FB on August 16, 2011, 07:23:13 PM
“รัดเกล้า” พิสูจน์ฝีมือการแสดงครั้งแรก เล่น-รำ-ล้ำ-ลึก จัดเต็มบท “คนทรง” ใน “อุโมงค์ผาเมือง”
 


          หนึ่งใน “ดีว่า” (DIVA) นักร้องเสียงทรงพลังแห่งวงการเพลงไทย “รัดเกล้า อามระดิษ” ได้พิสูจน์ความสามารถทางการแสดงอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกกับบท “คนทรง” ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “อุโมงค์ผาเมือง” ที่เธอทุ่มเทอย่างสุดฝีมือทั้งแสดงทั้งร่ายรำอย่างสุดยอดเลยทีเดียว รัดเกล้าเผยถึงการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า

          “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการทาบทามให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้จากหม่อมน้อย ยิ่งได้ทราบว่าในบท ‘คนทรง’ นี้ ต้องใช้ศิลปะการร่ายรำร่วมสมัยในการถ่ายทอดอารมณ์ และความรู้สึกของวิญญาณขุนศึกเจ้าหล้าฟ้าผู้ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งรับบทโดย ‘อนันดา เอเวอริงแฮม’ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นบทที่ท้าทายความสามารถ คนทรงในเรื่องนี้จะมีพิธีกรรมของทางเหนือ ซึ่งจะไม่เหมือนที่เคยเห็นทั่วไปว่าจะต้องตัวสั่นๆ แต่คนทรงทางเหนือจะต้องมีการจับผ้า โหนผ้า ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่แตกต่าง และต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ฝึกซ้อมก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ คนทรงคนนี้เวลาที่ถ่ายทอดเรื่องราวออกไป เราไม่ได้แค่พูดธรรมดา แต่เราจะร่ายรำไปกับคำพูดที่เราเล่าด้วย เพราะฉะนั้นท่าทุกท่าจะต้องถูกออกแบบมาก่อน ให้สอดคล้องกับบทพูดที่คนทรงจะต้องพูด ก็ได้หม่อมน้อยช่วยสอน และออกแบบท่าให้ทั้งหมด ซึ่งตรงจุดนี้ส่วนตัวคิดว่าเป็นการท้าทายมากๆ เพราะนอกจากที่เราจะต้องจำบทพูดตามพื้นฐานของนักแสดงทั่วไปแล้ว เราก็ยังจะต้องจำให้ได้ว่าท่าคืออะไร และจะต้องทำออกมาจากวิญญาณความรู้สึกของผู้ที่ถูกฆาตกรรม แล้วเข้ามาสวมอยู่กับวิญญาณของเราจริงๆ ก็โชคดีที่มีโอกาสได้ฝึกซ้อมกับอนันดาและหม่อมน้อยนานกว่า 2 เดือนก่อนการถ่ายทำจนมันกลมกลืนเป็นองค์หนึ่งของตัวเราเลย การแสดงจริงๆ จึงออกมาอย่างราบรื่นและเป็นไปตามความต้องการของผู้กำกับ รวมถึงไม่เสียเวลาในการถ่ายทำด้วยค่ะ”

          เตรียมพิสูจน์ฝีมือทางการแสดงภาพยนตร์เต็มตัวครั้งแรกของ “รัดเกล้า อามระดิษ” ใน “อุโมงค์ผาเมือง” พร้อมเข้าฉาย 8 ก.ย. นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on August 16, 2011, 07:24:31 PM
MOVIE GUIDE: อุโมงค์ผาเมือง

          ตัวอย่าง “อุโมงค์ผาเมือง”

          จากสุดยอดบทละครเวทีเรื่อง “ราโชมอน” (ประตูผี) ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” สู่ภาพยนตร์สุดตระการตาเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” โดย “ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”

          ฉลองครบรอบ “100 ปีชาตกาล พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช”  “40 ปีบริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” และ “101 ปี ผู้กำกับชั้นเซียน อากิระ คุโรซาวา”

          ประชันบทบาทสุดเข้มข้นของทีมนักแสดงชั้นนำ มาริโอ้ เมาเร่อ / อนันดา เอเวอริงแฮม / เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง / เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา / ดอม เหตระกูล ศักราช ฤกษ์ธำรงค์ / รัดเกล้า อามระดิษ และนักแสดงสมทบอีกคับคั่ง

          ร่วมค้นหาความจริงของมหาฆาตกามคดีแห่งโจรป่า นางบาป และขุนศึก
          8 กันยายน 2554           
          ทุกโรงภาพยนตร์
 
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=eQCxwue0Mo4" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=eQCxwue0Mo4</a>

FB on August 18, 2011, 12:52:34 PM
"ดอม สุดปลื้มร่วมงาน หม่อมน้อย ทุ่มเต็มที่ ใน อุโมงค์ผาเมือง"





          “ถ้าต่อยมวยกับคนไม่เก่ง เราก็จะไม่เก่ง” “ดอม เหตระกูล” สุดปลื้ม
          ร่วมงาน “หนังหม่อมน้อย” ครั้งแรก ทุ่มเต็มที่ใน “อุโมงค์ผาเมือง”
 
           ห่างหายจากการแสดงภาพยนตร์แบบเต็มตัวไปนานพอสมควร ล่าสุดนักแสดงหนุ่มฝีมือดีอีกคนของวงการบันเทิง “ดอม เหตระกูล” ก็รู้สึกปลาบปลื้มเมื่อมีโอกาสได้มาร่วมงานกับผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” เป็นครั้งแรก ก็ทุ่มเทการแสดงอย่างเต็มที่สุดฝีมือเพราะเขาถือคติว่า “ถ้าต่อยมวยกับคนไม่เก่ง ตัวเราเองก็จะไม่เก่งไปด้วย”

          “สำหรับ ‘อุโมงค์ผาเมือง’ ผมรับบทเป็น ‘โจรป่าสิงห์คำ’ ครับ โจรร้ายที่ต้องคดีปริศนาฆ่าขุนศึกและข่มขืนแม่หญิง แต่ความจริงก็ยากจะพิสูจน์เพราะต่างคนต่างก็ให้การไม่ตรงกันเลยซักคน ซึ่งการแสดงออกของตัวละครตัวนี้เป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดิบเถื่อนเพราะอาศัยอยู่แต่ในป่า เป็นคนที่พูดจาค่อนข้างโผงผาง การแสดงนี้ถึงแม้ว่าเล่นบทที่ตรงไปตรงมาแต่ขั้นตอนทางการแสดงก็ค่อนข้างซับซ้อนกว่านั้นเยอะ
 
          ต้องยอมรับว่าผมอยู่ในวงการนี้มานาน แต่เพิ่งมีโอกาสได้ทำงานกับหม่อมน้อยเป็นครั้งแรก หม่อมน้อยและทีมงานจะมีความเป็นมืออาชีพมาก จะมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแสดงที่จะต้องซ้อมอย่างจริงจังก่อนการถ่ายทำอยู่เป็นเดือนๆ เพื่อให้เราเข้าใจในคาแร็คเตอร์ตัวนี้จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก โอกาสนี้ถือว่าหาได้ยากมากกับนักแสดงคนหนึ่งอย่างผม ถ้าต่อยมวยต่อยกับคนไม่เก่งเราก็จะไม่เก่ง การทำงานแบบนี้มันช่วยให้เราพัฒนาตัวเองในหลายๆ รูปแบบ ซึ่งหม่อมจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดทุกๆ อย่าง ไปจนถึงทีมนักแสดงและทีมงานทุกๆ ฝ่ายที่ทุ่มเทการทำงานและการแสดงกันอย่างเต็มที่ ซึ่งตรงนี้เองถือว่าเป็นความภูมิใจ เพราะผมก็ให้สัญญากับหม่อมว่า รับเล่นแล้วก็จะเต็มที่ จะทำให้ได้ดีที่สุดอย่างที่หม่อมอยากได้ โอกาสนี้มันมีไม่บ่อยนักที่จะได้ร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำในวงการนี้นะครับ”

          เตรียมพบการแสดงในบทบาทแปลกใหม่ของ “ดอม เหตระกูล” ใน “อุโมงค์ผาเมือง” พร้อมเข้าฉาย 8 ก.ย. นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on August 18, 2011, 12:55:29 PM
บทสัมภาษณ์ “หม่อมน้อย – ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” กลับมาค้นหาความจริง ตอกย้ำความเป็นมนุษย์ ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี “อุโมงค์ผาเมือง”



หลังจากความสำเร็จของ “ชั่วฟ้าดินสลาย” แล้ว อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำเรื่อง “อุโมงผาเมือง” ต่อทันที

          “อุโมงค์ผาเมือง” จริงๆ แล้วก็เกิดจากคุณเสี่ยเจียงอีกเหมือนกัน หลังจากที่ “ชั่วฟ้าดินสลาย” ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง คุณเจียงก็ถามว่า ในใจมีหนังอะไรที่อยากจะทำหรือเปล่า ตัวเราเองก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในหลายๆ เหตุผล เหตุผลแรกเราคิดจะทำหนังเรื่องนี้มาสิบกว่าปีก่อน เตรียมงานแล้ว เขียนบทแล้ว คิดโปรดักชั่นแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์หลายๆ อย่างในตอนนั้นก็ทำให้ต้องหยุดโครงการนี้ไป มาปีนี้ก็เหมือนกับว่านำโครงการนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ มันเลยเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ

          สิ่งที่สำคัญที่สุดคือปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 40 ปีของบริษัทสหมงคลฟิล์ม และบังเอิญเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” นี้ เราได้ดัดแปลงเรื่องราวมาจากละครเวทีเรื่อง “ประตูผี” โดย ฯพณฯ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แปลจากละครเวทีเอาไว้ ตัวเราเองเคยก็กำกับเป็นละครเวทีเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่มณเฑียรทองเธียเตอร์ และออกแสดงตั้ง 3 เดือน ครั้งนั้นก็ถือว่าเป็นละครเวทีที่ประสบความสำเร็จมาก ก็เลยลองเอามาปัดฝุ่นใหม่

          และพอได้คุยได้ปรึกษากับคุณเจียงก็ชอบเรื่องนี้และอยากทำ จริงๆ แล้วโดยความสัตย์จริงพอเสร็จเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็ยังไม่ได้มีโครงการใดๆ เลย และก็ยังไม่ได้คิดที่จะทำภาพยนตร์ต่อ แต่บังเอิญพอเล่าเรื่องนี้ให้คุณเจียงฟัง คุณเจียงก็ชอบมากและอยากให้ทำภายในทันที เหมือนดวงจะต้องทำเพราะทุกอย่างก็ได้เตรียมมาแล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การคัดเลือกนักแสดงก็เป็นความคิดเห็นของคุณเจียงซะส่วนใหญ่ที่จะนำเอา อนันดา, มาริโอ้, หม่ำ, พงษ์พัฒน์ มาแสดงในเรื่องเดียวกัน จะพูดไปโครงการนี้ก็เป็นเหมือนเรื่องที่แล้ว คือเป็นโครงการส่วนตัวของคุณเจียงซึ่งมีส่วนสำคัญในการคัดเลือกนักแสดง ต่างๆ นานา ท่านก็มีส่วนออกความคิดเห็นมาก ตัวเราเองยังไม่คิดว่าคุณเจียงจะชอบเรื่องนี้ด้วยซ้ำไปเพราะจะบอกว่ามันเป็นแนวตลาดก็ไม่ใช่เลย มันก็เป็นเรื่องแนวใหม่มากสำหรับยุคนี้แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ใหม่มากนัก และก็ประกอบกับการที่เป็น 100 ปีของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือท่านอายุครบ 100 ปีพอดี เราคิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่จะเฉลิมฉลองในอัจฉริยภาพในการประพันธ์เชิงวรรณกรรมของท่าน พร้อมกับการเฉลิมฉลองครบ 40 ปีของบริษัทสหมงคลฟิล์ม โดยทีมงานทุกคนก็ทุ่มเทกันเต็มที่ ก็โชคดีที่ได้ทีมงานที่มีประสิทธิภาพมากคือ ทีมศิลปกรรมก็เป็นทีมที่ทำแต่หนังฝรั่งไม่ได้ทำหนังไทยเลย ทุกๆ คนก็อยากจะทำหนังเรื่องนี้กัน ทีมงานเทคนิคก็ได้ทีมงานที่มีความสามารถจาก Hollywood มาร่วมสร้างสรรค์กันทุกๆ ฝ่าย รวมทั้งนักแสดงก็ส่วนใหญ่ก็เป็นสานุศิษย์ทั้งนั้น มาช่วยกันทำให้งานชิ้นนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าในแง่ส่วนตัวแล้ว ในแง่เป็นผู้กำกับเป็นคนเขียนบท

          นอกเหนือจากการที่เฉลิมฉลอง 100 ปีของคุณคึกฤทธิ์และ 40 ปีสหมงคลฟิล์มแล้ว เรามาศึกษาบทภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างละเอียดก็ได้เห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณค่าทางศีลธรรมสูงมาก คือแก่นของเรื่องพูดถึงพระสัจธรรมโดยพระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวเราเองก็ตั้งใจด้วยจิตแน่วแน่ว่าจะทำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้เป็นพุทธบูชา เพื่อที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และที่สำคัญคืออากิระ คุโรซาวา และริวโนะสุเกะ อะคุตะงะวะ ซึ่งอะคุตะงะวะท่านเป็นผู้เขียนเรื่องสั้นเรื่องราโชมอน และอากิระ คุโรซาวา นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เอเชียเรื่องแรกที่ไปสู่ตลาดโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นครูแห่งศาสตร์ภาพยนตร์ ทั้งคู่เป็นบรมครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้กำกับหนังใหม่ๆ ของโลกมากมาย

          ก็คือบทละครเวทีเรื่องนี้ซึ่งแต่เดิม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านไม่ได้ดัดแปลงจากภาพยนตร์ของอากิระ คุโรซาวา แต่ท่านได้ไปชมละครเวทีเรื่อง “ราโชมอน” ที่นิวยอร์ก แสดงโดยฝรั่งนะแต่เล่นเป็นญี่ปุ่นหมด และท่านก็ได้บทมาก็นำมาแปลเป็นภาษาไทยอย่างเดียว แต่ก็เล่นเป็นญี่ปุ่นนะ โดยท่านเองก็เล่นเป็นสัปเหร่อ, ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ เล่นเป็นคนดัดฟืน โดยมี สุพรรณ บูรณพิมพ์ เล่นเป็นเมียซามูไร, อาคม มกรานนท์ เล่นเป็นโจร คือแสดงหน้าพระที่นั่งถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ซึ่งเราตอนนั้นยังเด็กมากและโชดดีที่ได้ดูติดตาติดใจจนถึงปัจจุบันนี้ เราก็คิดว่าถ้าเกิดครั้งหนึ่งได้ทำเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์และแปลงเป็นไทย ก็คงจะเป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถ โครงการนี้เลยเกิดขึ้นมา

เวอร์ชั่นบทละครเวทีของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นอย่างไร
          ในแง่ของท่านก็มีการตีความใหม่ คือท่านบอกว่าการแปลเรื่องนี้ การเขียนเรื่องนี้ของละครเวทีเรื่องนี้ มันไม่ใช่ในเชิงความสนุกของท่าน ท่านไม่ได้เน้นกายกรรม ท่านเน้นวจีกรรม การใช้ภาษาที่แหลมคม และมีความหมายลึกซึ้ง ความสนุกจะอยู่ที่การฟังภาษา ฟังบทพูดของตัวละครว่ามีความหมายอย่างไร และเชือดเฉือนอย่างไร เน้นตรงนี้ ซึ่งตัวเราเองก็ยึดถือเอาเป็นหลักในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยที่บทสนทนา 95 % ของเรื่องเป็นภาษาของท่าน โดยที่ไม่มีการแก้ไขใดๆ มี 5 % ที่เราแก้ไขในตอนต้นๆ เรื่องแค่นั้นเองนิดหน่อยที่เพิ่มความเป็นภาพยนตร์ให้มากขึ้น แต่ว่าในเชิงการตีความ ในเชิงความหมายของเรื่อง ความสนุกได้รสชาติล้วนมาจากการตีความของท่านเอง

แล้วในเวอร์ชั่นของหม่อมน้อยเองมีความเหมือนหรือแตกต่างจากฉบับละครเวทีหรือหนังอย่างไร
          มันไม่เหมือนกันนะ คือมันเป็นพล็อตเรื่องเดียวกัน ตัวละครเดียวกัน คล้ายคลึงกัน แต่ว่าคุณคึกฤทธิ์ท่านมองในเชิงคนไทย รสนิยมอย่างคนไทย คืออาจจะพูดได้ว่ามีการทำให้ดูง่ายขึ้น ในการมองแบบรสนิยมแบบคนไทย ส่วนของอากิระ คุโรซาวา มีความเป็นญี่ปุ่นมาก และปรัชญาพุทธของคุโรซาวาก็เป็นเซน แต่เราไม่ได้มีวัฒนธรรมแบบนั้น ในตัวพระในเรื่องที่แสดงโดยมาริโอ้ก็เป็นพระไทย แต่เราก็ย้อนไปเมื่อเกือบ 500 ปีที่แล้วซึ่งเกิดจากในอาณาจักรล้านนา และในยุคนั้นได้กลายเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรอังวะ คือพม่า ก็คือการล่มสลายของอาณาจักรล้านนาในยุคต้น ในยุคที่พม่าเข้ามาปกครอง เพราะฉะนั้นวัฒนธรรมอิทธิพลต่างๆ ก็จะมีความเป็นพม่าสูงมาก

ย้อนกลับไปขั้นตอนเตรียมงาน คือโครงการนี้เหมือนหยิบมาปัดฝุ่นใหม่ ข้อมูลมีอยู่แล้วทำให้ด้านงานสร้างเร็วและง่ายขึ้นไหม
          ใช่ เพราะเนื่องจากมีการค้นคว้าข้อมูลไว้อย่างละเอียดเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เลยทำให้การเตรียมงาน การทำงานก็เร็ว หลายคนตกใจว่า อ้าว ทำเสร็จแล้วเหรอ ทำไมทำเร็วขนาดนี้ เพราะตอนที่ยากที่สุดและการทำงานที่ยากที่สุดมันไม่ใช่ตอนถ่ายทำ มันอยู่ที่การศึกษาหาข้อมูลมากกว่า แต่เราได้เตรียมไว้หมดแล้ว เพียงแต่เอามาปัดฝุ่น แล้วก็แทบจะไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มเติมเลย เราทำกันมาอย่างละเอียดลออหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยของเรื่องที่เกิดในยุคสมัยไหน ไม่ว่าจะเป็นด้านงานศิลปะ งานเครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่ปรัชญา ความคิดหรือไอเดียในการนำเสนอภาพผ่านการทำงานกันอย่างละเอียดมาแล้ว มันก็เลยเร็วมาก

เรื่องราวของ “อุโมงค์ผาเมือง”
          คือมันเป็นเรื่องของคดีที่ขุนศึก (อนันดา) กับภรรยา (พลอย เฌอมาลย์) เดินทางไปในป่าแล้วก็ได้พบกับโจรป่า (ดอม เหตระกูล) และขุนศึกก็โดนโจรป่ามัด และข่มขืนเมียต่อหน้า แล้วท้ายสุดตัวขุนศึกก็ตายไป และโจรป่าก็โดนจับได้ โจรป่าต้องไปให้การในศาล ตัวเมียขุนศึกก็ต้องไปให้การในศาล ก็มีการเข้าทรงวิญญาณของขุนศึก และต่างคนก็ต่างให้การต่างๆ กัน และเรื่องก็ดำเนินผ่านพระหนุ่ม (มาริโอ้ เมาเร่อ) ซึ่งเป็นผู้เห็นขุนศึกและภรรยาเข้าป่าไปเป็นคนสุดท้าย และตัวคนตัดฟืน (หม่ำ จ๊กมก) ก็เป็นคนพบศพ และสองคนก็ต้องให้การในศาลด้วย พระหนุ่มได้เห็นว่าทั้งสามคนก็ให้การคนละทิศคนละทางเลย ทุกคนได้รับสารภาพว่าตนเองนั้นได้เป็นคนฆ่าขุนศึก ทั้งโจรก็รับสารภาพว่าตนเป็นคนฆ่า ตัวเมียขุนศึกก็บอกว่าเมื่อโจรข่มขืนตนเสร็จก็ได้ออกไปเลย ทิ้งเธอและเขาไว้สองคนในป่าและเธอเป็นคนฆ่าสามี และส่วนขุนศึกก็ให้การว่าเมื่อโจรข่มขืนเมียเสร็จ เมียก็หลงรักโจร บอกให้โจรฆ่าตัว โจรก็ฆ่า และก็เห็นความร้ายกาจของผู้หญิงคนนี้ ก็จะฆ่าผู้หญิงคนนี้ แต่ก็หนีไปได้ ตัวโจรเองก็เลยตัดเชือกขุนศึก ไว้ชีวิตขุนศึก ขุนศึกก็ทนความเสื่อมเสียเกียรติยศไม่ได้สุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย

          ตัวพระหนุ่มซึ่งบวชได้พรรษาเดียว ก็เป็นพระที่เคร่งในวินัย แล้วก็ได้เจอเหตุการณ์ก็เลยตัดสินใจว่าจะสึก ตัวเขาเองรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าใจมนุษย์ได้ เรื่องเริ่มต้นด้วยตรงนี้ ก็เดินทางออกจากวัดเพื่อจะไปสึกที่บ้านเกิด ก็มีพายุฝนและก็ไปติดอยู่ที่อุโมงค์ผาเมือง ซึ่งอุโมงค์ผาเมืองเราถูกสมมติให้เป็นกำแพงเมืองเก่า ใต้กำแพงมีอุโมงค์ที่ไว้สำหรับนักรบที่จะไปหลบอยู่ใต้นั้นในการต่อสู้กับศัตรู ในอุโมงค์ก็มีพระพุทธรูปมากมายเป็นที่สักการะของพวกทหารสมัยโบราณ แต่ว่าตัวอุโมงค์เองก็ถูกทิ้งจนน่ากลัว พระก็เศียรขาด อุโมงค์ก็รกร้าง เป็นที่อยู่ของบรรดาสัตว์ร้ายต่างๆ หมาป่า, หนู, ค้างคาว ทุกคนก็เลยคิดว่าตรงนี้เป็นที่ผีดุ เพราะว่ามีคนเอาศพมาทิ้ง ระหว่างที่พระหนุ่มท่านจะเดินทางกลับบ้านเกิด ก็มีพายุและตัวคนตัดฟืนก็วิ่งตามมาพอดี ทั้งสองคนก็เลยไปหลบฝนอยู่ในนั้นทำให้เจอกับสัปเหร่อ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ความเป็นจริงต่างๆ ก็เปิดเผยขึ้นม ในอุโมงค์ผาเมือง

FB on August 18, 2011, 12:56:16 PM
การแคสติ้งทีมนักแสดงในสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันอย่างไร
          พูดไปแล้วในแง่ของการแคสนักแสดงก็ยากเพราะทุกคนต้องเล่นถึง 3-4 คาแร็คเตอร์ การเลือกสรรนักแสดงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนที่รับบทเป็นโจรป่าคือพงษ์พัฒน์ ก็อายุประมาณ 30 กลางๆ ส่วนพระหนุ่มคืออนันดา อายุแค่ 19 ก็มีการคัดเลือกไว้แล้ว มีการซ้อมแล้วด้วย ซึ่งพอกลับมาทำเรื่องนี้ ตอนนี้ด้วยวัยก็ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นการเลือกนักแสดงในยุคนี้จริงๆ แล้วคือคุณเจียงนะ ก็ได้มีการคุยปรึกษากันแล้วตัวสัปเหร่อต้องพงษ์พัฒน์ ซึ่งอ๊อฟเองเมื่อรู้ว่าเราทำหนังเรื่องนี้ก็มาขอเล่นเป็นตัวนี้ บอกว่าตอนที่เล่นละครเวทีเป็นโจรป่าเมื่อ 20 ปีก่อน เห็นบทสัปเหร่อก็เป็นอีกบทหนึ่งที่เขาอยากเล่นมาก ความฝันก็เป็นจริง 20 ปีผ่านไปเขาได้เล่นบทนั้นด้วยวัยที่เหมาะสม ด้วยฝีมือการแสดงที่เหมาะสม ส่วนอนันดาจะเอามาเล่นเป็นพระหนุ่มก็ไม่เหมาะแล้วเพราะก็ 29-30 แล้วก็เลยกลายเป็นมาริโอ้ แล้วอนันดาเองก็อยากจะร่วมกับโปรเจ็คต์นี้ เขาก็บอกขอเล่นเป็นขุนศึกก็ได้ ก็เหมาะเขาก็แสดงความสามารถออกมาได้ดี

