม่ได้ให้เล่นท่าทางมาก แต่จะให้ออกทางหน้าทางสายตา แล้วก็เป็นผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว ชอบร้องไห้ ดีใจก็ร้อง เสียใจก็ร้อง จริงๆ ตั๊กจะเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน ร้องเฉพาะเรื่องที่เรารู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่พอมาเรื่องนี้เราต้องร้องไห้ตลอด แล้วก็ไม่ได้ร้องนิดเดียวนะ ร้องทั้งวันเลย เพราะมันถ่ายต่อเนื่อง บางครั้งก็ต้องรอ เราก็กดดันเหมือนกัน หม่อมก็จะพูดเล่น “อ่ะ ทุกคนเงียบ รอตั๊กร้องไห้ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้วรอตั๊กร้องไห้อย่างเดียว” (หัวเราะ) ตอนเล่นเป็นคนแก่วัยกลางคนก็ยากมากค่ะ เพราะว่าบอดี้ร่างกายเรามันก็ต่างอยู่แล้ว สาวจะต้องเป็นอย่างนี้นะ สาวก็มีแรงที่จะพยุงตัวเอง แต่พออายุมากขึ้นเราก็ต้องแบบผมหงอก น้ำเสียงจะเปลี่ยน คาแร็คเตอร์จะเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ เหมือนแบบเราก็ต้องทำการบ้านตั้งแต่เขายังสาวจนมีอายุ ก็ยากเหมือนกัน

          คาแร็คเตอร์นี้เหมือนหรือต่างจากตัวเองอย่างไรบ้าง
          ต่างกันมากเหมือนกันค่ะ ความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็ต่างกันอยู่แล้วค่ะ ไม่เหมือนกันเลย ทั้งด้านของความคิด กรอบประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ต่างกันสิ้นเชิง คือผู้หญิงสมัยก่อนจะมีความเป็นอยู่ในด้านของแบบคือการเกิดมาเป็นบุญคุณแล้ว เป็นบุญคุณของทั้งผู้ให้เกิดทั้งผู้เลี้ยงดู เพราะฉะนั้นไม่มีอิสระเลย จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงผู้ใหญ่ แต่สมัยนี้ตั๊กอยากจะไปดูหนังไปทำอะไรบ้าง ไปกินข้าว คุยโทรศัพท์นัดกัน เราก็ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องมาสนใจเกี่ยวกับดอกไม้มากซักเท่าไร ไม่ต้องสนใจเกี่ยวกับขนมจะจัดยังไงให้สวยงาม เพราะเราซื้อมาเราก็เทเลย (หัวเราะ) แต่สมัยก่อนคือเราต้องค่อยๆ จัดทีละชิ้น ค่อยๆ วาง หม่อมจะบอกว่าตั๊กจับขนมเบาๆ หน่อยขนมแบนหมดแล้ว หม่อมให้ตั๊กเรียงขนมทองหยิบทองหยอดค่ะ หม่อมก็บอกแบนหมดแล้ว จับเบาๆ กว่านี้ เคยกินแต่ลูกกวาดช็อคโกแลตจับแรงๆได้ไงคะ พอมาเป็นทองหยิบหรือขนมมะพร้าวแก้ว พอจับปุ๊บแตก หม่อมก็จะว่า ตั๊กแตกแล้วไม่มีแล้วนะหาไม่แล้วนะเย็นแล้วนะจะไปตลาดได้ยังไง ตั๊กก็ยังนั่งคิดว่าผู้หญิงสมัยก่อนเป็นผู้หญิงที่สวยงามเนอะ แม้กระทั่งการที่จะกินอะไรแต่ละทีจะต้องเรียงให้สวยงามก่อน แกะสลักก็แกะให้ทั้งลูก ก่อนเอามาแบ่งแกะทีละชิ้นๆ แล้วถึงจะให้เอาไปให้สามีทาน
          ตอนแรกตั๊กก็พยายามที่จะทำความเข้าใจและก็ฝึกหัด คือตั๊กเข้าใจว่าผู้หญิงสมัยก่อนมีความประณีตมาก แต่การกระทำ ตั๊กฝึกยากมาก เพราะว่าตั๊กไม่เคยทำไงคะ ตั๊กไม่เคยทำแบบนี้ เพราะมันขัดกับความเป็นตัวเรามาก ตั๊กก็พยายามคิดว่าเขาเป็นคนแบบนี้นะ แต่เป็นเราอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นอย่างร้อยมาลัยอย่างนี้ค่ะ พอร้อยไปพูดไปเนี่ยเข็มทิ่มมือ อุ๊ย...คัทละ เลือดออก ซึ่งหม่อมบอกว่าถ้าเข็มทิ่มมือนี้คือแบบไม่ดีเลยนะคะ คนสมัยก่อนถือมากถ้าเลือดออกนี้ถือว่าเป็นลางไม่ดี แต่เราแค่ถือว่าเราร้อยไม่ได้ ทิ่มไปปุ๊บ อุ๊ยเลือดออกหยุดถ่าย พอร้อยไปเรื่อยๆ แล้วมันไม่เป็นพวงมาลัย หม่อมก็บอกว่าไม่ได้ต้องเป็นพวงด้วยและต้องทำให้ดูเป็นธรรมชาติต้องดูให้เป็นเหมือนเราทำทุกวันด้วยค่ะ ตั๊กก็ต้องฝึกค่ะ ก็ฝึกร้อย แต่ว่าร้อยแต่ละครั้งมันก็ไม่เหมือนกันซักครั้ง ต่างกันทุกครั้ง และต้องมีสมาธิ ระดับสายตาของเราต้องดูให้ขาดว่าตรงไม่ตรงค่ะ คือเราจะแบบมั่วไม่ได้ค่ะ เป็นเรื่องที่แบบผู้หญิงสมัยก่อนเขาร้อยเอาไปถวายพระ เอาไปใส่บาตร เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสมัยนั้นจะทำให้ไม่สวยไม่ได้ค่ะ มันเรื่องใหญ่อ่ะ พอตั๊กฝึกไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทำได้ค่ะ

          การร่วมงานกับหม่อมน้อยเป็นยังไงบ้าง
          ตั๊กได้ยินมาว่าหม่อมเป็นคนเจ้าระเบียบ และก็เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และก็หม่อมดุมากคือได้ยินมาอย่างนั้น แต่ว่าดุในที่นี้คือดุในเรื่องการเรียน เข้มงวดในเรื่องเรียน คือตั๊กชอบผลงานหม่อมอยู่แล้ว ตั๊กก็อยากจะเข้ามาเรียนกับหม่อม จะดุก็ไม่ได้คิดมากอะไร ถือเป็นการสอนไป ก็ดีใจที่มีโอกาสร่วมงานกับหม่อม เข้ามาจริงๆ หม่อมก็ไม่ได้ดุตั๊กเลย หม่อมก็เห็นเราเป็นนักเรียนคนหนึ่งค่ะ มีแต่เราอยากจะให้หม่อมเขาเอาเราเป็นลูกศิษย์มากกว่า มีอะไรท่านจะได้พูดให้เราฟังได้ แต่พอจริงๆ หม่อมก็สอนตั๊กทุกเรื่องเลย แม้กระทั่งการดำเนินชีวิตของเรา ภาพลักษณ์ของเราค่ะ หม่อมก็สอนหม่อมก็ไม่ได้ทิ้งเลย สอนทุกอย่าง แม้กระทั่งว่ามือเราด้านหน่อยไม่ได้ทาครีม พอหม่อมแบบเดี๋ยวแม่วาดจะต้องมาจับไหล่ของจันดารา พอหม่อมดูนิ้วตั๊กแล้วหม่อมก็บอกว่าทาครีมบ้างนะ ว่างๆ ตั๊กก็ลองทาครีมดูสิทามือทาเท้าทาอะไรดู หม่อมก็แกล้งพูดเป็นนัยๆ ว่าเท้าด้านแล้วนะมือด้านแล้วนะ (หัวเราะ)
          ตั๊กก็รู้ว่าหม่อมตั้งใจทำงาน ก็ต้องมีดุกันบ้าง แต่ไม่ได้กลัวนะคะ ก็ต้องมีระเบียบวินัย ซึ่งก็ทำให้การทำงานมันเป็นไปด้วยดี หม่อมจะบอกว่า การที่เราจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผลได้ เราเองต้องมีวินัย ถ้าเราไม่มีวินัย เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้มันก็ยาก
          ประยุกต์วิธีการทำงานแบบหม่อมมาใช้กับงานของตัวเองมากน้อยแค่ไหน เรื่องของระเบียบวินัย เรื่องของวิธีการคิดค่ะ แม้กระทั่งการศรัทธาที่จะทำอะไรซักอย่างหนึ่ง แต่ก่อนตั๊กมีความคิดว่า ตั๊กทำอะไรเพื่อหน้าที่ใช่ไหมคะ แต่พอตั๊กได้มาเรียนกับหม่อมเนี่ย ตั๊กเห็นหม่อมทำงานไม่ได้เป็นเพราะหน้าที่เลย ทำเพราะหม่อมรักที่จะทำจริงๆ แล้วก็มีความสุขที่จะทำ ทำให้งานทุกอย่างที่ออกมาให้ดูมีชีวิตชีวา ดูไม่เหมือนเป็นงานแข็งๆ ค่ะ ก็เลยเอามาใช้ในงานของตัวเองคือ เราต้องถามตัวเองก่อนว่าเรามีความสุขแค่ไหนที่จะทำงาน แล้วเราอยากทำไหม คือด้วยความที่ตั๊กรักภาพยนตร์อยู่แล้ว เราทำยังไงให้ดูมีความสุข และตัวอย่างที่ดีคือหม่อมจะทำงานในแบบเตรียมตัวมาก่อนค่ะ และก็ทำการบ้านมาก่อน ตั๊กก็ใช้เหมือนกับหม่อม คือทำการบ้านและตีความบทให้กับนักแสดงอื่นๆ และก็หม่อมจะใจเย็น ก็เหมือนกับได้หม่อมเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ เหมือนกันค่ะ

FB on September 01, 2012, 12:59:46 PM
          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ “มาริโอ้” นะคะ ตั๊กแรกๆ เห็นก็เป็นเหมือนเด็กฮิพฮ็อพอะไรอย่างนี้ ก็ยังคิดว่าเอ๊ะ...น้องเขาจะเล่นกับเรา แล้วเขาจะเข้าใจความรู้สึกของน้าสาวยุคนั้นไหม หม่อมก็ทำให้เขาเข้าใจได้ และเขาก็หัวไวมาก เพราะเขาฟังที่หม่อมอธิบายและสอน และก็เอากลับไปทำการบ้าน ทุกครั้งที่ถ่ายเขาจะส่งอารมณ์ให้ตั๊กได้ดีมากด้วยซ้ำ เพราะว่าจริงๆ แล้วส่วนใหญ่เนี่ยตั๊กจะเล่นดราม่าร้องไห้ทั้งเรื่อง น้าวาดจะร้องไห้บ่อยมากและก็จะเป็นคนที่คอยปกป้องจัน แล้วมาริโอ้เขาส่งบทให้ตั๊กร้องไห้ทุกครั้งเลย ตั๊กยังเคยคิดเลยว่าโอ้โหแล้วคนอื่นไม่ได้ร้องเลยเราร้องอยู่คนเดียวร้องยากแน่เลย แต่ว่าจริงๆ แล้วมาริโอ้เขาช่วยตั๊กร้องด้วย และเขาก็พยายามบิ๊วตั๊กแบบเหมือนรับส่งกันค่ะ ซึ่งเขาก็น่ารักมากเลยค่ะ
ตอนแรกคิดว่าตั๊กจะต้องทำความเข้าใจกับจันดารา แต่จริงๆ แล้วเหมือนโอ้เขาไปทำความเข้าใจในส่วนของเขามา แล้วเขาเล่นกับเราโดยที่เราไม่ต้องทำความเข้าใจเขาเลยค่ะ พอเราเห็นหน้าเขาเราก็เห็นเป็นจันดาราได้เลย เหมือนจันดารามากคือเขาติวเข้มมากค่ะ การพูดจาของเขาหรือพอเวลาเขาถูกทำร้ายเขาร้องไห้ เขาจะพูดแบบน้าวาดครับแล้วจะให้ผมไปอยู่ที่ไหน อันนั้นดูน่าสงสารมากเลย ร้องไห้แบบร้องไห้ตาบวม เราก็ร้องไห้ได้ไม่ยากเลย
          “พี่เจี๊ยบ” จะร่วมงานกันครั้งแรก พี่เขาก็จะสอนในเรื่องของการทำงานของหม่อมว่า หม่อมชอบแบบนี้นะ การมาสายไม่ดี อยากให้มาเร็วกว่านี้ คือเขาจะคอยบอกเราว่าถ้าเราตั้งใจทำนะ พอไปถึงหน้าเซ็ตนะ... คือเขาเป็นนักแสดงรุ่นพี่ใช่ไหมคะ จะคอยบอกว่าให้เราทำตรงนี้นะ แล้วจะง่ายขึ้นค่ะ เขาก็จะเป็นคนคอยแนะนำ ตั๊กกับพี่เจี๊ยบเนี่ยเราจะเริ่มเล่นกันตั้งแต่ต้นจนจบเลย จะอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ทั้งๆ ที่ในเรื่องเป็นคนที่ไม่ได้รักกันเลย แต่ว่าอยู่ด้วยกันบ่อยมาก ทนอยู่กันสองคนแบบแย่งชิงอำนาจ แต่จะเป็นการแย่งชิงแบบนุ่มนวล พี่เจี๊ยบเขาเป็นนักแสดงที่เล่นได้ดีอยู่แล้ว และเป็นคนตั้งใจทำการบ้านมาก ทุกครั้งที่ไปซ้อมจะเห็นพี่เจี๊ยบมาก่อนใคร เขามาก่อนคนแรกเลยนะค่ะ ซึ่งแบบเขาเป็นนักแสดงรุ่นพี่ที่ดีอยู่แล้วค่ะ และก็เล่นได้ดีมากอยู่แล้ว
          กับ “หญิง” ที่เป็นคุณบุญเลื่อง ก็แบบคาแร็คเตอร์ตะวันตกกับความเป็นกุลสตรีไทยต้องมานั่งคุยกัน ครั้งแรกที่เล่นกับหญิงก็รู้สึกเขาก็เป็นคาแร็คเตอร์ได้ดีค่ะคือเป็นคุณบุญเลื่อง ซึ่งเราไม่เคยเห็นแบบนี้เลย ยังแซวเขาอยู่เลยว่าลุคนี้ดูสวยดีนะ ดูเปลี่ยนไปไม่เคยเห็นหญิงในลุคนี้แบบแปลกตาไปดี และก็มีความเป็นฝรั่งนิดนึงค่ะ ด้วยความที่เขาพูดจาเป็นผู้หญิงมั่นใจอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ดูเป็นคุณบุญเลื่องมากขึ้น จนเราต้องดร็อปตัวเองให้เป็นกุลสตรีไทยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะว่าไม่งั้นมันกลับกลายจะเป็นเหมือนกัน เพราะเหมือนจะเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว นอกจอก็อายุก็ไม่ได้ต่างกัน กลายเป็นว่าเราต้องบีบตัวเองให้เป็นกุลสตรีไทยมาก แต่กับคุณบุญเลื่องหญิงเขาดูไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก มีพูดภาษาอังกฤษพูดได้ เล่นเปียโนได้ ร้องเพลงเขาก็ร้องได้อยู่แล้ว กลับกลายเป็นเราเองที่ต้องเป็นกุลสตรีให้มากกว่านี้มันก็ยากค่ะ
          น้าวาดจะคิดว่าคุณบุญเลื่องมา จะมาเหมือนยึดอำนาจ มาคอยดูแลคุณหลวง และทรัพย์สมบัติด้วย แต่จริงๆ แล้วคุณบุญเลื่องเขามาดี เขาไม่ได้มาร้าย เขาก็บอกไป จริงๆ แล้วสองคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเรื่องรักแรก คุณบุญเลื่องบอกว่าเขาไม่ได้มาเพื่อจะเอาอะไร คุณวาดเคยเจอรักครั้งแรกไหม เขาก็รักกับคุณหลวงครั้งแรกอย่างนั้นเขาอยากอยู่กับคนรักครั้งแรกของเขาเท่านั้นเอง ซึ่งมันไปโดนใจน้าวาดเรื่องแฟนคนแรกของน้าวาดก็เลยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มาจากคนละฝั่งเลย เขามาจากตะวันตกเลย เรามาจากไทยมากเลย แต่มันเป็นความรู้สึกรักครั้งแรกเหมือนกันและไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน แต่เขาโชคดีที่เขายังได้อยู่กับคุณหลวง แต่เรายังไม่เคยได้อยู่กับคนรักของเราเลย นั่นก็เลยทำให้ผู้หญิงสองคนนี้สนิทและเชื่อใจกันมากขึ้น
           “พี่ต๊งเหน่ง รัดเกล้า” ก็น่ากลัวจริงๆ ค่ะ เวลาเล่นก็ตีจริงๆ ด้วย คือตั๊กเล่นเป็นน้าวาดใช่ไหมคะ เหมือนลูกสาวของคุณท้าวพิจิตรรักษา (คุณท้าวยาย) ที่พี่ต๊งเหน่งเล่นเลย และก็จะโดนทำโทษบ่อยมาก คุณท้าวยายจะเป็นคนเจ้าระเบียบ ดุ และก็ชอบสอน ไม่ถูกใจก็จะว่า จะด่า จะเฆี่ยนตี และก็บางทีเราไม่ได้ทำอะไรผิดคุณท้าวก็ตีได้ คือแบบท่านก็มีเหตุผลของท่าน พอพี่เค้าแต่งเป็นคุณท้าวยายปุ๊บใส่ผมสีขาว เริ่มทำย่นๆ ปุ๊บ เราก็จะเริ่มกลัวคุณท้าวยายจริงๆ เพราะว่าพี่ต๊งเหน่งสวมคาแร็คเตอร์ได้ดีมาก เหมือนคุณท้าวยายมาก แม้กระทั่งที่เรารอจะเข้าฉากพี่ต๊งเหน่งก็ไม่สะบัดความเป็นคุณท้าวยายออกไป เขาจะคงคาแร็คเตอร์คุณท้าวอยู่ วิธีการกินข้าวของพี่ต๊งเหน่งก็จะเป็นคุณท้าวยายนอกจอค่ะ จนทำให้เราเห็นว่าพี่เขาอินจริงๆนะเนี่ย อินมากๆ มีฉากหนึ่งที่คุณท้าวยายจะต้องตีน้าวาดใช่ไหมคะ พี่ต๊งเหน่งก็บอกว่าทนหน่อยนะเพราะว่าตีมันต้องตีจริง ตั๊กจะไม่เจ็บหรอก เราเป็นนักแสดงรู้ว่าการเจ็บจริงมันทำให้ความรู้สึกออกมาแต่เป็นแนวเจ็บจริงนี่ก็ไม่ไหว เพราะว่าใช้ไม้เท้าตีปี้กๆ และก็คัท พอคัทและก็ยังไม่ได้ พี่ขอโทษนะพี่จะพยายามไม่ให้โดนแต่ไม่ได้เลย เพราะว่ากล้องอยู่ตรงนี้เลยไงคะ จะต้องเห็นเลยว่าไม้จะต้องโดนกับเนื้อตั๊ก พอคัทเสร็จฉากนี้แนวขึ้นเต็มเลยค่ะ เป็นลอนใหญ่ๆ ทุกคนก็แซวว่าน้าวาดเด็กแนวเป็นลอนใหญ่ๆ แดงๆ แต่มันก็ดีอย่างหนึ่งคือเวลาที่เราจะต้องเล่นฉากที่ใครจะต้องเจ็บ เรากลัวเขาเจ็บไง เราก็จะไม่กล้าเล่นอย่างตบหน้าหรือดึงอะไรเราก็จะไม่กล้าใช่ไหมคะ อย่างแบบเจ็บหน่อยนะมันต้องจริง พอเราได้นักแสดงมาเล่นกับเราสมจริง และทำให้เราแบบมีความรู้สึกได้ประสบการณ์ในแบบดีๆ มากขึ้น พี่ต๊งเหน่งก็เป็นเหมือนครูอาจารย์น่ารักดีค่ะ
          กับ “โชจัง” ตั๊กจะขำทุกครั้งที่เขาพูด ตั๊กพยายามบอกหม่อมว่า หม่อมคะให้เขาพูดญี่ปุ่นไปเลยดีไหมค่ะ ไม่ได้หรอกมันจะพากย์ยากมาก เพราะว่าโชเป็นคนที่ตั้งใจมาก คนญี่ปุ่นเนี่ยยอมรับว่าเขาเป็นคนมีวินัยสูง ทุกครั้งที่เขาจะเล่น ทุกครั้งที่เขามา เขาไม่ได้เอาเวลาที่เขาพักไปเล่นหรือไปพักเลยนะ เขาท่องบทอย่างเดียวอะไรอย่างนี้ ก็ตั้งใจมาก แล้วเขาเทคน้อยมากเลยนะคะ และเขาก็เล่นได้ดีมาก เขามีวินัยสูงมาก คือเขาพยายามเป็นคุณแก้วได้จริงๆ ซึ่งอู้หูแม้กระทั่งการเล่นเลิฟซีนของเขาดูเป็นวินัยดูเป็นงานมาก คือเขามาปุ๊บเขาเงียบอย่างเดียว เขาตั้งใจจะเข้าฉาก พอเขาถอดปุ๊บเขาเล่นปั๊บ ดูเป็นการทำงานไม่ได้ดูโป๊ดูอะไรเลย เพราะว่าเป็นงานของเขาจริงๆ แล้วโชเนี่ยปกติจะเห็นเป็นคุณแก้วแรงๆ ใช่ไหมคะ แต่ตัวจริงดูเป็นคนเรียบร้อยมาก และก็ชอบอะไรหวานๆ กระโปรงลายดอกไม้สีชมพูผิดกับที่เล่นเลย แต่คราวนี้มามีปัญหากับคนที่ร่วมเล่นด้วยทุกคนจะขำหมด เพราะว่าเขามีไดอาล็อคอย่าง ไอ้จัญไร มึงออกไป อะไรอย่างนี้ พูดแบบ มึงไสหัวออกไปจากบ้านนี้ไอ้จัญไร แล้วมันเป็นฉากอารมณ์ทุกคนร้องไห้หมด พอคุณแก้วบอกไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ไอ้จัญไร ทุกคนหัวเราะหมดเลย คัท หัวเราะทำไม หม่อมเลยบอกว่าให้เราฟังแต่เซ้นส์เขาอย่าไปจับคำพูดเขามาก ทุกคนก็พยายามก็ยาก จนมาริโอ้บอกว่าพี่ตั๊ก เห็นไหมผมไม่ไหวแล้วจนหัวเราะออกมา แต่ตั๊กก็เข้าใจแหละว่ามันยากจริงๆ การพูดภาษาไทยยากนะคะ ทำได้เท่านี้ก็โอเคแล้วเก่งมากๆ แหม ถ้าเราไปพูดภาษาญี่ปุ่นของเขาก็ต้องขำกันบ้าง แต่เขาก็ทำออกมาได้ดีมากค่ะ แอ็คติ้งเขาก็เลิศมากเลยนะ เก่งมากค่ะ เล่นวาบหวิวก็ได้ เล่นดราม่าก็ถึง ดูแบบเป็นนักแสดงหญิงที่เก่งมากคนหนึ่งเลยค่ะ
 
