MSN on February 06, 2021, 12:23:41 PM
โคร์สเทก (CoorsTek) ผู้ผลิตเซรามิกวิศวกรรมชั้นนำของโลกประกาศขยายฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกากำลังเริ่มการก่อสร้างโรงงานผลิตเซรามิกวิศวกรรมขนาด 400,000 ตารางฟุตในเฟสแรกในจังหวัดระยอง ประเทศไทย โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นี้


“เรากำลังขยายการดำเนินงานไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของ CoorsTek เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดที่กำลังเติบโตได้ดีขึ้นยิ่งขึ้น  เอเชียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีพลวัตมากที่สุดของโลก ดังนั้นการตัดสินใจสร้างโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยจึงเหมาะสมกับกลยุทธ์ของเรา ในการวางรากฐาน ของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ไมเคิล โคร์ส (Michael Coors) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โคร์สเทก กล่าว “CoorsTek มีประสบการณ์อันยาวนานในการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับลูกค้า ทำให้เอื้อต่อการพัฒนาเชิงกลยุทธ์รวมถึงขับเคลื่อนประสิทธิภาพในภูมิภาคที่ลูกค้าของเราดำเนินธุรกิจด้วย”

บริษัทได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ตามประเพณีไทยเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 ณ สถานที่ก่อสร้าง โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวนจำกัด เนื่องจากข้อจำกัดของ COVID-19 ในจังหวัด

“ความต้องการเซรามิกทางเทคนิคในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีมากขึ้น เนื่องจากวัสดุเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเทคนิคในอนาคตและตอบสนองความคาดหวังของผู้ใช้ปลายทางได้อีกด้วย” แอนดี้ ฟิลสัน (Andy Filson) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ กล่าว “การเปิดโรงงานแห่งใหม่ของเราในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับการตอบสนองความต้องการทางห่วงโซ่อุปทานทางเซรามิกวิศวกรรมคุณภาพสูงของ CoorsTek อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

โรงงานแห่งใหม่ของบริษัทนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ CoorsTek ในเอเชีย ซึ่งรวมถึงสถานที่ผลิตในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และสำนักงานขายรวมถึงศูนย์เทคโนโลยีในไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น นอกจากนี้ บริษัทยังมีศูนย์พัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ตั้งอยู่ที่เมืองฮะดะโนะในประเทศญี่ปุ่น เมืองอูเดนในประเทศเนเธอร์แลนด์ และเมืองโกลเด้นในมลรัฐโคโลราโด ที่จะสนับสนุนลูกค้าทั่วเอเชียด้วยนวัตกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ความต้องการในการทดสอบเชิงวิเคราะห์ และการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์

CoorsTek คาดว่าโรงงานแห่งนี้จะสามารถเปิดดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายในต้นปีพ.ศ. 2565 โดยบริษัทจะว่าจ้างพนักงานประมาณ 300 อัตราในอีกสองปีข้างหน้า และมากถึง 600 อัตราภายในห้าปี