happy on November 25, 2012, 07:00:10 PM

จัดจำหน่ายโดย   เอ็ม พิคเจอร์ส              
ชื่อภาษาไทย   “นิยามรักปฏิวัติสองโลก”
ภาพยนตร์แนว   โรแมนติก-ไซไฟ
จากประเทศ      แคนนาดา-ฝรั่งเศส
กำหนดฉาย      10  มกราคม  2556
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์
ผู้กำกับ       Juan Diego Solanas    

นักแสดง

                Kirsten Dunst  รับบทเป็น Eden
                Jim Sturgess  รับบทเป็น Adam
                Neil Napier  รับบทเป็น  Security agent
                Jayne Heitmeyer   รับบทเป็น  Executive









เรื่องย่อ

                อดัม(จิม สเตอร์เกส) เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีชีวิตเรียบง่ายอาศัยอยู่ในจักรวาลอันบิดเบี้ยว  เมื่อวิถีแห่งแรงโน้มถ่วงได้ทำให้โลกถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน   มีเพียงท้องฟ้าเบื้องบนเท่านั้นที่มาบรรจบเข้าหากัน   ซึ่ง อดัม อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างที่ๆเป็นของคนชนชั้นกรรมกรอาศัยอยู่  อดัม มีเพียงความทรงจำอันเลือนลางในช่วงวัยเด็กเท่านั้นที่เขายังจำได้แม่นยำคือรักแรกพบของเขากับ อีเด็น(คริสเท่น ดันทส์) มันเป็นความฝั่งใจที่เขาไม่เคยลืมและเขารู้สึกได้เลยว่า อีเด็น เป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวผู้น่ารักจิตใจดีที่มาจากโลกเบื้องบน    เหตุผลนี้เองที่ทำให้เขายังคงติดอยู่กับสถานที่แห่งหนึ่งที่เคยทำให้เขาได้เจอกับเธอ    จนกระทั่งความบังเอิญที่ได้ถูกกำหนดให้ อดัม และ อีเด็น ได้พบกันอีกครั้ง    แต่ด้วยเพราะกฎเหล็กแห่งโลกอันพิศดารนี้ห้ามไม่ให้คนทั้งคู่ได้พบรักกัน   ข้อห้ามของแรงดึงดูดและกฎหมายอาจจะเป็นแค่เพียงกรวดหนามเล็กๆ ที่รอให้เขาก้าวข้ามผ่านมันไป อดัม จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาและเธอได้สมหวังในความรักครั้งนี้

                สุดท้ายความรักของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้บนโลกแสนประหลาดนี้หรือไม่?   พลังแห่งความรักจะสามารถทลายกฎทุกๆ อย่างแม้แต่กฎของจักรวาลได้หรือไม่??









« Last Edit: December 23, 2012, 05:11:56 PM by happy »

happy on November 25, 2012, 07:06:57 PM
บทสัมภาษณ์จิม สเตอร์เจส

Q:   จิม สเตอร์เจส บอกเราหน่อยสิว่าคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์นี้ได้ยังไง
A:   ผมมาเกี่ยวข้องได้ยังไงน่ะหรือ ก่อนอื่นเลย ผมได้รับบทหนังเรื่องนี้ ซึ่งผมก็อ่านมัน ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกอึ้งว่าหนังเรื่องนี้มันแปลกแค่ไหน ผมจำได้ว่าผมรู้สึกทำนองว่า ว้าว ผมหมายถึงมันเป็นไอเดียที่น่าตื่นเต้นก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง และสิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นก็คือผมตกลงที่จะพบกับฮวน ที่เป็นผู้กำกับ ตอนนั้นเอง นาทีแรกที่ผมได้พบกับฮวนที่ผมรู้ทันทีว่าผมอยากจะแสดงหนังเรื่องนี้และอยากจะทำงานร่วมกับเขา ผมคิดว่าเขาจะต้องสร้างโลกที่เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นที่ได้อยู่ในนั้น ดังนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ตอนที่ผมได้พบกับฮวน แล้วผมก็ได้พบกับเขาที่ลอนดอน เราพบกันในโรงแรม ผมจำได้ว่ามันเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสสวยงาม เขาผลุนผลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพื่อกอดผม แล้วเราก็ตัดสินใจว่า มันเป็นวันที่สวยงามเกินกว่าจะอยู่ในโรงแรม เราก็เลยไปผับตรงหัวมุม แล้วก็หาอะไรดื่มกัน เขาตื่นเต้นกับโปรเจ็กต์นี้มาก มันเหมือนงานที่เขารักหมดใจ เขาเล่าให้ผมฟังว่าไอเดียทั้งหมดเกิดจากความฝันของเขา เขาโชว์ไอเดียวิชวลต่างๆ ที่เขามีต่อเรื่องราวนี้ให้ผมดู ผมก็เลยเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้จริงๆ เพราะในกระดาษ มันเป็นโลกที่โดดเด่นเหลือเกินในความคิดของฮวน การแปลงความคิดนั้นลงบนกระดาษที่มีแต่คำพูดเลยเป็นเรื่องยาก แต่แน่นอนว่าแค่อ่านบทในตอนแรกผมก็รู้แล้วว่า มันจะต้องเป็นอะไรที่แปลกประหลาดและน่าตื่นเต้นแน่นอน