          ส่วนตัวเมียขุนศึกในยุคสมัยนี้จะหานักแสดงหญิงเจ้าบทบาทที่ต้องแสดง 3-4 คาแร็คเตอร์ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเท่าพลอย เฌอมาลย์ไม่ได้ ก็คิดว่าเป็นแคสที่ลงตัว ส่วนพระหนุ่มก็ความใส ความจริงใจ ความเป็นพระที่ดูแล้วเป็นกลางๆ ไม่มีเพศ งามเหมือนพระพุทธรูป จะหานักแสดงคนไหนที่วัยสมเท่ามาริโอ้ไม่ได้ ส่วนคนตัดฝืนแสนซื่อก็คิดถึงหม่ำ ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า หม่ำกับหม่อมน้อยเนี่ยจะมาเจอกันในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันได้ยังไง แต่เราเห็นความซื่อ ความจริงใจของตัวหม่ำจริงๆ และเป็นหนแรกจริงๆ ล่ะมั้งที่เขาต้องเล่นภาพยนตร์ที่ไม่ตลกเลย ก็ต้องท่องบทซึ่งปกติเขาจะเล่นสด อันนี้ก็เป็นหนแรกที่หม่ำเขามาร่วมงาน ส่วนตัวโจรป่าก็ได้แคสนักแสดงหลายคนเหมือนกัน แต่ท้ายที่สุดคุณเจียงก็เลือก ดอม เหตระกูล ซึ่งก็เป็นความคิดเห็นเดียวกันกับเรา นี่ก็เป็น 6 ตัวละครหลักของเรื่องนี้
แปลกมากที่ความเห็นของเรากับคุณเจียงตรงกันไปหมด และตัวนักแสดงที่พอเรียกมาคุยแล้วทุกคนก็ยินดีทุ่มเทหมด เป็นบทภาพยนตร์ที่คลาสสิก เหมาะแก่การศึกษา มีความหมายมากรวมทั้งมีความเข้มข้นในตัวเรื่องของเขาอยู่แล้ว ทุกคนก็ยินดีทำกันเต็มที่

พูดถึงช่วงการเตรียมงานใช้เวลาในการเตรียมงานมากน้อยแค่ไหน
          ต้องสารภาพว่าโลเกชั่นส่วนใหญ่มันโดนเลือกมาแล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นเพียงแค่เป็นการไปดูอีกครั้งหนึ่งแค่นั้นเองว่ามันคงสภาพเดิมอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นวัดอุโมงค์, วัดถ้ำหลวงเชียงดาว, พระธาตุลำปางหลวง, น้ำตกหมอกฟ้า หลายๆ ที่ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราศึกษาค้นคว้าไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมหมด อย่างตัวอุโมงค์ที่เราสมมติขึ้นว่าเป็นกำแพงเมือง ก็ใช้โลเกชั่น 2 ที่ภายนอกเราใช้ที่วัดอุโมงค์ที่เชียงใหม่ ส่วนภายในที่เป็นถ้ำ เราก็ใช้ที่วัดถ้ำหลวงเชียงดาว แต่ว่าก็ต้องสร้างอะไรเพิ่มเติมมากมายอยู่เหมือนกัน การเตรียมงานค่อนข้างเร็ว ประกอบกับได้ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ คือ “คุณแป๊ะ พัฒน์ฑริก มีสายญาติ” ซึ่งแต่เดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้วตัวคุณแป๊ะเองก็ได้ศึกษามาแล้วเรียบร้อย รู้อย่างละเอียดแล้ว เมื่อมีการนำมาทำใหม่ ก็เหมือนได้ทำการบ้านกันมาพร้อมอยู่แล้ว มันก็เลยง่ายในแง่ศิลปกรรม ในแง่บท บทก็เสร็จแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็ไม่ต้องเขียนบทใหม่ มีเพียงแก้เล็กน้อย 5-10% เท่านั้นเอง มันเหมือนกับว่าทุกอย่างได้เตรียมไว้หมดแล้ว ก็อาจจะบอกได้ว่าเตรียมงานมาทั้งหมดคือ 10 ปีแล้ว (ยิ้ม) มันก็เลยเร็วกว่าปกติมาก

          ในช่วงเตรียมงาน เราก็ต้องให้ทุกฝ่ายเดินทางไปที่เชียงใหม่ ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของการทำงาน เป็นจุดเซ็นเตอร์ของการเตรียมงานทั้งหมดก่อน ทุกฝ่ายก็ไปหมดเลย เพื่อที่จะไปศึกษาข้อมูลอีกหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกล้อง ฝ่ายภาพคุณกบ ผู้กำกับภาพที่เคยร่วมงานกันจากเรื่องที่แล้ว คุณแคนฝ่ายซีจีกับทีมทุกคนจะต้องไปสถานที่จริงหมดเลย ก็ไปค้นคว้ากันช่วงหนึ่ง รวมทั้งฝ่ายดนตรีด้วยคุณป้อ (ชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์) ก็ไปด้วย คือไปให้มีความเข้าใจและเห็นเป็นรูปธรรมเหมือนกัน แล้วค่อยกลับมาประชุมกัน เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดออกมาให้กับภาพยนตร์

          รวมถึงเรื่องนี้ยังมีคิวบู๊คิวแอ็คชั่นอยู่ด้วย เราได้มือหนึ่งทางด้านนี้อย่าง คุณพันนา ฤทธิไกร มาร่วมงานออกแบบฉากต่อสู้ที่สมจริง แปลกใหม่สวยงามให้ด้วย ซึ่งเป็นอกีฉากหนึ่งที่ออกมาพอใจเรามาก ไม่มีใครคาดคิดว่าพันนากับหม่อมน้อย หรือ หม่ำกับหม่อมน้อยจะโคจรมาเจอกันได้ ก็ได้มาทำงานร่วมกันแล้วในเรื่องนี้ ก็เป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้

ในส่วนของบทภาพยนตร์ใช้เวลาเขียนอยู่นานเท่าไร
          ก็นานเหมือนกันนะ ก็ใช้เวลา 2-3 เดือน คือเวลาเขียนอย่างเดียว ในแง่การสร้างการเขียนบทจริงๆ จะเร็วมาก แต่เวลาคิด กว่าจะรวบรวมความคิด กว่าจะสรุปมันได้ ก็เป็นปีๆ นะ

ทีมงานฝ่ายเสื้อผ้า
          ฝ่ายเสื้อผ้า ก็ได้ “โต้ง นพดล เตโช” ที่ร่วมงานกันมาตลอดตั้งแต่โบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นละครเรื่องสี่แผ่นดิน, ในฝัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ก็ใช้โต้งอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นงานนี้โต้งก็ศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว และยิ่งวัฒนธรรมล้านนาที่ย้อนกลับไปเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ก็ไปศึกษาค้นคว้ามา เขาก็เป็นมืออาชีพทางด้านนี้อยู่แล้ว คือทุกฝ่ายในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นมืออาชีพทุกคน เป็นเรื่องที่เป็นความถนัดของตัวเองหมดเลย เป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันก็เลยเร็วมาก ด้วยการค้นคว้า เนื่องจากด้วยยุคนั้นเป็นยุคที่พม่าเป็นผู้ปกครอง เรื่องเสื้อผ้าของพลอยและอนันดาก็ออกมีกลิ่นไอของความเป็นพม่าอยู่ แล้วก็มีการย้อนกลับไปก่อนที่พม่าปกครอง ที่พระยังเป็นเด็ก กลิ่นของพม่าก็ยังไม่มี ก็ต้องศึกษาชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในสมัยนั้น ที่เป็นช่วงก่อนที่พม่าจะมาปกครอง หลังจากที่พม่ามาปกครอง ก็มีการศึกษาสถาปัตยกรรมในตอนนั้น เพื่อไม่ให้ผิดเพี้ยน หรือว่าลักษณะของคนทรงที่แสดงโดย รัดเกล้า อามระดิษ ก็ได้มีการดูผีมดผีเม็ง ทุกคนก็ได้ไปศึกษาว่าในพิธีกรรมของผีมดผีเม็งของชาวล้านนาเป็นอย่างไร และเอามาประยุกต์ใช้ในแบบที่มีความทันสมัยหน่อย แต่ยังคงมีความเป็นวัฒนธรรมเดิมของเขาอยู่ คือจริงๆ แล้วโต้งก็เชี่ยวชาญอยู่แล้วเป็นมืออาชีพด้านนี้มากๆ
 
ทีมเมคอัพ
          ฝ่ายเมคอัพก็ต้องเลือก “อาจารย์ขวด มนตรี วัดละเอียด” เลย และท่านก็เป็นมือหนึ่งของประเทศนี้ เพราะว่ามันมีหลายอย่างที่จะต้องมีสร้างสรรค์กันใหม่ เช่น หน้าของสัปเหร่อซึ่งจะเป็นชายแก่ อายุเกิน 60 ที่เคยผ่านสงครามมาแล้วและโดนไฟไหม้คอกครึ่งตัว เป็นพิการด้วย ก็ต้องมีการแปลงโฉมพงษ์พัฒน์ให้เหมาะสมกับบทบาท ของมาริโอ้ซึ่งต้องเล่นเป็นพระ ซึ่งโกนหัวจริงๆ ไม่ได้เพราะติดงานอื่น ก็ต้องมีการสั่งวอลแค็ปมาจากฮอลลีวู้ดมาสวมทับ แต่ก็มีปัญหาเพิ่มนิดหน่อย เพราะศีรษะของมาริโอ้โครงสร้างหัวเขาเล็กมาก เพราะฉะนั้นก็เอาไม่อยู่ ก็เลยต้องใช้ซีจีช่วย ก็ต้องเป็น “คุณแคน” (อาทยา บุญสูง - Visual Effects Supervisor) ซีจีมือหนึ่งของประเทศไทยที่เคยทำงานให้ฮอลลีวู้ด เป็นมืออาชีพทางซีจีโดยตรงมาอยู่ในกองถ่ายในทุกๆ ซีน ก็มาช่วยกันแก้ปัญหาว่า เราจะแก้กันยังไง ที่ซีจีต้องมีบทบาทมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ต้องมีการพูดคุยประชุมกันทุกคนเป็นมืออาชีพกันอยู่แล้ว พอเป็นเรื่อง อุโมงค์ผาเมือง ขึ้นมา ทุกคนก็ตั้งใจทำกันอย่างเต็มที่

เรื่องเทคนิคซีจี ใช้มากน้อยแค่ไหน
          ก็มากพอสมควรอยู่ จะว่าไปสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศภาคเหนือเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะฉะนั้นมันต้องมีการวาดอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาเพื่อให้ดูสมจริงและดูเหมือนอยู่ในยุคเมื่อ 500 ปีที่แล้ว หรือแม้แต่ฉากที่พายุฝนมาก็ต้องทำจากซีจี มีหลายฉากที่พลอย เมียขุนศึก เล่นผีเสื้ออยู่ในลานผีเสื้อ ตรงนั้นก็ต้องมีการสร้างสรรค์ตลอด เล่นกับผีเสื้อจริงคงเป็นไปไม่ได้ ฉากต่อสู้กันเลือดกระจาย หรือฉากลานประหารชีวิตตัดสินตัดคอ ซึ่งเป็นฉากแรกของเรื่อง ก็ต้องทำเยอะทีเดียวแต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ใช้ก็เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ด้านภาพ แต่ที่หนักอยู่ก็คือการแก้ศีรษะมาริโอ้ อย่างที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่ามันค่อนข้างยาก แต่ก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วว่าเราจะเจอกับอะไร

ด้านดนตรีประกอบก็มีความสำคัญมากๆ
          คือเนื่องจากเรื่องนี้มัน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสมมติ คือเมืองผาเมืองไม่มีจริง เพียงแต่เราสมมติว่าเกิดเมื่อ 500 ปีในอาณาจักรล้านนา ดนตรีที่จะมาเสริมในเรื่องนี้ แล้วภาพยนตร์ก็อกมาค่อนข้างแปลก ทั้งในแง่ภาพ เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็น แปลกออกไปจากที่เคยทำมา มันจะเป็นแนวกราฟฟิคแต่ก็เป็นพีเรียด จะมีความทันสมัยเข้ามา ดนตรีประกอบก็จะแปลก โดยมีกลิ่นของดนตรีเหนือด้วย ก็เป็นอะไรที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ เป็นอะไรที่แปลกออกไปจากหนังเรื่องอื่นๆ เพราะว่าเนื่องจากเป็นเรื่องสมมติมันก็สามารถทำอะไรที่แปลกๆ ออกไปได้ และที่สำคัญก็คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์ด้วย กิเลสของมนุษย์ บาปของมนุษย์ และมีศีลธรรมอยู่ในนั้นด้วย ดนตรีประกอบก็จะออกมาทางแนวๆ นี้

FB on August 18, 2011, 12:56:48 PM
คาแร็คเตอร์ 6 ตัวหลักของเรื่อง
          ก็เริ่มที่ตัว “พระหนุ่ม” (มาริโอ้ เมาเร่อ) ก่อน เพราะเรื่องนี้ก็จะดำเนินเรื่องโดยพระหนุ่มที่เพิ่งบวชได้เพียงพรรษาเดียวและท่านก็ไปพบการให้การที่ไม่เหมือนกันเลย ทั้งเจ้าทุกข์ที่ตายไปแล้ว ก็บอกว่าตัวเองฆ่าตัวตาย ตัวเมียก็บอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่าสามีตัวเอง ตัวโจรป่าก็บอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่าขุนศึก คราวนี้ในการนำเสนออุโมงค์ผาเมืองเรื่องทั้งหมดจะผ่านมุมมองของพระหนุ่ม เพราะฉะนั้นตัวเดินเรื่องจริงๆ ก็จะเป็นพระหนุ่มองค์นี้ที่แสดงโดยมาริโอ้ คาแร็คเตอร์ก็คือ ก่อนบวชจะเป็นลูกเศรษฐีทำกระจก ซึ่งหลงใหลในพระศาสนาตั้งแต่ยังเด็ก ก็มาเริ่มด้วยการที่เขาต้องบวชลูแก้วตามประเพณีล้านนา ก็รู้สึกศรัทธา รู้สึกอยู่วัดแล้วก็รู้สึกสบาย รู้สึกชอบทางธรรมตั้งแต่เด็ก ผิดกับพี่ชายซึ่งเป็นทางโลกมากเป็นนักค้าขายที่ดีเป็นคนที่ประสบาความสำเร็จทางโลก มีเมียมีลูกที่ดี เป็นลูกรักของพ่อมาก ด้วยการค้าขาย ส่วนตัวน้องชายก่อนจะบวชนอกจากจะศรัทธาทางศาสนา และเป็นช่างฝีมือการแกะสลัก และส่วนใหญ่ก็จะแกะสลักถวายวัด เขามีความละเอียดอ่อนไปทางธรรม ส่วนพ่อก็เป็นเศรษฐีทำกระจก มีลูกชายคนโตที่ค้าขายเก่ง ลูกชายคนเล็กก็แกะสลักกระจก ก็คิดว่าครอบครัวต้องร่ำรวย แต่ที่ไหนได้คือลูกชายคนเล็กอยากบวช พ่อไม่ให้บวชอยากจะให้แต่งงาน ตามคอนเซ็ปต์ของมนุษย์ทั่วไป มีเมียมีลูก มีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่ตัวพระก็ไม่อยาก เผอิญแม่มาตาย ตายในวันเดียวกับที่พี่สะใภ้คลอดลูก เขาก็ได้เห็นการเกิด แก่เจ็บ ตาย ในวันเดียวกัน และก็ยิ่งทำให้รู้สึกซาบซึ้งในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยขอพ่อบวชเพื่อทดแทนบุญคุณมารดา ในวันที่ตัวเองบวชก็ได้อธิษฐานจิตถวายตัวเป็นพุทธบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะบวชอยู่ พ่อก็ป่วย พี่ชายก็ขอให้สึกไปช่วยกิจการ พระก็บอกว่าเขาได้ถวายตัวเป็นพุทธบูชาเรียบร้อยแล้ว และก็จะต้องเดินทางจากบ้านเดิมที่อยู่เชียงคาน ไปศึกษาธรรมะต่อที่นครผาเมือง ซึ่งนี่ก็เป็นการเริ่มต้นเรื่อง คือนครผาเมืองมีวัดพระธาตุหลวงซึ่งเคร่งศาสนาอยู่บนยอดเขา ซึ่งมีเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ (ชาย ชาตโยดม) เป็นพระอาจารย์ของตัวมาริโอ้ ซึ่งตัวพระหนุ่มเป็นคนที่เคร่งในพระธรรมวินัยสูงมาก ต่อมาเจ้าอาวาสก็ได้เห็นและก็รู้สึกได้ว่าพระองค์เนี่ยจะเป็นพระที่เป็นเกจิอาจารย์ในอนาคต จะมาแทนตัวเองได้ เมื่อพระหนุ่มได้ไปพบกับเหตุการณืในศาลในวันนั้น ทำให้ตัวเองคิดได้ว่าตัวเองไม่เข้าใจในมนุษย์ ไม่คิดว่ามนุษย์จะโกหกพร้อมกัน 3 คนในเวลาเดียวกัน ก็เลยคิดว่าตัวเองโง่และก็เลยจะสึก เพราะฉะนั้นการเลือกนักแสดงที่จะมาสวมวิญญาณเป็น “อานนทภิกขุ” คนที่เหมาะที่สุดในยุคนี้ก็ต้องเป็น “มาริโอ้ เมาเร่อ” ด้วยลักษณะที่เขามีใบหน้าสวยงาม เหมือนพระพุทธรูป ที่ไม่มีเพศ ที่เน้นเป็นความงาม และพอมาลองแต่งเป็นพระดู โอ้ก็กลายเป็นงามนะ พอเขาไม่มีผมหน้าเขาจะเด่นมากประกอบกับเมื่อใส่ผ้าเหลืองเขาดูมีออร่า มีราศี เกิดมาเพื่อเล่นบทนี้จริงๆ คงไม่มีใครเหมาะสมเท่า และประกอบกับที่แกอยากร่วมงานกับเรามากนะ สอนแกมา 3 ปีแล้วแต่ไม่เคยร่วมงานกันเลย เป็นงานแรกที่เป็นการได้ร่วมงานกับตัวเรา และได้ร่วมงานกับอนันดาซึ่งถือเป็นไอดอลของเขานะ เขาก็มีความสุขและทุ่มเทให้กับการทำงานมาก

          “คนตัดฟืน” (หม่ำ จ๊กม๊ก) เป็นตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งในการเดินเรื่อง เป็นคนที่ดูแล้วเป็นที่น่าเอ็นดูและเป็นคนซื่อ เป็นคนที่จะไม่ทำผิดศีลธรรม เราเห็นได้ในตัวหม่ำ เห็นแล้วก็เหมาะกับตัวหม่ำมากน่าเอ็นดูในดวงตา อันนี้ลักษณะการแสดงนะไม่ได้ดูลักษณะภายนอก มองตัวจริงเขานะ ดูว่าหม่ำที่คนดูเห็นในรายการหรือภาพยนตร์ต่างๆ ที่เขาเล่น เราไม่ได้เลือกหม่ำที่ตรงนั้น เราเลือกหม่ำจากตัวจริงของเขา และที่สำคัญคือตัวละครตัวนี้จะรักครอบครัว มีจิตใจที่บอบบางละเอียดอ่อนมาก ซึ่งตัวหม่ำเองก็เป็นเช่นนั้น ที่ทำงานหนักมาทั้งหมดก็เพราะเขารักครอบครัวมาก คิดว่าเราก็เลือกคนไม่ผิด แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าทุกคนจะติดภาพการแสดงที่หม่ำเป็นตลก บางคนก็เอาไปเปรียบเทียบกับการแสดงของเขาว่าไม่เวิร์ค เราไม่ได้มองตรงนั้น เรากลับเห็นตัวตนของหม่ำเอง ในหม่ำตัวจริงๆ โดยที่ปราศจากการแสดงใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งตัวหม่ำเองก็หนักใจมาก เขาก็ไม่มั่นใจและกลัวทำหนังหม่อมเสีย เราก็บอกเขาว่าไม่ต้องกลัว ให้แสดงจากตัวตนของเขาเองจริงๆ ซึ่งเขาก็ทำได้ดีมาก เราก็ปลื้มใจเขามาก เรารู้สึกศรัทธาในการทำงานของเขามาก เขาทุ่มเทจริงๆ ในสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสเลย เขาไม่เคยเล่นแบบนี้เลย เขาพยายามทิ้งลักษณะการแสดงที่เขาทำมาตลอดทั้งชีวิต เพื่อที่จะทำแบบนี้ให้ดีที่สุด ปลื้มมาก เห็นความพยายามในตัวของเชามาก พยายามที่จะแสดงให้เป็นธรรมชาติที่สุด เข้าถึงตัวละครที่สุด เห็นว่าเขาตั้งใจทำงานมากๆ น่าเอ็นดูมากๆ โกรธตัวเองเวลาตัวเองจำบทไม่ได้ ก็พยายามบอกเขาว่าไม่ต้องซีเรียส สบายๆ ซึ่งสุดท้ายเขาก็ทำออกมาได้ประทับใจที่สุด เรารู้สึกเป็นเกียรติมากนะที่เขามาเล่นภาพยนตร์ให้เรา

ในด้านการทำงานกับ หม่ำ จ๊กม๊ก การกำกับมีความยากง่ายอย่างไร
          เรารู้สึกว่าไม่ยากเลย เพราะเราพยายามให้เขาสบายๆ เป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยความที่เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ด้วย เขากลับช่วยเราได้เยอะมาก เขาเข้าใจมากในกรณีที่กองถ่ายมีปัญหา เช่น แสงกำลังจะหมดไป เราถ่ายในป่าบนเขา เพราะฉะนั้นพระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขาเร็วกว่าปกติ จะมืดเร็ว เพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจมากว่าในโมเม้นต์นี้แสงกำลังสวย และทุกอย่างต้องรีบ เขาจะช่วยเหลือมาก เขาจะเข้าใจวิธีการทำงานภาพยนตร์ และก็หลายต่อหลายครั้งที่มีปัญหา เช่น ถ่ายในวัดอุโมงค์ มีพระมายืนดูซึ่งก็เข้ามาในเฟรม ปกติก็ไม่เป็นไรเพราะเราก็ไปลำบากท่าน แต่หม่ำก็บอกว่า “หลวงพี่ครับ ขอหน่อยครับ” เราก็ได้ยินเสียงหลวงพี่ตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไร เพื่อหม่ำอาตมาทำได้” เขามีน้ำใจนะ รู้เลยว่าปัญหาที่กองถ่ายเป็นยังไง ก็สมกับเขาเป็นซูเปอร์สตาร์จริงๆ ทำการบ้านมาก อย่างถ่ายในวัดถ้ำหลวงเชียงดาว มารู้ตอนหลังแล้วว่าแกกลัวที่แคบแก กลัวที่ลึก ที่อ๊อกซิเจนน้อย ซึ่งก็รู้ว่าแกทนมาก พอรู้อย่างนั้นเราก็บอกว่าเราก็เป็นเหมือนหม่ำ เราก็กลัว แต่การทำงานก็ต้องโฟกัสให้กับงาน แกก็ไม่บ่นอะไรเลย แต่รู้ว่ากลัว ที่ถ่ายมันลึกมากพอสมควร ก็เลยต้องมีขวดอ๊อกซิเจนในกองถ่ายเผื่อไว้ รู้สึกประทับใจในการทำงานของเขามาก กลายเป็นตัวละครที่เรานึกไว้ได้จริงๆ ใจจริงอยากให้เขาได้รางวัลนะ เพราะว่าหม่ำเป็นคนที่พรสวรรค์ในการทำงานมาก เพราะว่าการเป็นตลกมันไม่ใช่เรื่องที่จะสอนกันได้ เป็นเรื่องที่ต้องมีพรสวรรค์อย่างสูง และก็ทำให้เราได้เห็นหม่ำเล่นบทชีวิตได้ ถ้าแกได้รางวัลแกก็จะมั่นใจว่าแกเล่นอย่างอื่นได้เหมือนกัน ไม่ใช่ตลกอย่างเดียว
 
