happy on July 26, 2015, 06:17:35 PM

Mission: Impossible
Rogue Nation

ชื่อไทย :       มิชชั่น: อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการรัฐอำพราง
วันที่เข้าฉาย:    30 กรกฎาคม 2015
จัดจำหน่าย :    บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


เบื้องหลังงานสร้าง

ทอม ครูซ กลับมาแล้วในบท อีธาน ฮันท์ ครั้งนี้เขาต้องเผชิญภารกิจเป็นไปไม่ได้ที่น่าหวั่นเกรงที่สุด ในภาพยนตร์เรื่อง “Mission: Impossible – Rogue Nation” ภาคที่ 5 ของภาพยนตร์แอ็กชั่นทริลเลอร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด

หน่วยงานจารกรรมลับสุดยอดที่รู้จักในชื่อ ไอเอ็มเอฟ กำลังลุกเป็นไฟ พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกยกเลิกหน่วยงาน แม้ในเวลานั้นจะมีภัยคุกคามโลกที่หวาดกลัวที่สุดสุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด ภัยคุกคามดังกล่าวคือ เดอะซินดิเคท  ซึ่งเป็นกลุ่มสายลับที่ผ่านการฝึกมาอย่างหนัก สายลับเหล่านี้ต่างทรยศประเทศชาติของตนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว โดยพวกเขาตั้งใจที่จะทลายความมั่นคงของรากฐานแห่งความศิวิไลซ์ เดอะซินดิเคทคือชื่อที่ในหมู่สายลับลือกันมานาน แต่ อีธาน ฮันท์ เพิ่งจะได้ค้นพบความจริงที่ไม่พึงประสงค์ว่ารัฐอำพรางแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีอยู่จริง แต่พวกเขายังเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดคนทั้งโลกถ้าเขาไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ซีไอเอไม่ยอมเชื่อ ทีมของอีธานเองก็ถูกคุกคาม แต่อีธานจะไม่มีวันหันหลังให้กับงานเสี่ยงตายที่มีเดิมพันสูงเช่นนี้แน่นอน

ทุกคุณสมบัติที่เคยทำให้ ฮันท์ กลายเป็นบุคคลจำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ ต้องผ่านการทดสอบเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น ความแข็งแรงที่ทำให้เขาสามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกได้ ความต้องการของเขาที่อยากเห็นคนชั่วได้รับการลงทัณฑ์ และคนดีได้รับการปกป้อง จากเวียนนาไปยังคาซาบลังก้า จากตัวถังของเครื่องบินกองทัพไปยังใต้น้ำลึก ฮันท์จะเดินหน้าลุยจนถึงที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดที่เขาต้องเผชิญในการทำงาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาจะพยายามทำสิ่งหนึ่งที่เขาพบว่าสำคัญมากที่สุด นั่นก็คือการภักดีกับเพื่อนๆ และความคิดที่จะสามารถพิชิตภารกิจที่เป็นไปไม่ได้

ผู้ที่กลับมาร่วมทีมกับครูซในบทเพื่อนร่วมงานของฮันท์ ได้แก่ เจเรมี่ เรนเนอร์ ในบท วิลเลี่ยม แบรนต์, ไซม่อน เพ็กก์ ในบท เบนจี้ อัจฉริยะด้านไอที และวิง เรมส์ ในบท ลูเธอร์ สติคเคลล์ และหน้าใหม่ที่เข้ามาช่วยเสริมทีม ได้แก่ นักแสดงสาวชาวสวีเดน รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน (“Hercules”) ในบทสาวลึกลับ อิลซ่า ฟอสต์, ฌอน แฮร์ริส (“Prometheus”) ในบท โซโลม่อน เลน และเจ้าของสามรางวัลลูกโลกทองคำ อเล็ค บอลด์วิน ในบทผ.อ.หน่วยซีไอเอ อลัน ฮันลี่ย์

