news on December 13, 2019, 02:17:48 PM
95 ปี ไดกิ้น ยืน 1 ตลาดแอร์ 60,000 ล้านต่ออีกสมัย พร้อมโชว์นวัตกรรม Magnetic Bearing Chillers ครั้งแรกของไทยที่กล้าใช้ในแอร์ขนาดใหญ่ หวังแชร์ตลาดแอร์คอมเมอร์เชียล 30% ดันรายได้ทะลุ 16,000 ล้านบาท95 ปี ไดกิ้น ประกาศย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมความเย็นอัจฉริยะ เปิดตัว Magnetic Bearing Chillers เทคโนโลยีความเย็นชั้นสูง นวัตกรรมเดียวกับรถไฟหัวกระสุนครั้งแรกในไทย รุกตลาด คอมเมอร์เชียลเต็มรูปแบบ หลังดรรชนีสัดส่วนรายได้รวมโตทะลุเป้า 3 ปีซ้อน เชื่อผนึกกลยุทธ์ผู้นำความเย็นอัจฉริยะตอบโจทย์ครบทุกเซ็กเม้นท์ เน้นบริการหลังการขายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมพัฒนาทีมช่างส่งมอบสุดยอดบริการ ดันเป้ารายได้ปี 2020 ทะลุ 16,000 ล้านบาท
มร.อาคิฮิสะ โยโกยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ในฐานะผู้นำด้านระบบปรับอากาศเพื่อที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์ที่คนทั่วโลกไว้วางใจ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมความเย็นอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบปีที่ 95 ของเครื่องปรับอากาศไดกิ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศจากประเทศญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1924 ในญี่ปุ่น มีฐานการผลิตมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบัน ครอบครัวไดกิ้นมีพนักงานกว่า 76,484 คน มีสำนักงานใหญ่และบริษัทในเครือกว่า 292 แห่งทั่วโลก โดยจากปี 2009 ธุรกิจของไดกิ้นเติบโตอย่างรวดเร็วมียอดขาย 1,202,420 ล้านเยน หรือ 335,188 ล้านบาท และในปี 2019 ยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,209,561 ล้านเยน หรือ 615,941.42 ล้านบาท
ด้วยการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อค้นหานวัตกรรมความเย็นที่ล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2017 บริษัทสามารถผลิตเครื่องปรับอากาศได้กว่า 6,600,000 เครื่อง และมีความสามารถในการผลิตได้สูงถึง 13 เครื่องภายใน 1 นาที โดยตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาได้ใช้งบประมาณลงทุนด้าน R&D สูงถึง 401 พันล้านเยน หรือประมาณ 115,000 ล้านบาท ทำให้ไดกิ้นมีสิทธิบัตรด้านนวัตกรรมความเย็นกว่า 20,000 รายการและใน 180 รายการเป็นสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R-32 ในขณะเดียวกัน กว่า 83% อาคารของไดกิ้นทั่วโลกยังส่งเสริมให้เป็นอาคารสีเขียวที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 54 ล้านตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า 6,100,000,000 ต้น ที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงของรถยนต์ได้ถึง 44 ล้านคัน
“ในโอกาสครบรอบ 95 ปีของไดกิ้น จึงยังคงมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำนวัตกรรมความเย็นอัจฉริยะที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนำเสนอทางเลือกเพื่อความเย็นที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และลดค่าบำรุงรักษา ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำหน้าที่สุดของเทคโนโลยีความเย็นของโลก ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของไดกิ้นที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้เครื่องปรับอากาศทั่วโลกมายาวนาน ตลอดระยะเวลา 95 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไดกิ้นไม่หยุดพัฒนาเครื่องปรับอากาศเพื่อตอบโจทย์สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม สำหรับตลาดในประเทศไทยในส่วนบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ในปี 