มาถึงตัวสัปเหร่อ
          ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” เมื่อ 20 ปีที่แล้วเขาเคยเล่นเป็นโจร และบทที่เขาจ้องอยู่นอกจากโจรก็เป็นตัวสัปเหร่อที่เขาอยากเล่นมาตั้งแต่ตอนนั้นละ แต่ตอนนั้นเขาก็ยังหนุ่มอยู่ แต่ตอนนี้ด้วยวัยของเขา ฝีมือการแสดงของเขา ไม่มีใครเหมาะเท่าอ๊อฟ และเขารักบทนี้อยู่แล้ว เขาอยากเล่นบทนี้อยู่แล้ว มันก็เลยเป็นการง่ายที่เขาจะเข้าถึงมัน เวลาว่างก็จะซ้อม นักแสดงทุกคนเหมือนกัน พอเวลาว่างเขาก็จะมาซ้อมกัน ให้คิวมาซ้อมกันอย่างเต็มที่ กับอ๊อฟก็ยิ่งสบายเพราะกับเราก็เคยทำงานด้วยกันมาแล้วตั้งแต่เขายังหนุ่มทั้งละครเวที ทั้งภาพยนตร์ เคยทำงานกันมาแล้วมันก็เข้าทางกัน ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถึงจะต้องเมคอัพมากขนาดไหนก็ไม่มีปัญหาเลย ตอนแรกเราก็กลัวเหมือนกันเพราะคนที่เมคอัพยากมากเลยคือพงษ์พัฒน์กับมาริโอ้ต้องตื่นตี 4 ใช้เวลาแต่งหน้า 3-4 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเราก็กลัวเหมือนกัน เราก็เกรงใจเหมือนกัน อ๊อฟปกติไม่ตื่นเช้าขนาดนั้น แต่ว่าเขาก็ตื่นตี 4 ได้ และก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาก็รู้ว่ามันจำเป็นมาก ทั้งมาริโอ้ก็เหมือนกัน ต้องตื่นตี 4 หมด เพื่อให้ถ่าย 7 โมงเช้าให้ได้ เพราะเราทำงานค่อนข้างเช้า ก็คิดว่าอ๊อฟเขาก็แสดงออกมาได้เป็นตัวละคร ก็ถือว่าเป็นอีกงานหนึ่งที่เป็นชิ้นโบว์แดงของเขา หรือของนักแสดงแทบทุกคน

ตัวละครตัวต่อไปคือ ตัวขุนศึก
          ทีนี้ก็มาตัวขุนศึกที่เป็นบทของ “อนันดา เอเวริงแฮม” ขุนศึกเป็นตัวละครที่เราคิดว่าเล่นยากที่สุด เพราะว่ามีบทพูดน้อยมากต้องถ่ายทอดออกผ่านดวงตา มีบทพูดน้อยไม่พอยังต้องโดนปิดปากในตอนที่เขาโดนจับมัด เป็นฉากที่สำคัญทั้งนั้นเลย ทั้งฉากที่ภรรยาโดนข่มขืนและก็โดนโจรมาถากถางอะไรต่อมิอะไร รวมทั้งฉากที่ภรรยาฆ่าตัวอีก ทุกฉากของเขาเล่นยากมาก เพราะว่าโดนมัดอยู่กับต้นไม้ไม่พอ เขาใช้ภาษากายในการสื่อสารไม่ได้เลย คำพูดสื่อสารไม่ได้เลย ก็เลยใช้ดวงตาได้อย่างเดียว เพราะฉะนั้นสำหรับเราคิดว่าบทที่คิดว่าเล่นยากที่สุดคือบทนี้ อนันดาก็ขอเล่นบทนี้ด้วย และเราก็เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่อนันดาจะต้องมาผ่านความยากอีกครั้งในบทนี้ ด้วยความที่ทำงานด้วยกันมาตลอด ก็จะรู้ว่าจะพาอนันดาไปถึงตรงไหนได้ และตัวอนันดาเองก็ทุ่มเทมากและก็ทำออกมาได้ดี

ตัวละครแม่หญิงของพลอย เฌอมาลย์
          สำหรับ “พลอย เฌอมาลย์” ในบท “แม่หญิงคำแก้ว” หรือเป็นเมียขุนศึกเนี่ย เป็นบทผู้หญิงที่ยากที่สุดที่เคยมีมาสำหรับภาพยนตร์ เพราะบทละครเรื่อง “ราโชมอน” ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย นักเรียนที่เรียนดราม่า หรือเรียนการละครของโลก เขาเอาบทนี้ไว้สอบกัน สำหรับตัวผู้หญิงนะ เพราะบทนี้มีหลากหลายอารมณ์มาก พูดเยอะ ไดอะล็อกเยอะมาก และก็พูดคนเดียวเยอะมาก มันต้องฝีมือในการแสดงสูงมาก และที่สำคัญคือเขาต้องเล่นเป็น 4 คาแร็คเตอร์ในคนเดียวกัน คือในการให้การของโจรเขาก็ต้องเล่นอย่างหนึ่ง การให้การของตัวเองก็จะเล่นอย่างหนึ่ง การให้การของขุนศึกที่ผ่านตัวคนทรงก็ต้องเล่นอีกอย่างหนึ่ง และในส่วนของคนตัดฝืนที่แอบเห็นอยู่ ก็ต้องเล่นให้ขาดมาก 4 เรื่องในเรื่องเดียวกัน เราไม่เห็นนักแสดงคนไหนมีความสวยแบบพลอย ซึ่งเขาไม่ได้สวยแบบเดียว เขาเป็นยังไงก็ได้เ สวยสง่าเป็นเจ้าหญิงก็ได้ จะสวยแบบเย้ายวนก็ได้ เขาจะสวยแบบคนใช้ก็ได้ เขาต้องเล่นเป็นหลายคาแร็คเตอร์มาก หรือสติเสียก็ได้ คือมันเยอะมาก และพลอยเขาก็เป็นได้ทุกอย่างในการเล่าของโจร ที่นั่งเสลี่ยงมาเป็นเจ้าหญิง เป็นแม่หญิงคำแก้ว เมียขุนศึกเจ้าหล้าฟ้าแห่งนครเชียงคำ พอตอนที่ตัวเองเล่าเขาต้องบอกว่าเขาเป็นคนใช้มาก่อนเขาก็เล่นได้ และส่วนตรงที่วิญญาณขุนศึกเล่าว่าผู้หญิงคนนี้กาลีเหลือเกิน โหดเหี้ยมเหลือเกิน ร้ายเหลือเกิน ใจอำมหิต เขาก็ทำได้ หรือในฉากสุดท้ายที่เขาต้องเสียสติเขาก็ทำได้ คิดว่าไม่มีใครเหมาะกับบทนี้เท่าพลอย จริงๆ สงสารเขามาก เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเล่นบทนี้เลย เพราะงานเขาเยอะมาก ตอนแรกเขาปฏิเสธซะด้วยซ้ำ เขาก็บอกว่าเขาเล่นในเรื่อง ชั่วฟ้าฯ” บทก็หนักแล้ว และในเรื่องที่เขาเล่นเป็นน้ำหวานอะไรนั่นอีก คือมีแต่บทหนักๆ อยากจะรับอะไรเบาๆ บ้าง เขาอยากจะรับอะไรที่มันสบายๆ เขาก็หนักมาทั้งปีแล้วเมื่อปีที่แล้ว เราก็เลยบอกนะเพื่อชาตินะพลอย อีกสักครั้งหนึ่งเถอะ ทั้งที่งานเขาแน่นมาก แต่เจ้าตัวก็เล่นบทนี้ถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มที่ อย่างเต็มฝีมือ ทำให้หลายๆ คนที่มีความรู้ด้านการแสดงก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พลอยได้ก้าวขึ้นไปอีกระดับแล้วในฝีมือการแสดง ศิลปะการแสดง ในเมื่อปีที่แล้วบท ยุพดี ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ในความเป็นนักแสดงหญิงของเมืองไทย ครั้งนี้เขาก็ข้ามอีกสเต็ปหนึ่งแล้วที่สามารถเล่นเป็นคน 4 คนได้ในภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน ซึ่งฝีมือก็คือเป็นอินเตอร์ไปแล้ว เขาได้พิสูจน์ตัวเองได้อย่างสมภาคภูมิในภาพยนตร์เรื่องนี้

FB on August 18, 2011, 12:57:20 PM
มาถึงตัวโจรป่า
          “โจรป่า” เนี่ยมีการคิดอยู่หลายคนเหมือนกันว่าใครจะเหมาะ เพราะว่ารูปลักษณ์ต้องดูเป็นโจรที่โหดเหี้ยมมากจริงๆ เป็นโจรที่โหดเหี้ยมแต่ในขณะเดียวกันก็มีความซื่อและโง่อยู่ในนั้น คือถ้าไม่โง่ เขาคงไม่โดนจับได้ และมีความเป็นโจรที่เก่งและมีความตลกอยู่ในนั้น ขณะเดียวกันจะดูเท่ ดูโหดร้ายก็เป็น มีหลายคาแร็คเตอร์มากอีกเหมือนกันในตัว ไม่ใช่โหดเหี้ยมอย่างเดียว มีความซื่อ มีความท้อแท้กับชีวิตมันต้องเผชิญกับความตาย มันกล้าหรือไม่กล้ามีหลากหลายอารมณ์ แต่ที่สำคัญมันจะมีความตลกนิดๆ อยู่ในนั้น ซึ่งก็ได้มองหลายๆ คน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ลองเรียก “ดอม เหตระกูล” มาดู เพราะดอม เราก็ไม่ค่อยได้เห็นงานเขาสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นหนังไทยหรือละครโทรศัศน์ ไปเห็นเขาเล่นในหนังฝรั่ง ได้เห็นแล้วก็เอ๊ะ ทุ่มเทมากเขาเล่นดีจังเลยเป็นธรรมชาติ อยากจะได้มาออดิชั่น และเขาก็ได้ในรูปลักษณ์ และก็มีความตลกอยู่นิดๆ ในตัว ซึ่งในตัวละครตัวนี้มันมีมิติ แล้วก็ปรึกษากับคุณเจียง ก็มีความเห็นว่าดอมน่าจะเหมาะที่สุด ซึ่งเขาก็เหมาะจริงๆ เขาตั้งใจมาก ซ้อมเยอะ จนเสียงแหบแห้ง บางทีก็สงสารแกเหมือนกันเพราะแกเป็นคนเดียวที่นุ่งผ้าเตี่ยวในขณะที่อุณหภูมิ 4 องศา ไม่มีอะไรช่วยแกเลยซึ่งก็สงสารมาก พอสั่งคัททีก็ต้องเอาไฟ ถ่าน กระป๋องน้ำร้อนมาช่วยแก แกก็ทำงานออกมาได้น่าพอใจ เพราะว่ามันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง มันเป็นการเล่นเป็นโจรที่มีมิติของตัวละคร คิดว่าเลือกคนได้ถูกต้อง

บทคนทรงวิญญาณขุนศึกก็เป็นอีกหนึ่งบทสำคัญ
          บทของ “รัดเกล้า อามระดิษ” คือตัวคนทรงที่วิญญาณของขุนศึกมาสิงเนี่ย เราเลือกรัดเกล้า ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเธอเป็นนักแสดง คือเธอจบอักษรศาสตร์ จุฬา ศิลปะการละครด้วย ภาพลักษณ์ส่วนใหญ่เธอจะเป็นนักร้องอย่างเดียว จริงๆ แล้วเธอเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก เป็นนักบัลเล่ต์ด้วย เพราะฉะนั้นการนำเสนอของคนทรงเราจะนำเสนอในรูปแบบที่เป็นสากลหน่อย คือมีการผสมผสานกันระหว่างการร่ายรำของวัฒนธรรมล้านนากับโมเดิร์นแดนซ์ผสมกัน ในขณะเดียวกันต้องเล่นไปด้วยซึ่งอันนี้ยากมาก นักแสดงที่ไม่ได้โดนเทรนนิ่งทางการเคลื่อนไหวอย่างเชี่ยวชาญ บทนี้จะยาก เพราะฉะนั้นรัดเกล้าก็เหมาะที่สุด การใช้เสียงของเขา การใช้ร่างกายของเขาทำให้บทนี้มีสีสันดูน่ากลัวมีมิติ และก็มีพลังมาก ขณะที่ถ่ายทำเขาสามารถตรึงคนเป็นร้อยคนบนยอดเขาให้เงียบได้ทั้งกองถ่าย บางคนคิดว่าแบบมีวิญญาณมาเข้าจริงๆ ซึ่งอันนี้เราคิดว่าคนดูจะรู้สึกประทับใจในฝีมือของรัดเกล้า ซึ่งแสดงในเพียงฉากเดียวแต่ว่า โอ้โห มันเต็มไปด้วยศิลปะการแสดงที่สูงมาก ทั้งอารมณ์ ทั้งการเคลื่อนไหว การใช้เสียงทุกอย่างสามารถทำให้เราเชื่อได้ว่ามีวิญญาณสิงอยู่จริงๆ
 
ช่วงโปรดักชั่น-การถ่ายทำใช้เวลานานแค่ไหน
          ถ้านับเป็นเดือนก็เดือนกว่าๆ ใช้ 18 คิวถ่าย 18 วันถ่าย ก็ไม่ถือว่าเร็วกว่าปกติ ไม่รู้สึกอย่างนั้น มันอาจจะเป็นเพราะว่าเราเตรียมงานกันเยอะมาก ประกอบกับเรื่องนี้มันไม่ยาว “ชั่วฟ้าดินสลาย” ความยาวมันยาวกว่าเยอะมาก เต็มเหนี่ยวกันจริงๆ ก็ 3 ชั่วโมง 15 นาที แต่เรื่องนี้ไม่ยาวนักไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นก็เป็นไปตามความยาวของหนัง และก็ประกอบกับจริงๆ แล้วไม่ได้คิดว่าจะถ่ายเร็วถ่ายช้า แต่เป็นเพราะอย่างว่าล่ะ ซูเปอร์สตาร์มารวมกันขนาดนี้แต่ละท่านก็มีงานเต็มซะเหลือเกิน คิวถ่ายมันก็โดนจำกัดโดยนักแสดงให้มา ซึ่งเขาก็เคลียร์เต็มที่ อย่าง “หม่ำ” ก็หยุดงานมา 5 วันเพื่อถ่ายเรื่องนี้ ซึ่ง 5 วันนั้นก็ทำงานกันอย่างเต็มที่หมด เรามีการเตรียมพร้อม มีการซ้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว การทำงานมันก็เลยค่อนข้างราบรื่น “พงษ์พัฒน์” เองก็เวลาจำกัดด้วย เพราะตัวเขาเองก็เป็นผู้กำกับด้วย เขาก็มีงานของเขาเยอะมาก 18 วันนี้มันก็ไม่ได้เหนื่อยเกินไป หรือว่าเบาเกินไป มันไม่ได้บีบคั้นเกินไปด้วย มันก็ทำงานกันอย่างสบายๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะเป็นบังเอิญที่โลเกชั่นที่เราใช้ถ่ายทำมันมีมรสุมเข้า นั่นละที่ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น ในเดือนมีนาคมอากาศก็หนาวผิดปกติ มีฝนตกตลอดเวลา โดยเฉพาะบนเขาม่อนแจ่มที่เราสร้างเป็นลานหลวง ซึ่งพอพายุเข้าฉากก็พังหมด ที่ตั้งเอาไว้ก็พังลงมา เละเป็นโคลนหมด และก็ลมแรงเหลือเกิน ไม่สามารถสร้างอะไรได้เพราะมันอยู่บนยอดเขาจริงๆ ฟ้าผ่าอีกต่าหาก คือทีมศิลปกรรมไม่สามารถขึ้นไปทำอะไรได้เลย มันอันตรายมาก แค่เดินทางขึ้นไปก็อันตรายอยู่แล้วนี่ก็กลายเป็นโคลนเป็นเลนไปหมด ตรงนั้นที่เป็นปัญหา แล้วก็เรื่องปัญหาม้าที่สวยมากแต่ไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อการแสดง และเขาก็เจออากาศแบบนั้น ต้องไปแก้ปัญหากันแต่ก็สำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี เพราะก็นึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่าไม่ได้ทำเรื่องเพื่ออย่างอื่นนอกจากเป็นพุทธบูชา

เรื่องสภาพอากาศคือปัญหาเดียวที่เจอ
          ใช่ เป็นปัญหาเดียวที่มี ประกอบกับฉากสุดท้ายของหนัง ฉากสุดท้ายมีแผ่นดินไหวมาอีกต่างหาก ทุกคนจะบอกทำไมหนังเรื่องนี้มันเฮี้ยนเหลือเกิน กำลังจะปิดกล้องก็แผ่นดินไหว ระหว่างการถ่ายก็ต้องวิ่งออกจากโลเกชั่น เป็นแผ่นดินไหวที่ค่อนข้างแรงมากนะ ที่เชียงใหม่จะแรงมาก ก็เกิดมาไม่เคยเจอแผ่นดินไหวอะไรแรงขนาดนั้นในฉากสุดท้ายที่ถ่ายทำที่ดาราเทวี เชียงใหม่

โลเกชั่นที่ใช้ถ่ายทำ
          การถ่ายทำเราก็เลือกโลเกชั่น 3 จังหวัดเลย ที่เชียงใหม่ก็ถ่ายที่ถ้ำหลวงเชียงดาว, วัดอุโมงค์, น้ำตกหมอกฟ้า บนดอยม่อนแจ่ม ม่อนล่อง ซึ่งบางที่ก็เดินทางค่อนข้างยากเล็กน้อย และก็ที่ลำปางถ่ายที่พระธาตุลำปางหลวง เชียงรายก็ถ่ายที่เวียงป่าเป้า เดินทางยากลำบาก เดินทางไปในที่ๆ ไม่เคยมีใครขึ้นไปถ่ายเลย ซึ่งสวยงามมากก็ถ่ายเยอะนะ เพราะตอน “ชั่วฟ้าดินสลาย” ก็ถ่ายแค่เชียงใหม่, เชียงราย เรื่องนี้โลเกชั่นก็แตกออกไปอีกมากมายและตัวละครเยอะกว่า และมีฉากที่ต้องสร้างเยอะกว่า มันก็ค่อนข้างจะยุ่ง และทีมงานก็เยอะกว่า แต่ก็เป็นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างก็ราบรื่นเป็นไปตามที่เป้าหมายวางเอาไว้ แม้กระทั่งมีพายุฝนก็ตาม ตอนแรกคิดว่าจะต้องมีการเลื่อนกำหนดปิดกล้องไปอีก แต่นับว่าเป็นบุญ ทุกอย่างก็สำเร็จไปได้ตามที่ใจปรารถนา

ฉากในถ้ำเชียงดาวที่ 3 ตัวละครหลักเล่าเรื่องราว มันมีความสำคัญอย่างไรบ้าง
          คือเรามองว่าเซ็ตหรือฉากอุโมงค์ผาเมืองนอกจากเป็นกำแพงเมืองที่มีอุโมงค์อยู่ข้างใต้ ความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นคือเหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้พาคนดูเข้าไปในอุโมงค์ เข้าไปถึงจิตใจของมนุษย์ พาเข้าไปรู้จักสัมผัสกับจิตใจของตัวเอง ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องนี้ดีๆ มันคือมีฉากที่พระหนุ่มได้เจอกับคนตัดฟืน และต้องเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ผาเมืองด้วยกัน เพราะมีพายุฝน ซึ่งก็เป็นการทำให้คิดได้ว่า พระพุทธเจ้า พระเจ้า หรือพระพรหมก็ได้ เป็นผู้ที่ทำให้เกิดขึ้น เพื่อที่พระหนุ่มจะได้เข้าไปถึงจิตใจของอีกคนหนึ่ง ได้เจาะลึกถึงจิตใจ สังเกตดีๆ ว่าภาพจะทำให้เห็นว่า เมื่อเข้าไปในอุโมงค์ มันก็จะลึกลงๆ และไปสัมผัสอะไรที่มันน่ากลัว ก็เหมือนกับสมองของมนุษย์ มีหลายฉากที่จะเห็นสัปเหร่อ เห็นพระ เห็นคนตัดฟืน ตัวเล็กๆ และมีไฟ ทำให้ดูเหมือนว่าอยู่ในถ้ำอุโมงค์ที่ใหญ่ๆ เหมือนกับพาคนดูเข้าไปในจิตใจ เบื้องลึกของมนุษย์ทุกคน และในตอนจบพระท่านก็ได้พบสัจธรรม และเดินออกมาจากอุโมงค์สู่ความสว่าง และเกิดมีการกำเนิดใหม่ของท่าน การเริ่มต้นของท่าน ท่านพ่ายแพ้ชีวิต ท่านพ่ายแพ้ตัวเอง ท่านคิดมากหน้าเศร้าตลอดเวลา แต่ตอนท้ายเรื่องหน้าท่านสว่างไสวราวกับดอกบัว และก็เดินออกไปสู่ความสว่าง เพราะฉะนั้นการเลือกโลเกชั่นเนี่ย ก็ต้องมองว่าวัดที่ไหนเป็นอุโมงค์ ก็วัดที่เชียงใหม่ มีซากปรักหักพัง และคล้ายกำแพงเมือง ส่วนในถ้ำเชียงดาวมันจะเป็นการพาลึกเข้าไปในอุโมงค์ ลึกลงไปในถ้ำซึ่งมีโถงใหญ่ มีพระเก่าประดิษฐานอยู่ ซึ่งพระหนุ่มท่านไปที่ไหนท่านก็เจอแต่พระ และพระที่เศียรขาด ไม่มีใครทำนุบำรุงเหมือนกับจิตใจของมนุษย์ที่นับวันก็ยิ่งเสื่อมลง เหมือนกับคำสอนของพระที่บอกไว้ว่า ตอนสร้างอุโมงค์ผาเมืองแต่ก่อนก็สร้างไว้อย่างใหญ่โตและแข็งแรงดี นานเข้าก็เสื่อมโทรมไปเหมือนใจคน คือสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจิตใจมนุษย์ในยุคที่เสื่อมที่สุดเมื่อมนุษย์ยึดแต่วัตถุ เงินทอง และทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองดูดี มีความสุข คือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง ความเห็นแก่ตัวก็ก่อให้เกิดปัญหาระดับประเทศชาติเราก็ได้เห็นๆ กันมา เพราะฉะนั้นจะบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สอนเพียงศีลธรรมอย่างเดียวก็ไม่ใช่ มันก็สอนให้คนดูได้รู้ว่าชีวิตคืออะไร เรากำลังเผชิญอยู่กับอะไร และเราควรจะแก้มันอย่างไร การเลือกโลเกชั่นอุโมงค์ผาเมืองก็คิดกันหนักมาก ก็มองหาเยอะไปหมด ก็มาลงตัวที่วัดอุโมงค์และวัดถ้ำหลวงเชียงดาว ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทั้งสองที่ ทุกสถานที่ที่เราใช้ถ่ายทำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกที่ เราก็จะต้องทำพิธีการไว้ก่อนเสมอ ขอขมาทุกครั้งก่อนการถ่ายทำ

FB on August 18, 2011, 12:59:04 PM
ฉากประหารที่ลานหลวง
          คือเรามองว่าให้ดูดีๆ ว่าภาพทำไมต้องอยู่บนเขา ฉากข้างหลังก็เป็นภูเขาที่ซับซ้อน และให้การบนเวที เห็นไหมว่าแต่ละคนดูใหญ่กว่าธรรมชาติ โดยมีภูเขาสลับซับซ้อนอยู่ ทุกตัวละครจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ เหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะโจรป่าและเมียขุนศึก แต่จริงๆ แล้วมนุษย์พ่ายแพ้ธรรมชาติ ซึ่งผิดกับที่เราไปถ่ายที่บนยอดเขาที่เวียงป่าเป้า ที่เห็นพระหนุ่มเดินออกจากวัด และดูพระองค์เล็กนิดเดียว ในขณะที่ธรรมชาติดูใหญ่มโหฬาร มนุษย์ก็แค่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติก็แค่นั้นเอง แต่เรามักจะคิดว่าเราเหนือธรรมชาติ จะพูดไปเมื่อมีแผ่นดินไหวที่ไหนอย่างไรเรายังพ่ายแพ้ หรือสึนามิที่ญี่ปุ่นเราก็พ่ายแพ้หมดเลย นึกว่าตัวเองสูงส่งกว่า โดยเฉพาะเจ้าหลวงเองก็ยังสร้างปะรำพิธียาวอย่างกับเป็นสวรรค์อยู่บนยอดเขา และจะมีการใช้ Long Shot มากที่จะทำให้เห็นความเวิ้งว้าง เกิดมาแล้วก็เวิ้งว้าง เหมือนตายคนเดียวและต้องเผชิญชะตากรรมอันยิ่งใหญ่มาก มีทหารคอยเฝ้า มีกฎเกณฑ์ของสังคมมาล้อมกรอบตัวละครอยู่หมดเลย ตัวเจ้าหลวงก็เหมือนผู้ที่เสวยสุขกับวัตถุกับเครื่องแต่งกายกับรอบกายที่มีข้าทาสบริวาร เสวยแต่ความสุข แม้กระทั่งว่าตัวเองกำลังให้การพิพากษาอยู่นะ แต่ก็ยังเสวยสุขกับเกียรติยศ ที่มันเป็นกิเลสทั้งหลาย เราจึงจำเป็นต้องสร้างฉากลานหลวงให้เกิดขึ้นบนยอดเขา เพื่อให้ได้ความรู้สึกนี้