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส และสกายแดนซ์ ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของทอม ครูซ/ แบ็ด โรบ็อท เรื่อง “Mission: Impossible – Rogue Nation” ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ (“Edge of Tomorrow,” “Jack Reacher,” “The Usual Suspects”) บทภาพยนตร์เขียนโดย คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ ขณะที่ผู้คิดสร้างสรรค์เรื่อง ก็คือ คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ และดรูว์ เพียร์ซ โดยอิงจากซีรีส์ที่สร้างฉายทางทีวีของ บรูซ เกลเลอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ทอม ครูซ, เจเจ อับรามส์, ไบรอัน เบิร์ก, เดวิด เอลลิสัน, เดน่า โกลด์เบิร์ก และดอน แกรนเจอร์ โดยมี เจก ไมเออร์ส ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ทีมงานหลังกล้องที่ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ โรเบิร์ต เอลสวิต และโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ จิม บิสเซลล์ รวมถึงมือลำดับภาพอย่าง เอ๊ดดี้ แฮมิลตัน และวิชวลเอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ เดวิด วิคเกอรี่ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ โจแอนนา จอห์นสตัน ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ โจ เครเมอร์





อีธาน ฮันท์ เฉียดตาย

ภาคที่ 5 ของภาพยนตร์ชุด “Mission: Impossible” กำลังจะให้ความหมายใหม่ของคำว่า เป็นไปไม่ได้

มันคือสิ่งที่ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ทำมาตลอดนับแต่งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสองทศวรรษก่อน เมื่อต้องสร้างภาพยนตร์ภาคใหม่ออกมาแต่ละเรื่อง ทางทีมผู้สร้างซึ่งนำทีมโดยดารานำของหนังผู้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วยอย่าง ทอม ครูซ ได้สรรหาวิธีที่จะสร้างความมันส์ได้เทียบเท่า หรือเกินกว่าความคาดหวังของคนดู ซึ่งในแต่ละภาค วิธีการก็จะแตกต่างกันออกไป กับการเริ่มต้นด้วยการเป็นปรากฏการณ์ในวงการภาพยนตร์ในยุค 1960 ภาพยนตร์เรื่อง “Mission: Impossible” ได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์แห่งศตวรรษที่ 21 เป็นปรากฏการณ์ในงานสร้างภาพยนตร์ที่ผลักดันขีดจำกัดออกไป เป็นการผสมผสานเรื่องราวดราม่าของงานสายลับปะทะสายลับ เข้ากับการสรรสร้างฉากแอ็กชั่นจนกลายเป็นตำนาน
เวลาหมดแล้ว อีธาน ฮันท์ ตัวละครชื่อดังที่ ครูซ รับบทอยู่ พบตัวเองต้องเผชิญกับอันตรายแบบนันสต็อป ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ต้องทะยานสูง ต้องผ่านสถานการณ์ที่ไม่ปรานีใครครั้งแล้วครั้งเล่า สถานการณ์ที่ฮันท์ต้องเจอมีความล่อแหลมในทุกระดับ เมื่อไอเอ็มเอฟถูกสลายทีม ซีไอเอก็ไม่ไว้ใจเขา ตอนนี้ ฮันท์ค้นพบองค์กรลับที่มีพลังสายลับที่พร้อมจะทลายทุกชาติที่องค์กรนี้เล็งเป็นเป้าหมาย คนเหล่านี้ต้องการให้เขาเข้าร่วมภารกิจ ไม่งั้นเขาจะต้องตาย สุดท้าย ฮันท์ต้องทดสอบความภักดีของทีมของเขา ความอดทนของตัวเขาเอง และเป้าหมายของสายลับลึกลับเจ้าเสน่ห์ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้อย่าง อิลซ่า ฟอสต์ 
สำหรับครูซ การรับบท ฮันท์ เป็นครั้งที่ 5 และยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วย คือโอกาสที่เขาจะได้เห็นว่าเขาจะสามารถพาตัวละครตัวนี้ไปได้ไกลแค่ไหน รวมถึงภาพยนตร์แนวจารกรรมระดับโลกที่มีความซับซ้อนด้วย เขาชอบที่จะผลักดันขีดจำกัดออกไปด้วยภาพยนตร์ “Mission: Impossible” ตอนใหม่ในแต่ละตอน 
“ในแต่ละครั้ง ผมคิดว่า  ‘ฉันเห็นมาหมดแล้ว’ และผมก็ผ่านความท้าทายด้านแอ็กชั่นทุกๆ อย่างเท่าที่ภาพยนตร์สักเรื่องจะมีได้ ภาพยนตร์ภาคต่อไปนี้จะมีความท้าทายใหม่ในทุกประเภทเพราะเราไม่เพียงแต่ผลักดันฉากแอ็กชั่นออกไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเล่าเรื่องและตัวละครด้วย” ครูซบอก “สำหรับผม ภาพยนตร์ ‘Mission’ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเกี่ยวกับฉากแอ็กชั่นและความตื่นเต้นหวาดเสียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะชอบองค์ประกอบเหล่านี้ก็ตาม แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการผสมรวมทั้งฉากแอ็กชั่น เรื่องที่ชวนติดตาม และอารมณ์ขัน ผสมรวมกับประสบการณ์ที่ทำให้แทบลืมหายใจที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อคนดู มันคือการให้คนดูได้พบการผจญภัยที่ดีที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด ขณะที่ยังคงรักษาความคลาสสิกของภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ เราทำทั้งหมดนั้นใน ‘Rogue Nation’ มากกว่าเท่าที่เคยมีมา” 
นับแต่เริ่มต้นด้วยการเป็นรายการทางทีวีในปี 1966 “Mission: Impossible” วางตัวด้วยการเป็นเรื่องราวที่ต้องเผชิญกับความกดดันของการแข่งกับเวลา โดยมีเส้นตายเร่งด่วนที่จะต้องหยุดแผนการร้ายให้จงได้ เมื่อกลายมาเป็นภาพยนตร์ ไอเดียดังกล่าวนั้นได้เบ่งบานเติบโตจนกลายเป็นปรัญชาในการสร้างภาพยนตร์ที่อิงกับการสร้างความกดดันให้กับ ฮันท์ เพิ่มเติมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความสั่นประสาท และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ

งานนี้คือการสร้างความท้าทายให้กับครูซและทีมผู้สร้างที่เข้ามาร่วมงานกับภาพยนตร์ชุดนี้ แต่เป็นความท้าทายที่ทุกคนชื่นชม เจก ไมเออร์ส ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ บอกว่า  “’Mission: Impossible’ ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์แฟรนไชส์ แต่มันมีหลักการของมันเอง ผมคิดว่านั่นคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์เรื่องนี้ คนดูรู้ดีว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ พวกเขาจะได้เห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์ภาคก่อน” 

ขณะที่ภาพยนตร์ภาคที่แล้ว “Ghost Protocol” เราได้เห็น ฮันท์ เปลี่ยนแปลงจากการเป็นหมาป่าผู้โดดเดี่ยว กลายมาเป็นผู้นำทีม บัดนี้ เขาต้องลับฝีมือในการเป็นผู้นำของเขา  ฮันท์ต้องป้องกันทีมไอเอ็มเอฟจากการต่อสู้ ขณะที่เขาพยายามจะปกป้องโลกให้พ้นจากเดอะ ซินดิเคท ครูซเล่าว่า “ภาพยนตร์ภาคนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความซับซ้อนของมิตรภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคนเหล่านี้ต้องเผชิญกับความกดดันมหาศาล คุณจะไว้ใจใคร และไม่ควรไว้ใจใคร ใครจะคอยอยู่ช่วยเหลือคุณเมื่อทุกอย่างล่มสลาย ใครจะลุกขึ้นสู้กับปัญหา และพวกเขาจะทำงานด้วยกันอย่างไรเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ผมคิดว่า ‘Rogue Nation’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหาแง่มุมใกล้ชิดของการทำงานเป็นทีมอยางแท้จริง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่ชั่วร้ายจริงๆ” 

ผู้อำนวยการสร้าง เจเจ อับรามส์ ซึ่งกำกับภาพยนตร์ “Mission: Impossible 3” กล่าวว่า “มีบางอย่างในภาพยนตร์แฟรนไชส์ ‘Mission: Impossible’ ที่มันมีรสชาติอร่อย และพัฒนาไปตลอดเวลา คนกลุ่มนี้ได้ใช้ทุกอย่างที่พวกเขามี และเครื่องมือต่างๆ ต่อสู้เพื่อความดี เราได้ร่วมติดตามพวกเขาในโลกที่เป็นการผจญภัยสุดตื่นเต้น จากนั้น ทอมก็มักจะใส่อารมณ์ขันลงไปในบท อีธาน ฮันท์” 

