ว่ากันว่า อายุที่เหมาะกับการเขียนนิยายคือ 50.5 ปี (ผลสำรวจของ บ็อบ ยัง ที่คิดจากอายุเฉลี่ยของนักเขียนที่ติดรายการขายดีอันดับ 1 ของนิวยอร์กไทมส์ ตั้งแต่ปี 1955-2004)
แต่สำหรับ "แดน บราวน์" นักเขียนที่สร้างปรากฏการณ์ระทึกโลกจากการเขียนนวนิยายขายดี "เดอะ ดาวินชี โค้ด" กลับไม่เป็นเช่นนั้น !!!
เขา คนนี้ฉีกกฎนักเขียนรุ่นเก๋าที่ต้องเฝ้ารอเวลาตกผลึกเสียกระเจิง ด้วยเพราะเขาเริ่มเขียนนิยายมาตั้งแต่อายุ 30 กว่าๆ แถมนวนิยายของเขายังได้รับการยอมรับอย่างมากมายจากทั่วโลกโดยเฉพาะเรื่อง "เดอะ ดาวินชี โค้ด"
เดอะ ดาวินชี โค้ด ที่ดังกระหึ่มทั้งในโลกของบรรณพิภพ ตีพิมพ์ไปแล้วกว่า 50 ล้านเล่ม แปลไปแล้วมากกว่า 40 ภาษา และในโลกของเซลลูลอยด์ ที่โซนี่ พิคเจอร์ส ทุ่มทุนสร้างเป็นภาพยนตร์ ซึ่งกำลังลงโรงฉายพร้อมกันทั่วโลกในห้วงเวลานี้
จง อย่าแปลกใจ หากนิตยสารฟอร์บส จัดอันดับให้เขาแดน บราวน์ ผู้สร้างเรื่องราวระทึกโลก เป็นนักเขียนชื่อดังทำรายได้อันดับ 6 คือ 76.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
จงอย่าแปลกใจ หากเดอะ ดาวินชี โค้ด จะได้รับการยอมรับจากอเมซอนในช่วงต้นปี 2004 ว่าเป็นนิยายสำหรับผู้ใหญ่ติดอันดับขายดีที่สุดตลอดกาล
และ อย่าแปลกใจ หากนิยายทั้ง 4 เรื่องของเขา คือ ล่ารหัสมรณะ (Digital Fortress), เทวากับซาตาน (Angels&Demons), รหัสลับดาวินชี (The Da Vinci Code) และ Deception Point จะติด 10 อันดับหนังสือขายดีรายสัปดาห์ของนิวยอร์กไทมส์ พร้อมกัน
ชื่อของ "แดน บราวน์" จึงเป็นนักเขียนไม่ธรรมดา ที่ดังเร็ว แถมยังสร้างความระทึกโลกให้กับบรรดาคอหนังสือ และคอหนัง
พื้นเพ ของแดน บราวน์คนนี้ เขาจบการศึกษาที่ Amherst College and Phillips Exster Acadamy เขาเคยใช้ชีวิตเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะหันมาทุ่มเทอย่างหนักกับภารกิจอันเป็นที่รักอย่าง ...การเขียนหนังสือ
และด้วยความที่แดนบราวน์สนใจเรื่องของรหัสลับ และหน่วยงานลับๆ อย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเล่มแรกขึ้น ในปี ค.ศ.1996 ชื่อว่า "ล่ารหัสมรณะ"
ผลงานล่ารหัสมรณะ แม้จะเป็นเล่มแรกของเขา แต่เชื่อไหมว่า การเป็นหน้าใหม่ในวงการน้ำหมึกของแดนบราวน์ ก็ทำให้คนทั้งโลกต้องหันมามอง และอ่านเรื่องราวนวนิยายแนวตื่นเต้นเร้าใจจากปลายปากกาของเขากันอย่างงอมแงม กระทั่งได้ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งหนังสือขายดี
ที่สำคัญ ชื่อของแดนบราวน์ยังถูกแซ่ซ้องอีกว่า เขาเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่ดังเร็วในช่วงระยะเวลาเพียงไม่นาน !