ฉากป่าสน สถานที่เกิดเหตุนั้นสะท้อนภาพอะไร
          ฉากเกิดเหตุที่เลือกป่าสน จะเห็นได้ชัดเลยว่าโจรป่าเนี่ยหลงความงามของผู้หญิงคนนี้ พอนั่งเสลี่ยงแล้วม่านเปิดออกมาได้เห็นความงาม มันกลายเป็นว่าเป็นความงามธรรมชาติที่น่าหลงใหล ตัวโจรก็ลุ่มหลงผู้หญิงคนนี้ ส่วนตัวขุนศึกก็หลงอยากได้ดาบด้ามทองในป่า เพราะฉะนั้นป่าแถบนั้นมันเลยกลายเป็นป่าที่สวยงามดูลึกลับเหมือนกรง ก็จะเห็นได้ว่าเหมือนตัวละครพวกนี้กำลังเข้ามาอยู่ในกรง ตั้งแต่พระเข้ามาเห็น ก็เหมือนเข้าไปในอุโมงค์อีกอุโมงค์หนึ่ง เหมือนกรงต้นสนที่เรียงกันมันเหมือนเป็นกรง และต้นไผ่ที่ดูเหมือนกรงเช่นกันในตอนที่โจรพาเดินไป มันไม่ใช่แค่ขุนศึกที่ติดกรง แต่มันก็ทั้ง 3 คนนั่นแหละ พอเริ่มมีกิเลสก็เหมือนติดกรง ติดกับกันเองเพราะกิเลสตัณหา

          ส่วน “น้ำตกหมอกฟ้า” ก็แสดงให้เห็นว่าแต่ละครั้งที่คนเล่ามันอยู่คนละที่กันหมดเลย แล้วแต่คนปรุงแต่ง ตอนโจรให้การมันดันไปเกิดขึ้นตรงน้ำตกทำให้ดูใหญ่เพราะตัวเองเป็นเจ้าป่าสะท้อนให้เห็นคาแร็คเตอร์ของตัวละครตัวนี้ ดูเป็นเจ้าเพราะตรงนั้นเหมือนท้องพระโรงกว้างๆ ใหญ่มโหฬาร ความงามของน้ำตกซึ่งน้ำตกก็มีความหมายหลายอย่างมาก ดูตัวโจรเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตัวใหญ่ จะเห็นคนอื่นเหลือตัวเล็กนิดเดียว ส่วนตอนที่แม่หญิงเล่าก็เป็นตอนที่เกิดในป่าไผ่ เหมือนว่าตัวเองเป็นนกน้อยที่ติดอยู่ในกรง เป็นกรงของต้นไผ่เหมือนตัวเองโดนติดกับ และสุดท้ายตนเองก็ติดกับนั้นเอง อยู่ในวังวนนั้นและทำอะไรไม่ได้นอกจากฆ่าสามี ส่วนตรงที่วิญญาณของขุนศึกมาเล่าก็เกิดขึ้นตรงน้ำตกแต่ก็ห่างออกมา และมีลำธารซึ่งมีความหมายเป็นน้ำตากับโลหิตที่ขุนศึกเห็นเมียนอกใจอยู่ มันไม่ใช่น้ำตาเพียงอย่างเดียว อนันดาเล่นร้องไห้นิดเดียวที่ตาแต่ใจเขาเนี่ยเหมือนน้ำตกที่ไหลอยู่ตรงหน้า และค่อยๆ ตกลงไปทีละชั้นๆ เหมือนจิตตก และเวิ้งว้างมาก แต่ตอนฆ่าตัวตายก็ยังคงความยิ่งใหญ่มาก กับน้ำตกที่สูงมากและใหญ่มาก ตรงโคลนหินเหมือนเป็นอนุสาวรีย์ อยากให้คนชื่นชมตัวเอง เหมือนวีรบุรุษ สังเกตดีๆ ท่าตายหรือที่ๆ ยืนอยู่มีลักษณะเหมือนรูปปั้นอนุสาวรีย์ อยากให้คนอื่นพูดถึงเขาด้วยความศรัทธา ด้วยความยิ่งใหญ่
 
          เนี่ยเป็นความหมายของแต่ละโลเกชั่น ส่วนที่ดาราเทวีที่เป็นคุ้มของขุนศึกกับแม่หญิง ตรงนั้นก็เป็นการให้การของแม่หญิง จะเป็นปราสาทราชวังที่สวยงามยิ่งใหญ่เกินความเป็นจริง เพราะก็เป็นการแต่งแต้มเติมสีเข้าไปเวลาเราเล่าที่เราอยากจะเล่าให้มันดีๆ เราก็มักจะเล่าให้มันโอเวอร์เสมอ มักจะเกินจริงออกมาเสมอ ซึ่งจริงๆ แล้วคุ้มของขุนศึกจริงๆ อาจจะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นแต่ก็เล่าให้ใหญ่ขนาดนั้นได้ ทุกอย่างก็มีความหมายหมด

แก่นแท้ของภาพยนตร์เรื่องนี้
          คือเนื่องจากว่าบรรยากาศของเรื่องนี้ถูกสมมติขึ้นให้เกิดเมื่อ 500 ปีที่แล้วในยุคที่มนุษย์ให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าจิตใจให้ความสำคัญกับเงินทองมากกว่าศีลธรรม คือเรียกได้ว่าเป็นยุคที่เสื่อมที่สุด อันนี้สมมตินะ เป็นการสมมติว่าในตอนนั้นนครผาเมืองคือมนุษย์เสื่อมมาก จนกระทั่งในช่วงนั้นก็เกิดมีแผ่นดินไหว มีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมือง ไฟไหม้เมือง มีผู้คนล้มตายกันมากมาย จิตใจมนุษย์ก็ยิ่งเสื่อมโทรม ไม่นับถือพุทธศาสนา คนก็ละทิ้งให้ไม่ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาเลย จะเห็นได้ชัดในฉากตอนต้นๆ ของเรื่องผู้คนเดินอยู่ในตลาดแต่ไม่มีใครไหว้พระเลยสักคนเดียว ต่างคนก็ต่างยุ่งกับธุรกิจส่วนตัว พระเดินก็เดินไป อีกอันที่จะเห็นได้ชัดคือหน้าอุโมงค์ผาเมือง พระโดนตัดเศียรไปขาย โดนทิ้งราวกับเป็นกองขยะ แม้กระทั่งพระพุทธรูปในอุโมงค์ผาเมืองเอง น้อยองค์ที่จะคงสภาพปกติ นอกนั้นก็จะเป็นซากปรักหักพัง อยากให้เห็นถึงจิตใจของมนุษย์ที่ห่างไกลพระพุทธศาสนามาก ซึ่งจะพูดไปก็ทันสมัยมากไม่ใช่หรือ ยุคนี้ก็ใกล้ๆ กับยุคนั้น

จริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นภาพจำลองของยุคปัจจุบัน ทุกวันนี้พระท่านเดินอยู่ที่ตลาดมีใครไหว้ท่านไหม ไม่เห็นมี จริงไม่จริง? ศาสนาก็ทำบุญไปงั้นๆ อ่ะ ทุกคนก็อยู่กับธุรกิจส่วนตัวตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน เงินคือพระเจ้า แผ่นดินไหวไม่ต้องพูดถึง สึนามิไม่ต้องพูดถึง โรคระบาดอีกล่ะ คือมันก็เป็นกันทั้งโลก ไม่ใช่ประเทศเรา ตอนนี้มันเหมือนกับเป็นยุคเสื่อมที่สุดของโลก

          จริงๆ แล้วเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ก็เป็นเรื่องจำลองของโลกในยุคปัจจุบันนี้เอง คือเมื่อมนุษย์เป็นทาสวัตถุ ทาสเงิน และเป็นทาสเกียรติยศ และก็มีอัตตาสูงคือยึดตัวตนเท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ ปากท้องเท่านั้นที่เป็นเรื่องสำคัญโดยไม่นึกถึงการให้ซึ่งกันและกัน ไม่เคยคิดถึงการบริสุทธิ์ของจิตใจ อะไรฉกฉวยได้ฉกฉวยเอา ซึ่งมันก็เป็นแก่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าทำไมตัวละครทั้ง 3 ถึงให้การว่าตัวเองเป็นผู้ผิดหมด

          มันก็ง่ายๆ คือทุกคนก็อัตตาสูง โจรที่เคยโดนจับมาแล้วก็จะบอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่าขุนศึก เพราะยังไงตัวเองก็ต้องตายอยู่ดี เพราะฉะนั้นยังไงตัวเองก็ต้องเก่ง ภาพของโจรจะเป็นโจรที่เก่งมากทำให้ผู้หญิงหลงรัก ตัวเมียขุนศึกที่โดนข่มขืนก็เหมือนให้ใจก็เหมือนสมยอม คือพูดในเชิงที่ตัวเองเป็นพระเอก ว่าตัวเองเก่ง แต่จริงๆ แล้วขุนศึกเก่งกว่า เพราะฉะนั้นการมองภาพลักษณ์ของตัวเองก็เหมือนเป็นคนเก่งกว่าคนอื่นเสมอ

          ตัวแม่หญิงเองก็บอกว่าตนเองเป็นคนฆ่าสามีตัวเอง เพราะหลังจากโดนข่มขืนแล้วสามีมองตัวเองอย่างเหยียดหยามมาก ซึ่งในยุคเมื่อ 500 ปีที่แล้วคงเป็น สามีเกิดขยะแขยงเมียที่โดนโจรข่มขืน และตัวเองก็ทนภาพนั้นไม่ได้ที่สามีมองอย่างเหยียดหยาม และไม่พูดด้วยราวกับว่าตัวเองเป็นคนใช้ในบ้าน แกก็บอกว่าฉันไม่ใช่คนใช้อีกแล้วเพราะฉันเป็นเมียเธอ แต่สามีก็ไม่ให้อภัยก็เลยฆ่าสามีเพื่อรักษาเกียรติของตัวเอง รักษาการเป็นผู้หญิงเอาไว้ ว่าผู้ชายมาดูถูกเช่นนี้ไม่ได้ และตัวเองก็เหมือนวีรสตรี น่าสงสาร มันก็เปรียบได้กับในโลกปัจจุบันที่เราก็เห็นได้ชัดๆ อยู่ การให้การในศาลในเรื่องนี้มันก็เหมือนการออกสื่อ ทุกคนก็ต้องรักษาภาพพจน์ของตัวเอง คดีบางคดีเราไม่รู้ว่าความจริงความเท็จเป็นยังไง ทุกคนก็พูดถึงตัวเองในเชิงที่ดีที่ถูกหมด หรือแม้กระทั่งที่จะต้องพูดถึงตัวเองในเชิงลบว่าฉันเป็นคนไม่ดีเองฉันผิดเอง มันก็เพื่อผลประโยชน์ในเชิงบวกไม่ใช่หรือ

          หรือแม้แต่ตัววิญญาณของขุนศึกว่าตัวเองฆ่าตัวตาย ก็เพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ไม่ใช่หรือ จะว่าตัวเองเป็นขุนศึกแต่ไม่สามารถช่วยอะไรเมียตัวเองไว้ได้เลย โดนมัดเมียโดนข่มขืนอยู่ตรงหน้า แถมเมียยังบอกโจรให้ฆ่าตัวเองอีก โจรก็ไม่ฆ่าอีก แต่จะฆ่าผู้หญิงด้วยซ้ำไป แต่ผู้หญิงก็หนีไปได้ และโจรก็ตัดเชือกตัวเองให้และบอกว่าเราได้พ้นจากผู้หญิงกาลีคนนั้น แต่ตัวเองเป็นถึงขุนศึกแกร่งกล้าแต่ไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้เลย โจรมีเกียรติกว่าเพราะฉะนั้นตัวเองจะอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร ก็ฆ่าตัวตายเพื่อที่จะรักษาเกียรติ อย่างน้อยฉันก็มีความยิ่งใหญ่ ฉันแพ้ ฉันหมดเกียรติ ฉันก็ฆ่าตัวตาย ก็คือการสร้างภาพลักษณ์นั่นเอง

          ก็ไม่แตกต่างอะไรจากมนุษย์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในวงการบันเทิงไม่ใช่หรือที่ออกสื่อ ออกงานอีเว้นต์ต่างๆ เพื่อพูดถึงภาพลักษณ์ตัวเองในแง่ที่ตัวเองอยากจะให้คนอื่นเห็นตัวเองเป็นเช่นไร ใช่หรือไม่ใช่? ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดคนทุกคนก็เป็น ตัวเราเองก็เป็น เวลาที่เราอยู่กับคนที่เราไม่รู้จักเราก็พรีเซ้นต์ส่วนที่ดีออกมา มนุษย์เรามันมีความดีอย่างเดียวอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ใช่ มนุษย์เราก็มีทั้งดีและไม่ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ มนุษย์ชอบมองตัวเองว่าอยากจะสมบูรณ์ เป็นคนที่สมบูรณ์แบบเป็นฮีโร่ ให้ทุกคนกล่าวขวัญถึงไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง คุณเป็นคนเก่ง คุณเก่งมาก หรือรวยมาก รวยที่สุด หรือมีอำนาจมาก ขอให้เป็นคนพิเศษของประเทศเข้าว่า เขาจะมีความสุขในเบื้องหลังในความพิเศษเหล่านั้น จะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีตั้งหลายเรื่องที่เราบกพร่อง จริงไม่จริง? เราไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์สักคนเดียว

          แม้กระทั่งพระในเรื่อง พระหนุ่มซึ่งท่านเองก็หลงในพระบรมศาสนา แต่ท่านเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวท่านเองก็ติดกับผ้าเหลือง ท่านก็นึกว่าท่านวิเศษกว่าคนอื่น ยิ่งตอนที่เจอสัปเหร่อ ท่านรู้สึกว่าท่านเหนือกว่า ยังไงฉันก็มีความเป็นพระนั่นก็คือการยึดอัตตาหรือการยึดภาพลักษณ์ จริงๆ แล้วเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพระเองก็ไม่แตกต่างอะไรจากโจร แม่หญิงหรือตัวขุนศึกเลย คนที่ไม่มีภาพลักษณ์เลย คนที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุด ดูหยาบบคาย ถ่อย คือตัวสัปเหร่อ กลายเป็นคนที่เข้าใจในชีวิตมากที่สุด หรือตัวคนตัดฝืนเองซึ่งก็ติดภาพลักษณ์ของความเป็นคนซื่อ พยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนซื่อถึงแม้จะไม่ใช่คนร่ำรวยหรือมีชาติตระกูล หรือเป็นโจรที่แกร่งกล้า แต่คุณสมบัติของฉันคือเป็นคนซื่อ เป็นคนดี เช่นเดียวกับพระที่ท่านก็คิดว่าท่านเป็นนักบวชเหนือกว่าคนอื่น

          การชมภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการเกิดเป็นคน ไม่มีใครสมบูรณ์ แต่เราอยากจะสมบูรณ์ และความสมบูรณ์เป็นไปได้แค่ความคิดฝันเท่านั้น ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสมมติขึ้น การเล่าแต่ละครั้งเป็นเรื่องคิดฝันของตัวละครแต่ะละตัวที่อยากจะให้ตัวเองเป็นแบบนั้น อยากให้คนอื่นมองตัวเองเป็นเช่นนั้น ในบทบาทที่ตัวเองต้องการ นี่คือวิธีดูภาพยนตร์เรื่องนี้ การดูภาพยนตร์เรื่องไม่มีพระเอกนางเอก ไม่ใช่ “ชั่วฟาดินสลาย” ไม่ใช่ชีวิตของส่างหม่อง หรือ ยุพดี ไม่ใช่เช่นนั้นเลย แต่เป็นการนำความเป็นจริงในชีวิตมานำเสนอในแต่ละฉาก คือไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องไปดูว่ามันยากลึกซึ้ง คือดูด้วยว่าหนังกำลังพูดอะไรกับเราในนาทีนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปคิดว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น คือตราบใดที่คุณดูหนังเรื่องนี้แบบนี้จะเป็นหนังที่สนุก แต่ถ้าดูด้วยค่านิยมของหนังของฮอลลีวู้ด หรือความเคยชินในการดูหนังตลาดทั่วๆ ไปว่าอะไรจะเกิดต่อไป แบบนี้ไม่สนุกเลย และคุณจะไม่เข้าใจอรรถรสของมันเลย คุณไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ดูไปเฉยๆ

          อีกประเด็นหนึ่งคือต้องฟัง มันเป็นหนังไดอะล็อก เราทำมาจากบทละครเวทีของคุณคึกฤทธิ์ เพราะฉะนั้นความคมของไดอะล็อก ความลึกซึ้งความหมายที่คมเข้าใจง่ายๆ ไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจอะไร แต่ในความคม คือถ้าฟังก็จะสนุกกับบทสนทนา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยศิลปะหลายๆ ด้านมาประกอบกัน ไม่ใช่ศิลปะภาพยนตร์ที่พูดกันด้วยภาพเพียงอย่างเดียว บทสนทนาก็มีความหมาย สีก็มีความหมาย บรรยากาศก็สื่อความหมาย ศิลปะการแสดงที่สูงส่ง ที่มีทั้งธรรมชาติและไม่ธรรมชาติก็มีความหมาย คือเหมือนเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งที่ไม่ต้องคิดมากนัก แค่นี้ก็จะดูหนังสนุก และก็มีหลากหลายรสชาติ สนุก ตลก ตื่นเต้น บู๊ รัญจวนจิต มีทุกอารมณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะพูดไปหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัยนะ อ้อ ยกเว้นเด็กเล็กจะดูไม่ได้เพราะมันจะมีฉากรุนแรง ข่มขืน ฉากฆ่ากัน อาจจะแรงไปหน่อย อย่าง “ชั่วฟ้าดินสลาย” เด็กไม่ควรดูเลย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่ต้องมีการศึกษามาก ทุกคนก็ดูเข้าใจ อย่าคิดเยอะเท่านั้นเอง คนที่เป็นปัญญาชนอาจจะไม่ชอบ เพราะเป็นหนังที่ดูสบายๆ กลับไปบ้านไม่ต้องคิดให้ปวดหัว เพียงแต่ว่าเมื่อดูแล้ว ให้ถามตัวเองว่าฉากแต่ละฉากกำลังพูดอะไร เช่น ถ้าคุณดูฉากพระที่เดินอยู่ในตลาด ถ้าคุณมองเผินๆ ก็แค่พระที่เดินในตลาด แต่ถ้าคุณมองให้ละเอียด สังเกตเห็นไหมว่า ไม่มีใครไหว้พระเลย คุณก็จะเข้าใจทันที พระก่อนที่จะบวชก็ได้เห็น การเกิด แก่ เจ็บ ตายในเวลาเดียวกัน แล้วเหตุการณ์นั้นสะท้อนอะไรกับตัวละคร มันดูแล้วไม่ยาก แต่คุณเป็นคนช่างสังเกตหรือเปล่า ถ้าคุณมัวดูแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคุณจะไม่ได้อะไรจากมันเลย แต่สำหรับเราในแง่คนที่ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ คนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้รู้สึกว่าอยากเข้าวัด อยากทำบุญ แค่นี้เราก็ถือว่าการทำหนังของเราประสบความสำเร็จแล้ว

การทำหนังเรื่องนี้เป็นการสะท้อนด้านพระพุทธศาสนา
          ก็เป็นการสะท้อนธรรมชาติของมนุษย์นี่เอง ธรรมะ ก็แปลว่าธรรมชาติ ความเป็นจริง สัจธรรมของโลก ของจักรวาร ของมนุษย์ คือพวกเราไปเข้าใจธรรมะอีกแบบหนึ่งมั้ง ธรรมะเป็นสิ่งน่าเบื่อ เป็นการสอนให้คนทำดีได้ดี แต่อันนั้นคือคิดตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วธรรมะอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ อยู่ในการใช้ชีวิตของเราทุกคนอยู่แล้ว ทุกๆ อย่างที่คุณสัมผัส จะบอกว่าภาพยนตร์สอนศีลธรรมมันก็ไม่ใช่ แต่ถ้าบอกว่าใช่ก็คงจะใช่ คือเราชอบสูตรสำเร็จ เราชอบหาคำมาสรุปว่างานนั้นเป็นแบบนั้น งานนี้เป็นแบบนี้ โดยที่ไม่เคยมองธรรมชาติของงานเลย สิ่งหนึ่งคือเราต้องรู้ว่าธรรมชาติของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเช่นไร หรืออาจจะเป็นเพราะภาพยนตร์ที่ฉายอยู่ในทุกวันนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติ เลยทำให้เราคิดว่าความที่ไม่เป็นธรรมชาตินั้นคือความเป็นธรรมชาติ ใช่หรือไม่ใช่? และภาพยนตร์ต้องดูแบบนั้นใช่ไหม
         
          เพราะฉะนั้นวิธีการดู ถ้าเป็นการดูพล็อต เราจะไปเสียเงินสร้างฉากอย่างนั้นทำไม เพราะคุณมานั่งโฟกัสกับแค่พล็อต เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปนั่งทำอย่างนั้นหรอก เราก็ทำแต่พล็อตเรื่องไป เราจะไปเหนื่อยยากเสียเงินทำไมหลายแสนหลายล้าน ก็ไม่ต้องลงทุนมาก ถ้าจะดูแต่พล็อตก็ทำได้มัน ก็ถ่ายแค่ในกรุงเทพฯ เนี่ยแหละ มั่วๆ ซั่วๆ และคุณไม่คิดเหรอว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ เหนื่อยก็เหนื่อย มันไม่ใช่ว่าเราทำเอาสะใจตัวเอง เราพ้นการทำหนังเพื่อความสะใจของตัวเองมาตั้ง 20 ปีแล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อความเอามันหรือสะใจเข้าว่า จะทำไปให้มันเหนื่อยทำไม ใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นเราอยู่บ้านเฉยๆ สอนหนังสือดีกว่า ไม่ต้องไปเหนื่อยยากขนาดนั้น

ถือได้ว่าหม่อมทำหนังมาเยอะแล้ว สำหรับหนังเรื่องนี้ หม่อมยังมีความคาดหวังอยู่ไหม
          ก็อย่างที่พูดไปแล้ว เพียงแค่คนดูรู้จักเข้าวัดบ้างก็นั่นล่ะ คือสิ่งที่คาดหวัง ถ้าถามว่าเป็นเรื่องเงินทอง เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเรานะ เราไม่ได้ทำเรื่องนี้เพราะอยากได้เงิน เราไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้เพราะอยากได้รางวัล คือเรื่องเงินก็แค่ไม่ให้ขาดทุนก็ดีแล้ว คุณเจียงเองท่านก็พูดเองกับหนังเรื่องก็ไมได้ทำเพื่อเงินคือเป็นหนังที่ชอบ แค่ไม่ขาดทุนได้กำไรเพียงเล็กน้อยก็ดีแล้ว คือถ้าได้เงินเยอะมันก็ดีอย่างหนึ่งคือว่า คนทำหนังรุ่นใหม่ก็จะได้กล้าทำหนังแบบนี้บ้าง ผลประโยชน์อยู่ที่ตรงนั้นนะ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ 100 ล้าน เราคิดว่าถ้าคุณเจียงหวังเรื่องนั้นก็คงไม่ให้เราทำหนังเรื่องนี้หรอก มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะความคาดหวังคือคนดูดูแล้วได้คิดหรือเปล่า เห็นตัวเองในนั้นหรือเปล่า คุณได้เข้าใจตัวเองอย่างในหนังนั้นหรือเปล่า เท่านั้นก็คงพอ

FB on August 21, 2011, 12:51:20 PM
“เสี่ยเจียง” ถูกใจ “นิว ชัยพล” จับเซ็นสัญญาเล่นหนัง “สหมงคลฟิล์ม” ภายใต้การดูแลของ “หม่อมน้อย”

     
 