          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้
          เรื่องของการเล่นฉากเลิฟซีนในเรื่องนี้ ตั๊กก็ดูแบบอย่างจากโชจังบ้างค่ะ โชจะเป็นคนที่เขาคิดอย่างตัวแสดงคิดค่ะ ความรู้สึกอย่างคนปกติจะถามว่าเล่นฉากเลิฟซีนเนี่ยเราไม่คิดอะไรหรอ ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอระหว่างที่เล่น เป็นไปได้เหรอ ซึ่งมันเป็นไปได้ เพราะว่าวิธีที่คิดอย่างนักแสดงคิดต้องคิดอีกชั้นหนึ่ง การเข้าถึงการที่จะเป็นนักแสดงได้ การที่เล่นเลิฟซีนได้ เราจะคิดอย่างตัวเองไม่ได้ ถ้าเราคิดอย่างตัวเอง เราเล่นไม่ได้และเราเป็นนักแสดงไม่ได้ เพราะว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับคนปกติแล้วมันจะเกิดคำถามมากมายขึ้น เขาเล่นกันยังงั้นจริงหรอ เขารักกันจริงๆ หรือเปล่า เขามีอะไรกันจริงๆ หรือเปล่า หลังจากถ่ายเสร็จแล้วคิดอะไรกันจริงๆ หรือเปล่า ซึ่งความคิดของนักแสดงที่เล่นเลิฟซีนต้องมีความคิดที่สูงกว่าปกติค่ะ คือมองเข้าไปที่จิตวิญญาณของมนุษย์และมองเป็นเรื่องธรรมะค่ะ มองมันเป็นงานอ่ะ การร่วมเพศแบบรัก หลง แบบถูกข่มขืน แบบเป็นการจำยอม หรือแบบรักบริสุทธิ์ เราต้องคิดให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ โชจังเนี่ยจะมีเลิฟซีนแบบเร่าร้อนด้วยความที่เป็นคุณแก้ว คุณแก้วจะเป็นคนแรงๆ ก็จะมีเลิฟซีนแบบฮาร์ดคอร์หน่อยๆ ก็จะเป็นอะไรที่ดูแบบเอ๊กซ์ๆ ค่ะ ซึ่งถามว่าเขาเป็นคนยังงั้นไหม ไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเลย แต่เขาเล่นเป็นอย่างนั้นเพราะเขาคิดอย่างตัวแสดงคิด เขาเป็นคุณแก้วตอนที่เขาเล่น หม่อมบอกว่าถ้าตั๊กคิดได้อย่างนี้ตั๊กจะไม่รู้สึกเปลืองตัว เพราะมันเป็นตัวละครเล่น มันไม่ใช่เรา คือมองให้มันเป็นงานอ่ะ ถ้าทำได้มันก็จะไม่ถูกครหา เพราะว่ามนุษย์เราทุกคนแค่คิด ความรู้สึกก็ออก การกระทำก็ออก เขาก็จะดูออกว่าการกระทำนี้เป็นยังไง แต่ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างที่เราเล่น เขาก็ดูออกเพราะว่าคนเราดูไม่ยาก หม่อมเขาก็บอก คือมันเป็นจิตวิทยาหน่อยหลายชั้น และเขาเป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่เขามองเรื่องนี้เป็นของธรรมชาติ เขาบอกหม่อมว่าพอคัทไม่ต้องเอาผ้ามาห่มเขาก็ได้ เพราะว่าเดี๋ยวก็ต้องถ่ายแล้วจะเอามาห่มทำไม เดี๋ยวก็มาเอาออกใหม่จัดผมใหม่อีก หม่อมก็บอกไม่ได้เมืองไทยทำไม่ได้ ต้องห่ม พอคัทปุ๊บต้องห่ม ไม่ห่มทุกคนทำงานกันไม่ได้เลย (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าตอนที่เขาอยู่ที่ญี่ปุ่นเนี่ยเขาไม่ต้องห่มเลย เขามองว่ามันเป็นเรื่องงาน เขาก็ตั้งใจงานกันให้เสร็จคืออยู่ที่มุมมองมากกว่าค่ะ

          อย่างของตั๊ก เมื่อเรารู้ว่าน้าวาดเป็นยังไง คิดยังไง มันก็ทำให้เล่นได้ง่ายขึ้น เพราะมันทำให้เราไม่สับสนค่ะ อย่างตอนที่เล่นเลิฟซันกับจอมเนี่ยก็จะเป็นแบบคู่รักดูดดื่ม ซึ่งจะแตกต่างจากเลิฟซีนกับคุณหลวงมาก น้าวาดกับจอมจะไม่ต้องอายอะไรเลย มีความบริสุทธิ์ใจ แต่กับคุณหลวงเนี่ยมันจะมีการต่อรองกันก่อนที่จะร่วมรักกัน ตกลงกันก่อนนะว่าถ้าเรายอมเป็นเมียของคุณหลวงแล้วคุณหลวงจะไม่ทำร้ายจันแค่นั้นเอง เหมือนการเมืองนิดๆ แต่ใช้เรื่องเซ็กส์เป็นอาวุธ ก็คือเป็นเรื่องของการเจรจา ก็คือการที่มีอะไรกับคุณหลวงเพราะเขาชอบเรื่องแบบนี้ ก็ใช้เซ็กส์เป็นเรื่องเจรจาต่อรองกันไป แต่มีเซ็กส์กับจอมเพราะเป็นความรักบริสุทธิ์ ใช้เซ็กส์ในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ แต่กับคุณหลวงเป็นเรื่องของการต่อรอง พอโชจังเขามาเล่นเราก็เลยรู้สึกว่า โชเป็นนักแสดงที่เขาคิดและทำออกมาอย่างมีวินัย บางฉากที่เขาต้องเลิฟซีนหรือโป๊เปลือยทำให้เราเห็นเขาเป็นตัวอย่างว่า เราไม่จำเป็นต้องอายก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากก็ได้ จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของการแสดงของนักแสดงทุกคนที่จะต้องทำ เขาก็เป็นแบบอย่างให้เราได้ดี
 
          ความน่าสนใจของเรื่องนี้
          จริงๆ แล้วก็ด้วยบทประพันธ์เรื่องนี้ที่มันสื่อไปในทางนั้น มันก็แค่เปลือกค่ะ ในทางมนุษย์จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของความสัมพันธ์ หม่อมเคยบอกว่าลองสังเกตดีๆ นะว่าวัฒนธรรมไทยเนี่ย ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะถูกเขียนลงไปในผนังตามวัดต่างๆ ความเป็นมนุษย์ที่อยู่ในทุกๆ วันนี้ จนมาเป็นภาพวาดต่างๆ ให้คนเห็น และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ค่ะ เกิดมามีความสัมพันธ์ กำเนิดลูกอีกคน ก็เป็นวัฏจักรค่ะ มันเป็นธรรมะมาก เป็นกรรม เป็นเผ่าพันธุ์ คือมันเป็นการกระทำร่วมกัน เรามองไปในเชิงธรรมะ เราก็จะมองเห็นในเรื่องของธรรมชาติ แล้วตั๊กก็มองว่าเรื่องของ “จันดารา” เนี่ย เขาเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นเรื่องของมนุษย์เรา การมีเพศสัมพันธ์กันหรือการร่วมรักกัน มันทำให้รู้จักมนุษย์กันมากขึ้นค่ะ ก็แก่นแท้ของมนุษย์เราก็ไม่ได้มีอะไรมาก ก็มีแต่เรื่องพวกนี้ มีเรื่องของผลประโยชน์ มีเรื่องของทรัพย์สิน การแย่งชิง ใช้เซ็กส์มาเป็นเครื่องต่อรอง อย่างเรื่องของน้าวาด น้าวาดใช้เซ็กส์กับคุณหลวงเป็นเรื่องของการต่อรอง คุณหลวงใช้เซ็กส์กับบ่าวไพร่ต่างๆ เป็นเรื่องของการแสดงอำนาจ คุณบุญเลื่องมาจากเมืองนอกใช้เซ็กส์กับคุณหลวงเป็นเรื่องของความรัก น้าวาดใช้เซ็กส์กับจอมเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของการมีคำมั่นสัญญา คือมันทำให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ ทำให้เรามองเห็นถึงความเป็นธรรมชาติ พอเราเห็นปุ๊บเราก็ปลงค่ะ เพราะหม่อมพูดให้ได้เห็นถึงแก่นแท้ของเซ็กส์จริงๆ การดูเรื่องจันดาราไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าโป๊เลย เพราะว่าด้วยความที่หม่อมเจตนาทำออกมาให้เห็นถึงแก่นแท้ของมนุษย์ค่ะ มนุษย์เราก็แค่นี้แหละทำออกมายังไงก็ได้ยังงั้น ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เหมือนทำให้ตั๊กนึกถึงธรรมะจริงๆ เลยค่ะ และเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ตั๊กรู้สึกว่าโป๊เลย เพราะตั๊กไม่รู้สึก เพราะผลในการกระทำค่ะ ตัวแสดงมีเหตุและผลในการกระทำค่ะ
          นอกจากนั้น “จันดารา” ก็มีเรื่องของความโลภของมนุษย์ด้วย สะท้อนให้เห็นสังคมไทยตอนนี้ด้วยว่าเราแย่งกันไปชิงกันมา สุดท้ายแล้วทำให้เกิดความรู้สึกแย่ๆ ทำให้เราทะเลาะกันฆ่าฟันกัน สุดท้ายแล้วเราก็เอาไปไม่ได้ แล้วเราจะทำไปเพื่ออะไร ทำไมไม่เห็นคุณค่าตั้งแต่ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ จุดนี้จะเป็นสาระที่จะได้จากหนังไปเต็มๆ นอกจากเรื่องความบันเทิงของหนังที่ดูสนุก โปรดักชั่นพิถีพิถันทั้งงานสร้างฉาก เสื้อผ้า หน้าผม ส่วนเรื่องของฉากเซ็กส์เป็นแค่เรื่องที่ฉาบไว้เป็นผิวหน้าแค่นั้นเอง บางคนอาจจะมองจันดาราว่าโป๊อะไรอย่างนี้ จริงๆ แล้วถ้าสังเกตดูดีๆ แล้วเนี่ยจะได้สาระอย่างที่ตั๊กบอกไปด้วยแน่ๆ ค่ะ
          ตั๊กเชื่อว่าเดี๋ยวนี้คนดูหนังแล้วเอาไปคิดต่อกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังรักอาโนเนะ หนังแอ็คชั่นก็ตาม ทุกคนให้ความสำคัญกับสาระในหนัง ตั๊กเชื่อว่าคนที่ได้ดู “จันดารา” เขาจะต้องเข้าใจในเจตนาของหม่อมที่ต้องการให้เขารู้อะไรมากมายกว่าฉากโป๊ ได้เรื่องของความสนุก ได้เรื่องของการใช้ชีวิต และก็การเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูงที่อยู่บนโลกใบนี้ได้แค่ไหนถึงจะรอดพ้นบ่วงกรรม ดูเรื่องนี้แล้ว ตั๊กว่าทุกคนจะต้องได้ดูงานศิลปะชิ้นเอกที่สวยงามมาก และผ่อนคลายความรู้สึกเครียดๆ ได้เลยค่ะ

FB on September 05, 2012, 08:59:37 AM
บทสัมภาษณ์ “โช นิชิโนะ” (Sho Nishino) นักแสดงสาวชาวญี่ปุ่น รับบทสาววิปริตสุดแรง ครั้งแรกในหนังไทยเรื่อง “จันดารา”



          แนะนำตัว-ผลงานที่ผ่านมา
          สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อ “โช นิชิโนะ” มาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ ผลงานที่ผ่านมาก็เคยเป็นนักร้องในวง “เอบิซึ มัสซึคัทส์” (Ebisu Muscats) นอกจากนั้นเป็นนักแสดงด้วย เล่นละครเวทีด้วย แล้วก็หนัง ทีวี เกมโชว์ต่างๆ และในครั้งนี้ได้รับบทเป็น “คุณแก้ว” ในหนัง “จันดารา” ที่เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกด้วยค่ะ

          เคยดูหนังไทยมาก่อนมั้ย
          หนังไทยเคยดู “ต้มยำกุ้ง” เพราะว่าดิฉันเคยเล่นหนังแอ็คชั่นที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นผู้กำกับชอบดูหนังเรื่องนี้มากๆ ผู้กำกับก็เอามาให้ดู แล้วก็ดูได้แป๊ปเดียวก็ตกใจมากว่าฝีมือดีขนาดนี้เลย ก็เลยรีบไปเช่าหนังเรื่องนี้แล้วก็ไปดูที่บ้านค่ะ ก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ คุณภาพสูงค่ะ พูดถึงเรื่องเมืองไทยเนี่ยนะคะชอบอาหารไทยมากเลยค่ะ มากๆ เลยค่ะ ก็กลัวว่าน้ำหนักจะขึ้นช่วงที่อยู่เมืองไทย ตอนที่มาเมืองไทยก็ได้ไปที่ภูเก็ต หรือว่าใกล้ๆ ค่ะ แต่พอคราวนี้ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ตึกเยอะมาก คนเยอะมาก ห้างสวยมาก ของเยอะมาก แล้วก็ช้อปปิ้งสนุกมากค่ะ