อารมณ์ขันเช่นนั้นมีให้เห็นมากขึ้นใน “Rogue Nation” ผู้อำนวยการสร้าง เดวิด เอลลิสัน ผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่ง ซีอีโอ ของสกายแดนซ์ บริษัทที่เคยอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Ghost Protocol”  บอก  “ผมคิดว่าหนึ่งในเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีให้กับคนดู ก็คือ มันอัดแน่นไปด้วยความสนุกและอารมณ์ขันมากแค่ไหน คุณจะได้หัวเราะเต็มที่หลายฉากด้วยกัน นอกจากอารมณ์ขันแล้ว ยังมีเรื่องของความเฉลียวฉลาด และปฏิกิริยาของตัวละคร แน่นอน ต้องมีทั้งความตึงเครียดและเดิมพันสูง ภาพยนตร์เรื่องนี้เดินหน้าไปไกลที่สุดเพื่อสร้างฉากแอ็กชั่นสุดมันส์ ทำให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ให้ความบันเทิงสูงสุดกับคนดูทุกกลุ่ม” 

“Rogue Nation” ยังให้ อีธาน ทุ่มเทและอุทิศตัวให้กับการลดทอนอำนาจในการทำร้ายล้างของฝ่ายผู้ร้ายมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเติบโตขึ้นทั้งในฐานะบุคคลและในฐานะเจ้าหน้าที่ “อีธานเติบโตขึ้น” ครูซตั้งข้อสังเกต “เขากำลังเรียนรู้ที่จะฟังทุกคน ขณะที่ยังคงเดินตามสัญชาตญาณของเขา ผมคิดว่าเขาคืบหน้าไปมากในแง่ของการเข้าใจผู้คนในแบบที่เขาเป็นจริงๆ ซึ่งรวมถึงตัวเขาเองด้วย ผมมักจะมองว่าเขาเป็นคนที่มีทักษะฝีมือสูง เป็นคนที่มีความคล่องแคล่วว่องไว และเป็นคนที่จะไม่ยอมหยุดในการตามล่าสิ่งที่เขาเชื่อไปจนถึงที่สุด แต่เขาไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ เขายังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่” 

ความเป็นมนุษย์ปุถุชนของอีธานต้องตกอยู่ภายใต้การถูกขู่บังคับ เมื่อเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่เป็นเหมือนภาพสะท้อนในความมืดของเขา นั่นก็คือการเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทิ้งความเมตตาที่ถูกต้องไปจนสิ้น “ในภาพยนตร์เรื่องนี้ อีธานกับทีมของเขาต้องต่อสู้กับผู้ร้ายที่น่ากลัว ซึ่งมีฝีมือสูสีกับพวกเขา เป็นคนที่ท้าทายพวกเขาทั้งทางร่างกาย มันสมอง และอารมณ์” ครูซบอก “นับแต่วินาทีแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ อีธานกับทีมต้องพยายามสุดกำลังที่จะเดินหน้าจากสถานการณ์หนึ่งไปยังสถานการณ์ถัดไป ฉากแอ็กชั่นมีความโลดโผน แต่ยังคงยึดมั่นต่อความเป็น ‘Mission: Impossible’ ในแง่ของความตื่นเต้น และยังมีอารมณ์ขัน กับมีเรื่องราวความรักอยู่เยอะด้วย”

ผู้อำนวยการสร้าง เดน่า โกลด์เบิร์ก หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายครีเอทีพของ สกายแดนซ์ ตั้งข้อสังเกตว่าสำหรับครูซแล้ว  การมารับบท อีธาน ฮันท์ คือสิ่งที่เขามองว่าเป็นงานที่ไม่มีทางเสร็จสมบูรณ์ แต่เป็นงานที่มีวิวัฒนาการตลอด  “ทอมมีมาตรฐานสูงมากในเรื่องของความยอดเยี่ยมในทุกอย่างที่เขาทำ แต่ฉันคิดว่ามันสูงยิ่งกว่าทุกงานเมื่อเป็น ‘Mission: Impossible’” เธอตั้งข้อสังเกต “เขาเข้าถึงอีธานด้วยการตั้งคำถามว่า อีธาน ฮันท์ จะตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างไร และภายใต้ความกดดันสูงมากขนาดนี้ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่อีธานเก่งมาก ซึ่งก็คือการรับมือกับความกดดันมหาศาล แต่ทอมกำลังเผยให้เห็นว่าอีธานอายุมากขึ้น และฉลาดสุขุมมากขึ้น เขาเป็นสายลับที่เติบโตและยอมรับว่าบทบาทหน้าที่ของเขาคืออะไร และต้องสูญเสียสิ่งใดไปบ้าง เขาคือชายที่เรียนรู้ที่จะพึ่งพาทีมของเขา และเขาเรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือ คุณจะรู้สึกได้ถึงการร่วมมือกันระหว่างตัวละครและนักแสดง” 

