บทสัมภาษณ์ “แอฟ ทักษอร กับบทบาท มณีจันทร์ ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี”
“ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คือประสบการณ์ คือการเรียนรู้
คือความภาคภูมิใจเสมอในทุกครั้งที่เราพูดว่าเราได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้”
กับประสบการณ์ตลอด 1 ทศวรรษที่กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
1 ใน 3 ของชีวิตที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของ
แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์) กับบทบาท มณีจันทร์
หญิงสาวผู้เป็นคู่คิดและคู่ชีวิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
Q: เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไทยและเป็นหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนังผู้มีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาทั้งชีวิตในมุมมองของเราเป็นอย่างไรบ้าง
A: เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ) เจอท่านตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ก็สัก13หรือ 14ปีนี่ละค่ะ คือให้นึกถึงท่านภาพแรกที่นึกถึงเลย คือตอนที่แอฟได้มีโอกาสเข้าไปพบท่าน ตอนแรกก็จินตนาการไปต่างๆนานา ด้วยความที่ตอนนั้นเราก็เด็กประสบการณ์ในวงการบันเทิงเราก็น้อย แม้กระทั่งในวงการหนัง หรือว่าการมาเจอผู้กำกับที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ได้ เราก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา บวกกับจินตนาการไปว่าท่านต้องดุ ต้องเข้มแน่เลย ปรากฏว่าเจอวันแรกแปลกใจมาก กลับไปถึงบอกกับที่บ้านว่าท่านไม่ได้เป็นเหมือนที่เราจินตนาการไว้เลย คือท่านให้ความเมตตาในทุกๆด้านในความเป็นกันเอง ทั้งๆที่เราคิดว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ได้เป็นใครมาจากไหน คือท่านไม่จำเป็นต้องให้เวลา หรือว่าให้ความสำคัญในการอธิบายใน สิ่งต่างๆด้วยตัวเอง จริงๆให้ทีมงานอธิบายก็ได้ ตอนแรกยังคิดว่าท่านคงเรียกมาดูหน้าดูๆแล้วก็ไปๆ ปรากฏว่าเจอครั้งแรกก็เลยรู้สึกประทับใจมาก ที่ท่านให้โอกาสเราพูดคุย แล้วก็อธิบายถึงบทที่ท่านสนใจอยากจะให้มารับ บทนี้เป็นยังไงท่านก็เล่า หลังจากนั้นก็เลยเรียนรู้เรื่อยมาว่าท่านมีลักษณะของความเป็นครูค่ะ คือมีความสุขในการที่จะสอนไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นเล็กขนาดไหน ท่านก็ไม่ถือ คือหนึ่งท่านเป็นเจ้า สองท่านเป็นผู้กำกับใหญ่อีกอย่างท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะเสียเวลาที่จะสอนเด็กรุ่นหลัง แม้ว่าแอฟในวันนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยไปประทับใจที่สุด ถือว่าท่านเป็นครูทางด้านภาพยนตร์คนแรกในชีวิตเลยคะ
Q: มาถึงตรงนี้ 10 ปีแล้วพูดได้มั้ยว่า ได้อะไรจากท่านมุ้ยบ้าง
