บทสัมภาษณ์: “ลิฟท์” สุพจน์ จันทร์เจริญ รับบทเป็น “พี่เป๊ก”ในภาพยนตร์เรื่อง Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ
คาแรกเตอร์ที่มารับบทในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ในเรื่องนี้ผมก็มารับบทเป็น “พี่เป็ก” ก็จะเป็นผู้ชายที่อบอุ่น เป็นคนเชียงใหม่เกิดที่นี่ เรียนที่นี่ ทำงานมีครอบครัวก็ที่นี่ เขาก็ยังมีเพื่อนมีชีวิตที่ผูกพันกับที่บ้านเกิดมาตลอด ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยอะไร ก็ออกจะบ้านๆ พอใจกับที่ๆ ตัวเองอยู่ ไม่ได้คิดดิ้นรนอะไรในชีวิตมากมาย
แล้วก็ช่วงสมัยวัยเรียนเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่น้องๆ สาวๆ ชอบ พี่เป็กเป็นแฟนเก่าของนางเอกที่ชื่อว่า “ปรียา” ที่เล่นโดยน้องนุ่น (ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ในเรื่อง ตอนเรียนคบกันเป็นแฟนแต่พอดีว่านางเอกจะย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เราก็เลยห่างๆ กันไป และก็ได้กลับมาเจอกันอีกทีในงานเลี้ยงสละโสดของปรียา แต่ตัวพี่เป็กเองเป็นคนที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ กลับมาเจอกันคราวนี้อีกครั้งพี่เป็กก็ไม่ได้มีใคร เรื่องราวและความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมันก็หวนกลับมา ก็เลยกลายเป็นจุดพลิกที่ทำให้เกิดความรู้สึกสับสน เกิดเรื่องราวต่างๆ ในเรื่องนี้ขึ้น
ทำไมถึงรับเล่นเรื่องนี้ มีแรงจูงใจอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม
จริงๆ ตอนแรกก็ได้รับการติดต่อว่าจะมีหนังเรื่อง Home กำลังหาคนมาแสดง แต่เขาก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจน ทางทีมงานมะเดี่ยวก็ลองส่งบทมาให้ลองอ่านดู แต่พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่าโทนมันอบอุ่นดี มันดูเป็นหนังที่ยิ้มๆ ในเรื่องของความเป็นไปของตัวละครแต่ละคนจะมีที่ไปที่มาแตกต่างกัน แต่พอบทสรุปแล้วผมรู้สึกว่าใครได้ดูแล้ว ผมว่าน่าจะออกมาเดินยิ้มกันทุกคน แค่บทที่อ่านก็พร้อมเล่นเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเลย
นี่ถือเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ร่วมงานกับมะเดี่ยว?
เป็นครั้งแรกครับที่ได้ร่วมงานกัน แต่กับตัวมะเดี่ยวก็เคยรู้จักกันมาบ้าง เพราะว่าเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน แล้วก็เผอิญว่าได้ไปเจอกันตามงานต่างๆ ได้พูดคุยกันมาเรื่อยๆ จนได้มาร่วมงานกับมะเดี่ยวครั้งแรก รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับที่น่ารักดี เป็นกันเองกับนักแสดง ไม่เครียดเท่าไร จะเครียดในเรื่องโปรดักชั่น แต่เขาจะพยายามไม่ทำให้บรรยากาศเสียลง เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือและวางตัวอยู่ในวงการที่ดี เขาจะมีเรื่องให้ขำตลอด จะแซวจะเล่นอย่างที่ไม่ทำให้งานเสีย ถึงเวลาทำงานก็งานจริง ดีครับอยากเห็นคนทำงานรุ่นใหม่เป็นแบบนี้
เรื่องนี้มะเดี่ยวแอบแซวว่าได้คนยุคเดียวกันมาเล่นประกบกัน กับเจมส์ร่วมงานกันครั้งนี้เป็นยังไง