          ความรู้สึกแรกที่ได้ร่วมงานในภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เรื่องนี้
          ตอนแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกอย่าง ‘จันดารา’ ก็รู้สึกงงๆ ว่าติดต่อมาได้ยังไง ดิฉันจะทำได้เหรอ เพราะเป็นคนญี่ปุ่น พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แล้วจะพูดบทได้ยังไง แต่ว่าพอพูดคุยกันและได้เห็นบทแล้วเนี่ย รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับตัวเอง เพราะว่าบท ‘แก้ว’ ในเรื่องจัน ดารานี้เป็นบทที่ใหญ่และสำคัญมากต่อเรื่อง แต่ก็รู้สึกกดดันและตื่นเต้นว่าจะทำได้หรือเปล่า สามารถพูดบทภาษาไทยได้มั้ย แล้วการแสดงของดิฉันเนี่ยจะทำให้ผู้ชมแฮปปี้ได้ไหม ก่อนที่จะบินมาไทยเนี่ยนอนไม่หลับเลยค่ะ แต่พอมาถึงกองถ่ายได้พูดคุยรายละเอียดกับหม่อมน้อย ได้ฝึกหัดภาษาไทย ซักซ้อมอ่านบทและการแสดงกับคนอื่นๆ รวมถึงเห็นการทำงานแบบมืออาชีพแล้วก็รู้สึกไม่ต้องกลัวแล้ว เล่นได้แล้ว ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ

          การเตรียมตัวก่อนการแสดง
          ที่ยากที่สุดก็คือบทพูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ เพราะไม่เคยทำเลยในชีวิต พอมีเวลาว่างก็จะหัดซ้อมฝึกพูดตลอดเวลาเลยค่ะจากแผ่นซีดีบ้าง จากล่ามบ้าง และจากนักแสดงคนอื่นๆ ด้วย ก่อนถ่ายทำก็กลัวมากๆ ค่ะ แต่พอถ่ายเสร็จแล้ว ทุกคนแฮปปี้ ปรบมือกันก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
พูดถึงเรื่องการแสดงนะคะ จริงๆ แล้วเนี่ย พออ่านบทแล้วดิฉันก็คิดเอาเองก่อนว่าตัวคุณแก้วเป็นแบบไหน นิสัยยังไง อิมเมจเป็นแบบไหน ก็จะมีอิมเมจของแก้วเองไว้ในใจ และพอเข้าไปพบหม่อมน้อยผู้กำกับก็จะเป็นคนสอนดิฉันว่า คาแร็คเตอร์และบทบาทของแก้วนี่จะเป็นยังไง ต้องแสดงแบบไหน ซึ่งอันนี้เป็นส่วนที่ช่วยในเรื่องการแสดงได้มากที่สุดเลยค่ะ

          คาแร็คเตอร์-บทบาท
          ตอนแรกดิฉันคิดว่า “คุณแก้ว” เป็นคนไม่ดีเลย เป็นคนใจร้ายมาก นิสัยไม่ดี แต่จริงๆ แล้วเนี่ยคุณแก้วจะเป็นคนฉลาดมาก เข้าใจทุกอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเขาในบ้านหลังนั้น แม้จะเป็นคนมั่นใจตัวเองมากแต่จริงๆ จะกลัวมาก รู้ว่าคุณหลวงพ่อของตัวเองรักลูกมาก แต่ก็ไม่สามารถปรึกษาทุกเรื่องกับคุณหลวงได้ ทำให้คุณแก้วรู้สึกไม่มีใครสามารถที่จะปรึกษาหรือกอดได้ ทำให้เธอเหงามาก (โชร้องไห้ขณะสัมภาษณ์) ที่ร้องไห้เมื่อกี้นี้เพราะนึกถึงชีวิตในปัจจุบันว่ามีความสุขแค่ไหน ในสมัยนั้นในเรื่อง “จันดารา” เนี่ย คุณแก้วเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมากที่สุดเลยค่ะ ต้องเก็บกดอารมณ์ทุกอย่าง จนตอนหลังก็ต้องระเบิดออกมากลายเป็นคนผิดปกติไปในที่สุด ดิฉันคิดว่าโชคดีที่เกิดมาในยุคนี้ ดิฉันเป็นผู้หญิงที่มีความสุขมากในชีวิตจริงค่ะ

          คาแร็คเตอร์นี้มีส่วนเหมือนหรือแตกต่างจากตัวจริงยังไงบ้าง
          คุณแก้ว กับ โชจัง นะคะ แตกต่างกันมากเลยค่ะ อย่างเวลาที่คุณแก้วโมโหหรือไม่แฮปปี้เนี่ย ทำให้เค้าโกรธมากๆ จนทำร้ายคนอื่นได้เลย แต่ตัวโชไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่ว่าเข้าใจว่าความโกรธของแก้วนั้นมาจากความมั่นใจของแก้วเอง แต่ว่านิสัยของดิฉันนะคะ ถ้ามีอะไรที่ไม่พอใจ จะพูดกันก่อน เข้าใจกันก่อน แล้วก็หยุดปัญหาค่ะ ไม่มีการทำร้ายกันค่ะ
          แต่มีข้อหนึ่งที่เห็นด้วยกับคุณแก้ว คือคุณแก้วกำลังหาความรัก หาคนที่รักเค้าจริง อันนี้ไม่น่าเป็นเค้าคนเดียว น่าจะเป็นเรื่องจริงสำหรับตัวดิฉันและคนทั้งโลกเลยค่ะ

          เรื่องภาษาถือเป็นอุปสรรคมากน้อยแค่ไหนในการแสดง
          เรื่องภาษาค่อนข้างเป็นอุปสรรคมากเลยค่ะ ลำบากมากเลยค่ะ โดยเฉพาะสามวันแรกหลังจากที่มาเมืองไทย เพราะพูดอะไรไม่ได้เลย จำไม่ได้เลยด้วยค่ะ แต่หลังจากนั้นได้ฝึกพูดภาษาไทย ก็ทำให้มีความมั่นใจ เข้าใจพอจะสื่อสารได้มากขึ้นค่ะ แต่ยังไงก็ต้องมีล่ามช่วยอยู่ค่ะ

          มีวิธีเข้าถึงบทบาทนี้อย่างไรบ้าง เพราะบทนี้มีหลากหลายอารมณ์มาก
          ก่อนเข้าฉากก็จะมีการทำความเข้าใจในบทบาท และการแสดงกับหม่อมน้อยอย่างที่บอก พออยู่หน้าเซ็ตแล้วดิฉันก็จะเป็นแก้วเลยค่ะ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเองเลย จะเริ่มต้นจากการวางท่าทาง ทั้งท่านั่ง ท่ายืนทุกอย่างต้องเป็นแก้ว และต้องรู้อยู่เสมอว่าแก้วมีนิสัยอย่างไร เป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก เป็นคนรวย ชีวิตไม่ลำบากเลย พอเข้าถึงบทบาทนี้แล้วตอนอยู่หน้าเซ็ตก็จะเป็นแก้วอย่างเดียว ห้ามเป็นคนอื่นเลยค่ะ ซึ่งดิฉันจะเป็นคนที่มีสมาธิสูงอยู่แล้ว เวลาอยู่หน้าเซ็ตก็จะเปิดสวิทช์เป็นแก้วปุ๊บ พอแสดงจบแล้วเนี่ยก็จะกลับเป็นตัวเองที่ร่าเริงสนุกๆ ทีมงานอาจจะรู้สึกว่าคนนี้เป็นยังไง สามารถเปลี่ยนได้ขนาดนั้น (หัวเราะ)

          ฉากไหนที่รู้สึกว่ายากมากๆ
          มันจะซีนที่รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนะคะ เป็นซีนที่คุณหลวง, คุณขจร และคุณแก้วทานอาหารเช้าด้วยกันนะคะ จะมีช็อตหนึ่งที่คุณแก้วจะขอคุณหลวงติดรถยนต์ไปด้วย แล้วก็ออกไปกับคุณขจรนะคะ บทตรงนี้เนี่ยยาวมากและดิฉันก็ลืมค่ะและบทคนอื่นเค้าก็ยาวเหมือนกัน แล้วก็พยายามใช้สมาธิที่จะเป็นคุณแก้วมากๆ แต่ดิฉันก็ไม่สามารถที่พูดตามบท ไม่สามารถเล่นได้ อากาศร้อนมากด้วย แล้วก็มีผึ้งมันตกลงมาในแก้วน้ำด้วย ก็รู้สึกกลัว สมาธิเลยไม่มีเลย แต่ก็พยายามเรียนรู้ และเข้าใจก่อนว่าบทที่จะพูดต้องร่าเริง ต้องขอพ่อว่าจะไปด้วยกัน ก็พยายามทำให้สมาธิกลับมาแล้วก็ทำให้ได้ค่ะ

          ฉากร้องไห้หรือกรีดร้อง มีวิธีเข้าถึงฉากเหล่านี้ยังไง
          โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันไม่เคยคิดว่าต้องใช้วีธิแบบไหนหรือยังไงเลยค่ะ เพราะว่าพออยู่หน้าเซ็ตแล้วเนี่ยก็จะเป็นตัวละครคุณแก้วตามธรรมชาติเลย รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น สถานการณ์เป็นยังไง พอเข้าถึงบทบาทแล้วน้ำตาก็จะไหลออกมาเองตามบทเหมือนสั่งให้ไหลได้เองค่ะ

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          ตอนแรกค่ะ ”มาริโอ้” จะเป็นคนที่เงียบมากเลยค่ะ แต่หน้าตาดีมากเลยค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยพูดค่ะ ดิฉันก็เลยรู้สึกเหมือนจะไม่ควรที่จะไปคุยกันหรือเป็นเพื่อนหรือเปล่า แต่มีอยู่วันหนึ่งได้ทานข้าวด้วยกัน แล้วมาริโอ้ชอบไปญี่ปุ่นแล้วก็ทำตลกแบบญี่ปุ่นให้ดู ทำให้รู้สึกว่า เอ๊ะ จริงๆ คนนี้ก็เป็นคนตลกดีนะ แล้วหลังจากนั้นก็ได้คุยกันก็ทำให้รู้สึกว่ามาริโอ้เป็นคนมีเสน่ห์ น่ารักมากค่ะ แล้วก็วันที่มาที่เมืองไทย ก็รู้ว่ามาริโอ้เป็นซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย อันนี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กลัวว่า ตัวเองจะสามารถเล่นบท “คุณแก้ว” ได้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็รับส่งอารมณ์ร่วมกันได้เป็นอย่างดีค่ะ
          “ตั๊ก บงกช” เนี่ยเป็นคนที่รักแม่มาก แล้วดิฉันก็เห็นว่าแม่มาที่กองถ่ายตลอด ครั้งแรกที่เจอกันนะคะก็ประทับใจที่ว่า ตั๊กเป็นคนที่สวยมาก แล้วตั๊กก็ต้องเล่นเป็นแม่ของแก้ว ก็เลยแฮปปี้มากเลยค่ะ ที่มีแม่สวยมากขนาดนี้ (หัวเราะ) ตั๊กก็เหมือนตัวดิฉันนะคะที่มีสมาธิสูงมากเลยค่ะ เวลาตั๊กอยู่หน้ากล้องแล้วเนี่ยก็จะเป็น “แม่วาด” เลย เป็นคนละคนไม่ใช่ตั๊กเลยค่ะ อันนี้เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก และรู้สึกว่าตั๊กเป็นนักแสดงที่ดีมากค่ะ
          “หญิง รฐา” เหมาะกับบท “คุณบุญเลื่อง” มากที่สุดเลย ดิฉันคิดอย่างนั้นนะคะ แต่ตัวจริงเป็นคนที่ยังเด็กมาก และก็เหมือนเด็กฝรั่งค่ะ ลักษณะเหมือนฝรั่ง แฮปปี้ตลอดเวลา เวลาที่รอถ่ายก็จะฟังเพลงบ้าง ร่าเริงมากเลย แล้วก็จะมีซีนหนึ่งที่เป็นปาร์ตี้ค่ะ ก็จะเห็นคุณบุญเลื่องอยู่บนเวที ซึ่งหญิงเหมาะมากเลยค่ะ และเป็นคนเดียวที่จะสามารถแสดงเป็นคุณบุญเลื่องจริงๆ ค่ะ
          บท “คุณหลวง” ที่ “พี่เจี๊ยบ ศักราช” แสดงจะรักคุณแก้วที่เป็นลูกสาวมากๆ นะคะ ตัวจริงพี่เจี๊ยบก็จะชอบและค่อนข้างสนิทกับดิฉันเหมือนกัน เวลาเจอกันทุกครั้งเนี่ยก็เป็นเหมือนพ่อลูกกันจริงๆ แม้พูดกันคนละภาษากันแต่ก็เข้าใจกันได้ วันไหนที่เจอพี่เจี๊ยบเนี่ย จะแฮปปี้มากๆ แล้วก็เรียกเค้าว่า “คุณพ่อๆ” แล้วก็เข้าไปพูดคุยกับพี่เจี๊ยบเลยค่ะ
          “นิว ชัยพล” อันนี้ขอออกความคิดเห็นส่วนตัวได้ไหมคะ สำหรับนิวน่ารักมากค่ะ (ยิ้มเขิน) ชอบมากเลยค่ะ หล่อมาก น่ารัก วันไหนที่นิวเข้ามากองถ่ายนะคะ จะแฮปปี้มากเลยค่ะ น่ารักมาก นิวเนี่ยเป็นคนขยันด้วยค่ะ แล้วก็ใจดี นิสัยดีมาก หน้าตาก็ดี และแสดงเก่งมากเลย บางคนหน้าตาดีแต่แสดงไม่ค่อยดี แต่ว่านิวไม่เหมือนกันค่ะ หน้าตาดีแล้วก็เป็นนักแสดงที่ดีมากเลยค่ะ
          “ณัฏฐ์” เป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นใครนะคะ ทีมงานนักแสดงเฟรนด์ลี่ดีมากเลยค่ะ ดีมากกับทุกคน ณัฏฐ์ก็รู้ว่าดิฉันพูดอังกฤษก็ไม่ได้ พูดภาษาไทยไม่ได้ แต่ว่าก็พยายามใช้ภาษาอังกฤษคำที่ง่ายๆ เพื่อที่จะใช้สื่อสารกับดิฉันนะคะ ก็เลยรู้สึกแฮปปี้เวลาอยู่กับเขาด้วยนะคะ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งคือ ในเรื่องคุณแก้วกับคุณขจรเนี่ยรักกัน พอเราสนิทกันก็เลยทำให้สามารถเล่นเป็นคุณแก้วได้ง่ายขึ้น เพราะว่าเขาทำให้เป็นเหมือนเพื่อนสนิทกัน ก็เลยช่วยรับส่งอารมณ์ได้ดีเช่นกันค่ะ

ฉากเลิฟซีน
          เรื่องซีนอีโรติกเนี่ย ดิฉันคิดว่ามันเป็นความแตกต่างทางประเพณีและวัฒธรรมของไทยและญี่ปุ่นนะคะ เพราะที่ญี่ปุ่นเวลาถ่ายซีนอีโรติกจะเป็นเรื่องธรรมดามากค่ะ แต่ว่าที่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยมีเท่ากับญี่ปุ่น ก็รู้สึกแปลกใจว่าคนที่เล่นด้วยบางซีนจะค่อนข้างเขินอาย แต่ตัวดิฉันถือเป็นเรื่องปกติมาก แต่ว่าก็แฮปปี้มากที่ทุกคนเกรงใจและก็ดูแลดิฉันดีมากในซีนเหล่านี้ค่ะ

การร่วมงานกับผู้กำกับชั้นครู
          ก่อนที่จะมาเมืองไทยเนี่ยนะคะ ใครๆ ก็บอกค่ะว่า “หม่อมน้อย” เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมากในเมืองไทยนะคะ ตอนแรกเนี่ยก็ยังไม่รู้เลยค่ะ เพราะว่ายังไม่เคยดูผลงานของหม่อมน้อยเลยนะคะ แต่พอเจอกันแล้วเนี่ยเข้าใจเลย เข้าใจทันทีเลยว่าทำไมหม่อมน้อยสร้างหนังที่ดีมากในเมืองไทยเลยค่ะ ตอนแรกๆ ที่ดูบทเนี่ยก็ไม่เข้าใจเพราะบทเป็นภาษาไทยหมด แล้วก็แปลมาเป็นภาษาญี่ปุ่น บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าอารมณ์ประมาณไหน เล่นยังไง แต่ว่าทุกซีนนะคะก่อนที่จะถ่ายจริง หม่อมน้อยก็จะมาอธิบายละเอียดมากเลยนะคะให้ฟังว่า คุณแก้วอารมณ์แบบไหนในซีนนี้ อันนี้ช่วยได้เยอะมากเลยค่ะ
          หม่อมน้อยไม่ดุเลยค่ะ แถมยังใจดีจะตาย เพราะทุกครั้งที่ถ่ายนะคะ หม่อมน้อยก็จะบอกว่าดีใจมาก แฮปปี้กับการแสดงของดิฉันมากเลย แล้วก็ชมมากเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนมาชมดิฉันมากขนาดนี้ แล้วก็ไม่เคยเจอมุมโมโหหรือมุมโกรธของหม่อมเลย ก็รู้สึกแฮปปี้ตลอด
          แล้วก็อีกอย่าง เวลาหม่อมน้อยมาที่กองถ่ายนะคะจะถามทุกคนเลยค่ะว่า ดิฉันสบายดีมั้ย ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย เหมือนเป็นห่วงดิฉันมากค่ะ ตอนที่โดนว่าเพราะไม่สามารถพูดบทได้ ล่ามก็ไม่ได้แปลให้ดิฉันฟัง เพราะกลัวว่าดิฉันจะไม่มีสมาธิ หลังจากนั้นหลายวัน ล่ามก็ค่อยมาบอกดิฉันค่ะว่า เออ...วันนั้นเนี่ยหม่อมว่าดิฉัน เพราะว่าจำบทไม่ได้ (หัวเราะ) แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเองค่ะ