A: ได้ทุกอย่างเลยค่ะทั้งเรื่องในแง่เทคนิคการแสดง ในการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากนั้นเรายังได้ในแง่ของหลักการทำงานความทุ่มเทในการทำงาน คือสำหรับท่านแล้วแอฟมองว่าท่านไม่เคยแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวเลยคือท่านมองว่า งานคือชีวิตชีวิตคืองานอย่างนั้นเลยค่ะ คือเป็นบุคคลที่ทุ่มเทให้กับการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตเลย ซึ่งท่านทำอย่างนั้นได้เพราะว่าท่านรัก และภาพยนตร์คือชีวิตของท่านจริงๆเพราะฉะนั้นท่านจึงไม่รู้สึกว่านี่คือการทำงาน หรือโอ้โห..เราต้องทำงานจนถึงกี่โมงแต่ว่าคือทุกๆนาทีที่ผ่านไปท่านมีความสุข ท่านก็เลยไม่ได้รู้สึกว่านี่เราทำงานมาเป็น10ชั่วโมงแล้วนะ เพราะว่าในทุกๆนาทีที่ท่านมุ้ยทำอยู่อันนั้นมันคือความสุขของท่าน สำหรับแอฟแล้วประทับใจมากที่ท่านมุ้ยให้โอกาสค่ะ
Q: ตอนนี้อยากให้แอฟอัพเดทชีวิต และผลงานในปัจจุบัน
A:สำหรับตอนนี้ก็รับงานทางด้านบันเทิงลดน้อยลงนะคะอะไรที่เป็นงานระยะยาวก็จะไม่ได้รับค่ะเพราะว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ มาช่วยทำธุรกิจกับสามีก็เลยเปลี่ยนทิศทางในด้านการทำงานนิดหนึ่ง แล้วก็อาจจะมีวางแผน ครอบครัวจะมีลูกประมาณนี้คะก็เลยยังไม่ได้รับงานอะไรที่เป็นระยะยาว
Q: ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าได้ทำอะไรในวงการบันเทิงมาเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นละคร ,ถ่ายแบบโฆษณา, พรีเซนเตอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์,มิวสิควิดีโอ เรียกได้ว่าทำอะไรมาจนจะครบหมดแล้ว
A: ในส่วนของงานบันเทิงก็เป็นชีวิตแอฟเลยละค่ะ จนถึงทุกวันนี้ก็ทำงานมาประมาณ 12 ปี เริ่มจากสมัยก่อน เหมือนเด็กทั่วๆไปก็จะเป็นถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบทำมาหมดแล้วทุกอย่าง โดยที่งานหลักของแอฟก็คืองานละคร งานภาพยนตร์ที่รับบทเต็มตัว ก็จะมีตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ
Q: เมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในความรู้สึกของเราที่มีต่อท่านเป็นอย่างไรบ้าง
A: ในภาพความคิดของแอฟคือจะรู้สึกว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญที่ทำให้ คนไทยมีแผ่นดินไทยอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทุกคนรู้จักท่านในแง่การมียุทธหัตถี เป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของคนไทย แล้วก็คนจะรู้สึกว่าท่านเก่งในด้านของวิชาการรบ ยุทธวิธีในการรบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรบแบบกองโจร แล้วก็ท่านมีความรัก และห่วงใยใกล้ชิดในประชาชนของท่าน
Q: พูดถึงโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ของไทย สมกับชื่อ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกันบ้าง เมื่อเอ่ยชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
A: ครั้งแรกที่ได้ยินโปรเจ็คต์นี้ก็ทราบอยู่แล้วน่าจะเป็นโปรเจ็คต์ที่ใหญ่ สำหรับในวงการภาพยนตร์ไทย แต่ว่าก็ต้อง ยอมรับว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะใหญ่ขนาดนี้ หมายถึงในแง่ของความยิ่งใหญ่นะคะ แล้วแอฟก็ยังมั่นใจว่าคงไม่มี ใครที่จะสร้างภาพยนตร์ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินทุนเพียงอย่างเดียวอันนี้แอฟมั่นใจ เลยมันเป็นเรื่องของความทุ่มเทของผู้นำซึ่งผู้นำของกอง ก็คือท่านมุ้ยนั่นเองนะคะแล้วบวกกับทีมงานทุกๆคนที่ทำให้มีทุกวันนี้ค่ะ