           เพิ่งก้าวเข้ามาแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ไม่ทันไร หน่วยก้านและฝีมือของนักแสดงรุ่นใหม่ “นิว ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ท” ก็ไปเข้าตาประธานบริษัทสหมงคลฟิล์ม “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” อย่างจัง จึงจับเซ็นสัญญาให้แสดงภาพยนตร์ของค่ายสหมงคลฟิล์มต่อไป ภายใต้ความเห็นชอบของบิ๊กบอสเอ็กแซ็กท์ “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ต้นสังกัดของหนุ่มนิว โดยให้อยู่ในการดูแลเรื่องการแสดงกับผู้กำกับชั้นครู “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล”

          นอกจาก “อุโมงค์ผาเมือง” ภาพยนตร์เรื่องแรกของหนุ่มนิวที่มีคิวฉาย 8 กันยายนนี้แล้ว แฟนๆ เตรียมพบกับผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ๆ ของ “นิว ชัยพล” กับทางสหมงคลฟิล์มได้ ไม่นานเกินรอ...แน่นอน

FB on August 21, 2011, 12:52:04 PM
บทสัมภาษณ์ “มาริโอ้ เมาเร่อ” พลิกบทบาทครั้งใหญ่ในภาพยนตร์พีเรียดฟอร์มยักษ์ “อุโมงค์ผาเมือง”

   
 
บทบาท-คาแร็คเตอร์
          ในเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” โอ้รับบทเป็น “พระอานนทภิกขุ” ครับ พระอานนท์ก็จะเป็นลูกของเศรษฐีทำกระจกครับ เป็นลูกคนที่ 2 เป็นคนที่ชื่นชมในพระพุทธศาสนามากๆ ตั้งแต่ด็กๆ เลย แล้วก็ได้ขอแม่ว่า อยากจะบวชจนไม่สึกตลอดชีวิต อยากบวชเรียนไปตลอดครับ

การดำเนินเรื่องของพระอานนท์
          เรื่องย่อๆ ของอุโมงค์ผาเมืองก็คือ พระอานนทภิกขุท่านบวชเรียน แล้ววันหนึ่งท่านต้องไปขึ้นศาล เพราะว่าเป็นผู้ที่เห็นผู้ที่ถูกฆาตกรรมเป็นคนสุดท้าย ก็คือเห็นขบวนของขุนศึกและแม่หญิงคำแก้ว และเรื่องราวหลังจากนั้นก็คือพระอานนท์ไปที่ศาลแล้วเห็นแต่ละคนโกหกกันหมดเลย 0ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมโลกถึงเป็นแบบนี้ ก็เลยสับสนแล้วก็หาทางออกไม่ได้ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ซึ่งพระอานนท์จะหาคำตอบให้ตัวเองได้เสมอ มีเหตุมีผลแล้วก็จะเข้าใจได้ แต่นี่คือไม่มีเหตุไม่มีผล ว่าทำไมมนุษย์ถึงเป็นไปแบบนี้กันหมด ก็คือทำให้พระอานนท์ถึงกับจิตตก ถึงกับต้องอยากจะสึกจากสมณเพศครับ แต่พอระหว่างทางเดินกลับนี่ก็ไปเจอกับคนตัดฟืน คนตัดฟืนนี่ก็เข้าไปที่ศาลด้วยเหมือนกัน พอดีขณะนั้นมีพายุมาก็เลยพากันไปหลบที่อุโมงค์ แล้วก็ได้เจอกับสัปเหร่อ แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวก็ค่อยๆ คลายปมออกมาครับ

ความยากง่ายต่อการพลิกบทบาทในเรื่องนี้
          สำหรับคาแร็คเตอร์นี้โอ้ว่ายาก ก่อนอื่นเลยโอ้ไม่เคยเล่นหนังพีเรียดมาก่อนเลย แล้วพอได้มาเล่นมันก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่งที่ได้ทำงานกับหม่อมน้อย-อาจารย์ของเราด้วยครับ หลังจากเรียนกับหม่อมมานาน ก็เพิ่งมีโอกาสได้มาร่วมงานเต็มตัวครั้งแรก ถึงจะยากแต่โอ้ก็ต้องทุ่มเทอย่างจริงจังครับ เพราะพี่ๆ ที่เราร่วมแสดงด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาอ๊อฟ, พี่หม่ำ และคนอื่นๆ ก็แสดงกันอย่างเต็มที่ โอ้เลยต้องพยายามเข้าถึงตัวละครอย่างเต็มที่เช่นกัน

การซ้อมก่อนการถ่ายทำ
          คือการซ้อมเนี่ยโอ้ต้องบอกก่อนเลยว่า ก่อนเล่นหนังทุกเรื่องเนี่ยส่วนใหญ่จะซ้อมน้อยมาก แต่เรื่องนี้จะแตกต่างไปเลยคือจะซ้อมเยอะมากครับ แล้วก็เรื่องของไดอะล็อก แล้วก็การจำบทเรียกว่าจำบทได้ง่ายขึ้นมาก ทั้งๆ ที่เป็นไดอะล็อกที่ยาก แล้วก็ยาว แล้วก็เป็นภาษาที่ไม่ได้เข้าปากเราเลย ผมว่าตอนซ้อมช่วยได้เยอะมาก เวลาเล่นลื่นไหล พอไปถ่ายจริงๆ เนี่ยไม่เกิน 2 เทคเลยครับ ก็จะมีซ้อมกับพี่ๆ ทีมนักแสดงทั้งอาอ๊อฟทั้งพี่หม่ำด้วยครับ
          ก็คือมันทำให้เวลาเราเล่น โอ้แทบไม่ได้อ่านบทเลย เพราะว่าอ่านมาหลายรอบมากแล้วครับ แล้วก็ไม่อยากไปพะวงกับบท แล้วพอมาเล่นจริงๆ ผมก็รู้ว่าจำไดอะล็อกได้แล้ว พอเล่นทุกๆ วันเนี่ยรู้สึกว่ามันละเอียดขึ้นๆ เรื่องของความคิดนะครับ คือพระอานนท์ต้องบอกก่อนว่าความรู้สึกอะไรที่ตัวเองรู้สึกโกรธ รู้สึกเครียดอะไรทุกอย่างจะเก็บไว้อยู่ภายใน ก็จะทำให้เป็นคนแบบเหมือนจิตตกเจอเรื่องราวแย่ๆ ถาโถมเข้ามา ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ซึ่งผมว่าทุกวันที่เล่นมันก็จะละเอียดขึ้นๆ ด้วยการทำงานของหม่อมด้วยครับ ที่ทำให้ผมละเอียดขึ้นแล้วหม่อมก็บรีฟให้ฟัง อธิบายให้ฟัง ผมก็จะเข้าใจง่ายขึ้นมากครับ

คาแร็คเตอร์นี้มีความเหมือนหรือแตกต่างจากตัวมาริโอ้ยังไงบ้าง
          สำหรับบทพระอานนท์เนี่ย สิ่งที่น่าจะเหมือนกันโอ้ว่าก็คือการมองโลกในด้านดีนะครับ ที่แตกต่างก็คือตัวพระอานนท์ถ้าหาเหตุผลไม่ได้ก็จะจิตตก แล้วจะรู้สึกแย่ไปหมดเลย สิ่งที่ต่างกับตัวโอ้ก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ครับ ถ้าหาคำตอบไม่ได้โอ้ก็จะปล่อยไปก่อน แล้วค่อยหาคำตอบไปเรื่อยๆ แต่พระอานนท์เนี่ยจะไม่ได้ คือด้วยความที่พระอานนท์เป็นเหมือนผ้าขาวสะอาด พอมีอะไรนิดหน่อยมาทำให้ใจของพระอานนท์เปรอะเปื้อนทุกอย่างมันแย่ไปหมดเลยครับ ทำให้พระอานนท์คิดว่าโง่แล้วไม่สามารถจะสั่งสอนใครได้อีกต่อไป

การร่วมงานกับหม่อมน้อย
          ได้ร่วมงานกับหม่อมก็ดีใจครับ แต่จริงๆ เคยร่วมงานกันแบบแวบๆ ครั้งหนึ่งใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” แต่จะมืดๆ ต้องสังเกตดีๆ หน่อยครับ แต่ว่าเรื่องนี้ก็จะได้ออกเต็มตัวเลยครับ คือเป็นตัวเดินเรื่องเลยก็ดีใจครับได้ทำงานกับหม่อม พอทำงานกับหม่อมจริงๆ ก็ได้อะไรเยอะมาก ทุกครั้งที่ออกมาทำงานเหมือนเราพร้อมตลอดเพราะว่าเราซ้อมมาเยอะครับ ทำให้หน้ากองถ่ายทำได้รวดเร็วขึ้นด้วย ส่วนวิชาที่เรียนมากับหม่อม ก็ได้ใช้เยอะเลยครับ แล้วหม่อมเขาก็จะให้ส่งเหมือนความรู้สึกในใจของเรา บางทีเราไม่ได้พูดแต่ว่าเราส่งความรู้สึกทางตาไปให้คู่เล่นของเรา อย่างมีฉากหนึ่งที่ไปถ่ายฉากแม่เสียชีวิต แล้วก็เหมือนพี่ชายในเรื่องที่แสดงโดย นิว (ชัยพล พูพาร์ท) แล้วนิวยังไม่พร้อมหม่อมก็เลยแบบให้มายืนคู่กับนิวแล้วก็หม่อมก็ให้หายใจ เหมือนกับว่าให้หายใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมว่ามันช่วยได้มากเลย แล้วก็พอไปเล่นจริงๆ พอแอ็คชั่นเอาใหม่อีกครั้งหนึ่งนี่ทุกอย่างจบเลย ผ่านรวดเดียวเลยครับ

อินกับคาแร็คเตอร์นี้มากน้อยแค่ไหน
          แสดงไปนานๆ โอ้ก็อินจนขนาดพอคัทแล้วก็อินอยู่เหมือนกันนะครับ เวลาเดินเหมือนรู้สึกถึงเท้าแล้วก็เดินอย่างระมัดระวัง ทุกวันเราไม่ต้องใส่รองเท้า พี่เขาเอารองเท้ามาให้ บางทีเรายังไม่อยากจะใส่เลย
          ส่วนติดนิสัยของพระเหรอครับ ผมว่าน่าจะติดเป็นคำพูดมากกว่า แบบว่าก็จะจำไดอะล็อกในเรื่องแล้วก็ไปพูดยาวๆ บางทีไม่ใช่ไดอะล็อกตัวเองก็ไปจำเขามาครับ แบบว่าของอาอ๊อฟเขาจะบอกว่าผู้หญิงทุกวันนี้ไม่ค่อยทำอะไรนอกจากทำผม ก็เป็นคำพูดโจ๊กกันเวลาทำงานเสร็จกับพวกหม่อม พวกพี่ๆ เขาครับ

การแสดงร่วมกับนักแสดงรุ่นพี่ๆ
          เปิดกล้องมาก็เจอพี่หม่ำกับอาอ๊อฟก่อนเลยครับ อย่างอาอ๊อฟก็เคยทำงานเคยถ่ายหนังของอาอ๊อฟมาแล้ว พอมาเล่นจริงๆ นึกว่าอาอ๊อฟของขึ้นครับ เพราะว่าตาแกแดงแล้วก็ปากสั่น พอคัทตาแกก็หายแดงครับ ผมก็งงสงสัยอาอ๊อฟของขึ้นอะไรงี้ครับ แต่ว่าไม่ใช่ครับ อาอ๊อฟเค้าอินทุกอย่าง มันมาหมดเลยครับ ปากก็กระตุกเอง ผมจำได้มันจะมีฉากหนึ่งเป็นฉากเปิดตัวของอาอ๊อฟ คือสัปเหร่อจะเดินมา เป็นไฟสปอตไลท์ส่องหลังของสัปเหร่อ แล้วกล้องรับโอ้เห็นเงาของสัปเหร่อ แบบเงาอาอ๊อฟน่ากลัวมาก ผมจำได้ถึงตอนนั้นผมจะเล่นข้างหลังแต่ผมกลัวไปเกินร้อย เพราะว่าเห็นเงานึกว่าเป็นปิศาจ หรือว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่มนุษย์เดินมาครับ
          คือเข้าฉากกับอาอ๊อฟจะประทับใจมาก คือไดอะล็อกอาอ๊อฟยาวมาก ยาวแบบหลายหน้ากระดาษติดๆ กัน แล้วเป็นศัพท์ที่ยากมากครับ แต่อาอ๊อฟเค้าก็ผ่านไปได้โดยง่ายครับ ส่วนเวลาที่โอ้แสดงกับอาอ๊อฟ ถ้าแบบอาอ๊อฟรู้สึกว่า เราควรจะเพิ่มตรงนี้ได้หรือว่าเราควรแก้ตรงนี้ อาอ๊อฟเขาก็จะบอกเลยทันที เขาก็จะไม่หวงวิชาเลยครับ
          ส่วนพี่หม่ำก็เรื่องนี้ไม่เห็นความตลกเลย ตอนเล่นก็ไม่ตลกเลย พอคัทแล้วพี่หม่ำเขาก็ค่อยปล่อยมุก ตอนเล่นจริงๆ เนี่ยก็ไม่มีอันไหนตลกเลย แล้วก็พี่หม่ำเค้าก็อินกับบทบาทนี้มากๆ เช่นกันครับ อย่างพี่หม่ำก็จะคอยดูแลเราอย่างดีครับว่าให้เดินระวังหน่อย เพราะว่าเรารองเท้าก็ไม่ได้ใส่ ลื่นก็กลัวหัวจะฟาดผนังถ้ำ แล้วพี่หม่ำก็จะปล่อยมุกคลายเครียดตลอด คือ 2 คนนี้ถ้าเกิดว่าไม่มากองก็จะถือว่าขาดอะไรไปซักอย่าง
อย่างพวกมุกเนี่ย เขาก็ปล่อยอยู่เรื่อยครับ แล้วเขาก็จะปล่อยตดด้วย (หัวเราะ) บางครั้งแบบให้เราเซอร์ไพรส์บ้างครับ ไม่ใช่แค่พี่หม่ำ อาอ๊อฟก็ด้วย เขาก็จะสลับกันปล่อย ผมที่นั่งอยู่ตรงพื้นก็ต้องนั่งดมไปครับ

โลเกชั่นถ่ายทำ
          สำหรับฉากที่ถ่ายทำคือใน “ถ้ำเชียงดาว” เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์มากครับ จะมีนักท่องเที่ยวเดินเข้าออกอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะมาสักการะพระที่อยู่ข้างใน แล้วเราก็ไหว้ทุกที่เลยครับโอ้ไปถ่าย 5 วันเนี่ย โอ้จะไหว้พระในทุกๆ ศาลที่เขามีเลยครับ เราไหว้จนไปถึงในสุดของถ้ำแล้วเราก็จะเดินออกไปนิดนึงก็คือสถานที่ถ่ายทำ งานสร้างฉากของพี่ๆ ทีมอาร์ทก็ทำสวยมากครับ ทำพระโบราณ ทำกระดูก ก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินมาก็ไหว้ Block Up เพราะว่าเหมือนจริงๆ คือแบบสวยงามมาก ด้วยความเป็นธรรมชาติของถ้ำ แล้วก็ด้วยอารมณ์ศิลป์ของพี่ๆ ฝ่ายอาร์ต เขาก็ไปประดับตกแต่ง พออยู่ในกล้องสวยมากๆ ครับ
          ฉากในวัดอุโมงค์เนี่ย เป็นวัดที่เก่าแก่ของเชียงใหม่พอไปถ่ายจริงๆ แล้วก็ลำบากเพราะว่าจะเดินไกลเหมือนกัน แต่พี่ๆ เขาจะมีเครื่องช่วยนิดนึง เพราะว่าเราต้องถอดรองเท้าเดินตลอด ก็จะมีเหมือนเป็นแผ่นยางไว้ตรงใต้เท้าครับ วันนั้นจะเป็นฉากที่มีพายุเข้า แล้วคนตัดฟืนเนี่ยเรียกพระอานนท์ให้เข้าไปในถ้ำ แล้วเขาก็จะมีพัดลมใหญ่มากครับ ประหยัดไฟเบอร์อะไรก็ไม่รู้ แต่เปิดแรงมาก มีฝนตกด้วย แล้วก็แรงมากร่มแทบจะปลิวเลย ก็ต้องดึงๆ เอาไว้ คือสมจริงมาก ไปดูในกล้องก็สวยดีครับ เหมือนพายุมาจริงๆ เลยครับ
          สำหรับฉากในป่าเนี่ย เป็นวันที่ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้ากับเจ้าหญิงคำแก้วนั่งอยู่บนเสลี่ยง ขบวนก็เดินผ่านพระอานนท์ไป คือต้องบอกก่อนเลยว่าฉากที่ผ่านมาที่เล่ามาคือร้อนหมดเลยครับ แต่คือวันนี้หนาวมาก แบบหนาวจับใจเลยครับ คือแบบนึกว่าอยู่ในตู้เย็นอ่ะครับ แล้วก็ด้วยความที่เราห่มแต่จีวร แล้วก็เดินไปเห็นเหตุการณ์เห็นขบวน มันหนาวมากจริงๆ ครับ พอคัทเนี่ยต้องขอถุงร้อน 2-3 อัน ทุกคนก็จะเอาผ้ามาโยนใส่ผม เหมือนผมเป็นที่แขวนผ้า ผมก็นั่ง ก็ตอนคัทมันสบาย แต่ตอนที่ยืนแอ็คชั่นมันจะหนาวหน่อย ก็หนาวไปหมดเลยครับ คือไม่มีเหงื่อซักเม็ดเดียว หนาวทรหดมากครับ
          สำหรับโลเกชั่นที่โอ้ชอบเป็นพิเศษ โอ้ชอบพระธาตุลำปางหลวงซึ่งเป็นพระธาตุที่มีมานานหลายร้อยปีแล้ว ผมไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีพระธาตุโผล่มากจากใจกลางเมืองลำปาง แล้วก็แบบมีรถผ่าน สวยมากๆ พอเข้าไปอยู่ในนั้นเนี่ย เข้าไปเดินในโถง ในวัด ซึ่งเก่ามากหลายร้อยปีแล้วเขายังเก็บคงสภาพนั้นได้ถือว่าสุดยอด อึ้งทุกครั้งที่อยู่ในฉาก อินไปหมดเลยครับ ฉากก็สวย คอสตูมก็เป๊ะ

ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
          ก็ความน่าสนใจของอุโมงผาเมืองก็คือบทประพันธ์เพราะว่ามันเป็นบทประพันธ์ เพราะว่าเป็นบทประพันธ์ที่มีมานานแล้ว เป็ฯบทประพันธ์ที่มีค่ามากครับ แล้วก็นานๆครั้งจะได้มาทำเป็นหนัง แล้วที่พิเศษก็คือเรื่องนี้หม่ำทำแล้วหม่อมก็ทำเป็นละครเวทีมาก่อน หม่อมได้ประยุกต์มาเป็ฯไทยล้านนา ผมว่ายิ่งมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีกเพราะว่าเป็นแบบไทยเราจริงๆ จริงๆเดิมแล้วก็ภาคของญี่ปุ่นโจรก็จะเป็ฯซามูไร แต่นี่ก็จะเป็นโจรไทยเลยสักยันต์ ผมว่าเป็นบทประพันธ์ที่น่าสนใจก็คือ ถึงว่าจะเป็นบทประพันธ์ที่เขียนมานานแล้ว มีหนังมีอะไรมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมว่ายังไงเรื่องราวมันแบบคลาสสิกคือแบบไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ก็จะมีคำสอนที่แบบยังประยุคใช้กับยุคนั้นๆได้
          สำหรับการทำงานของหม่อมเนี่ยละเอียดมากๆตั้งแต่เรื่องของการซ้อมการแสดง เรื่องของการแต่งตัว เรื่องของคอสตูม เรื่องของสถานที่ถ่ายทำเนี่ยทุกอย่างละเอียดหมดเลย ทำงานกับหม่อมรู้เลยว่าทุกคนทำการบ้านมาอย่างดี ทุกคนมาเพื่อทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด ความคาดหวังต่อหนังเรื่องนี้เลยไม่มีอะไรมากนอกจากจะอยากให้คนไปดูเยอะๆ ครับ ผลงานเรื่องนี้ของหม่อมและนักแสดงทุกคนตั้งใจทำงานมาก รวมถึงพี่ๆ ทีมงานทุกคนต้องตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ตี 5 มาเมคอัพให้โอ้และนักแสดงอื่นๆ ทุกฝ่ายก็ทุ่มเทกันเต็มที่

          โอ้ก็อยากฝากหนังเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” เรื่องนี้มีข้อคิดดีๆ มันเป็นหนังที่ดี งานของหม่อมไม่ธรรมดาเลยครับ เป็นหนังที่ดูไปแล้วก็ลุ้นไปกับตัวละคร แม้มันจะเป็นหนังพีเรียดย้อนยุค แต่เนื้อหาของเรื่องมันก็เข้ากับยุคสมัยนี้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ ผมว่าดูหนังแล้วจะคิดหาคำตอบไปด้วย เหมือนดูหนังสืบสวนสอบสวนไปในเวลาเดียวกัน แล้วก็เป็นหนังที่สวยงามทั้งภาพ ทั้งเรื่องราว ทั้งฉาก ทั้งคอสตูม รวมถึงการแสดงของทีมนักแสดงทุกคนทั้งอาอ๊อฟ พงษ์พัฒน์, พี่หม่ำ, พี่พลอย, พี่อนันดา, พี่ดอม แล้วก็โอ้เอง ก็อยากให้ไปดูแล้วจะได้ข้อคิดดีๆ ให้บทเรียนคำสอนอะไรมากมาย ก็อยากให้ไปดูกันครับ

FB on August 21, 2011, 12:54:20 PM
บทสัมภาษณ์ “ดอม เหตระกูล” ทุ่มเต็มที่กับการแสดง “หนังหม่อมน้อย” เป็นครั้งแรก ใน “อุโมงค์ผาเมือง”




 
          บทบาท-คาแร็คเตอร์
          สำหรับ “อุโมงค์ผาเมือง” ผมมารับบทเป็น “โจรป่าสิงห์คำ” ครับ สำหรับตัวโจรป่าสิงห์คำ พื้นเพเป็นลูกชาวนายากจน แล้วเหมือนเป็นคนที่พ่ายแพ้ต่อระบบก็เลยหนีเข้าป่าไปเพื่อเป็นโจร คอยปล้นคอยคุกคามผู้ที่มารุกรานอาณานิคมของเรา ซึ่งในช่วงประมาณ 500 ปีที่แล้วเป็นพม่า ซึ่งเจ้าหลวงส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มาจากทางพม่า แล้วก็ยังมีคนเชื้อสายล้านนาไปสวามิพักตร์ ก็จะทำให้เรามีความรู้สึกกดดันในสังคม ออกปล้นคนรวยปล้นคนมั่งมีต่างๆ เหล่านี้ แต่ที่สำคัญคือสาเหตุเพราะว่าเป็นคนยากจนก็เลยมีความเก็บกดทางเพศพอสมควร คุณลักษณะนอกจากการปล้นแล้วก็จะมีการฉุดฆ่าข่มขืนด้วย ซึ่งสำหรับตัวละครตัวนี้ความซับซ้อนสำหรับภูมิหลังมันค่อนข้างเยอะ ทำให้การแสดงออกของตัวละครตัวนี้เป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดิบ เถื่อน อาศัยชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในป่า แถมยังปากกล้า เป็นคนที่มีฝีปากมากคนหนึ่งด้วย

          ในเรื่องมีการปรับเปลี่ยนลุคและการแสดงไปยังไงบ้าง
          สำหรับบทผู้ร้ายก็มีผ่านมือไปบ้าง แต่ว่าพอมาคราวนี้ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของเราเองเป็นป่าเขาลำเนาไพรอยู่กับน้ำตก อยู่กับป่าเยอะ การแสดงเรามันค่อนข้างจะไปในทิศทางที่ดิบเถื่อน แล้วก็ไม่ค่อยมีตัวช่วยเยอะ เพราะในเรื่องของการใช้เสียงหรืออะไรก็ตามก็ต้องค่อนข้างที่จะใหญ่ โดยการที่เป็นคนยากมันค่อนข้างที่จะโผงผาง การแสดงนี้ถึงแม้ว่าเล่นบทที่ตรงไปตรงมาแต่ขั้นตอนทางการแสดงก็ค่อนข้างซับซ้อน
          รูปลักษณ์ภายนอกก็ต้องตื่นมาแต่งตัวก่อนคนอื่นเขา 1-2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผม ซึ่งก็เป็นผมยาว มีการติด Tattoo ต่างๆ เหล่านี้ ต้องไปเจอภูมิประเทศเองจริงๆ ถึงจะเล่นได้ อาจจะมีการซ้อมไม่กี่ครั้ง แต่สำหรับตัวบทก็ได้ทำการซ้อมมาแล้วตั้งแต่เวิร์คช็อปอยู่กับหม่อมน้อย ทีนี้อย่างอื่นก็จะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมมากกว่าครับ
 