2019 ทั้งปี ที่เราจะปิดในเดือน มีนาคมนี้คาดว่า สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ มูลค่ารวมกว่า 14,200 ล้านบาท และด้วยเทคโนโลยีความเย็นในอาคารขนาดใหญ่ Magnetic Bearing Chillers ที่เปิดตัวครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้ไดกิ้นสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าคอมเมอร์เชียล ผนวกกับเทคโนโลยี อินเวอร์เตอร์ ที่ไดกิ้นเป็นผู้นำในตลาดแอร์ที่พักอาศัย จะทำให้ไดกิ้นยังครองความเป็นผู้นำในตลาดแอร์บ้านและพาณิชย์ มูลค่า 60,000 ล้านบาท โดยไดกิ้นจะมีสัดส่วนการตลาดรวมอยู่ที่ราว 28%”
มร.โยโคยามา กล่าวเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับไดกิ้นต่อว่า “เรามีทีมผู้บริหาร ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง เข้ามาพัฒนางานด้านทีมขายและบริการ ซึ่งในปีหน้าเรามุ่งเน้นในกลุ่มเชิงพาณิชย์ โดยมีเครื่องปรับอากาศไดกิ้น VRV-MAX สุดยอดเทคโนโลยีอัจฉริยะ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ในด้านนวัตกรรมที่ประหยัดพลังงาน ประหยัดพื้นที่ คุ้มค่ากับการลงทุน สร้างปรากฏการณ์ความเย็นของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ของไทยรายแรก วันนี้ VRV – MAX จะเป็นระบบความเย็น ตระกูล VRV (Variable Refrigerant Volume) ที่เสริมประสิทธิภาพด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน ด้วยวัสดุ Zinc aluminum magnesium alloy ที่มีน้ำหนักเบาและผ่านการเคลือบด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทนทานสูงสุด ป้องกันการกัดกร่อนแม้ใช้งานในสภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย พร้อมโปรแกรม Worry Free 5 ปี รับประกันระบบการทำงานยาวนานถึง 5 ปี
สำหรับเทคโนโลยีความเย็นของกลุ่มเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ปีหน้าไดกิ้นเปิดตัว Magnetic Bearing Chillers ระบบทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในขณะนี้ มีวิธีการทำงานคล้ายรถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่น ที่ใช้หลักการทำงานของสนามแม่เหล็ก แกนในการหมุนจะลอยอยู่กลางอากาศ ทำให้ลดแรงเสียดทานระหว่างการหมุน ลดการใช้พลังงาน ให้ระบบความเย็นที่เงียบ และลดค่าดูแลรักษาลงเนื่องจากไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันคอมเพรสเซอร์ โดยไดกิ้นเป็นเครื่องปรับอากาศรายแรกของไทยที่พัฒนาระบบ Magnetic Bearing Chillers ให้ใช้กับเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่มีขนาด 1.2 -14.4 ล้าน บีทียู หรือ 1,200 ตันความเย็น ซึ่งถือเป็นขนาดที่ใหญ่มากในตลาดเครื่องปรับอากาศ โดยมีกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม 5 ดาว และเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นต้น
กลุ่มลูกค้าของไดกิ้น ที่ผ่านมามีหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่พักอาศัย และเชิงพาณิชย์ โดยตั้งแต่ปี 2017 ที่ผ่านมา กลุ่มเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่มีสัดส่วนรายได้ที่เติบโตขึ้นเป็น 3 เท่าทุกปี มีสัดส่วนรายได้ในปี 2018 สูงถึง 12,000 ล้านบาท ทำให้ไดกิ้นมองเห็นโอกาสที่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ได้ครบทุกความต้องการของลูกค้า มีความคุ้มค่าที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดต้นทุนค่าดูแลรักษาลง สามารถคืนทุนให้แก่ผู้ลงทุนได้ภายใน 3-5 ปี” มร.โยโคยามา กล่าวต่อ
