MSN on March 23, 2017, 08:00:10 AM
“ทวิช”ร้องก.ล.ต.สอบ“หมอวิชัย-ศุภนันท์” โทษฐานความผิดฝ่าฝืนพรบ.หลักทรัพย์ฯ-พรบ.มหาชน สร้างความเสียหายผถห.IFECและบริษัทอย่างร้ายแรง ทำลายความเชื่อมั่นตลาดทุน



“ทวิช เตชะนาวากุล”ผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการ IFEC ร้อง ก.ล.ต.สอบ “นพ.วิชัย-ศุภนันท์” โทษฐานความผิดฝ่าฝืนพรบ.หลักทรัพย์-พรบ.มหาชน ใน 5 ประเด็นหลัก “ขวางตั้งบอร์ดชุดใหม่-กระทำการในนามบริษัททั้งที่ไม่มีอำนาจลงนาม-ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ-หาเหตุไม่คืนหนี้โรงแรมดาราเทวีจนถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท-ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย”  เข้าข่ายการกระทำโดยทุจริต ยึดประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของบริษัท สร้างความเสียหายให้เกิดกับผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ ทำลายความเชื่อมั่นตลาดหลักทรัพย์ฯในสายตานักลงทุนไทยและต่างชาติ พร้อมร่อนหนังสือถึงนพ.วิชัย-ก.ล.ต.-ตลาดฯ ค้านการประชุมและมติบอร์ด IFEC ในวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ถือว่าเป็นมติบอร์ด เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ

ในวันนี้ (23 มีนาคม 2560) นายทวิช เตชะนาวากุล ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการ และเจ้าหนี้ตั๋วแลกเงินมูลค่า 100 ล้านบาท บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (IFEC) ได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เกี่ยวกับการกระทำความผิดของ เรือเอกนายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ และนายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์ กรรมการ IFEC เพื่อขอให้ ก.ล.ต.ดำเนินการตรวจสอบ หาหลักฐานเพิ่มเติม และดำเนินการทางกฎหมายต่อไปเกี่ยวกับการกระทำต่างๆ นายแพทย์วิชัย และนายศุภนันท์ ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง อันทำให้บุคคลทั้งสองดังกล่าวขาดความน่าไว้วางใจในฐานะกรรมการบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากการกระทำของบุคคลทั้งสอง โดยเฉพาะนายวิชัย เข้าข่ายเป็นการกระทำโดยทุจริต โดยยึดถือประโยชน์และประสงค์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง และไม่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของบริษัท อันทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ผู้ถือหุ้นของบริษัท เจ้าหนี้ของบริษัท และผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มอื่นๆของบริษัท รวมถึงยังกระทบต่อประโยชน์สาธารณะและความน่าเชื่อถือของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

โดยประเด็นที่ร้องเรียนมีด้วยกัน 5 เรื่องด้วยกันคือ

1.การจงใจขัดขวางทำให้บริษัทและผู้ถือหุ้นสามารถดำเนินการเลือกตั้งกรรมการตามกฎหมายและดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยช้าที่สุด ซึ่งถือเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัดฯ และพ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ มาตรา 89/7 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ที่กำหนดให้ในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ ข้อบังคับของบริษัท และมติคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งการกระทำของนายวิชัยและนายศุภนันท์อันเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่ดังกล่าวโดยทุจริตนั้นเป็นความผิดและต้องระวางโทษทางอาญาตามมาตรา 281/2 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ

2.นายวิชัยและนายศุภนันท์กระทำการในนามบริษัทโดยทราบว่าไม่มีอำนาจตามกฎหมายหลายประการ เช่น กรณีของการจำนำหุ้นของ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ แคป แมนเนจเม้นท์ จำกัด (ICAP) อันเป็นทรัพย์สินที่สำคัญและมูลค่าสูงของบริษัท ไปจำนำกับบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (L&H) ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนเปิดแอล เอช  เอ็นแฮนชท์ เพื่อจำนำหุ้นของ ICAP อันเป็นทรัพย์สินของบริษัท สืบเนื่องมาจากการที่บริษัทผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินจำนวน  100  ล้านบาท กับกองทุนเปิดแอล เอช  เอ็นแฮนชท์ ซึ่งถึงกำหนดชำระเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ซึ่งในช่วงเวลานั้นนายวิชัยและนายศุภนันท์ไม่มีอำนาจกระทำการดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้บุคคลทั้งสองกระทำได้เพียงดำเนินการจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการให้เพียงพอเป็นองค์ประชุมเท่านั้น