Q:   แล้วตอนนี้คุณก็เกือบปิดกล้องแล้ว…
A:   ใช่ครับ
Q:   อย่างน้อยก็ส่วนของคุณ คุณลองบอกเราหน่อยว่าฮวนพูดถึงหนังเรื่องนี้ว่ายังไง ด้วยคำพูดของตัวคุณเอง
มันเป็นเหมือนว่า สิ่งที่เจ๋งก็คือมันมีที่มาที่เจ๋งมากๆ มันเป็นเรื่องราวความรักที่คลาสสิกมากๆ เป็นความรักต้องห้าม เกี่ยวกับคนสองคนที่อยากจะอยู่คู่กัน ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ควรจะอยู่ด้วยกันหรือทุกอย่างขัดขวางพวกเขา มันเป็นมุมมองที่มีลักษณ์สำหรับเรื่องรักคลาสสิกแบบนั้น และในเรื่องราวรักดีๆ แบบนั้น มันก็จะมีอุปสรรคเสมอ ที่คนคู่นี้จะต้องดิ้นรนให้ได้อยู่คู่กัน ในเรื่องนี้ แรงดึงดูดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นอุปสรรคใหญ่ มันก็เลยเป็นเหมือนการรวมสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่าตื่นเต้นขึ้นมา การที่คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในแรงดึงดูดเดียวกัน ดังนั้น ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องรักที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่แปลกต่างและน่าตื่นเต้นมากๆ ครับ
Q:   ในเรื่องนี้ มีโลกสองใบที่แยกจากกัน ช่วยบอกถึงความแตกต่างระหว่างโลกทั้งสองใบหน่อยได้มั้ย
A:   มันมีโลกด้านใต้ กับโลกที่อยู่ด้านบน โลกที่อยู่ด้านล่างจะยากจนข้นแค้น เสื่อมโทรม เหมือนกำลังจะล่มสลาย ส่วนโลกด้านบนเป็นโลกเจริญแล้วที่ร่ำรวย สิ่งที่เชื่อมโลกทั้งสองใบนั้นคือบริษัทที่มีชื่อว่าทรานส์เวิลด์ ซึ่งปกครองทุกอย่าง มันเป็นเหมือนดวงตาที่มองเห็นทุกอย่างรับ บริษัทเป็นผู้ดูแลทุกอย่างบนโลกเบื้องบน ตัวละครของผมได้งานทำที่ทรานส์เวิลด์ เซ็นเตอร์ เพื่อขึ้นไปโลกด้านบน เพื่อตามหาหญิงในฝันของเขา ทรานส์เวิลด์ ทาวเวอร์เป็นสถานที่หนึ่งเดียวที่โลกทั้งสองมาบรรจกัน ที่ที่เราอยู่ทุกวันนี้นี่แหละครับคือฟลอร์ ซีโร ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่ซึ่งคนจากโลกด้านล่างและด้านบนได้ทำงานร่วมกันจริงๆ ครับ
Q:   ไอเดียของทรานส์เวิลด์และโลกสองใบที่คงอยู่ด้วยน้ำมันและไฟฟ้า มันฟังดูเหมือนมันมีลักษณะทางกายภาพ/การเมืองบางอย่าง...มีเรื่องของการเปรียบเทียบ...มันมีมุมมองอะไรบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องชัดเจนรึเปล่า
A:   ครับ แต่ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นเทพนิยายด้วยเหมือนกัน มันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันเหมือนเทพนิยายสมัยใหม่ที่แปลกประหลาด และผมคิดว่าในเทพนิยายที่มหัศจรรย์เหล่านั้น มันจะมีสิ่งเปรียบเทียบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น แต่มันไม่ได้บอกออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้รับมือกับเรื่องนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผมหมายถึงว่า มันมีประเด็นหลายๆ อย่างเช่นการมีทาส นโยบายแยกสีผิวและทุนนิยม..เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์ที่ร้อยเรียงอยู่ในหนังเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันถูกยัดเยียดเข้ามาให้คุณ ผมคิดว่าฮวนฉลาดมากที่หลอมรวมเรื่องต่างๆ แบบนั้นเข้าไปในเรื่องราวแฟนตาซีแบบนี้น่ะครับ
Q:   ตอนเป็นเด็ก คุณชื่นชอบเรื่องราวแฟนตาซี ตำนานและเทพนิยายรึเปล่า