นอกจากนี้สำหรับกลุ่มเครื่องปรับอากาศในที่พักอาศัย หรือ Room Air ซึ่งปีหน้ามาพร้อมกับเครื่องปรับอากาศ Room Air (Big Wall) ที่เพิ่มขนาด BTU สูงสุดในรุ่น 36,000 BTU ซึ่งไดกิ้นเป็นเจ้าแรกของ Room Air Inverter ในขนาด BTU นี้ และได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องปรับอากาศระบบ อินเวอร์เตอร์ ที่มีระบบความเย็นอัจฉริยะที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงสุด ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Home Kit นวัตกรรมเชื่อมต่อกับ Home Automation ด้วย Wifi adaptor อุปกรณ์เสริมที่ใช้ได้กับเครื่องปรับอากาศ Room Air ของไดกิ้น อินเวอร์เตอร์ได้ทุกรุ่น และล่าสุด ไดกิ้นยังได้พัฒนาต่อเนื่อง โดยไดกิ้นร่วมมือกับภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมสถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี นำเครื่องปรับอากาศไดกิ้นที่มีการติดฟิลเตอร์ PM2.5 ไปทดสอบประสิทธิภาพโดยทดสอบปล่อยฝุ่น PM 2.5 ในห้องที่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศไดกิ้น ดังกล่าว ผลที่ได้ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ สามารถลดระดับ PM2.5 ในห้องขนาด 26 ลูกบาศก์เมตร จากระดับเป็นอันตรายมาก ลงเหลือระดับปลอดภัยดีได้ภายใน 190 นาที ซึ่งถือว่าไดกิ้นเป็นเจ้าแรกที่มีการนำเครื่องปรับอากาศติดตั้งฟิลเตอร์ PM2.5 ไปทดสอบกับสถาบันที่น่าเชื่อถือภายในประเทศไทย ทั้งนี้ไดกิ้นจะมีการติดตั้งฟิลเตอร์ PM 2.5 แถมเข้าไปในเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ที่จะขายในปี 2020 นี้ ประกอบกับไดกิ้นยังเป็นเครื่องปรับอากาศแบรนด์แรกที่ใช้ระบบอินเวอร์เตอร์ ตอบโจทย์การใช้งานผู้ใช้ตามฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ใหม่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ได้เริ่มประกาศใช้เมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมาครบทุกรุ่น
สำหรับแนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศในตลาดนั้นยังคงเน้นด้านสุขภาพ ความทนทาน รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงการขายด้วยโปรโมชั่นต่างๆ เช่นการเพิ่มระบบป้องกันกลิ่นอับ-รา มีแผงวงจรที่ยืดอายุการใช้งาน ระบบการป้องกันการกระชากไฟ ให้ครอบคลุมทุกดีมานด์การอยู่อาศัยในขนาดที่แตกต่างกัน ไดกิ้นยังได้พัฒนาเครื่องฟอกอากาศด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง Streamer ลิขสิทธิ์เฉพาะไดกิ้น และ Active Plasma Ion ที่สามารถยับยั้งเชื้อโรคทั้งภายนอกและภายใน เสริมด้วยแผ่นกรองฝุ่นไฟฟ้าสถิต ดักจับฝุ่นขนาดเล็ก 0.1 ถึง 2.5 ไมครอนได้ถึง 99% และแผ่นกรองคาร์บอนระงับกลิ่นไม่พึงประสงค์ มีเซ็นเซอร์วัดฝุ่นขนาด PM 2.5 และฝุ่นขนาดใหญ่ เพื่อรองรับความต้องการขั้นสูงสุดสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพอีกด้วย
ส่วนในด้านการบริการหลังการขาย นอกจากเพิ่ม Application ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่แล้วยังมั่นใจในการบริการที่เข้าถึงลูกค้าและขีดความสามารถของทีมทรัพยากรบุคคลทางด้านวิศวกร และช่างเทคนิคกว่า 500 คน ซึ่งผ่านการฝึกอบรมและเชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศมาเป็นอย่างดี สิ่งนี้ถือเป็นการพัฒนาของ Daikin Way ที่ทำให้ไดกิ้นยืนหยัดและเติบโตมาจนถึง 95 ปีแห่งความสำเร็จ นับเป็นความภาคภูมิใจที่เรามีทีมช่างพร้อมให้บริการลูกค้า โดยเราถ่ายทอดความเป็น Daikin Service Pride ให้อยู่ใน DNA ของทีมช่างทุกคน เพราะเราเชื่อมั่นว่า เมื่อเราทำงานด้วยความภาคภูมิใจในสินค้า บริการของเราคุณภาพจะถูกส่งไปถึงผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมความเย็นอัจฉริยะของไดกิ้น และการตอบสนองทุกความต้องการของกลุ่มดีมานด์นี้เอง จะทำให้ไดกิ้นยังคงเป็นผู้นำระบบเครื่องปรับอากาศรวมในสัดส่วน 28% ของตลาดมูลค่า 60,000 ล้านบาทในที่สุด”
« Last Edit: December 13, 2019, 02:19:28 PM by news »
Logged