เพื่อสานต่อชื่อเสียงของภาพยนตร์ชุดนี้ที่เป็นการผสมผสานภาพยนตร์หลากหลายแนวเข้าด้วยกัน ครูซต้องการตัวผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ ซึ่งเคยร่วมงานกับเขา โดยแม็คควอร์รี่ทำหน้าที่เป็นผู้เขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Valkyrie” และ “Edge of Tomorrow” และยังเป็นผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่อง “Jack Reacher” เป็นครั้งแรก

“คริสมีความคิดที่มหัศจรรย์มาก เขาเป็นมือเขียนบทที่เก่ง และเป็นผู้กำกับที่เก่ง การได้เห็นเขาใช้ฝีมือกับภาพยนตร์แนวนี้ คือสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้น” ครูซสรุป “สิ่งที่คริสและผมมีร่วมกันก็คือเราทั้งคู่ต้องการทำให้ทุกวินาทีของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ในฐานะที่เป็นทั้งมันสมองและหัวใจที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ความทุ่มเทของครูซไม่ได้ถูกทุ่มเทไปให้กับบทบาทและงานสตั๊นต์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงส่วนของงานสร้างด้วย ดอน แกรนเจอร์ รองประธานบริหารฝ่ายโปรดักชั่นของ สกายแดนซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าวว่า “มันน่าประทับใจที่ ณ ใจกลางของภาพยนตร์ ‘Mission: Impossible’ ซึ่งมีงานสตั๊นต์ที่เรียกร้องสูงที่สุด และยังมีคิวการถ่ายทำที่ทำให้เหนื่อยที่สุดสำหรับทอม เขาไม่เพียงแต่ให้การแสดงที่น่าทึ่งในบท อีธาน เท่านั้น แต่เขายังอยู่ในกองถ่ายตลอดทั้งวัน และในเวลาเย็นหลังจากเราถ่ายทำกันแล้วด้วย เขามักเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในงานเบื้องหลังโดยเขามาพร้อมภาพอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้”







ทีมไอเอ็มเอฟกลับมารวมตัว

อีธาน ฮันท์ไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากสมาชิกในทีมไอเอ็มเอฟเท่ากับที่เขาต้องการใน “Rogue Nation” ถึงแม้เมื่อมองภายนอกจะเหมือนไอเอ็มเอฟถูกสลายตัวไปแล้ว แต่พวกเขาทุกคนก็มาร่วมมือกันเพื่อจัดการกับ เดอะ ซินดิเคท ซึ่งก็มีเพียงไอเอ็มเอฟเท่านั้นที่จะทำได้ ผลลัพธ์ก็คือ เจเรมี่ เรนเนอร์, ไซม่อน เพ็กก์ และวิง เรมส์ มีโอกาสที่จะทำให้ตัวละครของพวกเขาก้าวไปข้างหน้าอีกหลายก้าว

“ผมชอบความสัมพันธ์ระหว่าง เจเรมี่, ไซม่อน และวิง ในภาพยนตร์เรื่องนี้นะเมื่อคุณได้เห็นว่าทีมไอเอ็มเอฟต้องอยู่ภายใต้ความกดดัน และเกือบจะแตกสลายไปแล้ว” ทอม ครูซ บอก “ดูเหมือนว่าไอเอ็มเอฟจะถูกแยกจนแตกกันไป และเรื่องก็กำลังจะระเบิดแตกออกแล้ว แต่นั่นแหละคือส่วนสำคัญต่อหนัง Mission” 