A:   แน่นอนครับ อย่างเรื่อง James and the Giant Peach นั่นเป็นเรื่องที่ผมชอบนะครับ หรืออย่างหนังสือของโรอัลด์ ดัห์ลอะไรแบบนั้น ผมไม่เคยแสดงหนังแฟนตาซีจริงๆ จังๆ มาก่อน ผมก็เลยอยากจะแสดงซักเรื่องน่ะครับ ผมเคยแสดงหนังมาหลายเรื่องที่สร้างขึ้นจากความจริงอันโหดร้ายและเรื่องจริง มันเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ได้ปลดปล่อยจินตนาการของตัวเองให้บรรเจิด ผมสนุกกับการได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ที่เป็นแฟนตาซีเยี่ยมๆ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นหนังที่มีลุคที่ค่อนข้างน่าทึ่งและน่าตื่นเต้นที่ได้แสดงน่ะครับ
Q:   ช่วยพูดถึงตัวละครของคุณให้เราฟังหน่อยสิ
A:   ครับ ผมรับบท อดัม เคิร์ค ที่เป็นชายหนุ่มจากโลกด้านล่าง สมัยเด็ก เขาเคยขึ้นไปบนยอดบนสุดของสถานที่ที่เรียกว่า หุบเขานักปราชญ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดที่สูงที่สุดของโลกด้านล่าง ข้างบนนั้น เขาได้เจอกับเด็กสาวที่ชื่อ อีเดน เขาเป็นตัวละครที่ช่างสงสัย และเขาก็มีจิตใจอยากรู้อยากเห็น พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน นั่นเองที่พัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ พวกเขาได้พบกันสมัยเด็กและความสัมพันธ์นั้นก็พัฒนากลายเป็นความรักที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น เขาตามตื๊ออีเดนและพวกเขาก็ได้พบกันตลอดบนยอดเขานี้ ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาถูกพบ ตอนนั้นเองที่ปัญหาในเรื่องราวเริ่มต้นขึ้น เขาถูกจับได้ว่ามีความสัมพันธ์ต่างเผ่าพันธุ์กับเด็กสาวที่อยู่โลกด้านบน เขาก็เลยถูกขังนานเก้าปี ส่วนอีเดนก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ขณะที่ทั้งคู่ตกลงไปสู่แรงดึงดูดของพวกพวกเขา หัวเธอกระแทก ทำให้เธอความจำเสื่อม ดังนั้น เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่อดัมพยายามจะกลับไปสู่โลกด้านบนเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เด็กสาวคนนี้ ที่จำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร ว่าพวกเขาครั้งหนึ่งเคยตกหลุมรักกันและกันอย่างบ้าคลั่ง
Q:   พูดถึงเรื่องของสองคนนี้ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน...แรงดึงดูดนี้ท้าทายให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น คุณต้องใช้จินตนาการของตัวเอง...ตอนที่คุณอ่านบทเรื่องนี้ คุณจินตนาการมันออกมั้ย คุณได้ดูภาพวาดของอเล็กซ์รึเปล่า อะไรบอกคุณว่าหนังเรื่องนี้จะออกมามีลุคยังไง
A:   ครับ นั่นเป็นตอนที่ผมได้พบกับฮวนในลอนดอนอย่างที่ผมเคยบอกมาก่อน เขาหยิบคอมพิวเตอร์ออกมาและเขาก็โชว์ลุคทั้งหมดของเรื่องให้ผมดู และจริงๆ แล้ว จินตนาการผมก็ไม่ได้มีภาพพวกนั้นเลย มันดียิ่งกว่าสิ่งที่ผมคิดในตอนแรกเสียอีก...ผมตื่นเต้นจริงๆ ที่ฮวนได้...คือเรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ มันเป็นความเป็นไปได้คู่ขนาน เกี่ยวกับโลกสองใบที่คงอยู่เคียงข้างกันแบบนั้น สำหรับโลกเบื้องล่าง ภาพของเขาเหมือนกรุงซาราเยโว ที่ถูกเผาผลาญด้วยเพลิงสงครามหรืออะไรทำนองนั้น มันให้ความรู้สึกแบบนั้นครับ มันมีตึกที่ผุพัง มีรถเก่าสนิมเขรอะ คุณก็เลยไม่รู้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน มันอาจจะเป็นอนาคต หรืออาจเป็นอดีต มันอาจเป็นที่ไหนก็ได้ ตอนที่ฮวนโชว์ภาพวาดยอดเขาที่วิเศษสุดพวกนี้ ที่มีคนสองคนเกือบจะสัมผัสกันได้ มันน่าทึ่งทีเดียวล่ะครับ
Q:   การใช้โลเกชันและกรีนสกรีน รวมกับฉากต่างๆ มันช่วยคุณในการสวมบทตัวละครตัวนี้อย่างไรหรือมันช่วยกำหนดโทนให้กับอีกหลายๆ ฉากรึเปล่า
