บทสัมภาษณ์ “หม่ำ จ๊กม๊ก จาก ภ. แหยม ยโสธร 3″
กลับมาแล้วเด้อ
“หม่ำ จ๊กม๊ก” (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา)
นำความฮาร่วนม่วนฮักยกกำลังสาม กลับมาอีกครั้ง
ใน “แหยม ยโสธร 3”
บทบาท-คาแร็คเตอร์
ผมหม่ำนะครับ “แหยม 3” มาแล้วเด้อ เล่นเองกำกับเองเหมือนเดิมครับ เรื่องราวภาค 3 ก็มีเรื่องราวอีรุงตุงนัง ทั้งเรื่องของบักแหยมแล้วก็ลูกๆ ครับ บักแหยมในภาคนี้ก็เหมือนภาคก่อนๆ แต่ภาคนี้ไม่ได้เป็นกำนันแล้ว หมดความนิยม โดนคู่แค้นแย่งตำแหน่งไป แต่ก็ยังรักกันดีกับเจ้ย แต่ภาคนี้จะเปิดเผยความลับของบักแหยมที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เป็นความรักครั้งก่อนมาเจอเจ้ย
จุดเริ่มต้น-ที่มาที่ไปของ “แหยมยโสธร 3”
มันเริ่มจากตอนที่จบจากแหยม 2 ผมก็คุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ว่าอยากจะทำภาค 3 ต่อ เสี่ยก็โอเคให้ทำ แต่ตอนนั้นด้วยตัวเราติดอะไรหลายอย่างเลยต้องพักไว้ก่อน พอมาปีนี้ด้วยเวลาที่ลงตัวก็เลยลุยถ่ายกันเลย สำหรับแหยมภาคใหม่นี้ก็จะพูดถึงเรื่องราวความรักของรุ่นลูก ภาคที่แล้วเป็นเรื่องของลูกสาว คราวนี้ก็เป็นเรื่องของลูกชาย เราก็ไม่พยายามคิดอะไรให้ซับซ้อน เพราะหนังเรามันซื่อๆ บ้านๆ อยู่แล้ว ก็พยายามสร้างปมความรักขึ้นมา ก็นึกถึงหนังเช็กสเปียร์ ความรักที่ถูกกีดกันแบบโรมิโอกับจูเลียต แล้วก็แตกเรื่องออกไป รวมถึงคิดตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาเพิ่มสีสันความสนุกด้วย
การสร้างสรรค์เรื่องราวและตัวละครใหม่ๆ ในแหยม 3 นี้เป็นอย่างไร
มันเริ่มจากเราเล่าเรื่องลูกสาวเราไปแล้วในภาค 2 แล้วภาคนั้นมันมีลูกชายอยู่คนเดียวในเรื่องคือคำผาน แต่ตอนจบภาคหนึ่งเรื่องมันบอกไปแล้วว่าแหยมกับเจ้ยมีลูกสิบกว่าคน ก็เลยคิดว่าภาคสามจะเล่าเรื่องลูกสักคนที่มาจากกรุงเทพฯ เป็นคนที่หน้าตาดีๆ หล่อ ๆ เลย มาจับคู่กับคำผาน เราคิดผูกเรื่องไปต่อว่ามันมีต้องมีตัวละครผู้หญิงสองคนที่ลูกเราไปชอบ คือแหยมมันเป็นหนังรักนะ รักแบบอีสาน คิดต่อไปอีกว่าความรักมันต้องมีปัญหา คนดูต้องได้ลุ้น ก็เลยคิดว่าถ้าอดีตแหยมเคยมีคนที่รักมาก่อนเจ้ย แล้วบังเอิญคนรักคนนั้นเป็นเมียของคู่ปรับของแหยม แล้วก็เป็นพ่อแม่ของผู้หญิงที่ลูกชายของแหยมไปชอบ มันก็เป็นสตอรี่ไทยๆ ดีนะ เรื่องพ่อแม่กีดกันความรัก เราก็คิดทำเรื่องราวออกมาประมาณนี้
เรื่องราวใน “แหยมยโสธร 3”
คือเรื่องมันจะผ่านมาจากภาคที่แล้วประมาณ 4-5 ปี เล่าถึงเรื่องราวตอนที่แหยมไม่ได้เป็นกำนันแล้ว จะมีกำนันปอย (เฉิน เชิญยิ้ม) ที่เป็นคู่แค้นแหยมขึ้นมาเป็นกำนันแทน ที่สองคนนี้แค้นกันเพราะว่าเคยมีอดีตความรักที่แย่งผู้หญิงกัน คือแหยมก่อนจะมีเจ้ยเคยมีคนรักมาก่อน แต่พลาดไปเสร็จกำนันปอย ก็จะมีอารมณ์ถ่านไฟเก่า เจ้ยก็จะหึงๆ เพราะว่าภาคนี้แฟนเก่าของแหยมก็คือรำพึง ซึ่งเมียผมเล่นต้องกลับมาเจอกัน แล้วรำพึงดันไปเป็นเมียของกำนันปอยคู่รักคู่แค้นอีก ต่างคนก็ต่างระแวง ไหนจะเรื่องลูกมารักกันเองอีก พ่อแม่สองบ้านก็เลยต้องกีดกัน มันก็เลยอีรุงตุงนังกันใหญ่ ก็ต้องลุ้นว่าเรื่องราวจะแฮปปี้เอ็นดิ้งมั้ย