เมื่อ ลูเธอร์ สติคเคิลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์ภาคแรก “Mission: Impossible” ที่กำกับโดย ไบรอัน เดอ พัลม่า และ วิลเลี่ยม แบรนต์ เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคนเฝ้าระวัง อีธาน ฮันท์ ในตอน “Ghost Protocol” ต้องมาร่วมมือกันเพื่อตามแกะรอยอีธาน มันคือความพอใจอย่างที่สุดสำหรับทีมผู้สร้างที่ได้เห็น เจเรมี่ เรนเนอร์ และวิง เรมส์ ต้องมาด้นสดใส่กัน

ผู้อำนวยการสร้าง ดอน แกรนเจอร์ กล่าวว่า “20 ปีหลังจากที่เขารับบทนี้เป็นครั้งแรก วิงสวมบทเป็น ลูเธอร์ ได้เนียนพอดีราวกับสวมถุงมือ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของไอเอ็มเอฟที่อายุมากที่สุด ลูเธอร์รู้จักอีธานมานานสุด และวิงเองก็รู้จักทอมมานานที่สุดเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีทั้งความใกล้ชิดและความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาให้เห็นบนจอภาพยนตร์ด้วย ตรงกันข้ามกับ เจเรมี่ ที่เหมือนกับอยู่ตรงกันข้ามกับตัวละครตัวอื่นๆ ขณะที่ ไซม่อน จะเป็นตัวกลางระหว่างทุกคน มันสนุกมากที่ได้มาเห็นพวกเขาทุกคนอยู่ด้วยกัน” 

คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รี่ รู้สึกตื่นเต้นที่สามารถให้เวลาทีมนักแสดงเหล่านี้ได้อยู่บนจอมากขึ้น “เราอยากจะได้  ‘ไอเอ็มเอฟที่ดีที่สุด’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ สำหรับผม สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากในฐานะผู้กำกับ ก็คือ นักแสดงเหล่านี้แต่ละคนต่างนำเอาคุณสมบัติพิเศษของพวกเขาเองมาด้วย และหน้าที่ผมก็คือการค้นหาจังหวะของแต่ละคน และจัดการซิงค์รวมเข้าด้วยกัน” แม็คควอร์รี่อธิบาย “และแน่นอน ตลอดทั้งเรื่องนั้น ทอมก็คือสมอหลัก เขามีความเข้าใจในโลกนี้อย่างลึกซึ้ง และทุกคนต่างมองไปที่เขาเพื่อหาแรงบันดาลใจ และอยากเล่นได้ในระดับเดียวกับเขา ข้อดีของการมีทอม เจเรมี่ ไซม่อน และวิง ก็คือคุณเริ่มต้นด้วยจุดยืนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ซึ่งทำให้คุณสามารถที่จะนำพาสิ่งต่างๆ ให้เดินไปในทิศทางใหม่ที่น่าตื่นเต้นได้” 

เดวิด เอลลิสัน กล่าวว่า มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้มาเห็นคนที่เก่งที่สุดและปราดเปรื่องที่สุดของไอเอ็มเอฟมารวมตัวกัน “ภาพยนตร์เรื่องนี้มีลักษณะทีมที่เหมือนกับอะเวนเจอร์ คุณจะได้ความรู้สึกที่ว่า  ‘เด็กๆ พวกนี้กลับมาแล้ว’ เมื่อพวกเขาทุกคนมาอยู่บนจอด้วยกัน” 

ครูซไม่มีทางที่จะสนุกไปกว่านี้แล้วเมื่อเขาได้กลับมาร่วมงานกับ เพ็กก์ ผู้ที่มักจะเป็นคนดึงเอาความตลกออกมา ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความจริงจังของ อีธาน ฮันท์ “ทุกๆ วัน ผมได้สนุกกับเขา ทุกวันเราได้หัวเราะกัน และเรายังคงสามารถที่จะมีสมาธิ ทุ่มเททำงาน และพบการแสดงที่เข้าขากันอย่างที่แม็คควอร์รี่และผมต้องการ ในฉากภายในรถ ไซม่อนต้องไว้ใจผมร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็คิดอยู่ว่า ‘ฉันไม่อยากบอกเขาเลยว่าฉากนี้มันอันตรายแค่ไหน’” ครูซเล่า “ดังนั้นผมก็เลยขับรถด้วยความเร็วสูง แล้วก็ดริฟต์ไปตามตรอกซอกซอยแคบๆ กระแทกเข้ากับกำแพงก็ตั้งหลายครั้ง ผมพยายามที่จะทำให้มันสนุกสุดเหวี่ยง ขณะที่เขาก็ทำให้ผมหัวเราะเสียงดังด้วยการแสดงของเขา!”   