          ความน่าสนใจโดยรวม
          ได้เล่นหนังไทยเรื่องแรกก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงของทุกคนที่รับส่งอารมณ์กันได้ดี ภาพสวยมากๆ รวมถึงเนื้อหาที่สามารถดูได้ว่ามนุษย์เรามันจะมีหลายอารมณ์ทั้งเศร้า แฮปปี้ พอใจ มั่นใจ เห็นแก่ตัว บางทีแฮปปี้แป๊ปเดียวปุ๊บชีวิตก็อาจจะเปลี่ยนไปเหมือนลงนรกเลย เป็นสัจธรรมของชีวิต ใครทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เป็นธรรมชาติในชีวิตคนเราค่ะ ผู้ชมสามารถดูได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับคนไทยที่ได้เห็นดิฉันในภาพยนตร์ไทยนะคะ ก็หวังว่าจะได้เล่นอีกในเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือทีวีโชว์ต่างๆ เนี่ยนะคะ แล้วก็เป็นนักร้องเหมือนกันนะคะ ก็อยากให้แฟนๆ คนไทยมาดูผลงานของดิฉัน หวังว่าในอนาคตนะคะจะได้มาแสดงที่เมืองไทยมากขึ้นค่ะ

FB on September 05, 2012, 09:00:21 AM
“จันดารา ปฐมบท” แนะนำดาวรุ่งดวงใหม่น่าจับตา “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์”



 
 
          นอกเหนือจากนักแสดงรับเชิญชั้นนำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง, เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์, ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, รัดเกล้า อามระดิษ, ชุดาภา จันทเขตต์, ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล” แล้ว เพื่อความยิ่งใหญ่และเข้มข้นของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรม “จันดารา ปฐมบท” ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ขอแนะนำนักแสดงดาวรุ่งดวงใหม่น่าจับตามอง “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” หนุ่ม Cleo ปี 2008 ผู้อ่านข่าวภาคภาษาอังกฤษ FM107 มารับบท “จอม เวียงชัย” ชายคนรักของ “แม่วาด” (บงกช คงมาลัย) อีกหนึ่งตัวละครสำคัญซึ่งสร้างปมปริศนาแห่งรักสามเส้าระหว่างแม่วาด และ “ดารา” (สาวิกา ไชยเดช)

          หม่อมน้อยเผยว่า  “อเล็กซ์เป็นลูกศิษย์เมื่อครั้งที่ผมสอนที่มหาวิทยาลัยมหิดล (อินเตอร์) เขาเคยแสดงละครเรื่อง Of Mice and Men ร่วมกับชาคริต แย้มนาม และเจสัน ยัง ในคอร์ส TV Drama Production เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และได้ฉายแววนักแสดงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังนั้นเมื่อผมหานักแสดงที่จะมารับบทสำคัญเป็น ‘จอม เวียงชัย’ ที่มีลักษณะเป็นลูกครึ่ง และมีความเป็นสุภาพบุรุษแบบชายชาตรีในสมัยรัชกาลที่ 6 อเล็กซ์จึงเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด พอได้มาแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ๆ ก็สามารถที่จะแสดงได้อย่างเข้าขากันและดูลงตัวมากๆ ถือเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองได้เลยทั้งรูปร่างหน้าตาและฝีไม้ลายมือทางการแสดงอันเป็นธรรมชาติมากอีกด้วย”

          รอพบกับดาวรุ่งดวงใหม่ “อเล็กซ์-ทวีศักดิ์ ธนานันท์” ใน “จันดารา ปฐมบท” 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

FB on September 05, 2012, 09:01:04 AM
“หม่อมน้อย” การันตี “มาริโอ้ เมาเร่อ” สุดยอดฝีมือแห่งปี ใน จันดารา ปฐมบท


 
          “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่เรื่อง “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) และครูผู้สอนการแสดงแก่ “มาริโอ้ เมาเร่อ” ยืนยันถึงพัฒนาการในฝีมือการแสดงของพระเอกหนุ่มเข้าขั้นระดับนักแสดงอินเตอร์ เพราะสามารถเข้าถึงบทบาทการแสดงได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกคอเมดี้น่ารักในละครกำลังฮิต “รักเกิดในตลาดสด” และบทชีวิตดราม่าแบบสุดๆ ที่กำลังถูกจับตามองในภาพยนตร์ฟอร์มดี “จันดารา”

          หม่อมน้อยกล่าวว่า

          “ปีนี้คงเป็นปีทองแห่งความสำเร็จในชีวิตการแสดงของมาริโอ้อย่างแน่นอน เพราะหลังจากที่มาริโอ้ได้รับการฝึกฝนศิลปะการแสดงจากผมนานถึง 4 ปีเต็มด้วยความมานะ ขยัน และอดทน ทำให้ฝีมือการแสดงของเขาพัฒนาเข้าขั้นระดับอินเตอร์จะเห็นได้จากมาริโอ้มีผลงานภาพยนตร์ต่างประเทศจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะผลงานละครโทรทัศน์เรื่อง ‘รักเกิดในตลาดสด’ กับบท ‘ต๋อง’ ซึ่งกำลังเป็นที่ประทับใจของผู้ชมทั้งประเทศจนเป็นที่น่ายินดี ผมเชื่อเหลือเกินว่าบท ‘จันดารา’ ในฝีมือการแสดงของมาริโอ้ในครั้งนี้จะเป็นบทบาทที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชมอย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะเป็นบทที่มาริโอ้ได้แสดงความสามารถในการแสดงได้หลากหลายมิติ มีทั้งความใสบริสุทธิ์ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ความเคียดแค้นชิงชัง หรือแม้แต่ตัณหาราคะอันเกิดจากปมที่ซ่อนลึกอยู่ภายในจิตใจ ซึ่งมาริโอ้สามารถแสดงออกมาได้อย่างลึกซึ้งกินใจในจอภาพยนตร์ จนอาจพูดได้ว่า เขาตีบทได้อย่างแตกฉานสมกับการก้าวขึ้นมาสู่การเป็นยอดฝีมือนักแสดงเจ้าบทบาทแห่งวงการบันเทิง”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้พิสูจน์ฝีมือการแสดงแบบสุดพลังของ “มาริโอ้ เมาเร่อ” 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

FB on September 05, 2012, 09:08:46 AM
“หม่อมน้อย” โชว์แฟชั่นย้อนยุค หรูหรา สุดอลังการ ใน “จันดารา”









                         นอกเหนือจากเนื้อหาและทีมนักแสดงที่กำลังได้รับการกล่าวถึงอยู่ในขณะนี้แล้ว ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) ก็ยังมีงานสร้างสุดละเมียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมที่เห็นกันอย่างชัดเจน ซึ่งงานนี้ “มนตรี วัดละเอียด” เมคอัพอาร์ทติสชั้นครู (สุริโยไท, โหมโรง, ชั่วฟ้าดินสลาย, อุโมงค์ผาเมือง ฯลฯ) และ “อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์” แฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง (คู่กรรม, ซีอุย, ต้มยำกุ้ง, Me, Myself ขอให้รักจงเจริญ) มาร่วมกันสร้างสรรค์แฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผมย้อนยุคนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปัจจุบันได้อย่างอลังการงานสร้างสมกับความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์มหากาพย์แห่งโศกนาฏกรรมทั้งสองภาคเรื่องนี้

          หม่อมน้อยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
          “เนื่องจากเรื่อง ‘จันดารา’ นี้มีการดำเนินเรื่องอย่างยาวนานถึง 4 รัชกาล ดังนั้นงานออกแบบเครื่องแต่งกายและแต่งหน้าทำผมจึงมีความสำคัญในการบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยตามท้องเรื่อง ซึ่งต้องอาศัยการค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างพิถีพิถันเพื่อความสมจริง ซึ่งเราโชคดีที่ได้ผู้ชำนาญการพิเศษชั้นครูอย่าง อ.ขวด-มนตรี วัดละเอียด และคุณโจ้ อธิษฐ์ มาเป็นผู้แต่งหน้า-ออกแบบทรงผมและการแต่งกายในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะงดงามและสวยจริงตามยุคสมัยด้วย”

          มนตรี วัดละเอียด เผยว่า
          “ภาพรวมของเรื่องนี้ เราทำหนังเสมือนจริง ก็พยายามอ้างอิงให้มันใกล้เคียงกับความจริง แต่ก็ไม่ใช่สารคดีซะเลยทีเดียว เรื่องนี้มีตัวละครค่อนข้างจะเยอะ งานค่อนข้างจะมาก ช่วงเวลาของนักแสดงในเรื่องมันจะมีตั้งแต่เด็กจนแก่ พอมีเรื่องวัยช่วงอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็จะมีเรื่องแฟชั่นตามยุคสมัยที่จะต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ก็พยายามอ้างอิงให้ใกล้เคียงกับยุค แต่ว่ายังมีความเป็นตัวละครอยู่ เวลาทำงานก็ต้องคุยกับผู้กำกับก่อนว่าผู้กำกับมองภาพเป็นยังไงแล้วต้องการอะไร หม่อมน้อยจะบรีฟเยอะมาก เหตุเกิดขึ้นเมื่อไรถึงปีไหนแล้วมันก็มีภาพเทียบว่าย้อนอะไรไปถึงอะไร ก็ให้เน้นเรื่องของเวลา เรื่องของวัย ตรงแฟชั่นก็จะตีความกันหลายๆ แบบ หลายๆ คน ก็จะมีตัวคุณบุญเลื่องที่บ่งบอกความเป็นแฟชั่นมากที่สุด มันก็เป็นการทำงานที่ร่วมกันหลายๆ ฝ่าย ตรงฝ่ายหน้าผมนี้ก็จะทำงานร่วมกับฝ่ายเสื้อผ้าไปตลอดเรื่อง ในส่วนของเมคอัพก็มีการแต่งหน้าหลายแบบทั้งสวยงามตามปกติ แล้วก็จะมีการแต่งแก่มากในส่วนของจันดารา และเคน กระทิงทองที่จะเป็นส่วนค่อนข้างยาก และอุปสรรคก็คือเรื่องของอากาศร้อนเกินกว่าจะทำงานกัน มันก็จะมีผลต่อกาว เครื่องสำอาง และอื่นๆ อีกมากที่จะต้องดูแลกันมากขึ้น ก็พยายามปรับหาวิธีมาใช้ให้ได้ผลดีที่สุดครับ”

          อธิษฐ์ ฐิรกิตติวัฒน์ พูดถึงเครื่องแต่งกายในเรื่องนี้ว่า
          “เรื่องนี้รีเสิร์ชเยอะมาก ปกติผมก็เป็นคนอ่านหนังสือพวกประวัติศาสตร์อยู่แล้ว สนใจในเรื่องของเสื้อผ้าของไทยอยู่แล้ว ก็จะค้นคว้าจากหนังสือที่มีอยู่เหล่านี้ แล้วก็ทางอินเตอร์เน็ตด้วย ก็เป็นการรีเสิร์ชที่สนุกเพราะเป็นสิ่งที่เราสนใจ เราชอบอยู่แล้ว ได้ข้อมูลเยอะมาก บวกกับหม่อมบรีฟรายละเอียดมาเยอะมาก เพราะหม่อมจะมีภาพในหัวอยู่แล้วว่าจะให้ออกมาอย่างไร แล้วเราก็ไปทำงานในส่วนของเราออกมา แล้วก็นำมาเสนอหม่อมให้เป็นไปในทางเดียวกัน เราก็จะเอา Reference หลายๆ อย่างมาผสมกันให้ลงตัว แต่ไม่ได้ทำตามทั้งร้อยเปอร์เซนต์ เราต้องดูคาแร็คเตอร์ตัวละครเป็นหลักด้วยว่าทำไมเขาถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้ ก็เอามาปรับให้ลงตัว วัตถุดิบที่เอามาตัดเย็บก็จะหาจากหลายๆ จังหวัด บางอย่างก็สั่งทำ ก็จะเลือกวัตุดิบที่มีหรือใกล้คียงสมัยนั้น แพทเทิร์นของเสื้อผ้าสมัยก่อนก็จะแตกต่างจากสมัยนี้ ก็ต้องตัดเย็บใหม่เกือบทุกชุด การตีความแต่ละช่วงอายุของจันดาราก็ทำให้คอสตูมที่ใส่เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรับเอาวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา การเปลี่ยนแปลงบุคลิกของตัวละครผสมความเป็นไทยด้วย โทนสีก็จะทำให้กลมกลืนไปในแต่ละตัวละครและปูมหลัง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงเป๊ะๆ ว่า คนนี้ต้องโทนสีนี้ เอาความเหมาะสมเป็นหลักมากกว่า เราทำงานร่วมกันกับทีมเมคอัพเป็นหลัก ก็เป็นการทำงานที่มีความสุข เพราะต่างคนก็ตั้งใจทำกันอย่างเต็มที่ให้ออกมาได้ดั่งใจต้องการ ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำงานอย่างมีความสุข ผลงานก็จะออกมาดี และส่งผลไปถึงคนดูที่จะได้รับงานที่มีคุณภาพตามไปด้วยอย่างเต็มที่ ก็อยากให้มาชมผลงานคุณภาพนี้กันครับ”

          เตรียมพบกับแฟชั่นสุดอลังการได้ใน “จันดารา ปฐมบท” พร้อมฉาย 6 กันยายนนี้ และ “จันดารา ปัจฉิมบท” เร็วๆ นี้ในโรงภาพยนตร์

FB on September 05, 2012, 09:13:40 AM
บทสัมภาษณ์ “นิว – ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” พร้อมแจ้งเกิด ประกบคู่มาริโอ้ ใน “จันดารา”





          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้ผมรับบทแป็น “เคน กระทิงทอง” ครับ นิสัยบุคลิกส่วนตัวแล้วจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ และก็จะชอบแต่เรื่องมีความสุข เป็นคนที่ไม่คิดมาก เป็นคนที่จะรับแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็จะพยายามไม่รับ พยายามเริ่มใหม่ในสิ่งที่ดี พยายามที่จะคิดในแง่บวกอย่างเดียว เป็นคนที่ยิ้มง่าย เวลาเจอเรื่องร้ายๆ แม้จะเป็นตอนที่เจออะไรที่อันตรายหรือเจอโจรก็จะยิ้มตลอด ก็คือเราจะรู้ว่าเรามีฝีมือทางด้านแอ็คชั่นต่อยมวย ก็คือจะเห็นจากฉากเปิดตัวเคนด้วยฉากต่อยมวย ก็จะปูเลยว่าตัวละครตัวนี้เป็นคนที่ต่อยมวยเก่งและก็เจอคู่ต่อสู้ที่เก่งขนาดไหนเราสู้ได้แน่นอน เป็นคนที่ไม่กลัวอะไรเลย
          เคน กระทิงทองจะเป็นลูกของ “แม่พุ่ม” (ชุดาภา จันทเขตต์) หัวหน้าแม่ครัวในบ้านของคุณหลวง คือเราจะโตกว่าคุณจันประมาณหนึ่งปี และพอคุณจันเกิดมาเนี่ยแม่ก็ตายพ่อก็ไม่รัก และก็ไม่มีใครอยู่กับคุณจันเลย ก็มีแต่ “น้าวาด” (บงกช คงมาลัย) แม่พุ่มแม่ของเคน และก็ตัวเคนเองที่คอยดูแลเลี้ยงดูคุณจันตั้งแต่ขวบหนึ่งเลย ก็จะไกวเปลให้คุณจัน จะดูแลคุณจันมาตลอดจนถึงตอนโตไปจนแก่ก็อยู่กับคุณจันมาตลอดเวลาเลยครับ จะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ทั้งพี่ชาย ทั้งบอดี้การ์ดคอยดูแลคุณจันตลอด เคนจะเป็นคนที่ตรงข้ามกับคุณจันโดยสิ้นเชิงเลย ก็จะเป็นคู่หูกัน คุณจันก็อาจจะเหมือนพวกที่ใช้สมอง เคนก็จะเป็นคนที่ใช้กำลัง คือแตกต่างกันสุดขั้วทางด้านนี้ครับ

          ความยากง่ายของบทนี้
          ความยากง่ายก็คือ เราต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่และก็เป็นหนึ่งในคนที่ดำเนินเรื่องทั้งเรื่อง ความยากมันยากมากอยู่แล้วยิ่งต้องเล่นตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มันต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเพิ่มมากขึ้นเยอะ แต่ว่าตอนที่เป็นวัยรุ่นอาจจะง่ายหน่อยเพราะว่าเราเคยผ่านมาแล้วในช่วงวัย 17-18 จนมาถึง 22 ในชีวิตจริงคือเราเคยผ่านมาแล้ว แต่มันก็ยากตรงที่คนสมัยก่อนกับคนสมัยปัจจุบัน การดำเนินชีวิตทั่วไป ชีวิตแต่งงานมีลูก ชีวิตวัยทำงานเนี่ยมันแตกต่างกัน บางทีคนสมัยก่อนอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียน แบบเคนเป็นคนรับใช้ในบ้านก็ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ ชีวิตมันแตกต่างกัน ต้องทำงานตั้งแต่เด็กก็ไม่มีโอกาสที่จะไปเรียน อย่างที่แต่งงานมีลูกเร็ว เราก็ต้องศึกษาตรงนั้นว่าคนสมัยก่อนทำไมเขาถึงทำแบบนี้ คิดอย่างไร ก็คือจะมีหม่อมน้อยคอยบรีฟเรื่องแบ็คกราวด์อยู่เสมอ และก็พอมาถึงช่วงวัยทำงานบริษัทก็จะโตกว่าชีวิตจริงหน่อยนึง เราก็ต้องดูว่าคนที่เขาไปทำงานเขามีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นยังไง และก็ต้องคุมทั้งบริษัทด้วย แต่พอถึงตอนแก่ก็ถึงจุดที่ยากที่สุดคือจะห่างจากชีวิตของเราไปอีกนานเลย เพราะว่าเราเองก็เพิ่งจะอายุ 22 ยังไม่ถึงครึ่งชีวิตของมนุษย์เลย ก็ต้องศึกษาค่อนข้างเยอะ และผมก็ดูตัวอย่างจากคุณปู่วัยประมาณ 80 ต้นๆ ว่าคุณปู่มีลักษณะยังไง การเดิน การพูดคุย หรือว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันคืออะไร แต่ว่าหม่อมจะบอกว่าเคนจะแตกต่างจากคนแก่คนอื่นนิดนึงก็คือเคนจะเป็นคนที่ค่อนข้างสุขภาพดีทั้งกายและใจไม่เหมือนคนอายุ 90 แต่จะเหมือนคนอายุ 60-70 เท่านั้น

          การเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำเรื่องนี้
          เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมค่อนข้างได้รับการเตรียมตัวค่อนข้างนานเป็นพิเศษ และก็จริงจัง และก็ทุ่มกับมันเกินร้อยเลย คือผมได้มีโอกาสเรียนคลาสแอ็คติ้งกับหม่อมเป็นประจำอยู่แล้วครับ พอหม่อมปิดกล้องเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ที่ผมเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ หม่อมก็เริ่มทำ “จันดารา” เลย เพราะเป็นเรื่องที่หม่อมอยากจะทำมานานแล้ว และหม่อมก็ถามว่า นิวสนใจเล่นมั้ย ผมก็บอกว่าผมไม่เคยดูเวอร์ชั่นเก่านะว่าเป็นอย่างไร ผมรู้แค่เมื่อก่อนว่าเป็นหนังดังมากในอดีต เคยได้ยินแต่ไม่เคยชมครับ หม่อมบอกไม่เป็นไรไม่ต้องกลัว เพราะว่าเวอร์ชั่นนี้หม่อมอ่านหนังสือแล้วเขียนบทใหม่อยู่แล้ว และช่วงเวลาที่หม่อมเขียนบทเนี่ย ก็ให้เราเข้าไปอ่านบทดู เขียนไปได้เท่าไรก็ลองอ่านดู ลองอ่านบทดูถึงตัวละครคาแร็คเตอร์ว่าเราเหมาะสมไหม และพอเราอ่านไปได้สักพักหนึ่ง หม่อมว่านิวก็เหมาะสมน่าเล่น เล่นได้ และพอหม่อมเขียนบทเสร็จแล้วเนี่ยก็เรียกเราเข้าไปอ่านดูและซ้อมกับบทจริงๆ เลยว่าคาแร็คเตอร์จะเป็นยังไง ฉากนี้ควรจะเป็นยังไง คิดยังไง บางทีก็มีมาริโอ้เข้ามาซ้อมด้วย มาซ้อมกับเป็นคู่ มีพี่เจี๊ยบ ศักราช มีนักแสดงหลายๆ คนเข้ามาลองเทสต์บทดูและก็อ่านบทดู ทำให้การแสดงในเวลาจริงมันเร็วขึ้นและก็ง่ายขึ้นเยอะ เพราะก่อนที่จะถ่ายทำเรามีเวลาในการซ้อมก่อนประมาณ 5-6 เดือนได้ รวมถึงผมได้เข้าไปเรียนคิวบู๊กับทีมพี่พันนา เพราะหม่อมบอกว่าจะมีคิวบู๊ด้วยประมาณ 2-3 คิว มีคิวชกมวย คิวไปช่วยคุณจันอะไรอย่างนี้ ก็เข้าไปซ้อมคิวก่อนเพื่อที่จะได้สมบูรณ์ที่สุดออกมาสวยที่สุด เพราะเราไม่เคยเล่นคิวบู๊อย่างจริงๆ จังๆ และอันนี้เป็นคิวบู๊ที่จริงจังมากครับ ก็ไปซ้อมกับพี่พันนาเลย รวมถึงในการฟิตหุ่น เพราะว่าในคาแร็คเตอร์ของเคน กระทิงทอง เป็นผู้ชายในบ้านที่เป็นคนสมัยก่อน เป็นคนใช้ในสมัยก่อนเขาไม่ใส่เสื้อผ้า คือจะใส่นุ่งเตี่ยวหรือผ้าตัวเดียวทุกวัน ทั้งวันที่อยู่ที่บ้านคือเราจะไม่ใส่เสื้อเลย ยกเว้นเวลาที่เราออกไปข้างนอก ออกไปตลาด ออกไปซื้อของ เรื่องหุ่นก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสำคัญมาก และก็จะเทรนเข้าคอร์สฟิตเนสก่อนการถ่ายทำจริงจังเลยประมาณ 3-4 เดือน ก่อนถ่ายทำ ผมมีทั้งการเข้าคอร์สฟิตเนสโดยพี่ที่เป็นทีมชาติทางด้านฟิตเนสเลย ไปเข้าคอร์สกับเขาเลย มีทั้งการเล่นอย่างถูกต้อง เล่นสม่ำเสมอ แบ่งส่วนในการเล่นอย่างถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างถูกต้องรวมถึงการคุมอาหารด้วยครับ คือเขาจะมีการคุมอาหารให้ทานแบบเป็นช่วงเวลา และก็ในปริมาณที่เหมาะสมที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการของนักฟิตเนสโดยเฉพาะ

          การแปลงโฉมให้เป็นตัวละครในเรื่องนี้
          พูดถึงการเมคอัพและทรงผมนะครับ ก็คือในตอนที่เป็นวัยรุ่นก็คือที่เราเปิดตัวประมาณสัก 16-17 ก็จะเป็นเมคอัพที่บางหน่อยแต่เนียน และก็จะมีการเติมแผลอยู่ตลอดเวลา เพราะเราเป็นพวกที่ค่อนข้างจะต่อยตีกับคนอื่นบ่อย ส่วนทรงผมเป็นทรงที่ง่ายๆ ที่ผมชอบมาก ตอนวันรุ่นจะเป็นทรงแบบเซอร์ๆ หน่อย ก็ใช้เจลหรือแว็กซ์เสยขึ้นตกๆ ลงมาสองข้างแล้วก็ฉีดน้ำให้เปียกๆ หน่อยอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนเป็นทรงนักกีฬาในสมัยก่อน แต่ว่าจะเป็นแฉกสองข้างลงมา ก็จะเป็นภาพที่ย้อนยุคกลับไปใช้เวลาในการเซ็ตที่น้อยมาก คือผมชอบมากตรงนี้ พอโตขึ้นมาแล้วก็จะมีจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนเมคอัพด้วย ก็คือช่วงที่เราเริ่มจะแต่งงาน และช่วงที่เราทำงานบริษัท โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เรียบร้อยมากขึ้น ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะมีเปลี่ยนรองพื้นเปลี่ยนเมคอัพด้วย เปลี่ยนสีของเมคอัพด้วย คือจะโตยิ่งขึ้นจะมีการเติมรอยบนหน้าผากหรือตามที่ต่างๆ ถ้าคนสังเกตจะเห็นได้ชัด รวมถึงทรงผมที่เปลี่ยนไปอีกทรงหนึ่ง เป็นทรงเป๋หนึ่งข้าง เป๋ข้างเดียวก็จะเรียบและก็เรียบร้อยครับ จะเห็นได้ชัดว่าเคนจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พอมาถึงช่วงวัยชราวัยแก่อะไรอย่างนี้ก็มีการเมคอัพนานพอสมควรเลย วันแรกที่ถ่ายวัยชราเลยเนี่ยก็จะมีนัดไปตั้งแต่เช้าเลย ไปเมคอัพแต่งหน้าทำผมก่อนเลย วันนั้นแต่งหน้าทำผมไปประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ทั้งผมและมาริโอ้นะครับ คือคนแก่เนี่ยรายละเอียดบนใบหน้ามันค่อนข้างละเอียดอ่อนและเยอะมาก ก็จะมีรอยย่น รอยกระ รอยหลายๆ อย่างที่ผ่านมาในชีวิต รวมถึงผมขาวและก็ใส่วิก การเชื่อมวิกเข้ากับหน้าเรา หลายๆ อย่างเลยรวมไปถึงคอและมือด้วย ถ้าสังเกตดีๆ มือก็จะเมคอัพด้วยเหมือนกัน มือก็กลายเป็นแบบมือย่น มือเหี่ยวแบบคนแก่เลย การเมคอัพผมพูดได้เลยว่าพี่ขวด (มนตรี วัดละเอียด) ทำรีเสิร์ชมาละเอียดมากจนแต่งออกมาได้สมบทบาทดีมากครับ

          บทนี้มีส่วนเหมือนหรือต่างจากตัวจริงอย่างไรบ้าง
          ส่วนเหมือนของบทเคน กระทิงทองกับตัวนิวเอง อาจจะเป็นตอนแรกที่ใกล้เคียงกัน เป็นวัยที่เล่นมากที่สุดของเรื่องนี้ คือวัย 18-20 ต้นๆ ก็จะตรงกับชีวิตจริงที่ผมอายุประมาณ 22 เฉลี่ยแล้วคนประมาณนี้วัยใกล้เคียงกัน รวมถึงเคนเป็นคนขี้เล่น ทะเล้น และก็เหมือนชอบแกล้งเพื่อน ส่วนตัวผมก็เป็นคนที่ชอบแกล้งเพื่อน เวลาอยู่กับเพื่อนเนี่ยจะเป็นคนค่อนข้างพูดเยอะและก็จะแกล้งเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ก็จะเหมือนเคนที่ชอบแกล้งคุณจันอยู่ตลอดเวลาครับ และก็เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน กีฬาที่เคนชอบก็จะเป็นต่อยมวย ผมก็จะชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน แล้วเคนก็ชอบไปเที่ยวเล่นใกล้ๆ บริเวณบ้าน ชอบสำรวจบ้านตามซอกมุมต่างๆ ตามตลาดครับ คือเคนจะชอบเดินเที่ยวไปเรื่อย เพราะในเรื่องเนี่ยเคนเป็นคุมแถวนั้นก็ว่าได้เพราะว่าต่อยมวยเก่งก็จะคุมอยู่แถวนั้น เหมือนกับผมตรงที่ชอบเดินทางไปไหนหลายๆ ที่ชอบสำรวจในเรื่องต่างๆ แต่ที่บ้านผมอาจจะไม่ได้เป็นคนคุมเท่านั้นเอง ก็จะแตกต่างกันตรงนั้น

FB on September 05, 2012, 09:14:06 AM
          และก็เรื่องที่แตกต่างมากที่สุดก็คือ เรื่องผู้หญิงของเคนเนี่ยจะมาเป็นอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ คือเคนจะมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายๆ ด้านและก็หลายๆ คน และก็จะเหมือนใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่สนอะไรเท่าไหร่ เป็นคนไม่คิดมาก โดยส่วนจะแตกต่างจากผมตรงที่เป็นคนที่คิดมากและก็จะไม่ค่อยปล่อยวางกับเรื่องต่างๆ จะชอบเก็บเอามาคิดโดยเฉพาะเรื่องในอดีต ชอบเก็บมาคิดอยู่คนเดียวเสมอ ทำให้ตรงนี้เป็นสิ่งที่หม่อมท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผมเป็นแบบนี้ก่อนที่จะเล่นอยู่แล้ว ก่อนเข้าคลาสเนี่ยก็จะให้ผมสงบสติและก็อยู่กับปัจจุบัน และก็พยายามตัดสิ่งในอดีตให้ได้เวลาที่อยู่ในคลาสนะครับ พอเข้ามาถ่ายจริง หม่อมก็จะให้ใช้เทคนิคในห้องนั้นมาใช้ในตอนถ่ายจริง ตัดสิ่งในอดีตออกไปและก็อยู่ปัจจุบันให้มากที่สุด ก็คือเคนจะอยู่กับปัจจุบันมากและก็มองโลกในแง่ดีอย่างเดียวเลย และก็ยิ้มแย้มกับทุกๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

          อุปสรรคปัญหาในการแสดง
          อุปสรรคตอนถ่ายค่อนข้างที่จะะน้อยมากจนเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ว่าได้สำหรับ เคน กระทิงทองในวัยหนุ่ม แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นชัดๆ ก็มีเหมือนกันครับปัญหาค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน อันแรกปัญหาที่เกิดกับตัวผมอันดับแรกเลยคือเป็นคิวบู๊เป็นคิวเปิดตัวต่อยมวย ก็คือตอนที่ไปซ้อมกับพี่พันนากับทีมสตั๊นต์แล้วเนี่ย ก่อนถ่ายทำจริงเรามีการซ้อมกันก่อนก็คือตามคิวเป๊ะๆ แต่พอเข้าไปถ่ายจริงในบ่ายวันนั้นเนี้ย มันเกิดอาการอะไรไม่รู้ที่ผมค่อนข้างที่จะงงตัวเองเหมือนกันคือ ลืมคิวว่าจะเตะก่อนหรือต่อยก่อนหรือะไรก่อน เราเบลอด้วยหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ก็คือกล้องมาอยู่ตรงหน้าเรา แดดแรงมากวันนั้น เสียงคนเชียร์กระหึ่มมาก และเราไม่สามารถตัดได้ในสิ่งที่หม่อมเคยสอนในทุกๆ ฉาก คือตัดออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ เรากลับไปคิดว่าทุกคนก็หวังไว้กับเราเยอะในฉากบู๊ หม่อมคาดกับเราไว้เยอะ ทุกอย่างเหมือนประดังเข้ามาในเวลาเดียวกันทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่างไป คิวบู๊กลายเป็นว่า ตึ้ง มืดแปดด้าน เราก็แบบยกการ์ดขึ้นมากางแล้วแบบพี่เขาก็แบบทำไมไม่เข้ามาวะ ทำไมไม่เข้าไป พี่ก็จะเข้ามาแหย่ๆ และก็ส่งซิกว่าต่อยๆ เราก็จะแบบหืมอะไรๆ เราก็แบบอะไรวะ งง สุดท้ายก็คัท โอ๊ยขอโทษครับๆ บอกไปว่าผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ครับลืมบทหมดเลย ถ่ายมาตั้งหลายวันแต่ตายคิวที่เราชอบด้วย เรื่องคิวบู๊เวลาที่เราไปเรียนว่าเราชอบมาก ทีมพี่พันนาคิดท่าออกมาให้เราสวยมาก เราก็ทำได้ แต่พอเวลาถ่ายทำไมเราลืมทำไมเราทำไม่ได้ เราก็แบบเอาไงดีวะ ไม่ได้ๆ มันต้องได้ดิ เราก็ขอเวลาพักทำสมาธิก่อนคนเดียว และเราคิดแบบตอนที่ถ่ายฉากอื่นๆ ที่หม่อมให้เราคิดว่าเราเป็นเคน กระทิงทองอยู่แล้ว บทเราก็ซ้อมมาแล้วก่อนถ่ายทำตั้งห้าหกเดือนมันอยู่ในสมองเราแล้ว ลืมทุกอย่างให้หมดเลย อยู่กับปัจจุบัน เริ่มถ่าย ห้า สี่ สาม สองปุ๊บเริ่มเป็นเคน ลืมทุกอย่าง คิวบู๊เราซ้อมมานานแล้ว บททุกอย่างเราก็ผ่านมาแล้ว ลืมให้หมด ลืมคิวบู๊เลย เอาเว้ย คิวบู๊ลืมไป ต่อยอะไรไม่สนล่ะ ลืมให้หมด ห้า สี่ สาม สองปุ๊บๆ ไปเองหมดเลย สุดท้ายออกมาได้ดีกว่าตอนที่เราไปกังวลเยอะมาก คือออกมาตามที่ซ้อมไว้เลย ตามที่วางไว้เลยคือทุกอย่างได้ตามที่หม่อมหวังไว้ ตามที่ส่งเราไปซ้อมและก็ตอนซ้อมก่อนหน้าถ่ายทำเนี่ยเราทำได้ พอมาถ่ายคิวเทคนี้เราก็ทำได้เหมือนที่เราซ้อม เพราะว่าเราสามารถใช้เทคนิคใช้การอยู่กับปัจจุบันที่หม่อมสอนมาเนี่ยมาอยู่กับฉากนี้ได้ นั่นคือปัญหาใหญ่ที่สุดแล้วในเรื่องนี้ที่ผมเคยเจอมาตั้งแต่ถ่ายทำครับผม
          อีกปัญหาหนึ่งก็อาจจะเป็นปัญหาที่เล็กลงมากหน่อย ก็คือปัญหาตอนวัยชรา แต่ปัญหาเทคนิคอะไรอย่างนี้ก็จะเป็นแบบเดียวกันคือ เรากังวลกับตัวเองว่าเราต้องไปเล่นเป็นคนแก่อายุแปดสิบเก้าสิบเราจะทำได้เหรอ แต่พอได้ซ้อมก่อนถ่ายทำ ซ้อมเฉพาะคิวคนแก่โดยเฉพาะเลยว่าจะเป็นงี้ๆเพิ่มวิธีคิดเข้าไปอีก เพิ่มวิธีการแสดงออกมาเป็นการใส่วิธีคิดแบบคนแก่เข้าไป ก็ลองคิดดูและก็ลองแชร์ความคิดดูที่เราดูจากคุณปู่ของเราเนี่ย แชร์ลงไปในตัวละครตัวนี้ รวมถึงเราเอาจากคุณตามาด้วย เพราะคุณตาเราก็อายุประมาณแปดสิบแล้ว แต่คุณตาเรายังแข็งแรงอยู่ ยังขับรถสปอร์ตไปที่ต่างๆ อยู่เลย ท่านยังแข็งแรงอยู่ และก็เล่าให้หม่อมฟัง หม่อมก็บอกว่าเนี่ยแหละเคนเป็นแบบนี้แหละ ถึงแม้ว่าอายุจะแก่แล้ว แต่จิตใจยังเด็กอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ สภาพจิตใจยังดีอยู่ครับ คือจะใช้เทคนิคจากคุณตาคุณปู่ผสมกัน เวลาถ่ายทำก็ใช้เทคนิคเดิมจากคิวบู๊กับทุกๆ ตอนคือลืมให้หมด ทุกอย่างอยู่ในหัวเราหมดแล้ว มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ

          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้
          ฉากอีโรติกในเรื่องนี้ผมขอพูดในส่วนที่เป็นของผมเองนะครับ ในส่วนของนักแสดงคนอื่นผมไม่ได้เข้าไปดู ไม่เข้าไปยุ่ง คือไม่เข้าไปดูเลย ผมก็จะนอนเวลาเขาถ่ายกันผมไม่อยากดู ส่วนของผมแล้วเนี่ย ผมก็จะมีฉากอีโรติกของผมหลักๆ ก็จะมีกับผู้หญิงสามคนด้วยกันครับ ก็จะมีสายสร้อย สายสร้อยก็เหมือนคู่ขาเลยล่ะ เป็นคู่ขาเลยในเรื่องก็จะมีฉากกับสายสร้อยประมาณสองสามฉาก เหมือนเหตุการณ์มันดำเนินไป ก็คือฉากอีโรติกของหม่อมเนี่ยทุกเรื่องก็คือมันจะมีเหตุผลของมัน เราไม่ได้ต้องการที่จะมาขายอีโรติกซีนหรือว่าขายหนังที่เป็นแบบนี้ เป็นการสอนมากกว่า เพราะหม่อมบอกว่าการที่กิจกรรมเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ทำไมมนุษย์ต้องทำแบบนี้ หม่อมสอนตลอดว่าเป็นกิจกรรม สิ่งที่มนุษย์ทำแล้วเกิดเราขึ้นมาไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีสิ่งที่แย่ แต่บางคนมองมันว่าแย่ ผมอยากให้ลองคิดตรงนี้ดูว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกันที่ทำให้เกิดมนุษย์ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ในเรื่องมีฉากนี้ขึ้นมาปุ๊บก็จะมีคุณแก้วมาเห็น ก็จะเกิดเหตุการณ์ต่อไปขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณแก้วมาเห็นแบบนี้ปุ๊บ คุณแก้วซึ่งเป็นผู้หญิงที่บริสุทธิ์และก็ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเลย ยังเด็กอยู่และมาเห็นเรื่องแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับแก รวมถึงคุณจันก็เป็นผู้ชายบริสุทธิ์เหมือนกันมาเห็นเราสังวาสกับสายสร้อย จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณจัน มันก็ทำให้ชีวิตของตัวละครอีกตัวที่เข้ามาเห็นมาพัวพันเข้ามาเกี่ยวข้องเนี่ยเปลี่ยนไป หรือว่ามีอะไรเข้ามาเพิ่มมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่ตามเหตุการณ์ที่หม่อมเขียนขึ้นมาอีก
          ถ้าถามว่าของผมเยอะไหม ก็ไม่เยอะเท่าไรนะ ถ้ามองไปตามเรื่องนะครับ ผมว่าลองดูก่อนเวลาที่คุณดูหนังจบทั้งเรื่องแล้วเนี่ย ฉากพวกเนี่ยมันแรงไปไหม มันเยอะไปไหมค่อยตัดสินหลังจากที่คุณดูหนังจบก่อน อย่าเพิ่งไปตีความหรือคาดหวังหรืออะไรก็แล้วแต่ ใจเย็นๆ และก็คอยไปชมในโรงภาพยนตร์ดีกว่า

          การร่วมงานกับทีมนักแสดง
          กับ ”มาริโอ้” เนี่ย ต้องบอกก่อนเลยผมกับมาริโอ้ค่อนข้างที่จะสนิทกันประมาณหนึ่ง เพราะเรารู้จักกันมาหลายปีมาก ตั้งแต่วัยรุ่นวัยทรงผมสกินเฮดเหมือนกัน ตอนนั้นเคยไว้ผมสกินเฮดเหมือนกัน และก็แคสโฆษณาก็เจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว ก็จะเจอกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็จะคุยกับโอ้มาตลอด เหมือนเวลาบางทีโอ้ก็มาคนเดียวเวลาไปแคส ผมก็ไปแคสคนเดียวเหมือนกัน เวลาเจอกันเราก็นั่งแบบนั่งรอคิวนั่งรอเรียกเบอร์เข้าไปแคส ก็นั่งรอ โอ้ก็นั่งรอเหมือนกัน เราก็พอเจอหน้าไอ้นี้กันบ่อยๆ มันมาคนเดียวตลอด ก็เริ่มแบบคุยกันเริ่มรู้จักกันจากตรงนั้น ก็เริ่มจากตรงนั้นก็ทำให้พูดคุยกันมาพอสมควร เริ่มมาสนิทกันจริงก็คือตอนเล่น “อุโมงค์ผาเมือง” ก็เจอกันที่บ้านหม่อม เราก็ย้อนพูดคุยกันถึงตอนที่แคสโฆษณาด้วยกัน ทำให้นึกย้อนกลับไปเห็นว่าทำให้มีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น มันก็ทำให้สนิทกันมากขึ้น และยิ่งตอนไปถ่ายอุโมงค์ฯ และเรามีโอกาสซ้อมกับมาริโอ้ด้วย เราเล่นเป็นพี่ชายมาริโอ้ ก็จะมีการซ้อมกันตลอดเวลาและก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้นอย่างนี้ ทำให้การถ่ายทำในเรื่องนี้ที่เราเข้าฉากกับมาริโอ้ส่วนใหญ่นั้น เก้าสิบเปอร์เซนต์ของผมเนี่ยคือเข้ากับมาริโอ้เลย ตั้งแต่ถ่ายทำมาทุกคิวเนี่ยถ้าจำไม่ผิดนะครับคิวสองคิวที่ผมไม่เจอหน้าโอ้ นอกนั้นคือเจอกันทุกวันเจอกันตลอดเวลาเลย ก็จะถ่ายด้วยกันตลอด ความสนิทกันก่อนหน้าที่จะถ่ายทำเนี่ย มันช่วยให้ในหนังดูกลมกลืนและก็สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น เพราะว่าในเรื่องเราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันครับ ตรงนั้นก็คือเป็นสิ่งที่โชคดี
กับพี่ชุ (ชุดาภา จันทเขตต์) เนี่ย เราก็ค่อนข้างที่จะสนิทกับพี่ชุในระดับหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าเรื่องที่แล้วเราก็เล่นเป็นลูกพี่ชุเหมือนกันใน “อุโมงค์ผาเมือง” ก็จะมีการพูดคุยกันตลอด รวมถึงที่บ้านหม่อมเราก็จะเจอกับพี่ชุค่อนข้างบ่อย พี่ชุก็จะเข้ามาหาหม่อมค่อนข้างบ่อยก็จะมีการพูดคุยกัน พี่ชุก็จะมีการสอนอะไรเราตลอดเวลา เพราะพี่ชุก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีคุณภาพของเมืองไทยคนหนึ่งเลยในระดับต้นๆ แกก็จะสอนผมตลอดเวลาว่า การที่เราเป็นนักแสดงทั้งการวางตัว การใช้ชีวิต แกก็จะสอนผมตลอดเวลาเลย พอเรามาเล่นเป็นแม่ลูกกันเนี่ย อย่างที่บอกคือพี่ชุสอนผมในหลายๆ เรื่อง มันก็เหมือนแม่สอนลูก เราก็จะใช้ตรงนั้นเป็นเทคนิคเวลาเล่นก็นึกถึงคำสอนของพี่ชุ ก็คือจะสนิทกันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
          กับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นพี่เจี๊ยบ, พี่ตั๊ก, พี่หญิง เราก็จะเจอกันที่บ้านหม่อม ในสามคนนี้เราจะสนิทกับพี่เจี๊ยบที่สุดเพราะว่าหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าผู้ชายเหมือนกัน ชอบเล่นกีฬาเหมือนกัน คือจะคุยกันเรื่องกีฬาเรื่องเล่นบาส เพราะว่าพี่เจี๊ยบจะเป็นคนที่เล่นกีฬาเหมือนกัน มีเทคนิคหรือจะสอนอะไร พี่เจี๊ยบก็จะสอนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการใช้ชีวิตก็คือ พี่เจี๊ยบก็มีประสบการณ์ด้านบันเทิงค่อนข้างสูง แกก็จะสอนผมอยู่ตลอดเวลา

FB on September 05, 2012, 09:14:31 AM
          พอมาเจอพี่ตั๊ก กับพี่หญิงก็คือสองคนนี้คือจะรู้จักพร้อมๆ ไล่เลี่ยกัน พี่ตั๊กอาจจะก่อนนิดหน่อย แต่ก็จะสนิทสนมในระดับประมาณใกล้ๆ เคียงกัน จะเจอกันที่บ้านหม่อม มีการซ้อมการพูดคุยกัน และก็เหมือนเราใช้เทคนิคนี้ได้ ก็คือเราจะเป็นคนที่ค่อนข้างโดยส่วนตัวจะเป็นคนที่ค่อนข้างกลัวที่จะเข้าไปคุยกับผู้หญิงจะค่อนข้างมีระยะห่าง แต่พอคุยกันไปเรื่อยๆ เนี่ยมันจะเริ่มสนิทสนมกันขึ้นเองตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่าเวลาที่ถ่ายทำ “จันดารา” เนี่ย ผมกลับใช้เทคนิคตรงที่ยังไม่ค่อยสนิทกัน ยังเป็นเพิ่งเริ่มรู้จักกัน ผมจะเอาเทคนิคตรงนี้มาใช้ที่ไม่ค่อยจะกล้าที่จะเข้าไป ค่อนข้างที่จะมีระยะห่างตรงนั้น เพราะว่าในเรื่องเนี่ยผมเป็นคนรับใช้ พี่ตั๊กก็เหมือนเป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน พี่หญิงก็เป็นหนึ่งในหัวหน้าในบ้าน จะใช้เป็นเทคนิคตรงนั้นมาช่วย เราใช้ความเกรงใจ ใช้ระยะห่างตรงนั้นมาเป็นเทคนิคที่เล่นในบ้านครับ
อีกคนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ โชจังที่เป็นนักแสดงจากญี่ปุ่นครับ ก็ตอนแรกก็คิดว่าเราจะไปคุยกับเขารู้เรื่องเหรอ หรือว่าเขาจะมาคุยกับเราหรอ เขาเหมือนคุยกันคนละภาษา และเขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่โชเป็นคนที่เฟรนด์ลี่มากจริงๆ และก็จะจะชวนคุยอยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านล่ามก็แล้วแต่ เขาจะคอยคุยคอยเล่นอะไรกับผมตลอดเวลา จะมีอะไรมาแกล้ง แกจะชอบพูดบอกว่าผมหน้าตาเหมือนนักร้องที่ญี่ปุ่น แกก็จะชอบเอารูปมาให้ดูว่าเหมือนไหมๆ เหมือนใช่ไหมๆ ก็จะหาอะไรแบบนี้มาเล่นมาพูดคุยด้วยตลอดเวลา ทำให้เราสนิทกันค่อนข้างมาก โดยที่ภาษาหรือว่าอะไรเนี่ยไม่เป็นอุปสรรคเลย อย่างที่บอกว่าแกเป็นคนที่เฟรนด์ลี่และนิสัยดีมาก อยู่ด้วยแล้วแบบยิ้มตลอดเวลา เพราะแกจะชวนคุยเรื่องตลก ชวนคุยเรื่องนู่นเรื่องนี้ เรื่องว่าเคยไปญี่ปุ่นไหม เคยอะไรไหมตลอดเวลา อยากให้ไปอะไรอย่างนี้ครับ พอได้ทำงานร่วมด้วยแล้วรู้สึกดีมากและก็เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงญี่ปุ่นนักแสดงต่างประเทศอะไรอย่างนี้ มาพูดคุยกับเรามาสนิทสนมกับเราด้วยก็ยิ่งเป็นเกียรติกับผมมากยิ่งขึ้น

          กรทำงานร่วมกับหม่อมน้อยเป็นอย่างไรบ้าง
          การร่วมงานกับหม่อมก็ดีครับคือ หม่อมเวลาที่ทำงานร่วมงานด้วยกับสอนจะแตกต่างกันพอสมควรครับ แต่เราก็จะมีประสบการณ์มาแล้วแหละจากเรื่องอุโมงค์ผาเมือง ที่เคยร่วมงานกับหม่อมมา ถึงแม้ว่าจะประมาณสี่ห้าฉากแต่ว่าทั้งเรื่องผมก็จะไปอยู่ด้วยกับกองทั้งเรื่องเลย คือเราจะเห็นอยู่แล้วล่ะว่าการทำงานของหม่อม และก็ช่วงเวลาที่หม่อมทำงานเนี่ยจะเป็นยังไง จะดูตรงนั้นแล้วเราไม่ไปกวน เหมือนมีระยะห่างอีกแบบหนึ่งตอนที่เรียนแอ็คติ้ง จากตอนที่เรียนแอ็คติ้งจากบ้านหม่อมก็จะเรามีอะไรเราก็สามารถพูดคุยได้ตลอดเวลา แต่พอเวลาทำงานจริงเนี่ย เราต้องดูช่วงเวลาด้วยว่าเวลาไหนเหมาะ เวลาไหนไม่เหมาะ เพราะว่าบางทีหม่อมอาจจะบรีฟทีมงานอยู่ อาจจะบรีฟนักแสดงคนอื่นอยู่ เราก็ต้องรอคิวรอคอยจังหวะครับ ส่วนตัวผมแล้วอย่างที่บอกคือเราได้เรียนแอ๊คติ้งจากหม่อมมาเป็นปีที่สี่แล้ว เราก็รู้นิสัยแกค่อนข้างมาก และก็ก่อนหน้าที่จะถ่ายทำก็มีการซ้อมค่อนข้างเยอะ ทำให้ปัญหาของการถ่ายทำเนี่ยน้อย เวลาหม่อมถ่ายทำก็จะบรีฟค่อนข้างน้อย เพราะว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าในฉากนี้ความต้องการของเคนเป็นอะไร ต้องการอะไร ฉากนี้จะสื่อออกมายังไงเรารู้อยู่แล้ว บางทีถ้าเกิดเราเล่นออกมาแล้วมันไม่เหมาะสม มันน้อยเกินไป มันมากเกินไป หม่อมก็จะเข้ามาบรีฟว่า เพิ่มความต้องการอันนี้อีกหน่อยนะหรือว่ามันมากเกินไปลดลงหน่อย คือเราจะใช้เทคนิคแค่นี้พูดคุยกับหม่อมในเวลาถ่ายทำ และก็เวลาถ่ายทำเสร็จก็จะมานั่งพูดคุยกันถึงสิ่งที่ถ่ายซีนวันนั้นว่าเป็นยังไง พอใจระดับไหน ควรจะแก้ตรงไหนบ้าง เราก็จะมาพูดคุยหลังจากเลิกกองวันนั้นมากกว่า

          ฉากประทับใจ
          ฉากที่ผมชอบที่สุดและก็อินมากที่สุดก็คือเป็นฉากเดียวกันเลย คือเป็นฉากที่ผมคุยเรื่องผู้ชายกับคุณจัน คือเคนจะคุยเรื่องเหมือนเป็นเรื่องการเปิดซิง การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงกับคุณจัน และคุณจันจะไม่เคย เราก็จะพูด ยุ แหย่ แกล้งให้เขาอยากลอง ให้เขาไปลองดู คือเป็นซีนนั้นที่ค่อนข้างยาวด้วย ฉากนั้นบทประมาณห้าหน้าที่ผมต้องพูดคนเดียว แต่ว่าโชคดีคือการซ้อมฉากนี้พูดได้เลยว่าเป็นฉากที่ผมซ้อมมากที่สุด และก็ตั้งใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เวลาว่างวันไหนเนี่ยเราจะเข้าไปซ้อม หม่อมก็จะเน้นฉากนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าหนึ่งเลยคือบทยาวมากห้าหน้า ตอนแรกกลัวมาก คนบ้าอะไรจำบทห้าหน้าได้วะ พูดคนเดียวด้วย บางทีมาริโอ้ก็ตอบนะครับว่า “เหรอ”, “จะเป็นอย่างนั้นจริงหรอ”, “และใครมันจะยอมล่ะ” คือเป็นประโยคนิดๆ แต่เราเนี่ยสี่ห้าประโยค โอ้ ตายๆ ขอบทกลับไปท่องได้ไหมครับหม่อม ผมจะไปท่องจะพยายามท่องเลย หม่อมบอกว่าไม่ต้อง ไม่ต้องกลับไปท่อง เชื่อหม่อม ซ้อมบ่อยๆ เดี๋ยวมันเข้าหัวเองและก็จะเป็นธรรมชาติมากกว่า เราก็เชื่อหม่อม เวลาถึงบ้านหม่อมซ้อม เดินเอามือปิดประตูออกจากหม่อม ปิดประตูรถ ลืมไปเลยว่าเราซ้อมอะไรมา ลืมบทนั้นไปเลย ไอ้ห้าหน้านั้นลืมไปให้หมด กลับเข้าบ้านหม่อมซ้อมใหม่ ออกจากบ้านลืม ทำอย่างนี้เป็นเวลาตั้งแต่ซ้อมตอนแรกยันก่อนเปิดกล้อง ซ้อมบทนี้เรียกได้ว่าบ่อยมาก ตั้งใจมากและก็กดดันมาก และก็เรียกได้ว่าทุกอย่างเนี่ยทุ่มกับฉากนี้สุดๆ เลย อยากให้มันออกมาดีที่สุดครับ และเวลาพอถ่ายทำจริงๆ เนี่ยใช้เวลาถ่ายทำแป๊ปเดียว ตอนแรกคิดจะนาน แต่ห้าหน้าแป๊บเดียวเสร็จคืนนั้น แบบสี่ห้าทุ่มเลิกละ เพราะว่าถ่ายเร็วมาก ด้วยความที่เราซ้อมมาก่อนค่อนข้างเยอะ และก็ตั้งใจมาก แต่ว่าพอเวลาถ่ายทำจริงเนี่ย เราก็ใช้เทคนิคเดิมที่หม่อมสอนให้ลืมให้หมด ลืมบทไปเลย ห้าหน้าก็ลืมมันให้หมด ห้า สี่ สาม สอง แอ็คชั่น เราก็พลิ้วตามของเราไปเลย ตอนซ้อมในห้องคือเราปรับมาแล้วค่อนข้างเยอะ การบล็อคกิ้งต่างๆ ความคิดของเราที่จะพูดถึงคำๆ นี้ พูดถึงฉากๆ นี้ พูดถึงประโยคนี้ เราได้ไตร่ตรองและคิดมาแล้ว พอถ่ายทำจริงมันก็ราบรื่นแป๊บเดียวเสร็จ เป็นฉากที่ประทับใจมากและตั้งใจมากอยากให้ลองชมฉากนี้มากๆ เลยครับ