Q.ในตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาพูดได้ว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวของแอฟ ทักษอร เลย และเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศ กับบทบาทมณีจันทร์ อยากให้แอฟพูดถึงตัวละครตัวนี้กับบทบาทที่เราได้รับ
A: ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แอฟก็ได้รับโอกาสจากท่านมุ้ยนะคะให้มารับบท มณีจันทร์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับบุคลิกของตัวละครเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ส่วนใหญ่แล้วที่ผ่านมาแอฟมักจะได้รับบทบาท ที่เป็นแบบแข็งนอกอ่อนใน ประมาณนี้นะคะ แต่สำหรับบทมณีจันทร์จะมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ แต่ทางด้านร่างกายคือด้วยความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนด้วย ก็จะเป็นคนนุ่มนวล อ่อนหวาน แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้รับการเลี้ยงดูจากพระสุพรรณกัลยาด้วย จริงๆแล้วมณีจันทร์เองเติบโตมากับ สมเด็จพระนเรศวรฯ แล้วก็ไอ้ทิ้ง โตมาจากในวัด ก็จะไม่ได้มีใครอบรมทางด้านกิริยามารยาท จนกระทั่งได้มาอยู่กับพระสุพรรณกัลยานี่แหละค่ะ ถึงได้เป็นกุลสตรีขึ้นมาจนโตเลย ทำให้ทุกอย่างหล่อหลอมขึ้นมา ให้เป็นบุคลิกของสาวชาววังขึ้นมาจนได้แต่ว่าภายในจิตใจข้างใน เป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะสู้รบเมื่อยาม คับขัน ยามจำเป็นเราก็จับดาบได้
Q:ในการที่จะต้องรับบทสาวชาววัง และต้องมีสู้ศึกจับดาบด้วย มีการเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดตัวละครมณีจันทร์อย่างไรบ้าง
A: ก็จะมีช่วงแรกๆของการถ่ายทำแอฟก็จะเหมือนนักแสดงคนอื่นๆค่ะ คือจะต้อง ผ่านการเวิร์คช็อปประมาณปีหนึ่งมั้งคะ แต่เป็นปีหนึ่งเมื่อ12ปีที่แล้ว(หัวเราะ) เวิร์คช็อปให้เรามีทักษะ ในทุกๆด้านเพราะว่ามณีจันทร์เองก็ยังหนีไม่พ้น จะต้องมีฉากสู้รบ และท่านมุ้ยก็อยากให้นักแสดงทุกคนต้องมีพื้นฐานทางด้านการฟันดาบการขี่ม้า ขี่ช้างทุกๆคนจะต้องเรียนเหมือนกันหมด ตอนแรกก็พยายามขอแล้วว่า“มณีจันทร์ ไม่ต้องรบขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ”(หัวเราะ) แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการถ่ายทำก็ดีด้วย เราจะได้เรียนรู้และเวลา เราแสดงเราจะได้เข้าถึงบทบาทอย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราก็จะมีเวิร์คช็อปตรงนั้นส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกัน มณีจันทร์ก็ต้องเป็นสาวชาววังช่วงแรกนะคะ ก็จะมีการเรียนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องมารยาท แม้กระทั่งเรื่องการกราบแบบนี้นะคะ เพราะว่าบางทีเราก็หลงลืมข้ามขั้นตอนไปบ้าง หรือบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ทำบ่อยนัก ก็จะมีการเรียนรู้ตรงนั้นคะ
Q: การเวิร์คช็อปสำหรับนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเข้มข้นฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างจริงจังมากๆ ถึงขนาดมีการจัดตารางเวลาเลยว่า เช้า สาย บ่า ยเย็น ต้องเรียนรู้อะไร