ในภาคนี้มีตัวละครรุ่นใหม่ที่เข้ามาสร้างเรื่องราวและสีสันเพิ่มขึ้น
ภาคนี้ก็ถือว่าต้องแคสติ้งกันหลายตัวละครนะ เพราะเราอยากเพิ่มรสชาติเข้าไป อย่าง “บิ๊กเอ็ม” (ลิขิต บุตรพรม) ที่รับบทเป็น “คฑาเทพ” คือตัวละครตัวนี้ผมอยากให้แตกต่างกับ “มิกซ์” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ลูกผม คือเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่อยากได้แบบต่างกันไปเลย คฑาเทพต้องฟีลแบบผ่าเหล่าผ่ากอมาเกิด หล่อเหลาสูงยาวเข่าดี ต้องเอาคนที่มันแตกต่างเพราะในเรื่องมันเป็นเรื่องสองมาตรฐานผมไม่ชอบลูกคนเล็กเพราะมันไม่ชอบเรียนหนังสือ บิ๊กเอ็มเขาก็เลือดอีสานด้วย พูดอีสานได้ บุคลิกหน้าตาตรงตามตัวละครคฑาเทพเลย
ส่วน “ฟ้า” (อิงฟ้า เกตุคำ) ที่มารับบท “รำพัน” จะต้องเล่นแบบสวยบ้านนอกๆ หน้าตาฟ้าจะออกบ้านๆ ด้วย แล้วก็ความสูงจะไล่เลี่ยกับบิ๊กเอ็มด้วย ถ้าเอาตัวเตี้ยๆ มาเล่นมันก็ไม่บาลานซ์กัน คือผมว่าโดยรวมอิงฟ้ากับคฑาเทพเหมาะที่จะมาเล่นด้วยกัน
บิวตี้” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ผมก็รู้สึกชอบอยู่แล้วนะ ตอนที่มาแคสติ้ง เป็นคนพูดเก่งกล้าแสดงออกเป็นคนกล้าคิดกล้าพูด และเล่นจริงเป็นธรรมชาติมาก เป็นตัวเค้าเลยและสำเนียงเค้าพูดเนี่ยฮา เป็นคนอุบลฯ ด้วย เพราะบท “รำเพย” จะเป็นคนที่พูดเก่งและจอมวางแผนเหมือนกันกับ “คำผาน” (มิกซ์ เพทาย) คู่เขาในเรื่อง จะเล่นแบบมีเสน่ห์อารมณ์เดียวกันกับคำผานซึ่งรู้ใจกัน
ส่วน “นกเอี้ยง” (จิตลดาพร กันหาวรรค) ที่คล้ายๆ กับเป็นตัวอิจฉาในเรื่อง แต่จริงๆ แอบน่าสงสารนะ คือเราก็ใช้ชื่อเดียวกันกับตัวจริง ไปเลย นกเอี้ยงเป็นคนยโสธร ไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อนเล่นได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งมาก ผมมองว่าเด็กกลุ่มนี้ตั้งใจทำงานนะ คือทุกคนสุดๆ กันจริงๆ ก็อยากให้ทุกท่านไปดู แล้วก็ฝากพวกเด็กใหม่ๆ พวกนี้ด้วย
ในภาคนี้ยังมีตัวละครจากภาคก่อนๆ มาร่วมสร้างสีสันความสนุกอยู่
ก็ยังมีนะ อย่าง “ยอดชาย” อะฮ้า อะฮ้า (อนุวัติ ทาระพันธุ์) ก็ยังอยู่ แล้วก็มี “คุณนายดอกท้อ” (แวววาว วงษ์คำเหลา) น้องสาวผมเล่นเอง ภาคนี้มีลูกสองคน เป็นตัวป่วนในเรื่องนี้ ก็คือ “มหาศาล” กับ “มหานคร” ก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่อีกสองคน ก็ยังมีตัวละครเก่าๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวอยู่
เป็นไงมาไงในภาคนี้ถึงได้พี่มด (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ศรีภรรยาสุดที่รักมาเล่นบท “รำพึง” ได้
ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดหรอกว่าจะเอาเค้ามาเล่น กะว่าจะหานักแสดงใหม่เลย ก็นั่งคิดไปคิดมาว่าเมียเรามันน่าจะเล่นได้นะ ก็เลยพูดเปรยๆ หยอกเค้าเล่นไปเรื่อยๆ จนเค้ายอมเล่นเฉยเลย แต่ที่เน้นหนักมากๆ คือค่าตัวเท่าไหร่ ชัดเจนเอาให้เคลียร์ ไปมาเก๊าเนี่ยซื้อกระเป๋า Louis เอย Chanel เอยให้อีกลงทุนนะ 4-5 แสน ต้องเอาของมาหลอกล่อ ให้มาเล่นรวมแล้วค่าตัวนี่เป็นล้านๆ นะ นึกว่าจ้างอั้ม พัชราภา มาเล่นซะอีก (หัวเราะ) ยังไงก็ฝากภรรยาผมด้วย เค้าก็เล่นโอเคนะ เสียอย่างเดียวคือไปบอกไปสอนไม่ได้ (หัวเราะ)
อีกหนึ่งสีสันที่ถือเป็นเอกลักษณ์ เป็นภาพจำสำหรับแหยมสโสธรคือเรื่องเสื้อผ้า
ภาคนี้เสื้อผ้าก็แซบเหมือนเดิมครับ ก็จะเปลี่ยนยุคไปอีกซัก 3-4 ปี เป็นยุค 70 ช่วงหลังเอลวิส เป็นยุคที่เค้าไว้ผมฮิบปี้ๆ ส่วนสีสันก็ฉูดฉาดเหมือนเดิม ลงทุนเสื้อผ้าเยอะเหมือนเดิม ตัวละครแต่ละตัวก็จะมีคนละเป็นสิบชุดได้เลย
ด้านเพลงประกอบหนังเพราะๆ ก็ยังคงเป็นเสน่ห์คู่กับเรื่องราวในหนัง
มีหลายเพลงเลยทั้งเก่าและแต่งใหม่ เพลงเก่าก็เป็นเพลงน่ารักๆ ทั้งของท่านอาจารย์รังสี เสรีชัย กับ เทพพร เพชรอุดม อย่างเพลง “รอวันเธอว่าง” ก็เป็นซีนคำผานกับคฑาเทพปีนบันได้บุกห้องหญิง คือพ่อแม่ห้ามเราว่าอย่าไปยุ่ง แต่ไอ้คำผานมันออกไอเดียว่าถ้าเราไม่ยุ่งเสร็จมหาศาล-มหานคร ลูกคุณนายดอกท้อแน่ มันต้องชิงก่อน งั้นไม่ได้ เพลงน่ารักเพลงนี้ ส่วนเพลง “ไข้ใจ” มันอยู่ในซีนที่คฑาเทพต้องเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องอ้อนนางเอกซะ โปรดเถอะคนดีพี่ขอมอบให้ ฟังสิหัวใจมันเต้นรัวว่าผมรักคุณ เพลงนี้มันก็เป็นเพลงสนุกๆ เพลง “คำวอนก่อนลา” คือ เพลงของคู่คำผานกับรำเพย ก็ร้องว่าก่อนจะลาขอคำสัญญาสักหน่อย และหาเวลาพบกัน ก็น่ารักใสๆ แอบปนเศร้านิดนึง ส่วนเพลง “อีสานบ้านเฮา” เหมือนเล่าบรรยากาศ เล่าไปให้ได้กลิ่นของวิถีชีวิตของชาวอีสาน
เพลงไฮไลต์อยู่ที่เพลง “สี่คน” ที่ในเรื่องพี่หม่ำต้องทั้งร้องทั้งเต้นด้วย
เพลง “สี่คน” เป็นเพลงที่ผมร้องเอง ก็อยู่ในฉากที่แหยมรับคำท้าแข่งเต้นกับกำนันปอย คือถ้าชนะยกลูกสาวให้ ถ้าแพ้ก็ห้ามยุ่ง เนื้อเพลงก็ออกสไตล์อีสานตรงไปตรงมา ทะลึ่งหน่อยๆ เนื้อเพลงมันประมาณ สี่คนๆ อ้ายมาสี่คน ให้น้องไปบอกอีแม่ บอกพ่อน้องว่าอ้ายมาสี่คน ก็ต้องมีเต้นกับบิ๊กเอ็มกับคฑาเทพ ก็ซ้อมกันนานนะ วันจริงจะเป็นลม เต้นตั้งแต่สี่ทุ่มยันตีสี่ ต้องไปดูในหนังจะเต้นกันมันส์ยังไง
ถ้านับตั้งแต่ภาคแรกถึงภาคล่าสุดนี้ก็เป็นเวลา 8 ปีแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้กำกับและนักแสดงรู้สึกอย่างไรบ้าง
ก็คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ภาคแรก (2548), ภาคสอง (2552) ก็คิดถึงนะ เผลอแป๊บเดียว 8-9 ปีแล้ว คิดถึงพระเอกนางเอกยุคเก่า ตอนภาคสองลูกสาวก็เพิ่งอายุยี่สิบ ตอนนี้ลูกสาวก็ยี่สิบห้ายี่หกแล้ว แต่ก็คิดเล่นๆ นะว่าจะทำภาคต่อๆ ไป แต่อาจจะเป็นอนาคต ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ปีนี้เอา “แหยม 3” ก่อน ก็กลับมาแล้ว จะได้เฮฮาภาษาบ้านๆ เหมือนเดิม 8 สิงหานี้ ได้ฮากันแน่ทั่วทุกหมู่บ้านครับ