 
          เรื่องราวของ “อุโมงค์ผาเมือง”
          สำหรับ “อุโมค์ผาเมือง” เป็นบทประพันธ์ที่มีมาช้านานแล้วแล้วถูกนำมาเขียนใหม่เป็นภาคภาษาไทย ออริจินัลมาจากญี่ปุ่น แล้วก็ผลงานหนังครั้งแรกโดย “อากิระ คุโรซาว่า” ซึ่งหลังจากนั้น “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ก็เขียนเป็นบทประพันธ์ในไทย เป็นบทประพันธ์ที่มีความลึกซึ้งในแง่มุมของตัวละคร ในแง่คิดไม่ว่าจะยุคสมัยหรือประเทศจะต่างกัน แต่ความขัดแย้งและความซับซ้อนมันก็ยังอยู่ในคนทุกคน ไม่จำกัดว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่จำกัดว่าจะเพศอะไร และไม่จำกัดว่าระยะเวลามันได้ผ่านล่วงเลยมากี่พันปีแล้ว คือเป็นสิ่งที่น่าคิดมาก แล้วบทประพันธ์ของเรื่องนี้คือ สิ่งที่คนเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนคิด และบางครั้งความดีที่เรามองเห็นในคนบางคนแน่นอนมันต้องมีบางมุมที่เป็นด้านมืด และด้านมืดที่ว่านั้นคือมันถูกไตร่ตรองมันถูกคิด จนกระทั่งแปลออกมาเป็นกระบวนการของการกระทำที่มันไม่ได้แย่ มันไม่ได้ผิด แต่ว่าจริงๆ แล้วเริ่มต้นจากความคิดจากด้านมืดเสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นบทของพระอานนท์ บทของขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า หรือว่าจะเป็นตัวของแม่หญิงคำแก้ว รวมถึงตัวของโจร ไม่ว่าจะเป็นสัปเหร่อหรือคนตัดฟืน คนเหล่านี้มีแง่มุมให้ได้คิดตั้งแต่คนชั้นล่างสุดของสังคมไปจนถึงคนชั้นสูงสุดในวงสังคมอย่างตัวละครของสิงห์คำก็อย่างที่บอกไปข้างต้น เป็นผู้พ่ายแพ้แก่ระบบ เป็นการพลิกผันกลับมาด้วยการกระทำเยี่ยงโจร บางครั้งในทัศนคติมันอาจจะถูกต้อง วิธีการที่ทำมันผิด แต่บางคนอยู่ในสถานะที่ทำอะไรก็ถูก แต่สิ่งที่ใช้วิจารณญาณว่าเราจะทำการนี้มันผิด ดังนั้นมันเป็นมุมมองให้ได้มอง แม้กระทั่งพระอานนท์ในเรื่อง ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากพระอานนท์ฟังการตัดสินคดีความคดีหนึ่ง ก็เกิดไม่มั่นใจกับสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจากคำให้การของบุคคลถึงสามคน มันทำให้ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในธรรม มันจะเป็นอะไรกันแน่ ก็เกิดข้อสงสัยในวิชาที่เรียนพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดพูดรวมๆ มันน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดจากพระพุทธศาสนา ซึ่งแม้แต่พระเองก็ยังหลงทาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว จากการฟังคำของคนต่างๆ การตัดสินโทษรวมไปถึงการหาคำตอบในบทสรุปต่างๆ เหล่านี้ ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผยขึ้นทีละน้อยๆ แต่ถามว่าจริงๆ แล้วท้ายที่สุดของบทประพันธ์นี้ การตัดสินไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนไม่กี่คน แต่ว่าการตัดสินอยู่ที่คนดู เพราะจริงๆ แล้วคุณจะให้ใครถูกคุณจะให้ใครผิดในเรื่อง ซึ่งมันเป็นความแยบยลทางบทประพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นตัวของผู้ประพันธ์บทเองจากญี่ปุ่น มาจนถึงการแปลและเป็นบทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็มีความลึกลับและซับซ้อนมาก หลายๆ คนที่ได้อ่านบทประพันธ์ของเรื่องนี้ไปแล้ว ก็จะมีความรู้สึกประทับใจเพราะมันให้แง่มุมเยอะ บางทีอ่านแล้วซึ้งน้ำตาไหล แล้วแต่ประสบการณ์ของผู้อ่านแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันทำให้มองเห็นในระดับที่แตกต่างกัน บทสรุปของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เท่ากัน และนี่คือความแยบยลของบทประพันธ์และการตีความต่างๆ ซึ่งครั้งหนึ่ง “หม่อมน้อย” ท่านเองก็เคยเป็นผู้กำกับละครเวที “ราโชมอน” แต่คราวนี้ถูกนำมาทำในเวอร์ชั่นของหนัง โดยรวมมันจะเรียลิสติกมาก ได้รู้วิถีชิวิตของคนไทยล้านนาเมื่อ500 ปีที่แล้ วมีเรื่องของค่านิยมทางความคิด มีเรื่องของกฎระเบียบการกระทำต่างๆ เกียรติศักดิ์ศรี และความเป็นผู้ชายความเป็นผู้หญิงอยู่ ซึ่งปัจจุบันนี้สังคมมันจะแปรเปลี่ยนไปเยอะ ผู้หญิงเองก็พยายามทำอะไรหลายๆ อย่างขึ้น เพื่อให้เกิดการยอมรับในวงสังคม แต่แน่นอนมันก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่อยากได้เจ้านายเป็นผู้หญิง มีผู้หญิงอีกหลายคนที่พยายามจะไฟท์เพื่อขึ้นมาว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้อง มันมีความขัดแย้งอยู่เนืองๆ ของชนชั้นสูงกับคนชั้นล่าง เกิดเป็นวรรณะขึ้นมา เราพยายามเหยียบกันไว้ แล้วเราก็บอกว่าไม่มีอะไร เราอยู่กันอย่างสันติ ความเป็นจริงแล้วเรื่องความคิดมันก็ยังมีอยู่แล้วในเรื่องนี้ ผมว่าน่าติดตามชมมาก โดยเฉพาะนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นในสาขาวรรณกรรมหรืออะไรก็ตาม ลองมาดู เพราะนี่มันคือความซับซ้อนทางจิตวิทยา เป็นสิ่งที่คนเราไขว่คว้าในวันหนึ่งคนเราออกกฎขึ้นมาเพื่ออะไร เราอยู่กันอย่างผาสุก หรือท้ายที่สุดแล้วหนทางแห่งอิสระนั้นเป็นหนทางที่ผาสุกกว่า มันเป็นเหมือนแง่คิดให้เราได้ประมวลว่า ท้ายที่สุดแล้วตัวเราเองเป็นตัวละครตัวไหนในเรื่อง สะท้อนแง่มุมของมนุษย์ได้จริงๆ แต่ผ่านเหตุการณ์ของมนุษย์ที่ค่อนข้างรุนแรงกระทบกระเทือนและสะเทือนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่ากัน การข่มขืน เหตุต่างๆ เหล่านี้มันเป็นเหตุจูงใจ พอมานั่งคิดแม้แต่คนที่นิ่งที่สุดอย่างพระอานนท์ก็ยังเกิดความสงสัย ความยากง่ายของตัวละครตัวนี้มันต้องเล่นหลายแง่มุมใช่ไหมตัวโจรป่าสิงห์คำผมว่าความยากน่าจะอยู่ตรงที่การแสดงซึ่งค่อนข้างดิบเถื่อน เป็นคนหนีสังคม เป็นคนขว้างโลกโผงผาง เราไม่มีกฎ เราไม่มีระเบียบ เราทำทุกอย่างที่เราอยากจะทำ ฉุดฆ่าใครก็ได้ เราจะไปปล้นสะดมใครก็ได้ เราหิววันนี้เราจะกินจะใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ แต่ความง่ายของมันอยู่ที่เรื่องของเรา คนที่มองเห็นสิงห์คำ ถ้าเล่าถึงตัวเองเราเป็นโจร เรามีชีวิตที่อิสระ ถ้าแม่หญิงคำแก้วเล่าเราจะเป็นผู้ชายที่เลวมากเพราะเราไปข่มขืนเขา สำหรับเจ้าหล้าฟ้าเองก็จะเป็นอีกมุมหนึ่ง ท้ายที่สุดคนที่วงนอกก็จะมองเห็นสิงห์คำเป็นอีกอย่างหนึ่ง แม้กระทั่งสัปเหร่อ, คนตัดฟืน หรือพระเองก็มีมุมมองต่อโจรสิงห์คำในใจต่างกันไป แต่มันอาจจะไม่ได้ชัดมาก เพราะว่าพระอานนท์ฟังจากคนอื่นมาอีกทีหนึ่ง ดังนั้นการเล่นของสิงห์คำเป็นไปในทิศทางเดียวไม่ยากแต่มันต้องคงเค้าโครงของมันไว้ เพื่อให้เกิดความสอดคล้องว่าท้ายที่สุดแล้วแต่ละคนมันจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่ การซ้อมก่อนการถ่ายทำจริงของหม่อมน้อยเป็นส่วนที่ช่วยในการแสดงมากน้อยแค่ไหนต้องยอมรับว่าผมอยู่ในวงการนี้มานาน การทำงานกับหม่อมน้อยเรื่องนี้ก็เป็นครั้งแรก หม่อมก็ได้ให้แง่คิดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการวางรากฐานของตัวละครวางพื้นฐานของตัวละคร ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่หลายๆ คนมักจะลืม บางทีได้บทมา เราอ่านเราไม่คิดหรอกว่าอะไรยังไง เราคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวละครที่เขาให้มามันควรอายุเท่าไหร่ แต่คือหม่อมจะให้แง่มุมที่สะท้อนมาว่า ทำไมคุณถึงเป็นโจร ทำไมเราต้องปล้น ก็เราไม่มีจะกิน อ๋อ...แปลว่าเราครอบครัวยากจน คือมันจะอ้างอิงไปถึงบางอย่าง ทำไมเราถึงข่มขืน อันนี้มันน่าคิด เราก็มองย้อนเราไม่ได้รับการเหลียวแลจากสาวๆ เพราะอะไรถึงไม่ได้รับการเหลียวแล คือเพราะเราจน เราครอบครัวยากไร้ เราไม่มีการศึกษา เราดิบเถื่อน พอเราได้ขัอมูลต่างๆเ หล่านี้ขึ้นมา มันจะเป็นการวางรากฐานของตัวละครขึ้นมา เราใช้ชีวิตอยู่กับอะไร เราอยู่กับป่าเราอยู่กับเขาต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งวิธีการสอนของหม่อมนอกจากการวางรากฐานแล้วยังให้พัฒนาการย้อนหลัง เพื่อไปดูโจรในวัยเด็กเองที่เคยเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งเสลี่ยงผ่านไป แม่หญิงดูสวยจับใจมาก นี่มันเป็นความประทับใจครั้งแรก เหมือนเราเห็นทะเลครั้งแรก ทุกคนจะต้องวาดเหมือนกันหมดคือมีเส้นขอบฟ้ามีภูเขา พระอาทิตย์กำลังจะตกหรือกำลังจะขึ้นก็ไม่รู้ มีนกบินมีเมฆมีต้นมะพร้าวเป็นความประทับใจของเด็กที่เห็นทะเลครั้งแรก และเมื่อพูดถึงน้ำตก เราก็จะเห็นน้ำไหลลงมา นี่คือรูปวาด นี่คือความประทับใจ นี่คือการวางรากฐานของตัวละคร มีวิธีที่นำเสนอมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยา เรื่องของการให้คอมเม้นต์ ซึ่งตรงนี้เองที่หม่อมจะเปิดโอกาสให้ตัวนักแสดง คุณอยากจะใส่อะไรเพิ่ม คุณคิดว่าเขาควรจะเป็นยังไง เขาควรจะกิน ดื่ม หลับ นอนยังไง เป็นต้น โดยที่ไม่ต้องมีอะไรมาวุ่นวาย แล้วมันทำให้ตัวละครเข้าใจได้ง่าย คนที่มาเล่นเองเข้าใจได้ง่าย และยังถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครตัวนี้ไปให้คนอื่นๆ ได้เห็น ได้รับรู้ทิศทางของมันต่อไปในอนาคต โจรที่ไม่ถูกจับจะเป็นยังไง โจรที่ไม่ถูกประหารชีวิตจะเป็นยังไง เขาจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงในสังคม มันเป็นเบื้องหน้าและภูมิหลังอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพูดง่ายๆ คือการสร้างบ้านให้ตัวละครตัวหนึ่งอยู่ ถ้าสมมติตัวเองว่าทุกครั้งที่ออกมาจากบ้าน คนต้องไปทำงาน ลองซักวันที่เมาเละหัวราน้ำ ผมบอกเลยครับทุกคนจะทำอะไรทุกอย่างเพี้ยนไปหมดเลย ตั้งแต่เช้านี้เราต้องเข้างานหรือเปล่า จะต้องกลับไปอาบน้ำแปรงฟันหรือยังไง ทุกอย่างจะบิดเบี้ยวไปหมด นี่คือการสร้างบ้านหรือการวางรากฐานให้ตัวละคร การวางรากฐานตรงนี้มีส่วนช่วยพี่ดอมมากน้อยแค่ไหนจากการที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วดีครับ มันทำให้การพูดไดอะล็อค การรู้สึกนึกคิดของเรา มันจะเป็นไปในทิศทางที่ตัวละครตัวนั้นเป็น มันไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่เราควรจะพูดบอกคนบอกว่าจำบทไม่ได้ แต่จริงๆ คือไม่ได้จำบท แต่ถ้าว่าวันนี้เราเป็นสิงห์คำ มันทำให้เรากลืนกินคำพูดทุกอย่างย่อยในกระเพาะดูดซึมไปในกระแสเลือดในตัวเรา การขยับตัวมูฟเม้นต์ของตัวเราทั้งหมดนี่แหละ มันเป็นอุบายที่แยบยลมากในการเรียนการสอนของหม่อม คือการอยู่ในป่ามันต้องดุดัน มันต้องแข็งแรง แต่ถามว่าเราจะแข็งแรงไปกว่าทุกสรรพสิ่งไหมนั้น ก็เปล่า อย่าลืมว่าถึงแม้ว่าเราจะตัวใหญ่มากในกลุ่มคนของเรา แต่เราก็เล็กมากสำหรับธรรมชาติ การเรียนรู้วิถีของสิงห์คำเป็นวิถีหนึ่งที่ต้องใช้ความพยายาม ในขณะที่อนันดาหรือเจ้าหล้าฟ้าเขาจะเป็นที่ลักษณะสง่างาม แต่ซ่อนความรู้สึกทุกอย่างไว้ข้างใน ข้อขัดแย้งที่เกิดทุกอย่างในวงสังคม ความรู้สึกกดดันที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนต่างๆ มันทำให้เขารู้สึกต้องนิ่งต้องเย็นเพื่อกลบทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในขณะที่สิงห์คำคิดจะทำอะไรๆ ก็ได้หมด การร่วมงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ โอกาสนี้หาได้ยากมากนะกับนักแสดงคนหนึ่งอย่างผม คือไม่ว่าจะเป็นทีมงานโปรดักชั่นของหม่อมน้อยก็ได้รับรางวัลกันมาแล้ว หม่อมเองก็บอกว่าจะไปคิดอะไรกับมันมากก็แค่รางวัล เราต้องอย่าไปยึดติดกับอดีตและอย่าไปคาดหวังกับอนาคต นี่คือสิ่งที่หม่อมมักจะบอกอยู่เสมอ อนันดาและพลอยเขาก็ร่วมงานกันมานานเรียกได้ว่าเป็นลูกศิษย์กลูกหม้อของหม่อมเองเลยก็ว่าได้ เขาค่อนข้างเข้าขากันดี แล้วเราก็ต้องตามให้ทัน อีกฝั่งหนึ่งก็คือเรื่องราวของเราทั้งสามคนที่เกิดขึ้นมันกลับกลายเป็นเรื่องเม้าท์ของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ สัปเหร่อ ซึ่งนำแสดงโดยพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, คนตัดฟืน แสดงโดยพี่หม่ำ แล้วก็พระอานนท์ โดย มาริโอ้ สามคนนี้เขาจะจับกลุ่มนั่งคุยกัน พูดถึงสิ่งที่มันกำลังผ่านไป มันก็จะเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นทีมตะกร้อสองทีมกำลังสู้กันอยู่ เราต้องนึกว่ายังไงดี เราอาจจะนึกถึงเรื่องทิวทัศน์ที่สวยงาม การสู้กัน การข่มขืน การฆ่ากัน สิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของทั้งสามคน สิ่งนี้คือสิ่งที่เราต้องนำออกมาให้เกิดบทสรุปในตอนท้าย เพื่อให้ผู้ชมหลายๆ คนได้ชมได้ติดตาม ปัจจุบันหม่อมก็จะพูดถึงบ่อยๆ เรื่องของข่าว Gossip ของดาราคนนั้นเป็นคู่คนนี้ แล้วจริงๆ แล้วมันไม่มีใครเห็นภาพนั้น เพราะเวลาเขาอยู่กันสองคนอยู่ในรถกันสองคน หรือไปเที่ยวไหนต่อไหนกันสองคน ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคืออะไร แต่ทุกคนจะเดากันไปเอง มันทำให้เราหยุดความคิดของเรากันแค่นั้น และเราก็จะเล่ากันแต่ข้อมูลเดิมๆ บางคนมันก็อย่างนี้แหละ โดยที่ไม่ได้ชั่งใจกับปัจจุบันที่เราอยู่กัน พอย้อนกลับมาเรื่องของอนันดากับพลอยถึงแม้ว่าเขาจะมีผลงานแสดงที่ร่วมกันมาพอสมควร สำหรับการเข้าขาในเรื่องนี้เขาเองที่เป็นคู่ที่มีความขัดแย้งกันอยู่กลายๆ ซึ่งโจรก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยกลายเป็นตัวแปรอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้ง มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าเราต้องไปร่วมอยู่ในวงเสวนาด้วยหรือเปล่า เราก็ต้องดันตัวเอง แต่ถ้าดันตัวเองออกมาก็กลายเป็นว่าเราจะเล่นไม่เข้าขากัน ดังนั้นการซ้อมของหม่อมการที่เรียกมาทำเวิร์คชอปมันเป็นสิ่งที่ดีมาก แล้วต้องบอกอีกอย่างไม่ว่าจะเป็นคุณอนันดา, พลอย หรือตัวหม่อมน้อยสมแล้วครับที่ได้รางวัลกวาดกันมาเยอะแยะขนาดนั้นในทุกๆ เวที ซึ่งนับถือมากครับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของน้ำใจ ความสามารถ ความทุ่มเท นอกจากนี้ยังมีทีมงานท่านอื่นๆ ด้วยซึ่งไม่ว่าจะทีมงานช่างไฟ เสียง กล้อง มองทุกอย่างผ่านความสวยงาม สิ่งนี้ทำให้พี่ดอมต้องปรับตัวมากน้อยแค่ไหนหรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราทำงานสนุกมากขึ้นเมื่อมาเจอทีมนี้ถ้าต่อยมวยต่อยกับคนไม่เก่งเราก็จะไม่เก่ง การทำงานแบบนี้มันช่วยให้เราพัฒนาตัวเองกับรูปแบบการทำงานที่หลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้มทำพรีโปรดักชั่น ทำเวิร์คชอปกับหม่อมเอง ซึ่งหม่อมจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดสิ่งสำคัญต่างๆ ไปจนถึงองค์รวมด้วย การทำงานกับทีมงานทั้งหมด การทำงานกับนักแสดงท่านอื่นๆ ทำให้เรามองเห็นแง่มุมของการทำงานต่างๆ เยอะ ซึ่งตรงนี้เองถือว่าเป็นความภูมิใจ ถ้าถามปรับตัวเยอะไหมคือ ตัวผมเองปัจจุบันค่อนข้างยุ่ง ยุ่งกับงานของตัวเองเยอะ พยายามที่จะเจียดเวลามา เพราะเราก็เชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับหม่อมว่า ถ้าเกิดรับเล่นแล้วก็จะเต็มที่ จะทำให้ได้ดีที่สุดอย่างที่หม่อมอยากจะได้ แต่อย่างหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือความทุ่มเทอย่างเดียวมันไม่พอ คือมันต้องมีเวลา ซึ่งเวลาเป็นสิ่งที่เราเองก็ต้องหา โอกาสนี้มันมีไม่บ่อยนักที่จะได้ร่วมงานกับบุคลากรชั้นนำในวงการครับ การร่วมงานกับอนันดา มีฉากแอ็คชั่นสู้กันด้วย เป็นยังไงบ้างสำหรับฉากแอ็คชั่นของโจรป่ากับขุนศึกในเรื่องมันเป็นสรุปการเล่าเรื่องของคนสองคนคือ โจรป่ากับคนตัดฟืน จากการทำงานก็ทำงานตามบริเวณน้ำตกแต่สิ่งที่มันแตกต่างกันก็คือ คนหนึ่งเล่าจากจินตนาการของตัวเองกับอีกคนหนึ่งเล่าจากสิ่งที่เขาเห็น การฝึกซ้อมก็ใช้เวลาพอสมควร ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิดกระบวนการของท่าต่างๆ ไปจนถึงการลงพื้นที่จริง ซึ่งการลงพื้นที่จริงมันมีความยากลำบากตรงที่พื้นผิวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เหล่านี้ มีทิวทัศน์ที่เป็นหน้าผาใหญ่มากแล้วตัวแสดงก็ตัวเล็ก ดังนั้นสิ่งที่เคลื่อนไหวในฉากใหญ่ๆ อย่างโรงละครอะไรประมาณนี้ นักแสดงต้องเล่นให้ใหญ่ จะสู้กันก็ต้องทำให้ออกมาใหญ่ แต่พอไปอีกเรื่องหนึ่งมันก็ต้องวุ่นวายมันคือบทสรุปของการเอาชีวิตรอดและต้องทำงานแข่งกับเวลาพอสมควร แล้วถ่ายทำที่น้ำตกหมอกฟ้า มันอยู่ในหุบเขามันมืดค่อนข้างเร็ว ก็ต้องดิ้นรนกันพอสมควร ก็ฟกช้ำกันเยอะ ดาบที่ใช้ก็ตีนิ้วกันน่าดู มีหินเต็มไปหมด อยู่ในป่าถ่ายทำอยู่ทั้งวันกับสองฉากนี้ ได้ร่วมงานกับพี่พันนาด้วยใช่ครับ ทางทีมพี่พันนาต้องยอมรับว่าเซียนมากแม่น แน่น อุปกรณ์ครบ มีการถ่ายทอด มีการทดลองทุกอย่างในเรื่องของมุมมองและในเรื่องต่างๆ ให้ได้เห็นกันชัดเจน แล้วก็ที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของการปรับเปลี่ยน เพราะว่าจากสตูดิโอหรือที่ฝึกซ้อมของพี่พันนามาลงพื้นที่จริง มันก็ต้องมีเรื่องของการปรับเปลี่ยนไป บางครั้งก็ไม่รู้จะวิ่งยังไงเพราะในห้องซ้อมของพี่พันนาเองก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ เพราะมันไม่มีต้นไม้มีน้ำตกหรืออะไรให้เห็น แต่พอได้ลงพื้นที่จริงบอกได้เลยว่าเร็วมาก พอหม่อมมาดูหม่อมก็บอกว่ามุมนี้ดีกว่าแล้ว พี่พันนาก็บอกว่าเดี๋ยวผมเล่นให้ดูก่อน เขาก็ฟันดาบกันแล้วก็บรรยากาศที่มีน้ำตกไหลลงมา เราก็แอบคิดว่เราจะทำได้ไหม ผมก็มองหน้ากับอนันดาแต่สุดท้ายก็เล่นกันได้ ซึ่งจุดหนึ่งมันก็อาจจะไม่ได้แนบเนียนอย่างที่ทีมงานพี่พันนาเขาเล่นกัน แต่ทีมงานพี่พันนาก็จะบอกว่ามันก็สตั๊นท์แมนเล่นครับ ยังไงมันก็คือสตั๊นท์แมน แต่ถ้าเกิดเราเล่นเองแล้วมันเนียนมันดูทุลักทุเลสมจริงกว่า ซึ่งสมัยนี้มันหายากแล้วสำหรับฉากแอ็คชั่นในสมัยก่อนที่เป็นฉากขาวดำนั้นคือเขาต่อยกันจริงๆ แต่พอมายุคนี้มันเปลี่ยนไป เรามีสายงานที่ผลิตนักแสดงสร้างงานต่างๆ เหล่านี้นั้นมันก็ดีขึ้นตามลำดับ วันนั้นเหนื่อยมากครับ เสียงหายเดินกลับคอห้อยกันหมดเลย โดยส่วนตัวแล้วมีความประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษจริงๆ แล้วเป็นคำถามที่ตอบง่าย แต่ความหมายมันเยอะ มันประทับใจหมดเลย เพราะจากที่ได้ร่วมงานมาเป็นโปรดักชั่นที่ทำงานได้เร็ว มีการฝึกซ้อมที่แน่น มีการเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้นั้นทำงานกันได้อย่างลงตัวและเร็ว พอมาถึงเรื่องสถานที่การถ่ายทำ เรื่องของสวัสดิการการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทีมพร็อพ ทีมต่างๆ คือทุกอย่างมันลงตัว ทีมงานก็เหนื่อนย ตัวแสดงก็เหนื่อย แต่ผมคิดว่าคงไม่เหนื่อยเท่าทีมงาน หม่อมเองยิ่งเหนื่อยเพราะหม่อมต้องมาลงถึงเรื่องความรู้สึกนึกคิด การควบคุมภาพ การดูทางแสง การจัดพร็อพหรืออะไรต่างๆ ดูแลความเรียบร้อยเหมือนเป็นพ่อของโปรเจ็คต์นี้ มีความประทับใจที่ได้ทำงานร่วมกับอนันดา พลอย และได้เจอกับมาริโอ้บ้าง พี่อ๊อฟบ้างและพี่หม่ำ อันนี้คือได้เจอหลังเฟรม ซึ่งแต่ละคนก็น่ารักและพยายามตามล่าหาสิ่งใหม่ๆ มาลง ทำให้สนุกมากและประทับใจมากครับ นานๆทีจะได้เห็นพี่ดอมเล่นหนังแบบนี้ ส่วนตัวคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ยังไงบ้างคาดหวังอะไร ผมคาดหวังในเรื่องแง่คิด ทำยังไงให้คนดูได้คิดจากแง่มุมของชีวิต คือจริงอยู่ว่านักแสดงที่ได้มาอยู่ในนี้เป็นนักแสดงที่มีคุณภาพผ่านงานกันมาแล้วกวาดรางวัลกันก็เยอะ คือตัวผมเองคงไม่เท่าไหร่ แต่องค์โดยรวมการตัดสินใจของตัวหม่อมเอง ผมคิดว่าเรี่องนี้เป็นหนังสวยทางความคิดเยอะ ก็คือดูได้ดูแล้วดีมีฉากสะเทือนอารมณ์ รู้สึกกดดันมีคำถามอยู่ในใจ เพราะว่าการทำหนังมันมีพัฒนา 3 คุณลักษณะ พัฒนาทางด้านอารมณ์ ดูแล้วทำให้คลายเครียด ต่อมามีการพัฒนาทางด้านสมอง เพราะยิ่งเรื่องมันซับซ้อนมากเท่าไหร่คนได้ใช้ความคิดตาม มองเห็นหนทางแก้ไขและอื่นๆอีกมาก พอออกจากโรงหนังมันทำให้เราประเมินว่าบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโรงหนัง มันเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า และอย่างสุดท้ายคือ เรื่องของการยกระดับจิตใจ เพราะแน่นอนมันมีเรื่องถูก มันต้องมีเรื่องผิด เราจะทำอะไร เราต้องเลือก มันเป็นการทะนุบำรุงจริยธรรมและอื่นๆ อีกมาก คือคนทุกคนอยากเป็นฮีโร่ เพราะว่าเราได้แรงบันดาลใจ มันยกกระดับมาแล้วว่าเราต้องทำความดี เราต้องยับยั้งอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นการยกระดับทางจิตใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วเราไม่สามารถตัดสินปัญหาด้วยกำลังได้อย่างเดียว ดังนั้นมันจะมีแง่มุมที่วันหนึ่งเราเองต้องไปหาคำตอบ และถ้าวันหนึ่งเราทำสำเร็จ เราก็จะกลับมามีอารมณ์ที่แจ่มใส ทั้งสามหัวข้อนี้หม่อมเป็นคนสอนอันนี้ต้องยกให้หม่อมเพราะมันเป็นสิ่งที่ได้กลับมา คือ 3 อย่างที่กล่าวมานี้มีใน “อุโมงค์ผาเมือง” แน่ๆ มีเต็มเหนี่ยว คือผมว่าเป็นบทประพันธ์ที่ดี คือบางช่วงอาจจะหนัก บางช่วงอาจจะได้ให้ขำขันกันบ้าง แต่แน่นอนว่ามันเป็นการพลิกบทบาทของใครหลายๆ คน และเนื้อเรื่องให้แง่คิดแน่นอนครับ