จริงๆ ก็ดีใจที่ได้เล่นกับเจมส์ด้วย แต่พอมาเล่นจริงๆ ไม่ได้เข้าฉากด้วยกันเลย เป็นคนละพาร์ทมากกว่า คือเราจะเห็นเขาตลอด รู้แค่ว่าคนนี้คือเจ้าบ่าวของงานแต่งที่เราต้องไปทำงาน และเป็นคนที่จะมาแต่งงานกับแฟนเก่าเรา ในเรื่องจะมีเจอกันอยู่ไม่เยอะ แต่เราจะได้เจอกันระหว่างถ่ายทำ แต่ก็ดีครับนานๆได้กลับมาร่วมงานกันครั้งหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้ร่วมฉากกันเยอะแยะก็แล้วแต่ แต่ก็อยู่ในเรื่องเดียวกันก็โอเค ได้เจอเพื่อนได้เจอบรรยากาศกันทำงานด้วยกัน สนุกดีครับ
ร่วมงานกับนุ่นละเป็นยังไง
ผมกับนุ่นเคยร่วมงานมาแล้วครั้งหนึ่งครับ ตอนนั้นไปเล่นละคร ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเล่นหนัง นุ่นเป็นนักแสดงคนหนึ่งที่มีฝีมือดี ดูจากความตั้งใจของเขา ดูจากการแสดงของเขา จากการร่วมงาน จากการร่วมซีนที่แบบหนักๆ เขาก็โอเค เขามีสมาธิสูงดี เขาจะไม่ปล่อยเวลาว่างให้หายไปอย่างไม่มีจุดหมายเขาจะทวนบทตลอดเวลา จะนั่งเดินวนเวียนอยู่ตรงนั้นเพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดให้ได้ นุ่นเขาก็เป็นอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้ว จะเห็นความเอาใจใส่ทุ่มเทกับชิ้นงานของเขาอย่างดี เป็นนางเอก หรือเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ อนาคตรุ่งอีกคนนึงที่ต้องจับตามองเลยทีเดียว
แล้วกับน้องพิช ได้ร่วมฉากกันบ้างไหม
กับน้องพิชก็จะเจอกันแค่ฉากสองฉากเอง ในเรื่องนี้ส่วนมากจะเข้ากับนุ่นมากกว่า พาร์ทของพี่เป็กเองก็จะเน้นไปในเรื่องของความรู้สึกในอดีตระหว่างปรียากับพี่เป็ก ความเกี่ยวข้องกับคนอื่นก็ค่อนข้างที่จะน้อยกว่า แต่กับน้องพิชนี่ดีครับ เคยติดตามผลงานน้องมาจากรักแห่งสยามแล้ว ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร พอได้มาเจอกันในเรื่องนี้ก็อ๋อ น้องคนนี้น่ะเอง เป็นเด็กที่นิสัยน่ารักมากครับ เขาจะไม่ไปไหนจะอยู่กับกองถือบทอ่านบท ใช้เวลาทำความเข้าใจกับงานอยู่ตลอดเวลาคนนึงเหมือนกัน มีความขยันและเอาใจใส่กับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ ดีครับ
มาเล่นเรื่องนี้มีความประทับใจอะไรบ้างไหม
สำหรับเรื่องนี้ผมว่า...คืออย่างที่บอกโทนมันอบอุ่น แล้วพอเราอ่านบทครั้งแรก ขนาดเราเป็นคนอ่าน เรายังคิดไปตามบท เหมือนกับว่าพอเราได้อ่านได้ดูมันจะสนุกไปกับบท เราได้เดาตั้งแต่แรกๆ ว่าเอ๊ะ! เหตุการณ์มันจะเป็นยังไงต่อไป มันไม่ใช่เปิดมาแล้วเรื่องราวทุกอย่างเฉลยหมดเลย อันนี้คือเปิดมาปุ๊ปมันมีอะไรที่ทำให้คนดูได้คิดตาม ได้คิดไปเอง ได้เดาไปเอง ผมว่าคนดูมีส่วนร่วม สำหรับเรื่องนี้ถ้าได้ดู
ส่วนความประทับใจในรายละเอียดต่างๆ ของเรื่องมันบอกยาก อย่างที่บอกเรื่องราวมันกระชับความประทับใจมันเลยอยู่ไปในทุกๆ ส่วนที่เราสัมผัสกับมัน ซึ่งนั่นก็เกือบทั้งหมดของเรื่องนี้เลย เลยไม่มีอันไหนที่เป็นพิเศษทุกฉากทุกซีนพิเศษหมดสำหรับผม เรื่องราวมันทำให้เราเกิดความประทับใจ ตัวละครแต่ละตัวเองก็ด้วย ซึ่งนักแสดงแต่ละคนที่มะเดี่ยวคัดมาเล่นเรื่องนี้ผมว่ามันเติมเต็มแล้ว ทุกคนได้มาเจอกันได้มาร่วมฉากเดียวกัน ได้เล่นต่อบทต่ออารมณ์ด้วยกันผมว่านี่คือทั้งหมดที่เราประทับใจ
ส่วนของพี่ลิฟท์มีความทรงจำดีๆ อะไรที่อยากจะพูดถึงบ้างไหม