3.การบอกกล่าวข้อความอันเป็นเท็จหรืออาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของบริษัทในประการที่น่าจะทำให้กระทบต่อราคาหลักทรัพย์  ซึ่งถือเป็นความผิดตามมาตรา 240 แห่งพ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งตามมาตรา 296 กำหนดให้ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษทางอาญาด้วย เช่น กรณีการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทฯ ที่นายวิชัยให้ข้อมูลผ่านสื่อสาธารณะหลายแหล่งและช่องทางว่าตนได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของบริษัทโดยได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ของบริษัทที่มีหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนกุมภาพันธ์นี้ไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น ปรากฏว่าเป็นการให้ข้อมูลเท็จต่อสาธารณะโดยผิดจากความจริงไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเจ้าหนี้ต่างปฏิเสธว่า ไม่ได้รับการติดต่อหรือเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นจากนายวิชัย

เกี่ยวกับการลงทุนในบริษัทและการขายโรงแรมดาราเทวี นายวิชัยให้ข้อมูลต่อหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นฉบับลงวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ในนามของบริษัทว่า กลุ่มบริษัท Guangxi Yifan จะเข้ามาร่วมลงทุนในบริษัทโดยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมหรือซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในสัดส่วนร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน และต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 นายวิชัยและ/หรือนายศุภนันท์ก็ดำเนินการให้บริษัทออกหนังสือชี้แจงไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทได้รับการติดต่อจากกลุ่มบริษัท Guangxi Yifan ผ่านทางนายวิชัยเพื่อเจรจาที่จะร่วมลงทุน และหากการศึกษาความเหมาะสมในด้านต่างๆ มีความคืบหน้าอย่างไรบริษัทจะนำประเด็นดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

นอกจากนี้ นายวิชัย ยังให้ข้อมูลต่อสื่อหลายแหล่งและช่องทาง เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ว่า ตนเองได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือในนามส่วนตัวกับกองทุน Jade Bird Fund จากประเทศจีน เพื่อเสนอขายโรงแรมดาราเทวีซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทมูลค่า 5,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนดังกล่าว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว นายวิชัยในฐานะกรรมการของบริษัทไม่มีอำนาจโดยลำพังที่จะทำการเสนอขายดังกล่าวโดยไม่ผ่านมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทได้

“ในกรณีนี้ แม้การกระทำดังกล่าวของนายวิชัยซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและไม่มีผลผูกพันบริษัทก็ตาม แต่การเข้าลงนามในบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ย่อมทำให้ผู้ลงทุนเกิดความเข้าใจผิดได้ว่า กลุ่มบริษัท Guangxi Yifan จะมาลงทุนในบริษัท หรือบริษัทมีความประสงค์จะขายโรงแรมดาราเทวี ทำให้เกิดความสำคัญผิดเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินการของบริษัทและอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนด้วย”นายทวิชกล่าว

เกี่ยวกับการจำนำหุ้น ICAP ตามสัญญาจำนำไม่ได้ระบุจำกัดวงเงินของการเป็นประกัน และยังเป็นการประกันหนี้ทั้งในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2560 นายวิชัยและนายศุภนันท์กลับยินยอม สนับสนุน และไม่โต้แย้งในการที่นายธวัชให้ข้อมูลในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริงแก่ผู้ถือหุ้นในที่สาธารณะในนามของบริษัทว่าการจำนำดังกล่าวจำกัดวงเงินอยู่เพียง 100 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับข้อความจริงตามที่ระบุอยู่ในสัญญาจำนำ ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2559 และข้อเท็จจริงที่ว่าบริษัทยังคงเป็นหนี้ตั๋วแลกเงินในกรณีดังกล่าวอยู่รวมทั้งหมด 200 ล้านบาท

4. การกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายประการอื่น เช่น การหาเหตุเพื่อไม่ชำระหนี้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ โกลบอลวัน จำกัด โดยที่บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันให้แก่บริษัท ดาราเทวี จำกัด (ดาราเทวี) ซึ่งเป็นบริษัทลูกต่อบริษัทบริหารสินทรัพย์ โกลบอลวัน จำกัด (Global One) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของดาราเทวีในมูลหนี้ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2544 อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมานายวิชัยกลับกล่าวหาโดยบอกกล่าวผ่านสื่อสาธารณะหลายแหล่งและช่องทางว่า Global One ทำการสร้างหนี้ดังกล่าวขึ้นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้บริษัทต้องรับผิดชำระหนี้ ซึ่งไม่มีอยู่จริงโดยไม่มีมูลเหตุและหลักฐานสนับสนุนแต่อย่างใด อันเป็นเหตุให้บริษัทถูก Global One ฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.753/2560 ให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 100 ล้านบาท ในฐานละเมิดจากการกระทำของนายวิชัย

อีกทั้ง มีการการเลิกจากพนักงานของบริษัทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 25 คน โดยไม่จ่ายเงินค่าจ้าง ค่าชดเชย และ/หรือค่าเสียหายตามกฎหมายแรงงานให้แก่พนักงานที่ถูกเลิกจ้างดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้างดังกล่าวนั้นฟ้องบริษัทเป็นคดีต่อศาลแรงงาน

5.การปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและไม่ชอบด้วยกฎหมายในฐานะประธานกรรมการบริษัท โดยเฉพาะประเด็นที่เกิดขึ้นในการประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา

“ผมเห็นว่าหากยังคงให้นายวิชัย ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการบริษัทต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท และผู้ถือหุ้นเป็นอย่างมาก และเป็นบรรทัดฐานให้แก่ ผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อื่น เอาเป็นเยี่ยงอย่างในการไม่เคารพและปฏิบัติตามข้อบังคับ ของบริษัท และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในการบริหารงานบริษัทตนในอนาคต  ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวของนายวิชัย เข้าข่ายเป็นผู้ขาดความน่าไว้วางใจในการทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการของบริษัทต่อไป ผมจึงเข้ามาขอความกรุณาจากสำนักงาน ก.ล.ต. โปรดดำเนินการเข้าตรวจสอบเกี่ยวกับการกระทำต่าง ๆ ของนายวิชัยและนายศุภนันท์ ที่เข้าข่ายขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมและดำเนินการทางกฎหมายโดยกล่าวโทษหรือดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นศาลกับนายวิชัยและนายศุภนันท์ ต่อไป”นายทวิชกล่าว

นอกจากนี้ คณะกรรมการ IFEC ในฝั่งของนายทวิชจำนวน 5 คน ซึ่งประกอบด้วยนายทวิช เตชะนาวากุล นางสาวประนอม โฆวินวิวัฒน์ นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ พลตำรวจเอกสุนทร ซ้ายขวัญ และนายปริญญา วิญญรัตน์ ซึ่งเป็นกรรมการที่แต่งตั้งใหม่โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2560 ได้ทำหนังสือคัดค้านการประชุมและมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 โดยได้ส่งหนังสือคัดค้านไปยังนายแพทย์วิชัย ในฐานะประธานกรรมการบริษัท ขณะเดียวกันยังได้ส่งหนังสือคัดค้านไปยังเลขาธิการ สำนักงานก.ล.ต. และกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกด้วย โดยได้ส่งหนังสือดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1560 โดยกรรมการทั้ง 5 คนอาศัยสิทธิตามมาตรา 92 (2) แห่งพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 เนื่องจากกรรมการที่เหลือเพียง 4 คน ในที่ประชุมนั้นเป็นการไม่ครบองค์ประชุม จึงเป็นการประชุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่สามารถถือได้ว่าเป็นมติของคณะกรรมการบริษัท และการประชุมและมติของที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ผูกพันกรรมการทั้ง 5 คนแต่อย่างใด
« Last Edit: March 24, 2017, 08:33:06 AM by MSN »