FB on August 24, 2011, 03:51:38 PM
บทสัมภาษณ์ “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ปล่อยของอีกครั้งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “อุโมงค์ผาเมือง”

           
 
บทบาท-คาแร็คเตอร์
          เรื่องนี้รับบทเป็น “สัปเหร่อ” ครับ จริงๆ แล้วสัปเหร่อเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอุโมงค์ผาเมืองเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ผ่านโลกมาเยอะมาก รับรู้นิสัยใจคอของมนุษย์ทั้งคนเป็นและคนตาย เพราะฉะนั้นเขาสามารถที่จะอ่านคนออกได้ค่อนข้างเยอะ เปรียบเทียบความเป็นอยู่ของแต่ละคน การใช้ชีวิตของแต่ละคนกับตัวเองได้ละเอียด คือสัปเหร่อเป็นคนที่ใช้ชีวิตในวิถีที่เรียกว่ากลางๆ ไม่สุดโต่ง ไม่มากไม่น้อย ทุกอย่างทำในลักษณะที่เป็นคนจริงๆ คือ ดีก็ดีชั่วก็ชั่ว ไม่ต้องตัดสิน ไม่ต้องอะไรกัน ใช้ชีวิตอยู่รอดกันไป สำหรับตัวละครตัวนี้ ไม่ว่าใครไม่เปรียบเทียบไม่ทะเลาะวิวาทไม่ต่อยตี ไม่โกหกตัวเอง ดีเขาก็ทำดี มันจะชั่วก็ต้องชั่ว เพราะฉะนั้นบางครั้งเขาสามารถที่จะหยิบผ้าออกจากร่างกายของเด็กที่มีสิทธิ์ที่จะตายได้ และเอาผ้าผืนนั้นไปขายโดยที่ไม่รู้สึกว่าผิดเลย เพราะว่าเด็กก็ต้องตายอยู่แล้ว เด็กที่ถูกเอามาทิ้งที่อุโมงผีผาเมืองเป็นอย่างนี้ทุกวัน วันละคนสองคน สิ่งเดียวที่มันช่วยได้คือ เอาผ้าห่มไปขายเพื่อยังชีพของตัวเอง แต่การช่วยชีวิตเด็กมันก็คงจะไม่ไหว เป็นคนที่ยอมรับความจริงกับตัวเอง ผ่านชีวิตมาเยอะก็เลยสามารถวิเคราะห์คนอื่นได้ ใครพูดจริงใครพูดโกหก

มีวิธีการสร้างคาแร็คเตอร์นี้อย่างไรบ้าง
          ก็มีการคุยกันเยอะกับอาจารย์คือหม่อมน้อยเนี่ยนะครับว่าจะสร้างคาแร็คเตอร์ขนาดไหน ก็เป็นคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ ต้องแต่งเอฟเฟกต์ที่ตัวทำหน้าทำตา แล้วผมก็ต้องทำเสียงให้แหบนิดหนึ่ง พิการขาเป๋ข้างหนึ่งไม่พอ เอามือหงอย ค่อนข้างที่จะเยอะนิดหนึ่งสำหรับตัวละครตัวนี้ สังเกตดีๆ ก็จะมีอาการสันนิบาต กระตุกบริเวณใบหน้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่พูด ก็เป็นอะไรที่ถูกสร้างขึ้นมา พูดไปกล้ามเนื้อที่ใบหน้าก็กระตุกไป เวลาเดินก็ขาหงอย ใช้แขนได้ข้างเดียวเพราะว่าแขนหงอยไปข้างหนึ่ง ใช้เวลาฝึกซ้อมค่อนข้างเยอะ ก็ต้องมีการค่อยๆ ปรับค่อยๆ เติม ส่วนกล้ามเนื้อกระตุกไปโผล่เอาตอนแสดง ก็ดีน่ารักดีสนุกดี เป็นตัวละครตัวหนึ่งที่น่ารักเลยล่ะ

การซ้อมก่อนการแสดงจริงมีส่วนช่วยมากน้อยแค่ไหน
          แน่นอนอยู่แล้วนะครับว่า สิ่งที่สำคัญของการแสดงไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือภาพยนตร์หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้ก้าวไปสู่ตัวละครได้ 100% ในวินาทีที่เราเดินเข้าไปในฉากแรก นั่นหมายความว่าขั้นตอนการคิด สร้างดีไซน์ บุคลิกลักษณะตัวละครถูกกำหนดขึ้นมาก่อน แต่ของอาจารย์นี่จะลงรายละเอียดลึกไปถึงการตีความในแต่ละฉากด้วย โดยเฉพาะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านให้ความสำคัญกับบทพูดอย่างสูงสุด ผมจำได้สมัยที่เล่นละครเวทีเล่นเป็นโจร ท่านเขียนไว้เลยว่ากรุณาพูดให้ตรงทุกคำพูด เพราะทุกประโยคทุกคำพูดมีความหมายในตัวของมันเองทั้งนั้น คือโน้ตที่หม่อมคึกฤทธิ์ท่านเขียนไว้เลยตอนนั้น ซึ่งเราเอาบทประพันธ์ของท่านมาในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เพราะความหมายของแต่ละคำมีความหมายทุกอย่าง มันมีนัยในแต่ละประโยค แม้กระทั่งคำพูดของ “ลมพัดวูบหนึ่ง” ในตัวโจรที่พูดก็เห็นอะไรได้ตั้งเยอะแยะ สิ่งที่ตัวสัปเหร่อพูดถึง มนุษย์เราคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่เป็นโตของชาติบ้างล่ะ จากปรัชญาที่เป็นจริงในสังคม แต่คนที่มีความสุขคือคนที่ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องเด่นต้องดังหรือต้องรวย ไม่มีอะไรและไม่ต้องหลอกตัวเอง ผมว่าตรงนั้นเขามีความสุขที่สุด เขารวยเขาก็บอกว่าเขารวย ไม่ต้องหลอกตัวเอง

คาแร็คเตอร์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นเลย ต้องมีการเมคอัพ มีความลำบากในการแสดงหรือไม่
          ผมว่ามันเสริมการแสดงมากกว่าอุปสรรคนะ เพราะว่าเมื่อเรามีรูปร่างที่มันเป็นไปตามต้องการในภาพยนตร์นะครับ ความไม่น่าเชื่อถือของตัวละครตัวนี้ก็ต้องเกิดขึ้นก่อน เพราะว่าความต้องการของตัวละครตัวนี้ คนที่ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ ความน่าเกลียด ไม่เป็นที่ยอมรับ ความไม่น่าเชื่อถือ ความน่ากลัว ทุกอย่างมันจะค่อยๆ ถูกลดน้อยลง กลายเป็นว่าตัวละครตัวนี้เป็นมนุษย์มากที่สุด เป็นคนมากที่สุด และชั่วน้อยที่สุด เลวน้อยที่สุด ผมว่าตรงนี้สิ่งที่เอฟเฟ็คต์ต่างๆ เกี่ยวกับหน้าตาหรือความพิการต่างๆ มันทำให้ตัวละครตัวนี้มีความน่าเชื่อถือ แต่เรื่องราวต่างๆ ที่ถูกเล่าผ่านตัวละครตัวนี้ จะค่อยๆ สร้างพัฒนาความน่าเชื่อถือความเข้าใจ ความเป็นมนุษย์ผ่านตัวละครตัวนี้ เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับสอนให้รู้ว่าเราอย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ของคนที่อยู่รอบข้างเรา ผมว่าต้องมองให้ลึกให้เข้าใจว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในตัวเขา มันคือความดี มันคือความชั่ว อย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่

การดำเนินเรื่องของตัวสัปเหร่อ
          สัปเหร่อเรียนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคดีนี้ไปพร้อมกับคนดู และวิเคราะห์ทำความเข้าใจผ่านตัวละครตัวนี้ได้มากที่สุด พระคือผู้ที่ไม่ได้รู้อะไรเลย ซึ่งพระเรียนรู้ธรรมะจากคนที่เรียกว่าสัปเหร่อ พระผู้ที่สอนธรรมะเนี่ยกลับต้องเรียนรู้จากคนที่เป็นสัปเหร่อ เพราะฉะนั้นตัวละครตัวนี้ถูกสร้างให้มีความไม่น่าเชื่อถือในตอนแรก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ สร้างการยอมรับให้กับคนดู ถ้าเป็นตัวละครเหมือนกันก็คือเป็นการสร้างการยอมรับให้กับพระ ในความเป็นจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ความน่าเชื่อถือกับคนดู สร้างแรงจูงใจให้กับคนดู รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับคนดู
          โดยในตัวอุโมงค์ก็เป็นบ้านของตัวสัปเหร่ออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในความแปลกของตัวละครแทบจะไม่มี แต่ในความแปลกของคนตัดฝืนซึ่งมีน้อยกว่าพระ เพราะในขณะที่มีเสียงร้องของสัปเหร่อที่โหยหวน คนตัดฝืนมันรู้และตกใจ นี่คือธรรมแรกที่สอน คือเรื่องของจิตเรื่องของสมาธิ หลังจากนั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เกิดในถ้ำแห่งนี้ เหมือนเกิดขึ้นในบ้าน มีคนเข้ามาในบ้านของสัปเหร่อ เนื่องจากมาสร้างความรำคาญเพราะนอนอยู่ คนจะหลับจะนอนก็มาพูดให้หนวกหู นั่นก็คือจุดเริ่มต้น แต่มันกลับไปฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับตัวละครสองตัวนั้น ได้เรียนรู้ธรรมะ และได้สอนธรรมะให้กับพระองค์หนึ่งซึ่งกำลังที่จะละด้วย

การร่วมงานกับมาริโอ้และหม่ำ จ๊กม๊ก
          นักแสดงอาชีพไม่ต้องพูดถึงนะครับ อย่างทั้งสองท่านนี้ก็เคยเล่นหนังด้วยกันมาแล้ว หม่ำนี่ก็จริง ๆเจอกันบ่อยมาก ส่วนมากจะเป็นเรื่องรายการ แต่เรื่องของการแสดงน่าจะเป็นเรื่องแรกที่ทำงานด้วยกัน นักแสดงทั้งสองท่านส่งเสริมฉากให้มันสมบูรณ์ขึ้น ส่งเสริมความเชื่อของตัวละคร สร้างพลังงานให้กับฉากในแต่ละฉาก เป็นนักแสดงอาชีพที่สนุกมากครับ
          หม่ำนี่ถือว่าเปลี่ยนคาแร็คเตอร์ไปเลย ทำได้ดี ลบความเป็นหม่ำออกไปได้ไปอย่างหมดจด เล่นเป็นคนตัดฟืนออกมาได้อย่างสวยงาม ซึ่งทำให้ฉากแต่ละฉากที่ได้แสดงร่วมกันมันสมบูรณ์ และพลังงานในแต่ละฉาก ผมเชื่อว่าสามารถสะกดคนดูได้อยู่ทุกครั้งที่ออกมา

จากตอนเล่นละครเวทีพี่อ๊อฟแสดงเป็นอีกตัวละครหนึ่ง
          ตอนเล่นละครเวทีเล่นเป็นโจรครับ โดยในขณะที่เราเล่น เราก็จะแอบสังเกตตัวละครสัปเหร่อ เพราะพาร์ทของอุโมงค์ฯ มันมี 2 พาร์ท ของชายป่าที่เป็นเรื่องเล่าของ 3 คน ซามูไร, โจร, ผู้หญิง ในขณะที่ตรงอุโมงค์ประตูผี มันจะมี พระ, คนตัดฟืน, สัปเหร่อ ในขณะที่ตอนซ้อมกัน ฝั่งนี้เล่นเราจะแอบสังเกตดูตัวของสัปเหร่ออยู่ มันได้เรียนรู้ได้ทำความเข้าใจ บางครั้งมันก็วิ่งตาม บางครั้งก็วิ่งนำ เป็นตัวละครที่สนุกมากๆ จริงๆ ตัวละครทั้งหมดในเรื่องผมว่าน่าสนใจหมดนะ และมีคุณค่าในการส่งเสริมตัวภาพยนตร์ให้สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวของแม่มาริโอ้ที่คุณชุดาภาเป็นผู้แสดง แม่ของแม่หญิงก็คือ ท็อป ดารณีนุช และน้องนิวที่เล่นเป็นพี่ของมาริโอ้ ตัวของเจ้าหลวงหรือใครก็ตาม ผมว่าทุกตัวละครได้สร้างความสมบูรณ์ให้กับภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์แบบ เราทิ้งตัวละครตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ทุกตัวมีความสำคัญหมด ผลรวมก็คือส่งเสริมภาพยนตร์ให้มีความสมบูรณ์ครับ

การมาร่วมงานกับอาจารย์ตัวเองกดดันหรือไม่
          ไม่เลยครับ เพราะจริงๆ แล้ววผมค่อนข้างที่จะไปเข้าคลาสกับหม่อมบ่อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับการทำคลาสหนึ่งอัน ที่ผ่านเรื่องเทคโนโลยีของกล้อง แต่ปกติเราก็จะซ้อมอยู่เหมือนเป็นอะไรก็ได้ ผมค่อนข้างจะเข้าไปคุยกับหม่อมบ่อยของเรื่องไดเร็กชั่น หรืออีกอาชีพหนึ่งของผู้กำกับจะต้องเข้าเรียนรู้วิธีที่จะให้เขาแสดง มันไม่ใช่วิธีแสดงแล้วจากที่ตัวเองไปเรียนกับหม่อม แต่เป็นเพื่อให้เป็นเขาแสดงให้ได้ เพื่อให้เขากระทำออกมาให้ได้ ได้กระทำสิ่งที่เราต้องการออกมาให้ได้ มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาจารย์เขาสอนให้ เราต้องไปเรียนรู้เราต้องไปปรับความเข้าใจ

ความน่าสนใจโดยรวมของอุโมงค์ผาเมือง
          จากที่ผมได้ดูแล้ว สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ คือความเป็นพุทธบูชา หม่อมพยายามให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพุทธบูชา เป็นธรรมะที่สอนให้กับคน เป็นภาพยนตร์ที่แปลกและใหม่จากละครเวที จากภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เราเคยดู นั่นคือการสร้างภาพยนตร์ไทยหนึ่งเรื่องวัตถุประสงค์ก็เพื่อพุทธบูชา เป็นความรู้สึกที่ผมชอบมากๆ ผมว่านี่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราควักเงินในกระเป๋ามาดูหนังดีๆ หนึ่งเรื่องได้ ซึ่งผมก็ภาวนาทุกครั้งว่าเมื่อหนังแปลกๆ ใหม่ๆ แบบนี้ออกมาก็ขอให้รายได้เยอะๆ เพราะเราจะได้มีแรงที่จะทำหนังที่มันแปลกและจะได้มีผลไปถึงคนดูที่จะเลือกดูอะไรที่มันแตกต่างที่ไม่ได้มีอยู่ทั่วๆ ไปที่เขาเรียกว่าเป็นแมส แต่ว่าการเป็นตัวเลือกมันก็เป็นอะไรที่น่าค้นคว้าและน่าค้นหาอย่างหนึ่งครับ

FB on August 24, 2011, 03:56:07 PM
แอ็คชั่นสนั่นป่า “พันนา ฤทธิไกร” กำกับฉากบู๊ “อนันดา-ดอม” ร่วมงาน “หม่อมน้อย” ครั้งแรก ใน “อุโมงค์ผาเมือง”







          นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่แห่งวงการภาพยนตร์ไทย เมื่อสุดยอดผู้กำกับคิวบู๊ระดับอินเตอร์ “พันนา ฤทธิไกร” จับมือกับผู้กำกับชั้นครูฝีมือละเมียด “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ร่วมกันกำกับฉากต่อสู้อันน่าตื่นเต้นระหว่าง “อนันดา เอเวอริงแฮม” และ “ดอม เหตระกูล” ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปีเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง”
หม่อมน้อยเผยถึงฉากแอ็คชั่นนี้ว่า

       
  “ผมไม่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ซักเท่าไหร่นัก แต่ในเรื่องนี้ต้องมีฉากต่อสู้ของอนันดา และดอมท่ามกลางป่า และธรรมชาติอันสวยงามที่น้ำตกหมอกฟ้า ผมจึงต้องเชิญคุณพันนามาออกแบบและร่วมกำกับฉากแอ็คชั่นในหนังพีเรียดเรื่องนี้ แล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับคิวบู๊มืออาชีพระดับอินเตอร์อย่างนี้ คุณพันนาไม่ใช่แค่กำกับฉากบู๊ให้ดูสนุกตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น แต่ยังสร้างสรรค์ศิลปะการต่อสู้ในแบบฉบับวัฒนธรรมล้านนาโบราณออกมาได้อย่างสมจริงและงดงามจนน่าทึ่ง แบบที่ไม่เคยเห็นในเรื่องไหนมาก่อนเลย ไม่มีใครคาดคิดว่าพันนากับหม่อมน้อย หรือหม่ำกับหม่อมน้อยจะโคจรมาเจอกันได้ ก็ได้มาทำงานร่วมกันแล้วในเรื่องนี้ ถือเป็นสีสันอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้”

          เตรียมพบกับฉากแอ็คชั่นพีเรียดอันน่าตื่นเต้นเร้าใจและงดงามสุดประณีตจากฝีมือของยอดผู้กำกับทั้ง 2 ท่านนี้ได้ใน “อุโมงค์ผาเมือง” 8 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

FB on August 24, 2011, 04:21:50 PM
บทสัมภาษณ์ อนันดา เอเวอริงแฮม กับอีกหนึ่งบทบาทการแสดงขั้นเทพ ใน “อุโมงค์ผาเมือง”