ของผมน่าจะเป็นทุกๆ ช่วงในชีวิตนะครับ ชีวิตของเราชีวิตหนึ่งมันก็มันมีทั้งความสุข ความทุกข์ แต่ส่วนมากเราอยากจะเลือกจำส่วนที่ดีๆ มากกว่า ตั้งแต่เด็กก็มีประสบการณ์ในเรื่องของชีวิตวัยเด็ก นั่งนึกย้อนกลับไปก็ยังมีความสุข แค่ได้นั่งนึกว่าเมื่อก่อนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พอเริ่มโตมาในช่วงวัยทำงาน ช่วงออกอัลบั้มออกเทป พอเราได้นั่งนึกย้อนกลับไปมันก็มีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง มันคือเรื่องของการทำงาน คือเรื่องของการได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เจอเพื่อนๆ ได้เจออาชีพที่เรารู้สึกว่าพอเราได้สัมผัสแล้วมันมีความสุขดี พอเราได้ทำงานแล้วมีความสุข ผมว่าทุกคนคงจะมีในเรื่องนี้ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกจำในสิ่งไหน บ้างคนก็ชอบจำในสิ่งที่เป็นเรื่องช้ำใจก็มี บ้างคนก็มัวแต่นั่งนึกว่าเคยอกหักยังไง เคยช้ำใจยังไงก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่สำหรับผมทุกครั้งที่นึกถึงตอนทำอัลบั้มในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในวงการแล้วมันคือความประทับใจ คือความทรงจำดีๆ ที่เราคิดถึงทุกครั้งก็มีความสุขในทุกครั้ง
ความรัก ความอบอุ่นที่เราสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้ ทำให้เรามีมุมมองเกี่ยวกับความรักยังไงบ้าง
ความรักของผมเปลี่ยนไปตลอด ตอนเด็กๆ จะคิดว่าทุกอย่างเป็นสีชมพูหมดเลย เคยเข้าข้างตัวเองว่าใครที่ได้มาเป็นแฟนผมนี่โชคดีมาก (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ เรารู้สึกแบบนั้น แต่พอเราโตมาค่อยๆ มาเป็นวัยรุ่น ความรักมันก็เริ่มเปลี่ยนไป มันก็ต้องมีเพื่อนเข้ามา ต้องมีความรัก ความเห็นแก่ตัว ความเจ้าชู้ ทุกๆอย่างมันเข้ามาหมด เพราะฉะนั้นนิยามความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับของผมก็คงเปลี่ยนไปตลอด แต่ตอนนี้นิยามความรักของผมกลายเป็นเรื่องของครอบครัวไปแล้ว ครอบครัวของผมถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ความรักก็คือการทำให้คนที่อยู่รอบข้างเรามีความสุข มีความอบอุ่น แล้วก็ทำให้ลูกเติบโตได้อย่างเข้มแข็งแล้วก็มีความอบอุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความหมายของคำว่าบ้านหรือ Home ในที่นี้ พี่ลิฟท์ให้คำจำกัดความมันว่ายังไง
ผมเคยชอบคำพูดของคนๆ หนึ่ง เขาเคยสอนผมว่า จำไว้นะทำงานได้ปุ๊ปอย่าไปซื้ออย่างอื่น ซื้อบ้านไว้ก่อน ซื้อบ้านเงินสดนะอย่าซื้อเงินผ่อน เมื่อก่อนมีคนสอนผมแบบนี้ เขาบอกว่ายังไงก็แล้วแต่ไม่ว่าคุณจะออกไปนอกบ้านจะเหนื่อยขนาดไหน ไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีคนรักแต่ทุกครั้งที่คุณกลับมาบ้านของคุณ นี่คือที่ของคุณแหละ มันเป็นที่ๆ มีความสุข ที่ๆ ไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้อยู่แล้ว สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งเราเป็นคนไทยมั้งครับ บ้านจึงเป็นครอบครัวใหญ่ผมรู้สึกอย่างนั้น พอมีปู่ ยา ตา ยาย อยู่ด้วย มีเรา มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน ผมรู้สึกว่ามันอบอุ่นดี ความสมบูรณ์ของคำว่าบ้านมันคือที่ๆ เราอยู่แล้วเกิดความสบายใจ อบอุ่น มันโอบล้อมเราเอาไว้ให้เราได้พักพิง ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงก็ตามจะเหนื่อย จะท้อ จะหมดแรง จะตื่นเต้นดีใจ หรือมีความสุขขนาดไหน เราจะอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดแล้วครับ
หลังจากเรื่องนี้ไปเราจะได้เห็นผลงานของพี่ลิฟท์หรือเปล่า?