A: เป็นช่วงยากของแอฟเลยละค่ะโดยทางบริษัทจะจัดตารางมาให้คือทั้งเดือนนี้มีเวิร์คช็อปวันไหนบ้าง ลงตารางมาเลย เรียนพร้อมใครพร้อมใคร แล้วตอนถึงเวลาก็จะมีระบุว่าวันนี้เริ่มตั้งแต่ กี่โมง สมมติเรียนฟันดาบ 8โมง-10โมง,10โมง-เที่ยง ขี่ม้า,พักเที่ยง-บ่ายโมง,บ่ายโมง-บ่ายสามเรียนฟันดาบ อีกรอบหนึ่งแล้วก็ 4โมงเย็น- 6โมงเย็น ขี่ช้างอะไรประมาณนี้คะ คือทุกอย่างจะเป๊ะเป๊ะเป๊ะ คือเหนื่อยมากโดยเฉพาะอย่างแอฟไม่ได้มีพื้นฐานในการออกกำลังขนาดนั้น แล้วเราก็ฝึกกับพี่ๆก็จะมีหลายๆคน คอยช่วยแอฟ อย่าง ทราย ก็จะคอยช่วยไหวมั้ย หรือวิ่งรอบสนามฟุตบอลเรียนฟันดาบ ก็จะคอยเป็นห่วงถามตลอดก็น่ารักมากคอยถามไหวมั้ย (หัวเราะ)
Q: ด้วยหน้าที่ และบทบาทสำคัญๆมากในหลากหลายเหตุการณ์ ฉะนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของตัวละครมณีจันทร์ เองน่าจะมีความน่าสนใจไม่น้อย
A. มณีจันทร์เองก็มีหลากหลายสถานะหลากหลายบทบาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความละ เอียดอ่อน
ความเป็นกุลสตรี หรือแม้กระทั่งได้มีโอกาสออกไปรบซึ่งตรงนี้เองตอนถ่ายทำจริงๆ อาจจะมีบ้างที่การรบการถ่ายทำมันก็น่ากลัวนะ เหนื่อยนะ ก็มีแอบบ่นแ แต่ว่าให้มานึกย้อนตอนนี้ก็รู้สึกดีใจนะคะที่ท่าน ให้โอกาสที่ท่านเชื่อมั่นในตัวเราและทำให้เราได้มีโอกาสได้รับบทนี้ซึ่ งมีในหลายๆบทบาททั้งได้ใส่ผ้าไทยสวยงามทั้ง ได้ออกไปรบ คือในแง่ของการแต่งกายเราก็แน่นอนเป็นสาาวชาววัง ก็ได้แต่งกายสวยงามตามแบบฉบับกุลสตรี อยู่แล้วก็จะมีหม่อมบี๋(หม่อมกมลา ยุคลโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์)นะคะที่จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องผ้า และการแต่งกายมากๆเลยค่ะ ผ้าของตัวละครทุกตัวจะผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ แอฟก็ยังเชื่อว่ายังเก็บอยู่เป็นอย่างดีเลยค่ะ แล้วท่านก็จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าต้องตรงตามประวัติศาสตร์ ในเวลายุคนั้นว่าเขาใส่กันแบบไหน ตั้งแต่ตัวเนื้อผ้าเองที่เลือกมา อย่างของแอฟก็จะเป็นลักษณะของชาวมอญเป็นสาวมอญที่มาอยู่ในประเทศไทย ก็ยังคงแต่งแบบมอญ อยู่แบบมอญก็ใส่ผ้าถุงแบบจีบหน้านางก็จีบสดนะคะ ทุกครั้งคือเป็นแค่ผ้าดิบผืนเดียว แล้วก็พับสด เย็บสด ทุกครั้งเพื่อความสมจริง ในภาพยนตร์ที่ทุกท่านได้เห็นอยู่ ไม่มีใครทราบว่าเราถ่ายหนังมาเป็นสิบกว่าปี แต่ทุกครั้งที่เห็นผ้าของตัวละครทุกตัวที่ใส่หมายความว่านักแสดงไปเข้าห้องน้ำที ก็คือเลาะออกนะคะ แล้วเย็บใหม่เป็นเวลาสิบกว่าปีคือคนอาจจะนึกว่าเหมือนสมมติว่าเราถ่ายอย่างอื่น งานอื่นๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดขนาดนี้ เพื่อความสมจริงในภาพยนตร์ทุกคนก็ทุ่มเท
Q: แต่ละครั้งในการสวมคาแรคเตอร์เป็นมณีจันทร์ใช้เวลาในการแต่งตัวนานแค่ไหนอย่างไร
A: นานค่ะ(หัวเราะ)ใช้เวลาในการแต่งตัวไม่ว่าจะเป็นชุดสาวชาววังหรือว่าชุดเกราะนานหมดเลยค่ะ
ชุดเกราะนี่ก็จริงๆแล้วคือมันเป็นหลายชิ้นส่วนต่อกัน แล้วก็น้ำหนักของมันด้วย ร้อนด้วย แล้วก็ทุกอย่าง อย่างที่บอกค่ะ ก็คือต้องเย็บสดค่ะ
Q:มีชุดเกราะของตัวเองด้วย
A. (หัวเราะ)ใช่ค่ะ ชุดเกราะนี่ก็ถือเป็นเกียรติแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก ที่ได้มีโอกาสร่วมรบเพราะ