          ความน่าสนใจและความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้
          ความน่าสนใจและโดดเด่นผมว่าหลายจุดมากนะครับ อย่างแรกเลยคือตัวละครที่ผม และมาริโอ้เล่นตั้งแต่เด็กยันแก่ นั่นก็เป็นจุดน่าสนใจว่านักแสดงอย่างเราจะทำได้ไหมเป็นการท้าทายที่สูงมาก สูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ บทนี้เป็นบทที่ยากที่สุดเท่าที่เคยรับมาเลยก็ว่าได้ มันท้าทายมากและก็น่าสนใจมาก รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีช่วงระหว่างระอายุมากนักเท่าผม สิบเจ็ดยันเก้าสิบหรือว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเมื่อดำเนินเรื่องผ่านไปแล้วเนี่ย อย่างพี่ตั๊ก พี่หญิง พี่เจี๊ยบ และคนอื่นๆ ช่วงเวลามันก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน อาจจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นหกสิบปีเหมือนผม แต่ว่าสิบปีเนี่ยคนเรามันก็มีการเปลี่ยนเหมือนกัน ทำให้คาแร็คเตอร์ของตัวละครแต่ตัวละตัวมันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมาก และก็แต่ละช่วงเวลามันก็แตกต่างกันไปอีก ทำให้คาราคเตอร์ของตัวละครนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากตลอดเวลา อยากให้ลองชมตรงนี้ว่ามันแตกต่างกันยังไง มันพลิกกันยังไง อยากให้ติดตามจุดที่น่าสนใจจุดนี้
          อีกจุดหนึ่งก็คือไม่พูดก็ไม่ได้คุณโชที่เป็นนักแสดงญี่ปุ่นที่มาเล่นด้วยครับ ก็คือการที่เราจะสื่อสารมันค่อนข้างยากอยู่แล้ว ตอนแรกหม่อมบอกว่าให้พูดภาษาญี่ปุ่นก็ได้เดี๋ยวไปพากย์ทับเอา แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะท่องภาษาไทยมา พูดเป็นคำภาษาไทยแต่ว่าอาจจะไม่ชัด แต่พอเวลาพากย์แล้วเนี่ยปากมันตรงเขาบอกว่าจะเนียนกว่า มันจะสวยกว่า งานมันจะออกมาดีกว่า ซึ่งเขาทุ่มเทกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก มันเป็นจุดที่ผมว่าเป็นตัวอย่างนักแสดงเลยก็ว่าได้ที่มีความตั้งใจที่จะเล่นหนังหรือว่าอาจจะไม่ใช่เป็นตัวอย่างของนักแสดงอย่างเดียว เป็นตัวอย่างของคนทำงาน เป็นบทเรียนของทุกๆ คนว่า อะไรที่เรามีความตั้งใจหรืออยากจะทำมันแล้วเนี่ยไม่ว่าอะไรเราก็ทำได้ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจและก็ใส่ใจกับมันจริงๆ นั้นก็เป็นจุดที่น่าสนใจที่สอนเราอยู่ตลอดเวลาที่ทำหนังเรื่องนี้ครับ
          และอีกอันก็คือเรื่องฉาก ผมบอกได้เลยว่าตอนแรกเลยเนี่ย ที่ผมไปถ่ายทำที่บ้านไก่คู่ ที่ราชบุรีเนี่ย ก็บ้านสมัยก่อนปกติ หลังใหญ่ๆ มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ มีมุมห้องเป็นแบบสมัยก่อนมีห้องหลายๆ ห้อง ห้องน้ำก็สมัยก่อน ตามความคิดผมว่าก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าบ้านอื่น แต่พอเวลาผ่านกล้องแล้วเนี่ย เฮ้ย...ทำไมมันสวยจัง ทำไมมันสวยขึ้น มันเป็นบ้านสมัยก่อนแต่มันมีความทันสมัย ผมอยากให้ไปดูว่ามันเป็นบ้านหลังนี้มันถ่ายละครก็หลายเรื่อง ถ่ายหนังก็หลายเรื่องแล้วเนี่ย แต่เวลาผมดูผ่านกล้องแล้วเนี่ย ผมลืมเรื่องอื่นไปเลย ผมว่ามุมที่หม่อมเลือกมันค่อนข้างจะแหวกแนวแตกต่างจากละครและก็หนังเรื่องอื่นๆ ที่เคยมาถ่ายทำ มันทำให้บ้านหลังนี้เป็นเหมือนบ้านของคุณหลวงวิสนันท์จริงๆ ในเรื่องเลย เพราะว่าไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนและก็สวยงามมาก รวมถึงพร็อพต่างๆ ที่เข้ามาแต่งเติมเสริมแต่งในเรื่องนี้สร้างขึ้นมาใหม่ การทาสีบ้านใหม่หรือว่าพร็อพเล็กๆ น้อยๆ ในสมัยก่อนที่เป็นของกระจุกกระจิกมาใส่ล้วนแต่งเติมให้ฉากนั้นดูอลังการมากยิ่งขึ้น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจมากอีกจุดหนึ่ง
          ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องเลยเนี่ย มีคนมาถามผมว่าหนังเรื่องนี้ประเภทไหน จะว่าเป็นอีโรติก มั้ยมันก็เป็น เป็นดราม่ามั้ยมันก็เป็น มีแอ็คชั่นก็มี คอเมดี้ก็มี มันพูดไม่ถูกเลยว่าเป็นหนังประเภทไหนกันแน่ ผมว่ามันมีอะไรหลายๆ เข้ามาผสมกันในเรื่องเดียวกัน และเป็นการผสมผสานที่ลงตัวมาก และก็ในบทที่หม่อมเขียน เป็นการตีความของหม่อม ความน่าสนใจของมันอีกอันหนึ่งก็คือ เรื่องมันดำเนินไปเรื่อยๆ ในส่วนของการแก้แค้น คุณหลวงต้องการจะแก้แค้นครอบครัวนี้ก็เลยทำแบบนี้ พอเกิดปัญหากับคุณหลวงก็โดนแก้แค้นคืน เป็นการเอาคืนกันแบบเขาเรียกว่าเป็นการรับกรรมก็ได้แบบทันใจ แบบยังไม่ทันตายเลยชาตินี้เราต้องรับกรรมที่เราทำมาแล้ว เป็นหนังที่สะท้อนชีวิตของมนุษย์มากที่ทำให้เราเข้าไปส่องกระจกก่อนดูว่าเราเป็นแบบนี้หรือเปล่า เรามีจิตไม่ดีคิดแบบนี้หรือเปล่า ส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นการสอนที่ตัวอย่างของในความไม่ดีออกมาให้คนเห็น ซึ่งตรงเนี่ยเป็นสิ่งที่เอากลับไปคิด เอากลับไปพิจารณาดูแล้วไม่ทำมัน ไม่ใช่ออกมาในหนังแล้วอยากให้ทำ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาในหนังแล้วอยากให้กลับไปคิดและไม่ทำว่าอันนี้คือตัวอย่างที่ไม่ดีนะ คุณอย่าแก้แค้น การจองเวร การจองล้างจองผลาญกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเนี่ย มันทำให้คนที่ถูกจองเวรจองกรรมต่อกันเนี่ย เขาก็ไม่มีความสุขหรอก เราที่ไปจองเวรจองกรรมเขา เราเองก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน และทำไปเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วเนี่ยพอดูหนังจบแล้วเราจะเห็นว่า สุดท้ายแล้วคนที่เป็นแบบนั้นเนี่ยก็ไม่เหลืออะไร ก็เหลือแต่ตัวคนเดียวที่โดดเดี่ยวและก็รอความตายไปวันๆ แตกต่างจากอีกคนหนึ่งที่มองโลกในแง่ดี มีลูก มีหลาน มีคนรัก ทำงานสุขภาพแข็งแรง สภาพจิตใจดี พอแก่ตัวไปก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนที่รักคอยดูแล มีความสุข จนวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีความสุขอยู่ต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง

          ความคาดหวังในหนังเรื่องนี้
          คาดหวังอะไรมั้ยมันก็ต้องมีบ้างนะครับเรื่องนี้ แต่ว่าหม่อมก็บอกเหมือนกันว่าอย่าพยายามคาดหวังอะไรมาก เพราะว่าถ้าเราคาดหวังมากมันก็จะเสียใจมาก แต่ว่าถามแล้วว่าปกติมนุษย์เนี่ยมันก็ต้องคาดหวังอยู่แล้วล่ะ เพราะว่ามันเป็นหนังเรื่องแรกเต็มๆ ตัวของเราด้วย และก็เราค่อนข้างตั้งใจ และก็ซ้อมกับมันมากเป็นพิเศษ และก็อย่างที่บอกว่าการเตรียมตัวเราเตรียมตัวเยอะมากก่อนหน้าห้าเดือนที่จะเปิดกล้องทั้งซ้อมบท ทั้งคิวบู๊ ฟิตเนส ทั้งคุมอาหารทุกอย่าง คือเราลงกับมันเกินร้อยมากๆ ก็อยากให้มันออกมาดีที่สุดและพอถ่ายออกมาแล้วเนี่ยได้ตามที่เราและหม่อมคิดไว้พอสมควร หลังจากนั้นเราได้มาคุยกับหม่อมครับ หม่อมก็พอใจในระดับหนึ่ง ผมว่าความคาดหวังของผมมันก็ถือว่าผ่านไปในระดับหนึ่งแล้ว เพราะว่าถ้าหม่อมบอกว่าผมสามารถเป็นเคน กระทิงทองได้แล้วเนี่ย ผมสามารถเข้าไปเป็นตัวละครคาแร็คเตอร์ตัวนี้ได้ ก็ถือว่าผมประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ไปก้าวหนึ่งแล้วแค่นี้ผมก็ภูมิใจมากแล้วที่ได้เล่นเรื่องนี้และก็ทำออกมาเป็นที่น่าพอใจ เป็นเคน กระทิงทองที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ

FB on September 07, 2012, 03:32:05 PM
“หม่อมน้อย” จัดเต็มฉากอีโรติก “จันดารา” เกจินู้ด ยืนยันเลิฟซีนไม่อนาจาร



          ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมากว่าฉากอีโรติกหรือเลิฟซีนในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา” (ปฐมบท-ปัจฉิมบท) จะออกมาเป็นอย่างไร และจะมีล้นจอจนกลบประเด็นหลักที่เป็นเนื้อแท้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปหรือไม่ ผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” พร้อมด้วยเกจินู้ด “นิวัติ กองเพียร” ก็ได้ออกมาพูดถึงและยืนยันถึงประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า ฉากเลิฟซีนมันเป็นส่วนสำคัญสำคัญส่วนหนึ่งของเรื่อง มันต้องมีแน่ๆ แต่ทุกฉากที่ออกมาล้วนแล้วแต่มีความหมายและเจตนารมณ์ในการนำเสนอที่งดงามเป็นศิลปะและไม่อนาจารแต่อย่างใด

          (หม่อมน้อย) “ฉากเหล่านี้ต้องมีแน่ๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นส่วนสำคัญต่อเรื่องราวและบ่งบอกลักษณะนิสัยตัวละคร และมีผลกระทบต่อตัวละครมาก และทุกฉากเลิฟซีนเหล่านี้จะมีความหมายหมด คือเรื่องนี้จะมีฉากอีโรติกมากมายจริงๆ มากกว่าเวอร์ชั่นก่อนๆ ด้วยซ้ำ และก็แฝงความหมายที่ไม่เหมือนกันเลย แต่ละฉากมีจุดประสงค์ของมัน บางฉากเพื่อการแก้แค้น บางฉากเพื่อจะต่อรองทางการเมือง บางฉากทำเพื่อความสนุก บางฉากทำเพื่อความรักอะไรทำนองนี้ จะบอกว่าโป๊ก็โป๊จริงๆ แต่ผมก็ตั้งใจถ่ายทอดความงามด้านวรรณศิลป์ในหนังสือให้ออกมาเป็นความงามของหนังในทุกๆ องค์ประกอบของหนัง และนักแสดงในฉากอีโรติกนี้ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่จริงๆ เพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเป็นศิลปะที่สุดและเหมือนจริงที่สุด เราต้องการทำหนังคลาสสิก เป็นศิลปะ เราไม่ต้องการทำหนังยั่วยุทางกามารมณ์ แม้จะพูดถึงเรื่องกามารมณ์เยอะมากก็ตาม แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นกระจกสะท้อนให้คนที่ได้ชมแล้วบางทีอาจจะเห็นตัวเองในหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วมันพูดถึงธรรมชาติของมนุษย์เราดีๆ นี่เอง”

          (นิวัติ) “คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้เลยครับ โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่จะถ่ายทอดไปสู่สังคมไทย หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ปอกเปลือกสังคมไทยอย่างแท้จริง ผมเห็นธรรมชาติเนื้อแท้ของมนุษย์ที่ถูกถอดออกมาได้อย่างดีมาก ถอดออกมาด้วยความงาม ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือแค่ความสามารถเท่านั้น ผมว่าเป็นหนังไทยที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลย ผมดูแล้วผมรู้สึกได้ถึงทุกอย่างที่อยู่ในนั้น มันทำให้ผมนิ่งได้ หนังเอาผมอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ พอดูจบผมบอกหม่อมเลยว่า ฉากสังวาสทั้งหมดในหนังไม่ได้ทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศเลย เพราะอะไร อย่าเพิ่งงงนะครับ เพราะหนังอะไรก็แล้วแต่ที่มีฉากประเภทนี้แล้วทำให้คนดูรู้สึกทางเพศมันก็คือหนังอนาจาร แต่กับเรื่องนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ผมเห็นแต่ความสวยงามในเรื่องนี้ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้อย่างนี้แล้ว คนก็จะเข้าใจกันได้ว่าธรรมชาติของการสังวาสมันคือความงดงาม เรื่องนี้มันจะมีการสังวาสในทุกรูปแบบเพื่อจะให้เราได้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้สื่อออกมาให้เป็นความอนาจารแต่อย่างใด”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมเผยจุดเริ่มต้นแห่งฉากอีโรติกที่มาพร้อมเนื้อหาสาระ 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 08, 2012, 07:32:12 AM by FB »

FB on September 07, 2012, 03:33:47 PM
“จันดารา ปฐมบท” เปิดรอบปฐมทัศน์โลกสุดยิ่งใหญ่ กองทัพสื่อมวลชน-คนบันเทิงแห่ชมแน่นขนัด








    
           ในที่สุด “จันดารา ปฐมบท” ภาพยนตร์ไทยฟอร์มยักษ์ที่มีผู้ชมรอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ก็ได้ฤกษ์เปิดรอบปฐมทัศน์โลก (World Gala Premiere) สุดยิ่งใหญ่ไปแล้วเมื่อค่ำคืนวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชน, คนบันเทิง และแขกรับเชิญผู้ทรงเกียรติหลากหลายแขนงที่มาร่วมชมกันอย่างคึกคักจนโรงกว้างขวางดูแคบไปถนัดตา

          เริ่มเปิดงานด้วยการเดินพรมแดงสุดตระการตาของเหล่านักแสดง นักร้อง คนบันเทิงที่มาร่วมให้กำลังใจในภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น สินจัย เปล่งพานิช, ถกลเกียรติ วีรวรรณ, นพพล โกมารชุน, ปรียานุช ปานประดับ, ธีรภัทร์ สัจจกุล, อรุโณชา ภาณุพันธุ์, แอฟ-ทักษอร เตชะณรงค์, เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร, อรนภา กฤษฎี, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, สมศักดิ์ ชลาชล, โดม-ปกรณ์ ลัม, พรชิตา ณ สงขลา, แบงค์-ปรีติ บารมีอนันต์, เบน-ชลาทิศ ตันติวุฒิ, คิว วงฟลัวร์-สุวีระ บุญรอด, มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์, พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร, เจี๊ยบ-โสภิตนภา ชุ่มภาณี, ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์, สน-ยุกต์ ส่งไพศาล, วิว-วรรณรท สนธิไชย, ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล, ดารณีนุช โพธิปิติ รวมถึง แก๊ง The Star-อาร์, แก้ม, สิงโต, กัน, ตูมตาม, โดม, แกรนด์, โตโน่, ซิลวี่, กวาง, แอมป์, แกงส้ม, ฮั่น, แคน, ฮัท, เฟรม, สต๊อป ฯลฯ

ต่อด้วยการเปิดตัวสุดยอดทีมนักแสดงนำจันดาราด้วยการเดินพรมแดงทีละคู่สู่เวทีใหญ่ คือ รัดเกล้า อามระดิษ-ปิยะ เศวตพิกุล, สาวิกา ไชยเดช-ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, บงกช คงมาลัย-อเล็กซ์ ทวีศักดิ์ ธนานันท์, รฐา โพธิ์งาม-ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา, โช นิชิโนะ-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต, มาริโอ้ เมาเร่อ-ศิเรมอร อุณหธูป (ทายาทคุณประมูล อุณหธูป เจ้าของบทประพันธ์) และปิดขบวนด้วยผู้กำกับชั้นครู ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล

          จากนั้นจึงเป็นการเปิดแชมเปญเฉลิมฉลองโดยประธานในพิธี หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร, แขกผู้มีเกียรติ, ผู้กำกับ, นักแสดง และทีมงานภาพยนตร์ ก่อนที่จะถ่ายภาพรวมเป็นที่ระลึกร่วมกัน

          ปิดงานด้วยการโชว์เพลง “เมื่อไหร่จะให้พบ” โดย หญิง รฐา ที่แสนไพเราะเป็นการส่งท้ายงานอย่างน่าประทับใจ

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมปลดเปลื้องเปลือกของมนุษย์ด้วยวิปริตแห่งกรรมตัณหา 6 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 08, 2012, 07:36:01 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:48:39 PM
“ตั๊ก บงกช” สุดปลื้ม ทุกเสียงชื่นชม “สุดยอดการแสดงแห่งปี” ใน “จันดารา ปฐมบท”