ตอนนี้ก็มีละครเรื่อยๆ แต่หนังนี้นานมากที่ไม่ได้เล่น น่าจะ7-8 ปีได้ พอเราได้กลับมาเล่นหนังอีกครั้งหนึ่งมันก็รู้สึกดีครับ ได้ย้อนความรู้สึกไปสมัยก่อนๆ มันก็โอเคแฮปปี้ดี เรื่องสุดท้ายคือ เรื่องก็เคยสัญญา นานอยู่นะเรื่องนั้น จนมาถึงเรื่องนี้ ยังไงผมคิดว่าคงจะได้เห็นผมกันไปอีกนานนะครับกับวงการนี้ (หัวเราะ)
คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้?
เรื่องHome ความรัก ความสุข ความทรงจำ มันก็เหมือนเป็นกระจกสะท้อนให้คนดูมากกว่า ในเรื่องของความคิด ในบางเรื่องเราอาจจะไปคิดแทนคนอื่นไม่ได้ เราจะไปอ่านความคิดของคนอื่นไม่ได้ บางครั้งถึงแม้ว่าความคิดของเราก็ตาม บางครั้งเราคิดไปก็ไม่ใช่ว่าจะถูกเสมอ บางครั้งก็มีทั้งถูกและผิด เพราะฉะนั้นคนที่ดูเรื่องนี้น่าจะเป็นแง่คิดให้เขามากกว่า อย่างน้อยคุณได้อยู่กับตัวเองแต่ก็ไม่ใช่ว่าความคิดของคุณจะถูกเสมอไป เพราะฉะนั้นคุณอยู่ในสังคมกว้างๆแบบนี้ ก็น่าจะฟังความคิดเห็นคนรอบข้างด้วย ไม่ใช่คิดไปเองตลอด
ผมว่าภาพยนตร์มันมีจุดที่ทำให้คนได้หยุดมองอะไรรอบตัวได้บ้าง อาจจะไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาให้กับชีวิตใครได้อย่างแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ก็สามารถที่จะใช้ความรู้สึกจากภาพยนตร์ไปปรับใช้กับความรู้สึกของตัวเอง กับคนรอบข้าง กับคนที่เรารัก กับคนที่เราอาจจะหลงลืมไปว่าสำคัญกับเราแค่ไหน ผมว่าอย่างน้อยๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็บรรเทาให้ใจเราได้ถอยออกมาสักก้าวหนึ่งเพื่อที่จะได้ดูตัวเอง ดูและปรับปรุงแก้ไขก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป
สุดท้ายอยากฝากอะไรกับแฟนๆ ที่กำลังรอชมผลงานของลิฟท์บ้าง
ผมว่าเป็นหนังที่อบอุ่น ดูแล้วก็ยิ้มๆ ให้กำลังใจกับคนที่มีความรัก ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าออกมาแล้วทุกคนจะชอบครับ ทุกคนตั้งใจและพยายามจะสื่อความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อที่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวนี้สมบูรณ์ที่สุด ทุกคนตั้งใจตั้งแต่เริ่มอ่านบทกันทั้งนั้น ผมอยากให้ความตั้งใจเหล่านี้ส่งผ่านไปถึงผู้ชมที่เข้ามาชมทุกท่าน ให้เกิดความรู้สึกดีๆ เพราะเมื่อทุกอย่างที่ดีๆ เริ่มจากตัวเรา มันก็จะแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ด้วย อยากให้ทุกคนชมภาพยนตร์ให้สนุกครับ อย่าไปเครียดกับอะไรๆ ปล่อยวางหายใจลึกๆ ก่อนเข้าไปชมภาพยนตร์กันครับ