A:   ครับ...เราโชคดีมากๆ ที่เรามีผู้ออกแบบฉากที่เหลือเชื่อที่สุดอย่างอเล็กซ์ แม็คดูเวล ผู้สร้างฉากทั้งหมดนี้ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกใบนั้น....มากกว่าที่ผมเคยคิดซะอีก ผมคิดว่ามันจะมีการใช้กรีนสกรีนมากกว่านี้และก็ต้องใช้จินตนาการเสริมเอา ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีบ้าง แต่คุณก็จะได้แสดงกับฉากจำนวนหนึ่ง และก็มีกรีนสกรีนจำนวนหนึ่ง ที่อยู่รอบๆ ด้านนอกครับ มันเหมือนกับการแสดงละครเวที หรืออะไรทำนองนั้น คือมันจะไม่ได้มารบกวนใจคุณมากเกินไปนัก ตัวละครพวกนี้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างดี ดังนั้น ผมก็เลยค่อนข้างจะรู้ละเอียดแล้วว่าผมจะเล่นออกมายังไง แล้วส่วนเรื่องโทน...ด้วยความที่มันเป็นหนังสนุกและก็น่าจะเป็นหนังที่สนุกครับ มันรับมือกับประเด็นเหล่านี้ และมันก็มีความเป็นดรามาในบางตอน ตลกในบางตอนและเศร้าบาดใจในบางตอน มันก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องคิดกันในตอนที่เราไปมอนทรีอัล แต่มันก็เป็นสิ่งที่มาจากบทจริงๆ นะครับ
Q:   คุณมาถึงมอนทรีอัลตั้งแต่แรกๆ เลยนี่ คุณอยู่ที่นั่นก่อนที่การถ่ายทำจะเริ่มต้นเสียอีก
 A:   ผมมาที่นี่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่เราจะเริ่มต้นถ่ายทำ เพื่อฝึกฝนฉากบนลวดสลิง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรบ้าง แต่มันสนุกมากครับ มันเจ๋งเสมอเวลาที่คุณได้เล่นหนังที่คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่พิลึกพิลั่น ที่คุณจะไม่มีวันทำในชีวิตประจำวัน ดังนั้น การฝึกฉากบนลวดสลิงก็เลยเป็นเรื่องหนึ่งสำหรับผมในแง่นั้น แต่ใช่ครับ ผมต้องห้อยโหนอยู่กลางอากาศบ่อยๆ เลยล่ะ
Q:   เราอยากคุยถึงเรื่องนั้นอยู่พอดี ก่อนอื่นแล้ว แรงดึงดูดเข้ามามีบทบาทอะไรในเรื่องบ้าง หรือว่าแรงดึงดูด…
A:   มันมีบทบาทสำคัญมากครับ มันเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเรื่องด้วยครับ ผมพยายามจะนึกอยู่เสมอว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมอยู่ในที่ที่แรงดึงดูดผิดพลาด และผมทำแบบนี้…หรือถ้าวัตถุนี้มาจากโลกใบนี้ มันจะเป็นยังไง จะเคลื่อนไหวยังไง มันจะลอยขึ้นไปบนฟ้ารึเปล่า ผมหมายถึงสำหรับทั้งทีมงานและตัวผมเองด้วย เพราะตอนที่คุณแสดง คุณจะต้องคิดอยู่เสมอว่า คุณอยู่ในแรงดึงดูดแบบไหน ว่าเสื้อผ้าคุณจะเป็นยังไง อะไรทำนองนั้นน่ะครับ ตอนที่เราเข้าฉากกัน ผมก็จะพูดทำนองว่า เดี๋ยวนะ ผมสวมกางเกงของโลกด้านล่างอยู่ ผมควรจะยัดขากางเกงเข้าในถุงเท้าเพื่อที่…เรื่องพวกนั้นน่ะครับ คุณจะต้องคิดอยู่เสมอเพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะน่าเชื่อ ทุกอย่างจะถูกไตร่ตรองไว้เสร็จสรรพแล้วเผื่อว่าจะมีคนอยากมาท้าทายเราว่า “มันไม่ได้เกิดขึ้นซักหน่อย” น่ะครับ
Q:   อย่างลิสต์ของ IMDB
A:   ช่าย ลิสต์ของ IMDB ที่รวมสิ่งที่เป็นไปไม่ได้น่ะครับ
Q:   อะไรเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด แรงดึงดูด ลวดสลิง การห้อยหัว…
A:   อาจจะเป็นการที่ผมไม่ค่อยได้นอน แล้วต้องห้อยตัวบนลวดสลิงประมาณวันละสิบสองชั่วโมงน่ะครับ มันตลกดีนะครับ ตอนที่ผมอ่านบท มันดูเหมือนสนุกมากเลย และแน่นอนว่าผมก็ไม่ได้นึกถึงงานหนักที่ผมต้องทำเพื่อทำให้ความสนุกนั้นปรากฏบนหน้าจอหรอก ดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ น่าตื่นเต้น เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กลับเป็นหนึ่งในหนังที่ยากที่สุดที่ผมเคยแสดงมา มันต้องใช้เรี่ยวแรงมาก แต่ก็น่าตื่นเต้นสุดๆ ในขณะเดียวกัน แต่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นเหมือนเรื่องอื่นๆ หรอกนะครับ ผมนึกไม่ออกว่ามีอะไรที่ท้าทายเป็นพิเศษเลยในบรรดาฉากลวดสลิงที่เราทำ พวกเขาให้ผมกระโดดลงไปในสระน้ำตอนที่หิมะตกข้างนอก คือมันหนาวสุดๆ ไปเลย ผมยืนอยู่ในชุดที่เปียกโชก บนบอร์ดกระโดดน้ำที่สูงสิบเมตร แล้วต้องกระโดดลงไปในน้ำ แต่ผมก็มารู้ตัวว่าผมสนุกมากแค่ไหนเพราะผมนึกในใจว่า ผมคงไม่มีที่ไหนที่ผมอยากอยู่มากไปกว่าที่นี่ในตอนนี้อีกแล้ว ดังนั้น…