ตอนแรก คิดว่าจะติดสอยห้อยตามไป แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ออกไปรบไหม หรือแม้กระทั่ง อุ้ย! เราจะได้มีชุดเป็นของเราเอง ชุดท่านก็ช่วยโมดิฟายหลายอย่าง(หัวเราะ) เพราะว่าตัวเล็ก ตอนแรกก็ว่าจะเป็นแบบไหนดีที่ยังถูกต้องตามประเพณีสมัยก่อนแต่ก็เหมาะกับเราด้วย
Q: ในความรู้สึกของแอฟ มองว่าเสน่ห์ของมณีจันทร์ อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
A: ต้องบอกก่อนว่าสำหรับแอฟแล้ว บทนี้เป็นบทที่มีพลังคือมีความเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งอาจไม่ได้หาได้ง่ายๆทั่วไป ถ้าให้แอฟตอบในความเป็น มณีจันทร์ คือเป็นผู้หญิงมั่นใจ ว่าชีวิตนี้ตายได้เพื่อคู่ชีวิตตายได้เพื่อแผ่นดินนี้ ทั้งๆที่มณีจันทร์จริงๆแล้วไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่ได้เติบโตมากับสมเด็จพระนเรศวรฯ เติบโตมากับ พระราชมนู แล้วก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสุพรรณกัลยา แม้กระทั่งการที่มณีจันทร์ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระมหาเถรคันฉ่อง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมณีจันทร์หล่อหลอมขึ้นมา ทำให้มีส่วนผสมของทั้งความเข้มแข็งความเด็ดเดี่ยว และความอ่อนโยนมาจากพระสุพรรณกัลยา เรียนรู้เรื่องรบด้วย เรื่องการครองเรือนด้วย รวมไปถึงการมีส่วนมีบทบาทการตัดสินใจในบางเรื่อง โดยมีรูปแบบ และวิธีที่จะจัดการหรือรับมือในแบบผู้หญิงอย่างมณีจันทร์ ซึ่งอาจจะไม่ได้แสดงออกมาแบบผู้หญิงสมัยใหม่ ที่มีความเห็นแบบนี้แล้วก็พูดออกไป แต่จะเป็นในแง่ของการให้กำลังใจ แอบผลักดัน ส่งเสริม และคอยอยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯตลอดไม่ว่าจะอยูในสถานการณ์ใดค่ะ
Q: สำหรับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศึกยุทธหัตถี ที่แฟนๆจะได้เห็นเรื่องราวที่ดำเนินไปในส่วนของตัวมณีจันทร์มีเหตุการณ์สำคัญๆอะไรเกิดขึ้นบ้าง
A: ในแง่ของความสัมพันธ์ต่างๆของตัวละครที่เกิดขึ้น ทั้งตัวมณีจันทร์ เองกับสมเด็จพระนเรศวรฯนะคะ ก็จะมีความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เราผ่านศึกต่างๆมาด้วยกัน มณีจันทร์ก็ยังคงอยู่เคียงข้าง จนกระทั่งถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นจังหวะเวลา ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ขึ้นครองราชย์ ในพระราชพิธีราชาภิเษก มณีจันทร์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสี จำได้ว่าในส่วนตรงนี้ตอนถ่ายทำก็มีความรู้สึกขนลุกมากนะคะ เราไม่ค่อยได้เคยเห็นภาพแบบนี้ แล้วเเราได้มีโอกาสไปอยู่ เป็นหนึ่งในนั้น ได้อยู่ในพิธีนี้ก็รู้สึกขนลุกจริงๆค่ะ ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะถ่ายทำนานแล้ว แต่ก็ยังจำภาพเหตุการณ์ระหว่างถ่ายทำได้อยู่จนทุกวันนี้เลยค่ะ เพราะในฉากนี้แค่ในแง่ของความสำคัญของฉากนี้ก็คงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนดูรู้ว่า ตอนนี้กำลังเปลี่ยนอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียกว่าหน้าที่ ที่มาพร้อมความกดดัน พร้อมภาระทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้แผ่นดินไทยรอดมาอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯเต็มๆแล้ว แต่ในส่วนของมณีจันทร์ก็คือเป็นอีกคนหนึ่งที่จะนั่งอยู่เคียงข้างอีกเช่นกัน