อับรามส์บอกว่า “ผมตื่นเต้นที่ได้มาเห็นการส่งและรับบทระหว่างทอมและไซม่อนใน ‘Rogue Nation’ ซึ่งมันเดินหน้าไปได้ไกลยิ่งกว่าใน ‘Ghost Protocol’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไซม่อนได้ออกมาลุยแอ็กชั่นกับทอมมากขึ้น ดีจังที่ได้มาเห็นเขาถูกใช้ไปแบบนั้น และผมว่าไซม่อนเองก็เล่นตีบทแตกกระจุยเลย” 

เอลลิสันกล่าวเสริมว่า “ไซม่อนสนุกมาก แต่เขาก็นำ เบนจี้ ที่เราเคยเห็นครั้งแรกกลับมาใหม่อีกครั้ง เขาเคยเป็นคนที่นั่งทำงานอยู่หลังโต๊ะ แต่ตอนนี้ เขาต้องออกมาลุยภาคสนาม เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีพัฒนาการอย่างเต็มตัว เมื่อคุณเห็นเขายินดีจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยอีธานด้วยมิตรภาพที่แท้จริง มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมากทีเดียว”

เจก ไมเออร์ส พูดถึงเพ็กก์ ใน “Rogue Nation” ว่า  “เขาเป็นเหมือนตัวฮา แต่เขาก็ใส่แง่มุมแนวดราม่าที่ทำหน้าที่ได้ดีมากกับทอม ตัวละครของเขายังต้องพัฒนาต่อไป เมื่อเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้น เขากำลังทำงานอยู่ที่ศูนย์ข้อมูลของซีไอเอ และไม่มีอะไรท้าทาย แต่เขาคิดถึงการทำงานลุยภาคสนาม และการได้พบเพื่อนเก่าก็นำเขากลับคืนสู่การได้ออกลุยแอ็กชั่นในแบบฉบับของเขาเองที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้” 

เพ็กก์ยอมรับว่าเขาแทบรอเวลาไม่ไหวที่จะได้ทำงานกับ “Mission: Impossible” อีกภาค “เมื่อคุณได้รับโทรศัพท์ที่บอกว่าพวกเขากำลังจะสร้างภาพยนตร์กันอีกภาค มันน่าตื่นเต้นเสมอ” เพ็กก์อธิบาย “จากนั้นคุณก็เฝ้ารอบทภาพยนตร์ และหวังว่าตัวละครของคุณคงจะไม่ตาย!” 

เบนจี้อาจพัฒนาไป แต่เขาก็มาไกลมากจากตอนที่ได้เผชิญหน้ากับ อีธาน ฮันท์ ครั้งแรกใน “Mission Impossible: III” และ “Mission Impossible: Ghost Protocol” เพ็กก์อธิบายว่า “เบนจี้ได้ออกไปภาคสนามสักพักแล้ว ดังนั้นเขาจึงโตขึ้นเล็กน้อย และมีประสบการณ์มากขึ้นอีกนิด แต่..เขาไม่มีทางเป็นเบนจี้น้อยลงได้ เขามีทักษะฝีมือใหม่ๆ แต่เบนจี้จะยังคงมีดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นกับงานที่เขาทำ และโลกที่เขาเคลื่อนไปรอบๆ อย่างไรก็ดี ‘Rogue Nation’ จะทำให้เขาได้พบกับการหนีเสือปะจระเข้ เขามาอยู่ริมหุบเหวนรก เพราะไอเอ็มเอฟกำลังถูกสลายหน่วย และอาจถูกดูดกลืนไปโดยซีไอเอ ดังนั้นตอนนี้เบนจี้จึงติดอยู่กับงานนั่งโต๊ะ และแบรนต์ก็กลับมาเป็นนักวิเคราะห์ มันเหมือนการไปเยือนนรกกันเลยจริงๆ!” 

หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป และความสัมพันธ์ระหว่างเบนจี้กับอีธานก็ยังไม่แน่ไม่นอนเมื่อ “Rogue Nation” เริ่มต้นขึ้น “ผมคิดเสมอว่าเบนจี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของอีธาน และพวกเขาก็เคยผ่านเรื่องเสี่ยงตายมาด้วยกัน ดังนั้นเบนจี้จึงมีความชื่นชมในตัวอีธานมากเป็นพิเศษ ดังนั้น มันทำให้น่าสนใจมากขึ้นที่ได้มาเห็นว่าเบนจี้เหมือนปฏิเสธเขาในตอนต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้”

เพ็กก์บอกว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไป ก็คือ เสน่ห์ของเรื่องราวของ “Mission” เป็นเรื่องของคนที่ยินดีจะทดลองทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพื่อให้พวกเราที่เหลือปลอดภัย “ตอนนี้พวกเราผ่านเวลามา 20 ปี และเรายังคงต้องออกไปช่วยโลก ดังนั้น เรื่องนี้จึงมีการเสียสละเยอะมาก” เพ็กก์อธิบาย “โลกเปลี่ยนแปลงไป ภารกิจก็มีความซับซ้อนมากขึ้น แต่ยังคงมีผู้ร้ายลอยนวลอยู่มากมาย เป็นคนที่จะต้องมีใครสักคนหยุดยั้งพวกเขา และผมว่า ‘Mission: Impossible’ ก็คือ การเติมเต็มความปรารถนานั้น มีความจริงจังอยู่ในไอเดียนั้นด้วย แต่ขณะเดียวกัน เราก็เล่นมันด้วยความรู้สึกของการผจญภัยและความสนุกที่คุณคงช่วยไม่ได้นอกจากจะเล่นตามน้ำไปด้วย”

มันเป็นมากกว่าคดีหนึ่งใน “Rogue Nation” “สิ่งที่ผมชอบมากในภาพยนตร์ภาคนี้ก็คือ มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพ ความภักดี และความไว้ใจ ทุกอย่างถูกห่อรวมกันเอาไว้ในฉากไล่ล่า ฉากระเบิด และฉากต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุด” เพ็กก์สรุป “ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้น แต่ท่ามกลางความบ้าคลั่งทั้งหมดนี้  ‘Rogue Nation’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่มาช่วยกันและกันให้พ้นจากปัญหา”   

สำหรับเพ็กก์แล้ว บางทีสิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดในการได้กลับมาร่วมทีม “Mission: Impossible” อีกครั้ง ก็คือ การได้กระโจนกลับไปสู่การได้โต้ตอบอย่างมีลูกเล่นกับครูซ “ผมคิดว่ามิตรภาพในชีวิตจริงของผมกับทอม มันก็คล้ายมิตรภาพระหว่างเบนจี้กับอีธาน” เขาหัวเราะ “แน่นอน มี ทอม ครูซ ที่เป็น อีธาน ฮันท์ และมี ทอม ครูซ ตัวจริงๆ ที่แตกต่างไปนิดหน่อย แต่ผมชอบมากที่ได้ทำงานกับทอม เขามีสมาธิทุ่มเทจนน่าทึ่ง และยังอุทิศตนให้กับสิ่งที่เขาทำ ซึ่งช่วยทำให้ทุกคนทุ่มเทมากขึ้นในกองถ่าย แต่เขาก็ยังมีความสนุก และไม่ต้องใช้อะไรมากหรอกที่จะทำให้เขามาวุ่นวายอยู่รอบๆ ได้”

เพ็กก์ยกตัวอย่าง  “เราต้องบีบแตรในโมร็อคโคในฉากขับรถไล่ล่ากัน เราอยู่ในรถคันนั้นอยู่นานหลายวัน ดังนั้นเราจึงลงเอยด้วยการศึกษากัน โดยดูว่าใครจะสามารถแอบเปิดฮีทเตอร์ของที่นั่งอีกฝ่ายได้ ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมากท่ามกลางความร้อนของโมร็อคโค คุณคิดว่า ‘ทำไมฉันถึงเหงื่อตกขนาดนี้’ จากนั้น คุณถึงรู้ตัวว่า ทอม ครูซ เปิดฮีทเตอร์ที่นั่งของคุณแล้ว! ดังนั้นเราก็เลยทำอะไรเพี้ยนๆ กัน แต่ทอมยังรู้ด้วยว่า เมื่อไหร่คือเวลาที่จะต้องจริงจัง จากนั้นก็ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้”