Q:   เราอยากถามคุณเกี่ยวกับเรื่องฉากผาดโผนหน่อย เราจะพูดถึงมัน แล้วขอให้คุณช่วยพูดถึงสิ่งแรกที่คุณคิดขึ้นมาได้
A:   ได้ครับ
Q:   อย่างแรกเลย การเรียนรู้ที่จะบินและลอยตัว
A:   การเรียนรู้ที่จะบินและลอยตัว สิ่งแรกที่ผมคิดขึ้นมาได้ คุณไม่อยากจะรู้หรอกครับ อัณฑะครับ คุณคงจะต้องตัดคำนั้นออกไป ครับ การเรียนรู้ที่จะบินและลอยตัว ต้องอาศัยความทุ่มเทมากครับ ตอนนี้ ผมนับถือทีมงานของหนังเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon มากๆ เลย เพราะในการทำแบบนั้น…ผมจะต้องลุกขึ้น นั่งลง หัน และหมุนไปรอบๆ ซึ่งนั่นก็ยากพอแล้ว มันเป็นอะไรที่ต้องแม่นยำมากๆ เช่นถ้าคุณใช้เท้าส่งตัวขึ้น ถ้าคุณใช้แรงมากเกินไป คุณก็อาจจะเซได้ ดังนั้น คุณก็ต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลร่างกายคุณหรืออะไรทำนองนั้นครับ
Q:   แล้วเรื่องของการห้อยหัวล่ะ
A:   มันยากเลยล่ะ ผมได้เข้าฉากกับทิม สปอล ผู้รับบท บ็อบ พอร์โตโทรวิช ในหนังเรื่องนี้ พวกเขาจับผมห้อยหัวจริงๆ ทำให้ผมที่นั่งอยู่บนเพดาน ดูเหมือนว่าผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ปกติ แต่จริงๆ แล้ว ผมกำลังห้อยหัว ซึ่งผมก็ต้องทำเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…ขณะที่เลือดค่อยๆ ไหลมาทางหัวผมและตาผมก็เริ่มจะปูดโปนออก ผมแสดงทั้งฉากอยู่บนนั้น และจริงๆ แล้ว พวกเขาได้หาสายรัดแบบนี้มาไว้ในห้องแต่งตัวผมด้วย เพื่อที่ผมจะได้ทดลองห้อยหัวระหว่างพักเที่ยงอะไรแบบนั้น ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่คุณอยากทำเวลาพักเที่ยงแหงอยู่แล้วล่ะ ผมก็เลยต้องเรียนรู้ที่จะห้อยหัวอยู่ได้นานๆ แต่ครั้งแรกที่ผมทำ ผมรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียนมาก ผมมึนไปหมดเลย
Q:   เราจำได้ว่าเคยถามคุณไปเมื่อครั้งที่แล้ว…
A:   ครับ…
Q:   …ว่าคุณจำเรื่องเกี่ยวกับการห้อยหัวได้บ้างรึเปล่า และคุณก็ตอบว่า ได้ ผมจำได้ว่าเมื่อคืนผมอาเจียนหมดท่าเลย
A:   ครับ ผมอาเจียนออกหมดไส้หมดพุง และปวดหัวอย่างที่ไม่เคยปวดมาตั้งนานแล้วน่ะครับ
Q:   เรายังมีคำถามเกี่ยวกับกรีนสกรีนอีกมาก แต่เราจะต้องไปกันต่อเรื่องอื่นแล้วล่ะ พูดถึงฮวนและเคิร์สเตนหน่อยสิ ใครก็ได้ที่คุณอยากพูดถึงก่อนน่ะ
A:   ได้ครับ
Q:   ประสบการณ์การร่วมงานกับทั้งคู่เป็นยังไงบ้าง
A:   การร่วมงานกับฮวน…เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากในทุกๆ ทางครับ เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนสุดโต่งด้วยล่ะ เพราะนี่เป็นการถ่ายทำที่ยาก ยากจริงๆ มันมีเรื่องเทคนิคมากและสำหรับเขา มันก็เป็นงานหนัก ที่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่าผมคงจะผ่านมันไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขาเป็นคนกำกับ การอยู่ใกล้เขาเป็นเรื่องสนุกมาก มันทำให้ผมหัวเราะทุกวันเลยครับ ทุกวันเลยจริงๆ ผมก็เลยมีแต่เรื่องดีๆ จะพูดถึงเขา เขาเป็นหนึ่งในคนที่โอบอ้อมอารีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา แล้วเขาก็เป็นคนที่น่าสนใจรอบด้านจริงๆ นอกเหนือจากการเป็นคนน่ารักแล้ว เขายังมีเรื่องราวความเป็นมาที่เหลือเชื่อ ที่พ่อเขากับครอบครัวเขาถูกเนรเทศจากอาร์เจนตินาและย้ายไปปารีสด้วย ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่พิเศษสุดจริงๆ ครับ
Q:   คุณคิดว่าการที่เขาทั้งเขียนบทเองและกำกับเอง…มันช่วยคุณในฐานะนักแสดงรึเปล่า