          หลังจาก “จันดารา ปฐมบท” ออกฉายไม่ทันไรก็เรียกกระแสชื่นชมจากคนดูถึงความสนุกและคุณภาพของหนังในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันในการแสดงสุดท้าทายของนักแสดงสาวมากฝีมือ “ตั๊ก บงกช คงมาลัย” ในบท “น้าวาด” ผู้เลี้ยงดูจัน ดาราซึ่งกำพร้าแม่ตั้งแต่เกิดว่าเป็น “สุดยอดการแสดงแห่งปี” เลยทีเดียว

          สาวตั๊กได้พูดถึงเสียงตอบรับในครั้งนี้ว่า
          “ดีใจมากค่ะที่ส่วนใหญ่ชอบการแสดงของตั๊กในเรื่องนี้ มันเหมือนเป็นกำลังใจให้ตั๊กที่จะทำงานชิ้นต่อๆ ไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พูดไปแล้วบทนี้เป็นบทที่ยากนะคะเพราะต้องเก็บรายละเอียดของตัวละครอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกันเราก็แสดงออกมามากไม่ได้ ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ส่วนที่หลายคนสงสัยกันว่าทำไมตั๊กถึงกล้าแสดงบทที่ต้องโชว์สรีระมากขนาดนี้ ตั๊กบอกได้เลยว่าตั๊กเชื่อมั่นและไว้ใจในตัวหม่อมน้อยว่าไม่ทำให้ภาพออกมาดูไม่ดีแน่ๆ เราต้องมองข้ามจุดนั้นไปให้ได้ อีกอย่างตั๊กเป็นนักแสดงก็ต้องทุ่มเทและเต็มที่กับมัน เราต้องคิดและเป็นตัวละครตัวนี้ให้ได้จริงๆ ซึ่งผลที่ออกมาก็ได้พิสูจน์ตัวของมันเองแล้ว

          ตั๊กต้องขอขอบคุณหม่อมน้อยที่เชื่อในตัวตั๊กและมอบบทที่ดีบทนี้มาให้แสดง ทำให้ตั๊กกลับมายืนบนสายการแสดงนี้อย่างมั่นใจอีกครั้ง ขอบคุณทีมงานและเพื่อนนักแสดงที่ร่วมกันสร้างทุกตัวละครให้ออกมามีสีสัน ขอบคุณทุกกำลังใจจากแฟนๆ ที่เข้าใจในจุดยืนทางการแสดงของตั๊ก ทำให้ตั๊กมีพลังที่จะก้าวเดินและสร้างผลงานที่ดีต่อไป ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้ผู้ชมพิสูจน์ทุกคุณภาพแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 15, 2012, 07:31:40 AM by FB »

FB on September 14, 2012, 03:49:42 PM
กระแสบวกทะลัก!!! “จันดารา ปฐมบท” หลากหลายเสียงคนดังชื่นชมคุณภาพ หนังดูสนุก ครบรส ได้แง่คิด ห้ามพลาด


 
          เหล่าคนบันเทิงที่เพิ่งได้ชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “จันดารา ปฐมบท” ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ กับรอบปฐมทัศน์โลก (World Gala Premiere) ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันถึงคุณภาพคับจอในทุกๆ องค์ประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ “ดูสนุก ครบรส ได้แง่คิด งานสร้างตระการตา สุดยอดการแสดงและการกำกับ” ถือเป็นภาพยนตร์แห่งปีที่ไม่ควรพลาดในการชม

          (นก สินจัย) “เป็นหนังที่สวยงามน่าติดตามชมมากเลยค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าพี่น้อยจะตีความหรือขยายเรื่องไปทางไหน แต่พอมาดูแล้วพาเราให้ติดตามได้โดยไม่อยากให้จบเลย นกยังไม่พูดถึงตัวจันดาราดีกว่าเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรอีกเยอะในภาคต่อไป ส่วนภาคนี้นกชอบน้าวาด นกว่าตั๊กทำได้ดี มีความเป็นธรรมชาติ ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็ดีเช่นกันค่ะ นกว่าคนเราต่างก็มีรายละเอียดในจิตใจนะคะ คือหนังมันทำให้เห็นว่าที่มาที่ไปของคน การเลี้ยงดู สายเลือดมันก็มีผลต่อการเติบโต เราก็สงสัยว่าทำไมต้องพูดถึงเรื่องเซ็กส์มันมีอะไรนักหนา แต่พอเรามาดูแล้วก็เข้าใจ ส่วนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรม เรื่องของปมอะไรบางอย่างในจิตใจที่มันนำไปสู่การเอาออกมาในรูปแบบหนึ่ง ก็เลยเข้าใจว่า อ๋อ ทำไมจันดาราถึงต้องพูดถึงเรื่องเซ็กส์ ตอนเด็กๆ เคยอ่านหนังสือก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดแต่เรื่องเซ็กส์ มันสำคัญหรือต้องพูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ พอมาดูหนังของพี่น้อยก็รู้สึกว่ามันขยายละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจถึงที่มาที่ไปมากขึ้น พอดูจบก็อยากดูภาคสองต่อเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปค่ะ”

          (บอย ถกลเกียรติ) “ดูแล้วสงสารชะตาชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งมากๆ ครับ การแสดงของทีมนักแสดงทำได้ดีมากๆ นะครับ มาริโอ้และนิว ชัยพลแสดงกันเก่งมากๆ และสิบนาทีสุดท้ายนี่ตรึงเราอยู่จริงๆ ครับ แล้วก็อยากดูตอนต่อไปแล้วครับว่าชะตาชีวิตของเขาจะไปเจออะไรอีก”

          (เอกชัย เอื้อครองธรรม) “รู้สึกประทับใจหนังมากครับ ประทับใจความสมบูรณ์แบบในองค์ประกอบหนัง มีความอลังการของอารมณ์ ผมว่าสิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้หม่อมก็โชว์ให้เราเห็นว่ามีอารมณ์ขัน มีความสนุกสนาน ดูแล้วลื่นไหล แต่ก็ยังมีที่มาที่ไปของดราม่า ภาพนู้ดก็มีองค์ประกอบทางศิลป์ที่สวยงาม รู้สึกคุ้มครับ มาริโอ้เล่นน้อยแต่มีความลึกนะครับ เป็นหนังที่ทั้งสะเทือนใจ ตลก สนุก ฉากเซ็กส์ มีครบทุกรสจริงๆ ผมว่ามันหายากนะครับที่จะมีหนังไทยซักเรื่องที่ครบองค์ประกอบของการทำภาพยนตร์อย่างนี้ เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ”

          (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) “หนังที่มีอีโรติกผสมเข้ามาอย่างกลมกลืนอย่างนี้เนี่ย ไม่มีมานานแล้ว การแสดงของนักแสดงทุกคนมัดใจแล้วทำให้เราคล้อยตาม กระทบความรู้สึกมากๆ หม่อมน้อยมีสไตล์การกำกับที่ชัดเจนอยู่แล้ว มีวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากฉบับที่ผ่านมาแน่นอนอยู่แล้ว และเนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้ามาก็เต็มอิ่มจริงๆ ชอบการแสดงของมาริโอ้มากๆ มันกระทบใจเรามากๆ เลย”

          (ก้องเกียรติ โขมศิริ) “ดูจบแล้วก็ชอบเลยครับ ผมว่าหม่อมแตกฉานและชัดเจนในการตั้งคำถาม คือจริงๆ ผมอยากให้มาดูเองเลยว่าหนังมันเป็นยังไง อันดับแรกเลยคุณจะรู้ว่ากามกิเลสคืออะไรอย่างชัดเจน ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ขายโป๊หรือเปล่า แต่พอดูจบแล้วจะรู้เลยว่ามันมีอะไรลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ ผมว่ามันเป็นหนังอีโรติกที่เราไม่ได้เห็นกันมานานในประเทศนี้นะครับ ผมว่าหม่อมทำได้งามมากๆ ครับ มองข้ามเรื่องเซ็กส์ไป เรื่องนี้มันพูดถึงมนูษย์ กิเลสของคนอย่างชัดเจน พูดไปแล้วภาพโป๊ทั้งหลายแหล่มันก็เป็นแค่หน้าวัด แต่เนื้อหาจริงๆ ของมันอยู่ในอุโบสถ ผมว่าตั๊กเล่นดี ผมรู้สึกว่าภาคนี้มันเป็นภาคของจันกับน้าวาด มันเป็นความอบอุ่นเดียว สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกดีมากๆ เลยก็คือ เราเคยสงสัยว่าคนเราจะทำเลิฟซีนที่จะเหนือกว่าเซ็กส์ไปสู่ความรู้สึกของแม่ได้อย่างไร ซึ่งหม่อมทำได้ ก็อยากให้มาดูกันครับ”

          (วราพรรณ หงุ่ยตระกูล) “นักแสดงทุกคนเล่นดีหมดเลย ภาคแรกนี้สามารถปูพื้นตัวละครให้เห็นปมของทุกคนได้อย่างดี เฉลี่ยบทบาทได้ดี ถ้าตั้งใจทำอีโรติกได้งดงามขนาดนี้บนแผ่นฟิล์มก็ทำเถอะค่ะ หม่อมน้อยทำได้งามมาก ศิลปะในการเห็นเรือนร่างคนเป็นยังไง เรื่องนี้ไม่ธรรมดาค่ะ มันมีที่มาที่ไป ไม่ช่อยู่ดีๆ จะโป๊จะเปลือยท่าเดียวค่ะ”

          (อ้วน รีเทิร์น) “หนังเอามุมมืดของมนุษย์มาตีแผ่ได้เป็นศิลปะมากที่สุด ภาพสวย ดูแล้วเหมือนเราเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้นเลย พี่ชอบและอินกับบทน้าวาดมากที่สุด ไม่คิดว่าตั๊ก บงกช จะแสดงได้ดีขนาดนี้ หลายคนคิดว่ามีแต่เรื่องเซ็กส์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของชีวิตมนุษย์จริงๆ ต่างหาก”

          (แจ๊บ เพ็ญเพ็ชร) “ตัวละครจันของหม่อมจะน่าสงสารมากและเราเอาใจช่วยมากที่สุด อีกตัวคือตัวเคน ก็ช่วยลดความเคร่งเครียดลงไปได้เยอะ เป็นหนังกลมกล่อม หลายรสชาติที่ดูสนุกเลยครับ อีโรติกเป็นภาพที่นำเสนอแต่ลึกลงไปแล้วมีนมีอะไรที่สอนเราเยอะแยะเลย ดูไม่ยากเลยครับ”

          (โดม ปกรณ์ ลัม) “เรื่องนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในพฤติกรรมของมนุษย์เลยนะครับ แต่ที่เราได้ไปเต็มๆ เลยคืออรรถรสความสนุกของภาพยนตร์ที่เข้มข้นมากนะครับ ผมชอบคาแร็คเตอร์ จัน ของมาริโอ้มากๆ ผมว่าเขาได้พัฒนาฝีมือการแสดงไปอีกขั้นหนึ่งจริงๆ ครับ มีชั้นเชิง วิธีการวางอารมณ์ของตัวละคร การพัฒนาอารมณ์ของตัวละครอย่างแยบยล รู้สึกชื่นชมโอ้มากครับ มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนะครับ ถ้าคุณมองแค่ว่าเป็นหนังเกี่ยวกับเรื่องของเพศคุณก็จะได้แค่นั้น แต่ถ้าคุณมองให้ลึกลงไปกว่านั้นมันตีแผ่พฤติกรรมด้านมืดของจิตใจของคน มันจะสะท้อนถึงตัวคุณเองด้วยว่า จริงๆ แล้วคุณมีด้านมืดอย่างนั้นอยู่บ้างหรือเปล่านะครับ มันเป็นหนังที่เหมือนกับกระจกที่สะท้อนถึงความเป็นตัวเองนะครับ”

          (ตูมตาม เดอะสตาร์7) “หนังเรื่องนี้มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง มันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่อยู่กับว่าเราจะงัดมันมาออกมาใช้อย่างไร เรื่องราวของคนกับเซ็กส์มันใช้ได้กับหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องการเมือง เรื่องภายในบ้าน เซ็กส์มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สามารถนำไปสู่จุดต่างๆ ได้ หนังเรื่องนี้มันสอนเราทุกอย่าง มันมีเหตุผลมารองรับการกระทำต่างๆ เรื่องอีโรติกไม่น่าจะเป็นประเด็นหลัก แต่มันน่าจะเป็นเรื่องการเข้าใจถึงการเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง มันทำให้เราย้อนกลับมาดูตัวเองได้ว่าชีวิตของเราจริงๆ คืออะไรกันแน่”

          (มอส ปฏิภาณ) “จันดาราของหม่อมน้อยเป็นหนังที่ครบรสมากครับ เป็นอีโรติกที่คลาสสิกครับ เรื่องเข้มข้นตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งช่วงท้ายนี่ผมลุ้นไม่ให้มีเรื่องเกิดกับมาริโอ้เลยครับ และผมก็ชอบการแสดงของหญิงในบทคุณบุญเลื่องมากนะครับ เล่นได้สมบทบาทดีครับ”

          (แฟรงค์ ภคชนก์) “ผมชอบความละเมียดละไมของหนังที่ถ่ายทอดถ้อยคำและวลีอันไพเราะออกมาเป็นภาพอันสวยงามได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องอีโรติก แต่มันเป็นศิลปะที่ละเมียดละไมมากครับ มาริโอ้เล่นได้ดีมากในบทจัน ดาราครับ นิว ชัยพลก็เล่นได้ดีมากเช่นกันครับ มีทั้งความน่ารัก ความตลก ทำให้เราหัวเราะได้ ตัวละครทุกตัวก็แสดงได้ดีแทบทั้งนั้นเลยครับ ทั้งคุณบุญเลื่องที่เป็นผู้หญิงที่มีสีสัน น้าวาดซึ่งเป็นผู้หญิงไทยที่วางตัวเองได้น่าเกรงขามและเอาอยู่ น้าวาดนี่รักเลยครับ”

          (สน ยุกต์) “หนังหม่อมน้อยที่ทำมาผมไม่ผิดหวังเลย เรื่องนี้ผมก็ชอบมากๆ เลย ดูสนุกมาก นักแสดงก็เล่นกันดีทุกคนเลย คาแร็คเตอร์ที่ชอบเป็นพิเศษคือ ตัวเคน กระทิงทองของนิวที่ใสๆ กวนๆ ครับ คือผมเป็นเพื่อนกับนิวนะฮะ ผมก็เลยรู้ว่า ตัวจริงนิวไม่ได้เป็นอย่างในเรื่องเลย แต่พอแสดงปุ๊บเขาก็เล่นได้พลิ้วมากๆ เลย ทุกองค์ประกอบในหนังหม่อมน้อยจะละเอียดและพิถีพิถันในงานสร้าง เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นครับ”

          (เบนซ์ พรชิตา) “เรื่องนี้ในเวอร์ชั่นหม่อมน้อยจะละเอียดมาก ที่บอกว่าต้องแบ่งเป็น 2 ภาค เบนซ์เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องแบ่ง เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจในตัวละครมากขึ้น และต้องบอกเลยว่า หม่อมน้อยทำได้ละเอียดมาก ทุกตัวละครมีปมในการกระทำทั้งหมดว่ามันเกิดจากอะไร ซึ่งเบนซ์ดูแล้วชอบมาก ประทับใจมาก เป็นหนังอีกเรื่องที่น่าจะถูกใจหลายๆ คนเลยค่ะ ชอบคาแร็คเตอร์ของโอ้กับนิวมาก นิสัยต่างกันแต่มาเป็นเพื่อนรักกัน เบนซ์ว่ามันเป็นคาแร็คเตอร์ที่คนดูจะต้องจดจำ ต้องชอบเค้า เพราะมีเสน่ห์มากค่ะ ที่หม่อมเคยสัมภาษณ์ว่าเด็ดทุกฉาก ใช่เลยค่ะ มันเด็ดทุกฉากจริงๆ ค่ะ”

          (แอฟ ทักษอร) “ก็เป็นหนังระดับคุณภาพของผู้กำกับระดับอาจารย์ของเมืองไทยอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึง แอฟชอบตัวละครของมาริโอ้และตั๊ก บงกชค่ะ โดยเฉพาะตั๊กทำออกมาได้ดีมาก สามารถถ่ายอดอารมณ์ความรักออกมาได้ในหลายรูปแบบอย่างน่าประทับใจจริงๆ ค่ะ แอฟรู้สึกได้ถึงความรักแท้ๆ ของน้าวาดที่มีต่อตัวจันแม้จะไม่ใช่แม่จริงๆ แต่เค้าก็พร้อมจะปกป้องดูแลอยู่ตลอดเวลา”

          (จิระนันท์ พิตรปรีชา) “ประทับใจกับการถ่ายทอดวรรณกรรมให้ออกมาเป็นภาพบนจอได้อย่างชนิดที่ว่า อาจจะไม่ทัดเทียมกับในหนังสือที่ให้ผู้อ่านจินตนาการได้ แต่ในเรื่องนี้ก็พยายามที่จะเปิดเผยตรงนั้นและซ่อนเร้นให้เราค้นหา เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ดีค่ะ แล้วที่ประทับใจมากคือดนตรีประกอบค่ะ เรื่องนี้สมูธมากค่ะ เรื่องนี้ดูแล้วจะรู้สึกก้ำกึ่งนะคะระหว่างด้านดีกับด้านมืดของมนุษย์ เพราะว่าเรามักจะนึกถึงวรรณกรรมเรื่องนี้ในด้านตีแผ่ให้เห็นตัณหาราคะของมนุษย์ แต่ในหนังแสดงให้เห็นว่าคนยังไงก็เป็นคนไม่ว่าจะคนดีหรือคนร้ายมันก็มีจุดอ่อนที่ตรงนี้ด้วยกันทั้งนั้น”

          (สุประวัติ ปัทมสูต) “หลังจากดูหนังของหม่อมน้อยซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ดูฟรี แต่เคยบอกกับเขาว่า ไม่ต้องห่วง ยังไงก็พร้อมที่จะเสียตังค์ดูอย่างเต็มใจ และเรื่องนี้ยืนยันว่าดูแล้วไม่เสียดายตังค์ครับ”

          “จันดารา ปฐมบท” พร้อมให้ผู้ชมพิสูจน์คุณภาพเต็มๆ ตาแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
« Last Edit: September 15, 2012, 07:32:25 AM by FB »