ส่วนเดอะ ดาวินชี โค้ด ที่เป็นผลงานอีกเล่มขายดีถล่มถลายไปทั่วโลก ก็เป็นอีกเล่มที่สร้างความชื่นใจให้กับนักเขียนหน้าใหม่เช่น เขา
แด นบราวน์กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของเขาถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับนิยายดังอย่าง เรื่องเดอะ ดาวินชีโค้ดว่า "แม้ว่าผมจะแปลกใจที่หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จ แต่ผมขอบอกว่า ผมตั้งใจเขียนหนังสือเล่มนี้มากและคาดหวังว่าคนจะชอบมัน ซึ่งตัวละครแต่ละตัวที่ผมแต่งขึ้นนั้น ต่างก็มีเล่ห์เหลี่ยมที่คล้ายคลึงกับคนในโลกของความจริง"
แดนบราวน์ ทำงานหนักด้วยการศึกษาหาข้อมูล และหาวิธีการเขียนที่มีทั้งเรื่องเทคโน-ทริลเลอร์, การสร้างจุดอำพราง ขณะเดียวกัน ในหัวข้อที่เขาคิดจะเขียนเป็นนิยายนั้นก็มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในด้านของ
ศีลธรรมจรรยา ความมั่นคงของชาติด้วย
นอก จากนี้แดนบราวน์ ยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันดนตรีระดับมืออาชีพ เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เหมือนจะขัดแย้งกับหลักปรัชญาและศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้าง นิยาย
ในมุมของครอบครัว แดนบราวน์ยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่รักภรรยาชนิดที่ขาดกันไม่ได้ เพราะเบื้องหลังการเขียนนิยายที่ต้องอาศัยข้อมูลที่เข้มข้นนั้น มีศรีภรรยาของเขา ไบลธี (Blythe) ผู้ที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ และการวาดภาพ เป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการหาข้อมูล
หวานใจของบราวน์จะ ติดตามเขาไปเป็นประจำเวลาที่เขาเดินทางไปเก็บข้อมูลตามที่ต่างๆ ล่าสุดก็คือ ที่ปารีส ซึ่งทั้งสองคนนี้ยอมรับเลยว่า เขาหมดเวลาไปกับพิพิธภัณฑ์ลูฟไปนานมาก แล้วที่สุดนิยายที่เร้าใจชื่อ เดอะ ดาวินชีโค้ด ก็เกิดตามมาหลังจากนั้นไม่นาน
แม้ปัจจุบันจะมีกลุ่ม ชาวคริสต์จำนวนไม่น้อยต่อต้านนิยาย เดอะ ดาวินชีโค้ด แต่ทว่ากลับดูเหมือนว่า ยิ่งสร้างความแรงให้คนเข้ามาติดหนึบในการอ่านเรื่องราวแนวตื่นเต้นเร้าใจของ เขามากขึ้น
มากจนขนาดที่ว่ามีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์
มากจนขนาดที่ว่ามีการจัดทัวร์ตามรอยเดอะ ดาวินชีโค้ดขึ้น
มากจนขนาดที่ว่าบรรดาแฟนพันธุ์แท้ของแดนบราวน์ที่อ่านเรื่องราวของเขาต้องขอไปเยี่ยมเยือนสถานที่ดังๆ ในนิยายของเขา
ดัง เช่นโบสถ์ Roslin ที่สร้างขึ้น ในยุคสมัยกลางในเมือง Roslin ซึ่งเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่มีการพูดถึงในเรื่องเดอะ ดาวินชีโค้ด เพราะยามนี้ที่หนังสือขายได้กว่า 50 ล้านเล่ม หนังลงโรงฉายทั่วโลก ได้มีคนทยอยเดินทางไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนไม่น้อย
แค่ในปีที่แล้ว ที่หนังสือเดอะ ดาวินชีโค้ดขายดี ก็มีคนเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์นี้ทั้งหมด 117,000 คน โดยในปีนี้ผู้อำนวยการของโบสถ์คาดว่าจะมีผู้เข้าชมประมาณ 145,000 คน ถือว่ามากกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับ 3 ปีที่แล้ว
คัดลอกจาก
http://news.sanook.com/entertain/entertain_04034.php