A:   ครับ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะผมสามารถเดินไปถามเขาได้เสมอ เพราะมันเป็นโลกของเขา เป็นจินตนาการของเขาและสิ่งที่เราพยายามจะสร้างขึ้นมาคือสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของเขา ดังนั้น ถ้ามีคำถามอะไรล่ะก็ เขาจะรู้คำตอบครับ มันมีวันหนึ่งที่กระทบใจมากๆ สำหรับเขา และผมก็รู้สึกทึ่งมากที่ได้เห็น วันหนึ่ง เรามาทำงานกันแล้วเขาก็บอกว่า จิม รู้มั้ย ผมรู้สึกอ่อนไหวมากในวันนี้ เพราะเราจะได้ถ่ายทำฉากที่เป็นความฝันที่ผมเห็น ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่อง คือเขาเห็นภาพของคนสองคนที่ยืนอยู่บนยอดเขา ที่อยู่คนละฟากฝั่ง และพยายามจะเอื้อมมือหากัน นั่นเป็นภาพฝันของเขาครับ ส่วนโลกใบนี้ หนังทั้งเรื่องถูกสร้างขึ้นต่อยอดจากภาพนั้น คุณก็เลยรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังทำงานให้เขาและคุณก็อยากทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งคุณก็จะทำทุกทางเท่าที่ทำได้เพื่อทำให้ความฝันนี้ของเขากลายเป็นจริง เพราะเขาเป็นคนน่ารักมากและด้วยความที่เขาเป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ คุณก็เลยอยากจะทำให้ความฝันนั้นเป็นจริงสำหรับเขา ผมรู้ว่าทีมงานหลายคนก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับผม
Q:   แล้วการร่วมงานกับเคิร์สเตนล่ะ
A:   เคิร์สเตนเหรอ…ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากในทุกทาง ทั้งการได้ร่วมงานกับฮวนและเคิร์สเตน เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์กับลวดสลิง เธอก็เลยเป็นคนที่เข้าใจว่าผมต้องเจออะไรบ้าง เธอก็แค่…เราได้พบกันในนิวยอร์กและผมก็จำได้ก่อนหน้านั้น…สองสามเดือนก่อนหน้าที่เราจะเริ่มถ่ายทำ ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเราจะต้องมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน มันจะมีกลุ่มคนที่น่ารัก คงไม่มีใครที่เหมาะกับบทอีเดนมากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอเป็นนักแสดงที่มหัศจรรย์และสนุกมากด้วย เราถูกมัดติดกับลวดสลิงด้วยกันครั้งหนึ่งหลายชั่วโมง ดังนั้น คุณก็ควรจะเข้ากับคนๆ นั้นให้ได้ โชคดีที่เราได้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันครับ
Q:   คุณพบว่าพวกคุณมีสไตล์การทำงานที่คล้ายคลึงกันรึเปล่า พวกคุณได้เรียนรู้จากกันและกันบ้างมั้ย
A:   ไม่รู้สินะครับ ผมหมายถึง ทุกคนก็มีสไตล์การทำงานในมุมมองของตัวเอง สำหรับหนังแบบนี้ มันสนุกตรงที่มันเป็นหนังสนุก และพอมันเป็นหนังสนุก คุณก็ควรจะมีมุมมองที่สนุก เพลิดเพลินกับมันเพราะนั่นคือสิ่งที่คุณพยายามจะสื่อสารออกไปสู่หน้าจอ ดังนั้น มันก็เลยไม่ใช่อะไรที่ตึงเครียดสุดๆ สำหรับพวกเรา ในแง่นั้นแล้ว มันก็สนุกดีครับ แล้วเคิร์สเตนก็เป็นคนสนุกด้วย ผมสนุกที่ได้อยู่กับเธอมาก…ส่วนฮวนก็ชอบใช้เวลาอยู่กับพวกเราเหมือนกัน ผมหวังว่าพลังงานและทัศนคติแบบนั้นจะปรากฏขึ้นบนหน้าจอด้วยนะครับ
Q:   งั้นมันก็มีความสัมพันธ์แบบครอบครัวในหนังเรื่องนี้ด้วยน่ะสิ
A:   ใช่ครับ แน่นอนเลย
Q:   เราขอกลับไปเรื่องกรีนสกรีนหน่อย สมัยก่อน คุณเคยแสดงฉากกรีนสกรีนมาเยอะรึเปล่า
A:   ไม่เลยครับ ผมเคยแสดงฉากหนึ่งมาในหนังเรื่อง Across the Universe ที่ผมจะต้องยืนอยู่ในกลุ่มคนแล้วโบกมือ ผมทำแค่นั้นเองจริงๆ ดังนั้น แม้ว่าตอนนั้นมันจะยาก แต่ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน และผมก็อยากจะลองทำดูครับ เพราะมันเป็นลักษณะการแสดงที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงและผมก็อยากจะลองและมีประสบการณ์กับทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จริงๆ แล้วผมอยากจะแสดงหนังที่มีสเปเชียล เอฟเฟ็กต์มากขึ้น ดังนั้น พอมีหนังแบบนี้เข้ามา สำหรับผมแล้ว มันก็เลยเป็นตัวเลือกที่เพอร์เฟ็กต์เลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีการสร้างวิชวลกับกรีนสกรีนที่มีเอกลักษณ์ล่ะมั้งครับ และผมก็คิดว่ามันเหมาะกับความนึกคิดของผมด้วย มันเหมาะกับการที่ผมอยากจะแสดงหนังสเปเชียล เอฟเฟ็กต์น่ะครับ