 
         บทบาท-คาแร็คเตอร์ และการดำเนินเรื่อง
          ในเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง” ผมเล่นเป็น “ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า” ครับ คาแร็คเตอร์ของขุนศึกก็เป็นคนนิ่งสุขุม เป็นคนสง่าหน่อย เป็นคนไว้ตัวระดับหนึ่งตามที่เจ้าสมควรที่จะเป็น โดนเลี้ยงมาอย่างดี
          เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่ขุนศึกกับภรรยากำลังเดินทางไปอีกเมืองหนึ่ง ระหว่างทางก็โดนดักทางโดยโจรป่าสิงห์คำที่พี่ดอมเขาเล่น เหตุการณ์ทุกอย่างมันก็จะเกิดจุดนั้นเป็นต้นไป ให้เล่าเรื่องมันยากมากเลย เพราะว่าเรื่องนี้มันมี 4 เวอร์ชั่น หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องของการฆาตกรรมเกิดขึ้น มีข่มขืน หลังจากนั้นไปมันก็จะเป็นเวอร์ชั่นของตัวละครแต่ละตัว ว่าเขาจะเล่าในเชิงตัวเองให้เป็นอย่างไรบ้าง
          คือพอเกิดเหตุขึ้นมาเนี่ย มันก็ต้องไปให้การกันถึงศาล ต้องบอกก่อนว่าตัวขุนศึกเนี่ยเป็นตัวละครที่ถูกฆาตกรรม ภรรยาผมเนี่ยแม่หญิงคำแก้ว ตัวละครของพลอยเฌอมาลย์เนี่ย ก็โดนข่มขืนด้วย หลังจากนั้นพอไปถึงศาล ตัวละครแต่ละตัวก็ให้การไม่เหมือนกัน ทุกตัวละครก็จะเล่าเรื่องดีเข้าตัวตลอด ก็แบบปรุงแต่งให้ตัวเองดูดีที่สุดเท่าที่จะดีได้
          ความยากง่ายในการแสดงหนังพีเรียดเรื่องนี้
          หนังพีเรียดก็เคยเล่นมาหลายเรื่องแล้วนะครับ มีทั้ง ชั่วฟ้าดินสลาย, ปืนใหญ่จอมสลัด มีละครเรื่อง ในฝัน แต่ส่วนมากเจอหนังพวกนี้ก็เล่นกับหม่อมทั้งนั้นเลยครับ เรื่องนี้มันก็ได้เล่นตัวละครใหม่อีกตัวหนึ่ง ซึ่งทุกตัวละครมันก็ไม่ได้เล่นเหมือนกันอยู่แล้ว ที่แตกต่างมากที่สุดคือโจทย์ของตัวละครนี้ที่มันแตกต่างไปจากตัวละครอื่นที่เคยเล่นมา โจทย์ของตัวละครนี้ก็คือว่าถูกมัดไว้ทั้งเรื่อง ถูกมัดมือถูกปิดปากขยับไม่ได้พูดไม่ได้ คราวนี้วิธีสื่อสารกับคนดูมันก็จะเปลี่ยนไปจากตัวละครอื่นๆ ที่เคยเล่นมาที่มีเสียงมีกิริยาที่สื่อสารกับคนดู แต่เรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรเลยที่สื่อสารกับคนดูเลย
          อย่างตัวละครที่ไม่พูดจะบอกว่าเขาเป็นตัวละครที่ไม่มีความคิดมันก็ไม่ได้นะ อย่ามาเข้าใจว่าการที่ขยับตัวไม่ได้พูดไม่ได้คืออุปสรรค จริงๆ มันกลับเปิดช่องให้เราสื่อสารอีกแบบหนึ่งด้วยซ้ำไป ก็เลยให้เรากลับมาโฟกัสเรื่องของไดอะล็อกของตัวละครว่าระหว่างที่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอยู่ เขาคิดอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร เขากำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย ซึ่งเรารู้สึกว่าถ้าเราโกรธอยู่ เขาก็รู้ว่าเราโกรธ ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เราก็ดูออกว่าเศร้าอยู่ มันก็ดูออก มันแค่ต้องห้ามชะล่าใจเฉยๆ ว่ามันง่ายมากแค่เล่นเป็นพอ มันไม่ต้องพูด พอเราชะล่าใจแล้วเราเล่นแค่เปลือกของมัน ก็ทำตาเครียดไป ทำหน้าเศร้าไป แต่จริงๆ แล้วเราก็คิดว่าทุกๆ เวลาเรากำลังพูดคุยกับตัวละครทุกตัวอยู่ เราก็พึมพำอยู่ในปากเหมือนกัน เหมือนแบบกูเกลียดมึงมากเลย มึงแย่มาก คือบางทีก็จะให้มันช่วยพูดความคิดให้มันเกิดขึ้นมา เก็บกดด้วยนิดหน่อย เพราะว่าตัวละครคนอื่นเขาพูดอยู่ตลอดเวลา เราอยากจะพูดกับเขามาก
          บรรยากาศการถ่ายทำเป็นยังไงบ้าง
          หนาวมากแต่ก็ดี เพราะปีนี้เรารู้สึกว่ามันแปลกๆ คือเราอาจจะติดความรู้สึกจาก “ชั่วฟ้าฯ” อากาศร้อน พอมาเรื่องนี้มาได้เจอกับอากาศหนาวมันก็ดีนะ อย่างน้อยก่อนปิดกล้องก็ได้เจอกับอากาศหนาวๆ บ้าง คือผมไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกเพราะชุดผมมันเยอะอยู่แล้วไง เป็นขุนศึกชุดมันแต่งตัวเยอะ เรื่องนี้ใส่อยู่ประมาณ 3-4 ชั้นอยู่แล้ว แค่เฉพาะผ้าคลุมนี่ก็หนักไม่รู้กี่โลแล้ว ผมไม่มีหนาว ผมสงสารพี่ดอมมากกว่า พี่ดอมใส่เตี่ยววิ่งไปวิ่งมาอยู่ในอุณหภูมิ 8 องศาก็เหนื่อยเหมือนกัน คงหดหายไปหมดเลย ผมก็สงสารเขา
          เรื่องนี้เมคอัพกับคอสตูมจัดเต็ม
          เรื่องของเมคอัพกับคอสตูม จริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยเรื่องของการแสดง มันเป็นสิ่งที่แบบช่วยอินตัวละครได้ง่ายขึ้น แต่ว่ามันก็ไมได้สนุกเท่าไหร่หรอก เพราะว่ามันต้องตื่นตี 4 ทุกวันมาใส่วิกมาแต่งหน้า แต่งตัวอะไรอย่างนี้ เซ็งเหมือนกันนะเพราะว่าเรื่อง “ชั่วฟ้าฯ” นี่ผมได้ตื่นสายสุด อย่าง “ยุพดี” มันต้องแต่งตัวแยอะ พลอยก็จะโดนเรียกตี 4 พอเรื่องนี้ผมกับพี่ดอม พวกแก๊งผู้ชาย โดนเรียกตี 4 พลอยเขาก็ตื่นสายน่าอิจฉามาก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย ชอบ
          ผมว่าไปๆ มาๆ คอสตูมมันช่วยได้เยอะมาก อย่างวันก่อนเราถ่ายฉากต่อสู้กัน ตัวผ้าคลุมยาวๆ สีแดงอันนั้นมันทำให้ในฉากต่อสู้มันเห็นได้ชัดมากว่าแบบคาแร็คเตอร์มันต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งป่าเถื่อน คนหนึ่งมาจากโลกศิวิไลซ์ แล้วก็ Movement พอเราฟันดาบกันไปเนี่ยชุดของผมผ้าคลุมมันจะพลิ้วไปมา ส่วนของพี่ดอมมันก็ไม่มีอะไรมีแต่ตัว มีแต่ตัวเขามีกล้าม มีอะไรที่มัน Contrast ชุดมันช่วยได้เยอะมาก มันแทบจะไปได้ครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
          ฉากแอ็คชั่นของพี่พันนามาอยู่ในหนังพีเรียดของหม่อมน้อยเรื่องนี้
          ฉากแอ็คชั่นมันมีอยู่ 2 แบบ มันจะมีอันสวยงามอันที่โจรป่าเขาเล่าประมาณว่า คือเพื่อที่ทำให้เขาดูเก่ง ก็ต้องทำให้ตัวละครดูเก่งมาก เก่งกว่าเขาด้วยซ้ำ ให้เขาดูแบบเหมือนเขาล้มขุนศึกได้ คือเราก็ต้องดูเป็นขุนศึกที่ไม่ใช่กะโหลกกะลาอะไรก็ไม่รู้ คือเราก็ต้องดูเป็นคนเก่งมาก ฉากนั้นก็เลยจะสวยงาม ผมก็จะแบบมีลีลาสุดๆ
          อีกฉากหนึ่งที่สู้กันก็เป็นส่วนเรื่องเล่าของพี่หม่ำ ที่ดูท่าทางที่น่าจะใกล้ความจริงมากที่สุด ก็คือมันได้เห็นสันดานดิบของมนุษย์จริงๆ พอถึงเวลามันไม่อยากตาย มันออกอาการเป็นไงบ้าง ท่าทางออกหมดเลย มันมาด้วยแบบสัญชาตญาณอย่างเดียว มันมาด้วยแบบความกลัว อันนั้นก็จะคนละอย่างก็จะทุลักทุเล ทุเรศๆ นิดนึง ก็จะอีกแบบหนึ่ง ไปๆ มาๆ อันฉากสุดท้ายนั้นเหนื่อยกว่าอันที่สู้กันสวยงามด้วยซ้ำ เพราะมันใช้พลังอะดรีนาลินอย่างเดียว แหกปากกันอยู่นั่นแหละ เล่นไปแป็บเดียวแบบหน้ามืดเลยอ่ะ แต่ก็มันดี สนุกดีครับ ผมว่าก็เป็นปรากฏการณ์ดีเหมือนกันที่สไตล์แอ็คชั่นของพี่พันนามาอยู่ในหนังแบบของหม่อมน้อย มันก็ดูแปลกดี ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะขัดๆ กันมั้ย พอดูภาพแล้วออกแบบออกมาได้อย่างสวยงาม ก็คือมันก็บาลานซ์ระหว่างคิวสตั๊นท์กับสุนทรียะของภาพสไตล์หม่อมน้อย มันออกมาแบบมีความรุนแรง แต่ก็มีความเป็นกวีในเวลาเดียวกัน มีความสวยงามลงตัวมากกว่าที่คิดเยอะ
          การร่วมงานกับหม่อมน้อยในเรื่องนี้ ง่ายขึ้นมั้ย
          งานหม่อมนี่มีง่ายเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกัน บางทีเราทำงานกับหม่อมบางทีเรารู้สึกว่ามันยากสุดชีวิตไว้ก่อน คือแบบทุกอย่างยากไว้ก่อน อย่าชะล่าใจ อย่าคิดว่าเก่ง อย่าคิดว่าชะล่าใจ แล้วพอเราใส่ใจพอทำการบ้านมาพอนี่ ล้างมันทิ้ง แล้วคิดว่ามันคือสิ่งที่ง่ายที่สุด เป็นสิ่งที่ประหลาดมาก ผมไม่รู้มันคือยากหรือไม่ยาก แต่มันเป็นเรื่องของสมาธิมากกว่า เป็นเรื่องของโฟกัสกับตัวละคร คือการที่เราฝึกฝนสมาธิ ให้มันพร้อมที่จะออกกองกับหม่อม สำหรับผมมันจะสำคัญกว่าทุกส่วน
          อย่างพอผมทำงานกับหม่อมเรื่องของทฤษฎีมันเพิ่มขึ้น เร็วกว่าตอนผมอยู่กอง เพราะว่าภาษาการแสดงผมมันคือภาษาที่จะสอนมา พอเราคุยกันปรึกษากันได้ ตัวละครมีวิธีอย่างนี้ ตัวละครควรจะต้องทำอย่างนี้ด้วยเหตุผลอย่างนี้ๆ ก็เลยทุกครั้งที่ทำงานเนี่ยมันได้อะไรทุกครั้งเหมือนกับกองอื่นๆ แต่กองของหม่อมนี่มันจะได้อะไรมากกว่าในแง่ของการแสดงส่วนตัว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของพลังงานของ Silent คำพูดที่เราไม่ได้ยิน ซึ่งตรงนั้นก็เป็นสิ่งเราไม่เคยทำมาก่อน ก็ช่วยเรื่องของการแสดงได้เยอะ
          พลังงาน Silent ในการแสดงคืออะไร
          คือถ้าสมมติเรามองหน้ากัน ผมเชื่อว่าผมสื่อสารอะไรกับพี่ได้โดยที่ไม่ต้องพูด เหมือนกับเพื่อนสนิทเราที่เวลามองหน้าเขาแล้วรู้ว่าถึงเวลาไปแล้วมึง เราก็รู้ คือตรงนั้นเรามักจะมองข้าม เพราะว่าเรามักจะมีสิ่งให้พูด อย่างหันไปบอกว่าถึงเวลาจะไปแล้วนะมึง คือเราไปโฟกัสกับคำพูดกับไดอะล็อกอะไรอย่างนี้ครับ พอเราได้กลับมาสู่ตัวเรา พวกอินเนอร์ไดอะล็อกคที่ทุกคนมี อย่างเช่นผมคุยกับพี่อยู่ผมเชื่อว่าพี่กำลังคิดอยู่ว่าพี่จะถามอะไรต่อ คือมันก็เป็นอินเนอร์ไดอะล็อกของพี่ มันก็เหมือนกันกับตัวละครของเรา บางทีเราไม่ได้สังเกตตรงนี้ เราไปยึดกับสิ่งที่ได้มาที่มันเป็นคำพูด เรามักจะไปยึดกับตรงนั้นเพราะมันง่าย พอผมพูดแล้วพี่ก็เข้าใจ มันไม่ได้ฝึกฝนอีกส่วนหนึ่งของการแสดง
มันก็มีฉากหนึ่งที่ตัวละครของพลอยสามารถฆ่าเราได้ โดยที่เราไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่พลอยเขาพูดคนเดียว เหมือนอย่ามองฉันอย่างนั้นสิ ทำไมคุณใช้สายตาอย่างนั้นมองฉัน พลอยแทบจะพูดแทนเราเลย แค่ตัวละครของเรามอง มันต้องมีไดอะล็อกเพราะไม่พูดกับเขาก็ไม่สามารถจะสื่อสารได้ เขาก็ไม่สามารถที่จะพูดประโยคของเขาต่อได้ มันก็ไปถึงจุดที่เขาฆ่าเราได้ด้วยซ้ำ เพราะเราไม่พูดแม้แต่คำเดียว
          การแสดงร่วมกับพลอย
          เล่นกับพลอยง่าย มันก็สบายใจ ก็คือในชีวิตจริงเราก็เป็นเพื่อนกัน แล้วก็มันแคร์กันจริงๆ ตอนทำงานมันก็เหมือนเราแคร์เพื่อนเรา เราก็อยากจะช่วยเขา เขาก็อยากจะช่วยเรา ระหว่างที่เราแสดงนี่เขาก็เป็นพาร์ตเนอร์ของจริง กล้องจะอยู่กับตัวผมหรือตัวเขา ผมก็รู้ว่าเขาก็แสดงกับตัวผม 100% ตลอดเวลา มันทำให้เราแบบอุ่นใจ
          คือภาระของตัวเรามันเยอะมากในฉากพวกนี้ เคยสังเกตบ้างมั้ยว่า คนเรามักจะแบบใจหวั่นไหวที่สุดตอนที่คนเดินมาตบไหล่แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้สิ” คือมันเป็นโมเมนต์อย่างนั้น คือผมแบบอยากจะอยู่กับเขา ช่วยเต็มที่ที่เราช่วยได้ อย่างนี้เหมือนบอกเขาอยู่ตลอดเวลากูเกลียดมึง แต่ว่ากูรักมึงอยู่นะ คือแบบสิ่งที่คุณกำลังพูดมันมีผลต่อผมเหมือนกัน ซึ่งตอนมันยิงมาทางผม คือผมต้องกดไว้มากกว่านี้อยู่แล้ว เพราะว่าผมต้องมีมาดของคนที่เย็นชา ผมมีมาดของขุนศึกอะไรก็ว่าไป แต่ในโมเมนต์นั้นผมอยากเป็นพาร์ตเนอร์ อยากช่วยเขาเต็มที่ แล้วมันก็กระทบเหมือนกันแหละ
          มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่เราแคร์มั้ง เราแคร์เขาจริงๆ เขาก็แคร์ความเป็นไปของเรา หน้ากองเหรอ นอกกองเหรอ ในชีวิตส่วนตัวเขาเหรออะไรก็ว่าไป แต่คือเราก็มีวินัยความเป็นมืออาชีพพอที่จะแยกส่วนนั้นออกไป แต่ว่ามันช่วยตรงที่ว่าไม่ต้องมาสร้างใหม่ตลอดเวลา มันมีเคมีของมันอยู่แล้ว พอเราเล่นอีกก็มักจะเจอตัวละครที่เป็นผัวเมียกัน รอบที่ 4 ถ้ามันจะมีมาดมันก็ไม่ใช่ ถ้าให้ผมเลือกคนที่จะเล่นหนังกับผมได้นะครับ คือช้อยส์แรกทุกครั้งก็เป็นพลอย มันมีความสบายใจอยู่สูงมาก แล้วแบบการแสดงส่วนมากมันต้องเชื่อใจกันสูงมาก การที่จะปั้นอันนี้ขึ้นมาใหม่ ให้มาคู่กับคนใหม่ มันไม่ใช่สิ่งง่าย พอตรงนี้มันมีมันก็สบายใจ
          การร่วมงานครั้งแรกกับพี่ดอม
          ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราร่วมงานกัน พี่ดอมเป็นคนที่พลังงานสูงมาก คือไม่เคยเจอนักแสดงคนไหนที่พลังงานสูงเท่าเขา ทั้งในร่างกาย ทั้งใน Movement ทั้งในเสียงเขา เหมือนกระต่ายถือฉาบ พลังงานไม่มีหมดจริงๆ เหลือเชื่อจริงๆ แต่แกเป็นคนที่ค่อนข้างพูดจาผิดกับตัวละครนี้เหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเหมือนกันคือสรีระเขากับตัวละคร แต่ตัวจริงเขาเป็นคนสุภาพมาก เป็นสุภาพบุรุษมาก ผู้ดีจริงๆ เป็นขุนศึกตัวจริง ผมน่ะดูเปลือกอาจจะดูเป็นผู้ดี แต่จริงๆ แล้ว ควรจะไปเป็นโจร (หัวเราะ)
          ผมสังเกตพักหลังๆ เราก็สนิทกันมากขึ้น เราเล่นกันไปเราก็จะขอบคุณกันตลอดเลยแบบไม่รู้ทำไม ฉากโง่ๆ เดินรอบตัวกัน Thank you นะเว้ย Thank you ๆๆ คือเป็นนิสัยอ่ะ พี่ดอมน่ารักมาก ผมเล่นฉากที่เขาจะมาข่มขืนเมียผม แล้วผมโดนมัดอยู่แล้วผมรับไม่ได้ เมียผมก็ลุกขึ้นมาให้โอกาสผัวฉันหน่อยได้ไหม สู้กับเธอ ใครชนะฉันจะไปกับคนนั้น ผมก็ต้องมองพลอยแบบปลาบปลื้มใจ มองเขาแบบผู้หญิงคนนี้ยังมีเกียรติอยู่ แล้วก็แบบซึ้งใจในตัวเขาโน่นนี่นั่น แล้วพี่ดอมเขาก็มาเล่นให้ ทั้งคู่เลยนะเขามาเล่นให้หลังกล้อง หม่อมก็บอกถ้าน้ำตาไหลก็ปล่อยให้ไหลไปเลย เราก็เซ้นซิถีฟอยู่แล้วน้ำตาก็ไหล คัทเสร็จเนี่ยคนแรกที่มาขอบคุณผมเนี่ยคือพี่ดอม แกอยู่หลังกล้อง ผมต้องขอบคุณพี่เขา แกก็แบบพลอย Thank you นะก็อยู่กันแบบนี้แหละ 3 คนไหว้กันไปไหว้กันมา เราก็เฮ้ย Thank you นะ ก็ดีครับ รู้สึกพี่ดอมเขาก็เริ่มอินกับระบบการแสดงที่มันต้องอยู่เป็นพาร์ตเนอร์ มันต้องช่วยกันไป พี่ดอมเสียงแกแบบดังลั่นฟ้ามาก เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ขนาดยืนอยู่ข้างน้ำตกก็เอาเขาไม่ลง กดเขาไม่ลง เสียงแกดังมาก
          ความน่าสนใจโดยรวม           
          สำหรับคนที่ชอบแบบฟังผ่านๆ ดูแบบผิวเผิน มันจะเข้าหายากไหม ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มัน Mass กว่า “ชั่วฟ้าฯ” เยอะเลย มีเรื่องฆาตกรรม มีเรื่องชู้สาว มีเรื่องข่มขืน มีบู๊ มีตลก มันเป็นหนังครบรสมากๆ คือพอมันเป็นหนังหม่อม เราก็ต้องเข้าใจว่ามันก็มีหลายเลเยอร์อยู่ คือเราจะได้อะไรจากมันก็แล้วแต่คนดู ถ้าแบบผิวเผินไปเลยนะ มันมีหมด เอาแค่ตัวละครผมที่ว่าแค่นั้น ฟังดูมันก็สนุกแล้ว มีพงษ์พัฒน์ มีมาริโอ้สาวกรี๊ด มีพี่หม่ำ มีผม พี่ดอม มีสาวสุดเซ็กซี่เฌอมาลย์ คือแบบองค์ประกอบมันครบมาก มันเป็นหนังที่พลังงานสูงมาก ตอนผมอ่านบทผมไม่รู้สึกว่ามันมีช่วงที่หน่วงเลย พอเปิดมามันเข้าเรื่องเลย มันเข้าเหตุการณ์เลย มันเป็นหนังที่ผมเชื่อได้แบบว่าในแง่คุณค่าของความบันเทิงมันครบถ้วนมาก
          เรื่องเนื้อหาก็ไม่ต้องห่วงครับ หนังหม่อมเขาไม่ขาดอยู่แล้วครับ เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดแล้วกัน อย่าง “ชั่วฟ้า” มันก็แล้วแต่คนดู เขาก็แบบมองในมุมมองของยุพดีบ้าง ของส่างหม่องบ้าง ของพะโป้บ้าง อันนี้มันก็จะเช่นเดียวกันครับ มันก็จะมีหลายๆ มุมมองอะไรอย่างนี้ ในส่วนของผมเนี่ยผมชอบมากที่สุดคือ ตัวละครพอมันเล่าเรื่อง พอมันปรุงแต่งขึ้นมา มันมักจะมีเหตุผลขึ้นมาเลย มันจะดูแบบมีเหตุผล คือทุกอย่างเมคเซ้นส์ไปหมด แล้วพอมาเจอเรื่องจริงเนี่ยมันพลิกล็อกมาก มันจะได้เห็นสัญชาตญาณของมนุษย์จริงๆ ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มันประหลาดมาก แล้วความประพฤติของมันไม่ใช่สิ่งที่เรากำหนดได้ เหมือนชีวิตจริงมันแปลกไปกว่าหนัง แปลกไปกว่านิยาย แต่มันมีสิ่งแวดล้อมอยู่ในหนัง สุดท้ายแล้วแบบเออ...ใช่ มนุษย์มันเพี้ยนจริงๆ ว่ะ แล้วผมว่าทุกคนเดินออกจากโรงมันจะมีอะไรให้ไปถกกันตรงนี้ ความจริงของหนังเรื่องนี้มันเป็นแบบไหน เห็นตัวเองมันแน่นอนอยู่แล้ว มันมี 6 ตัวละครที่คุณได้เลือก อยู่ที่ต่างวัยต่างมุมมอง ทุกคนก็สามารถแบบเราเห็นใจตัวนี้ เราชอบมุมมองของตัวละครตัวนี้ อะไรแบบนี้แน่นอนครับ

FB on August 30, 2011, 03:22:55 PM
“อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ทุ่มเมคอัพทั้งตัว แปลงโฉมเป็น “สัปเหร่อ” สุดสมจริง ใน “อุโมงค์ผาเมือง”



          ผ่านงานแสดงภาพยนตร์มาหลากหลายเรื่องจนขึ้นหิ้งเป็นอีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือของวงการสำหรับ “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ที่ล่าสุดโดดลงมาร่วมแสดงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “อุโมงค์ผาเมือง” ของผู้กำกับชั้นครูฝีมือละเมียด “หม่อมน้อย-ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” อาจารย์ทางการแสดงของเขาเอง งานนี้เลยจัดเต็มเมคอัพทั้งตัวครั้งละหลายชั่วโมงเพื่อแปลงโฉมเป็น “สัปเหร่อ” อย่างสมจริงเลยทีเดียว

“อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” เผยถึงการแปลงโฉมเพื่อการแสดงครั้งนี้ว่า

          “เรื่องนี้ก็รับบทเป็น ‘สัปเหร่อ’ ครับ เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอุโมงค์ผาเมืองมานาน ผ่านโลกมาเยอะ เป็นคนที่ยอมรับความจริง ก็มีการคุยกันเยอะกับอาจารย์หม่อมน้อยว่าจะสร้างคาแร็คเตอร์ขนาดไหน ก็เป็นคนที่หน้าตาอัปลักษณ์ ต้องแต่งเมคอัพเอฟเฟ็คต์ทั้งตัวทำหน้าทำตา แล้วผมก็ต้องทำเสียงให้แหบนิดหนึ่ง พิการขาเป๋ข้างหนึ่งไม่พอ เอามือหงอยด้วย สังเกตดีๆ ก็จะมีอาการหน้ากระตุกอยู่ตลอดเวลาขณะพูด ก็ใช้เวลาฝึกซ้อมค่อนข้างเยอะ ต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไป

          เรื่องของแผลเมคอัพทั้งตัวเนี่ย หม่อมบอกว่าอยากให้เห็นแล้วไม่แน่ใจว่านี่เป็นผีหรือคน ก็ได้เมคอัพมือหนึ่งอย่างคุณขวด (มนตรี วัดละเอียด) มาแต่งให้ ซึ่งใช้เวลาในการแต่งค่อนข้างนาน ครั้งละ 3-4 ชั่วโมงได้ แต่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ผมว่ามันเสริมการแสดงมากกว่าเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำนะ เมคอัพเอฟเฟ็คต์เกี่ยวกับหน้าตาหรือความพิการต่างๆ มันทำให้ตัวละครตัวนี้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ก็เหมือนกับสอนให้รู้ว่าเราอย่ามองเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก ผมว่าต้องมองให้ลึกให้เข้าใจว่าอะไรที่มันซ่อนอยู่ในตัวเขา มันคือความดี มันคือความชั่ว มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่นะครับ”

          พบกับการแปลงโฉมสมจริงและสุดยอดการแสดงของ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” ได้ใน “อุโมงค์ผาเมือง” 8 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์