sianbun on June 24, 2009, 12:28:26 PM
KTAMพักกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ เดินหน้าขาย RollOverในประเทศ

             นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า   ในรอบสัปดาห์นี้ บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุน ตราสารหนี้ในประเทศ  ซึ่งเป็นกองทุนเภท Roll  Over  ได้แก่  กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือนคุ้มครองเงินต้น1  ( KTFIX3M1)   และกองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท  อินเวส 6เดือน3 ( KTSIV6M3)     

            โดย KTFIX3M1  เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ และเงินฝากธนาคารพาณิชย์   อายุโครงการ 3 เดือน  มูลค่า 2,000 ล้านบาท  เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2552  โดยกองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 98%   และเงินฝากของธนาคารสินเอเชีย   จำกัด(มหาชน)  2 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทน0.75% ต่อปี 

          ส่วนกองทุน KTSIV6M3  เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน และเงินฝากสถาบันการเงิน อายุโครงการ6 เดือน  มูลค่า 2,000 ล้านบาท  เปิดจำหน่ายถึงวันที่ 26 มิถุนายนนี้   โดยกองทุนจะลงทุนในเงินฝากธนาคารสินเอเชีย  และธนาคารเกียรตินาคิน 25% หุ้นกู้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 25%  และตั๋วแลกเงินของบมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ  และบจ.น้ำตาลมิตรผล บริษัทละ 25%  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม  โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนผู้ลงทุนจะไม่เสียภาษีหัก  ณ ที่จ่าย   

            สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ  ที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้  จะเปิดจำหน่ายอีกครั้งประมาณวันที่ 8-14  กรกฎาคม  เป็นกองทุนที่มีอายุโครงการ 2 ปี    ซึ่งปัจจุบัน การลงทุนในพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้ ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในประเทศ      แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราผลตอบแทนมีโอกาสที่จะลดลงได้เมื่อสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัว  และที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าเอเชียโดยเฉพาะเกาหลีใต้ในระดับสูง

           นายสมชัย  กล่าวถึง ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ในประเทศ  ว่า  ที่ผ่านมาตลาดมีการคาดการณ์ถึงภาวะเศรษฐกิจที่แสดงสัญญาณดีขึ้น ( Bottom  out)   แต่ยังไม่ชัดเจนว่าลักษณะการฟื้นตัวจะยั่งยืนหรือไม่   ดังนั้น  จึงทำให้คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วัน ไว้ที่ 1.25% ต่อปี

              หากพิจารณาจาก Demand & Supply นับจากต้นปีที่อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ  จึงทำให้ความต้องการลงทุนในตราสารหนี้ลดลง  และเมื่อเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น  นักลงทุนจึงเริ่มหันกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง( Risky Asset)  มากขึ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทน ในขณะเดียวกัน รัฐบาลดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ภาครัฐต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณพันธบัตรเพิ่มขึ้น   โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรุ่นอายุไม่เกิน 5 ปี   

            กลยุทธ์การลงทุน ตราสารหนี้  บริษัทปรับลดความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย โดยการทยอยลด portfolio Duration  ตามจังหวะตลาด     และเน้นลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนรวม ( Total  Return )  ในระดับที่เหมาะสม   พร้อมทั้งทยอยลงทุนในตราสาหรนี้ภาคเอกชนระยะสั้นที่ประเมินสถานะการเงินแล้วว่ามีความมั่นคง   เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม ( Spread)