Q:   แล้วความท้าทายคืออะไรล่ะ ยกตัวอย่างเช่น พวกจุดสายตา เรารู้ว่าพวกคุณต้องใช้สมาธิกับเรื่องแบบนั้น ในระดับเทคนิคแล้ว กรีนสกรีนนำมาซึ่งความท้าทายที่ผมคิดว่าคุณคงไม่เคยคาดคิดมาก่อนแน่ๆ
A:   ครับ ในตอนที่คุณจ้องกำแพงสีเขียว ที่อยู่ห่างคุณหลายเมตร แล้วคุณต้องจินตนาการว่ามันมีภาพที่เหลือเชื่อปรากฏตรงหน้าคุณ...แล้วคุณก็เริ่มพูดกับ...เครื่องหมายกากบาทบนผนังหรือลูกเทนนิสที่แขวนอยู่ตรงนั้น เพราะเราจะใช้คนจริงๆ มาวัดระดับสายตาไม่ได้ เพราะคนๆ นั้นอยู่บนท้องฟ้าน่ะครับ ดังนั้น ในตอนที่พวกเขาเคลื่อนที่ คุณก็ต้องละสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ว่านั่นเป็นเขาที่นั่งอยู่ตรงลูกเทนนิส และพอเราไปถึงโต๊ะ เขาก็อยู่ตรงนั้น ดังนั้น คุณก็จะมีระดับสายตาห้าแบบสำหรับคนๆ เดียวระหว่างที่พวกเขาเดินไปมารอบห้อง แล้วบางทีมันก็จะซับซ้อนขึ้นมา มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแสดงกรีนสกรีนและมองหน้าคนๆหนึ่งระหว่างที่มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นด้านหลังคุณ แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครมาแสดงตอบโต้กับคุณน่ะครับ
Q:   แล้วการร่วมงานกับเดฟ ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ล่ะ เขาน่าจะเข้มงวดกับคุณทีเดียว
A:   ใช่ครับ ทีมสตันท์วิเศษสุดมาก พวกเขาวิเศษสุดจริงๆ ไทเลอร์และเดฟใจดีกับผมมาก พวกเขาให้กำลังใจผม คอยช่วยผมให้ผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดีและเข้ากันได้ง่ายล่ะก็ มันก็จะเป็นประสบการณ์อีกแบบไปเลย มันมีเรื่องที่สนุกจริงๆ และก็มีบางเรื่องที่ยากขึ้นหน่อยสำหรับผม พวกเขาคอยให้กำลังใจผมมากเลย ซึ่งผมก็ชอบเรื่องพวกนั้นนะ ผมเป็นคนแรกที่อยากจะลองแสดงมันดูครับ
Q:   คุณเลือกที่จะแสดงฉากผาดโผนพวกนั้นด้วยตัวเองใช่มั้ย
A:   ครับ ผมอยากแสดงฉากพวกนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แน่นอนว่ามันมีบางอย่างที่ผมทำไม่ได้ เพราะถ้าผมทำนิ้วหัวแม่เท้าหักหรือทำคอตัวเองหัก แบบบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น หรือเล็บหัก ไม่รู้สินะครับ หนังก็อาจจะเดินหน้าต่อไม่ได้ ผมก็เลยแสดง...ผมก็เลยแสดงทุกฉากที่ผมได้รับอนุญาตให้แสดงครับ
Q:   สระว่ายน้ำนั่น ที่มีการใช้กิมเบิล ช่วยพูดถึงมันหน่อยได้มั้ย
A:   กิมเบิลเหรอครับ เรายังไม่ได้ถ่ายทำฉากนั้นเลย คือเราเลื่อนมันไปจนถึงช่วงสุดท้าย ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะ มันอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงขึ้นได้ แล้วเราก็ต้องประกาศว่า เอาล่ะ จบกันแล้ว ทุกคนกลับบ้านได้ น่ะครับ
Q:   แล้วสตันท์ ดับเบิลล่ะ
A:   ครับ กิมเบิลจริงๆ แล้วเป็นห้องที่ตั้งอยู่ตรงกลางวงล้อขนาดใหญ่ ตัวห้องเองจะหมุนสามร้อยหกสิบองศา พร้อมกับทุกอย่างที่อยู่ด้านใน กล้องจะขยับไปกับห้องด้วย ดังนนั้น คุณก็บอกไม่ได้หรอกครับว่าห้องกำลังขยับ แต่คุณจะเห็นได้ว่าของที่อยู่ข้างในนั้น เช่นตัวผม จะกระแทกกับกำแพงและห้อยหัวลง มันก็เลยเป็นฉากที่แสดงได้ยากครับ อย่างที่ผมบอก เราจะถ่ายทำฉากนั้นในช่วงท้ายๆ ของเรื่อง ในกรณีที่ผมได้รับบาดเจ็บ อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะสามารถปิดกล้องได้น่ะครับ
Q:   มีแผนการที่ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนในการเนรมิตวิสัยทัศน์ของฮวนให้โลดแล่นบนหน้าจอ
A:   ใช่ครับ
Q:   คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้สไตล์การกำกับของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นเหลือเกิน
