แสนสิริเผยยอดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนทะลัก ล่าสุดเพิ่มทุนฉลุยเป็น 1.9 หมื่นล้านบาทแล้ว
แสนสิริเผยนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนมาก ส่งผลยอดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนทะลัก ล่าสุดบริษัทเพิ่มทุนเสร็จสิ้นเป็น 19,824 ล้านบาทแล้ว หลังจากนี้จะเดินหน้าปรับพอร์ตเพื่อหนุนแผน “Engineer for Growth” อย่างเต็มที่ ทั้งการลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย - เพิ่มยอดโอน และเน้นการสร้างกำไรเพิ่มขึ้น เชื่อมั่นผลสำเร็จตามแผนโดยล่าสุดคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิปี 2557 ประมาณ 12% เผยนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจแผนรุกธุรกิจภายหลังการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น รวมถึงการร่วมทุนกับบีทีเอส กรุ๊ป ที่จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจและช่วยผลักดันยอดขายบริษัทในอนาคต หลังเดินหน้าโรดโชว์นิวยอร์กและซานฟรานซิสโกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังการเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น ควบคู่กับใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ : 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ในช่วงระหว่างวันที่ 27-31 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรากฎว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนให้การตอบรับเข้าจองหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทเดินหน้าเพิ่มทุนเสร็จสิ้นแล้ว เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 19,823,634,538.57 บาท โดยภายหลังการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น บริษัทจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ Engineer for Growth อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากแผนบางส่วนที่ได้ดำเนินการไปแล้วเริ่มเห็นผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและชัดเจนจากกำไรในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากการโอนที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากแผนการโอนส่งมอบคอนโดมิเนียมเพื่อตอบรับความต้องการเข้าอยู่อาศัยของลูกค้าประมาณ 14 โครงการทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะมียอดโอนในช่วงไตรมาส 3 ถึงประมาณ 7,000 ล้านบาท รวมทั้งล่าสุดบริษัทคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิที่ 12% ภายในสิ้นปี 2557 หรือในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นมากกว่านี้
“เม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหลังจากการเพิ่มทุน ไปจนถึงเม็ดเงินที่จะได้รับหลังจากการใช้สิทธิ์ซื้อวอร์แรนท์นั้น จะทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนสูงกว่า 19,800 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้แสนสิริสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งด้านการขยายฐานการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจากการลดสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Gearing Ratio) ลงจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.14 เหลือ 0.8 – 1 เท่าใน 3 ปีข้างหน้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรในอนาคตอย่างเต็มที่” นายวันจักร์ กล่าว
นอกจากนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทยังร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด เดินทางไปโรดโชว์ที่นิวยอร์กและซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทได้ให้ข้อมูลเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ลงทุน รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงภาพรวมธุรกิจและความแข็งแกร่งของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการเพิ่มทุนภายใต้แบรนด์ที่แข็งแกร่งและแผนการดำเนินธุรกิจ Engineer for Growth ซึ่งได้รับการตอบรับและการให้ความสนใจในการตอบการซักถามประเด็นดังกล่าวจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งนี้นักลงทุนยังให้ความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของบริษัท และมุ่งความสนใจไปที่กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการเติบโตของบริษัทในอนาคต นอกจากนี้นักลงทุนยังเห็นว่า การได้พันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่าง บีทีเอส กรุ๊ป ซึ่งมีความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนและมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมทุน ยังเป็นการรองรับการขยายการพัฒนาโครงการที่ดีในอนาคตอีกด้วย