A:   ผมคิดว่าน่าจะเป็นการที่เขาคิดทุกอย่างไว้ในหัวอยู่แล้ว เขาเหมือนเด็กตัวโตและผมก็มั่นใจว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ยอมรับเรื่องนั้น เขามีจินตนาการบรรเจิดและนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นและสิ่งที่จะออกมาบนแผ่นฟิล์มด้วย คุณจะไว้ใจจริงๆ ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างอื่นนอกเหนือจากสิ่งที่เขาได้ฝันถึง ดังนั้น การได้รับการรับรองแบบนั้น...แล้วเขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากด้วย อย่างที่ผมบอกครับ เขาเป็นคนสุดโต่ง คุณก็เลยจะรู้เลยว่าเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าเขาจะได้มันมาตามแบบที่เขาวาดภาพเอาไว้แต่แรกครับ
Q:   การตัดสินใจเลือกภาพยนตร์ที่ผ่านมาของคุณ ตั้งแต่ Fifty Dead Men Walking มาจนถึง Across the Universe หรือ The Way Back มันไม่ใช่หนังฮอลลีวูดทั่วๆ ไปเลย แต่ทุกเรื่องจะมีคุณสมบัติบางอย่างที่คล้ายๆ กัน เราเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่อะไรล่ะที่ทำให้คุณสนใจหนังพวกนี้ อะไรเป็นจุดขายสำคัญสำหรับคุณ
A:   มันเป็นหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาที่แตกต่างกันครับ มันไม่ได้มีส่วนประกอบอะไรเป็นพิเศษที่ผมมองหาในตอนที่เลือกโปรเจ็กต์ ผมคิดว่าหลังจากที่คุณเสร็จจากโปรเจ็กต์นั้นๆ คุณจะไม่อยากทำอะไรที่คล้ายๆ เดิม คุณก็เลยพยายามหาสิ่งใหม่ๆ หรือน่าสนใจ หรือโปรเจ็กต์ที่มีผู้กำกับเป็นคนที่คุณอยากร่วมงานด้วย มันมีปัจจัยมากมายขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงตอนไหนในชีวิตของคุณครับ ผมก็มีพื้นฐานว่าอะไรที่ผมชอบ อะไรที่ไม่ชอบ และอะไรที่น่าสนใจ ดังนั้น การพยายามหาสิ่งใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องสนุกเสมอครับ ผมคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันเล็กน้อย หรือความท้าทายในการสวมบทนั้นๆ หรือมีอะไรที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับบทบาทของคุณ หรือมันอาจจะเหมือนอย่างเรื่องนี้ ที่เป็นประสบการณ์วิชวลทั้งหมดที่คุณอยากมีส่วนร่วมด้วย ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้จริงๆ มันเป็นอะไรที่เกิดจากจิตใต้สำนึกครับ ผมไม่ได้มีสูตรหรือส่วนประกอบของสิ่งที่ผมเลือกหรอกครับ มันก็แค่เกิดขึ้นในเวลาที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง
Q:   มันคือสัญชาตญาณน่ะสิ
A:   ครับ ผมก็ว่างั้น ผมโชคดีมาก นี่เป็นโปรเจ็กต์อินดีที่มีความคิดอ่านแบบอินดี แต่มีสเกลแบบหนังสตูดิโอใหญ่ หรืออะไรแบบนั้น ผมหมายถึงมันน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้เห็นว่าคนพวกนี้สามารถ...ว่าเราทุกคนสามารถสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้สำเร็จครับ
Q:   คุณอยากให้ผู้ชมกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกยังไงหลังจากที่พวกเขาได้ดูหนังเรื่องนี้
A:   ผมอยากให้พวกเขารู้สึกเพลิดเพลินในแบบที่หนังดีๆ จะเป็น คือหนังดีๆ ควรจะมีทั้งคอเมดี มีเรื่องเศร้า มีดรามา แล้วก็มีความแปลกประหลาด ไม่เหมือนใคร ผมคิดว่าหนังดีๆ น่าจะเติมเต็มสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด คุณจะได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ มีทั้งฉากดรามา มีซีเควนซ์แอ็กชัน แต่ก็ไม่ใช่หนังแอ็กชันฟอร์มใหญ่ แต่แล้วมันก็เข้าสำรวจตัวละครเหล่านี้อย่างสนิทชิดเชื้อ ดังนั้น มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คุ้มกับการดูสองชั่วโมงและคุ้มกับเงินที่คุณจ่ายไปเพื่อจะได้รับความบันเทิงในโรงหนัง คุณจะได้ทั้งหมดนั่นในหนังเรื่องนี้แน่นอนครับ